Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາ การออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ

ວິຊາ การออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ

Published by lavanh9979, 2021-08-24 09:10:19

Description: ວິຊາ การออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์และการสอ่ื สารข้อมลู | 69 1. ออกแบบวงจร (Circuit Design) อุปกรณ์ IoT จะผลิตชิป และเซ็นเซอร์ต่างๆ บนอุปกรณ์จาเป็นต้อง มีการส่ือสารกันผ่านวงจร Circuit Board โดยผู้ที่ออกแบบจาเป็นต้องเข้าใจถึง พฤติกรรมของ IoT Devices ว่าจะต้องประหยัดพลังงานมากที่สุดและต้องรู้ว่าควรจะ เลอื กใช้ชปิ หรือเซ็นเซอรแ์ บบใดใหเ้ หมาะสมมากทีส่ ุด ทาใหท้ กั ษะทางดา้ นการออกแบบ วงจร Circuit Board กลายเป็นสิ่งท่ีต้องการมากท่ีสุด ดังนั้นตลาดแรงงานสาหรับผู้มี ความรู้ทางด้าน Printed Circuit Board (PCB) และ 3D design จะเป็นที่ต้องการ เพิ่มข้ึนอย่างมากถึง 231 เปอร์เซน็ ต์ 2. การเขียนโปร แก รม ไมโ คร คอ นโ ทร นล อร์ ( Microcontroller Programming) การใช้เทคโนโลยี IoT จะทาให้อุปกรณ์นับล้านช้ินสามารถเชื่อมต่อ ถึงกันได้ และการควบคุมต้องอาศัยการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Microcotroller ซึ่ง ไม่เหมือนกบั ซอฟตแ์ วร์ทวั่ ไปๆ เนื่องจาก Microcontroller นั้นมพี ลังในการประมวลผล ที่ต่าและจาเป็นต้องประหยัดพลังงานอยู่เสมอ ทาให้นักพัฒนาต้องมีความรู้ความเขา้ ใจ ในส่วนน้ี และมีทักษะในการพัฒนาซอฟต์แวร์บน Arduino และเคยใช้งานเซ็นเซอร์ ตา่ ง ๆ ความตอ้ งการผูท้ มี่ คี วามรู้ทักษะดา้ นนี้ จะเป็นทตี่ อ้ งการเพ่ิมข้ึนอยา่ งมากถงึ 225 เปอร์เซน็ ต์ 3. ซอฟตแ์ วร์ออโต้แคด (AutoCAD) ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบทางวิศวกรรม โดยซอฟต์แวร์นี้จะถูก ออกแบบอุปกรณ์ IoT ในการออกแบบเป็นไปตามมาตรฐานสากล ทาให้อุปกรณ์ สามารถตอบโจทย์การใช้งานทั้งรูปร่างและประโยชน์ ทาให้ตลาดแรงงานมีความ ต้องการผ้เู ชยี่ วชาญซอฟตแ์ วร์น้ี เพ่มิ ข้ึนถึง 216 เปอร์เซน็ ต์ 4. เคร่อื งจกั รการเรยี นรู้ (Machine Learning) คอื เทคโนโลยีที่มีการเรียนรเู้ พิ่มความสามารถใหร้ ะบบมีความฉลาดใน การทางานมากข้ึน โดยการพฒั นากระบวนการจะต้องมีการ Data Scientists ทส่ี ามารถ ออกแบบอัลกรอริทึมในการสร้างเครื่องจักรการเรียนรู้ จะต้องช่วยในการตรวจจับ รูปแบบของข้อมลู ท่มี าจากอปุ กรณ์ IoT และนาผลลพั ธ์ที่ไดจ้ ากการวเิ คราะห์ผา่ นอัลกรอริทึม

เทคโนโลยีคอมพิวเตอรแ์ ละการส่ือสารข้อมลู | 70 มาประยุกต์ใช้งานต่อได้ ปัจจุบันมีความต้องการผู้ที่มีความรู้ทักษะนี้เพิ่มขึ้นถึง 199 เปอรเ์ ซน็ ต์ 5. โครงสร้างพืน้ ฐานความปลอดภยั (Security Infrastructure) ก า ร เ พิ่ ม ข้ึ น ข อ ง ข้ อ มู ล ท า ใ ห้ ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ความม่ันคงจึงเป็นสิ่งสาคัญ เช่น ความปลอดภัยของอุปกรณ์ต่าง ๆ ซ่ึงจะเป็นความ ปลอดภัยของขอ้ มลู ท้ังหมด ดังน้นั ในยคุ ปจั จบุ ัน หากองค์กรใดทีม่ ีประสบการณ์ด้านการ กาหนดความปลอดภัยของเครือข่ายก็จะสามารถปรับตัวตามเทคโนโลยไี ด้รวดเรว็ ย่ิงขึ้น ผู้ท่ีมีทักษะทางด้านความปลอดภัยเครือข่ายและนักพัฒนาระบบท่ีสามารถพัฒนาแอป พลิเคชันสาหรับพัฒนา Platform IoT เป็นหลักจึงมีความต้องการเพ่ิมมากข้ึนถึง 194 เปอร์เซน็ ต์ 6. ขอ้ มูลขนาดใหญ่ (Big Data) เทคโนโลยที างดา้ น IoT ท่กี ารใช้งานเพมิ่ มากขนึ้ อย่างรวดเรว็ จากการ เปลี่ยนแปลงน้ีจึงจาเป็นต้องมีนักวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางด้านธุรกิจ ซ่งึ กระบวนการเหลา่ น้ีจาเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญของนกั วทิ ยาศาสตรข์ ้อมูลเป็นอย่าง มาก เพ่ือทจ่ี ะทาการเกบ็ จดั เรียงและวิเคราะห์ออกมาให้ตรงความต้องการผใู้ ช้งานและ กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ตลาดแรงงานจึงมีความต้องการผู้ที่มีประสบการณ์เทคโนโลยี Hadoop และซอฟต์แวร์ Apache Spark เป็นอย่างมากมีความต้องการเพ่ิมมากข้นึ ถงึ 183 เปอรเ์ ซน็ ต์ 7. วิศวกรรมไฟฟา้ (Electrical Engineering) การสร้างอุปกรณ์ใหมๆ่ ในอนาคตจาเป็นต้องมีความรู้ความเช่ียวชาญ ในด้านซอฟต์แวร์และวิศวกรรมไฟฟ้าไปพร้อมๆกัน เนือ่ งจากการสร้างอุปกรณ์ข้ึนมาจะ เก่ียวข้องกับ Embedded Device สาหรับรองรับการทางานแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ เคลื่อนที่โดยตรงและอุปกรณ์ติดต่อส่ือสารเช่ือมต่อผ่านสัญญาณวิทยุรวมถึงคลื่น ไมโครเวฟต่างๆ ทาให้ตลาดแรงงานต้องการผู้มีความรู้เชี่ยวชาญเพ่ิมมากขึ้นถึง 159 เปอร์เซ็นต์ 8. วิศวกรรมความปลอดภยั (Security Engineering) ความปลอดภัยเป็นข้อกังวลที่สาคัญท่ีสุดสาหรับเทคโนโลยี IoT การที่ข้อมูลถูกโจรกรรมค่อนข้างมากในปัจจุบัน ทาให้ผู้ใช้งานเร่มิ ตระหนักในเร่ืองของ

เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์และการสื่อสารข้อมลู | 71 ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ดังนั้นความปลอดภัยในระบบการใช้งาน IoT นั้นจะต้องได้รับการดูแลและป้องกันต้ังแต่โครงสร้างพ้ืนฐานในการออกแบบ และ การใช้งานในการรับและส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญทักษะนี้ ในด้าน การวิเคราะห์ความปลอดภัยและประสบการณ์ในการประเมินช่องโหว่ที่มีอาจจะมี มากขึน้ สง่ ผลให้มีความต้องการเพิ่มขน้ึ อย่างมากถงึ 124 เปอร์เซ็นต์ 9. การเขียนโปรแกรมบนพ้ืนฐานจาวาสครปิ ต์ (Node.js) เป็นเทคโนโลยี Server-side web development ที่เป็น Open Source โดยในกลุ่มของ IoT จะมีการนาจาวาสคลปิ ต์เรียกว่า Node.js เข้ามาใช้สร้าง ระบบบริหารจัดการอุปกรณ์ IoT นักพัฒนาระบบนิยมใช้เนื่องจากเขียนโค้ดเข้าใจง่าย ใช้ทรพั ยากรนอ้ ยมีความตอ้ งการเพ่ิมขนึ้ อยา่ งมากถึง 86 เปอรเ์ ซ็นต์ 10.การพฒั นาด้วยจพี ีเอส (GPS Development) การใช้งานระบบ GPS เพิม่ ขนึ้ จากปี 2558 อย่างมากถงึ 66 เปอร์เซ็นต์ มีการคาดการณ์ว่าจะมีเติบโตมากกว่าเดิม มีอุปกรณ์ท่ีนิยมท่ีเรียกว่า Wearables เช่น สายรดั ทีน่ บั การเดินจากระบบจพี เี อสนาฬิกาติดตามตัว ปลอกคอสุนขั เป็นตน้ ตวั อย่างการใชง้ านอนิ เทอร์เนต็ ในทกุ สรรพสิง่ การนาเทคโนโลยี IoT มาใช้ในประเทศไทย งานวิจัยจาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ช่ือว่า NETPIE (Network Platform for Internet of Everything) คอื แพลตฟอร์มท่ีถูกออกแบบและ พัฒนาขึ้น เพ่ืออานวยความสะดวกให้เกิดการส่ือสารระหว่างอุปกรณ์ ในยุค IoT มีประโยชน์ต่อนักพัฒนาและอุตสาหกรรมไทย ช่วยให้อุปกรณ์สามารถเช่ือมโยงได้ โดยการนา NETPIE library ไปติดต้ังในอุปกรณ์ NETPIE ทาหน้าที่ดูแลการเช่ือมต่อให้ ท้ังหมด ไม่ว่าอุปกรณ์น้ันจะอยู่ในเครือข่ายชนิดใด ลักษณะใดออกแบบการเข้าถึง อุปกรณ์จากระยะไกล โดยไม่ต้องกาหนดค่าหมายเลขการใช้งานทุกคร้ังที่ใช้งาน ลดความยุ่งยากในการทางานของอุปกรณบ์ นเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต

เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรแ์ ละการสอ่ื สารขอ้ มลู | 72 คุณสมบตั กิ ารทางานของ NETPIE มีดงั น้ี 1) ออกแบบใหอ้ ปุ กรณถ์ ูกคน้ พบและเข้าสบู่ ริการแบบอัตโนมัติ 2) ถูกออกแบบให้มีการจากัดสิทธ์ิการเข้าถึงอุปกรณ์โดยผู้พัฒนา สามารถออกแบบไดเ้ องทงั้ หมด 3) มีสถาปัตยกรรมเป็นเทคโนโลยกี ารประมวลผลแบบคลาวด์ อย่าง แทจ้ รงิ ในทุกๆ ระดบั ของระบบ ทาใหเ้ กิดความยดื หย่นุ และคลอ่ งตัวสงู ในการขยายตัว 4) โมดูลต่าง ๆ ถกู ออกแบบให้ทางานแยกจากกันอยา่ งอิสระ ชว่ ยให้ แพลตฟอรม์ มีเสถยี รสภาพสูง สามารถนาไปใช้ซา้ หรือตอ่ เติมไดง้ า่ ย 5) NETPIE library จัดทาในรูปแบบรหัสแบบเปิด ทาให้นักพัฒนา สามารถนาไปปรับปรุงต่อให้ตรงกับความต้องการใช้งานโดยเปิดโอกาสให้นาไปใช้ใน เชงิ พาณชิ ย์ได้ ตามวัตถปุ ระสงคข์ อง NECTEC หวงั ท่ีจะให้เกิดการรว่ มกนั พัฒนาต่อยอด สร้างความเข้มแข็งให้กับวงการ IoT ในประเทศไทย ดังภาพที่ 1.96 แสดงภาพรวมการ ใชเ้ ครือขา่ ย NETPIE ทมี่ กี ารใหบ้ ริการเครือขา่ ย IoT กับอปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ ภาพที่ 1.96 ภาพรวมการใช้บรกิ ารเครือขา่ ย NETPIE (ทีม่ า : https://netpie.io/)

เทคโนโลยีคอมพิวเตอรแ์ ละการส่ือสารขอ้ มูล | 73 จากภาพที่ 1.96 แสดงการใช้บริการเครือข่าย NETPIE และ ภาพที่ 1.97 แสดงการสรา้ งแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟน ท่ีทาการควบคมุ อปุ กรณ์เซ็นเซอร์ อุณภูมิ แสง ความชื้น ในรูปแบบการรายงานแสดงข้อมูลแจ้งสถานะกลับมายัง แอปพลเิ คชัน ภาพที่ 1.97 การพัฒนาแอปพลิเคชนั กบั อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (ที่มา: https://www.nectec.or.th/innovation/innovation- software/netpie.html)

เทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละการสื่อสารขอ้ มลู | 74 บทสรปุ จากทไ่ี ด้กลา่ วรายละเอยี ดความรูพ้ นื้ ฐานเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน จะประกอบด้วย 2 องค์ประกอบด้วยกัน องค์ประกอบที่หน่ึงคือ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ คือ กระบวนการประยุกต์ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการประมวลผลและคานวณเพื่อให้ได้สารสนเทศ ซึ่งมีองค์ประกอบพื้นฐาน คือ 1. ฮารด์ แวร์ (Hardware) 2. ซอฟตแ์ วร์ (Software) 3. บุคลากร (Peopleware) 4. ระเบียบปฏบิ ตั ิ (Procedure) 5. ข้อมูล (Data) องค์ประกอบที่สองคือ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล คือกระบวนการใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มาประยกุ ต์ใชส้ าหรับการส่ือสารหรอื การเผยแพรส่ ารสนเทศ ไปยังผใู้ ชใ้ นแหล่งอน่ื ๆ โดยการมรี ูปแบบต่างๆ ใช้อุปกรณ์เพ่ือการติดต่อสอ่ื สารข้อมูล มีส่วนประกอบ คือ 1. ผู้ส่งข้อมูล (Sender) 2. ผู้รับข้อมูล (Receiver) 3. ข้อมูล (Data) 4. สื่อนาขอ้ มลู (Medium) 5. โพรโทคอล (Protocol) การติดต่อส่ือสารมีรูปแบบทิศทางของการสื่อสารข้อมูล 3 ทิศทาง คือ แบบทิศทางเดียว แบบกึ่งสองทิศทางและแบบสองทิศทาง ในการส่ือสารข้อมูล จะต้องมีการกาหนดตัวกลางการสื่อสารทาหน้าท่ีส่งข้อมูลระหว่างผู้รบั และส่งข้อมูล โดยมีสอื่ กลาง 2 แบบ คอื สอื่ กลางรูปแบบมสี าย เชน่ สายคู่บดิ เกลียว สายเคเบลิ ร่วม แกนกลางและสายเส้นใยนาแสง เป็นต้น และส่ือกลางแบบไร้สายที่นิยมใช้ในยุค ปัจจุบัน เช่น คล่ืนวิทยุ คลื่นแสง คลื่นไมโครเวฟ และรูปแบบดาวเทียม เป็นต้น โดยการแลกเปล่ียนข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้แบ่งประเภทของเครือข่าย 3 ประเภท คือ เครือข่ายระยะใกล้หรือระดับท้องถิ่น เครือข่ายระดับเมือง และ เครอื ขา่ ยระยะไกล เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Network) คอื เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ท่ีมี การใช้บริการท่ัวโลกขนาดใหญ่ที่สุด เกิดจากการเช่ือมเครือข่ายย่อยจานวนมาก ด้วยกัน สามารถส่งข้อมูลสารสนเทศแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ไม่จากัดระยะทาง สถานท่ี โดยมีการใชโ้ พรโทคอลเป็นสอ่ื กลางในการติดต่อสอ่ื สารท่ีเรียกวา่ โพรโทคอลทซี พี ี/ไอพี

เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรแ์ ละการสือ่ สารข้อมูล | 75 แบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 1 ตอนท่ี 1 ตอบคาถามดังตอ่ ไปน้ี 1. อธบิ ายความหมายเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. อธิบายการนาเอาระบบเครอื ข่ายมาใช้งานมีประโยชน์อยา่ งไร 3. ประเภทคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท พร้อมอธิบายลักษณะการทางานหลักของ แตล่ ะประเภท 4. องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์มีก่ีองค์ประกอบ พร้อมอธิบายหลักการ ทางานของแต่ละองค์ประกอบมาพอสังเขป 5. อธิบายความหมายของเทคโนโลยกี ารส่ือสารขอ้ มลู 6. อธิบายประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์มอี ะไรบ้าง 7. อธิบายพร้อมยกตัวอย่างการทางานของตัวกลางการส่ือสารมีก่ีประเภท แต่ละ ประเภทมีอะไรบ้าง 8. อธิบายเครือข่ายระยะใกล้หรือระดับท้องถ่ินมีการเช่ือมต่อรูปแบบอะไรบ้างมี การทางานอย่างไรบ้าง ตอนท่ี 2 กากบาทขอ้ ทถ่ี ูกตอ้ งท่สี ุด 1. ขอ้ ใดเป็นคอมพิวเตอร์ทีม่ ีจุดเด่นเร่ืองการประมวลผลที่มีอัตราความสูงสุดใช้งาน ประมวลผลทซี่ บั ซ้อนทางดา้ นวิทยาศาสตร์ ก. ไมโครคอมพวิ เตอร์ ข. ซเู ปอร์คอมพิวเตอร์ ค. เมเฟรมคอมพิวเตอร์ ง. มนิ คิ อมพวิ เตอร์ จ. พีซคี อมพวิ เตอร์

เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์และการส่อื สารขอ้ มลู | 76 2. ข้อใดคืออุปกรณร์ บั ขอ้ มูลทั้งหมด ก. Pointer, Speaker, Hard Disk External ข. Mouse, Scanner, Pen Leaser ค. Projector, Flash driver, Microphone ง. CD-ROM, Microprocessor, ROM จ. RAM, Sound card, Headphone 3. ส่วนประกอบของฮาร์ดแวรม์ ีก่สี ่วนประกอบ ก. 2 สว่ น ข. 3 สว่ น ค. 4 ส่วน ง. 5 ส่วน จ. 6 สว่ น 4. ข้อใดคือหน่วยความจาท่ีใช้เก็บข้อมูลในการจัดการระบบฮาร์ดแวร์ ท่ีอาศัย กระแสไฟในการทางานเป็นหลกั คอื ข้อใด ก. ROM ข. RAM ค. CMOS ง. FMOS จ. SMOS 5. บคุ คลใดทาหนา้ ท่ีวางแผน ออกแบบระบบระบบสารสนเทศ ก. นกั เขียนเทคนคิ (Technical writer) ข. วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software engineer) ค. ผู้บรหิ ารเครอื ข่าย (Network administrator) ง. ผูบ้ รหิ ารฐานขอ้ มูล (Database administrator) จ. นักวเิ คราะห์ระบบ (System analyst) 6. บุคคลใดทาหน้าท่ีวางแผนบริหารจัดการระบบฐานขอ้ มลู (ใช้คาตอบขอ้ 5) 7. Windows, Macintosh, iOS, Unix เรียกว่าอะไร ก. ระบบปฏบิ ตั กิ าร ข. โปรแกรมประยุกต์ ค. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ง. โปรแกรมเบราวเ์ ซอร์ จ. โปรแกรมอเนกประสงค์

เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์และการสื่อสารขอ้ มูล | 77 8. อุปกรณ์ใดใชค้ ลนื่ ไมโครเวฟในการส่ือสารข้อมลู ก. โทรศพั ท์ ข. โทรทศั น์ ค. วิทยุ ง. วิทยสุ อื่ สาร จ. บลูทธู 9. ขอ้ ใดคือข้อตกลงและกฎระเบยี บที่ใช้ในการสือ่ สารขอ้ มูล ก. อตั ราความเร็ว ข. แพ็กเก็ต ค. โพรโทคอล ง. แบนดว์ ดิ ท์ จ. บิต 10. ข้อใดคือซอฟตแ์ วร์อรรถประโยชน์ (Utility) ก. Connect to a project ข. Disk Cleanup ค. Remote Access ง. Note pad จ. Paint 11. โทรศพั ทเ์ ป็นทิศทางการสื่อสารแบบใด ก. ทิศทางเดยี ว ข. สองทิศทาง ค. กึง่ สองทิศทาง ง. ขอ้ ก และ ค ถูกตอ้ ง จ. ขอ้ ก. และ ข ถูกตอ้ ง 12. ขอ้ ใดคอื อุปกรณ์แสดงผลขอ้ มลู ก. แป้นพิมพ์ ปากกาเลเซอร์ ข. ไมโครโฟน เมาส์ ค. เครือ่ งพมิ พ์ เครื่องอา่ นพกิ ดั ง. เครอื่ งสแกนเนอร์ กลอ้ งดจิ ทิ ลั จ. เคร่ืองพมิ พ์ เครือ่ งฉายภาพ

เทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละการส่ือสารข้อมูล | 78 13. ข้อใดไม่ใชอ่ งคป์ ระกอบของระบบคอมพิวเตอร์ ก. ขอ้ มูล ข. สถานท่ี ค. ฮาร์ดแวร์ ง. บุคลากร จ. ซอฟตแ์ วร์ 14. สว่ นใดของคอมพวิ เตอร์ที่ทาหนา้ ท่ีเพยี งเปรยี บเทียบตรรกะและการคานวณ ก. Memory ข. CPU ค. CU ง. ALU จ. Input Unit 15. องค์ประกอบของเทคโนโลยีการสอ่ื สารข้อมลู มอี งค์ประกอบใดบ้าง ก. ผ้สู ่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมลู และผรู้ ับหรืออุปกรณ์ข้อมลู ข. ผ้สู ่งหรืออุปกรณส์ ่งขอ้ มูล ผู้รับหรืออุปกรณข์ อ้ มูล และโพรโทคอล ค. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล ผู้รับหรืออุปกรณ์ข้อมูล โพรโทคอล และ ซอฟต์แวร์ ง. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล ผู้รับหรืออุปกรณ์ข้อมูล โพรโทคอล ซอฟต์แวร์ และขา่ วสาร จ. ผ้สู ่ง ผรู้ ับ โพรโทคอล สอื่ นาขอ้ มลู ข้อมูล

เทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละการส่อื สารข้อมลู | 79 ตอนที่ 3 จบั คู่และเตมิ คาตอบตวั อักษรภาษาอังกฤษหน้าขอ้ ต่อไปนี้ ______ 1. Web master ______ 2. Chief Information Officer ______ 3. CPU ______ 4. ALU ______ 5. เมาส์ ______ 6. ลาโพง ______ 7. ฮาร์ดดสิ ก์ ______ 8. สแกนเนอร์ ______ 9. จอภาพ ______ 10. การประมวลผลแบบกระจาย ______ 11. การประมวลผลแบบรวมศนู ย์ ______ 12. ระบบปฏิบัติการ ______ 13. โปรแกรมประยุกต์ ______ 14. ยุคท่ี 4 (Fourth Generation: ค.ศ.1972-1984) ใช้อุปกรณ์ใดในการ ประมวลผล ______ 15. ประเภทเครื่องไมโครคอมพวิ เตอร์ A. บคุ ลากรออกแบบ พฒั นา เวบ็ ไซต์ B. iOS, Android C. หนว่ ยประมวลผลกลาง D. หน่วยควบคมุ E. บุคลากรบรหิ ารจัดการ วางแผนนโยบายดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ F. บคุ ลากรออกแบบ วเิ คราะหง์ านระบบสารสนเทศ G. หน่วยคานวณและตรรกะ H. อุปกรณร์ บั ข้อมลู I. อปุ กรณแ์ สดงผล J. Microsoft office K. การประมวลผลคอมพวิ เตอรแ์ บบใช้เครอ่ื งคอมพวิ เตอรข์ องตนเอง

เทคโนโลยคี อมพิวเตอรแ์ ละการส่ือสารข้อมลู | 80 L. ชปิ หรือไมโครโพสเซสเซอร์ (Microprocessor) M. Database Server N. Personal computer O. การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายในการประมวลผล เครอ่ื งเดยี วท้ังระบบงาน P. การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์แม่ข่ายประมวลผล หลาย เครอ่ื งมกี ารเชือ่ มโยงเครือขา่ ยในการแบง่ การใช้ทรัพยากรรว่ มกนั Q. อปุ กรณ์เก็บขอ้ มลู สารอง R. ไอซี (Integrated Circuit :IC)

บทที่ 2 ระบบสารสนเทศในองค์กร แนวทางในการบริหารงานขององค์กรในปัจจุบัน ต้องให้ความสาคัญกับการ วิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผลข้อมูล สารสนเทศ เพื่อนาข้อมูลไปประยุกต์ใช้ในการบริหาร จัดการ จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบง่ายการต่อสืบค้นข้อมูล และสามารถเพ่ิมศักยภาพ ประสิทธิการทางานด้วยการจัดทาคลังข้อมูล นาคลังข้อมูลไปวิเคราะห์ปัญหาแต่ละงาน ดังน้ันจะเห็นว่าบทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กรจึงเป็นส่ิงสาคัญยิ่งในการวางแผน ยุทธศาสตร์ควบคู่กับการปฏิบัติงานอื่น ๆ ภายในองค์กร เนื้อหาบทนี้จะกล่าวถึงบทบาท การนาระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใชใ้ นองค์กรมีผลกระทบอย่างไร ระบบสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตสารสนเทศ ผลติ องค์ความรู้ จดั เก็บสารสนเทศอย่างเป็นระบบ ทาให้ผูบ้ รหิ ารได้ให้ความสาคัญในการ วางแผน ออกแบบการทางานหน่วยงานภายใน โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นเครอ่ื งมือ เพ่ิมประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยา มีการลงทุนซ้ือครุภัณฑ์ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ จัดหาซอฟต์แวร์มาช่วยในการบริหารจัดการ วางแผนยุทธศาสตร์ พัฒนา บุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการปฏบิ ัติงาน ให้เป็นไปตามเป้าหมาย พันธกิจของ องค์กร ทิศทางแนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร มีการเปลี่ยนแปลงและ มีวิวัฒนาการปรับตัวอย่างรวดเร็ว องค์กรจึงต้องตระหนักและเปิดใจเตรียมความพร้อม ในการจัดสรรทรพั ยากร เพอื่ รองรับการใช้งานใหม่ๆ ของเทคโนโลยปี ัจจบุ ัน ความรเู้ ก่ยี วกบั สารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมายถึงข้อมูลท่ีนามาประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ สารสนเทศและนาสารสนเทศไปใช้ประโยชน์ในองค์กรต่อไป เช่น การประมวลผลสรปุ การทางานรายเดือน การประมวลผลเงินล่วงเวลา ดังนนั้ การทางานระหวา่ งข้อมูลและ สารสนเทศคือการนาเอาข้อมูลที่สนใจมาประมวลผล ผลลัพธ์คือสารสนเทศท่ีสามารถ นาไปใช้สนับสนนุ การตัดสนิ ใจ ดงั ภาพท่ี 2.1 ข้อมลู ประมวลผล สารสนเทศ ภาพท่ี 2.1 การประมวลผลสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 82 1. สาเหตุทาให้เกิดสารสนเทศ กระบวนการทางานขององค์กรจะต้องมีการผลิตสารสนเทศเพื่อใช้ สนบั สนุนการตัดสนิ ใจมีปจั จัยหลกั ดังตอ่ ไปนี้ 1.1 พัฒนาการของความรู้ ส่ิงประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ เม่ือมี วิทยาการความรู้ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทาให้เกิดสารสนเทศตามมาเพื่อเผยแพร่ สารสนเทศไปยงั แหล่งตา่ ง ๆ 1.2 พัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสาคัญในการ ผลิตสารสนเทศ ให้มีประสิทธิภาพการทางาน เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และสามารถ ที่นามาใชใ้ นการผลิตสารสนเทศใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ขน้ึ 1.3 การพัฒนาด้านเทคโนโลยีการส่ือสาร การส่ือสารในยุคดิจิทัลช่วย อานวยความสะดวกในการเผยแพร่สารสนเทศไปยังแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถรับทราบเหตุการณ์และข่าวสารที่เกิดข้ึนในเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงที่ เกดิ ขึน้ 1.4 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพิมพ์ นับเป็นเทคโนโลยีท่ีพัฒนา ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร เทคโนโลยีการพิมพ์มีประสทิ ธิภาพสงู ช่วยในการผลติ สารสนเทศในปริมาณมากในเวลาอันส้นั เพม่ิ ความรวดเร็วในการทางาน มากขน้ึ 1.5 ความจาเป็นในการใช้สารสนเทศในยุคปัจจุบันการศึกษาหาข้อมูล สารสนเทศจากแหลง่ ข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ มคี วามสาคัญต่อประชาชนในปัจจุบัน มาก มกี ารศกึ ษาหาข้อมลู ท่ีตนเองต้องการเพ่อื เป็นข้อมูลประกอบการแก้ไขปญั หา 2. ขน้ั ตอนการผลติ สารสนเทศ ข้ันตอนการผลิตสารสนเทศตามกระบวนการนาข้อมูลมาประมวลผล และ ได้สารสนเทศ สามารถนาสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ มีข้นั ตอนดังน้ี 2.1 การรวบรวม (Capturing) เป็นการดาเนินการเพ่ือรว บร วม และบันทึกข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง เพ่ือการประมวล เช่น การบันทึกไว้ใน

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 83 แฟ้มเอกสาร หรือด้วยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ การรวบรวมทาได้โดยการสังเกต ความสมั พันธ์ การทาแบบสอบถาม การทดสอบและการใช้แบบสารวจขอ้ มูลทไ่ี ด้ 2.2 การตรวจสอบ (Verifying) เป็นขั้นตอนสาคัญในระบบการผลิต สารสนเทศ ทาข้ึนเพ่ือให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ ได้รับการรวบรวม และบันทึกเอาไว้อย่าง ถูกตอ้ ง 2.3 การจาแนก (Classifying) เป็นการกาหนดหลักการแบ่งประเภทเปน็ หมวดหมู่หรือกลุ่มตามคุณสมบัติข้อมูล ในลักษณะที่เหมาะสม มีความหมายและเป็น ประโยชนแ์ ก่ผใู้ ช้ โดยการกาหนดส่งิ ที่เหมอื นกนั ไว้ดว้ ยกัน 2.4 การจัดเรียงลาดับ (Arranging) ภายหลังท่ีมีการจาแนกข้อมูลและ การกาหนดรหัสข้อมูล จาเป็นต้องจัดวางโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล เพื่อสะดวกต่อการ สบื คน้ ข้อมลู และจดั ลาดบั ข้อมูล 2.5 การสรุป (Summarizing) เป็นการจัดรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน หรือแบ่งกลุ่มข้อมูล และรวบยอดของแต่ละกลุ่ม เพื่อเตรียมคานวณหาค่าดัชนี หรือสารสนเทศในขั้นต่อไป การสรุปหรือการรวบรวมข้อมูลน้ี มีประโยชน์ในการ ตรวจสอบความมีนัยสาคัญของข้อมูลอกี ดว้ ย 2.6 การคานวณ (Calculating) เป็นข้ันตอนสาคัญท่ีจะจัดการทาข้อมูล ให้เป็นสารสนเทศที่อาศัยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ มากระทากับข้อมูล อาจจะใช้ เคร่อื งคอมพิวเตอร์ในการช่วยคานวณเพ่ือความสะดวกและรวดเรว็ ได้ 2.7 การจัดเก็บ (Storing) ข้ันตอนของการบันทึกสารสนเทศลงสื่อหลาย ชนดิ เปน็ จานบันทกึ แบบแข็ง (Hard disk) เพอ่ื ใหง้ า่ ยแกก่ ารจดั เก็บ และใหบ้ ริการอย่าง มคี ณุ ภาพ และทนั ตอ่ ความต้องการของผู้ใช้ 2.8 การเรียกเก็บ (Retrieving) เป็นกระบวนการค้นหา และดึงข้อมูลท่ี ต้องการออกจากส่ือ ท่ีใช้เพ่ือปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน หรือเพ่ือให้บริการและ คาตอบแก่ผใู้ ช้ ในการจดั เรียงลาดับข้อมูลภายในแฟ้ม 2.9 การเผยแพร่ (Disseminating and Reproducing) คือการเผยแพร่ สารสนเทศให้กับผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆ ทาในแบบเอกสาร รายงานหรือการเสนอ บนจอภาพโดยใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ส่ิงสาคัญคือการกาหนดและออกแบบรายงาน สารสนเทศทส่ี ามารถสนองความต้องการของผู้ใชไ้ ด้

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 84 ระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศหมายถึง กระบวนการประมวลผลโดยการนาเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์มาช่วยประมวลผลข้อมูล เพื่อนาสารสนเทศไปใช้ในการสนับสนุน การตัดสินใจ บริหารจัดการ วางแผน ควบคุมการทางานภายในองค์กร โดยใช้ องค์ประกอบของระบบในการประมวลผลข้อมูลได้แก่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบ เครือข่าย ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ ทุกองค์ประกอบนี้ทางานร่วมกันเพ่ือ กาหนด รวบรวม จดั เกบ็ ขอ้ มูล ประมวลผลขอ้ มูลเพื่อสรา้ งสารสนเทศ และส่งผลลัพธ์ให้ ผู้ใช้เพ่ือช่วยสนับสนุนการทางาน การตัดสินใจ การวางแผน การบริหาร การควบคุม การวิเคราะหแ์ ละตดิ ตามผลการดาเนินงานขององคก์ ร 1. ววิ ัฒนาการระบบสารสนเทศ วิวัฒนาการระบบสารสารเทศจากอดีตถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นกระบวนการ นาระบบสารสนเทศมาใช้ประยุกต์ใช้ในองค์กรรวมถึงแสดงแนวโน้มการทางานของระบบ สารสนเทศ จากจุดเริ่มต้นของการนาเทคโนโลยีมาช่วยในการอานวยความสะดวก ในการบริหารจัดการงาน ในยุคแรกจึงเป็นการนาเทคโนโลยีมาช่วยคานวณจัดเก็บข้อมูล เป็นหลัก ตอ่ มาในยุคทส่ี องคอื การนาระบบสารสนเทศมาช่วยบรหิ ารจัดการ นาสกู่ ารสรุป รายงานผล วเิ คราะห์สารสนเทศเพ่อื สนับสนุนการทางานด้านการวางแผนและช่วยในการ ตัดสนิ ใจของผู้บริหาร และยุคปจั จบุ นั ไดน้ าระบบสารสนเทศมาใช้เป็นนโยบายหลกั ในการ ขบั เคลอื่ นองค์กร ในการแข่งขันเชิงนโยบาย การดาเนินงานธุรกิจขององค์กร เชน่ การใช้ ระบบสารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการองค์กรด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุน หรอื ความตอ้ งการของผู้ใชง้ าน เป็นต้น ตารางที่ 2.1 ววิ ฒั นาการการใชร้ ะบบสารสนเทศ ตารางที่ 2.1 ววิ ฒั นาการการใช้ระบบสารสนเทศ ยคุ ลักษณะการใช้งาน ผลลพั ธ์ บุคลากร การประมวลผล น าเทค โ นโ ล ยี มาใช้ ในการ อ า น ว ย ค ว า ม ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ประมวลผล คานวณและจัดเก็บ สะดวกในการ ข้อมูล มีการจัดการบนระบบ ประมวลผลงาน ฐานขอ้ มลู ประจาวัน ซ้าๆ กนั

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 85 ตารางท่ี 2.2 ววิ ฒั นาการการใชร้ ะบบสารสนเทศ (ต่อ) ยุค ลักษณะการใชง้ าน ผลลพั ธ์ บคุ ลากร ระบบสารสนเทศ นาระบบสารสนเทศ มาช่วยใน เพม่ิ ศักยภาพ ผูป้ ฏบิ ัตงิ าน เพื่อการจัดการ การบริหารจัดการวางแผน และ ด้านการ และผู้บริหาร รายงานผลสนับสนุนการตัดสินใจ ตดิ ต่อสอื่ สาร การดาเนนิ งานขององคก์ ร โทรคมนาคม ระบบสารสนเทศ นาระบบสารสนเทศมาวิเคราะห์ - ความไดเ้ ปรียบ บคุ ลากร เชงิ กลยุทธ์ วางแผนเชิงยุทธศาสตร์ และใช้ ในการแข่งขัน ทุกระดับ ในการบริหารสนับสนุนการ และเพม่ิ ดาเนินงานขององค์กร ประสิทธิภาพ - เพ่มิ ขีดความ สามารถในการ เขา้ ถงึ สารสนเทศ รองรบั ความ เปลยี่ นแปลงใน ยคุ ของระบบ สารสนเทศ ครอบคลุมท่วั โลก 2. ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ พ้ืนฐานการใช้งานระบบสารสนเทศจะมีองค์ประกอบท่ีเกิดจากการทางานใน แต่ละส่วน ซ่ึงความสัมพันธ์แต่ละองค์ประกอบจะมีความสอดคล้องกัน ทาให้เกิดระบบ สารสนเทศในการดาเนินงาน โดย Stair and Reynolds (2006) ได้ใหน้ ยิ ามส่วนประกอบ ทั้งหมด 6 ส่วนประกอบ คือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากร โทรคมนาคม ฐานข้อมูล กระบวนการ ดังภาพที่ 2.2 แสดงส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ หากขาดส่วนใด ส่วนหนึ่งของสว่ นประกอบระบบสารสนเทศก็จะไม่สมบรู ณ์

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 86 เช่น ขาดฮาร์ดแวร์ก็ไม่สามารถประมวลผลได้ ขาดโทรคมนาคมก็จะไม่มีการระบบการ สื่อสารขอ้ มูล เปน็ ตน้ ดงั นัน้ ระบบสารสนเทศจงึ ตอ้ งให้ความสาคญั ในการทางานแต่ละ สว่ นประกอบดังนี้ 2.1 ฮารด์ แวร์ ฮารด์ แวร์ (Hardware) คอื อปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการประมวลผลข้อมลู ในระบบ สารสนเทศ มีส่วนประกอบหลัก 6 ส่วนคือ อุปกรณ์รับข้อมูล หน่วยประมวลผลกลาง หนว่ ยความจา อุปกรณแ์ สดงผล อุปกรณเ์ ก็บข้อมลู สารอง อปุ กรณ์การส่อื สาร โดยการ เลือกฮาร์ดแวร์ให้เหมาะกบั การใชง้ าน 2.2 ซอฟตแ์ วร์ ซอฟต์แวร์ (Software) คือโปรแกรมหรือคาส่ังท่ีทาหน้าท่ีแปลงข้อมูล คาสั่งท่ีบอกให้คอมพิวเตอร์รู้และปฏิบัติตามขั้นตอนและกระบวนการทางานต่าง ๆ มี 2 ประเภท ซอฟต์แวร์ระบบ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ ดังรายละเอียดบทที่ 1 ที่ได้ กลา่ วถงึ ประเภทและความหมายของซอฟตแ์ วร์แตล่ ะประเภท 2.3 บุคลากร บุคลากรมีบทบาทในการดาเนินระบบสารสนเทศ เป็นกลไกสาคัญใน การดาเนนิ งาน ซงึ่ บุคลากรจะตอ้ งมคี วามเข้าใจในการทางานระบบสารสนเทศ มีทกั ษะ และความรู้ ในการดาเนินงานของระบบสารสนเทศ จึงจะทาให้องค์กรสามารถ ขับเคล่ือนการทางานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งขึน้ 2.4 โทรคมนาคม โทรคมนาคมคือการติดต่อสื่อสารข้อมูลในระยะไกล บนระบบเครือข่าย การคอมพิวเตอร์และการส่ือสารข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง โดยในการ ดาเนินงานมีอุปกรณ์เครือข่าย และอุปกรณ์โทรคมนาคมในการบริหารจัดการ เช่น อุปกรณ์กระจายสญั ญาณ อปุ กรณ์ชี้เสน้ ทาง เป็นต้น 2.5 ฐานขอ้ มูล ฐานข้อมลู คือกล่มุ ข้อมูลที่มคี วามสมั พนั ธแ์ ละจัดเกบ็ ขอ้ มูลเปน็ กลุม่ ข้อมูล เดียวกนั อยา่ งเปน็ ระบบ เชน่ ฐานข้อมลู ลกู คา้ ฐานข้อมูลสนิ คา้ เป็นตน้

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 87 2.6 กระบวนการ รูปแบบวิธีการปฏิบัติงาน ข้ันตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบบ สารสนเทศ โดยการบริหารจัดการระบบสารสนเทศแต่ละองค์กรมีหลักดาเนินตาม นโยบายภายในองค์กร ฮาร์ดแวร์ • อปุ กรณป์ ระมวลขอ้ มูล กระบวนการ ซอฟต์แวร์ • รูปแบบวธิ ีการดาเนินงาน • แอปพลิเคชันในการบรหิ ารจัดการระบบ สารสนเทศ ฐานขอ้ มลู • กลุ่มขอ้ มูลที่รวบรวมอยา่ งเปน็ ระบบ บคุ ลากร • ผู้ปฏบิ ตั งิ านเกีย่ วขอ้ งกบั ระบบสารสนเทศ โทรคมนาคม • อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม อุปกรณเ์ ครอื ขา่ ย คอมพวิ เตอร์ ภาพท่ี 2.2 ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ 3. การระบบสารสนเทศในองคก์ ร การนาระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจดั การ เปน็ อกี เคร่ืองมือ ท่ีผู้บริหารและบุคลากรนิยมใช้เป็นเครื่องมือในการดาเนินงาน ทั้งภาครัฐบาลและ ภาคเอกชนได้นาระบบสารสนเทศมาประยกุ ตใ์ ชเ้ พือ่ วางแผนและบริหารจัดการ การทางานของระบบสารสนเทศเป็นการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อ จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถจัดเก็บสืบค้นข้อมูลได้รวดเร็ว ช่วยในการ ประสานงานมีประสิทธิมากขึ้น สามารถลดขั้นตอนการทางานในรูปแบบเอกสาร เปล่ยี นเป็นการใช้ข้อมูลและใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ระบบสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 88 สามารถกาหนดสิทธิ์การใช้งานได้ ทาให้ผ้บู ริหารนาข้อมูลระบบสารสนเทศมาช่วยในการ ตัดสนิ ใจ ควบคุมการทางานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นการนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดขั้นตอนท่ีซ้าซ้อน ถูกนาไปใช้ เพื่อช่วยในกระบวนการทางานแบบอิเลก็ ทรอนิกส์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาที่ต้อง ใช้ในการให้บริการรวดเร็วย่ิงขึ้น การเพ่ิมประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทคโนโลยี สารสนเทศช่วยใหเ้ กดิ ความยดื หยุน่ และสามารถตอบสนองความต้องการของลกู คา้ หรือ ผู้ใช้บริการได้ ทาให้ลูกค้าสามารถติดต่อสอบถามหรือเลือกซื้อ เลือกบริโภคสินค้า ผลิตภณั ฑต์ รงความตอ้ งการมากข้ึน สะดวกและคล่องตวั ในการดาเนินงาน การนาเทคโนโลยีมาเพิ่มช่องทางการสื่อสาร สามารถโต้ตอบกับ ผใู้ ช้บริการ ลูกค้าตลอดเวลา นาขอ้ มลู ทีใ่ ห้บริการมาวิเคราะหว์ างแผนการตลาดได้ การ จดั เก็บขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบเปน็ การเพ่มิ ศกั ยภาพในพฒั นาองคก์ รสามารถสืบค้นข้อมูล ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพและสะดวกรวดเรว็ 4. บทบาทของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเป็นกระบวนการนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ กระบวนการส่ือสารข้อมูล มาช่วยในการบริหารจัดการระหว่างผู้ให้บริการและ ผู้ใช้บริการ ท้ังช่วยในการจัดเก็บข้อมูลประมวลผล วิเคราะห์ปัญหา วางแผน ดาเนินงาน สนับสนุนการตัดสินใจ ทาให้ระบบสารสนเทศมีบทบาทในการบริหาร สาหรับองคก์ ร มีประเดน็ หลกั ดงั ต่อไปน้ี 4.1 บทบาทของการเพมิ่ ศกั ยภาพการแขง่ ขนั ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในยุคของการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารข้อมูล ถือว่าเป็นพ้ืนฐานในการดาเนินงาน ดังนั้น การมีเครื่องมือช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถสืบค้นข้อมูล ศึกษาหาข้อมูลที่สนใจ การ เข้าถึงข้อมูลที่สนใจเป็นปัจจัยสาคัญในการแขง่ ขนั อย่างย่ิง ในภาวะทม่ี กี ารแข่งขัน สูงน้ีทาให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเล็งเห็นความสาคัญในการใช้ระบบสารสนเทศมา ชว่ ยในการวางแผนกลยุทธ์การดาเนินงาน เช่น การสร้างภาพลักษณ์แนะนาสินค้า หรือการให้ความสาคัญกับผู้ใช้งานด้วยการจัดเก็บข้อมูลในการติดต่อส่ือสารจนมี การส่งั ซ้อื สนิ คา้ หรอื บริการ เป็นต้น

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 89 4.2 บทบาทการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เทคโนโลยีปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของผู้ใช้ ตลอดเวลา วิวฒั นาการด้านเทคโนโลยีทาให้องค์กรจะต้องเพม่ิ ขีดความสามารถให้ มีความโดนเด่น น่าสนใจ จูงใจแก่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ดังนั้นการนาระบบ สารสนเทศมาวิเคราะห์แนวโน้มความตอ้ งการ ศกึ ษาพฤตกิ รรมกลุม่ เป้าหมายจะมี เพ่ิมมากขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการเปล่ียนแปลงรูปแบบใหม่ของ องคก์ รจะชว่ ยเพ่ิมประสิทธิภาพการบรหิ ารจัดการเพ่ิมขนึ้ 4.3 บทบาทเพิ่มศกั ยภาพการช่องทางการเขา้ ถงึ ข้อมูล การประยุกต์ใช้ระบบสารเทศในการบริหารจัดการในการให้บริการ ข้อมูลเข้าถึงข้อมูลสาหรับผู้ใช้บริการ บุคลากร ผู้บริหาร ในยุคปัจจุบันที่มีการ แข่งขันสูง การให้บริการระบบสารสนเทศที่ผู้ใช้บริการสามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ ต้องการอย่างรวดเร็ว สะดวก ทุกที่ทุกเวลาและทันต่อเหตุการณ์ ทาให้ตรงต่อ ความต้องการของผู้ใช้บรกิ าร เกดิ ศกั ยภาพสูงในการบรหิ ารจัดการให้เหมาะสมกับ การใช้งาน อีกทั้งผู้บริหารและผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมความม่ันคง ความปลอดภยั ของระบบสารสนเทศทต่ี ้องการได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 4.4 บทบาทการปรบั เปลี่ยนรูปแบบการบรหิ ารองคก์ ร ความเจริญเติบโตของเทคโนโลยีท่ีทันสมัย มีความก้าวหน้าอย่าง รวดเร็วส่งผลใหล้ ูกคา้ กลุ่มผ้ใู ชบ้ ริการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมการใชบ้ ริการ ดังน้ัน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการขององค์กรจึงต้องเปล่ียนไปตามความ ต้องการผู้กลุ่มลกู ค้าหรอื ผู้ใช้บรกิ าร จงึ สง่ ผลใหอ้ งค์กรต้องนาระบบสารสนเทศเข้า มาเป็นเคร่ืองมือในการบริหารจัดการการใช้บริการสารสนเทศท้ังภายในองค์และ ภายนอกองค์กร อย่างต่อเน่ืองและทันสมัย โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องเข้ามาติดต่อที่ สานกั งานก็สามารถเข้าถงึ สบื ค้น และใช้บริการได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ จากบทบาทข้างต้น จะเหน็ ความสาคัญท่ีองค์กรนาระบบสารสนเทศมา ชว่ ยในการบริหารจดั การ จนขยายตวั เปน็ ทีน่ ยิ มในยคุ ปัจจบุ ัน ดงั ภาพที่ 2.3 แสดง บทบาทการใช้งานระบบสารสนเทศเริม่ จาก ค.ศ. 1950-1960 ใชร้ ะบบสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 90 ในการประมวลผลข้อมูลนิยมใช้ในการจัดเก็บข้อมูลจากรูปแบบเอกสารเป็น ลักษณะของไฟล์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ค.ศ. 1960–1970 การนาระบบสารสนเทศมาช่วย ในการบริหารจดั การภายในองค์กร ค.ศ. 1970–1980 ไดน้ าระบบสารสนเทศมาใช้ ใ น ก า ร ต ร ว จ ส อ บ แ ล ะ ส นั บ ส นุ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ข อ ง ฝ่ า ย บ ริ ห า ร ค.ศ. 1980–1990 ได้ใช้ระบบสารสนเทศเป็นกลยุทธ์ในการดาเนินงานและช่วย สนับสนุนการใช้บริการสาหรับบุคลากรในแต่ละระดับ ค.ศ. 1990–2000 หน่วยงานองค์กรได้ให้ความสาคัญกับระบบสารสนเทศในการเชื่อมโยงเครือข่าย ระหว่างผู้ใช้บริการกับองค์กร มีการทางานร่วมกันท่ัวโลกผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตท้ังภายในองค์กรและเครือข่ายโลก ค.ศ. 2000 จนถึง ปัจจุบันระบบสารสนเทศมีบทบาทในการโต้ตอบการใช้งานโดยใช้ระบบในการ วางแผนทรัพยากรธรุ กจิ และการใช้ระบบบริการลกู ค้าสมั พันธ์ และการประยกุ ต์ใช้ เหมอื งข้อมลู ในการดาเนินงาน ภาพท่ี 2.3 บทบาทการใชร้ ะบบสารสนเทศ (ท่ีมา : โอภาส เอีย่ มสริ ิวงศ์, 2554)

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 91 5. ระดับการบริหารระบบสารสนเทศในองค์กร ระบบสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยในการสนับสนุนการทางานให้สะดวก รวดเร็ว น่าเช่ือถือ ช่วยในการนาเสนอสรุป จัดทารายงาน ประมวลผลงาน และ สนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการ แบ่งตามระดับการจัดการได้ 3 ระดับ คือ ระดับล่าง (Lower Management) ระดับกลาง (Middle Management) ระดับสูง (Top Management) Top Management Middle Management Lower Management ภาพที่ 2.4 ประเภทของระบบสารสนเทศตามระดับการทางานขององคก์ ร (ทมี่ า : ดัดแปลงจาก กิตติ ภักดวี ัฒนะกลุ , 2547, น. 238) จากภาพท่ี 2.4 แสดงให้เห็นระดับการบริหารจัดการระบบสารสนเทศท่ีมีของ แต่ละองค์กร ในระดับล่างจะเป็นการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผลของระบบสารสนเทศ ระดับกลางจะเป็นการบริหารจัดการทรัพยากร รวมถงึ พจิ ารณาวางแผนการดาเนนิ งานเพอ่ื นารายงานสารสนเทศไปใชเ้ พิ่มประสทิ ธิภาพ การทางานขององค์กร และระดับสูงจะเป็นการวิเคราะห์ผลรายงานเพื่อนาไปวางแผน ยทุ ธศาสตร์ แนวโน้มการทางานขององค์กร

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 92 6. ประเภทของระบบสารสนเทศ การบริหารงานของแต่ละองค์กรจะมีการออกแบบระบบสารสนเทศ โดย พิจารณาจากประโยชน์การใช้งานและวัตถุประสงค์ขององค์กร โดยจะมีระบบ สารสนเทศในการดาเนินงานดังนี้ 6.1 ระบบประมวลผล ระบบประมวลผล (Transaction Processing System: TPS) เปน็ การ นาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูลข้ันพน้ื ฐาน โดยเน้นที่การประมวลผลรายการ ประจาวัน (Transaction) การทางานจะทาการบันทึกข้อมูล สร้างข้อมูลในการ ดาเนินงาน ในการบนั ทกึ ข้อมูลแต่ละฝา่ ยจะมกี ารประมวลผลแตล่ ะกจิ กรรมที่ให้บริการ ตามงานบริการแต่ละหน่วยงาน ข้อมูลจะถูกจัดเก็บลงในระบบฐานข้อมูล เช่น บันทึก ใบสั่งซื้อสินค้า ระบบบันทึกกิจกรรม ระบบลงเวลาปฏิบัติงาน ระบบจัดเก็บข้อมูล คลังสนิ คา้ เปน็ ต้น ร ะ บ บ ป ร ะ ม ว ล ผ ล มั ก จ ะ ถู ก ใ ช้ ง า น ส า ห รั บ ผู้ บ ริ ห า ร ร ะ ดั บ ล่ า ง แ ล ะ นักปฏิบัติการ เนื่องจากระบบชนิดนี้จะไม่ยืดหยุ่นและไม่สามารถสนองความต้องการ ขอ้ มูลหรอื สารสนเทศของผู้บริหารระดับกลางหรือสูงได้ ดังภาพที่ 2.5  ประมวลผล/ ฝา่ ยขาย/พัสดุ รายงาน  ฐานขอ้ มลู เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ ภาพท่ี 2.5 การทางานระบบสารสนเทศประมวลผลขอ้ มูล

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 93 จากภาพท่ี 2.5 เป็นการแสดงตัวอย่างการประมวลผลข้อมลู โดยมีเครื่อง คอมพวิ เตอร์ ลกู ขา่ ยทาการบนั ทึกข้อมลู เขา้ สรู่ ะบบฐานข้อมูล โดยมีเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ แมข่ ่ายจัดเกบ็ ฐานข้อมูลและประมวลผลขอ้ มลู สรปุ รายงานใหก้ ับผ้ใู ช้บรกิ าร 6.1.1 หนา้ ทขี่ องระบบประมวลผล 1) คานวณประมวลผลขอ้ มูล 2) จัดเก็บข้อมูล เพอ่ื ประมวลผลขอ้ มลู 3) รายงานสรุปข้อมลู ในระบบฐานขอ้ มูล 6.1.2 รปู แบบการประมวลผลข้อมลู การจดั เก็บข้อมลู ผ้ใู ชบ้ ริการทาการบนั ทกึ ข้อมูลสู่ระบบฐานข้อมูล ระบบประมวลผลข้อมูลจะทาการประมวลผล และรายงานสรุปการบันทึกข้อมูลไปยัง ผใู้ ชบ้ รกิ ารมีการประมวลผล 2 รปู แบบดงั นี้ 1) ประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) คอื การประมวลผลระหว่างผ้ใู ช้งานกับระบบสารสนเทศ มกี าร จัดเก็บหรือรวบรวมข้อมลู ไว้ตรวจสอบหรือรอกระบวนการยืนยันการทางาน จึงทาการ บันทึกข้อมูลรายกลุ่มหรือชุดหลายรายการลงระบบ เช่น การยื่นคาร้องแบบฟอร์ม บุคลากร การบันทกึ รายการสนิ คา้ การบนั ทึกการส่งสินค้า เปน็ ตน้ เอกสารคารอ้ ง ยืนยนั ใบสง่ั ซ้อื ส่งั ซ้อื (10 รายการ) ภาพท่ี 2.6 การประมวลผลแบบกลุ่ม จากภาพที่ 2.6 แสดงการประมวลผลด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบกลุ่ม เช่น การส่งั ซ้ือสนิ ค้าในปจั จบุ นั มีระบบการส่ังซอื้ สินคา้ แบบจ่ายเงินสดจะต้องมีการชาระ เงิน หรอื โอนเงินในรูปแบบต่างๆ ทางผขู้ ายจงึ จะส่งั ซอื้ สินคา้ เปิดการสัง่ ซ้ือสินค้าให้ตาม กระบวนการ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 94 2) ประมวลผลแบบออนไลน์ (Online Processing) คือการประมวลผลระหวา่ งผู้ใช้งานกับระบบสารสนเทศ โดยมี ก า ร ใ ช้ บ ริ ก า ร จ ะ มี ก า ร บั น ทึ ก ห รื อ ป ร ะ ม ว ล ผ ล ทุ ก ค ร้ั ง ที่ เ ข้ า ร ะ บ บ ห รื อ ท่ี เ รี ย ก ว่ า “ออนไลน์” ปฏิบัติในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งจนครบกระบวนการทางาน โดยอาศัย เคร่ืองคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ ท่ีเชื่อมต่อผ่านระบบ การส่ือสารข้อมูล เช่น การลงทะเบียนเรียน การติดต่อจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าน้า ค่าไฟ การโอนเงิน เปน็ ต้น ใบสง่ั ซ้ือ ช่องทางการ สอ่ื สารขอ้ มลู ภาพท่ี 2.7 การส่ังซื้อสินค้า จากภาพที่ 2.7 แสดงใหเ้ หน็ การประมวลผลขอ้ มลู โดยมีการเขา้ ระบบเพ่ือทา การสง่ั ซ้อื สินค้า เข้าสรู่ ะบบการขายสนิ คา้ และทาการจดั ส่งสินคา้ ตอ่ ไป ตัวอยา่ งระบบประมวลผล มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี มกี ารบรหิ ารจัดการระบบสารสนเทศ โดยการนา ระบบสารสนเทศมาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการให้บริการ เช่น การเลือกวิชาพ้ืนฐานของสานักส่งเสริมวิชาการฯ การบันทึกค่าน้าและค่าไฟของหอ นักศึกษา การบันทึกเงินเดือนค่าใช้จ่ายพนักงาน การส่งบทความวิชาการ การจัด ตารางสอนเป็นต้น ตัวอย่างจะแสดงให้เห็นการใช้งานระบบประมวลผลข้อมูลของ หนว่ ยงานภายในมหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี ดงั นี้ 1. ระบบประมวลผลของสานักสง่ เสริมวชิ าการและงานทะเบียน สานักส่งเสริมวิชาการฯ คือหน่วยงานสนับสนุนงานบริหารของ มหาวิทยาลัยด้านงานบริการจัดการเรียนการสอน เก่ียวกับกระบวนการเรียนการสอน ประกอบไปดว้ ยงานบริการลงทะเบยี นออนไลน์ การจัดตารางสอน ตารางเรยี นนกั ศึกษา

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 95 การประมวลผลการเรียน ข้อมูลประเมินความพึงพอใจอาจารย์ แบบรายงานผล มคอ. ข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษา ค่าใช้จ่ายหอพัก เป็นต้น ภาพที่ 2.8 แสดงระบบการให้บรกิ าร นักศึกษาในการลงทะเบียนเลือกวิชาพื้นฐานวิชาบังคับ นักศึกษาสามารถเข้าระบบเพอ่ื เลอื กวิชาทต่ี อ้ งการศึกษาได้ ระบบจะทาการประมวลผลจัดเก็บข้อมูลนกั ศกึ ษาลงระบบ ฐานข้อมลู ภาพท่ี 2.8 ระบบการเลือกรายวิชาบังคับมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี ภาพที่ 2.9 แสดงการทางานการจัดการเรียนการสอนมหาวทิ ยาลัยราชภฏั อดุ รธานี จากภาพที่ 2.9 แสดงระบบการจัดตารางเรียนและตารางสอน โ ด ย อ า จ า ร ย์ ท่ี รั บ ม อ บ ห ม า ย ห รื อ เ จ้ า ห น้ า ที่ ไ ด้ ท า ก า ร บั น ทึ ก ก า ร จั ด ต า ร า ง เ รี ย น ตารางสอนในแต่ละภาคเรียน โดยมหาวิทยาลัยจะบันทึกข้อมูลพ้ืนฐานในระบบ ลงทะเบยี น เชน่ อาคารหอ้ งเรยี น รปู แบบห้องเรียน รายละเอียดนกั ศกึ ษา รายละเอียด อาจารย์ ดังน้ันการจัดตารางเรียนและตารางสอนจึงเป็นระบบสารสนเทศประมวลผล ข้อมูล 2. ระบบประมวลผลของงานคลงั งานคลังเป็นหน่วยงานภายใต้สานักงานอธิการบดี ทาหน้าท่ีให้บริการและ สนับสนุนงานบริหารงานมหาวิทยาลัย มีงานบริการด้านการเงินมีบุคลากรเข้ามาใช้ บริการทั้งหมด 3 กลุ่มคือกลุ่มท่ี1 นักศึกษาใช้บริการการชาระเงินค่าลงทะเบียน

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 96 ค่าใชจ้ า่ ยหอพัก กลุม่ ท่ี 2 บุคลากรใช้บรกิ ารดา้ นการเงิน เงินยืมไปราชการเกีย่ วกับการ เบิกจ่าย กลุ่มท่ี 3 ผู้ประกอบการใช้บริการในการเบิกจ่ายการจัดซ้ือจัดจ้าง เป็นต้น ภาพที่ 2.9 แสดงระบบสารสนเทศของงานคลังในการระบบประมวลผลจัดเก็บข้อมูล รายละเอียดเกย่ี วกับรายรับรายจ่ายบุคลากร และสรุปรายงานผลการประมวลผลในการ ให้บรกิ าร ภาพที่ 2.10 ระบบแสดงบันทึกรายละเอียดการจา่ ยเงินเดอื น 6.2 ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) คือ ระบบสารสนเทศที่ประมวลผลจากการจดั เก็บขอ้ มลู ขององค์กรท้ัง ในอดีตและปัจจุบัน มีการสรุปรายงานข้อมลู ให้ผ้ใู ช้บริการสามารถคน้ หาขอ้ มลู เพ่ือไปใช้ ในการดาเนนิ งานได้ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการเหมาะสาหรับผู้ใช้บริการ ผู้บริหาร ระดบั กลาง และสามารถสนับสนนุ การให้บริการทั้งสามระดับ วัตถุประสงคก์ ารใช้ระบบ สารสนเทศเพ่ือการจัดการ เพ่ือนาข้อมูลไปบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการดาเนินงาน เพื่อให้บุคลากรสามารถนาข้อมูลไปใช้ประกอบ การควบคุม วางแผนการดาเนินงาน เช่น ระบบส่งบทความวิชาการ ระบบการ จัดซ้ือจัดจ้าง ระบบ CHEQA online ประกันคุณภาพ งบประมาณ ประจาปี การวิเคราะห์การลงทนุ และตารางการผลิต เป็นตน้

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 97 6.2.1 คุณสมบตั ิของระบบสารสนเพอ่ื การจัดการ สรุปคณุ สมบตั ิของระบบเพื่อการจดั การไดด้ งั นี้ 1) นาข้อมูลจากระบบสารสนเทศประมวลผลมาใช้พัฒนา และบริหารจดั การ เพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการทางานขององค์กร 2) รองรับการทางานบริหารจัดการระบบสารสนเทศ ภายในองค์กรทกุ ระดบั ของระบบสารสนเทศ 3) มีความยืดหยุ่นและให้บริการจัดทารายงานข้อมูลตาม การเปลี่ยนแปลงขององคก์ ร 4) รองรับการประมวลผล รายงานได้จากระบบย่อยทั้ง ภายในและภายนอกขององค์กรเพ่อื นาเสนอผู้บริหาร ระบบฐานข้อมลู ระบบฐานขอ้ มลู รายงาน บุคลากร ผูใ้ ช้บรกิ าร ระบบฐานข้อมูล การเงนิ ระบบฐานขอ้ มลู งานทะเบยี น ระบบฐานขอ้ มลู ประกนั คณุ ภาพ ภาพที่ 2.11 การทางานระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ ภาพท่ี 2.11 แสดงกระบวนระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ในการ ประยุกต์ประมวลผลรายงานสารสนเทศจากระบบย่อยภายในองค์กร มีการพัฒนา โปรแกรมในการจัดเกบ็ ข้อมูล เชน่ การจัดทารายงานประวัตอิ าจารย์จะต้องนาข้อมูล ระบบบุคลากรและระบบงานทะเบียนมาสรุปเป็นรายงาน เป็นต้น

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 98 6.2.2 ประเภทของระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การ จากคุณสมบัตหิ ลักของระบบสารสนเทศเพือ่ การจดั การสามารถ แบ่งประเภทการทางานของระบบได้ 3 ประเภท ดังน้ี 1) รายงานที่ออกตามระยะเวลา รายงานที่จัดข้ึนตาม ระยะเวลาที่กาหนดอย่างสม่าเสมอ เช่น รายงานยอดจาหน่ายสินค้า รายงานการใช้ บริการเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ต้น 2) รายงานท่ีออกเป็นกรณีพิเศษ จัดทาในกรณีที่มีการสรุป รายงานกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติ เช่น การตรวจสอบสถิตินักศึกษาที่เพิ่มหรือถอน รายวิชาเรียนในภาคเรยี นที่ 1 เปน็ ต้น 3) รายงานที่ออกตามความต้องการ จัดทารายงานสนับสนุน การบริหารจัดการตามความต้องการของผู้ใช้บริการ เช่น การจัดทารายงานติดตาม นกั ศึกษากู้เงินทุนการศกึ ษา เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ มหาวิทยาลัยนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมาช่วยในการสนับสนุนงาน บริหารมหาวิทยาลัยเพ่ือเกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิผลมากย่ิง เช่น ระบบสง่ บทความออนไลน์ ระบบการเบิกจา่ ยซื้อจา้ งงานพสั ดุ ระบบบุคลากร ระบบ ประกันคุณภาพ CHE Online และระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการงานวิจัย เป็นต้น ในกรณศี ึกษานขี้ อยกตัวอย่างท้ังหมด 3 ระบบ ดังนี้ 1. ระบบวารสารพืน้ ถ่นิ โขง ชี มลู ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ใช้ในการอานวยความสะดวกในการ ติดต่อสื่อและลดข้ันตอนการทางาน เพ่ิมประสิทธิภาพงานในการจัดส่งวารสาร โดยมี ผู้เขา้ มาใช้บริการและเกย่ี วข้องกระบวนการทางานของระบบวารสารทงั้ หมด 3 กล่มุ คือ กองบรรณาธกิ าร ผทู้ รงคณุ วุฒิ นกั วิชาการผสู้ ่งบทความวารสาร ระบบดังกลา่ วสามารถ รายงานสถานะตดิ ตามการดาเนินงานผูส้ ง่ บทความ และการตอบรับจากผทู้ รงคุณวุฒิใน การพิจารณาอ่านบทความ และมีคณะกรรมการกองบรรณาธิการบริหารจัดการ ดาเนินงานวารสาร ดงั ภาพท่ี 2.11 และภาพที่ 2.12 แสดงหนา้ จอหลกั ในการดาเนินงาน

ฐานข้อมลู วารสารฯ ระบบสารสนเทศในองค์กร | 99 กองบรรณาธกิ าร ผูท้ รงคณุ วฒุ ิ นักวิชาการ/ ผูเ้ ขยี นบทความ รายงาน ภาพที่ 2.12 การใช้บริการระบบวารสาร ภาพท่ี 2.13 หน้าหลักระบบวารสารพื้นถน่ิ โขง ชี มลู (ทมี่ า : http://mcmac.udru.ac.th/)

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 100 กระบวนการทางานของระบบวารสารออนไลน์จะเพ่ิมความสะดวก รวดเร็วในการติดต่อส่ือสาร และลดระยะเวลาการรอการตอบรับเอกสาร และยังเพ่ิม ประสิทธิภาพรายงานผลการทางานให้ผู้เกี่ยวข้องทราบกระบวนการทางานท้ังหมด ดงั ภาพที่ 2.13 1.1 การให้บริการระบบวารสารพนื้ ถิ่นโขง ชี มูล มีบุคลากรที่เก่ียวขอ้ ง ในการใชบ้ รกิ ารท้งั หมด 3 กลมุ่ ดงั น้ี 1.1.1 ผู้เขียนบทความสมัครเป็นสมาชิกเพื่อใช้ในการบริหาร จดั การบทความ 1.1.2 กองบรรณาธิการหรือนักวิชาการ ดาเนินการบันทึกข้อมูล และรายงานผลตามกระบวนการทางานของการพิจารณาบทความแต่ละขั้นตอน 1.1.3 ผู้ทรงคุณวุฒิ พิจารณาบทความ รายงานผลการพิจารณา และติดตามความกา้ วหน้าการดาเนนิ งานแต่ละบทความ ผู้เขียนบทความ กองบรรณาธกิ าร ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ส่งบทความ ตอบรับบทความ เลือกผ้ทู รงคณุ วุฒิ พิจารณาบทความ พจิ ารณาบทความ พร้อมให้คาแนะนา รับทราบพจิ ารณา ส่งผลการพจิ ารณา กรณตี อบรบั แก้ไข บทความ บทความส่งฉบบั จดั รปู แบบทความ พิจารณาการ ส่งบทความตน้ ฉบบั เผยแพร่ จดั พมิ พ์วารสาร ภาพที่ 2.14 แสดงข้ันตอนการทางานของระบบวารสาร

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 101 1.2 การบริหารจดั การระบบวารสารพืน้ ถ่ินโขง ชี มลู ระบบวารสารมีขั้นตอนการดาเนินงานทั้งหมด 8 ขั้นตอน โดย ทั้งหมดน้ี ระบบมีการรายงานผลการดาเนนิ งาน เรม่ิ ตงั้ แตม่ ผี เู้ ขียนบทความ สง่ บทความ เข้าสู่กระบวนการรับบทความ แต่ละขั้นตอนกองบรรณาธกิ าร ผู้ทรงคุณวุฒิและผเู้ ขยี น บทความสามารถตรวจสอบสถานะการดาเนินงานได้ ดังภาพที่ 2.14 แสดงสถานะ บทความในส่วนของกองบรรณาธิการสรุปบทความทั้งหมด 39 บทความ และ แต่ละ ข้ันตอนจะมีบทความท่ีดาเนินงานอยู่เท่าไรดูตัวเลขในวงเล็บของแต่ละข้ันตอน เช่น ขัน้ ตอนที่ 1 บทความใหม่ (0) แสดงว่าไมม่ ีบทความใหม่ หรือขั้นตอนท่ี 3 รอผลประเมิน จากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ (1) แสดงว่ามีบทความอยูใ่ นขน้ั ตอนนี้ 1 บทความเป็นต้น ภาพที่ 2.15 แสดงหนา้ จอหลกั รายงานผลการดาเนินงาน ในการแสดงรายละเอียดของแตล่ ะขั้นตอนสามารถคลกิ เขา้ ไปดรู ายละเอียดได้ ดังภาพท่ี 2.15 แสดงหน้าจอรายงานรายละเอียดของแต่ละบทความว่ามีผลการ พจิ ารณาบทความอย่างไร

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 102 ภาพที่ 2.16 หน้าจอแสดงรายละเอยี ดผลการพจิ ารณาบทความ ภาพที่ 2.17 แสดงรายละเอยี ดการตดิ ตามการสมัครสมาชกิ ของวารสาร มีการ สรุปรายงานชือ่ สมาชิกแต่ละคน มกี ารสมัครวารสารเล่มใด และดาเนนิ งานส่งอยา่ งไร ภาพที่ 2.17 แสดงหน้าจอสมาชกิ วารสาร 2. ระบบโปรแกรมงบประมาณ ระบบโปรแกรมงบประมาณ คือ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สนับสนุนการบริหารจัดการงานเบิกจ่าย การจัดซ้ือจัดจ้างงานพัสดุของมหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี เป็นอีกกรณีศึกษาที่นาระบบสารสนเทศมาช่วยอานวยความสะดวกใน การจัดทาเอกสารการเงิน และใช้ในการสนับสนุนกา รรายงานวิเคราะห์การใช้ งบประมาณในแต่ละไตรมาสได้ ทาให้ผู้บริหารท้ังระดับกลางและระดับสูงสามารถ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 103 ติดตามการดาเนินงานได้จากการปฏิบัติตามโครงการ ในรูปแบบออนไลน์เครือข่าย มหาวิทยาลัยมีผู้เกี่ยวข้องในการใช้บริการ 3 กลุ่มคือ เจ้าหน้าที่พัสดุ นักวิชาการกอง นโยบายและแผน และเจ้าหน้าที่งานคลงั ดังภาพกระบวนการทางานภาพรวมของระบบ ดงั ภาพที่ 2.18 แสดงภาพรวมในการใชบ้ ริการของระบบงบประมาณ ฐานขอ้ มลู ฐานข้อมลู งบประมาณ บคุ ลากรฝ่ายพสั ดุ ระบบบคุ ลากร รายงาน นักวชิ าการกองนโบายฯ เจ้าหน้าท่คี ลัง ภาพที่ 2.18 ภาพรวมของระบบงบประมาณ 2.1 การใชบ้ รกิ ารระบบงบประมาณ การเข้าสู่ระบบงบประมาณ ระบบจะทาการตรวจสอบช่ือผู้ใช้งาน และรหัสผ่านจากฐานข้อมูลบุคลากร ผู้พัฒนาระบบได้ออกแบบกาหนดสิทธิการใช้ บริการระบบงบประมาณ เช่น ให้เข้าระบบบันทึก รายงาน สืบค้น เฉพาะหน่วยงาน และตามภารกจิ ของหนว่ ยงาน เปน็ ต้น แบง่ ผูใ้ ชบ้ รกิ ารออกแบบ 3 กลมุ่ ดังนี้ 2.1.1 เจา้ หนา้ ที่พัสดุ ระบบจะให้บริการบนั ทึกขออนุญาตเบิกจ่าย ซ้อื จา้ งมีกระบวนการสัง่ ซ้ือ ตรวจรบั ตดิ ตามผลการดาเนินงานแต่ละข้ันตอน 2.1.2 นักวิชาการกองนโยบายและแผน จะเป็นผู้ตรวจสอบ การดาเนินงาน โครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ มีการตรวจสอบ และอนุมัติ หรอื ไมอ่ นุมัตโิ ครงการ 2.1.3 เจ้าหน้าที่งานคลัง ทาการเบิกจ่าย ซื้อจ้างให้กับบุคลากร หรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกสาร ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง หรือ ระเบยี บที่เก่ยี วขอ้ งในการดาเนนิ งานเบิกจา่ ย ซือ้ จา้ ง

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 104 2.1.4 สืบค้นผู้ใช้บริการสามารถสืบค้นข้อมูลเพ่ือตรวจสอ บ กระบวนการดาเนินถึงข้ันตอนใด หรือมีผลตอบรับอย่างไร เช่น ค้นหาฎีกาหมายเลข สว.58000012 ระบบจะแสดงสถานะผลการดาเนินงาน 2.2 การบริหาร ตดิ ตาม สรุปรายงาน รายงาน สรุปผล โดยระบบจะมกี ารรายงานตามความต้องการของ ผ้ใู ช้บรกิ ารทงั้ 3 กลุม่ ดงั ภาพที่ 2.19 หนา้ หลกั เขา้ สรู่ ะบบงบประมาณ 2.2.1 เจ้าหน้าท่ีพัสดุ สามารถดูผลรายงานการเบิกจ่าย ซื้อจ้าง ยอดเงินคงเหลอื 2.2.2 นักวิชาการกองนโยบายและแผน ดูผลรายงานโครงการท่ี บนั ทึกเสนอขอเบกิ จ่าย สรปุ โครงการการดาเนินงานแตล่ ะหนว่ ยงาน 2.2.3 เจ้าหน้าท่ีงานคลัง ดูผลรายงานโครงการท่ีการเบิกจ่าย ซ้อื จ้างเปน็ หน่วยงาน หรือยอดคงเหลอื ของงบประมาณ ภาพที่ 2.19 หน้าหลกั ระบบโปรแกรมงบประมาณมหาวิทยาลยั ราชภัฏอุดรธานี

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 105 ภาพท่ี 2.20 รายงานผลการใช้ระบบงบประมาณ ในช่วงแตล่ ะไตรมาส จากภาพที่ 2.18-2.19 หน้าหลักการใช้ระบบงบประมาณ แสดงให้เห็นผล การรายงานของระบบงบประมาณท่ีสรุปการใช้งบประมาณเพื่อใช้วางแผนดาเนิน โครงการตอ่ ไป ระบบสามารถรายงานผลการดาเนินงาน ตดิ ตามขนั้ ตอนการดาเนินงาน สถานะการดาเนินงาน และสรุปรายละเอียดในการตรวจสอบเบิกจ่าย จัดซื้อจัดจ้างแต่ ละฎกี า อกี ท้งั เพิม่ ความสะดวกรวดเรว็ ในการสบื ค้นขอ้ มูลอย่างมปี ระสิทธิภาพ 3. ระบบการจดั การงานวจิ ัย สานักวิชาศึกษาทั่วไปได้นางานวิจัยเพ่ือพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการ บริหารจัดการงานวิจัย สาหรับบุคลากรของสานักวิชาศึกษาทั่วไป ดังภาพท่ี 2.21 แสดง ภาพหน้าจอหลักในการทางานรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันมาใช้ในการบริหารจัดการ ลดข้ันตอนการทางานดา้ นการบริหารจัดการงานวจิ ยั เช่น คาขอเสนอโครงการวจิ ัย ติดตาม ผลการดาเนินงานของผู้วิจัย ตลอดจนรวบรวมงานวิจัย นาเสนอบุคลากร ประชาชน นักศึกษาไดเ้ รยี นรูง้ านวิจัย เปน็ ต้น

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 106 ภาพที่ 2.21 หน้าหลักระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการงานวจิ ัย 3.1 การใช้บริการระบบการจดั การงานวจิ ัย ระบบการจัดการงานวจิ ัยมีผู้ใชบ้ รกิ ารท้งั หมด 3 กล่มุ ดังน้ี 3.1.1 อาจารย์ บุคลากร ประชาชนท่ัวไป สามารถค้นหาข้อมูล เรอื่ งวิจยั บทความทางวชิ าการ บทความวารสาร สรุปรายงานการวิจัยได้ 3.1.2 อาจายผ์ วู้ ิจยั สามารถบนั ทึกเสนอโครงการ หากโครงการน้นั ได้รับอนุมัติจะสามารถเข้าสู่ระบบเพื่อทาการเพ่ิม แก้ไข ดูโครงการตนเองได้ ติดตามข้ันตอนตามระเบียบของสานักวิชาศึกษาทั่วไป และสืบค้นข้อมูลเรื่องวิจัย บทความทางวิชาการ บทความวารสาร สรปุ รายงานการวิจัยได้ 3.1.3 คณะกรรมการฝ่ายวิจัย สามารถเข้าสู่ระบบอนุมัติ ติดตาม ประกาศข่าว ระเบียบ ประชาสัมพันธ์ข้อมูล สามารถสืบค้นดูโครงการท้ังหมดได้ทุก โครงการ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 107 ผใู้ ชบ้ ริการประชาชนทั่วไป คน้ หาข้อมลู งานวิจยั สารสนเทศงานวิจยั หรอื ผลงาน ทางวชิ าการ บนั ทึกข้อมูลผลงานทางวจิ ัย/ อาจารย์ผู้วจิ ัย เคา้ โครงการเสนอ/ผลงานวจิ ยั รางานผลการตดิ ตาม ความกา้ วหนา้ ระบบสารสนเทศงานวิจัย ผู้บริหาร/คณะกรรมการ คน้ หาติดตามสารสนเทศ/ข่าวสาร งานวิจยั /ผลการอนมุ ตั ทิ นุ รายงานผลการอนุมัติทุน บนั ทกึ ข้อมลู อนุมัติผลการวจิ ัย รายงานขา่ วสารเกยี่ วกับงานวิจัย การตดิ ตามความก้าวหน้าวจิ ัย ภาพท่ี 2.22 การทางานระบบสารสนเทศเพือ่ การจดั การวิจัย จากภาพ 2.22 แสดงให้เหน็ มมุ มองภาพรวม ประชาชนท่ัวไปสามารถ สบื ค้นข้อมลู งานวิจัย อาจารยผ์ ูว้ จิ ยั สามารถบันทึกเสนอโครงการ/ติดตามรายงานผลการ ดาเนนิ งาน และผ้บู ริหารคณะกรรมการสามารถติดตามพจิ ารณา โครงการงานวิจยั ได้ โดย แต่ละกลุ่มจะใส่ชื่อและรหัสผ่านเข้าใช้งานตามสิทธ์ิที่ระบบกาหนด และภาพที่ 2.23 แสดงภาพข้ันตอนการทางานการเริ่มจากเสนอโครงการวิจัยเข้าสู่ระบบพิจาณาทุนการ วจิ ยั ขัน้ ตอนการบันทึกรายงานผลการดาเนินงานจนส้ินสดุ การทางานวิจยั

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 108 ภาพท่ี 2.23 ขัน้ ตอนอาจารย์ผวู้ จิ ยั เสนอโครงการ 3.2 การบรหิ าร ตดิ ตาม สรปุ รายงาน 3.2.1 ผู้วิจัยสามารถเข้าสู่ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการวิจัย เพ่ือบริหารจดั การ เช่น การเสนอโครงการ การรายงานความก้าวหน้า การส่งวิจัยฉบบั สมบูรณ์และการรายงานการเผยแพร่งานวิจัย เป็นต้น ดังภาพท่ี 2.24 บันทึกเสนอ โครงการ และภาพท่ี 2.24 แสดงการบนั ทกึ ข้อมลู รายงานความก้าวหนา้ ของงานวจิ ยั

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 109 ภาพที่ 2.24 หน้าจอภาพเสนอโครงการวจิ ัย ภาพที่ 2.25 หนา้ จอภาพรายงานความก้าวหนา้ 3.2.2 ผู้บริหารและคณะกรรมการ สามารถบริหารจัดการระบบ ติดตามผลการดาเนินงาน เช่น พิจารณาอนุมัติโครงการ และเม่ือมีการพิจารณาทา สัญญาคณะกรรมการสามารถดูผลการรายงานความก้าวหน้า รายงานผลการเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ เป็นต้น ดังภาพที่ 2.25 แสดงหน้าจอการจัดการพิจารณาทุนวิจัย และภาพที่ 2.26 แสดงหน้าจอท่แี สดงงานวิจัยทไ่ี ด้รบั ทุนวจิ ยั และรายงานผลงานวิจยั

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 110 ภาพที่ 2.26 หน้าจอพจิ ารณาทุนวจิ ัย ภาพท่ี 2.27 หน้าจอสรปุ ผลงานวิจยั ทีอ่ นุมัติทนุ วจิ ัย

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 111 6.3 ระบบสนับสนุนการตดั สินใจ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS) เป็นระบบท่ีพัฒนาจากระบบสารสนเทศการจัดการ เป็นการพัฒนาเพ่ิมด้วยการนา สารสนเทศที่มีในระบบฐานข้อมูลจากภายในและภายนอกองค์กร มาใช้วิเคราะห์ พยากรณ์ แนวโน้มหรือความเป็นไปได้ในการดาเนินกิจกรรมน้ัน เพื่อช่วยสนับสนุน ผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง สามารถนาผลการวิเคราะห์ไปใช้ในการดาเนินงาน อกี ทงั้ สามารถนาสารสนเทศชว่ ยในการวิเคราะห์วางแผนยทุ ธศาสตรส์ าหรบั องคก์ รดว้ ย ระบบสนบั สนุนการตดั สินใจมีหน้าทชี่ ่วยใหก้ ารตดั สินใจไดอ้ ย่างสะดวก โดยอาจจะช่วยผู้ตัดสินใจในการเลือกทางเลือก หรืออาจมีการจัดอันดับให้ทางเลือก ต่างๆ ตามวธิ ีที่ผูต้ ดั สนิ ใจกาหนด บางระบบสามารถกาหนดความตอ้ งการผใู้ ช้บรกิ ารให้ สามารถตอบโต้ได้โดยการพัฒนาระบบสารสนเทศระบบสนับสนุนการตัดสินใจ แบบจาลองการวิเคราะหส์ ารสนเทศให้เหมาะสมกบั องคก์ ร 6.3.1 คณุ สมบัตขิ องระบบสนับสนนุ การตดั สินใจ ระบบสนบั สนุนการตัดสินใจมีคณุ สมบัตกิ ารดาเนนิ งานในแต่ละ องคก์ รดังน้ี 1) สามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลทั้งรูปแบบข้อมูลแบบก่ึง โครงสร้างและแบบไม่มีโครงสรา้ งแน่นอนได้ 2) สามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้เน้นที่ผู้บริหารระดับกลาง และระดับสูงใช้เพื่อนาผลการวิเคราะห์ไปใช้ในการสนับสนุน หรือเป็นทางเลือกในการ ตดั สนิ ใจ 3) เป็นการวิเคราะห์ หรือจาลองสถานการณ์ โดยใช้เคร่ืองมอื ในการวเิ คราะห์เพอื่ ช่วยประกอบในการตัดสนิ ใจ 4) สามารถสนบั สนุนการประมวลผล วเิ คราะห์ผลที่ซับซ้อน 5) มีการนาเสนอท่ีมีความยืดหยุ่นที่จะรองรับรูปแบบ การบรหิ ารงานแบบต่างๆ ตามสถานการณข์ ององค์กร 6) จัดเก็บข้อมลู ทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 112 ซอฟต์แวร์ DSS ผู้ใช้งาน ฐานองคค์ วามรู้ แบบจาลอง ภาพท่ี 2.28 การทางานระบบสนับสนนุ การตัดสินใจ จากภาพที่ 2.28 การแสดงการทางานของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ จะตอ้ งมกี ารใช้ซอฟต์แวร์ในการประมวลผลข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองคก์ ร โดยมี การสรา้ งแบบจาลอง เพ่อื ทานายเหตกุ ารณ์ปัญหาหรือผลลพั ธ์ที่จะเกิดข้ึน เพ่อื เป็นฐาน องค์ความรู้ที่ผูบ้ ริหารสามารถนาไปประยุกต์ใช้หรือเป็นส่วนประกอบการสนับสนุนการ ตดั สินใจในการดาเนนิ งานได้อกี ทางหน่งึ 6.3.2 องค์ประกอบและการทางานของสถาปัตยกรรมระบบ สนับสนนุ การตัดสนิ ใจ การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ควรศึกษาสถาปัตยกรรม พื้นฐานก่อน จากนั้นก็ศึกษาความต้องการของผู้ใช้งาน จึงตัดสินใจเลือกฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่ายท่ีเหมาะสม และลงมือพัฒนาระบบ ในการพัฒนาระบบ สารสนเทศในองค์กร จาเป็นต้องกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสมดังภาพท่ี 2.29 จากภาพของการแสดงแนวคิดสถาปัตยกรรมของระบบ สนับสนุนการตัดสินใจ สามารถอธิบายการทางานของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ มอี งค์ประกอบดังนี้

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 113 1) ผ้พู ัฒนาระบบสารสนเทศฯ ทาการออกแบบระบบเพื่อสนับสนุน การแก้ไขปัญหาตามโครงสรา้ งปญั หาทีเ่ กิดขนึ้ โดยใช้ทฤษฎเี ครือ่ งมอื พัฒนาแบบจาลอง จนไดแ้ บบจาลองและฐานจาลอง 2) ส่วนการจัดการแบบจาลองจะส่งผลของข้อมลู ไปวิเคราะหต์ าม การร้องขอใช้งานตามปญั หาที่ต้องการวิเคราะห์ มีส่วนประกอบในการจดั การเช่น ฐาน แบบจาลอง ระบบจัดการฐานของแบบจาลอง สารบัญแบบจาลอง แบบจาลอง การทางาน เปน็ ตน้ 3) ส่วนการจัดการข้อมูลจะรวบรวมข้อมูลจากภายนอกระบบเพอื่ จัดเก็บลงในฐานข้อมูลหรือนาข้อมูลจากฐานข้อมูล ส่งต่อไปยังส่วนการจัดการ แบบจาลอง เพื่อนาไปผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบจาลองท่ีเหมาะสม สาหรับแก้ไข ปญั หานนั้ ๆ มีส่วนประกอบเช่น ฐานข้อมลู ระบบจัดการฐานขอ้ มลู สว่ นสอบถามข้อมูล สารบัญขอ้ มูล ส่วนกลน่ั กรองขอ้ มลู เปน็ ตน้ 4) ส่วนการจัดการสื่อประสานกับผู้ใช้จะส่งข้อมูลผลลพั ธ์ที่ไดจ้ าก การวิเคราะห์ของแบบจาลองและหรือข้อมูลท่ีได้จากการประมวลผลของส่วนสอบถาม ข้อมูลไปยังผู้ใช้ และหากมีการส่วนการจัดการองค์ความรู้กรณีที่ต้องการจะทาการ ประมวลผลสารสนเทศวิเคราะหข์ ้อมูลที่ต้องแก้ไขปัญหาท่ีซบั ซ้อน มีส่วนประกอบเช่น ระบบจัดการสื่อประสานกับผู้ใช้ ส่วนประมวลผลภาษาธรรมชาติ หน่วยประมวลผล หนว่ ยป้อนขอ้ มูลเข้า เปน็ ตน้ 5) ผ้ใู ช้ระบบสารสนเทศ เป็นผู้เลือกขอ้ มูลเพื่อนาเข้าระบบ และได้ ผลลัพธจ์ ากระบบสนับสนนุ การตดั สินใจ

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 114 5. ผ้ใู ช้ 4. สว่ นการจดั การสอ่ื ประสานกบั ผใู้ ช้ ส่วนการจัดการองค์ความรู้ 3. ส่วนการจัดการข้อมูล 2. ส่วนการจดั การแบบจาลอง ฐานขอ้ มูล แบบจาลอง/ฐานจาลอง เครอื่ งมอื พัฒนา แบบจาลอง 1. ผพู้ ัฒนา ภาพท่ี 2.29 แนวคดิ ของสถาปัตยกรรมระบบสนบั สนุนการตัดสนิ ใจ (ที่มา : ดดั แปลงจาก กิตติ ภักดีวฒั นะกุล, 2546)

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 115 6.3.3 ประเภทแบบจาลองระบบสนบั สนุนการตดั สนิ ใจ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ การสร้างต้นแบบเพื่อหา แบบจาลองอย่างน้อยที่สุด 1 แบบ สาหรบั จาลองสถานการณป์ ญั หาแต่ละสถานการณท์ ี่ เกิดขนึ้ เพอ่ื นาไปสูก่ ารวเิ คราะห์การตดั สินใจและการแก้ไขปญั หาได้ในท่ีสดุ แบบจาลอง มี 3 แบบดังนี้ 1) ความหมายเชิงบรรยาย แบบจาลองแบบน้ีได้กาหนดให้แบบจาลอง คือ ส่ิงที่ช่วย นาเสนอข้อเท็จจริงโดยสังเขปของระบบต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้และนักพัฒนาระบบ สามารถทาความเข้าใจระบบได้ง่ายข้ึน แบ่งแบบจาลองท่ีมีความหมายเชิงบรรยาย ออกเป็น 3 ประเภท คอื  แ บ บ จ า ล อ ง เ ชิ ง รู ป ภ า พ ( Graphical Model) คื อ แบบจาลองที่ใช้ภาพอธิบายข้อเท็จจริงในการทางานส่วนประกอบต่างๆ เช่น Data Flow Diagram, Document Flow Diagram  แ บ บ จ า ล อ ง เ ชิ ง บ ร ร ย า ย (Narrative Model) คื อ แบบจาลองท่ีใช้ภาษาธรรมชาติในการบรรยาย ข้อเท็จจริงและการทางานของ สว่ นประกอบต่างๆ ในระบบ  แ บ บ จ า ล อ ง เ ชิ ง ก า ย ภ า พ (Physical Model) คื อ แบบจาลองที่ใช้จาลองส่วนประกอบต่างๆ ในระบบให้มีขนาดเล็กกว่าของจริง เช่น แบบจาลองอาคาร สิง่ ก่อสร้าง สถานท่ี เป็นต้น 2) ความหมายเชิงสภาวะ คอื การพจิ ารณาจากสถานการณ์ท่ีใช้งานของแบบจาลองไดแ้ ก่  แบบจาลองคงที่ (Static Model) เป็นแบบจาลองที่ นามาใช้เพ่ือประเมินสถานการณ์เฉพาะในเวลาช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่นการวิเคราะห์ งบประมาณประจาปี หรอื ไตรมาส  แบบจาลองเคล่ือนไหว (Dynamic Model) นามาใช้ ประเมินสถานการณ์ท่ีสามารถเปล่ียนแปลงตัวแปรได้ตลอดเวลาทุกช่วงเวลา ดังน้ัน แบบจาลองชนิดนี้มีความเป็นอิสระต่อช่วงเวลา (Time dependent) ตัวอย่างเช่น

ระบบสารสนเทศในองค์กร | 116 ซุปเปอร์มารเ์ กต็ ท่ตี ้องมกี ารตดั สนิ ใจหาจานวนจุดชาระเงิน ก่อนการตดั สินใจควรมีการ พิจารณาถึงช่วงเวลาตา่ งๆ ไดค้ รอบคลมุ ทุกชว่ งเวลาต่างๆ เปน็ ตน้ 3) ความหมายเชิงการใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์ คือ การสร้างแบบจาลองโดยใช้สูตรคณิตศาสตร์เป็น แบบจาลองเพือ่ คานวณหาผลลัพธท์ ่ีต้องการ โดยทั่วไปนยิ มใช้มี 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่  แบบจาลองทางคณิตศาสตร์เพ่ือการหาทางเลือกที่ดีท่สี ดุ (Optimization Model) สาหรับการใช้งานแบบจาลองในลักษณะน้ี เป็นการใช้ แบบจาลองคณิตศาสตร์เพ่ือช่วยในการตัดสินใจ สามารถวิเคราะห์และประเมิน ทางเลือกในการตัดสินใจต่างๆ เพื่อเลือกทางท่ีดีที่สุดตามต้องการของผู้ตัดสินใจได้ ซ่ึงแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ที่จะนาไปใชเ้ พือ่ ตัดสนิ ใจดว้ ยการหาทางเลือกท่ีดที ่ีสุดน้ัน สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี เชน่ o การหาทางเลือกที่ดีที่สุดสาหรับปัญหาท่ีมีจานวน ทางเลือกจากัด การหาทางเลือกที่ดีที่สุดในกรณีดังกล่าวน้ี อาจจะไม่ใช่การใช้ แบบจาลองทางคณิตศาสตร์โดยตรง แต่จะต้องอาศัยเทคนิค 2 ประการ คือ ตาราง ตัดสินใจ (Decision Table) และแผนภาพการตัดสินแบบต้นไม้ (Decision Tree) ทีส่ ามารถพจิ ารณาเพิ่มเติมได้ o การหาทางเลอื กที่ดีทสี่ ุดโดยใชอ้ ัลกอริทึม ในกรณี ที่มีทางเลือกที่มีจานวนมาก โดยอาศัยการพัฒนาจาลองทีละข้ันตอน แบบจาลอง ประเภทนี้ได้แก่แบบจาลองโปรแกรมเชิงเส้น (Linear Programming Model) แบบจาลองโปรแกรมเป้าหมาย (Goal Programming Model) และแบบจาลอง เครอื ข่าย (Network Model) o การหาทางเลือกท่ดี ที ่ีสุดโดยการวเิ คราะหด์ ว้ ยสูตร เป็นการใช้แบบจาลองเพื่อช่วยในการวิเคราะห์และคานวณหาทางเลือกที่ดีท่ีสุด เช่น แบบจาลองสาหรับจัดการสินค้าคงคลัง (โดยอาศัยสูตรเพื่อหาจุดสั่งซื้อวัตถุดิบ และ ปรมิ าณสินค้าคงคลังท่ีเหมาะสม) o ก า ร ห า ท า ง เ ลือ กที่ ดี ที่ สุด ด้ ว ย ก ารจาลอง สถานการณ์ (Simulation) เป็นการหาทางเลือก โดยอาศัยการจาลองสถานการณ์ของ การเลือกทางเลอื กต่างๆ ในการตัดสินใจ โดยแบบจาลองประเภทน้ี ได้แก่ แบบจาลอง

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 117 สถานการณ์ความน่าจะเป็น แบบจาลองสถานการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับเวลา แบบจาลองภาพเสมือนจรงิ และแบบจาลองเชิงวตั ถุ o การหาทางเลือกที่ดีท่ีสุดด้วยวิธีการฮิวริสติค (Heuristic) เป็นการใช้กฎง่ายๆ เพ่ือหาทางเลือกที่ดีท่ีสุดและรวดเร็วที่สุดสาหรับการ แก้ไขปัญหาท่ีมีความซับซ้อน แบบจาลองประเภทนี้ ได้แก่ระบบการจัดเส้นทางเดินรถ ขนส่งสาหรบั ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบภัยพบิ ัติ  แบบจาลองทางการเงิน (Financial Model) เป็นการใช้ หลกั การทาง สูตรคานวณการเงินเพอ่ื วิเคราะห์ข้อมลู ทางการเงนิ สาหรบั ผู้บริหารในการ ตัดสินใจ ตัวอยา่ งแบบจาลองทางการเงนิ กไ็ ดแ้ กส่ ตู รคานวณทางเงนิ ต่างๆ  แบบจาลองทางสถิติ (Statistical Model) เป็นการใช้ หลักการและสูตรคานวณทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลอดีตและปัจจุบัน เพ่ือทานาย หรือพยากรณ์ข้อมูลหรือเหตุการณ์ในอนาคต เช่น การวิเคราะห์แบบมาร์คอฟ การวเิ คราะห์ด้วยสมการถดถอย การวเิ คราะห์ดว้ ยอนุกรมเวลา หรอื เรยี กแบบจาลองน้ี เพ่ือใช้พยากรณข์ อ้ มูลวา่ “Predictive Model” 6.3.4 ประเภทของการตดั สนิ ใจจาแนกตามระดบั การจัดการในองคก์ ร การบรหิ ารจัดการองค์กรในการใชร้ ะบบสารสนเทศเพอื่ สนับสนุน การตัดสินใจมีกระบวนการในการดาเนินงาน ท่ีต้องแบ่งตามลักษณะของปัญหาและการ ตดั สินใจสามารถแบ่งเปน็ 3 ประเภทคอื การจัดการตดั สนิ ใจระดับกลยุทธ์สาหรับผู้บริหาร ระดับสูง การตัดสินใจเพ่ือการควบคุมการบริหารสาหรับผู้บริหารระดับกลาง และการ ตดั สินใจเพื่อปฏบิ ตั ิการสาหรับผู้บรหิ ารระดับลา่ ง มรี ายละเอยี ดแต่ละประเภทดงั นี้ 1) การตดั สินใจระดบั กลยุทธ์ การบรหิ ารจดั การระดบั กลยุทธ์เป็นการตัดสินใจที่ต้องมีการ นานโยบายทเี่ กี่ยวท่ีข้องกับแผนในเชิงยุทธศาสตร์ เพอื่ สรา้ งหรอื เพิม่ ผลผลิตหรือในบาง กรณีอาจจะเป็นนายุทธศาสตรม์ าขับเคล่ือนเพือ่ ให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายทิศทางของ องค์กร เช่น นาสารสนเทศมาใช้ในการวิเคราะห์เพ่ือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการ ขยายสาขาย่อย เป็นตน้

ระบบสารสนเทศในองคก์ ร | 118 2) การตดั สินใจเพ่อื ควบคุมการบรหิ าร ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร เ พ่ื อ ค ว บ คุ ม ก า ร บ ริ ห า ร เ ป็ น ก า ร วางแผนการดาเนินงาน เพอ่ื ตัดสินใจประมวลผล พยากรณ์ แนวโน้มการทางานท่ีส่งผล กระทบต่อองค์กร ให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลดีท่ีสุด ตามนโยบายผู้บริหารระดบั สงู เช่น กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาดหรือผู้ใช้บริการ โดยมี กระบวนการทีค่ ้มุ คา่ ต่อการลงทนุ ที่สดุ 3) การตัดสนิ ใจระดับปฏบิ ัตกิ าร การบริหารจัดการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ เป็นการ ตัดสินใจในงานท่ีประมวลผลรายวัน โดยผู้เก่ียวข้องจะเป็นผู้ดาเนินงาน เช่น การเลือก วิธใี นการผลิตสนิ ค้า หรือการเพ่ิมอุปกรณ์ในการผลติ เป็นตน้ ผู้บรหิ ารระดับสงู การตัดสินใจเชงิ กลยทุ ธ์ ผ้บู รหิ ารระดบั กลาง การตดั สินใจเพ่อื ควบคมุ การบริหาร ผู้บรหิ ารระดบั ลา่ ง การตัดสนิ ใจระดับปฏบิ ตั งิ าน ภาพท่ี 2.30 ประเภทของการตัดสินใจ (ที่มา: ดัดแปลงจาก กิตติ ภกั ดีวัฒนะกุล, 2546, น. 14) 6.3.5 ประเภทการตดั สนิ ใจจาแนกตามโครงสร้างของปญั หา ในการดาเนินขององค์กรจะพบปัญหาในการทางานที่แตกต่าง กันไป ดังนั้นออกแบบระบบให้สามารถรองรับการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจาเป็นต้องเข้าใจประเภทปัญหาเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในแต่ละประเภท โดยโครงสร้างของการตัดสินใจปัญหาได้แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ การตัดสินใจแบบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook