Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore @การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

@การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

Published by ED-APHEIT, 2021-05-16 05:32:21

Description: @การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

Keywords: Mon Apr 06 2020 11:37:45 GMT+0700 (Indochina Time)ED-APHEIT 2021

Search

Read the Text Version

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพือ่ การเปลย่ี นผ่านสปู่ กตวิ ิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) สังเคราะห์ ริเริ่มสร้างสรรค์ในการบริหารงานให้ฝ่ายต่างๆทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเป็นประชาธิปไตย รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แยกงานด้านบริหารออกเป็นระบบที่มีหลาย ระดบั สว่ นผ้บู รหิ ารทมี่ ีประสบการณ์การทำงานทมี่ ากจะเปน็ ผู้ที่มที ักษะและไหวพรบิ ในการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม เช่น ครู ชุมชนและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุภัทรา สงครามศรี, วิชิต อู่อ้น, และกัลยารัตน์ ธีระธนชัยกุล (2559: 41)ได้วิจัยเรื่อง แบบจําลองความสัมพันธ์ของ ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ ประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และผลการปฏิบัติงานของสถาบันการอาชีวศึกษา ผลการวจิ ัยพบว่า พบวา่ 1) ปจั จยั ทมี่ ีผลตอ่ ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ ประกอบดว้ ย สภาพแวดลอ้ มแบบเปิด ความรู้เชิงลึก และแรงจูงใจ ภายใน 2) ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และผลการปฏิบัติงาน นอกจากนีประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรมนุษย์และผลการปฏิบัติงานยังได้รับอิทธิพล ทางออ้ มจากสภาพแวดล้อมแบบเปิด ความรู้เชิงลึก และแรงจูงใจภายใน และ 3) แบบจําลอง SLV Model สอดคล้อง กบั ขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ โดยพจิ ารณาจากคา่ ดชั นี ความกลมกลนื ท้ัง 6 ดัชนีที่ผา่ นเกณฑ์การยอมรับ 2. ระดับการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของผู้บริหารต่อวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่ม กรงุ เทพมหานคร ในดา้ นภาพรวมท่มี รี ะดับมาก พบวา่ ดา้ นภาวะผู้นำ ผลการศึกษาวจิ ยั พบวา่ คา่ เฉลย่ี อย่รู ะดบั มาก ที่ เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจาก ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยแี ละอาชีวศึกษาเอกชน เป็นผูม้ ีทกั ษะและประสบการณ์ในการ ใช้การวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติตามแผนในสถานศึกษาได้ สอดคล้องกับแนวคิดการบริหารงานที่เป็น เลิศของ Malcom Baldring (2010) ได้กล่าวว่า คุณลักษณะของผู้บริหารที่บ่งบอกถึงความสามารถความชำนาญใน การบริหาร การกำหนดทิศทางขององค์กรในระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินการในการสร้างบรรยากาศที่ เสริมสร้างค่านิยมทางจริยธรรม ความทัดเทียม ของระบบธรรมาภิบาล การให้อำนาจตัดสินใจ สนับสนุนให้เกิด นวัตกรรม ความคล่องตัวขององค์การ ความรับผิดชอบตอ่ สาธารณะ การปฏิบัติงานอย่างมีจรรยาบรรณ สอดคลอ้ ง กบั งานวิจัยวนั ทิตา โพธิสาร,สมคดิ สรอ้ ยน้ำ,เรวณี ชยั เชาวรตั น์ (2563) คณุ ลกั ษณะผู้บรหิ ารสถานศึกษาอาชีวศึกษาสู่ ความเป็นเลิศ เงื่อนไขกระบวนการเกิด การดำรงอยู่ และผลที่ตามมา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสร้าง ทฤษฎีฐานราก พื้นที่ในการศึกษาเป็นสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่ผู้บริหารได้รับการ ยอมรับวา่ มีผลสมั ฤทธก์ิ ารบรหิ ารสถานศึกษาทโ่ี ดดเดน่ และประสบผลสำเร็จ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยการสัมภาษณ์เชิง ลึกการวิเคราะห์เอกสาร การสังเกต รวมทั้งตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล การเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักใช้วิธีเลือกแบบ เจาะจงและแบบลูกโซ่ ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้อง จำนวน 30 คน การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้การแปลความ ตีความหมาย และสร้างมโนทัศน์ โดยใช้โปรแกรมประยุกต์ ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะ ผบู้ ริหารสถานศึกษาอาชวี ศึกษาสคู่ วามเปน็ เลิศ ประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะ 2 ประการ คือ 1) ภาวะผนู้ ำทางบุคลิกภาพ ได้แก่ 1.1) ทุ่มเทและมุ่งมั่น 1.2) การเอาใจใส่ 1.3) คุณธรรมจริยธรรม 1.4) ซื่อสัตย์ยุติธรรม 1.5) ระเบียบวินัย 1.6) ทักษะการสื่อสาร 1.7) ความคิดสร้างสรรค์ 1.8) บุคลิกภาพที่ดี 1.9) ความคิดบวก และ 2) ภาวะผู้นำทางการบริหาร ได้แก่ 2.1) ความรู้ ความสามารถทางวชิ าชพี 2.2) พัฒนาตนเอง 2.3) รอบรทู้ ันสมยั 2.4) วิสัยทศั น์ 2.5) มาตรฐานการ บริหารงานสูง 2.6) ทำงานเป็นระบบ 2.7) บริหารจัดการเวลา 2.8) ประสานความร่วมมือ 2.9) การสอนงาน 2.10) การคดิ เซงิ กลยุทธ์ 2.11) การตัดสนิ ใจ 2.12) สรา้ งแรงบันดาลใจ สำหรบั เงอื่ นไข กระบวนการเกดิ คณุ ลักษณะผู้บรหิ าร สถานศึกษาอาชีวศกึ ษาสู่ความเป็นเลิศ ไดแ้ ก่ ภูมหิ ลงั ทาง สงั คม ประสบการณ์ และคณุ วฒุ กิ ารศึกษาทางวิชาชีพ การ หนา้ 201

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพือ่ การเปลยี่ นผ่านสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ดำรงอยู่ ได้แก่ นโยบายสถานศึกษาความมั่นคง และความรักองค์กร และผลที่ตามมา ได้แก่ คุณภาพของสถานศกึ ษา และคณุ ภาพของครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษามคี วามเปน็ เลศิ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคโนโลยี และอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่มกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันกับการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของ วทิ ยาลยั เทคโนโลยแี ละอาชีวศึกษาเอกชนกลมุ่ กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ระดับ สูง ซ่งึ เป็นไปตามสมมตฐิ านท่ีตั้ง ไว้ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของวิทยาลยั เทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน ประกอบด้วย ผู้นําที่มีความคิดความเข้าใจใน ระดับสูง(X1) ความสามารถในการนําปัจจัยนําเข้ากําหนดกลยุทธ์(X2) การมีความคาดหวังและสร้างโอกาสสําหรับ อนาคต(X3) วิธีการคิดเชิงปฏิวัติ(X4) การกําหนดวิสัยทัศน์ (X5) มีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันกับการบริหารงานสู่ ความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่มกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ระดับค่อนข้างสูง ซึ่งภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร ที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ การกําหนดวิสัยทัศน์ (X5) (β =0.318) รองลงมาคือ การมีความคาดหวังและสร้างโอกาสสําหรับอนาคต(X3) (β =0.255) ส่วนด้านท่ีมีอิทธิพลน้อยที่สุดคอื ความสามารถ ในการนําปัจจัยนําเข้ากําหนดกลยุทธ์(X2) (β =0.161) ส่งผลต่อการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศ (y) ในทางบวก สอดคล้องกับ เนต์พัณณา ยาวิราช (2552: 3) กล่าวว่า รูปแบบของผู้นํา เชิงกลยุทธ์เริ่มต้นจากการเป็นผู้นําที่มี วสิ ยั ทศั น์ ผนู้ าํ ท่มี องการณไ์ กล ในอนาคตถงึ ส่งิ ท่ี ตอ้ งการให้เกดิ ข้นึ ในระยะยาวข้างหน้า เช่น 5-10 ปี และวางแผนกล ยุทธ์เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ตั้งใจไว้ ผู้นํากลยุทธ์มีความสนใจต่อสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลกระท บต่อการ กําหนดกลยุทธ์ และแนวคิดของ เดสส์และมิลเลอร์ (Dess and Miller, 1993: 320-321) ให้แนวคิดเกี่ยวกับ ผู้นํา เชงิ กลยุทธ์วา่ กจิ กรรมสาํ หรบั ความเปน็ ผนู้ ําเชิงกลยุทธม์ ี 3 ประการ ดังน้ี 1) การกาํ หนดทศิ ทางขององค์การ (Setting a Direction) เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ท่ีง่าย แก่การเข้าใจ และกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีความหมายต่อธุรกิจ เทคโนโลยี หรือ วัฒนธรรมองคก์ าร ในแงท่ ่ีว่า สง่ิ ท่ีกลา่ วมานจ้ี ะมีรปู รา่ งอย่างไรต่อไปในอนาคต เปน็ การมวี สิ ัยทศั นท์ างกลยุทธ์ น่ันเอง 2) การออกแบบองค์การ (Designing the Organization) เป็นกิจกรรมที่เน้น การประเมินองค์การที่จําเป็นต่อการ ก่อให้เกิดผลลัพธ์ และสามารถนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติได้อย่าง ประสบความสําเร็จ 3) การปลูกฝังวัฒนธรรมขององค์การ (Instilling a Culture) ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง กับความเป็นเลิศและคุณธรรมขององค์การ บุคลากรทั่วทั้งองค์การต้อง ได้รับการสนับสนุนให้ มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน รวมทั้งเข้าใจกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทํางานร่วมกันได้ด้วยความสามารถสูงสุด และพฤตกิ รรมที่มคี ณุ ธรรมอยา่ งเตม็ ท่ี ขอ้ เสนอแนะ ผลทไ่ี ด้จากการศกึ ษา ผวู้ ิจยั ให้ขอ้ เสนอแนะ ได้ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับผลการศึกษา ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและ อาชีวศึกษาเอกชนกลุ่มกรุงเทพมหานคร ได้แก่ 1.1 ด้านผู้นําที่มีความคิดความเข้าใจในระดับสูง(X1 ) ผู้บริหาร วทิ ยาลยั เทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน ผบู้ รหิ ารควรมกี ารปรับปรงุ การวิเคราะห์ระบบต่างๆนาํ ไปสู่การปฏิบัติเร่ือง การกําหนดทศิ ทางการบริหาร ในการ จดั การเรียนการสอน และงบประมาณ ของวิทยาลัย 1.2 ด้านความสามารถใน การนําปจั จัยนําเข้ากําหนดกลยุทธ์ (X2 ) ผู้บริหารของวิทยาลัยควรเปิดโอกาสให้ครไู ด้มีส่วนร่วมในการกําหนดความ ต้องการการจัดลําดับ ความสําคัญ ในการวิเคราะห์ SWOT หรือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและศักยภาพในการ หนา้ 202

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพ่อื การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกตวิ ิถใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ประเมนิ สถานการณ์ ซงึ่ ไดเ้ ปิดโอกาสใหค้ รู นกั ศึกษาไดแ้ สดงความคิดเห็นอยา่ งมีอิสระเพ่ือพิจารณาในการ กําหนดกล ยุทธ์ในการบริหารงาน 1.3 ด้านการมีความคาดหวังและสร้างโอกาสสําหรับอนาคต(X3) ผู้บริหาร ควรมีการสร้าง ความเชื่อมั่นด้านต่างๆ มีการสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับครู ในการปฏิบัติงานใหบ้ รรลุผลสำเร็จร่วมกันเพื่อให้เกดิ ความ รับผิดชอบ พร้อมทั้งการมอบหมายงานตามความสามารถอย่างชัดเจน และมีการกำหนดแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาที่ จะเกิดขึ้นในวิทยาลัย 1.4 ด้านวิธีการคิดเชิงปฏิวัติ(X4) ผู้บริหารต้องมีความคิดเชิงรุก ใช้เทคนิคเสริมแรงให้ครูเกิด กำลังใจในการทำงาน โดยคำนงึ ถึงวฒั นธรรม ประเพณี ศาสนา ศลี ธรรมชุมชนเพือ่ เสรมิ สร้างการพฒั นาที่ยง่ั ยนื คือการ พัฒนาคำนึงถึงความสมดุลของสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ จึงก่อให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน 1.5 ด้านการกําหนด วิสัยทัศน์(X5) ผู้บริหารควรมีการกำหนดวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างผลกำไรทั้งด้านปริมาณและคุณภาพที่ดี มีความ ชัดเจน สื่อสารเข้าใจง่าย สามารถทำได้ โดยคำนึงถึงปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อวิทยาลัย เช่น นโยบายรัฐบาล คูแ่ ขง่ ทางการศึกษา 2. ข้อเสนอแนะสำหรบั ผลการศกึ ษา ระดับการบรหิ ารงานสคู่ วามเป็นเลิศของผูบ้ ริหารต่อวิทยาลยั เทคโนโลยี และอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่มกรุงเทพมหานคร ได้แก่ 2.1 ด้านภาวะผู้นำ(y1) ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและ อาชีวศึกษาเอกชน ควรเป็นผู้นำให้ครูและบุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการระดมความคิด ร่วมตัดสินใจและร่วมสรา้ ง นวัตกรรมใหไ้ ปสเู่ ปา้ หมาย ได้ 2.2 ดา้ นการวางแผนเชงิ กลยทุ ธ(์ y2) ผู้บริหารวทิ ยาลยั เทคโนโลยีและอาชวี ศกึ ษาเอกชน ควรมีความสอดคล้องกันตามความต้องการของสังคมและชุมชน และสามารถนำสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 ด้านการมุ่งเน้นผเู้ รียน ผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสยี และตลาด(y3) ผบู้ ริหารวทิ ยาลยั เทคโนโลยีและอาชวี ศึกษาเอกชน ควร มีความสามารถในการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ เพื่อที่จะพัฒนาผู้เรียนไปสู่ความเป็นเลิศ ได้ 2.4 ด้านสารสนเทศและ การวิเคราะห์(y4) ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน ต้องมีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมตา่ ง ๆ ทง้ั ดา้ นฮาร์ดแวร์ และซอฟแวร์ ให้ทนั ต่อการเปลย่ี นแปลง 2.5 ดา้ นการมงุ่ เน้นคณาจารยแ์ ละบุคลากร(y5) ผู้บริหาร วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน ควรมีทักษะในการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง สร้างแรงจูงใจให้แก่ครูบุคลากร ฝ่ายต่าง ๆ ที่จะทำให้สถานศึกษาก้าวสู่ความเป็นเลิศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.6 ด้านการจัดการกระบวนการ(y6) ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน ควรมีความสามารถใชก้ ระบวนการการปฏิบัติงานทีม่ ีลำดับขั้นท้ัง ให้ใหค้ วามสำเรจ็ ในงานและสอดคล้องกับการบรหิ ารจัดการสู่ความเปน็ เลศิ 2.7 ดา้ นผลลัพธข์ องผลการดำเนนิ งานของ องค์การ(y7) ผู้บริหารควรประเมินประสิทธิภาพของผู้เรียนในวิทยาลัยวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน สามารถเปรยี บเทยี บกบั คู่แข่ง เพอื่ นำไปตอ่ ยอดในการบรหิ ารได้ 3. ข้อเสนอแนะสำหรับผลการศึกษา ภาวะผู้นำเชงิ กลยทุ ธท์ ี่สง่ ผลการบรหิ ารงานสู่ความเปน็ เลิศของวิทยาลัย เทคโนโลยีและอาชวี ศกึ ษาเอกชนกลุ่มกรงุ เทพมหานคร มีความสมั พนั ธท์ ิศทางเดียวกัน อยู่ในระดับสงู อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ สอดคล้องกับตัวแปรที่มีอิทธิพล 3.1 ด้านการกำหนดวิสัยทศั น์ (X5) เป็นภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน กลุ่มกรุงเทพมหานคร ที่ต้องกว้างไกล ชัดเจน เป็นรูปธรรม เชื่อมโยงปัจจุบันและอนาคต กระตุ้นให้สมาชิกให้มี ความรู้สึกสนใจ มุ่งมั่นปฏิบตั ิตามด้วยความเต็มใจ ลักษณะของวสิ ัยทัศน์ท่ีดี มีความชัดเจน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ ได้ เปน็ ภาพเชิงบวกทส่ี ะทอ้ นถึงความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่มกรุงเทพมหานคร ใน อนาคต ซ่ึงจะตอ้ งกำหนดเวลาด้วย ต้องทา้ ทายความสามารถของครู บุคลากรทางการศึกษา ตอ้ งคำนงึ ถึงผู้รับบริการ หน้า 203

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) เป็นสำคัญ มีความสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและ ค่านิยมของสถานศึกษา ผู้บริหารและครูมีส่วนร่วมในการคิดและให้การสนับสนุน สะท้อนให้เห็นจุดหมายปลายทาง ทศิ ทางในอนาคตทที่ ำใหส้ ำเร็จตามเปา้ หมาย สร้างความคาดหวังทเ่ี ปน็ สิ่งพงึ ปรารถนาท่มี องเหน็ ได้ รับรู้ เข้าใจร่วมกัน ได้เหมือนกัน ทั่วกัน และมีแผนทีป่ ฏิบัติที่แสดงให้เห็นวธิ ีการท่ีมุ่งสู่จุดมุ่งหมายชัดเจน คุ้มค่า ทั้งทางด้านปริมาณและ คุณภาพ โดยผู้บริหารจะมีการตดิ ตาม ประเมินผลการปฏิบตั งิ านตามวสิ ัยทัศน์ หากผู้บริหารไมม่ ีวิสยั ทัศน์ มีวิสัยทศั น์ แคบ ก็อาจทำให้สถานศึกษาไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ผู้วิจัยศึกษาตัวแปรที่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้แก่ 3.2 ด้านผู้นําที่มีความคิดความเข้าใจในระดับสูง(X1) ซึ่ง ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนกลุ่ม กรุงเทพมหานคร ควรมีการวิเคราะห์ระบบต่างๆนำไปสู่การปฏิบัติเรื่องการกำหนดทิศทางการบริหาร ในการจัดการ เรยี นการสอน และงบประมาณ มีการรับรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกนกึ คิดโดยใช้วธิ ีบรู ณาการที่หลากหลายในการบริหาร ร่วมกันของครูและนักศึกษาในวิทยาลัย ซึ่งผู้วิจัยเสนอแนวทางการพัฒนาผู้บริหารวิทยาลยั เทคโนโลยีและอาชีวศึกษา เอกชน ได้แก่ การโต้เถียงอย่างมีชั้นเชิง (Controversy with Civility) การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ความ มุ่งมั่น (Commitment) จิตสำนึกในตนเอง (Consciousness of Self) ความสอดคล้องกัน (Congruence) คุณธรรม จริยธรรม(Morality) เทคโนโลยีและนวัตกรรม(Technology and innovation )และการคาดการณ์ต่อการ เปลี่ยนแปลงในอนาคต (Forecasts of future changes) ที่ส่งผลการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของวิทยาลัย เทคโนโลยีและอาชวี ศึกษาเอกชนกลุ่มกรงุ เทพมหานคร เอกสารอ้างอิง สำนักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ(2556), https://sites.google.com/site/ prachasampan56/khwam-pen-ma- khxng-kar-suksa-xekchn, กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพมหานคร. .ราชกจิ จานุเบกษา(2559), http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/042 /3.PDF,สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี,กรงุ เทพมหานคร. ณฏั ฐพล ทีปสวุ รรณ ,https://siamrath.co.th/n/116911 หนงั สือพิมพ์มตชิ น,23 พฤศจกิ ายน 2562http://www.cu-Qa.Chula.ac .th/inside_QA/TRC/2548/report_QA.htm ศิรชิ ัย กาญจนวาสี. (2556). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย สมชาย วรกจิ เกษมสกุล.(2553). ระเบยี บวธิ ีการวจิ ยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์และสังคมศาสตร.์ อุดรธานี : อักษร ศลิ ปก์ ารพิมพ์ บุญชม ศรีสะอาด. (2535), การวจิ ยั เบอื้ งต้น. กรุงเทพฯ : สวุ ริ ยิ าสาส์น DuBrin, J. Andrew. (1998). Leadership: Resarch Findings, Practice, and Skills. New York: Houghton Mifflin Company. Ethics and Harry S. Hertz, (2009-2010) Education Criteria for Performance Excellence leadership , Baldrige National Quality Program ,The Malcolm Baldrige National Quality Award. USA. Taro Yamane(1973 ).Statistics: An Introductory Analysis.3rdEd.New York.Harper and Row Publications. หน้า 204

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพ่ือการเปลย่ี นผา่ นสูป่ กติวถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การดำเนนิ งานการบรหิ ารท่วั ไป ดา้ นระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี น โรงเรียนในกลมุ่ 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 1 General Administration on Student Assistance System of Group 6 Schools under the Office of Secondary Education Service Area Office 1 กฤษฎา จันต๊ะวงค์1* มังกร หริรักษ์2 Krissada Juntawong1* Mangkorn Harirak2 หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชากรบริหารการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ธนบุรี1 และบณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ธนบุรี2 [email protected]*, [email protected] บทคดั ย่อ การวจิ ัยนม้ี วี ัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา(1)การดำเนนิ งานการบริหารท่ัวไป ดา้ นระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน โรงเรียน ในกล่มุ 6 สังกดั สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 (2)เพ่อื เปรียบเทียบการดำเนินงานการบรหิ ารทั่วไป ด้าน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ตามความคิดเห็น ของผู้บริหารและครู จำแนกตามตำแหนง่ และประสบการณ์การทำงาน กลมุ่ ตัวอยา่ งทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ได้แก่ ผ้บู ริหารและครู ของโรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จำนวน 275 คน ใช้วธิ ีการ สุ่มแบบแบ่งชั้น โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้นและสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ซง่ึ มคี ่าดชั นีความสอดคลอ้ งตั้งแต่ 0.80 – 1.0 มคี า่ ความเช่ือมั่นเท่ากบั 1 สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่ การ แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และทำการทดสอบเปน็ รายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวจิ ยั พบว่า 1. การดำเนนิ งานการบริหารทว่ั ไป ดา้ นระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน โรงเรยี นในกลุม่ 6 สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านทีม่ ีค่าเฉล่ีย สูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมนักเรียน รองลงมา คือ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สดุ คอื ดา้ นการร้จู ักนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล ด้านการสง่ ต่อนกั เรยี นและดา้ นการคดั กรองนักเรียนตามลำดับ 2. การเปรยี บเทียบ การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์การทำงาน พบว่า 2.1 ผู้บริหารและครูที่มีตำแหน่งแตกต่างกัน มีการดำเนินงานการบริหารท่วั ไป ดา้ นระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น โรงเรียนในกลุม่ 6 สงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการ ส่งเสริมนักเรียน และด้านการส่งต่อนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านการคัดกรอง นกั เรยี น และด้านการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาของนักเรียน ไม่แตกตา่ งอยา่ งไม่มีนัยสำคัญทางสถติ ิ หนา้ 205

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพือ่ การเปลยี่ นผา่ นสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) คำสำคัญ : การบริหารทั่วไป/ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน/โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษาเขต 1 ABSTRACT The current study aimed ( 1) to investigate general administration on student assistance system of Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1, ( 2) to compare general administration on student assistance system of Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1, as perceived by administrators and teachers ( classified by job positions and working experience). A sample group was 275 administrators and teachers in Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1 in 2020 academic year, recruited by clustered random on school and simple random sampling techniques. A research instrument was a rating- scaled questionnaire, with consistency of .8-1.0 and reliability of 1. Data were analyzed by means of frequency, percentage, mean, standard deviation, independent t-test, one-way ANOVA and Scheffe posthoc comparisons. The findings revealed that (1) overall general administration on student assistance system in Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1 was at a high level. When inspecting at individual aspects, it was found that the highest averaged aspect was student promotion, followed by prevention and solution of students’ problems, while the lowest one was knowing individual students, case transferring, and case screening, respectively. ( 2) Overall level of general administration on student assistance system of Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1, as classified by job position and working experience showed that different job positions of administrators and teachers did not have different overall general administrations on student assistance system. When inspecting at individual aspects, it was found that the aspects of knowing individual students, students’ promotion, and case transferring were significantly different at . 05 level, while the aspects of case screening, prevention and solution of student’s problems yielded no difference. KEYWORDS: General administration/ Student assistance system/ Group 6 schools under the Secondary Education Service Area Office 1 บทนำ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ที่ 3) พุทธศกั ราช 2553 ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เม่ือวันที่ 22 กรกฎาคม 2553 มีจุดมุ่งหมายและหลักการ คือ โดยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วยการศึกษาระดับ หน้า 206

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลยี่ นผ่านส่ปู กตวิ ิถใี หม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษา ซง่ึ มรี ะบบบริหารและการจดั การศกึ ษารวมกันอย่ใู นความรบั ผดิ ชอบของแต่ละเขตพ้ืนที่ การศึกษา ทำให้การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดความไม่คล่องตัวเกิดปัญหาการพัฒนาการศึกษา สมควรแยกเขตพื้นที่การศึกษาออกเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่มัธยมศึกษา เพื่อให้การบริหาร และจดั การศึกษามปี ระสิทธิภาพ อันจะเปน็ การพัฒนาการศกึ ษาแกน่ ักเรยี นในชว่ งช้ันประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้ สัมฤทธิ์ผลและมีคณุ ภาพยิง่ ขน้ึ (พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ 2553,127) สังคมไทยปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและมีปัจจัยหลายด้านท่ีทำให้นักเรียน มีปัญหา ซ่ึงตัว นักเรยี น ครู ผูป้ กครอง ชมุ ชน และสังคม จะต้องช่วยกันแกไ้ ขปญั หาอยา่ งเรง่ ดว่ น และสถานศกึ ษาตอ้ งพฒั นานักเรียน ทกุ คนให้มีคณุ ภาพ ตามศักยภาพโดยใช้ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นในสถานศกึ ษา (มธุริน แผลงจนั ทกึ , 2554, 9) การพัฒนานักเรยี นใหเ้ ป็นบคุ คลที่มี คณุ ภาพทั้งทางดา้ นร่างกาย จติ ใจ สติปัญญา ความสามารถ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมีวิถีชีวิต ที่เป็นสุขตามที่สังคมมุ่งหวังโดยผ่านกระบวนการทางการศึกษาน้ัน นอกจากจะดำเนินการด้วยการ ส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนแล้ว การป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นก็เป็นส่ิงสำคัญ ประการหนึ่งของการ พัฒนา เนื่องจากกระแสการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและความเจริญ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเปิดรับข้อมูลข่าวสารแบบไร้พรมแดน ก่อให้เกิดการหล่ังไหลแลกเปล่ียนของวัฒนธรรมท่ัวโลก ส่งผลให้เด็ก และเยาวชนมีการรับรู้ ความคิด เจตคติ และพฤติกรรมท่ีเส่ียงต่อการเกิดปัญหาสังคมมีมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหายา เสพติดที่แพร่ระบาดใน หมู่นักเรียนนักศึกษา ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่นท่ีนิยมความฟุ่มเฟือยและไม่เหมาะสม ปัญหา พฤตกิ รรม ทางเพศ ทั้งในดา้ นการมีเพศสมั พันธ์ในช่วงอายุที่เร็วข้ึน ปัญหาการพนนั ปัญหาการก่ออาชญากรรม ที่เกิด จากการควบคุมตัวเองไม่ได้จากฤทธ์ิของยาเสพติด ล้วนกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสงบสุข ของสังคม ดังน้ัน ภาพความสำเร็จที่เกิดจากการพัฒนานักเรียนให้เป็นไปตามความมุ่งหวังน้ันจงึ ตอ้ ง อาศัยความร่วมมือจากผู้เก่ียวข้อง ทุกฝ่าย ทุกคน โดยเฉพาะบุคลากรครูทุกคนในโรงเรียนเพื่อการดูแล ช่วยเหลือนักเรียนอยา่ งใกล้ชิดด้วยความรักและ เมตตาต่อศิษย์และภาคภูมิใจในบทบาทที่มีส่วนสำคัญ ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้เติบโตงอกงามเป็น บุคคลท่ีมีคณุ ค่าในสงั คมต่อไป คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ (2552, 12) ตระหนักถึงความสำคัญ ในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้มีความสมบูรณ์พร้อมอย่างเป็นองค์รวมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ คุณธรรมจริยธรรมตลอดจนมีทักษะในการดำรงชีวิต จึงได้ประสาน ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ อย่างยิ่งกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสขุ จัดทำ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนขึ้นตั้งแตป่ ีพ.ศ. 2543 ซึ่งผลการ ดำเนนิ งานท่ผี า่ นมาประสบผลสำเร็จ เปน็ อย่างดีในโรงเรียนท่ีดำเนนิ งานอย่างจรงิ จังและตอ่ เนอื่ ง ดงั นัน้ ทกุ โรงเรียนใน ฐานะที่เป็นหน่วยงาน ที่ต้องรับผิดชอบในการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตผู้เรียน และแก้วิกฤติสังคม จึงควรนำระบบการ ดแู ล ช่วยเหลอื นักเรียนมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ บริบทของแตล่ ะโรงเรียน เช่นเดียวกันผู้วจิ ัยท่ีได้ปฏิบัติหน้าท่ีใน โรงเรียนที่อยู่ในกลุ่ม 6 จำนวน 10 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนวัดนวลนรดิศ โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ โรงเรียนจนั ทร์ประดษิ ฐารามวทิ ยาคม โรงเรียนวดั ประดูใ่ นทรงธรรม โรงเรียนไชยฉมิ พลีวทิ ยาคม โรงเรยี นปัญญาวร คุณ โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม โรงเรียนวัดรางบัว โรงเรียนราชวินิตบางแคปานขำ และโรงเรียน นวลนรดิศ วิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ซึ่งการดำเนินการต่าง ๆ จะต้องประสานร่วมมือกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความร่วมมือใน การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของนักเรียนร่วมกัน แต่ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของแต่ละโรงเรียนในกลุ่ ม 6 มี หน้า 207

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลยี่ นผ่านสู่ปกตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ระบบงานที่แตกต่างกัน อันเนื่องมากจากความแตกต่างทางบริบทของแต่ละโรงเรียน ทำให้การพัฒนาระบบดูแล ช่วยเหลอื นักเรียนเกิดอุปสรรคและปัญหาในการดำเนินงานที่แตกต่างกันทำให้การพฒั นาระบบไม่มีประสิทธิภาพและ ไม่สามารถช่วยเหลอื นกั เรยี นได้อย่างแท้จรงิ จากความเปน็ มาและปัญหาดงั กลา่ วผู้วจิ ยั ในฐานะทเี่ ป็นผูป้ ฏบิ ัตติ ามนโยบายระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น มี ความสนใจที่จะศึกษาการดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนแต่ละแห่งในกลุ่ม 6 ทั้ง 10 โรงเรียนว่ามกี ารดำเนินงานในด้านใดบา้ ง โดยจะดำเนนิ การศกึ ษาตามนโยบายการพัฒนาระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้แบ่งองค์ประกอบในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบ่งออกเป็น 5 ด้าน เพื่อนำผลการวิจัยในครั้งนี้ ไปใช้เป็นขอ้ มูลในการวเิ คราะห์การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 และพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและนำ ผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในด้านการบริหารจัดการเรียนรู้ทางด้านวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ สถานศึกษาต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัด สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 2. เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามตำแหนง่ และประสบการณ์การทำงานของผู้บริหาร และครู เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง สมคิด มาวงศ์ (2554 : 11) ได้ให้ความหมายของการบริหารสถานศึกษาไว้ว่า หมายถึง การดำเนินการใน กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั การจดั การศึกษาในทกุ ด้าน ท่เี กิดจากบคุ ลากรหลาย ๆ คนรว่ มมือกนั บริหารจดั การ โดย ใช้กระบวนการทางการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพอาศัยวิธีการจัดการองค์การที่เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบท ของสถานศึกษาหรอื หนว่ ยงานแต่ละแหง่ วีระ สาบุตร (2554 : 14) ได้สรุปไว้วา่ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง กระบวนการดำเนินงานดูแล ช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีระบบขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริม พัฒนา ป้องกันและร่วมกันแก้ไขปัญหาให้นักเรียนมี ลักษณะอันพึงประสงค์ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปลอดภัย มีวิธีการและเครื่องมือที่มีมาตรฐ านคุณภาพและมี หลักฐานการทำงานที่ตรวจสอบได้ โดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา โดยมุ่งหวัง เพือ่ ใหน้ ักเรยี น มีคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ มที ักษะการดำรงชวี ิตและรอดพ้นจากวกิ ฤติทัง้ ปวง กรมสุขภาพจติ (2551 : 4) ให้ความหมายของระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนว่าเป็นกระบวนการช่วยเหลือ นักเรียนอย่างมีขั้นตอนพร้อมด้วยวิธีการและเครื่องมือการทำงานที่ชัดเจน โดยมีครูที่ปรึกษาเปน็ บุคลากรหลักในการ ปฏิบัติการดังกล่าวและมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับครูที่ปรึกษาหรือบุคคลภายนอก รวมทั้งการ สนับสนุนส่งเสริมจากโรงเรียน การดูแลช่วยเหลือหมายรวมถึง การส่งเสริมป้องกันและการแก้ไขปัญหาโดยมีวิธีการ หนา้ 208

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพ่อื การเปลย่ี นผ่านสปู่ กตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) และเคร่ืองมอื สำหรบั ครูทีป่ รึกษาและบคุ ลากรที่เกีย่ วขอ้ งเพอ่ื ใช้ในการปฏิบตั ิงานพฒั นานกั เรยี นให้มีคุณลักษณะที่ พึง ประสงคแ์ ละปลอดภัยจากสารเสพตดิ วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครู โรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 1 ปกี ารศึกษา 2563 จำนวน 874 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารและครู โรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้น ที่การศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 275 คน ได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง โดยใช้ตารางกำหนด ขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) เป็นเกณฑ์กำหนดกลุ่มตัวอย่าง (sample size) ท่ี ระดับความเชื่อมั่น 95% และกลุ่มสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้น และส่มุ อย่างงา่ ย เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการวิจยั เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นเอง เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่าง สภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 1 แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังน้ี ตอนที่ 1 สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ สถานภาพของครูท่ี ปรึกษา โรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) ประกอบด้วย ตำแหนง่ และ ประสบการณใ์ นการทำงาน ตอนที่ 2 สอบถามเก่ียวกับการดำเนนิ งานการบริหารทั่วไป ดา้ นระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน โรงเรยี นในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ตามองค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการรู้จัก นักเรียนเป็นรายบุคคล 2) ด้านการคัดกรองนักเรียน 3) ด้านการส่งเสริมพัฒนานักเรียน 4) ด้านการป้องกันและแก้ไข ปญั หานกั เรยี น และ 5) ด้านการส่งต่อนกั เรยี น มีลกั ษณะเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) ตามวธิ ีของ ลเิ คิร์ท (Likert) มี 5 ระดับ คอื มากทสี่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยท่สี ดุ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2560,) การสรา้ งและการทดสอบเคร่อื งมอื ผู้วิจยั ไดด้ ำเนนิ การสร้างและทดสอบคณุ ภาพเครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั โดยมีลำดับขั้นตอน ดงั นี้ 1. ศึกษาเอกสารงานวิจัย แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ตาม องค์ประกอบสำคญั 5 ด้าน ประกอบดว้ ย 1) ด้านการรจู้ ักนกั เรยี นเป็นรายบุคคล 2) ดา้ นการคัดกรองนกั เรียน 3) ดา้ น การสง่ เสริมพฒั นานักเรยี น 4) ด้านการป้องกันและแกไ้ ขปญั หานกั เรียน 5) ด้านการสง่ ต่อนกั เรียน เพอ่ื ใชเ้ ป็นแนวทาง ในการสรา้ งและพฒั นาแบบสอบถาม 2. ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) มี 5 ระดับตามแบบของ ของลิเคิร์ท (Likert) หนา้ 209

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 3. สร้างแบบสอบถามโดยกำหนดประเด็นของคำถามใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถุประสงคแ์ ละนิยามปฏิบัตกิ ารของ ตัวแปรในการวิจัย 4. นำแบบสอบถามเสนออาจารย์ท่ีปรกึ ษา การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง ตรวจสอบความถูกตอ้ ง สมบรู ณ์ ให้ ข้อเสนอแนะเพอ่ื ปรับปรงุ แกไ้ ข 5. นำแบบสอบถามที่แก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง แล้ว นำเสนอผู้เชีย่ วชาญจำนวน 3 ท่าน (ภาคผนวก ข) เพื่อตรวจสอบความเท่ียงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดย หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item - Objective Congruence : IOC) กำหนดค่า IOC ถือได้ว่ามีความ เที่ยงตรง = 1 6. นำแบบสอบถามที่แก้ไขปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try – Out) กับกลุ่มทดลอง ที่คล้ายคลึงกับกลุ่ม ตัวอย่าง ผู้วิจัยได้เลือกครูที่ปรึกษาของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 จำนวน 30 คนซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แล้วนำไปหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของคอนบาค (Cronbach) ไดร้ บั ความเช่ือม่นั เทา่ กบั .917 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คร้ังน้ี ผูว้ จิ ัยได้ดำเนินการเกบ็ ข้อมูลดว้ ยแบบสอบถาม มขี น้ั ตอนในการดำเนินการ ดงั นี้ 1. ผู้วิจัยนำหนังสือจากสำนักงานบัณฑิตวิทยาลัย เสนอต่อผู้อำนวยการโรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงาน เขตพื้นทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 เพือ่ ขอความอนุเคราะหเ์ ก็บข้อมลู จากครูท่ีปรึกษา ในการตอบแบบสอบถาม 2. ผู้วิจยั นำแบบสอบถามไปพบกลุ่มตัวอย่างดว้ ยตนเอง จำนวน 275 คน โดยชีแ้ จง วัตถุประสงคแ์ ละอธบิ าย วิธกี ารตอบแบบสอบถามเพ่อื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจและเกบ็ แบบสอบถามกลับคนื ดว้ ยตนเอง 3. ผวู้ จิ ยั ได้รับแบบสอบถามแลว้ ตรวจสอบความถกู ต้องครบถว้ นสมบูรณ์ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ ช่วงชั้น ที่รับผิดชอบเป็นครูที่ปรึกษา และประสบการณก์ ารทำงาน โดยการแจกแจงความถ่ี (Frequency) การหาค่าร้อยละ (Percentage) แล้วนำเสนอใน รูปตารางและแปลผลดว้ ยการบรรยาย วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean : X ) และหาส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) แลว้ นำค่าเฉลย่ี ทไ่ี ดไ้ ปเทยี บกับเกณฑใ์ นการแปลความหมายของคา่ เฉลย่ี ดงั นี้ (ประคอง กรรณสตู , 2554,) วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ ครูที่ปรึกษา โรงเรียนใน กลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามช่วงชั้นที่รับผิดชอบเป็นครูที่ปรึกษา โดยใช้การ ทดสอบค่าที (t-test for Independent Samples) และ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยใช้การวิเคราะห์ ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way Analysis of Variance : ANOVA) และการทดสอบเป็นรายคู่ด้วยด้วยวิธี ของเชฟเฟ่ สถติ ิท่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล 1. สถิตหิ าคณุ ภาพเครือ่ งมือ ไดแ้ ก่ หนา้ 210

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพือ่ การเปลย่ี นผ่านสูป่ กตวิ ถิ ใี หม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item - Objective Congruence : IOC) ความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) 2. สถิตพิ น้ื ฐาน ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี (frequency : f) ร้อยละ (Percentage : P) ค่าเฉลย่ี (Mean : X̅) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.) 3. สถติ ทิ ดสอบสมมตฐิ าน ได้แก่ 3.1 การทดสอบค่าที (t-test of Independent Samples) 3.2 การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดยี ว(One-Way Analysis of Variance : ANOVA) และการ ทดสอบรายคดู่ ว้ ยวิธีการเชฟเฟ่ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ ศึกษาเร่อื งการดำเนนิ งานการบริหารท่ัวไป ด้านระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกดั สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1ตามข้ันตอนการวิจยั ในระยะท่ี 1 โดยนำข้อมูลจากการศึกษา และวิเคราะห์ มาจัดทำระบบผลการวิจัย พบว่า 1. การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรยี น โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น รายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมนักเรียน รองลงมา คือ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา นักเรียน ส่วนด้านที่มีคา่ เฉลีย่ ต่ำท่ีสุด คือ ด้านการรู้จกั นักเรียนเป็นรายบคุ คล ด้านการส่งต่อนักเรียนและด้านการคัด กรองนักเรยี นตามลำดบั ตารางท่ี 1 จำนวนและรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถามจำแนกตามตำแหนง่ และประสบการณก์ ารทำงาน (n = 275) สถานภาพ จำนวน (คน) ร้อยละ ตำแหนง่ 10 3.60 ผู้บริหาร 265 96.40 ครู 275 100.00 ประสบการณ์การทำงาน 89 32.40 ตำ่ กวา่ 10 ปี 68 24.70 10 - 20 ปี 118 42.90 สูงกว่า 20 ปขี ้นึ ไป 275 100.00 หนา้ 211

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพื่อการเปลย่ี นผ่านสู่ปกติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) จากตารางท่ี 1 พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญม่ ตี ำแหน่งเปน็ ครู จำนวน 265 คิดเป็นรอ้ ยละ 96.40 และมีประสบการณ์ การทำงานสูงกวา่ 20 ปขี ึน้ ไป จำนวน 118 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 42.90 ตอนที่ 2 การวิเคราะหข์ ้อมลู เกีย่ วกบั การดำเนนิ งานการบรหิ ารทัว่ ไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรยี น โรงเรยี นในกลุ่ม 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนใน กลุ่ม 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 ในดา้ นการร้จู ักนักเรียนเปน็ รายบุคคล ด้านการคัดกรอง นักเรยี น ด้านการสง่ เสริมพัฒนานักเรยี น ดา้ นการป้องกนั และแกไ้ ขปญั หานักเรยี น และดา้ นการส่งตอ่ นกั เรียน โดยหา คา่ เฉลย่ี ( X ) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิเคราะห์ปรากฏดังตารางที่ 3 ตารางท่ี 2 ค่าเฉลีย่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั การดำเนินงานการบรหิ ารทว่ั ไป ด้านระบบดแู ลชว่ ยเหลือ นกั เรียนโรงเรียนในกลุม่ 6 สงั กัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 1 โดยรวมและรายด้าน . (n = 275) Xการดำเนนิ งานการบริหารทวั่ ไป ด้านระบบดแู ลช่วยเหลือ S.D. ระดับ ลำดบั ที่ นกั เรยี นโรงเรียนในกลุ่ม 6 1. ดา้ นการรจู้ ักนักเรยี นเปน็ รายบคุ คล 4.23 0.08 มาก 3 2. ด้านการคัดกรองนักเรยี น 4.14 0.06 มาก 5 3. ดา้ นการส่งเสริมนักเรียน 4.33 0.10 มาก 1 4. ด้านการป้องกันและแก้ไขปญั หานักเรียน 4.25 0.08 มาก 2 5. ดา้ นการส่งต่อนักเรยี น 4.17 0.05 มาก 4 โดยรวม 4.22 0.07 มาก จากตารางที่ 2 พบว่าการดำเนนิ งานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนโรงเรียนในกลุ่ม 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก ( X = 4.22 ) เม่อื พิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านการส่งเสริมนักเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( X = 4.33 ) รองลงมาเป็นด้าน การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หานักเรยี น ( X = 4.25 ) สว่ นดา้ นการคดั กรองนกั เรียน มคี ่าเฉลย่ี ตำ่ สดุ ( X = 4.14 ) 2. การเปรียบเทียบการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์การทำงาน พบว่า ผู้บริหารและครูทีม่ ตี ำแหน่งแตกตา่ งกัน มีการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน โรงเรียน ในกลุ่ม 6 สังกัดสำนกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ดา้ นการรจู้ ักนักเรยี นเปน็ รายบุคคล ดา้ นการส่งเสริมนักเรียน และดา้ นการสง่ ตอ่ นกั เรียน แตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านการคัดกรองนักเรียน และด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน ไม่แตกต่าง อยา่ งไมม่ ีนัยสำคญั ทางสถติ ิ หนา้ 212

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสูป่ กติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตารางที่ 3 การเปรยี บเทยี บความคิดเห็นของผู้บริหารและครูการดำเนนิ งานการบริหารทัว่ ไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนโรงเรยี นในกลุ่ม 6 สงั กดั สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามประสบการณ์ ในการทำงาน (n = 275 ) การดำเนนิ งานการบริหารทัว่ ไป ด้านระบบ แหล่งความ SS df MS F p ดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนโรงเรียนในกลมุ่ 6 แปรปรวน 1. ด้านการรจู้ กั นกั เรียนเป็น . รายบุคคล ระหว่างกลมุ่ 7.662 2 3.831 14.006* 0.000 ภายในกล่มุ 74.399 272 .274 รวม 82.061 274 2. ด้านการคดั กรองนกั เรียน ระหว่างกลุม่ 11.413 2 5.706 17.886* 0.000 ภายในกล่มุ 86.779 272 .319 รวม 98.191 274 3. ดา้ นการสง่ เสริมนักเรยี น ระหวา่ งกลุ่ม 8.202 2 4.101 13.688* 0.000 ภายในกลุ่ม 81.490 272 .300 รวม 89.692 274 4. ด้านการป้องกนั และแก้ไข . ปญั หา ระหว่างกลมุ่ 6.804 2 3.402 12.610* 0.000 นักเรียน ภายในกลุ่ม 73.382 272 .270 รวม 80.186 274 5. ดา้ นการส่งตอ่ นักเรียน ระหว่างกลุ่ม 12.713 2 6.356 16.990* 0.000 ภายในกลุม่ 101.760 272 .374 รวม 114.472 274 ระหวา่ งกลุ่ม 9.123 2 4.562 21.817* 0.000 รวม ภายในกล่มุ 56.872 272 .209 รวม 65.996 274 * มีนยั สำคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 จากตารางที่ 3 พบว่า ผู้บริหารและครูมีประสบการณ์ในการทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการ ดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 1 โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติ สรุปผลการวิจยั การวิจัยเรื่องการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัด สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 มปี ระเด็นสำคัญท่ีนำมาอภปิ รายผลการวจิ ยั ดังนี้ 1. การดำเนนิ งานการบริหารทั่วไป ดา้ นระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี น โรงเรยี นในกลุม่ 6 สงั กดั สำนักงานเขต พื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยูใ่ นระดับมาก ทัง้ นอ้ี าจเป็นเพราะว่าผบู้ ริหารมีนโยบายให้ครูที่ปรึกษาเข้า ร่วมกิจกรรมโฮมรูม ทุกครั้ง มีการสอบถามข้อมูลจัดเก็บ คัดกรองและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานนักเรียนอย่างถูกต้อง และมีการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งต่อนักเรียนทั้งภายในและภายนอกได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับงานวิจัย หนา้ 213

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นสู่ปกตวิ ิถใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ของจุฑาทิพย์ พงษา (2556) ได้ศึกษาสภาพปญั หาและแนวทางการพฒั นาการดำเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 สรุปผลการวิจัยปรากฏว่า สภาพและปัญหาการ ดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรยี นของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ด้าน สภาพอยูใ่ นระดับมาก 2. การเปรียบเทียบการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกดั สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง พบว่า ผูบ้ ริหารและครทู ่ีมตี ำแหน่งแตกตา่ ง กนั มีการดำเนินงานการบริหารทว่ั ไป ดา้ นระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลมุ่ 6 สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 1 ดา้ นการส่งเสรมิ นกั เรียนและดา้ นการส่งต่อนกั เรียน แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ ที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารและครูที่ปฏิบัติหน้าที่ของโรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้บริหารโรงเรยี นและครู สอดคล้องกับงานวิจัย ของ ธีรภัทร สำเภา (2552 : 78-80) ได้ศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ โรงเรียนทเ่ี ปิดสอนชว่ งชั้นท่ี 3 - 4 สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาในจังหวัดนครพนม ผลการวจิ ัยพบวา่ ความคิดเห็นของ ผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน และครูที่ปรึกษาซึง่ มีตำแหน่งต่างกันมีความ คิดเห็นตอ่ สภาพและปญั หาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 จำแนกตามประสบการณก์ ารทำงาน พบวา่ บรหิ ารและครทู ่มี ีประสบการณ์ในการทำงานแตกตา่ งกนั มกี าร ดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการคดั กรองนักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา นักเรียน และด้านการส่งต่อนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ความรู้ ความชำนาญ ที่เกิดจากการกระทำหรือได้พบเห็นมา จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คื อ ประสบการณ์ต่ำกว่า 10 ปี ประสบการณ์ตั้งแต่ 10 – 20 ปี ประสบการณ์สูงกว่า 20 ปขี ึน้ ไป ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของสุภาพ อัยยะ (2555) ได้ ศึกษาสภาพปัญหาและการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ขอนแกน่ เขต 1 ผลการวจิ ยั พบว่า ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาท่มี ปี ระสบการณก์ ารทำงานต่างกันมคี วาม คิดเห็นตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิ ท่รี ะดบั .01 อภิปรายผล การวิจัยเรื่องการดำเนินงานการบริหารทัว่ ไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัด สำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 1 มีประเดน็ สำคญั ทนี่ ำมาอภปิ รายผลการวจิ ยั ดังนี้ 1. การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรยี น โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนกั งาน เขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก ท้งั นี้อาจเป็นเพราะวา่ ผ้บู รหิ ารมนี โยบายใหค้ รทู ่ปี รกึ ษา เข้าร่วมกจิ กรรมโฮมรมู ทุกคร้งั มีการสอบถามข้อมูลจัดเกบ็ คัดกรองและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานนักเรียนอย่างถูกต้อง และมีการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งต่อนักเรียนทั้งภายในและภายนอกได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับงานวิจัย ของจฑุ าทิพย์ พงษา (2556) ได้ศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 สรุปผลการวิจัยปรากฏว่า สภาพและปัญหาการ หน้า 214

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพ่ือการเปลย่ี นผ่านสูป่ กตวิ ิถใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรยี นของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ด้าน สภาพอยู่ในระดับมาก ส่วนงานของกัลยา พรมรัตน์ (2559) ได้ศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดูแล ชว่ ยเหลือนักเรียนของโรงเรียน ในสงั กดั สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 สรปุ ผลการวจิ ยั คือ สภาพการดำเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน โดยรวมมกี ารปฏบิ ัตอิ ยู่ในระดับมาก การดำเนินงานการบริหารทว่ั ไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน โรงเรียนในกลมุ่ 6 สงั กดั สำนักงานเขต พน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 เมื่อพจิ ารณาเป็นรายด้าน พบวา่ อยู่ในระดบั มาก ซ่ึงผูว้ ิจยั ขอนำมาอภิปรายคร้ังน้ี 1.1 ด้านการส่งเสริมนักเรียน พบว่า การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวม อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็น เพราะผู้บริหารและครูนำส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนที่จัดในกลุ่มปกติและที่มีความสามารถพิเศษ ซึ่งทางโรงเรียน จะตอ้ งมกี ารสนบั สนนุ สง่ เสริมนักเรียน ให้สามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการตามศักยภาพ โดยการ จัดกิจกรรมต่าง ๆสอดคล้องกับงานวิจัยของ มนัส ขาวไชยมหา (2552 : 31) สรุปไว้ว่า การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม และพัฒนานักเรียน ครูท่ีปรึกษาต้องเตรียมการหารือคณะทำงานเพื่อวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน และผู้เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบในการจัดกิจกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับนักเรียนเปิดโอกาสให้ นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเสนอกิจกรรมที่สนใจ เป็นการส่งเสริมพัฒนานักเรียนตามความต้องการ ทำให้นักเรียนมี ความมั่นใจในตนเอง เกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของตนเอง ส่งผลให้เกิดการปรับตวั ท่ีเหมาะสม ส่วนงานวิจัย ของ วีระ สาบุตร (2554 : 26) สรุปไว้ว่า การส่งเสริมนักเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับครูประจำชั้น เป็นการ สนับสนุนให้นักเรียนที่อยู่ในความดูแลของครูที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปกติหรือกลุ่มเสี่ยง ให้มีความภาคภูมิใจใน ตัวเองมากขึ้นและมีคุณภาพตามเป้าหมายของโรงเรียนหรือชุมชนที่คาดหวังไว้ โดยมีการจัดกิจกรรม โครงการ โครงงานส่งเสริมพัฒนานกั เรยี นให้รู้จกั ตนเอง รักและเห็นคุณคา่ ในตนเอง มีทกั ษะในการดำรงชวี ิต รู้จักควบคมุ ตนเอง โดยอาศัยกจิ กรรมตา่ ง ๆ โดยโรงเรียนและครูท่ปี รกึ ษาจะตอ้ งมีการวางแผน กำหนดนโยบายในการจดั กจิ กรรมส่งเสริม พัฒนาผู้เรียน เช่น กิจกรรมโฮมรูมสั้น กินกรรมโฮมรูมยาว กิจกรรมประชุมผู้ปกครองนักเรียน การประเมินตนเอง ของครู เป็นต้น เพื่อป้องกันมิให้นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มปกติกลายเป็นนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มช่วยเหลือ ซึ่งเป็นการ ช่วยให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มช่วยเหลือ กลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติและ มีคุณภาพตามที่สถานศึกษาและชุมชน คาดหวงั ต่อไป 1.2 ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา พบว่า การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรยี น โรงเรยี นในกลมุ่ 6 สังกดั สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอย่ใู นระดับมาก ทั้งนี้อาจ เป็นเพราะผู้บริหารและครูมีการป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไม่ให้เกิดขึ้นด้วยการเฝ้าระวัง โดยการสั งเกต พฤติกรรม ความผิดปกติจากพฤติกรรมเดิม ๆ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน โดยครูทีป่ รึกษาและทุกฝ่ายรว่ มมือกนั และเมื่อเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงและ พฤติกรรมที่มีปัญหาต่าง ๆ ตามมา ซึ่งจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน โดยครูที่ปรึกษาเป็นผู้คอย ประสานงานดำเนินการ เพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น และสามารถ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขสอดคล้องกับงานวิจัยของ ประภาส นาคประวัติ (2553 : 30) สรุปว่า การ ป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนนั้น จะต้องทราบถึงสาเหตุของปัญหาและจะต้องยอมรับในความแตกต่างของบุคคล หน้า 215

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพ่ือการเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การใหค้ ำปรกึ ษาทด่ี ี เอาใจใส่นกั เรยี นอย่างใกลช้ ิด เพราะจะทำใหน้ กั เรยี นเกดิ ความรสู้ ึกไวใ้ จ อบอุน่ เปน็ มติ ร สามารถ เป็นที่พงึ่ ใหก้ บั ตวั นกั เรยี นได้ รวมถึงการแกไ้ ขปัญหานัน้ ควรทำดว้ ยวธิ ีประนีประนอม ไม่ปล่อยปละละเลยนักเรียน แล้ว ใช้เทคนิควิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงกับสาเหตุ ซึ่งการให้คำแนะนำปรึกษา จึงไม่มีสูตรการช่วยเหลือที่ตายตัว เพียงแต่มีแนวทาง กระบวนการหรือทักษะการช่วยเหลือที่ครูแต่ละคนสามารถเรียนรู้ฝึกฝน เพื่อนำไปใชใ้ ห้เหมาะสม กบั ปญั หา ในนักเรยี นแตล่ ะคนและควรทจี่ ะรว่ มมอื รว่ มใจกันในการแก้ปัญหาต่าง ๆ จากบคุ คลที่เกยี่ วขอ้ ง 1.3 ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล พบว่า การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจ เป็นเพราะผู้บริหารและครูมีการดำเนินการรู้จักนักเรียนทุกคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของครูที่ปรึกษาที่จะต้อง ดำเนินการเก็บข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนจำนวน 4 ด้านได้แก่ ด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านสภาพครอบครัว ความเป็นอยู่ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของ นักเรียนท้งั เชงิ บวกและเชิงลบ เพอื่ ประโยชน์ในการคดั กรองและแยกประเภทและจดั กลุม่ นักเรียนในการดำเนนิ การให้ ความชว่ ยเหลือหรือด้านการสง่ เสริมสนับสนนุ สอดคล้องกบั งานวิจัยของ วีระ สาบตุ ร (2554 : 22) ได้สรปุ ไว้วา่ การ รู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลนั้นครูที่ปรึกษาจะต้องมีข้อมูลที่แท้จริงของนักเรียนทุกด้าน เช่น ด้านการเรียน ด้าน ความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมนักเรียนให้มากที่สุด โดยข้อมูลดังกล่าวอาจ ได้มาจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน ใช้วิธีการและเครื่องมอื อืน่ ๆ และการเยี่ยมบ้านเด็กนักเรยี นเพื่อสอบถาม ข้อมูลจากผู้ปกครองและต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียนแต่ละคนนำมาแยกไว้เฉพาะราย จะเป็นประโยชน์ สำหรับการป้องกันดูแลช่วยเหลือนักเรียนในกลุ่มต่าง ๆ ให้ตรงกับปัญหานั้น ๆ ส่วนงานวิจัยของ เกียรติพงษ์ เกิดศรี (2557 : 8) ได้ใหค้ วามหมายไว้วา่ การรู้จกั นกั เรยี นเปน็ รายบุคคล หมายถงึ การศึกษาพฤติกรรมของนกั เรยี นในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเรียน ความสามารถ สุขภาพ พฤติกรรม ครอบครัว เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับครูที่ปรึกษาในการจัด กิจกรรมเพื่อปอ้ งกันหรอื ส่งเสรมิ พัฒนา รวมทงั้ ช่วยเหลือแกป้ ญั หาไดอ้ ย่างถกู ทางและรวดเรว็ 1.4 ดา้ นการส่งตอ่ พบวา่ การดำเนินงานการบรหิ ารท่วั ไป ด้านระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน โรงเรยี นในกล่มุ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทง้ั น้อี าจเปน็ เพราะผู้บริหารและครู มีการดำเนินการแก้ไขปัญหานักเรียนที่นอกเหนืออำนาจของทางโรงเรียนท่ีจะดำเนินการได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายใน ระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น ท่ีมพี ฤตกิ รรมท่มี ปี ัญหาอยา่ งรุนแรง ซงึ่ ต้องมกี ารสง่ ตอ่ ความชว่ ยเหลือให้กับหน่วยงานที่ มหี น้าทร่ี ับผิดชอบเกี่ยวกบั พฤตกิ รรมนั้น ๆ โดยตรง สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของ สุภาพ อัยยะ (2552 : 15) สรปุ ว่า การ ส่งต่อนักเรียน หมายถึง การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนโดยครูที่ปรึกษาดำเนินงานตามกระบวนการ แล้วมี บางกรณีที่ปัญหามีความยากต่อการช่วยเหลือและนักเรียนมีพฤติกรรมไม่ดีขึ้น ให้พิจารณาดำเนินการส่งต่อไปยัง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่อไป เพื่อให้ปัญหาของนักเรียนได้รับการช่วยเหลืออย่าถูกทางและรวดเร็ว ส่วนงานวิจัยของวี ระ สาบุตร (2554 : 30) ได้สรุปไว้ว่า การส่งต่อนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักเรี ยนที่มีปัญหารุนแรงจนเกิน ความสามารถของครูที่ปรึกษา โดยแต่ละโรงเรียนควรมีเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการส่งต่อนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่ชัดเจน เพื่อให้มีการปฏิบัตทิ ่ีเหมือนกัน โดยผู้บริหารจะต้องช้ีแจงให้ครูที่ปรึกษา ครูที่เกี่ยวข้อง ผู้ปกครองนักเรียนทราบ การ ส่งต่อภายในน้ันหากส่งต่อไปยังครูแนะแนวหรือฝ่ายปกครอง ครูที่รับต่อต้องมีการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและ ประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการช่วยเหลือท่ีมีประสิทธิภาพ แต่หากเกิดกรณีที่ยากต่อการช่วยเหลืออีก ก็ต้องสง่ หน้า 216

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพ่อื การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกติวถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตอ่ ผู้เชยี่ วชาญภายนอก เพือ่ ทน่ี กั เรยี นจะรบั การชว่ ยเหลอื ต่อไปและมกี ารติดตามประเมนิ ผล เพ่อื รายงานผลการส่งต่อ ใหผ้ บู้ ริหารสถานศกึ ษารับทราบ 1.5 ด้านการคัดกรองนักเรียน พบว่า การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลมุ่ 6 สังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 โดยรวม อยู่ในระดับมาก ทงั้ น้ีอาจเป็นเพราะ ผู้บรหิ ารและครนู ำข้อมูลทจ่ี ดั เก็บได้จากการเกบ็ ขอ้ มูลนกั เรยี นเป็นรายบคุ คลดา้ นต่าง ๆ ท้งั 4 ด้านมาวเิ คราะหแ์ ละจัด กลุ่มนักเรียนโดยแบ่งตามพฤติกรรมของนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหา สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของ กรมสขุ ภาพจิต (2551 : 22-23) ไดส้ รปุ ถงึ การคัดกรองนักเรียน คือ กระบวนการดำเนนิ การ หลังจากที่ครูที่ปรึกษาได้ศึกษาทำความรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลแล้ว โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์สรุปผลเพื่อแยก นักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหา ประโยชน์ของการจัดกลุ่มนักเรียนก็เพื่อให้การ ดูแลช่วยเหลือและแก้ไขปัญหานักเรียนตรงกับปัญหาหรือ ความต้องการมากที่สุด สามารถแก้ไขนักเรียนที่มีความ จำเป็นเร่งด่วนและได้ผลอย่างรวดเร็ว ข้อควรระมัดระวังสำหรับครูที่ปรึกษาในการคัดกรอง คือ ต้องระมัดระวังไม่ให้ นักเรียนได้ทราบข้อมูลผลการคัดกรองว่าตนเองถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มมีปัญหาและแตกต่างจากกลุ่มปกติ ถึงแม้ว่านักเรียนจะรู้ดีว่าตนเองควรจัดอยู่ในกลุ่มใด เพราะจะทำให้มีผลต่อความรู้สึกนักเรียน หรืออาจถูกเพื่อน ล้อเลียน เมื่อครูที่ปรึกษาสรุปผลการคัดกรองนักเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรมีการประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อขอ ความร่วมมือในการช่วยเหลือนักเรียน แต่พึงระมัดระวังในเรื่องการสื่อสารกับผู้ปกครองเกี่ยวกับผลการคัดกรองที่ นกั เรยี นถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือกลมุ่ มีปัญหา แนวทางการวิเคราะหข์ ้อมูลนักเรียนเพื่อคดั กรองของครูท่ีปรึกษา ควร มีการประชุมครูในโรงเรียนเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มของนักเรียน ให้มีหลักเกณฑ์และมาตรฐานเป็นไป ในทางเดยี วกนั เปน็ ทีย่ อมรับของครทู ่ีปรึกษาในโรงเรยี นเพ่ือใช้เกณฑก์ ารคดั กรองดังกลา่ ว สว่ นงานวิจัยของจุฑาภรณ์ นาคประวตั ิ (2553 : 21) สรุปได้ว่าการคดั กรองนักเรยี นทด่ี ีจะต้องแยกนกั เรียนใหช้ ัดเจนวา่ นักเรียนคนใดควรจัดให้อยู่ ในกลุ่มไหนโดยครูที่ปรึกษาหรือครูที่ปรึกษาจัดแบ่งตามข้อมูลที่มีอยู่ คือกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหาและ จะต้องคอยสอดส่องพฤติกรรมนักเรียนในกลมุ่ น้นั ๆ อยา่ งใกลช้ ิด เพอ่ื ปอ้ งกันปญั หาท่ีจะเกิดข้ึนและทีส่ ำคัญ คือ ครูท่ี ปรึกษาเกบ็ ผลการคดั กรองเป็นความลบั ไมใ่ ห้นักเรยี นรู้วา่ ตนเองอยใู่ นกลมุ่ ผดิ ปกติ 2. การเปรียบเทียบการดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง พบว่า ผบู้ ริหารและครทู มี่ ตี ำแหนง่ แตกตา่ ง กนั มีการดำเนินงานการบริหารทว่ั ไป ด้านระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรยี นในกลุ่ม 6 สังกดั สำนักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 ด้านการสง่ เสรมิ นกั เรียนและด้านการสง่ ตอ่ นกั เรียน แตกต่างกันอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิ ที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารและครูที่ปฏิบัติหน้าที่ของโรงเรียนในกลุ่ม 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 1 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้บริหารโรงเรียนและครู สอดคล้องกับงานวิจัย ของ ธีรภัทร สำเภา (2552 : 78-80) ได้ศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ โรงเรยี นท่ีเปิดสอนช่วงชัน้ ท่ี 3 - 4 สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาในจังหวัดนครพนม ผลการวจิ ัยพบว่า ความคิดเหน็ ของ ผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน และครูท่ีปรึกษาซึง่ มีตำแหน่งต่างกันมีความ คิดเหน็ ตอ่ สภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียนโดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 จำแนกตามประสบการณก์ ารทำงาน พบว่าบริหารและครูทมี่ ปี ระสบการณ์ในการทำงานแตกตา่ งกนั มกี าร หนา้ 217

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพื่อการเปลย่ี นผา่ นสูป่ กตวิ ิถใี หม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา นักเรียน และด้านการส่งต่อนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ความรู้ ความชำนาญ ที่เกิดจากการกระทำหรือได้พบเห็นมา จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ประสบการณ์ต่ำกว่า 10 ปี ประสบการณต์ งั้ แต่ 10 – 20 ปี ประสบการณส์ ูงกว่า 20 ปีขึน้ ไป ซง่ึ สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของสุภาพ อยั ยะ (2555) ได้ ศึกษาสภาพปัญหาและการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ขอนแก่น เขต 1 ผลการวจิ ัยพบวา่ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทมี่ ปี ระสบการณ์การทำงานตา่ งกันมีความ คิดเห็นต่างกนั อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิ ท่ีระดบั .01 ข้อเสนอแนะ 1. ควรศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพควบคู่ไปกับการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการดำเนินงาน การบรหิ ารทัว่ ไป ดา้ นระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น โรงเรียนในกลุ่ม 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 2. ควรศึกษาวจิ ยั เกี่ยวกับปจั จัยที่มอี ทิ ธิพลตอ่ ความสำเรจ็ ในการดำเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลือโรงเรยี น 3. ควรศกึ ษาวจิ ัยเก่ียวกบั แนวทางการดำเนนิ งานการบริหารทว่ั ไป ด้านระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน โรงเรยี น ในกลมุ่ 6 สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 1 เอกสารอ้างอิง กรมสุขภาพจิต. (2551). คู่มือครูระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ช่วงชั้นที่ 3 - ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6). กรงุ เทพฯ : ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2553) .พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2553. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพรา้ ว. กัลยา พรมรัตน์. (2559) . การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหา บัณฑติ สาขาวชิ าบริหารการศึกษา : มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั พระนครศรอี ยุธยา.ของโรงเรียนสงั กดั สำนกั งานเขต พ้ืนท่ีการศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา. วทิ ยานิพนธ์ เกยี รตพิ งษ์ เกดิ ศรี. (2557). แนวทางการดำเนนิ งานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศึกษาอทุ ยั ธานี เขต 2. วิทยานิพนธค์ รศุ าสตรมหา บัณฑติ สาขาบริหารการศกึ ษา. มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์. จุฑาทพิ ย์ พงษา. (2556). สภาพปญั หาและแนวทางการพฒั นาการดำเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. หน้า 218

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) จุฑาภรณ์ นาคประวตั .ิ (2553). ปัญหาแนวทางการพัฒนาการดำเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนใน เขตอำเภอสอยดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจันทบุรี เขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา. มหาวทิ ยาลยั บรู พา. ธีรภทั ร สำเภา. (2552). สภาพและปญั หาการดำเนนิ ระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรียนของ โรงเรียนทเ่ี ปดิ สอนช่วงชั้นท่ี 3-4 สังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาในจังหวดั นครพนม. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาครศุ าสต รมหาบณั ฑติ สาขาการบริหารการศกึ ษา. มหาวทิ ยาลยั นครพนม. บุญชม ศรสี ะอาด. (2560). การวจิ ัยเบ้ืองต้น. พิมพค์ รงั้ ที่ 10 ฉบบั ปรบั ปรงุ . กรุงเทพมหานคร : สวุ ีรยิ าสาสน์ ประคอง กรรณสตู .(2554).สถติ ิศาสตรป์ ระยกุ ตส์ ำหรับครู.กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . ประภาส นาคประวัติ. (2553). การศึกษาการดำเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนช่วงชั้นที่ 1-3 ในเขตอำเภอสอยดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจันทบุรี เขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา. มหาวทิ ยาลยั บูรพา. มธุริน แผลงจันทึก. (2554).การศึกษาปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ โรงเรียนในสังกัด สำนกั งานเขตพ้ืนทกี ารศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5. วทิ ยานิพนธค์ รศุ าสตรมหาบณั ฑิต, สาขาวิชา การบริหารการศึกษา, บณั ฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ มนัส ขาวไชยมหา. (2552). สภาพและปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนประจำเฉพาะคน พิการประเภทความบกพร่องทางการได้ยินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลยั บรู พา. วีระ สาบุตร. (2554). การศึกษาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูที่ปรึกษาในโรงเรียนสังกัด สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาครุศาตรมหาบัณฑิต สาขาการบรหิ าร การศกึ ษา. มหาวิทยาลัยราชภฏั สรุ าษฎร์ธานี สมคิด มาวงศ์. (2554). การศึกษาการบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนตามความคิดเห็นของครู สังกดั โรงเรยี นเทศบาลในจงั หวดั ระยอง จนั ทบุรีและตราด. วิทยานิพนธ์ ค.ม.(การบรหิ ารการศึกษา). จนั ทบุรี : บัณฑติ วิ ิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏรำไพพรรณี. สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน. (2552).ระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน. เอกสารสรปุ ยอ่ องค์ความรู้. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2550). การศึกษาสภาพการจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนใน สถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน. กรุงเทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สุภาพ อัยยะ. (2552). สภาพและปัญหาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาขอนแก่น เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภฏั เลย. หนา้ 219

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพ่อื การเปลยี่ นผ่านสูป่ กติวถิ ใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ความสัมพนั ธ์ระหว่างทกั ษะการบริหารกบั กระบวนการวางแผนกลยทุ ธ์ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาอาชีวศกึ ษา ภาคกลาง สังกดั สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา Relationship between Managerial Skills and Strategic Planning Process of Administrators of Vocational Colleges in Central Region under the Office of Higher Education Commission. เยาวรตั น์ โกรพบรุ *ี มังกร หริรกั ษ์ หลกั สูตรศึกษาศาตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ธนบุรี E-mail : [email protected] บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาค กลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) ระดับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหวา่ งทักษะการบริหาร กับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 324 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถามแบบ มาตรสว่ นประเมินคา่ สถิติทีใ่ ช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความสมั พันธ์ ระหว่างตวั แปรด้วยวธิ ขี องเพียร์สนั ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดบั มากที่สุด เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าด้านที่มีค่าเฉล่ยี สูงสุด คือ ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รองลงมา คือ ทักษะด้านการวินิจฉัย และระดับต่ำสุด คือ ทักษะด้าน นโยบาย 2) ระดับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดบั มากท่ีสุด เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าด้านที่มีคา่ เฉล่ยี สูงสุด คือ การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ รองลงมา คือ การวิเคราะห์กลยุทธ์ และระดับต่ำสุด คือ การประเมินผลและการควบคุม กลยุทธ์ 3) ทักษะการบริหารของผู้บริหารมีความสมั พันธ์ทิศทางเดียวกันกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหาร สถานศึกษา อาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาพรวมอยู่ระดับสูงมาก (r = 0.927) ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมตฐิ านทีต่ ั้งไว้ อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั 0.05 คำสำคัญ : ทักษะการบริหาร/กระบวนการวางแผนกลยุทธข์ องผู้บริหารสถานศึกษา/อาชวี ศกึ ษาภาคกลาง สงั กัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา หนา้ 220

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอ่ื การเปลย่ี นผ่านสูป่ กติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ABSTRACT The current study aimed to investigate (1) level of managerial skills of administrators in the vocational colleges in the central region under the Vocational Education Commission, ( 2 ) level of strategic planning process of administrators in the vocational colleges in the central region under the Vocational Education Commission, and ( 3 ) relationship between managerial skills and strategic planning process of administrators in vocational colleges under the Vocational Education Commission. A sample group was 3 2 4 teachers. A research instrument was a rating- scaled questionnaire. Data were analyzed by means of frequency, percentage, standard deviation, and Pearson’s Correlation Coefficient. The findings revealed that ( 1 ) overall level of managerial skills of vocational college administrators under the Commission of Vocational Education was at a highest level. When inspecting at individual aspects, the highest averaged aspect was interpersonal skill, followed by diagnostic skill, while the lowest averaged was policy skill. (2) Overall level of strategic planning process of vocational college administrators under the Commission on Vocational Education in the central region was at a highest level. When inspecting at individual aspects, the highest averaged aspect was implementation, followed by strategy analysis, while the lowest averaged was strategy evaluation and monitoring. (3) Managerial skills positively related to strategic planning process among vocational college administrators under the Commission of Vocational Education in the central region, significantly at .05 level. KEYWORDS: Managerial skills/ Strategic planning process of college administrators/ Vocational colleges under the Commission on Higher Education, central region บทนำ ในการบริหารจัดการสถานศึกษาจะสามารถเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้น้ัน ผบู้ ริหารจงึ ควรมีทกั ษะในการบริหาร โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ทกั ษะทสี่ ามารถบรหิ ารงานจะครอบคลมุ ภารกจิ และบทบาท ได้ทั้งหมด ซึ่งทักษะการบริหาร 5 ด้าน Dubrin (2012) ประกอบด้วย 5 ด้าน ซึ่งได้แก่ 1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) 2. ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Skills) 3. ทักษะด้านมโนภาพ (Conceptual Skills) 4. ทักษะด้านการวินิจฉยั (Diagnotic Skills) 5. ทักษะด้านนโยบาย (Political Skills) ซึ่งหาก ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษามีทักษะในการบริหารดังกลา่ วแลว้ กจ็ ะสามารถส่งผลไปยงั การดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ในลำดบั ต่อไปได้ เพราะในการวางแผนกลยุทธ์ในการบริหารสถานศึกษานั้น ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีทีมงานท่ีดี เป็นทีมงานที่ จะทำงานอย่างเต็มศักยภาพด้วยความเต็มใจเพื่อจะพัฒนาสถานศึกษาให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ดังนั้นทักษะการ หนา้ 221

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผ่านสู่ปกตวิ ถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) บริหารท่ีกลา่ วมาข้างต้นจงึ เป็นส่งิ ทผี่ ู้บรหิ ารพึงมี อันเปน็ เครอ่ื งมอื สำคัญทจ่ี ะช่วยให้ผู้บริหารสามารถสรา้ งทีมงานท่ดี ี มี ศักยภาพในการดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ ตามแนวคิดของ Thompson and Strickland (1995) กล่าวว่า กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ประกอบด้วย 4 ด้าน ดังนี้ การวิเคราะห์กลยุทธ์ (Strategic analysis) ด้านการกำหนด กลยุทธ์ (Strategy formulation) ด้านการปฏบิ ัติตามกลยทุ ธ์ (Strategy implementation) ด้านการประเมนิ ผลและ การควบคุมเชงิ กลยุทธ์ (evaluation and strategic control) จากที่กล่าวมานั้น ผู้ทำวิจัยจึงมีความคิดเห็นว่า สถานศึกษาจึงควรจะมีผู้บริหารที่มีทักษะความสามารถ มี ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมโยงไปยังการวางแผนดำเนินการในการบริหารที่เรียกว่า “การ วางแผนกลยุทธ์” ควบคกู่ ันไปพรอ้ มกับทกั ษะการบรหิ ารของผู้บริหารด้วย ซ่ึงการเปล่ียนแปลงแผนกลยทุ ธ์สกู่ ารปฏบิ ตั ิ นั้นต้องอาศัยความต่อเนื่อง การมีผู้รับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์ เพื่อให้เกิดการมองภาพรวมหรือการ เชื่อมโยงทั้งหมดในการขับเคลื่อน ความยืดหยุ่นและมุ่งเน้นนวัตกรรม คือ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับกา ร เปลย่ี นแปลง มีความสามารถในการพฒั นาและสรา้ งสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ ให้เหมาะสมกับการดำเนนิ งาน การทำงานเป็นทีม ในการขับเคล่ือนแผนกลยทุ ธ์ การแบ่งปันความรูข้ องบุคลากรภายในสถานศึกษาเพื่อช่วยกนั ปฏิบตั กิ ารขับเคล่ือนแผน กลยุทธ์ ผู้บริหารจำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และทักษะเกี่ยวกับศาสตร์ทางการบริหาร เนื่องจากเป็นความรู้ความ ชำนาญเฉพาะด้านที่เรียกว่าวิชาชีพทางการบริหาร จึงจะเป็นผู้นำทางการบริหารและสามารถนำองค์กรไปสู่ ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรเจริญเติบโตก้าวหน้าไปด้วยดี จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับ ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นอย่างมากที่จะต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ที่ดีเพื่อให้การบริหารจัดการสถานศึกษาศึกษาเกิด ประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ลในการจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษาต่อไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาทกั ษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศกึ ษา 2. เพื่อศึกษากระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา 3. เพ่อื ศึกษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งทักษะการบรหิ ารกับกระบวนการวางแผนกลยทุ ธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชวี ศึกษาภาคกลาง สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา วธิ ีดำเนินการวิจัย ประชากร ได้แก่ ครูในสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประกอบด้วย 14 จังหวัด จำนวน 74 สถานศึกษา จำแนกตามวิทยาลัยเทคนคิ ที่เปิดสอนประเภทวิชาอุตสาหกรรม 6 แห่ง จำนวนประชากร 324 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประกอบด้วย 14 จังหวัด จำนวน 74 แห่ง จำแนกตามวิทยาลัยเทคนิคที่เปิดสอนประเภทวิชาอุตสาหกรรมจำนวน 6 แห่ง ซึ่งการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970) ที่ระดับ ความเช่ือมัน่ รอ้ ยละ 95 โดยการสุ่มตวั อยา่ งแบบส่มุ อยา่ งงา่ ย ไดก้ ลุ่มตวั อย่างจำนวน 304 คน หนา้ 222

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นสูป่ กตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัยคร้งั น้ี ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม แบ่งเป็น 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 แบบสอบถามเก่ียวกับสถานภาพ ไดแ้ ก่ เพศ ระดบั การศกึ ษา ตำแหนง่ หนา้ ทีใ่ นปจั จุบนั ประสบการณใ์ นการทำงาน มีลกั ษณะเป็นแบบสำรวจรายการ (Check list) ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับแบบสอบถามความคิดเห็นระดับทักษะการบริหารของผู้บริหารใน สถานศึกษา อาชีวศกึ ษาภาคกลาง สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา เปน็ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของ (Likert Scale) ตอนที่ 3 แบบสอบถามแบบเกี่ยวกับระดับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัด อาชวี ศึกษาภาคกลาง เปน็ ชนดิ มาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั ของ (Likert Scale) การสรา้ งเครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจยั ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบสอบถามจากเอกสาร กำหนด กรอบแนวคิด ขอบข่ายในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาให้สอดคล้อง ครอบคลุมกับวัตถุประสงค์การวัดตาม นิยามศพั ท์ การหาคณุ ภาพเครื่องมอื 1. นำแบบสอบถามให้ผู้เช่ียวชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาถึงความสอดคล้อง ระหว่างขอ้ คำถามกบั แนวคดิ ทฤษฎีที่ต้องการวัด (Item Objective Congruence : IOC) ที่ผ่านการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ มาวิเคราะห์หาค่า IOC หรือค่าดชั นีความสอดคล้อง ผลการวเิ คราะหแ์ บบสอบถาม ได้ค่าดัชนคี วามสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 จาก การวิเคราะห์ความเท่ยี งตรงเท่ียงตรง (Validity) และความถูกตอ้ งจองเนอ้ื หา (Content) พจิ ารณาถงึ ความสอดคลอ้ ง ท่ีผ่านการตรวจสอบของผ้เู ชีย่ วชาญ 3 ทา่ น ได้ค่า IOC = 1.00 2. นำแบบสอบถามที่ได้ไปหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) โดยนำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Tryout) กับครูซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีของครอนบาค (Cronbarch’s alpha Coefficient) โดยใช้สตู รหาคา่ สมั ประสิทธแ์ิ อลฟา (Coefficient) = 0.97 การเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่งึ ผวู้ ิจยั ทำการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง มีขั้นตอนดงั ต่อไปนี้ 1. ผู้วิจัยค้นคว้าขอหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยธนบุรี ขอความอนุเคราะห์จากผู้บริหาร สถานศึกษา เพ่ือขออนญุ าตเกบ็ ขอ้ มลู จากครู ตามกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามไปขอความอนุเคราะห์เก็บรวบรวมข้อมูลจากครู ดำเนินการแจกและเก็บ แบบสอบถามด้วยตนเอง จำนวน 328 ชุด โดยจำแนกตามกลุ่มตวั อยา่ ง 3. เมื่อถึงกำหนดวันที่ได้ทำการนัดหมาย ผู้วิจัยไปขอรับแบบสอบถามคืนด้วยตนเอง พร้อมตรวจสอบความ ถกู ต้อง ความเรียบรอ้ ย ความสมบูรณข์ องข้อมลู ในการตอบแบบสอบถามแต่ละชุด ได้แบบสอบถามกลับคนื มาทั้งหมด 304 ชดุ เป็นแบบสอบถามท่สี มบูรณ์ 304 ชดุ คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 4. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามทไ่ี ด้จากการเก็บรวบรวมและตรวจสอบความถูกต้องเรยี บร้อยแลว้ นำไปวิเคราะห์ และแปลผลขอ้ มูล หนา้ 223

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผ่านสปู่ กตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถติ ทิ ่ีใช้ในการวิจัย 1. วิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยการหาค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อย ละ (Percentage) 2. วิเคราะห์ความสมั พันธ์ระหว่างทักษะการบริหารกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาโดยใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ เพียร์สนั (Pearson’s correlation coefficient) ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลท่วั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม จำนวน 304 คน พบว่า ครสู ว่ นใหญ่เปน็ เพศชาย จำนวน 213 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 70.10 มกี ารศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี จำนวน 220 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 72.40 ครูส่วนใหญ่มตี ำแหน่งครู คศ. 2 จำนวน 112 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 36.80 และครสู ว่ นใหญม่ ปี ระสบการณใ์ นการทำงาน ระหว่าง 6-10 ปี จำนวน 88 คน คดิ เป็นร้อยละ 28.90 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา แสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ระดับทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชวี ศึกษา ในภาพรวม ทกั ษะการบรหิ ารของผ้บู รหิ าร ���̅��� S.D. แปลผล ลำดบั 1. ทักษะด้านเทคนิค 4.45 0.42 มากที่สุด 4 2. ทกั ษะด้านความสมั พันธ์ระหว่างบุคคล 4.56 0.42 มากท่สี ดุ 1 3. ทกั ษะด้านนโยบาย 4.33 0.45 มากทส่ี ดุ 5 4. ทักษะดา้ นมโนภาพ 4.45 0.40 มากที่สุด 3 5. ทักษะดา้ นการวินจิ ฉยั 4.49 0.46 มากท่ีสดุ 2 รวม 4.46 0.39 มากทส่ี ุด จากตารางท่ี 1 พบวา่ ทกั ษะการบริหารของผู้บริหารสถานศกึ ษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สงั กัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ ( x = 4.46) เมื่อพจิ ารณาในรายละเอยี ด พบว่า ดา้ น ที่มีคา่ เฉลยี่ สงู สุด คือ ทักษะดา้ นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบคุ คล ( x = 4.56) รองลงมา คอื ทักษะดา้ นการวนิ ิจฉัย ( x = 4.49) สว่ นด้านที่มคี ่าเฉลยี่ ตำ่ สดุ คือ ทกั ษะด้านนโยบาย ( x = 4.33) หนา้ 224

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพ่ือการเปลย่ี นผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตอนที่ 3ผลการวิเคราะห์กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา แสดงดงั ตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ระดับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ในภาพรวม กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ x S.D. ระดบั ลำดบั 1. การวเิ คราะห์กลยทุ ธ์ 4.59 0.38 มากทสี่ ุด 2 2. การกำหนดกลยทุ ธ์ 4.46 0.33 มากทส่ี ดุ 3 3. การนำกลยทุ ธ์ไปปฏิบตั ิ 4.71 0.42 มากทส่ี ดุ 1 4. การประเมนิ ผลและการควบคมุ กลยุทธ์ 4.45 0.40 มากท่ีสดุ 4 ภาพรวม 4.55 0.35 มากทสี่ ุด จากตารางที่ 2 พบวา่ ผลการวิเคราะหก์ ระบวนการวางแผนกลยุทธข์ องผบู้ ริหารสถานศกึ ษาอาชีวศกึ ษาภาค กลาง สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาพรวมอยใู่ นระดับมากทสี่ ดุ ( x = 4.55) เม่อื พจิ ารณาใน รายละเอยี ด พบวา่ ด้านท่ีมีคา่ เฉลีย่ สงู สุด คอื การนำกลยุทธไ์ ปปฏบิ ตั ิ ( x = 4.71) รองลงมา คอื การวิเคราะหก์ ล ยุทธ์ ( x = 4.59) ส่วนด้านทม่ี คี ่าเฉลี่ยตำ่ สุด คือ การประเมนิ ผลและการควบคุมกลยทุ ธ์ ( x = 4.45) ตอนที่ 4 ผลการวเิ คราะหค์ วามสมั พันธ์ระหวา่ งทกั ษะการบรหิ ารของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา กบั กระบวนการวางแผนกลยทุ ธข์ องผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาอาชวี ศึกษาภาคกลาง สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา แสดงดังตารางท่ี 3 หน้า 225

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลยี่ นผา่ นสูป่ กติวถิ ใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตารางที่ 3 การวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา กับกระบวนการวางแผนกล ยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ใน ภาพรวม กระบวนการวางแผนกลยทุ ธ์ ทักษะการบริหารของ ด้านการ ิวเคราะห์กล ุยทธ์ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ้ดานการกำหนดกล ุยทธ์ ้ดานการนำกล ุยท ์ธไปปฏิ ับติ ด้านการประเ ิมนผลและการควบ ุคมกล ยุทธ์ ภาพรวม ระดับความสัม ัพน ์ธ r 1. ดา้ นเทคนิค .837* .867* .672* .900* .891* สูง 2. ดา้ นความสมั พันธร์ ะหวา่ งบุคคล .898* .803* .854* .884* .942* สูงมาก 3. ด้านนโยบาย .702* .786* .441* .623* .687* ปานกลาง 4. ดา้ นมโนภาพ .809* .786* .710* 1.00* .904* สูงมาก 5. ดา้ นการวนิ จิ ฉัย .794* .785* .640* .826* .829* สงู ภาพรวม .927* สงู มาก *มนี ัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 จากตารางท่ี3 พบว่า ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับกระบวนการ วางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ใน ภาพรวมอยู่ระดับสูงมาก อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.05 สรุปผลการวจิ ยั 1) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลท่ัวไปของผตู้ อบแบบสอบถาม จำนวน 304 คน พบว่า ครสู ว่ นใหญ่เปน็ เพศชาย จำนวน 213 คน คดิ เป็นร้อยละ 70.10 มีการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 220 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 72.40 ครสู ่วน ใหญม่ ีตำแหน่งครู คศ. 2 จำนวน 112 คน คิดเป็นร้อยละ 36.80 และครูส่วนใหญ่มปี ระสบการณ์ในการทำงานระหวา่ ง 6-10 ปี จำนวน 88 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 28.90 2) ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ เมอ่ื พจิ ารณาในรายละเอียด พบวา่ ด้านที่มคี า่ เฉล่ยี สงู สดุ คอื ทักษะด้าน ความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคล รองลงมา คือ ทักษะดา้ นการวินจิ ฉยั สว่ นดา้ นท่มี ีคา่ เฉลย่ี ต่ำสุด คือ ทกั ษะดา้ นนโยบาย หนา้ 226

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพ่อื การเปลยี่ นผา่ นสูป่ กติวถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 3) กระบวนการวางแผนกลยทุ ธ์ของผู้บริหารสถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษาภาคกลาง สังกัดสำนกั งานคณะกรรมการ การอาชวี ศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดบั มากทีส่ ดุ เม่ือพจิ ารณาในรายละเอยี ด พบวา่ ด้านทม่ี คี า่ เฉลี่ยสงู สุด คอื การนำกล ยุทธ์ไปปฏิบตั ิ รองลงมา คือ การวิเคราะหก์ ลยุทธ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การประเมินผลและการควบคุมกล ยทุ ธ์ 4) ความสัมพันธร์ ะหว่างทกั ษะการบรหิ ารของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา กบั กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของ ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาอาชวี ศกึ ษาภาคกลาง สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ผลการวจิ ยั พบว่า ทักษะการ บริหารด้านเทคนคิ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษามีความสัมพนั ธท์ ิศทางบวกกบั กระบวนการวางแผนกลยทุ ธข์ องผ้บู ริหาร สถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษาภาคกลาง สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ในภาพรวมอยรู่ ะดับสูงมาก อย่างมี นยั สำคัญทางสถิติที่ระดบั 0.05 อภิปรายผล ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารกับกระบวนการวางแผน กลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชวี ศึกษาภาคกลา สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา สามารถอภิปรายผลได้ 1. ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศกึ ษา ในภาพรวมอยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ 1.1 ทักษะด้านเทคนิค ภาพรวมอย่ใู นระดับมากทสี่ ดุ ทัง้ นี้อาจเปน็ เพราะผบู้ ริหารสถานศึกษามคี วามรู้ ความเข้าใจมที ักษะในการใช้เครอื่ งมือ อุปกรณแ์ ละนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในการจดั ทำแผนกลยุทธใ์ หก้ ับ สถานศกึ ษา ผู้บรหิ ารสถานศึกษามคี วามสามารถในการถ่ายทอดแผนกลยทุ ธโ์ ดยการใชเ้ ทคนคิ ทห่ี ลากหลายเพอื่ ใหค้ รู เกิดความร้คู วามเขา้ ใจสามารถนำแผนกลยุทธไ์ ปส่กู ารปฏบิ ัติได้ ซงึ่ สอดคล้องกับ Katz (1974) ได้กล่าววา่ ทักษะดา้ น เทคนิค เป็นความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และความชำนาญของผบู้ รหิ ารในกิจกรรมเฉพาะกิจกรรมใดกิจกรรม หน่ึง โดยเฉพาะที่เก่ยี วกบั วธิ ี กระบวนการดำเนินการหรือเทคนิคต่าง ๆ ที่จำเปน็ ตอ่ การปฏิบตั ิงานในหน้าท่ี ได้อยา่ งมี ประสิทธภิ าพ และสอดคลอ้ งกบั Dubrin (2012) กล่าววา่ ทักษะด้านเทคนคิ (Technical Skills) ทักษะดา้ นเทคนคิ สมั พันธก์ ับความเขา้ ใจและความสามารถในการทำกิจกรรมเฉพาะทางในเรื่องวธิ กี าร กระบวนการ ขน้ั ตอน และเทคนิค ต่าง ๆ ซึ่งทักษะดา้ นเทคนิคยังรวมไปถงึ ความสามารถในการเตรียมงบประมาณ จัดตารางเวลา การเตรียมการ วเิ คราะหต์ ารางทำการอัพโหลดขอ้ มูลบนเครอื ขา่ ยการสาธติ อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ และการมีความรู้ขนั้ สงู ในดา้ นธรุ กิจ สอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของ สภุ าพร บุญมาก (2552) ศกึ ษาเร่ืองทกั ษะการบรหิ ารของผบู้ รหิ ารทส่ี มั พนั ธ์กบั มาตรฐาน ดา้ นการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษาสงั กดั สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาสพุ รรณบุรีเขต 2 ผลพบวา่ ทักษะการบริหารของผู้บรหิ ารในสถานศึกษา ทักษะดา้ นเทคนคิ อยใู่ นระดับมาก สอดงคล้องกบั งานวจิ ัยของ พจ นรนิ ทร์ เหลอื งอรญั นภา (2556) วิจัยเรอ่ื งทกั ษะการบรหิ ารของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาทส่ี ่งผลต่อความสุขในการทำงาน ของครสู งั กัดสำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 8 ผลการวิจยั พบวา่ ดา้ นทกั ษะดา้ นเทคนคิ อยู่ในระดบั มาก สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ เศรษฐราณี ทรวดทรง (2557) ได้ทำการวจิ ยั เรือ่ งทกั ษะการบรหิ ารกบั การบริหารระบบ คณุ ภาพในสถานศึกษามัธยมศึกษา พบวา่ ทักษะด้านเทคนิคอยใู่ นระดบั มาก หนา้ 227

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผ่านสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1.2 ดา้ นความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล ภาพรวมอย่ใู นระดบั มากทส่ี ุด ทงั้ นี้อาจเปน็ เพราะ ผบู้ ริหาร สถานศกึ ษาให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกใหแ้ ก่ครเู พอื่ การให้ ปฏบิ ัติงานบรรลุประสงคบ์ รรลุ เปา้ หมายที่กำหนดไว้ ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษามที ักษะในการใช้กระบวนการกลมุ่ เพื่อเปดิ โอกาสใหค้ รแู ละบคุ ลากรทุกฝา่ ย มสี ่วนร่วมในการปฏบิ ตั งิ านตามแผนกลยุทธข์ องสถานศึกษา ซง่ึ สอดคลอ้ งกับ Dubrin (2012) กล่าวว่า ทักษะดา้ น ความสมั พันธ์ระหวา่ งบุคคล (Interpersonal Skills) ทกั ษะดา้ นการติดต่อหรือความสัมพันธร์ ะหวา่ งบคุ คล เป็น ความสามารถของผูบ้ ริหารในการทำงานเปน็ กลุม่ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างความร่วมมอื ในการทำงาน ใหเ้ กดิ ขึน้ ภายในองคก์ ร การส่อื สาร เป็นองคป์ ระกอบสำคัญของทกั ษะด้านการติดต่อระหวา่ งบคุ คล สอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ พจนรินทร์ เหลอื งอรญั นภา (2556) วิจัยเรื่องทักษะการบรหิ ารของผู้บรหิ ารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อ ความสขุ ในการทำงานของครูสังกดั สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 8 ผลการวจิ ยั พบว่า ทกั ษะด้าน ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล อยใู่ นระดบั มาก สอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของ ววิ ฒั น์ บญุ ยง (2558) ได้ทำการวิจัยเรอื่ ง ทักษะการบริหารของผบู้ ริหารทส่ี ่งผลตอ่ วฒั นธรรมองคก์ รของสถานศึกษามัธยมศึกษา ในจังหวดั นครปฐม พบว่า ทกั ษะความสัมพันธ์ระหวา่ งบคุ คล อยใู่ นระดับมาก 3.1ด้านนโยบาย ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษามีการวิเคราะห์ สภาพปัจจบุ นั และนำนโยบายตามขอ้ 1 มาประยุกต์ เพื่อนำไปสเู่ ปา้ หมายและแนวทางปฏิบัตใิ นสถานศกึ ษาไดอ้ ยา่ งลง ตัว ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำแนวทางปฏิบัติจากสว่ นกลางและแนวปฏิบตั ิภายในสถานศกึ ษามาดำเนินงานตาม แผนกลยุทธ์ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งสอดคล้องกับ Dubrin (2012) กล่าวว่า ผู้บริหารจะต้องมีทักษะด้านนโยบาย (Political Skills) ส่วนทสี่ ำคญั ของการเปน็ ผู้บริหารทีม่ ปี ระสิทธิภาพ คอื ผบู้ ริหารจะตอ้ งมีอำนาจ และมีความสามารถ ในการรักษาอำนาจนั้น ผู้บริหารจะใช้ทักษะด้านนโยบายในการได้มาซึ่งอำนาจที่จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ท่ตี ัง้ ไว้ขององคก์ ร ทกั ษะดา้ นนโยบาย ยังรวมไปถงึ การสรา้ งความสัมพนั ธแ์ ละความประทบั ใจท่ีเหมาะสม กับแต่ละบุคคล สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุภาพร บุญมาก (2552) ได้ศึกษาเรื่องทักษะการบริหารของผู้บริหารท่ี สัมพันธ์กับมาตรฐานด้านการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สุพรรณบุรีเขต 2 ผลพบว่า ทักษะด้านมโนภาพ อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ พจนรินทร์ เหลืองอรัญ นภา (2556) วิจัยเรื่องทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูสังกัด สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 8 ผลการวจิ ัยพบวา่ ทักษะด้านนโยบาย ภาพรวมอยใู่ นระดับมาก 4.1ด้านมโนภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษา สามารถนำ ภาพรวมแห่งความสำเร็จในอนาคตของสถานศึกษา มากำหนดเป็นวิสัยทัศน์ เพื่อนำสู่เป้าหมายและแนวปฏิบัติในการ พัฒนาสถานศึกษาได้ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาสามารถนำแนวทางในข้อ 1 และขอ้ 2 มาประยุกตใ์ นการจัดทำแผนกลยุทธ์ ทีน่ ำไปสู่เปา้ หมายแห่งความสำเร็จได้ ซึ่งสอดคล้องกบั ซ่งึ สอดคล้องกับ Dubrin (2012) ผ้บู รหิ ารมีทกั ษะดา้ นมโนภาพ (Conceptual Skills) เป็นความสามารถในการมองภาพรวม เป็นการทราบความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจ กับ อุตสาหกรรม ชุมชน การเมอื ง สงั คม และภาวะทางเศรษฐกจิ ทกั ษะด้านมโนภาพเป็นทักษะท่ีสำคัญยง่ิ สำหรับผู้บรหิ าร ระดับสูง เน่ืองดว้ ยหน้าที่ที่จะตอ้ งตดิ ตอ่ ประสานงานกับสงั คมนอกองคก์ ร Drucker (สิ่งเดียวทเ่ี ปน็ ขอ้ ได้เปรียบ (2002 ของประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ คอื การมีแรงงานที่มีทักษะดา้ นมโนภาพจำนวนมากกวา่ แมใ้ นประเทศท่พี ฒั นาจะมีแรงงาน ที่มีทักษะด้านมโนภาพเช่นกันก็จริง แต่ก็มีจำนวนน้อย อีกทั้งยังกล่าวไว้ว่า ความต้องการแรงงานที่มีทักษะด้านมโน หน้า 228

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลยี่ นผ่านสูป่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ภาพในประเทศมหาอำนาจนน้ั จะสงู ขึ้นอยา่ งต่อเนื่อง สอดคล้องกบั Griffin (ไดก้ ล่าวว่า ผู้บรหิ ารจำเป็นจะต้อง (2013 มี ทักษะด้านมโนภาพ ความสามารถของผู้บริหารในการคิดเชิงรูปธรรม ผู้บริหารจึงต้องความสามารถในการคิดเพื่อ เข้าใจภาพรวมของการทำงาน และสภาพแวดล้อมขององค์กร เพื่อที่จะรวบรวมส่วนต่าง ๆ เข้า สอดคล้องกบั งานวิจัย ของ พจนรนิ ทร์ เหลอื งอรัญนภา (2556) วจิ ัยเรอ่ื งทักษะการบริหารของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาทส่ี ่งผลตอ่ ความสุขในการ ทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 ผลการวิจยั พบว่า ทกั ษะด้านมโนภาพ อยู่ในระดับ มาก 5.1ด้านการวินิจฉัย ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษาเปิดโอกาสให้ บคุ ลากรฝา่ ยต่าง ๆ ของสถานศึกษาร่วมวนิ ิจฉัยโดยรว่ มค้นหาสาเหตแุ ละแนวทางการแก้ไขปญั หาอย่างมปี ระสิทธิภาพ ผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้และทักษะในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาได้ ซ่ึง สอดคล้องกับ Drucker ((2002 ได้กล่าวว่า ทักษะด้านการวินิจฉัย (Diagnostic skills) ผู้บริหารมักจะต้องทำหน้าท่ี วนิ จิ ฉัย คน้ หาสาเหตุของปญั หา และตดั สินใจแกไ้ ขปญั หาเหล่านั้น ซึง่ จะต้องอาศยั ทักษะดา้ นอื่น ๆ รว่ มด้วย ผู้บริหาร จะต้องใช้ทักษะด้านเทคนิค ด้านความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคล หรือด้านนโยบาย ในการวินิจฉัยปัญหาเพื่อหาทางแก้ไข อันเป็นความท้าทายในการเป็นผู้บริหารที่จะต้องค้นหาต้นตอของปัญหา และเสนอแนะแนวทางการแก้ไข เช่น ผจู้ ดั การ จะตอ้ งทราบถงึ สาเหตุของการท่ียอดขายไม่เพิม่ ขึน้ แมว้ า่ จะมีการติดตงั้ และใช้ระบบทท่ี นั สมัย สอดคล้องกับ Griffin ((2013 ได้กล่าวว่า ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีทักษะด้านการวินิจฉัย (Diagnostic Skills) เป็นทักษะที่ทำให้ ผู้บรหิ ารมคี วามสามารถในการนกึ คดิ ตอบสนองต่อสถานการณต์ ่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม เช่นเดยี วกนั กับการวนิ ิจฉัยโรค ของแพทย์ที่จะต้องทำการวิเคราะห์จากอาการและค้นหาสาเหตุของโรค ผู้บริหารก็จะต้องวิเคราะห์ปัญหาขององค์กร ดว้ ยการศกึ ษาสภาพและค้นหาทางแกป้ ญั หา สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ พจนรนิ ทร์ เหลอื งอรญั นภา (2556) วิจัยเรื่องทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 ผลการวิจัยพบว่า ทักษะด้านการวินิจฉัย อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิวัฒน์ บุญยง (2558) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ทักษะการบริหารของผู้บริหารที่สง่ ผลต่อวัฒนธรรมองค์กรของสถานศึกษา มัธยมศึกษา ในจงั หวดั นครปฐม พบว่า ทกั ษะการวนิ จิ ฉัย อย่ใู นระดับมาก 2. กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาอาชวี ศึกษาภาคกลาง สังกดั สำนกั งานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด 2.1 ด้านการวิเคราะหก์ ลยุทธ์ ภาพรวมอยใู่ นระดับมากทสี่ ุด ทงั้ น้ีอาจเป็นเพราะผบู้ รหิ ารสถานศึกษามีการ วิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเมือง สังคมและปัจจัยทางเทคโนโลยีและนำมาใช้ประกอบการวางแผนกลยุทธ์ของ สถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษามีการจัดทำข้อมูลสารสนเทศเกีย่ วกับปจั จัยภายใน เช่น ด้านวัฒนธรรมองค์กรข้อมลู พื้นฐานเกี่ยวกับครูและบุคลากรในสถานศึกษา หลักสูตรและวิธีสอนของสถานศึกษา คุณลักษณะของนักเรียนและ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไว้อย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับ Hellriegel, Don, Slocum, John W. (1982) กล่าววา่ การวางแผนกลยทุ ธ์เปน็ กระบวนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การวิเคราะห์ธรรมชาตขิ ององคก์ ร การกำหนด จุดมุ่งหมาย และการจำแนก ประเมิน และเลือกแนวปฏิบัติสำหรับองค์กร โดยผลลัพธ์ ( outputs) ที่ได้จาก กระบวนการนี้คือ จุดหมายและกลยุทธ์ ซึ่งจะนำไปใช้เป็นปัจจัยป้อนในกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการ (operational plan) เพื่อแปลงจุดหมายและกลยทุ ธ์ขององค์กรให้เป็นกลยุทธ์การปฏิบตั ิงานที่มีความละเอียดชดั เจน หนา้ 229

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพื่อการเปลย่ี นผ่านสู่ปกตวิ ถิ ใี หม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ยิ่งขึ้น สอดคล้องกับ Dess and Miller (1993) กล่าวว่า การวิเคราะห์กลยุทธ์ (Strategic analysis) ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการย่อย ๆ อีก 3 ส่วน คือ เป้าหมาย (goal) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Strategic goal) การวิเคราะห์ swot (swot analysis) และการกำหนดกลยุทธ์ (Strategy formulation) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ประพันธ์ บรรยงค์ (2552) ได้ศกึ ษาวจิ ยั เร่อื ง การวางแผนกลยทุ ธ์ในสถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน สังกัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา บุรีรัมย์ เขต 4 พบว่า ด้านการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมปัญหาการวางแผนกลยุทธ์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรี พิมพิลา (2559) วิจัยเรื่อ การศึกษาสภาพและปัญหาการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขต พนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพระนครศรีอยธุ ยา เขต 1 พบวา่ ดา้ นการวิเคราะห์สภาพแวดลอ้ ม อยใู่ นระดับมาก 2.2ด้านกำหนดกลยทุ ธ์ ภาพรวมอยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด ท้งั นีอ้ าจเป็นเพราะผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาให้ความสำคญั ในการนำแผนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติเพ่อื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แก่ผ้เู รยี นโดยมงุ่ เนน้ ให้ผเู้ รียนมีผลสมั ฤทธ์ทิ สี่ ูงขึน้ ผูบ้ รหิ าร สถานศึกษาสามารถนำข้อแนวทางในข้อ 1 และข้อ 2 มากำหนดเป็นแผนกลยุทธ์และกำหนดแผนปฏิบัติงานใน สถานศกึ ษาได้อย่างชดั เจน สอดคลอ้ งกับ Thompson and Strickland (1995) กล่าวว่า การกำหนดกลยทุ ธ์ กิจกรรม ที่ต่อเนื่องจากการวิเคราะห์กลยุทธ์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญต่อความสำเร็จในการดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ในแต่ละ สถานศึกษา ทำให้ผู้บริหารสามารถกำหนดเป้าหมายของสถานศึกษาได้ ตลอดจนสามารถรูถ้ ึงทิศทางของสถานศกึ ษา ในอนาคต โดยการนำข้อมูลและความรู้ต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรี พิมพิลา (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดส ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 พบว่า ด้านการกำหนดกลยุทธ์ อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ อาภาศิริ โกฏิสิงห์ (ได้ศึกษาการวางแผนกลยุทธ์ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (2556 ประถมศกึ ษาเชียงราย เขต2 ผลการวจิ ัยพบวา่ ด้านกำหนดกลยุทธ์ อยู่ในระดบั มาก 2.3 ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษา เปิดโอกาสให้บุคลากรในสถานศึกษามีส่วนร่วมในการสร้างข้อตกลงของการทำงานร่วมกัน ผู้บริหารสถานศึกษามีการ กำหนดปฏิทินปฏิบัติงานตามแผนกลยุทธ์ในแต่ละภาคเรียนไว้อย่างชัดเจน สอดคล้องกับ Thompson and Strickland (1995) กล่าวว่า การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติเป็นขั้นตอน ต่อเนื่องจากการกำหนดกลยทุ ธ์ที่ให้ความสำคัญกับ การวางแผนและดำเนินงาน เพื่อให้กลยุทธ์เกิด ประโยชน์แก่สถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับงานวิจัยของ Price (2002) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการนำแผนกลยุทธ์ที่เสนอไว้ไปปฏิบัติใช้กรณีตัวอย่าง จาก เขตพื้นที่สถานศึกษา 3 เขต สิ่งที่พบจากการศึกษาเสนอแนะส่วนใหญ่ของเป้าหมายแผนกลยุทธ์มีการนำไปใช้ในบาง ระดับ ตามผู้ดูแลเขตพื้นทีส่ ถานศึกษา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นสอดคล้องในบางประเด็น แต่ไม่ตายหนักถึง ผลสำเรจ็ ในการนำแผนไปปฏบิ ตั ิจรงิ ประสบการณส์ อนระดบั ช้นั ทส่ี อนมผี ลเพียงเลก็ น้อยสอบผลลพั ธ์ และความสนใจ ของผู้ดูแลเขตพื้นที่สถานศึกษาในแผนกลยุทธ์มีแนวโน้มไปในทางสัมพันธ์กับผลลัพธ์ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบกับผดู้ แู ลมีความตระหนักมากขนึ้ ในเอกสารการวางแผน 2.4 ด้านการประเมินผลและการควบคุมกลยุทธ์ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ผ้บู รหิ ารสถานศึกษาของท่านมีการทบทวนแผนท่ีใช้ปฏิบัติงาน ระหว่างการปฏบิ ตั งิ าน เพอื่ ใหบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนดไว้ ผู้บริหารสถานศึกษามีการกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานที่วัดผลได้ท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้การ ปฏิบัติงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ สอดคล้องกับ Thompson and Strickland (1995) กล่าวว่า การประเมินผลและ หนา้ 230

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผ่านสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การควบคุมกลยุทธ์ สถานศึกษาจะมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลแผนกลยุทธ์โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องมีบุคลากรที่มี ความรับผิดชอบเตม็ เวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการติดตาม และประเมินผลไดอ้ ย่างเต็มท่ี การประเมินและควบคุมกล ยุทธ์ คือกระบวนการซึ่งผู้บริหารได้ติดตามกิจกรรมและผู้ปฏิบัติงานของสถานศึกษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินว่า กิจกรรมนั้น ๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างมี ประสิทธิภาพและ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อาภาศิริ โกฏิสิงห์ (ได้ (2556 ศึกษาการวางแผนกลยุทธ์ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต2 ผลการวจิ ัยพบว่า ดา้ นการปฏบิ ตั ติ ามแผนกลยุทธแ์ ละการประเมนิ ผล อยู่ในระดับมาก 3. ทกั ษะการบริหารของผบู้ ริหารสถานศึกษามีความสมั พนั ธท์ ิศทางบวกกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของ ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ในภาพรวมอย่รู ะดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ เศรษฐราณี ทรวดทรง (2557) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ทักษะการบริหารกับการบริหารระบบคุณภาพในสถานศึกษามัธยมศึกษา โดย ภาพรวมพบว่า มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงและมีความสัมพันธ์กันในทางบวกหรือในลักษณะที่คล้อยตามกันทุกคู่ อย่างมีนัยสำคัญทีร่ ะดับ .01 โดยเฉพาะทักษะการบรหิ ารในภาพรวมมีความสัมพันธ์กับการบรหิ ารระบบคุณภาพด้าน การนำองค์กรในระดับที่สูงกว่าด้านอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทักษะการบริหารกับการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหาร สถานศึกษา และสอดคล้องกบั งานวจิ ัยของ ณฐั พัชร์ ภูจอม (2560) วจิ ัยเร่อื งการศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งทักษะการ บริหารความขัดแย้งของผู้บริหารกับการสร้างทีมงานครูในสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง มัธยมศึกษาเขต 3 พบว่า ความสัมพันธร์ ะหว่างทักษะการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ในทางบวก กบั การสร้างทมี งานครูในสถานศึกษา สงั กัดสำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 3 อยู่ในระดับสูง (r = .775) อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01 ซง่ึ ทกั ษะการบริหารความขดั แยง้ ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการ สร้างทีมงานครูในสถานศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องกับทักษะการบริหารกับการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ Baldwin (1994) ศึกษาวิจัยเรื่องการใช้กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ในสถานศึกษา ประถมศึกษา พบว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการนำรูปแบบการวางแผนกลยุทธ์มาใช้ประกอบด้วย ความเป็นวิชาชีพของ บุคลากร ความสามัคคีของบุคลากร ภาวะผู้นำของครใู หญ่ การเปิดเผยความต้องการของบคุ ลากร การสื่อสารอย่างมี ประสิทธิภาพ การสนับสนุนท้องถิ่น ส่วนปัจจัยท่ีขัดขวางประกอบด้วย การขาดปจั จัยส่งเสริมองค์รวม ความไม่เข้าใจ กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ และการจัดสรรเวลาให้กับการวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทักษะการบริหารกบั การวางแผนกลยทุ ธข์ องผูบ้ ริหารสถานศึกษา ข้อเสนอแนะ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งทักษะการบริหารกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา อาชีวศกึ ษา ภาคกลาง สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ผูว้ ิจัยให้ข้อเสนอแนะ ไดด้ งั น้ี 1. ข้อเสนอแนะผลท่ไี ดจ้ ากการศึกษา 1.1 ทักษะด้านนโยบาย ผบู้ ริหารสถานศึกษาควรมีการนำนโยบายหลกั ของสำนกั งานคณะกรรมการการ อาชีวศกึ ษากำหนดในแผนกลยทุ ธเ์ พื่อใหเ้ ป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาใหม้ ีประสทิ ธิภาพตามแผน หน้า 231

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพือ่ การเปลย่ี นผา่ นสูป่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1.2 ดา้ นการประเมนิ ผลและการควบคุมกลยทุ ธ์ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาควรมกี ารกำหนดใหม้ แี ผนการควบคุม การกำกับ ติดตามดา้ นคุณภาพของงานตามแผนกลยทุ ธอ์ ยา่ งชดั เจน 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวจิ ัยครั้งตอ่ ไป 2.1 ควรศึกษาปจั จัยที่สง่ ผลต่อทักษะการบริหารของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา สงั กัดอาชวี ศึกษาภาคกลาง เพ่ือ นำผลไปพฒั นาปรับปรงุ การบริหารการศึกษาใหส้ อดคล้องกบสภาพปจั จุบัน 2.2 ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาภาค กลาง เพ่ือนำผลไปพฒั นาปรบั ปรุงการบรหิ ารการศึกษาให้สอดคล้องกบสภาพปัจจบุ ัน เอกสารอา้ งอิง ณัฐพัชร์ ภจู อม. (2560). การศึกษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งทกั ษะการบรหิ ารความขดั แยง้ ของผบู้ รหิ ารกบั การสรา้ ง ทมี งานครู ในสถานศึกษา สังกัดสถาบนั การอาชวี ศึกษาภาคกลางมัธยมศกึ ษาเขต 3. ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาบรหิ ารการศึกษา บณั ฑติ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. ประพันธ์ บรรยงค์. (2552). การวางแผนกลยุทธใ์ นสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน สงั กัดสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษา มธั ยมศึกษา บุรีรมั ย์ เขต 4. ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาบริหารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลัย : มหาวิทยาลยั อีสาน. พจนรนิ ทร์ เหลืองอรญั นภา. (2556). ทักษะการบรหิ ารของผ้บู ริหารสถานศึกษาทสี่ ง่ ผลตอ่ ความสขุ ในการทำงาน ของครสู ังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 8. ปรญิ ญามหาบัณฑิต สาขาการบริหาร การศึกษาศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. พชั รี พมิ พิลา. (2559). การศกึ ษาสภาพและปญั หาการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศกึ ษาสังกัดสำนักงานเขต พ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาพระนครศรอี ยธุ ยา เขต 1. ปรญิ ญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. ววิ ัฒน์ บญุ ยง. (2558) ทักษะการบริหารของผ้บู ริหารท่ีสง่ ผลต่อวัฒนธรรมองค์กรของสถานศกึ ษามัธยมศึกษา ใน จงั หวดั นครปฐม. ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. เศรษฐราณี ทรวดทรง. (2556). ทกั ษะการบริหารกบั การบริหารระบบคุณภาพในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา. วทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา. มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. สภุ าพร บญุ มาก. (2552). ทักษะการบรหิ ารของผบู้ รหิ ารทส่ี ัมพันธ์กับมาตรฐานด้านบรหิ ารและการจัดการศึกษา ของสถานศึกษา สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาสุพรรณบรุ ี เขต 2. วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตร มหาบัณฑติ . บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. อาภาศริ ิ โกฏิสงิ ห์. (2556). การวางแผนกลยุทธใ์ นสถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน สังกดั สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษา ประถมศกึ ษา เชียงราย เขต 2. ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั วิทยาลยั เชยี งราย. Amould, E., Price, L. & Zinkhan, G. (2002). Consumers. Newyord: McgrawHill หน้า 232

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพือ่ การเปลย่ี นผ่านสู่ปกตวิ ิถใี หม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) Baldwin, R. (1994). Rules and Government, Oxford: Oxford University Press Drucker, Peter. (2002). Our Definition of Leadership. (Online). Available : http://www.teal.org.uk//Leadership//definition.html. 8 January 2008. DuBrin, A. J. (2012). Principles of leadership (7 th ed.) Australia : South-Western, Cengage Learning Dess, Gregory G. and Miller, Alex.(1993). Strategic Management . Singapore : McGraw-Hill Griffin, Ricky W. (1996). Management. (5th ed.). Boston : Houghton Mifflin Hellriegel, Don, Slocum, John W. (1982). Organizational Behavior. Cincinnate : SouthWestem College Katz. Robert L. (1974). Skills of an Effective Administrator. Harvard Business Review. : September – October. Krejcie, R.V., & D.W. Morgan. (1970). “Determining Sample Size for Research Activities”. Educational and Psychological Measurement. 30(3) : 607 – 610. Tillotson, E.A. (1996). An analysis of technical human and conceptual skills among student affairs administrators in higher education. Dissertation abstracts international. หนา้ 233

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครั้งท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ใี หม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การบรหิ ารแบบมสี ่วนรว่ มของผ้บู รหิ ารท่สี ง่ ผลตอ่ การดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนยพ์ ฒั นาเด็ก เล็ก จงั หวดั สมุทรสาคร PARTICPATORY MAMAGEMENT OF ADMINISTRETORS AFFECTING THE IMPLEMENTATION OF CHILD DEVELOPMENT CENTER STANDARDS IN SAMUT SAKHON PROVINCE สริ กิ ลุ สวุ รรณสงิ ห์1 นิษฐส์ ินี กปู้ ระเสริฐ2 หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยธนบรุ ี1 และบัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยธนบรุ ี2 [email protected], [email protected] บทคดั ย่อ การวิจยั น้มี ีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษา 1) ระดับการบริหารแบบมสี ่วนร่วมของผู้บริหารศูนยพ์ ัฒนาเดก็ เล็ก จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาระดับการดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนยพ์ ฒั นาเด็กเล็ก จังหวดั สมุทรสาคร 3) ศกึ ษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารท่ีส่งผล ต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ คณะกรรมการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัด สมุทรสาคร จำนวน 386 คน ใช้วธิ ีการสมุ่ แบบแบง่ ชั้น โดยใช้อำเภอเป็นช้ันและสุ่มอย่างงา่ ย เครอ่ื งมอื ท่ีใช้คือแบบสอบถาม การทดสอบ ความเช่ือมน่ั ของแบบสอบถามเทา่ กบั 0.931 และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใชค้ า่ ความถ่ี ค่ารอ้ ยละ คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรดว้ ยวิธขี องเพียรส์ ัน การวเิ คราะหก์ ารถดถอยแบบพหุคณู ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ดำรงตำแหน่งครูผู้ดูแลเด็ก มีวุฒิ การศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรี มีประสบการณ์ปฏิบัติงานด้านบริหารเป็นเวลา 1-5 ปี 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของ ผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉล่ีย สงู สุด คือ ดา้ นการไว้วางใจ รองลงมา คือ ดา้ นความเปน็ อสิ ระตอ่ ความรรู้ ับผดิ ชอบในงาน และดา้ นทีม่ คี า่ เฉล่ยี ตำ่ สุดด้านการ ตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ ด้านความยึดมั่นผูกพัน 2) การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัด สมุทรสาคร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านวิชาการ และกิจกรรม ตามหลักสูตร รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ด้านบุคลากร 3) การ บริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารกับการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พฒั นาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร มีความสัมพันธ์ กันเชิงบวก ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พหุคูณเป็น .813 และสามารถพยากรณ์การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ได้ร้อยละ 65.70 โดยมีความ คลาดเคล่อื นมาตรฐานในการพยากรณ์ เทา่ กับ ± 0.326 คำสำคญั : การบริหารแบบมีสว่ นร่วมของผู้บริหาร การดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนยพ์ ฒั นาเด็กเล็ก จังหวัดสมทุ รสาคร หน้า 234

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ คร้งั ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลี่ยนผา่ นสู่ปกติวิถีใหม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ABSTRACT The current study aims to investigate (1) level of executives’ participatory administration of the childcare centers, Samut Sakhon Province, (2) performance level of the childcare centers, Samut Sakhon Province, ( 3) executives’ participatory administration influenced on performance of the childcare centers, Samut Sakhon Province. A sample group was 386 board members of the childcare centers in Samut Sakhon Province, drawn by stratified sampling of districts and then a random sampled. An instrument was a questionnaire, with its reliability of .931. Data were analyzed by means of frequency, percentage, standard deviation, Pearson’ s correlation coefficient, and Multiple Regression Analysis. The findings revealed that the majority of the respondents were females, between 41-50 years old, appointed as child caretakers, having 1-5 years of administrative experience. (1) Overall executives’ participatory administration was at a high level. When inspecting at individual aspects, the highest averaged aspect was trust, followed by promoting independence for the person in charge, while the lowest averaged aspect was goal setting and the objective aspect of engagement. (2) Overall performance complied with the operational standard of the childcare centers in Samut Sakhon province was at a high level. When inspecting at individual aspects, the highest rated aspect was academic and curricular activities, followed by administration of the center, while the lowest averaged was personnel. (3) Executives’ participatory administration positively related to performance of the childcare centers in Samut Sakhon province at a moderate to high level, significantly at .01 level (r ranges between 0.561 – 0.747) KEYWORDS: Principals’ participatory administration/ Performance complied with the childcare center operational standards, Samut Sakhon province บทนำ ปัจจุบนั ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหค้ วามสำคญั กบั ระบบการศึกษามาเป็นเวลานานโดยทาง ภาครฐั และเอกชนมกี ารร่วมมือกันใน การพัฒนาระบบการศึกษามาโดยตลอด ทั้งทางด้านการจัดการเรียนการสอน คุณภาพของสถานศึกษาคุณภาพของผู้เรียน และมีการประเมิน งานเพื่อตรวจสอบคุณภาพการศึกษาทั้งภายใน และภายนอกอย่างสม่ำเสมอ นโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการปีงบประมาณ พ.ศ.2562 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร (สป.ศธ.) ท่ีจะตอ้ งมุง่ สร้างพ้นื ฐานใหเ้ ด็ก เยาวชน และผเู้ รียนมีทศั นคติทถี่ ูกต้องในเรื่องสถาบัน หลักของชาติสร้างพื้นฐานชีวิต(อุปนิสัย)ที่เข้มแข็งและได้นำเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี (พ.ศ.2561-2580)ด้านการเสริมสร้าง ศักยภาพ และทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งให้คนไทยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพพร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และยึดเจตนารมณ์ของ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560 ที่กำหนดหลักการในส่วนท่เี ก่ียวข้องกบั การพัฒนาเด็กเล็ก “ปฐมวยั ”เปน็ วัยเริ่มต้นของ ชีวติ และพัฒนาการทกุ ด้านเป็นช่วงวยั ทีพ่ ัฒนาการทางด้านต่าง ๆเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็วท่สี ดุ และเป็นฐานรากทีส่ ำคัญสำหรับพัฒนาการในช่วง วัยต่อ ๆ ไป เด็กปฐมวัยจึงเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความสำคัญที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตามช่วงวัยจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมี คุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไปในอนาคต ดังคำกล่าว ของ ศ.ดร.เจมส์ เจ เอคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ปี พ.ศ. 2542 ที่ว่า “การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว” เด็กปฐมวัยมีโอกาสพัฒนา หน้า 235

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้งั ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสู่ปกตวิ ิถใี หม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) อย่างเต็มศักยภาพในภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัย “ รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแล และพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพื่อพัฒนา ร่างกาย จติ ใจ วนิ ยั อารมณ์ สงั คมและสตปิ ัญญาให้สมกับวัย โดยสง่ เสรมิ ให้องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการ ดำเนนิ การดว้ ย” นอกจากนย้ี ังพบปญั หาดา้ นการบริหารงานของผู้บริหารสถานศกึ ษาปฐมวยั ซึง่ ขาดบทบาทในการนิเทศ กำกับติดตามการใช้ หลักสูตรการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาและนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพเดก็ การประเมินการนำหลักสูตรไปใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาหลักสตู รให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น อย่างต่อเนื่องขาดการจัดกิจกรรมพบปะผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ การวางแผนกำหนดหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้การจัดกิจกรรมการ เรียนรูก้ ารประเมินผลการเรียนรู้ ไม่มีการจัดทำแผนการจดั ประสบการณท์ ี่เน้นเดก็ เป็นสำคัญ ไม่มีโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน ไม่มี คู่มือการปฏิบัติงานตามมาตรฐาน ไม่มีเทคโนโลยีและระบบข้อมูลสารสนเทศ ไม่มีการพัฒนาบุคลากรอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ไม่มี ระบบกำกับ ตรวจสอบและรายงานคุณภาพภายในที่เหมาะสมรวมทั้งไม่มีการร่วมมือกับองค์กรภายนอก (สำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, 2552) เพื่อพัฒนาและแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมในจังหวัดสมุทรสาคร ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นบ่อเกิดหรือปัจจัยเสรมิ ของอีกหลายปญั หาเนือ่ งจากผู้บรหิ ารละเลยการบรหิ ารงานในดำเนินงานตามมาตรฐาน การสนับสนุนการจัดการศกึ ษาจากภาครัฐต่างก็ ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาต่าง ๆ มาหลายปี ตามที่สำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, หน้า 20-42) ที่ได้ทำการสรุปผลการดำเนินงาน 9 ปี ของการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2542 -2551 พบว่ายังมีปญั หาในด้านต่าง ๆ อาทิ ในดา้ นผูบ้ ริหารน้นั พบปัญหา 1) การขาดดลุ พินจิ ในการบริหารจัดการและการ ตัดสินใจ 2) ความไม่มีอิสระในการบริหารและจัดการศึกษาของสถานศึกษา 3) ผู้บริหารส่วนใหญ่ให้ความสนใจในการพัฒนาวัสดุ อุปกรณ์มากกว่าการนำเนื้อหาสาระในสื่อเทคโนโลยีและสารสนเทศไปใชใ้ นการเรียนการสอน 3) ผู้บริหารสถานศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ เป็นผู้นำทางวิชาการ 4) สถานศึกษาส่วนใหญ่ขาดความพร้อมท่ีจะรองรับการเป็นนิติบุคคลสำหรับด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของการ บริหารจัดการศึกษา พบปญั หา 1) การกระจายอำนาจสู่เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาและสถานศกึ ษาทย่ี งั ไมเ่ ปน็ ไปตามหลักการกระจายอำนาจท่ี แทจ้ ริง 2) การบรหิ ารงานบคุ คลยังไม่มอี ิสระเท่าท่คี วร 3) กฎหมายทเ่ี ก่ียวข้องไม่เอือ้ ต่อการกระจายอำนาจบรหิ ารและจัดการศกึ ษา องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินหลายแห่งไมเ่ ปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคเอกชน เข้ามามีสว่ นร่วมในการจดั การศึกษาทำให้การ บริหารศนู ย์พฒั นาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ไม่สอดคล้องกบั ความต้องการ องคก์ รปกครองส่งนท้องถนิ่ ส่วนใหญย่ ังไมท่ ราบ บทบาทหน้าทีใ่ นการจัดการศึกษาตามอำนาจหน้าท่ีของตนเอง ทำให้ขาดแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย การบริหารงานแบบมสี ่วนรว่ มถือได้ ว่าเป็นปัจจัยที่สําคัญปัจจัยหนึ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาควรใช้เป็นแนวทางในการบริหาร เนื่องจากการทํางานในชีวิตจริงงานบางงานไม่ สามารถทีจ่ ะทาํ เพยี งคนเดียวสําเร็จจะตอ้ งได้รบั ความรว่ มมือจากหลายฝ่าย หลายหน่วยงาน ซ่งึ การมีส่วนร่วมในการทํางานไมจ่ ําเป็นต้อง เป็นผู้ที่ลงมือกระทํางานโดยตรงยังสามารถเป็นผู้ที่ให้ขอ้ เสนอแนะ หรือข้อคิดเห็นในการดําเนินงานเป็นต้น การบริหารงานแบบมีส่วน ร่วมจะใหค้ วามสําคัญในเรื่องของคน และงานควบค่กู ันไป สถานศกึ ษาต้องไดร้ ับความรว่ มมอื จากทุกฝ่าย ทั้งนักเรยี น ครู ผูป้ กครอง และ ประชาชนทว่ั ไป การทาํ งานเปิดโอกาสใหเ้ พ่ือนร่วมงานได้ทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ รว่ มกัน แสดงความคิดเห็นรว่ มกนั วางแผนร่วมกันทํา ดงั น้นั ผบู้ รหิ ารท่ดี ีควรใชห้ ลกั ในการบริหารงานแบบมีสว่ นรว่ ม ในการทํางาน เพอ่ื ความเจรญิ ทางด้านการศึกษาต่อไป ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการบริหารแบบมีส่วนรว่ มของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากสมาชิกสภาองคก์ รปกครอง สว่ นท้องถ่นิ ผแู้ ทนด้านสาธารณสุข ผแู้ ทนผูป้ กครอง ผแู้ ทนผดู้ แู ลเดก็ และหวั หนา้ ศูนย์พฒั นาเดก็ เล็กในการดำเนินงานตามมาตรฐาน ศูนย์เด็กเล็ก เพ่ือศกึ ษาสภาพปญั หาการบรหิ ารแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินงานศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็ก เพือ่ นำขอ้ มูลไปเป็นแนวทาง และ ปรบั ใช้ในการส่งเสรมิ ปรับปรงุ และพฒั นาการบรหิ ารแบบมสี ว่ นร่วมในการดำเนินงานของศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ จังหวัดสมทุ รสาคร หนา้ 236

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) วธิ ีดำเนินการวิจยั ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาคร้งั นี้ ไดแ้ ก่ ผ้ทู รงคณุ วุฒิ ผู้แทนจากสมาชิกสภาองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนด้านสาธารณสุข ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนผู้ดูแลเด็ก และหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศูนย์ พัฒนาเดก็ ปฐมวัย จงั หวัดสมุทรสาคร) รวมจำนวน 618 คน (ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 28/09/62) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีจำนวนประชากรที่แน่นอน (Finite Population) ดังนั้น จึงกำหนดกลุ่ม ตัวอย่าง (Simple Size) โดยใช้หลักการคำนวณของ (Taro Yamane, 1973) และกำหนดความคลาดเคลื่อนของกลุ่ม ตวั อย่างเทา่ กับ .05 ประกอบด้วย ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ผูแ้ ทนจากสมาชกิ สภาองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ ผู้แทนด้านสาธารณสุข ผู้แทนผปู้ กครอง ผแู้ ทนครูผดู้ ูแลเด็ก และหวั หนา้ ศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ ปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย จังหวดั สมทุ รสาคร) รวม 618 คน โดยใช้หลกั การคำนวณของ ยามาเน่ (Yamane, 1973 : 583) ได้กลมุ่ ตวั อย่าง 386 คน เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย เครื่องมือทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เป็นแบบสอบถาม (Questionnaires) เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัยครั้งน้ี 1 ฉบับ ซ่งึ แบ่งเปน็ 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบ โดยผู้วิจัยสอบถามเกี่ยวกับ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณท์ ำงาน ลกั ษณะของแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร ท้ัง 4 ด้าน ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) ตามแบบของ (Likert Sale) และมีน้ำหนักของ คะแนนตามระดับความพึงพอใจตั้งแต่ 1 ถงึ 5 ตอนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกบั การดำเนินงานตามมาตรฐานศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็ก ซ่งึ ประกอบด้วย 6 ด้าน ลักษณะของ แบบสอบถามเป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) ตามแบบของ (Likert Sale) และมีน้ำหนักของคะแนนตาม ระดับความพงึ พอใจต้งั แต่ 1 ถงึ 5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผ้วู จิ ยั ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมขี ั้นตอนดงั น้ี (1) จะดำเนินการทำหนังสือขอเกบ็ ข้อมลู จากมหาวิทยาลัยบัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยธนบรุ ี ถึงศนู ย์พฒั นาเด็ก ปฐมวัยจังหวัดสมุทรสาคร ใน 3 อำเภอ 1.อำเภอกระทุ่มแบน 2.อำเภอบ้านแพ้ว 3.อำเภอเมืองสมุทรสาคร เพื่อขอความ อนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถาม โดยดำเนินการเก็บตามสัดส่วนขนาดตัวอย่าง จำนวน 386 คน (แจกแบบสอบถาม เพ่ือกนั แบบสอบถามไม่สมบรู ณ์ 10 %) จะเก็บข้อมลู ในชว่ งเดือนตลุ าคม – พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 (2) โทรศพั ท์ตดิ ตามเพอ่ื ยืนยนั การไดร้ ับหนงั สอื และแบบสอบถามทนี่ ำส่งไป รวมทั้งยนื ยนั ระยะเวลาการส่งแบบสอบถามตอบกลับ (3) ผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งแบบสอบถามถึง กลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มโดยส่งไปรษณีย์ และด้วย ตนเอง และเก็บรวบรวมแบบสอบถามกลับคืน 386 ฉบับ และทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม คิดเป็น ร้อยละ 100 เมื่อได้รับข้อมูลตอบกลับครบถ้วนสมบูรณ์จนสามารถนำไปวิเคราะห์ผลได้ จะนำส่งหนังสือขอบคุณให้ ผู้บริหารเพ่อื ขอบคุณในความร่วมมือที่ช่วยให้ข้อมูล การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถิตทิ ่ีใชใ้ นการวจิ ยั 1. วิเคราะหข์ ้อมลู สถานภาพทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยการหาคา่ ความถ่ี และค่าร้อยละ 2. วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ทั้งหมด 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการ ตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ร่วมกัน 2) ด้านความยึดมั่นผูกพัน 3) ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับผิดชอบในงาน 4) ด้านการไวว้ างใจ โดยหาคา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน หน้า 237

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกติวิถีใหม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 3. วิเคราะห์เกี่ยวกับการดำเนินตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทั้งหมด 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการ บริหารจดั การศนู ย์พัฒนาเด็กเลก็ 2) ด้านบคุ ลากร 3) ดา้ นอาคาร สถานท่ี สิง่ แวดล้อม และความปลอดภัย 4) ด้านวชิ าการ และกิจกรรมตามกลักสูตร 5) ด้านการมีส่วนร่วม และสนับสนุนจากชุมชน 6) ด้านการส่งเสริมเครือข่ายการพัฒนาเด็ก ปฐมวัย โดยหาคา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 4. วิเคราะห์การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยใชว้ ธิ กี ารหาคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์แบบเพยี ร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) 5. วิเคราะหก์ ารดำเนนิ งานตามาตรฐานศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ โดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ(MultipleRegressionAnalysis) ผลการวิเคราะห์ข้อมลู การศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก จังหวดั สมทุ รสาคร ผลการศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จงั หวัดสมุทรสาคร โดยรวม รายดา้ น และรายขอ้ สามารถนำเสนอขอ้ มลู ในตารางประกอบการบรรยาย ดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย (×̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของระดับการบริหารแบบมีสว่ นรว่ มของผู้บริหารที่สง่ ผลต่อ การดำเนินงานตามมาตรฐานศนู ย์พฒั นาเด็กเล็ก จงั หวดั สมทุ รสาคร โดยภาพรวม การบริหารแบบมสี ว่ นร่วมของผูบ้ รหิ าร ×̅ S.D. ระดับการปฏบิ ตั ิ ลำดบั 1. ดา้ นการตัง้ เป้าหมาย และวัตถปุ ระสงค์รว่ มกนั 3.99 0.66 มาก 4 2. ด้านความยึดมนั่ ผกู พัน 3.99 0.61 มาก 3 3. ด้านความเปน็ อสิ ระตอ่ ความรรู้ ับผดิ ชอบในงาน 4.01 0.55 มาก 2 4. ด้านการไวว้ างใจ 4.14 0.58 มาก 1 รวม 4.03 0.52 มาก จากตารางที่ 1 พบว่า ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐาน ศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ จังหวดั สมุทรสาคร โดยภาพรวม อยใู่ นระดบั มาก (×̅ = 4.03) เมอื่ พจิ ารณาตามตารางเป็นรายดา้ น พบว่า ดา้ นการไว้วางใจ มคี า่ เฉลีย่ สูงสดุ (×̅ = 4.14) รองลงมา คือ ดา้ นความเป็นอสิ ระต่อความร้รู ับผิดชอบในงาน (×̅ = 4.01) ส่วนดา้ นการตงั้ เป้าหมาย และวัตถุประสงคร์ ว่ มกนั และด้านความยดึ มน่ั ผกู พัน มีคา่ เฉลย่ี ตำ่ ท่สี ดุ (×̅ = 3.99) การศกึ ษาระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ จังหวัดสมทุ รสาคร ผลการศึกษาระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม รายด้าน และรายขอ้ สามารถนำเสนอข้อมูลในตารางประกอบการบรรยาย ดงั ตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย (×̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็ก ×̅ S.D. ระดบั การปฏบิ ัติ ลำดับ 1. ดา้ นการบริหารจดั การศูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก 4.07 0.60 มาก 2 2. ด้านบุคลากร 3.95 0.64 มาก 6 3. ดา้ นอาคาร สถานที่ สิง่ แวดล้อม และความปลอดภยั 3.99 0.57 มาก 5 4. ดา้ นวิชากร และกจิ กรรมตามหลกั สูตร 4.11 0.63 มาก 1 5. ด้านการมสี ว่ นร่วม และสนับสนุนจากชุมชน 4.03 0.64 มาก 4 6. ดา้ นการส่งเสริมเครือข่ายการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั 4.05 0.67 มาก 3 หนา้ 238

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ คร้งั ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นส่ปู กตวิ ถิ ีใหม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) รวม 4.03 0.55 มาก จากตารางท่ี 2 พบว่า ระดบั การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับ มาก (×̅ = 4.03) เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านวิชากร และกิจกรรมตามหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (×̅ = 4.11) รองลงมา คอื ดา้ นการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก (×̅ = 4.07) ส่วนด้านบุคลากร มคี ่าเฉลี่ยตำ่ ที่สดุ (×̅ = 3.95) การวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ระหวา่ งการบรหิ ารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร กับการดำเนนิ งานตามมาตรฐาน ศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็ก จงั หวดั สมุทรสาคร ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร กับการดำเนินงานตามมาตรฐาน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สามารถนำเสนอ ขอ้ มลู ในตารางประกอบการบรรยาย ดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีสว่ นร่วมของผู้บริหาร กับการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พฒั นาเด็ก เล็ก จงั หวัดสมุทรสาคร ตวั แปรทีใ่ ชใ้ นการพยากรณ์ X1 X2 X3 X4 1. ดา้ นการต้งั เปา้ หมาย และวัตถปุ ระสงค์รว่ มกัน(X1) - - - - 2. ด้านความยดึ มัน่ ผกู พัน (X2) 0.668** - - - 3. ด้านความเปน็ อิสระต่อความรู้รับรบั ผดิ ชอบในงาน (X3) 0.675** 0.735** - - 4. ด้านการไว้วางใจ (X4) 0.561** 0.598** 0.747** - 5. การดำเนินงานตามมาตรฐานศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ (Y) 0.637** 0.734** 0.746** 0.674** **มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .01 จากตารางที่ 3 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรพยากรณ์ ได้แก่ ด้านการตั้งเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ร่วมกัน ด้านความยึดมั่นผกู พัน ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับรับผดิ ชอบในงาน และด้านการไว้วางใจ กับ การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั 0.01 โดยมคี ่าสมั ประสิทธ์สิ หสัมพนั ธ์ตั้งแต่ 0.561 – 0.747 การเปรียบเทียบการบรหิ ารแบบมีสว่ นร่วมของผู้บริหารทีส่ ่งผลต่อการดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนย์พฒั นา เดก็ เล็ก จังหวดั สมทุ รสาคร ผลการวิเคราะห์หาอำนาจการทำนายของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตาม มาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) ได้รปู แบบของการวิเคราะห์ 4 รูปแบบ ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะหก์ ารถดถอยพหคุ ูณแบบเป็นขั้นตอนของการบริหารแบบมีสว่ นร่วมของผู้บริหารทีส่ ง่ ผลต่อการ ดำเนินงานตามมาตรฐานศนู ย์พัฒนาเด็กเล็ก จงั หวดั สมทุ รสาคร รูปแบบ ตัวแปรทำนาย R R2 R2adj R2change SE est. F P 1. X3 2. X3, X2 0.746 0.557 0.556 0.557 0.371 482.777** 0.000 3. X3, X2, X4 4. X3, X2, X4, X1 0.795 0.632 0.630 0.075 0.338 329.040** 0.000 0.809 0.654 0.651 0.022 0.329 240.511** 0.000 0.813 0.660 0.657 0.006 0.326 185.077** 0.000 ** มนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน พบว่า ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์การ ดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พฒั นาเดก็ เลก็ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้แก่ ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้ รบั รบั ผิดชอบในงาน (X3) ดา้ นความยึดมั่นผกู พัน (X2) ดา้ นการไว้วางใจ (X4) และด้านการตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ หนา้ 239

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ คร้งั ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกติวถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) รว่ มกนั (X1) โดยมีคา่ สมั ประสิทธสิ์ หสัมพันธพ์ หุคณู (R) เทา่ กบั 0.813 มคี า่ สมั ประสิทธก์ิ ารพยากรณ์ (R2) เท่ากบั 0.660 มี ค่าสัมประสทิ ธิ์การพยากรณ์ปรับปรงุ (R2adj) เท่ากับ 0.657 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (SEest) เท่ากบั 0.326 ตัวแปรท้ัง 4 ตัว แปรสามารถพยากรณก์ ารดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พฒั นาเดก็ เลก็ ได้ร้อยละ 65.70 ผลการวิเคราะห์อำนาจทำนายของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ได้แก่ ด้านการตั้งเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ร่วมกัน (X1) ด้านความยึดมั่นผูกพัน (X2) ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับรับผิดชอบในงาน (X3) และด้าน การไว้วางใจ (X4) แสดงไดด้ งั ตารางท่ี 5 ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์อำนาจทำนายของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตาม มาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเลก็ จงั หวดั สมุทรสาคร ตวั แปรทำนาย bβ t p 1. ดา้ นความเป็นอสิ ระตอ่ ความรูร้ บั รบั ผดิ ชอบในงาน (X3) 0.260 0.260 4.69** 0.000 2. ด้านความยดึ มัน่ ผกู พัน (X2) 0.307 0.339 7.20** 0.000 3. ด้านการไว้วางใจ (X4) 0.202 0.213 4.69** 0.000 4. ด้านการตั้งเปา้ หมาย และวตั ถปุ ระสงคร์ ว่ มกนั (X1) 0.097 0.116 2.67** 0.008 5. ค่าคงที่ (Constant) 0.548 4.18** 0.000 R = 0.813, R2 = 0.660, R2adj = 0.657, F = 185.077, df1 = 4, df2 = 381, Sig. < 0.01, SEest. = 0.326, a = 0.548 ** มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 จากตารางที่ 5 พบว่า ตัวแปรอิสระทั้งหมดของงานวิจัย ได้แก่ ด้านความยึดมั่นผูกพัน (X2) ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับ รับผิดชอบในงาน (X3) ด้านการไว้วางใจ(X4) และด้านการตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน(X1) สามารถร่วมกันทำนายการดำเนินงาน ตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ได้ร้อยละ 66.00 (R2 = 0.660) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อปรับค่าความคลาดเคลื่อน มาตรฐานในการพยากรณ์ที่มคี ่าเท่ากบั 0.326 (SEest = 0.326) พบวา่ ปจั จยั ทงั้ หมดสามารถรว่ มกันทำนายการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์ พัฒนาเด็กเล็กได้ถึงร้อยละ 65.70 (R2adj = 0.657) ส่วนอีกร้อยละ 34.30 เกิดจากอิทธิพลของตัวแปรอื่นที่ไม่นำมาเป็นตัวแปรอิสระใน การศึกษาครั้งนี้ ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายสูงสุดคือ ด้านความยึดมั่นผูกพัน (β = 0.339) รองลงมา ได้แก่ ด้านความเป็นอิสระต่อ ความรู้รับรับผิดชอบในงาน (β = 0.260) และด้านการไวว้ างใจ (β = 0.213) สรปุ ผลการวจิ ยั จากผลการวจิ ัยเรือ่ ง การบริหารแบบมีสว่ นรว่ มของผู้บรหิ ารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนา เดก็ เล็ก จังหวัดสมุทรสาคร สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังน้ี 1. ผลการศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 41 – 50 ปี ดำรง ตำแหน่งครูผดู้ ูแลเด็ก มวี ุฒกิ ารศึกษาสงู สดุ ระดับปริญญาตรี และมีประสบการณ์ปฏบิ ตั งิ านดา้ นการบริหารเปน็ เวลา 1 – 5 ปี 2. ผลการศึกษาระดับการบรหิ ารแบบมีส่วนร่วมของผูบ้ รหิ ารทสี่ ่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการ ไว้วางใจ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับผิดชอบในงาน ส่วนด้านการตั้งเป้าหมาย และ วตั ถุประสงค์ร่วมกัน และดา้ นความยึดม่ันผกู พัน มคี ่าเฉล่ียตำ่ ท่สี ดุ 3. ผลการศึกษาระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านวิชากร และกิจกรรมตามหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการบรหิ ารจดั การศูนย์พฒั นาเดก็ เล็ก ส่วนดา้ นบคุ ลากร มีคา่ เฉลย่ี ต่ำท่ีสุด หนา้ 240

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสูป่ กติวถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 4. ผลการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งการบริหารแบบมีส่วนรว่ มของผู้บริหาร กับการดำเนินงานตามมาตรฐาน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงาน ตามมาตรฐานศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เล็ก จงั หวดั สมทุ รสาคร อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ 0.01 5. ผลการเปรยี บเทียบการบรหิ ารแบบมสี ่วนร่วมของผ้บู ริหารทส่ี ่งผลต่อการดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์ พฒั นาเดก็ เล็ก จงั หวัดสมทุ รสาคร อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.01 อภิปรายผล ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นการศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผูบ้ ริหารท่ีส่งผลต่อการดำเนนิ งานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนา เดก็ เลก็ จงั หวัดสมทุ รสาคร ผลการวิจยั ครง้ั นสี้ ามารถอภปิ รายผลตามลำดบั ของวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัยดงั ต่อไปนี้ 1. ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพจิ ารณาตามตารางเปน็ รายด้าน พบว่า ดา้ นการไว้วางใจ มคี า่ เฉลยี่ สงู สดุ รองลงมา คอื ด้านความเป็น อิสระต่อความรู้รับผิดชอบในงาน ส่วนด้านการตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ร่วมกัน และด้านความยึดมั่นผูกพัน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ท่ี เป็น เช่นนอ้ี าจเน่อื งมาจากคณะกรรมการศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็ก จังหวัดสมุทรสาคร ยงั ขาดการมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาครู อนั เนอ่ื งมาจากการจัดการ อบรมให้ครู มีความรู้ มีทักษะปฏิบัติที่ดี สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการตระหนักถึงผู้บริหาร และครูในด้าน ความสามารถในการปฏิบัติงาน ให้บรรลุตามเป้าหมายในทิศเดียวกันซึ่งสอดคล้องกับงานวจิ ัยของจุฑารัตน์ ยะตะนัง และอัมเรศเนตาสิทธิ์ (2556-2557) ได้ศกึ ษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมตามเกณฑ์มาตรฐานศนู ย์เด็กเล็กแห่งชาติ ของศูนยพ์ ฒั นาเด็กเลก็ สังกัดองค์การบริหารส่วน ตำบล ในเขตอำเภอเมอื งลำปาง จังหวดั ลำปาง ผลการวจิ ัยพบว่า สภาพการบริหารแบบมสี ่วนร่วมในการดำเนนิ งานตามเกณฑ์มาตรฐานศนู ย์เด็ก เล็กแห่งชาติของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การบริหารจัดการ ศนู ย์เด็กเล็กการจัดกระบวนการเรียนรเู้ พ่ือส่งเสริมพัฒนาการเดก็ และคุณภาพเดก็ สภาพปญั หาท่ีพบคอื งบประมาณท่ไี ด้รับจัดสรรไม่เพียงพอ ต่อการบริหารจัดการขาดแคลนงบประมาณในการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้เสริมพัฒนาการเด็กตลอดจนฐานะทางครอบครัวที่ยากจน และขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง สว่ นแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารแบบมีส่วนรว่ มไดแ้ ก่ควรมกี ารประชุมหารือรว่ มกันระหวางผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวขอ้ งในการจัดทำแผนพฒั นาศนู ยเ์ ด็กเล็กเพื่อกำหนดกิจกรรมโครงการรว่ มกันการรวมศูนย์ในแต่ละตำบลให้เป็นศนู ยเ์ ด่ียวและควร จดั กิจกรรมร่วมกบั ชุมชนเพ่ิมขึ้น 2. ระดบั การดำเนนิ งานตามมาตรฐานศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบวา่ โดยภาพรวม อยใู่ นระดับมาก เมือ่ พจิ ารณาตาม ตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านวิชากร และกิจกรรมตามหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สว่ นดา้ นบุคลากร มีคา่ เฉล่ยี ต่ำท่ีสุด ทีเ่ ป็นเช่นนอ้ี าจเนื่องมาจาก คณะกรรมการศูนยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ จังหวัดสมุทรสาคร ไม่ได้มีการหาทุนให้ ทุนการศึกษาต่อแก่ครู ผู้ดูแลเด็ก เพื่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรอีกทั้งยังขาดความเป็นธรรมในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถมาพัฒนาศูนย์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวจิ ัยของ ฐิตินาถ สุขสำราญ (2558) ไดศ้ กึ ษาการมีสว่ นร่วมของชุมชนในการบริหารงานศูนย์ พัฒนาเด็กเลก็ สังกดั องค์การบรหิ ารส่วนตำบลในเขตอำเภอสองพี่น้อง จงั หวดั สพุ รรณบุรี ผลการศกึ ษาพบว่า การมีสว่ นรว่ มของชุมชนในการ บริหารงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีในภาพรวม ในภาพรวมการมีส่วน ร่วมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยคือ ด้านส่งเสริมเครือข่ายการ พฒั นาเด็กปฐมวัย รองลงมา คอื ด้านการบริหารจดั การศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ ด้านการมีสว่ นรว่ มและการสนบั สนุนจากทกุ ภาคส่วน ดา้ นวิชาการ และกจิ กรรมตามหลักสูตร ด้านบุคลากร และด้านอาคาร สถานท่สี งิ่ แวดลอ้ มและความปลอดภัย 3. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทาง หน้า 241

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นส่ปู กติวถิ ีใหม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) สถิติทรี่ ะดับ 0.01 ที่เป็นเช่นนอี้ าจเน่ืองมาจาก หลักในการบรหิ ารงานแบบมสี ว่ นร่วมของผู้บริหาร ไมว่ า่ จะเป็นหลกั ด้านการต้งั เป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ร่วมกัน ด้านความยึดมั่นผูกพัน ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับผิดชอบในงาน ด้านการไว้วางใจ ทุกด้าน ล้วนส่งผลต่อการ ดำเนินงานตามมาตรฐานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งหมดซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นงคราญ ศุกระมณี (2558) ได้ศึกษาการบริหารแบบมี ส่วนร่วมในการปฏิบัติงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ผลการศึกษาพบว่า ผลการเปรียบเทียบการบริหารแบบมี ส่วนร่วมในการปฏิบัติงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองกาญจนบุรีจำแนกตามประสบการณ์ทำงาน ในภาพรวมและรายด้านมี ความแตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั 0.05 นั่นคอื ประสบการณ์ในการทำงาน 5-10ปี มีการมสี ว่ นรว่ ม มากกว่า ประสบการณ์ ในการทำงานนอ้ ยกวา่ 5ปีและประสบการณ์ในการทำงานนอ้ ยกว่า 5ปี มีการมีสว่ นร่วมมากกวา่ ประสบการณใ์ นการทำงาน 10ปขี ้ึนไป ข้อเสนอแนะ ขอเสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช 1. ด้านการไว้วางใจ ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรยึดมั่นในหลักปรัชญาพื้นฐาน และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการ ปฏบิ ัติงาน อีกทัง้ ยงั ผลกั ดนั ให้ผบู้ ริหารศูนยพ์ ฒั นาศนู ยต์ ามหลกั ธรรมมาภิบาล มคี ณุ ธรรม ได้รับการยอมรบั จากทกุ ฝา่ ย 2. ด้านความเป็นอิสระต่อความรู้รับผิดชอบในงาน ทางศนู ย์พัฒนาเด็กเล็กควรมอบอสิ ระในการตดั สินใจ สั่งการ ใหก้ ับบคุ ลากร เพ่ือพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเลก็ ใหเ้ ป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3. ด้านการตั้งเป้าหมาย และวัตถุประสงค์รว่ มกัน ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรมีการกำหนดเป้าหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายที่ชัดเจน เพื่อจัดเป็นทิศทางในการพัฒนาศูนย์ อีกทั้งควรมีการตรวจสอบผลการดำเนินงานของ ผู้บริหารและครู เพือ่ ให้ตรงกบั นโยบาย และความตอ้ งการของผ้ปู กครอง และผมู้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสยี 4. ด้านความยึดมั่นผูกพัน ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรมีการจัดอบรมให้ครู เพื่อให้ครูมีความรู้ มีทักษะในการ ปฏิบัติงานที่ดี สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีการสร้างการตระหนักแก่ผู้บริหาร และครูให้สามารถ ปฏิบตั งิ าน เพอื่ ให้บรรลุตามเป้าหมาย และนโยบายท่ีทุกคนมสี ่วนร่วมในการกำหนด 5. ด้านวิชาการ และกิจกรรมตามหลกั สูตร ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรมอบนโยบายด้านงานพัฒนาวิชาการของ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยมุ่งพัฒนาให้ครูได้ศึกษางานเข้ารับการฝึกอบรม เพื่อปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มี พัฒนาการครบทุกด้าน 6. ด้านการบริหารการจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทางศนู ย์พัฒนาเดก็ เลก็ ควรให้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการรบั สมคั ร การจดั หาสอื่ อุปกรณ์ และทรัพยากรต่างๆ การอนมุ ัตงิ บประมาณ เพอ่ื เปน็ ไปตามแผนการพฒั นาศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เลก็ 7. ดา้ นการส่งเสริมเครอื ขา่ ยการพฒั นาเด็กปฐมวยั ทางศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ ควรเปิดโอกาสใหส้ ถาบนั เครือข่ายเข้า เยี่ยมชมศึกษาดูงาน สัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งขององค์กรเครือข่ายศูนย์เด็กเล็ก เพื่อการให้ บริหารของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 8. ด้านการมีส่วนร่วม และสนับสนุนจากชุมชน ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครององค์กร ภายนอก ทัง้ เอกชน และรัฐ สถาบนั การศึกษา ศาสนา รว่ มมีบทบาทในการพฒั นาเดก็ เลก็ 9. ด้านอาคาร สถานที่ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรให้มีการกำหนดแนวทาง อาคารสถานที่ ส่งิ แวดลอ้ ม และความปลอดภยั ปรบั ปรงุ อาคาร ภูมทิ ศั น์ สนามเดก็ เล่น ฯลฯ 10. ด้านบุคลากร ทางศูนยพ์ ฒั นาเดก็ เล็กควรมีส่วนรว่ มในการหาทนุ ใหท้ ุนการศึกษาตอ่ แกค่ รู ผูด้ ูแลเด็ก เพ่ือให้ เกดิ การพัฒนาบคุ ลากรใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขนึ้ ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจัยคร้ังตอ่ ไป 1. ควรทำการศึกษาในสถานที่แตกต่างกัน เพราะในงานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะในจังหวัดสมุทรสาคร เท่าน้นั ในการวจิ ยั สำรวจคร้ังตอ่ ไป ควรมกี ารศกึ ษาภูมภิ าคอนื่ ๆ เพื่อให้มีความครอบคลุมของข้อมลู หน้า 242

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 2. ควรทำการศึกษาเชิงคุณภาพเพิ่มด้วย เพราะในงานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งในการวิจัยสำรวจครั้ง ตอ่ ไป ควรเพ่มิ การสำรวจเชิงคุณภาพ เพอ่ื สอบถามขอ้ มูลเชิงลกึ ท่แี บบสอบถามท่ัวไปไม่สามารถเก็บข้อมลู ได้ เอกสารอ้างอิง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). ขอเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561). รายงาน ผลการวจิ ยั : การจดั ศนู ยเ์ ดก็ ปฐมวยั ในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค. จุฑารัตน์ ยะตะนัง และอัมเรศ เนตาสทิ ธ์ิ. (2556-2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วมตามเกณฑ์มาตรฐาน ศนู ยเ์ ด็กเล็ก แห่งชาติของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในเขต อำเภอเมือง ลำปาง จังหวัดลำปาง. หลักสูตรปรญิ ญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลำปาง. ฐิตินาถ สุขสำราญ. (2558). การมีส่วนรว่ มของชุมชนในการบริหารงานศนู ย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบรหิ ารสว่ น ตำบลในเขตอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหาร การศึกษา มหาวทิ ยาลัยราชภฏั กาญจนบุรี. นงคราญ ศุกระมณ.ี (2558) การบริหารแบบมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิงานวชิ าการของสถานศึกษา สังกัด เทศบาล เมืองกาญจนบุรี. การค้นคว้าอิสระ หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ .ี Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rd Edition. New York: Harper and Row Publication. หนา้ 243

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครัง้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) การบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานท่สี ง่ ผลต่อประสิทธภิ าพการบรหิ ารงานวิชาการด้านหลกั สตู รสถานศึกษา ในโรงเรยี นเอกชนสังกดั สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน จังหวดั สมทุ รสาคร Effects of School-Based Management on the Private School of Academic Curriculum Office of the Private Education Commission Samut Sakhon กญั ญารตั น์ พงษบ์ า้ นแพ้ว1* อไุ รรตั น์ แย้มชุติ2 หลกั สตู รศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยธนบรุ ี1 และบัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยธนบรุ ี2 [email protected]*, [email protected]. บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวตั ถุประสงค์เพอื่ ศึกษา 1) ระดับการบรหิ ารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานในโรงเรียนเอกชน สังกัด สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2) ระดบั ประสทิ ธภิ าพการบริหารงานวชิ าการ ด้านการพฒั นา หลักสูตรสถานศึกษาในโรงเรยี นเอกชน สังกัดสำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมทุ รสาคร 3) วเิ คราะห์การบริหารโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐานสง่ ผลประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารงานวชิ าการด้านหลกั สูตรสถานศกึ ษาใน โรงเรียนเอกชน สงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน จังหวัดสมทุ รสาคร กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ในโรงเรยี นเอกชน สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา เอกชน จังหวดั สมุทรสาคร ปกี ารศกึ ษา 2562 จำนวน 258 คน เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั เป็น แบบสอบถามแบบ มาตราสว่ นประเมนิ ค่า สถิติทใี่ ช้ ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่าง ตัวแปรด้วยวิธีของเพียรส์ ัน และวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคณู แบบขน้ั ตอน ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ระดบั การบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเปน็ ฐานในโรงเรยี นเอกชน ในภาพรวม อยใู่ นระดับมาก ทส่ี ุด เมื่อพิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ดา้ นหลกั การความรบั ผดิ ชอบและตรวจสอบ มีค่าเฉลีย่ สงู สดุ รองลงมา คอื ด้าน หลกั การกระจายอำนาจและด้านท่มี ีคา่ เฉลย่ี ต่ำสุด คอื ด้านหลักการบรหิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม 2) ระดบั ประสิทธิภาพการ บริหารงานวิชาการดา้ นหลักสตู รสถานศึกษา ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้าน การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยสูงสดุ รองลงมา คือ ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล และ ด้านการสรุปผลการดำเนินการบริหารหลักสูตร ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่ำสุดคือ ด้านการวางแผนดำเนินการใช้หลักสูตร ของสถานศกึ ษา 3) การบรหิ ารโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐานมีความสมั พันธท์ ิศทางเดียวกนั กบั ประสิทธภิ าพการบริหารงาน วิชาการด้านหลักสูตรสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัด สมทุ รสาคร อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01 จะเหน็ วา่ การบริหารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ในด้าน ได้แก่ ด้านหลักการกระจายอำนาจด้านหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้านหลักการบริหารตนเอง ด้าน หลักการความรับผิดชอบและตรวจสอบด้านหลักการมีภาวะผู้นำแบบเกื้อหนุน และด้านหลักพัฒนาทั้งระบบ มี ความสมั พันธ์แบบพหคุ ณู กับประสิทธภิ าพการบรหิ ารงานวิชาการดา้ นหลักสูตรสถานศึกษา อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ิท่ี หนา้ 244

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลี่ยนผา่ นสู่ปกติวถิ ใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ระดับ .01 โดยมีค่าสมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พันธพ์ หุคณู เปน็ .912 และสามารถพยากรณป์ ระสิทธิภาพการบรหิ ารงานวิชาการ ดา้ นหลกั สตู รสถานศกึ ษา ได้รอ้ ยละ 83.10 โดยมคี วามคลาดเคล่ือนมาตรฐานในการพยากรณ์ เท่ากบั ± 0.165 คำสำคญั : การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน/ประสทิ ธิภาพการบรหิ ารงานวชิ าการดา้ นหลกั สตู รสถานศึกษา/ สังกดั สำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสรมิ การศกึ ษาเอกชนจังหวัดสมทุ รสาคร ABSTRACT The current study aimed to (1) Investigate level of school-based administration in private schools under the Office of Private Education Commission, (2) Investigate level of effectiveness in academic administration on private school curriculum development under the Office of Private Education Commission, and (3) Analyze school-based administration influencing on effectiveness in academic administration on private school curriculum development under the Office of Private Education Commission, Samut Sakhon Province. A sample group was 258 school principals, teachers, and staffs in private schools under the Office of Private Education Commission, Samut Sakhon Province in the academic year 2019. A rating-scaled questionnaire was used as a research instrument. Data were analyzed by means of frequency, percentage, mean, standard deviation, Pearson’s correlation coefficients, and Stepwise regression analysis. The findings revealed that (1) Overall level of school-based administration was at a highest level. When inspecting at individual aspects, it was found that the highest averaged aspect was responsibility and auditing principle, followed by decentralization principle, while the participatory principle was the lowest. (2) Overall level of effectiveness in academic administration on the school curriculum was at a highest level. When inspecting at individual aspects, it was found that the highest averaged aspect was school curriculum development, followed by the aspect of supervision, monitoring, and evaluation and the aspect of curriculum administration report, while the lowest one was the aspect of planning for school curriculum implementation. (3) The school-based administration had positive relationship with effectiveness of private school curriculum administration under the Office of Private Education Commission, Samut Sakhon province, significantly at .01 level. It means that the school-based administration of the school principals for the principles of decentralization, participatory administration, self-administration, responsibility and auditing, supportive leadership, and holistic development approach significantly multiple related to effectiveness of school curriculum administration at .01 level. The multiple correlation coefficients were .912, and could predict effectiveness of school curriculum administration of 83.10% with a standardized predictive error of ± 0.165. หน้า 245

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอ่ื การเปลีย่ นผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) KEYWORDS: School-based administration/ Effectiveness of school curriculum administration/ the Office of Private Education Commission, Samut Sakhon Province. บทนำ หลักการที่สำคัญของแผนพัฒนาการศึกษาเอกชน พ.ศ. 2560 – 2564 ในการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษา เอกชน มีหลักการที่สำคัญ ได้แก่ 1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ครอบคลุมการพัฒนาความรู้ สมรรถนะ และทักษะทจี่ ำเปน็ การปลกู ฝังทัศนคติ คา่ นิยม และพฤตกิ รรมทพ่ี ึงประสงค์ การเสริมสร้างโอกาสและความเสมอภาค ให้ผ้เู รยี นไดร้ บั การศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพไดม้ าตรฐาน และจดั การศกึ ษาทส่ี ามารถสนองตอบตอ่ ความต้องการของผเู้ รยี น 2) หลักการมีส่วนร่วมของเอกชนในการจัดการศึกษา ตามแนวคิดหุ้นส่วนการศึกษาระหว่างรัฐและเอกชน ( Public - Private Partnerships in Education) ที่ช่วยให้รัฐสามารถเลือกผู้จัดการศึกษาและสามารถกำหนดสิ่งที่ต้องการ โดยเฉพาะคุณภาพการศึกษาจากคู่สัญญาคือโรงเรียนเอกชน และยังช่วยให้รัฐได้ใช้ประโยชน์จากทักษะและความ ชำนาญเฉพาะของโรงเรียนเอกชน 3) หลักความรับผิดชอบ (Accountability) ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน โรงเรียนเป็นนิติบุคคลมีอิสระในการบริหารจัดการศึกษา โดยรัฐทำหน้าที่กำกับและ ควบคมุ คุณภาพมาตรฐาน (Regulator) สง่ เสริมและสนับสนนุ ใหโ้ รงเรยี นจดั การศกึ ษาท่มี คี ณุ ภาพไดม้ าตรฐาน 4) การ พัฒนาโดยคำนึงถึงความแตกต่างกันของผู้เรียนและโรงเรียน โดยไม่ทอดทิ้งผู้เรียนและโรงเรียนที่มีข้อจำกัดในการ พัฒนา ในขณะเดียวกันต้องวางแนวทางเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนและโรงเรียนที่มีศักยภาพ สามารถพัฒนาคุณภาพ การศึกษาที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปได้ และใช้หลักการจัดสรรงบประมาณผ่านด้านอุปสงค์ ( Demand - Side Financing) หรือด้านผู้เรียน เป็นกลไกช่วยสร้างโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับ ผู้เรียนและข้อสรุปสำหรับผู้บริหารการศึกษาไทยจากสถานการณ์และแนวโนม้ การจัดการศึกษาในจังหวัดสมทุ รสาคร โดยวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมด้านการศึกษา (SWOT Analysis) ด้านคุณภาพทางการศึกษาผลการทดสอบ ระดับชาตขิ น้ั พื้นฐาน O-net ในระดบั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 และ 6 มีคา่ ต่ำกว่าเป้าหมายของจังหวัดพบว่าด้านการบริหาร จัดการพบจุดอ่อนสถานศึกษาส่วนหนึ่งไม่มีการบูรณาการเรียนการสอนไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งสำนักงาน สง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนยงั ขาดบทบาทที่ชดั เจนทำใหโ้ รงเรียนเอกชนสว่ นใหญไ่ ดร้ บั รู้หลกั การกระจายอำนาจและการ มีส่วนร่วมแต่ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาอุปสรรคโรงเรียนเอกชนจังหวัดสมุทรสาครมีความพร้อมในการ บริหารจัดการด้านวิชาการได้น้อยยังต้องพึ่งพาภาครัฐ การดูแลโรงเรียนเอกชนในงานวิชาการด้านหลักสูตร สถานศึกษาไม่สอดคล้องกับบริบทสถานศึกษา การบริหารงานไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องมีแนวทางในการ บริหารสถานศกึ ษาให้มีคุณภาพและสนองกับนโยบายตามแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2560- 2564 ที่มีเป้าหมายสำคัญด้านคุณภาพของผู้เรียนที่มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนที่เพิม่ ขึ้น มีคุณธรรมและจรยิ ธรรม และ ความเป็นพลเมืองของผ้เู รียน การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Base Management: SBM) เป็นแนวทางหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อ ช่วยปรับปรุงการกระจายการควบคุมจากส่วนกลางไปสู่ระดับโรงเรียน มุ่งเน้นให้กลุ่มที่ใกล้ชิดกับผู้เรียน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง ชุมชน ได้มีโอกาสควบคุมสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเพราะแนวคิดการบริหารงานของ โรงเรยี นเปน็ ไปในลกั ษณะที่ใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน หรือเปน็ ศนู ย์กลางของการบริหารจัดการโดยตรง ซ่ึงเป็นแนวคิดที่มุ่ง ให้มีอิสระความคล่องตัวแก่สถานศึกษา โดยตัวแทนของคณะกรรมให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และมีส่วนเกี่ยวข้อง หน้า 246

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปลี่ยนผา่ นส่ปู กตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) กับนักเรียนมากที่สุด (Wohlstetter, 1995) ซึ่งเป็นการบริหารโรงเรียนตนเองเพ่ือตอบสนองความต้องการของชุมชน สังคมและท้องถิ่น ความจำเป็นของโรงเรียน คณะกรรมการโรงเรียนมีส่วนร่วมและรับผิดชอบการตัดสินใจ การใช้ ทรพั ยากรที่มอี ยแู่ ก้ปญั หาและจัดกิจกรรมการศกึ ษาของโรงเรยี นให้มีประสิทธภิ าพ มกี ารพัฒนาระบบการบรหิ ารอย่าง เต็มศักยภาพผลิตผู้เรียนที่เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน จึงเป็นแนวทางในการ ช่วยปรับปรุง กระจายอำนาจจากส่วนกลาง ให้อิสระและคล่องตัวแก่สถานศึกษา ซึ่งปฏิบัติการจัดการศึกษาตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ(ฉบับ) พ.ศ. 2553 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ดำรงชีวิตและประกอบอาชีพตลอดจนเพ่ือ การศึกษาต่อ ให้สถานศกึ ษามหี น้าที่มหี น้าท่ีจัดทำสาระของหลักสตู รตามวัตถุประสงคใ์ นวรรคที่หนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกบั สภาพปัญหาในชมุ ชนและสังคม ภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์เพอ่ื เป็นสมาชกิ ท่ดี ีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ และมาตรา 28 หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสำหรับบุคคลตาม มาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ต้องมีลกั ษณะหลากหลาย ทั้งน้ีใหจ้ ัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั โดยมุ่งพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของบุคคลให้เหมาะสมแก่วยั และศกั ยภาพ สาระของหลักสตู ร ทัง้ ท่ีเปน็ วชิ าการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพฒั นาคนใหม้ ีความสมดุลทง้ั ดา้ นความรู้ ความคดิ ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบตอ่ สงั คม ในการบริหารงานวิชาการถือได้ว่าเป็นหัวใจของการบริหารงานทุกระดับ ทั้งนี้เพราะจุดมุ่งหมายของ สถานศึกษาก็คือ การจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามความมุ่งหมายและหลักการของการจัด การศึกษาที่ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ค วามรู้ และคุณธรรมมี จริยธรรมในการดำเนินชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขได้ตามมาตรฐาน การศึกษา มีสมรรถนะและ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ตามจุดมงุ่ หมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 มีคุณภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ,คู่มือการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคล, 2550:5.) สอดคล้องตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีการแนวการจัดการศึกษาซึ่งมีหลายปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ 1) การจัด กระบวนการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงจุดมุ่งหมายและสาระเนื้อหาของหลักสูตร 2) กระบวนการจัดการ และการ ประเมิน เป็นตน้ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักให้ผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ และถือว่าผู้เรยี นมี ความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผูเ้ รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศักยภาพ ใน การพฒั นาคุณภาพและประสิทธภิ าพในการจัดการศึกษาทีต่ อ้ งเนน้ ความสำคญั ท้งั ความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ทำให้เกิดทักษะในการประกอบอาชพี และการดำรงชีวติ อย่างมีความสุข โดยพื้นฐานในการจัดทำหลักสูตรโรงเรียนก็คือ สถานศึกษาที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะ เปน็ สถานท่ีผ้เู รียนและครูมปี ฏสิ มั พนั ธ์กนั เป็นการสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ การกระทำ และมีผลโดยตรงตอ่ โรงเรียนและมีสว่ น ร่วมในการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการศึกษา การให้โรงเรียนบริหารการจัดการเอง ( School-Based Management) ดังน้นั การนำมาใชจ้ ะต้องนำมาปรับใหเ้ หมาะสมนน้ั ทุกสถานศึกษาจะเปน็ แกนในการปฏิรูปการศึกษา การบรหิ ารงานวิชาการดา้ นหลักสตู รสถานศึกษาแนวคิดในการพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษาตอ้ งเปน็ การกระจายอำนาจ ให้กบั สถานศกึ ษาสามารถตัดสนิ ใจเลอื กนำหลักสูตรมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์กับผ้เู รียนไดอ้ ย่างสูงสุด จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น ในฐานะผู้วิจัยปฏิบัติงานในโรงเรียนเอกชนจังหวัดสมุทรสาคร จึงมีความ สนใจในการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการด้านการพัฒนาหลักสูตร หนา้ 247

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) สถานศึกษาในโรงเรยี นเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งรูปแบบ การบริหารจดั การโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐานนนั้ จะชว่ ยให้มคี วามคล่องตัวในการดำเนนิ งานมากขนึ้ เพือ่ ให้บริหารจัดการ ได้สอดคล้องตามสภาพปัญหาความต้องการของชุมชนทอ้ งถิน่ ตอบสนองต่อความสามารถ ความสนใจความถนัดของ ผู้เรียนตามศักยภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้สามารถแก้ปญั หาต่าง ๆ ในโรงเรียน ชุมชนได้อยา่ งรวดเรว็ ทุกภาค ส่วนของสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ในลักษณะของการมีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในการ บริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนจะมีความสามารถในการจัดการศึกษาได้เหมาะสมกับสภาพของสถานศึกษา เพ่ือใหอ้ งค์กรนัน้ ประสบความสำเรจ็ และมปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสรมิ การศกึ ษาเอกชน จังหวดั สมุทรสาคร 2. เพื่อศึกษาศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร 3. เพอ่ื วเิ คราะหก์ ารบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเปน็ ฐานทส่ี ่งผลประสิทธิภาพการบรหิ ารงานวิชาการ ด้านหลักสตู ร สถานศกึ ษาในโรงเรยี นเอกชน สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จังหวดั สมุทรสาคร วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลาการทางการศึกษา โรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 23 โรงเรียน มีจำนวนผู้บริหารสถานศกึ ษา 23 คน ครู 659 คนและ บคุ ลากรทางการศึกษา 50 คน รวม 732 คน (ข้อมูลวันท่ี 10 มิถุนายน พ.ศ.2561) กล่มุ ตัวอยา่ งคอื ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ครู และ บุคลากรทางการศกึ ษา รวมทงั้ สน้ิ 258 คน ในโรงเรยี นเอกชน สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร การกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ในการวิจัยคร้ัง โดยใช้สูตร Taro Yamane (1973) และกำหนดขอบเขตความคลาดเคลื่อน 0.05 เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า เพื่อสอบถามผู้บริหาร สถานศึกษา ครู และ บุคลาการทางการศึกษาโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน จังหวัด สมุทรสาคร ให้สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ส่วน คอื ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง หนา้ ที่ประสบการณ์ในการทำงาน มลี ักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวดั สมทุ รสาคร ตามแนวคดิ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2547) แบ่งองคป์ ระกอบ 6 ด้าน คือ 1) หลักการกระจายอำนาจ 2) หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม 3) หลักการบริหารตนเอง 4) หลักความ รับผดิ ชอบและตรวจสอบ 5) หลักการมภี าวะผนู้ ำแบบเกื้อหนนุ 6) หลกั การพฒั นาท้งั ระบบ โดยลักษณะแบบสอบถาม หนา้ 248

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครั้งที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสปู่ กติวถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) เป็นมาตราส่วน (Rating scale) มี 5 ระดับ ตามเกณฑข์ องลเิ คิร์ท (Linkert’s Rating Scale) และมีการกำหนดคะแนน เฉลย่ี ของการบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเปน็ ฐาน เป็น 5 ระดับ ตงั้ แต่ 1 ถึง 5 ส่วนที่ 3 เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตร สถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน ตามแนวคิด หลักสูตรสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (2552) ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ 1) เตรียมความพร้อมของสถานศึกษา 2) การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา 3) การวางแผนดำเนินการใช้ หลักสูตร 4) การดำเนินการบริหารหลักสูตร 5) การนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล 6) การสรุปผลการ ดำเนินการบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา 7) การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการบริหารหลักสูตร โดยลักษณะ แบบสอบถามเป็นมาตราส่วน (Rating scale) มี 5 ระดับ ตามเกณฑ์ของลิเคิร์ท (Linkert’s Rating Scale) โดย กำหนดค่าคะแนนระดับการปฏบิ ตั ิเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 1 ถึง 5 การเก็บรวบรวมข้อมลู ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและการจดั กระทำข้อมลู ทีใ่ ช้ในคร้งั น้ี ผูว้ จิ ยั ศกึ ษาและดำเนนิ การตามลำดบั ขน้ั ตอน แบง่ ออกเปน็ ขอ้ มูลแบบสอบจากจำนวนกลมุ่ ตัวอยา่ ง 258 ชดุ ซง่ึ ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ด้วยตนเอง มีขั้นตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ผวู้ จิ ัยขอหนงั สือจากบัณฑติ วทิ ยา มหาวิทยาลยั ธนบรุ ี ขอความอนเุ คราะห์ จากผบู้ ริหารสถานศึกษา ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาในโรงเรยี นเอกชน สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวดั สมทุ รสาคร เพื่อขออนุญาตเก็บขอ้ มูลตามกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. ผ้วู จิ ยั นำแบบสอบถามไปขออนเุ คราะห์เก็บรวบรวมข้อมูลจากผ้บู รหิ ารสถานศึกษาครแู ละบคุ ลากรทางการ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินการแจก และเกบ็ แบบสอบถามด้วยตนเอง จำนวน 23 โรงเรียน จำนวน 258 ชดุ จำแนกโดยเทียบสดั สว่ นประชากรในโรงเรียน เอกชน สังกดั สำนักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน จงั หวัดสมทุ รสาคร 3. เม่อื ถึงกำหนดวันทไ่ี ดท้ ำการนัดหมายผ้วู ิจยั ไปขอรับแบบสอบถามคืนด้วยตนเองพร้อมตรวจสอบความ ถกู ตอ้ งความเรยี บร้อยความสมบรู ณข์ องขอ้ มูลในการตอบแบบสอบถามแตล่ ะชดุ ได้แบบสอบถามกลบั คนื มาทงั้ หมด 258 ชุด เป็นแบบสอบถามทส่ี มบรู ณ์ คดิ เป็น รอ้ ยละ 100 4. ผู้วจิ ัยนำแบบสอบถามทไ่ี ด้จากการเก็บรวบรวมและตรวจสอบความถูกตอ้ งเรียบรอ้ ยแล้ว นำไปวเิ คราะห์ และแปลผลขอ้ มูล การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งหน้าท่ี ประสบการณ์ใน การทำงาน โดยการแจกแจงความถ่ี (Frequency) และ ค่าร้อยละ(Percentage) 2. วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนเอกชน ในสังกัด สำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร ทั้งหมด 6 ด้าน โดยการหาค่าเฉลี่ย( ) และส่วน เ บ ี ่ ย ง เ บ น ม า ต ร ฐ า น ( SD. ) น ำ ค ะ แ น น เ ฉ ล ี ่ ย ท ี ่ ไ ด ้ ม า แ ป ล ค ว า ม ห ม า ย โดยใช้เกณฑ์ของ Best. (1981) หนา้ 249

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลย่ี นผา่ นส่ปู กติวิถีใหม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 3. วิเคราะห์หาการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการด้าน หลักสูตรสถานศึกษา ของโรงเรียนเอกชน ในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัด สมุทรสาคร โดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ที่ระดับ นัยสำคัญ 0.01 การกำหนดค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ( r) (Hinkle, 1998) และวิเคราะห์สถิติถดถอย พหุคูณ (Stepwise Multiple Regression) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศกึ ษาระดบั การบรหิ ารเกยี่ วกับการบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐานในโรงเรยี นเอกชนสงั กดั สำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวดั สมุทรสาคร ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในโรงเรียน เอกชนสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมทุ รสาคร โดยรวม วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการหา ค่าเฉลย่ี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ของระดับการบริหารเกี่ยวกับการบริหารโดยใช้ โรงเรยี นเป็นฐานในโรงเรียนเอกชนสงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสมทุ รสาคร โดยรวม การบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน S.D. ระดบั การบรหิ าร ลำดบั 1. ดา้ นหลกั การกระจายอำนาจ 4.63 0.41 มากที่สุด 2 2. ดา้ นหลกั การบริหารแบบมีสว่ นร่วม 4.52 0.42 มากทส่ี ดุ 6 3. ด้านหลักการบรหิ ารตนเอง 4.57 0.42 มากทีส่ ุด 5 4. ดา้ นหลักการความรบั ผิดชอบและตรวจสอบ 4.64 0.42 มากทส่ี ดุ 1 5. ด้านหลักการมภี าวะผู้นำแบบเกอ้ื หนนุ 4.60 0.41 มากที่สดุ 4 6. ดา้ นหลักพฒั นาทงั้ ระบบ 4.61 0.44 มากท่สี ุด 3 รวม 4.60 0.36 มากทสี่ ดุ จากตารางท่ี 1 พบว่า ระดับความคิดเหน็ เกี่ยวกับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐานในโรงเรียนเอกชนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.60,S.D.=0.36) เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านหลักการความรับผิดชอบและตรวจสอบ มีค่าเฉล่ีย หนา้ 250