การจดั กิจกรรมทางศิลปะ ระดบั การศึกษาปฐมวยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ คณะครุศาสตร์ สาขาการศึกษาปฐมวยั ปี การศึกษา 2564
คำนำ E-book ฉบบั น้ีเป็ นส่วนหน่ึงของวชิ า EEC 221 การจดั กิจกรรมศิลปะระดบั การศึกษาปฐมวยั เพอ่ื ศึกษาหาความรูใ้ นการจดั กิจกรรมทางศิลปะใน รูปแบบ PowerPoint เป็นการเช่ือมโยงของขอ้ มูลการสร้างกลา้ มเน้ือมดั เล็กและใหญต่ ามระบบประสาทวทิ ยาของซีรเบลลมั หรือสมองนอ้ ยกบั การจดั กิจกรรมทางศิลปะที่ ส่งผลตอ่ การทาํ งานของสมองสาํ หรับเด็กปฐมวยั ทฤษฎีและแนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพอ่ื ส่งเสริมความคิดสร้างสรรคใ์ นประเทศ และต่างประเทศ การออกแบบ กิจกรรมศิลปะสาํ หรับเด็กปฐมวยั เพอื่ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นอดีตและปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมทีน่ ่าสนใจทนั สมยั ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลง ทฤษฎีและแนวคิด ในการพฒั นาศิลปะเพอ่ื ส่งเสริมกลา้ มเน้ือมดั เลก็ ในประเทศและตา่ งประเทศ การประเมินทกั ษะการใชก้ ลา้ มเน้ือมดั เล็ก การ ออกแบบกิจกรรมศิลปะสาํ หรับเด็ก ปฐมวยั เพอื่ ส่งเสริมกลา้ มเน้ือมดั เล็กในอดีตและปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมทนี่ ่าสนใจทนั สมยั ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลง ทฤษฎี และแนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพอื่ ส่งเสริมภาษาและการสื่อสารในประเทศและตา่ งประเทศ การประเมินความสามารถและสมรรถนะดา้ นภาษาและการสื่อสาร การออกแบบกิจกรรมศลิ ปะสาํ หรับเด็ก ปฐมวยั เพอื่ ส่งเสริมภาษาและการสื่อสารในอดีตและปัจจบุ นั มีลกั ษณะกิจกรรมที่น่าสนใจทนั สมยั ทนั ตอ่ การเปลี่ยนแปลง หลกั การทาํ งานของสมองสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั ทีส่ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง การออกแบบศิลปะสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั ในอดีตและปัจจบุ นั มี ลกั ษณะกิจกรรมที่น่าสนใจทนั สมยั ทนั ต่อ การเปลี่ยนแปลงโดยทาํ งานร่วมกบั ผปู้ กครองและครอบครัวชุมชนและทอ้ งถิ่น ทางคณะผจู้ ดั ทาํ ขอขอบพระคุณอาจารยผ์ เู้ ช่ียวชาญเจา้ ของบทความเอกสารและตาํ ราทุกชนิดโดยเฉพาะรองศาสตราจารย์ ดร.ฐิตพิ ร พชิ ญกุล ทใี่ หค้ วาม อนุเคราะห์เน้ือหาและขอ้ มูลเป็ นอยา่ งดีและขอขอบพระคุณผเู้ ขยี นตาํ ราและบทความ ที่นกั ศึกษานาํ มาอา้ งอิงเพอื่ ประโยชนท์ างวชิ าการทกุ ท่านมา ณ โอกาสน้ี ทาง คณะผจู้ ดั ทาํ หวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ E-book ฉบบั น้ีจะใหค้ วามรู้และเป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ ่านทุกท่าน หากมีขอ้ ผดิ พลาดประการใด คณะผจู้ ดั ทาํ ขอนอ้ มนาํ ไวแ้ ละ ขอ อภยั มา ณ ทีน่ คณะผจู้ ดั ทาํ ( กนั ยายน 2564 )
สารบญั เร่ือง -การสร้างกลา้ มเน้ือมดั เลก็ และ มดั ใหญ่ตามระบบประสาทวทิ ยาของซีรีเบลลมั (Cerebellum) หรือ สมองนอ้ ย กบั การจดั กิจกรรมทางศิลปะทีส่ ่งผลต่อการทาํ งานของสมองสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั -ทฤษฎีและแนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพอื่ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ในประเทศและต่างประเทศการประเมิน ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบกิจกรรมศิลปะสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั เพอ่ื พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ในอดีต และ ปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมที่น่าสนใจ ทนั สมยั ทนั ต่อการเปล่ียนแปลง -ทฤษฎีและแนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพอ่ื ส่งเสริมกลา้ มเน้ือมดั เลก็ ในประเทศและต่างประเทศการประเมิน ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเน้ือมดั เลก็ การออกแบบกิจกรรมศิลปะสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั เพือ่ ส่งเสริมกลา้ มเน้ือมดั เลก็ ในอดีต และปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมที่น่าสนใจ ทนั สมยั ทนั ต่อการเปล่ียนแปลง
สารบญั เร่ือง -ทฤษฎีและแนวคิดในการพฒั นาศิลปะเพอ่ื ส่งเสริมภาษาและการสื่อสารในประเทศและต่างประเทศ การประเมนิ ความสามารถและสมรรถนะดา้ นภาษาและการสื่อสาร การออกแบบกิจกรรมศิลปะสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั เพือ่ ส่งเสริม ภาษาและการสื่อสาร ในอดีตและปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมที่น่าสนใจทนั สมยั ทนั ต่อการเปล่ียนแปลง -หลกั การทาํ งานของสมองสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั ที่สอดคลอ้ งเกี่ยวกบั แนวคิดหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง -การออกแบบกิจกรรมศิลปะสาํ หรับเดก็ ปฐมวยั ในอดีตและปัจจุบนั มีลกั ษณะกิจกรรมทน่ี ่าสนใจทนั สมยั ทนั ต่อการ เปล่ียนแปลงโดยทาํ งานร่วมกบั กบั ผปู้ กครองและครอบครัวชุมชนทอ้ งถ่ิน
การสร้างกลา้ มเน้ือมดั เล็กและ มดั ใหญ่ตามระบบประสาทวิทยา ของซีรีเบลลัม (Cerebellum) หรอื สมองน้อย กับการจัดกิจกรรมทาง ศิ ลปะทส่ี ่งผลตอ่ การทางานของ สมองสาหรับเดก็ ปฐมวัย
1 สมองกบั เด็กปฐมวยั 2 ระบบประสาทวิทยาของซรี ีเบลลัม 3 การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเลก็ และมัดใหญ่ 4 ศิ ลปะกบั กลา้ มเนื้อมดั เลก็ และมดั ใหญ่ 5 ศิ ลปะกับสมอง
1 สมองกบั เดก็ ปฐมวยั
สมองกบั เดก็ ปฐมวยั นายธรี พงษ์ แสงสิ ทธ์ิ (2550). สมอง (Brain) เป็นอวยั วะที่สําคัญทส่ี ดุ ของมนษุ ย์ อวยั วะหนึ่ง ทําหน้าท่ีควบคมุ เกือบทุกกจิ กรรมต่างๆของรา่ งกายท้งั กิจกรรมท่อี ยู่ ภายใต้ อาํ นาจจติ ใจ และนอกอํานาจจติ ใจ อกี ท้งั เป็นศูนยข์ องความรูส้ ึกนึกคิด สตปิ ัญญา การเรยี นรู้ ความจํา ซง่ึ ประกอบดว้ ยเซลลส์ มองมากมาย แสดงโครงสรา้ งและองค์ประกอบของสมองมนษุ ย์ อ้างองิ : ธรี พงษ์ แสงสิ ทธ์ิ (2550).บทความออกแบบกิจกรรมการเรยี นรูไ้ ด้...โดยเข้าใจสมอง. สืบค้นเมือ่ วนั ที่ 9 กรกฎาคม 2564. จาก : http://www.nakhamwit.ac.th
สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่ วน คือ สมองส่วนหน้ า สมองส่วนกลางและสมองส่วนหลงั สมองส่วนหน้ า (Forebrain) สมองชนั้ นอก ไดแ้ ก่ ซรี บี รมั (cerebrum) และคอรเ์ ท็กซ(์ cortex) นอกจากน้ี ยงั ครอบคลมุ ถึงสมองชน้ั ในส่วน Limbic system ไดแ้ ก่ ทาลามสั (thalamus) ไฮโปทาลามสั (hypothalamus) ฮิปโปแคมปสั (hippocampus) และอามจิ ดาลา (amygdala) แสดงโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของสมอง แสดงโครงสรา้ งทางอารมณ์ของสมอง (Limbic system) มนษุ ย์ อ้างองิ : ธีรพงษ์ แสงสิทธ์ิ (2550).บทความออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ได้...โดยเข้าใจสมอง. สืบค้นเมื่อวันท่ี 9 กรกฎาคม 2564. จาก : http://www.nakhamwit.ac.th
แสดงตาํ แหน่ งสมองส่วนยอ่ ยของคอรเ์ ทกซท์ งั้ 4 ส่วน 1.(Frontal lobe) ความจํา ความคดิ EF 2.(Parietal lobe) เป็นส่วนที่คอ่ นมาทางดา้ นหลงั ส่วนบนใกลก้ บั เขตมอเตอร์ เป็นสมองส่วนทท่ี ําหน้าทร่ี บั ความรูส้ ึกต่างๆ ทว่ั ไปของรา่ งกาย 3.(Temporal lobe)การรบั รูใ้ นดา้ นรส กลิน่ เสียงและ ดา้ นภาษา 4.(Occipital lobe) ควบคมุ การรบั รูท้ างสายตาใหเ้ กดิ การมองเห็นภาพตา่ งๆ อ้างอิง : ธีรพงษ์ แสงสิทธ์ิ (2550).บทความออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ได้...โดยเข้าใจสมอง. สืบค้นเมอื่ วันที่ 9 กรกฎาคม 2564. จาก : http://www.nakhamwit.ac.th
Executive Funtion กบั สมองส่วนหน้า มณั ฑนา ชลานั นต์ (2564). ทกั ษะ EF คอื กระบวนการทางความคิดในสมองส่วน หน้า ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ความคิด ความรูส้ ึก การกระทาํ เป็นความสามารถของสมองทใ่ี ช้ บรหิ ารจัดการในชวี ติ เรอื่ งต่าง ๆ ซงึ่ จะชว่ ยใหส้ ามารถตงั้ เป้าหมายในชวี ติ รูจ้ ักวางแผน มี ความม่งุ มน่ั จดจําส่ิงตา่ ง ๆ เพ่ือนําไปใชป้ ระโยชน์ได้ รวมทงั้ รูจ้ ักรเิ รม่ิ ลงมือทําส่ิงต่าง ๆ อยา่ งเป็นขน้ั ตอน องค์ประกอบของ Executive Functions อา้ งองิ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.) ,สถาบัน RLC (รกั ลูก เสิรน์ น่ิง บรษิ ัรกั ลูก จากดั . (2561). คู่มอื พัฒนาทกั ษะสมอง EF Execative Funtion สาหรับ ครูปฐมวัย. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท มตชิ น จากดั (มหาชน).
2. สมองส่ วนกลาง (Midbrain) นายธีรพงษ์ แสงสิทธ์ิ (2550). เป็นสมองทีต่ อ่ จากสมองส่วนหน้า เป็นสถานีรบั ส่ง ประสาท ระหวา่ งสมองส่วนหน้ากับส่วนทา้ ยและส่วนหน้ากับนัยน์ตาทําหน้าท่เี กี่ยวกับ การเคลอื่ นไหวของลกู ตา ทําให้ลกู ตากลอกไปมา ควบคุมการเปิดปิดของรูม่านตาให้ เหมาะสมกบั ปรมิ าณแสงสวา่ งท่เี ขา้ มากระทบ โดยถ้าแสงมาก รูมา่ นตาจะเลก็ แสงสวา่ ง น้อยรูม่านตาจะขยาย และม่านตาจะเจรญิ ดใี นสัตวพ์ วกปลา กบ ฯลฯ ในมนษุ ยพ์ ฒั นาลด รูปเหลือเฉพาะออพติกโลบสมองส่วน obtic lobe นี้จะเจรญิ ไปเป็น Corpora quadrigermia ทําหน้าทเี่ กย่ี วกับการไดย้ นิ แสดงโครงสรา้ งและองค์ประกอบของสมอง มนษุ ย์ อา้ งอิง : ธรี พงษ์ แสงสิทธ์ิ (2550).บทความออกแบบกิจกรรมการเรยี นรูไ้ ด้...โดยเข้าใจสมอง. สืบค้นเมื่อวันท่ี 9 กรกฎาคม 2564. จาก : http://www.nakhamwit.ac.th
สมองส่ วนกลาง • มีส่วนประกอบหลกั 2 ส่วน คอื Cerebral Peduncle • ภายในมเี ส้นประสาทรวมเป็นมัด ๆ • มีเซลล์ประสาทของเส้นประสาทสมองอยู่ 2 คู่ คือ คู่ท่ี 3 และคู่ ที่ 4 หรอื เรยี กวา่ เส้นประสาทส่ังการ • ส่วนในการมองเห็นภาพ สี เป็น หน้าที่ของเส้นประสาทสมองคทู่ ี่ 2 หรอื เรยี กวา่ เส้นประสาทส่ังการ ซง่ึ จะรบั ภาพจากตาไปยงั ส่วนของ thalamas แล้วไปยงั ตวั ประมวล สดุ ทา้ ย คือ Occipital lobe ส่วนของ กา้ นสมอง ( Brainstem ) เส้นประสาทสมองใกลเ้ คยี งและสมองส่วนกลาง ( Midbrain ) อา้ งองิ : สมองส่วนกลางมีหน้าที่เรอ่ื งการเรียนรู้จรงิ หรือและคนเราสามารถมองเห็นผ่านสมองส่วนกลางแทนตาได้จริงหรอื . สืบค้นเมอ่ื วนั ท่ี 17 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.2jfk.com/midbrain.htm?fbclid
3 .สมองส่ วนหลงั (Hindbrain) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน นายวิชชา ช่ืนอารมณ์และคณะ (ม.ป.พ.). ซีรีเบลลมั (cerebellum) ประกอบดว้ ย เน้ือเยอ่ื 2 ชน้ั - ชน้ั นอกเรยี กวา่ คอรเ์ ทกซ์ (cortex) มสี ีเทา - ชนั้ ในมีสีขาว แตกก่งิ กา้ นสาขาคล้ายกิ่ง ทาหน้ าท่ี - ประสานการเคลอื่ นไหวของรา่ งกาย ควบคมุ การทรงตัวของรา่ งกาย โครงสรา้ งสมองส่วนหลัง พอนส์ (pons) ประกอบดว้ ยมดั ของเเถบประสาทเป็นทางผ่านของกระเเสประสาทระหวา่ งซี รบี รมั เเละซรี เี บลลัม ทาหน้าที่ - ควบคุมการเค้ยี ว - การหลงั่ นาล้ าย - การเคล่อื นไหวของใบหน้า - ควบคมุ การหายใจเป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหวา่ งเซ รบี รมั กบั เซรเี บลลมั และเซรเี บลรมั กบั ไขสันหลงั อ้างอิง : วชิ ชา ช่ืนอารมณ์. (ม.ป.พ.). brain of human. สืบค้น 3 กรกฎาคม 2564, จาก https://sites.google.com/site/braintoey/smxng-brain
เมดลั ลาออบลองกาตา (medulla oblongata) ทาหน้ าท่ี - เป็นศูนยค์ วบคมุ การทํางานของระบบประสาทอัตโนวตั ิตา่ งๆ เชน่ การเต้นของหัวใจ การหายใจ การหมุนเวยี นเลอื ด ความดนั เลอื ด การเคลอ่ื นไหว ของกล้ามเน้ือลาํ ไส้ เป็นตน้ - เป็นศนู ยป์ ฏิกิรยิ าสะทอ้ นกลับบางอยา่ ง เชน่ การไอ การจาม การ อาเจียน การกลืน การสะอึก แสดงโครงสรา้ งและองค์ประกอบของสมอง มนษุ ย์ อ้างองิ : วชิ ชา ชื่นอารมณ์ . (ม.ป.พ.). brain of human. สืบค้น 3 กรกฎาคม 2564, จาก https://sites.google.com/site/braintoey/smxng-brain
สรุป สมองเป็นอวยั วะ พิเศษ ของรา่ งกาย ตอ้ งการท้งั อาหารกาย และ อาหารใจใน สัดส่วนท่ี ถูกต้อง เหมาะสม ตลอดชว่ งอายุ ตั้งแต่ อยใู่ นครรภม์ ารดา ถงึ วยั ชราสมอง ตอ้ งการ อาหารใจทั้งใน การเจรญิ เตบิ โต การเรยี นรูแ้ ละพัฒนาศักยภาพการเรยี นรู/้ การ ทํางาน ใหเ้ ต็มที่สมองมรี ะยะพัฒนาการตา่ งๆ กันในแตล่ ะวยั หลกั สตู รทีเ่ หมาะกบั แต่ละวยั ตอ้ งสอดคล้องกบั ความต้องการของสมองระยะนั้นสมองของเดก็ วยั อนบุ าล ส่วนรบั สัมผัส และส่วนเคลอ่ื นไหว กําลงั พัฒนาอยา่ งรวดเรว็ ดว้ ยเหตนุ ้ี การจัดการเรยี นรูห้ รอื การจัด ประสบการณ์จงึ เน้นเรอ่ื งการพฒั นาระบบการเคล่อื นไหว และระบบสัมผัส ในตาราง กจิ กรรมจงึ จดั ชว่ งเวลาพัฒนาการของรา่ งกายไวอ้ ยา่ งเตม็ ท่ีเพ่อื พัฒนาทั้งสองระบบน้ีสมอง ของเดก็ ในวยั อนบุ าล การตดิ ตอ่ ส่งผ่านข้อมลู ตา่ งๆ ในสมองเป็นไปอยา่ งรวดเรว็ สมองซกี ซา้ ย, สมองซกี ขวา, สมองส่วนควบคมุ การเคลอ่ื นไหว และสมองส่วนควบคุมความรูส้ ึก ข้อมลู นําเข้าต่างๆ จะกระตุ้นใหส้ มองใชป้ ระโยชน์จากความเรว็ นี้
2 ระบบประสาทวิทยา ของซีรีเบลลมั
ระบบประสาท (ประเสรฐิ อัสสันตชัย, 2552) การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของรา่ งกายและการทรงตวั อยภู่ ายใตก้ ารควบคุมของ ระบบประสาท ไดแ้ ก่ ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบ ประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทส่วนกลาง สมองและไขสันหลัง ทาํ หน้าทส่ี ั่งการและควบคุมการ เคล่อื นไหว และบนั ทกึ ความทรงจําทเ่ี ก่ยี วกบการเรยี นรู้ การเคล่ือนไหว (พรรชั นี วรี ะพงศ์, 2554) สมอง ส่วนทม่ี คี วามเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการ ทรงตวั ไดแ้ ก่ เปลือกสมอง (cerebral cortex) คือ เน้ือประสาทสีเทาชน้ั นอกสดุ ท่ีปกคลมุ สมอง ชนั้ ใน (cerebral medulla) มีบทบาทที่สําคัญในการควบคมุ การเคลือ่ นไหว ท่ีอยู่ ภายใต้อํานาจของจติ ใจ (voluntary movement)และมีหน้าท่ีในการเปล่ียนสัญญาณ ขอ้ มูลท่ี ไดร้ บั จากระบบประสาทอนื่ ๆ แบง่ เป็น 3 ส่วน (motor area) (sensory area) (association area) อ้างอิง : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ (ม.ป.พ.). การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาผลของการออกกาลงั กายแบบกา้ วตามตารางต่อการทรงตวั ใน ผู้สงู อาย.ุ สื บค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
ภาพการทางานของระบบประสาท อา้ งอิง : ธรี วัฒน์ สวุ รรณี.การทางานของระบบประสาท. สืบค้น 19 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.idoctorhouse.com/library/physio-neuro/
พรพิไล เลศิ วิชา (2552 ) สมองน้ อย (cerebellum) มหี น้ าทสี่ ําคัญในการควบคุมการเคลอื่ นไหว ชว่ ยให้กลา้ มเน้ื อทาํ งาน ประสานกนั ไดด้ ีรกั ษาความตึงตวั ของกล้ามเนื้อ และชว่ ยในการทรงตัว เวสติบูโลเซรเี บลลมั ควบคุมการทรงตวั ตําแหน่ งของศีรษะ การเคล่ือนไหวของตาให้สัมพันธก์ บั การ เคลื่อนไหวของรา่ งกาย สไปโนเซรเี บลลัม การรบั รูค้ วามแตกตา่ งของการเคลอื่ นไหว การแก้ไขการเคล่อื นไหวที่กําลงั เกดิ ข้ึน ให้มีความถกู ต้อง ซรี โี บรเซรเี บลลัม การควบคมุ ให้มกี ารเคลอ่ื นไหวอย่างประสานสัมพันธก์ ัน สมองน้ อย การควบคุมการสรา้ งแบบแผนการเคลอื่ นไหว ปรบั สมดลุ การเคลอ่ื นไหวของทว่ งท่าใน อรยิ บถต่าง ๆ สมองน้ อย ประมวลขอ้ มูลเกย่ี วกับการส่ังงานของกลา้ มเน้ื อเพอ่ื ให้เกดิ ความสมดลุ ของทว่ งทา่ ในการ เคลอื่ นไหว และทาํ ให้การควบคมุ การเคลอ่ื นไหวเปน็ ไปอยา่ งถูกต้อง ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า สมองน้ อยยังทํางานเชอ่ื มโยงกบั ส่วนตา่ ง ๆ ของสมองส่วนอนื่ ในการ ปฏิบัตกิ าร และการเคลือ่ นไหวรา่ งกายในแบบปกตปิ ระจาํ วนั หรอื การออกกาํ ลังกาย ชว่ ยกระตุ้น พัฒนาการของสมองน้ อยโดยตรง อ้างองิ : มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.่ (ม.ป.พ.). การศึกษาคร้งั นี้เป็นการศึกษาผลของการออกกาลงั กายแบบกา้ วตามตารางตอ่ การทรงตวั ใน ผู้สูงอาย.ุ สื บค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
พรรัชนี วีระพงศ์ (2554) เบเซลิ แกงเกลีย (basal ganglia) กลุ่มของเซลลป์ ระสาทท่ีอย่ใู ต้เปลือกสมอง มหี น้ าที่เปรยี บเทียบ สัญญาณประสาทจากแหลง่ ตา่ งๆ ระบบประสาทส่ วนปลาย ประกอบด้วยระบบประสาทสั่งการ (motor nervous system) และระบบ ประสาทรบั ความรูส้ ึก (sensory nervous system) โดยระบบรบั ความรูส้ ึกจะรบั กระแสประสาทจากส่ิงเรา้ และส่งกระแสประสาทไปสู่ระบบประสาท ส่วนกลางผ่านทางเส้นประสาทรบั ความรูส้ ึก ระบบประสาทส่ังการ (motor nervous system) ประกอบด้วยเซลลป์ ระสาทส่ังการ(motor neurons) มี หน้ าท่ีนํ าส่งกระแสประสาทจากระบบประสาทส่วนกลางไปยงั กล้ามเนื้อทําให้กลา้ มเน้ื อเกดิ การ ตอบสนองโดยการหดตัว อ้างองิ : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ (ม.ป.พ.). การศึกษาครง้ั นี้เป็นการศึกษาผลของการออกกาลังกายแบบกา้ วตามตารางตอ่ การทรงตวั ใน ผสู้ งู อาย.ุ สื บค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
ภาพเบเซลิ แกงเกลยี (basal ganglia) อา้ งองิ : By ARC. basal-ganglia-anatomy-1. สืบค้น 19 กรกฎาคม 2564, จาก http://arcphysicaltherapy.com/2019/april-19-newsletter/basal-ganglia-anatomy-1/
ประเสริฐ อัสสั นตชัย (2552) ระบบประสาทรบั ความรูส้ ึก (sensory nervous system) ประกอบด้วยเซลล์ประสาทรบั ความรูส้ ึก (sensory neurons) มหี น้ าท่ีนํ ากระแสประสาทจากตวั รบั ความรูส้ ึก (receptors) ทีอ่ ยบู่ รเิ วณผวิ หนั งและอวัยวะรบั ความรูส้ ึกไปยงั ระบบประสาทส่วนกลาง - การรบั ความรูส้ ึกของตําแหน่งและการเคลือ่ นไหวของส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย (proprioceptive sense) - ระบบการมองเหน็ (visual system) และระบบเวสตบิ ลู าร์ (vestibular system) นฤมล ลลี ายุวัฒน์ (2553) โพรพรโิ อเซพเตอร์ (proprioceptors) ซ่งึ อยู่ภายในส่วนลกึ ของรา่ งกาย ไดแ้ ก่ กล้ามเน้ื อ เอ็น และขอ้ ตอ่ โดยทาํ หน้ าทร่ี บั รูก้ ารเปลยี่ นแปลงตาํ แหน่งของกลา้ มเนื้อหรอื ขอ้ ตอ่ หรอื ลักษณะของรา่ งกายท่ีปรากฏอยู่ใน ขณะนั้ น เพ่ือให้รา่ งกายมกี ารทรงตวั ท่ีดหี รอื มกี ารเคลอื่ นไหวทส่ี ัมพันธก์ นั อย่างเหมาะสม แบง่ เป็น 3 ชนิ ด 1) ตวั รบั ความรูส้ ึกที่มดั ของกล้ามเน้ือ (muscle spindle) 2) ตัวรบั ความรูส้ ึกทีเ่ อ็น (golgi tendon organs) 3) ตวั รบั ความรูส้ ึกทข่ี ้อต่อ (joint receptors) อ้างอิง : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. (ม.ป.พ.). การศึ กษาครง้ั นี้ เป็นการศึกษาผลของการออกกาลังกายแบบกา้ วตามตารางตอ่ การทรงตวั ใน ผสู้ ูงอาย.ุ สืบค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
จงจินตน์ รัตนาภินั นท์ชัย (2542) ระบบการมองเห็น ทาํ หน้ าทีใ่ นการให้ข้อมูลตําแหน่งการเคลอื่ นไหวของรา่ งกาย ให้ข้อมูลรายละเอียดใน ดา้ นต่างๆ และขอ้ มูลจากการมองเห็นทาํ ให้สามารถวิเคราะหส์ ี ระบตุ ําแหน่ ง และประเมนิ การเคลือ่ นไหว ของวัตถุภายนอกได้ ระบบเวสตบิ ลู าร์ มีหน้ าทีช่ ว่ ยในการควบคมุ การทรงตวั โดยทาํ ให้รา่ งกายทราบถงึ การเคลอ่ื นไหวของ ศีรษะและตาํ แหน่งของศีรษะ รกั ษาสภาพของศีรษะให้ตง้ั ตรงปรบั การเคล่อื นทข่ี องลกู ตาให้สมดุลกบั การเคลอ่ื นทข่ี องศีรษะ ระดบั การรูส้ ึกตัวระบบเวสตบิ ูลารจ์ ัดเป็นส่วนหน่ึงของหูชน้ั ใน (labyrinth) มี หน้ าท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การควบคุมการทรงตวั ประกอบดว้ ย เซมเิ ซอรค์ วิ ลาร์ แคแนล (semicircular canals) ซง่ึ ภายในจะมีตัวรบั รูเ้ กย่ี วกบั ตาํ แหน่งของรา่ งกายเมอ่ื รา่ งกายมกี ารเคล่อื นทเ่ี ชงิ มมุ เชน่ การเคลอื่ นท่ีในแนวหมนุ ของรา่ งกาย เวสติบูล (vestibule) ประกอบดว้ ยยูตรเิ คิล (utricle) และแซคคูล (saccule) ทําให้รบั รูต้ าํ แหน่ งของ รา่ งกายเมอ่ื รา่ งกายมกี ารเคลอ่ื นท่ีเชงิ เส้น เชน่ การเคล่ือนไหวตามแนวราบ การเคลอ่ื นไหวตามแนวด่ิง อา้ งองิ : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ (ม.ป.พ.). การศึกษาครงั้ นี้เป็นการศึกษาผลของการออกกาลงั กายแบบกา้ วตามตารางตอ่ การทรงตวั ใน ผ้สู ูงอาย.ุ สื บค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
ภาพระบบเวสตบิ ู ลาร์ อ้างองิ : kitpooh22. รา่ งกายของมนษุ ย์ตอน หู (ear). สืบค้น 19 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=kitpooh22&month=07- 2012&date=07&group=23&gblog=6
ระบบโครงรา่ งกลา้ มเน้ื อ ประกอบดว้ ย กระดูก ขอ้ ตอ่ เอ็นและกลา้ มเน้ือ ที่มีการประสานการทํางานอยา่ งสอดคล้องกนั ทาํ ให้ เกดิ การเคลื่อนไหวและการทรงตวั ของรา่ งกาย กระดกู เปน็ โครงสรา้ งหรอื แกนหลกั ของรา่ งกาย คือเป็นหลกั ให้กลา้ มเนื้อเกาะ ขอ้ ต่อ เป็นจดุ เชอื่ มต่อระหวางกระดกู ต้งั แต่ 2 ชน้ิ ข้ึนไปและมกี ล้ามเน้ือพาดผา่ น กลา้ มเน้ื อ เป็นองค์ประกอบที่สําคัญตอ่ การเคลอื่ นไหวของอวัยวะท่ัวรา่ งกาย สมนึ ก กลุ สถิตพร (2549) กล้ามเน้ื อลาย กล้ามเน้ื อลายเป็นกลา้ มเน้ื อหลกั ในการทาํ ให้เกิดการเคลอื่ นไหว มลี ักษณะเปน็ กล่มุ กลา้ มเนื้ อทีป่ ระกอบดว้ ยกลมุ่ กลา้ มเน้ื อมัดยอ่ ยหลายๆ มดั (ชุมพล ผลประมลู และสุรวฒั น์ จริยาวฒั น์ 2552) ซ่งึ กล้ามเน้ื อแตล่ ะมดั จะถูกเลย้ี งด้วย เส้ นประสาท การทํางานของกล้ามเน้ือลายปกติจะถกู ควบคมุ โดยระบบประสาทสั่งการ โดยที่เปลอื กสมองจะส่ง กระแสประสาทมาตามทางเดนิ ประสาท ถ่ายทอดต่อไปยังระบบประสาทส่วนปลายและไปยังระบบ กล้ามเน้ื อ อ้างอิง : มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่ (ม.ป.พ.). การศึกษาครัง้ น้ีเป็นการศึกษาผลของการออกกาลังกายแบบกา้ วตามตารางต่อการทรงตวั ใน ผู้สงู อาย.ุ สื บค้น 10 กรกฎาคม 2564, จาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2556/nuger41156rn-ch2.pdf
สรุ ป ระบบประสาท คือ การเคลอื่ นไหวส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกายและการทรงตัวอยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของ ระบบประสาท ได้แก่ ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทส่วนกลาง สมองและไขสันหลงั ทําหน้ าท่สี ่ังการและควบคุมการเคลือ่ นไหว ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบดว้ ยระบบประสาทส่ังการ (motor nervous system) และระบบ ประสาทรบั ความรูส้ ึก (sensory nervous system) ระบบโครงรา่ งกลา้ มเนื้อ ประกอบดว้ ย กระดกู ขอ้ ต่อ เอ็นและกลา้ มเน้ือ ทม่ี กี ารประสานการทํางาน อย่างสอดคล้องกนั ทําให้เกดิ การเคลอื่ นไหวและการทรงตัวของรา่ งกาย กระดูกเปน็ โครงสรา้ งหรอื แกนหลกั ของรา่ งกาย คอื เปน็ หลกั ให้กลา้ มเนื้อเกาะ ขอ้ ตอ่ เป็นจดุ เชอื่ มต่อระหวางกระดกู ตง้ั แต่ 2 ชน้ิ ข้ึนไปและมกี ล้ามเน้ือพาดผ่าน กล้ามเน้ื อ เป็นองค์ประกอบท่ีสําคญั ตอ่ การเคลอ่ื นไหวของอวยั วะทว่ั รา่ งกาย
3 การพัฒนากลา้ ม เน้ือมดั เลก็ และมดั ใหญ่
หลักการการพัฒนากล้ามเนื้ อมัดเล็ก หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช 2560 ม่งุ พัฒนาเดก็ ทกุ คนให้ได้รบั การพฒั นาด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา อยา่ งมีคณุ ภาพและต่อเน่ื อง ได้รบั การจัดประสบการณ์ การ เรยี นรูอ้ ย่างมีความสุขและเหมาะสมตามวัย มที กั ษะชวี ิตและปฏบิ ัตติ นตามหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง เป็นคนดี มีวนิ ั ย และสํานึ กความเป็นไทย โดยความรว่ มมอื ระหวา่ งสถานศึกษา พ่อ แม่ ครอบครวั ชมุ ชนและทกุ ฝ่ายทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การพัฒนาเด็ก ดงั น้ั น การจดั การศึกษาให้แก่เด็ก ปฐมวัย หากได้รบั การส่งเสรมิ และชว่ ยเหลอื อยา่ งถกู วธิ ี เดก็ จะมคี วามพรอ้ มและมีศักยภาพทจี่ ะพัฒนา และ การเรยี นที่ตอ่ เนื่องเพ่อื เป็นพน้ื ฐานตลอดชวี ติ รวมไปถงึ เด็กจะเรยี นรูส้ ่ิงแวดลอ้ มรอบๆ ตัว จาก การ สังเกต การเล่น การสัมผัส การซกั ถาม การอยากรู้ อยากเห็น การเรยี นรูต้ อ้ งอาศัยจาก ประสบการณ์ ตรงที่หลากหลาย เด็กได้ลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ ไดใ้ ชป้ ระสาทสัมผัสและกลา้ มเนื้อส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกาย โดยเฉพาะดา้ นกลา้ มเน้ือเล็กเปน็ ทักษะการใชม้ ือ น้ิ วมอื การประสานสัมพันธร์ ะหว่าง มือและตา และ ความคลอ่ งแคลว่ Rocking Kids Thailand (2559). การพฒั นากลามเน้ือเล็ก(Fine-Motor Development) ในเดก็ สาํ คญั อยา่ งไร. สืบคน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.rockingkidsthailand.com/
ควรให้ความสําคัญย่ิง การพัฒนาการกล้ามเน้ือเลก็ มีความสําคัญและจาํ เปน็ ต่อการดํารงชวี ิตประจาํ วัน โดยกลา้ ม เนื้ อมดั เลก็ เป็นอวยั วะหน่ึงทีใ่ ชใ้ นการทํากจิ วตั ร ประจาํ วนั ด้วยตนเอง เชน่ การใส่ การถอด การตดิ กระดมุ รูดซปิ การแปรงฟนั ผกู เชอื ก รองเทา้ งานศิลปะ เป็นต้น เป็นการพัฒนาความแขง็ แรงของ กลา้ มเน้ื อเลก็ กลา้ มเน้ื อมอื น้ิ ว มอื การประสานสัมพันธร์ ะหว่างกลา้ มเนื้อมอื และระบบประสาทตามือได้อย่างคลอ่ งแคล่วและ ประสานสัมพันธก์ นั Rocking Kids Thailand (2559). การพฒั นากลา้ มเน้ือเล็ก(Fine-Motor Development) ในเด็กสาํ คญั อยา่ งไร. สืบคน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.rockingkidsthailand.com/
ความสาคัญของกลา้ มเนื้อมัดใหญ่ ชาตรี วิฑรู ชาติ (2555). กล้ามเน้ื อมัดใหญ่เป็นกลา้ มเน้ือมดั ใหญใ่ นกล้ามเน้ือลายทมี่ ีส่วน เก่ียวขอ้ งกบั การเคลือ่ นไหว เชน่ กล้ามเน้ื อศีรษะและลําคอ กลา้ มเน้ื อลาํ ตัว กล้ามเน้ื อส่วนขาและ กลา้ มเน้ื อส่วนแขนชว่ ยในการทรงตวั เคลือ่ นไหวรา่ งกาย ทําให้นั กเรยี นสามารถ ชนั คอ ควา่ หงาย คลานและเดนิ ได้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั นภเนตร ธรรมบวร (2545). ทไ่ี ด้ให้ความหมาย ทักษะกล้ามเน้ือมัดใหญไ่ วว้ ่า หมายถงึ การพัฒนาการบังคับกลา้ มเนื้ อที่ใชใ้ นการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย ไดแ้ ก่ การเดนิ การว่ิง การกระโดด การเตะลูกบอล การปีนป่ายและการจับหรอื ขว้างลกู บอล เป็นต้น มานิต ปวริญญานนท.์ (2549). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. สืบคน้ 19 กรกฏาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/
หลักการการพัฒนากล้ามเน้ือมดั ใหญ่ มานิ ต ปวริญญานนท์. (2559) กลา่ ววา่ หลักการการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญจ่ ะตอ้ งอาศัยความพรอ้ มใน การพัฒนาซง่ึ ความพรอ้ มของเดก็ ปฐมวยั ข้ึนอยกู่ ับปจั จยั 2 ประเภท คือ ปจั จยั ภายในตวั เดก็ และ ปัจจัย ภายนอกตวั เดก็ ดงั นี้ 1 . ปัจจัยภายในตัวเดก็ องคป์ ระกอบท่ีสําคญั ท่ีมีผลต่อการพัฒนารา่ งกายตามในตัวเด็ก ได้แก่ 1.1 อายุวยั ตา่ ง ๆ ทาํ ให้เดก็ มีความเจรญิ เู ตบิ โตทัง้ ทางรา่ งกาย อารมณ์จติ ใจ และ สังคมที่ ต่างกัน 1.2 เพศ เดก็ ผูห้ ญิงกับเดก็ ผชู้ ายจะมกี ล้ามเนื้อแตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะโครงสรา้ งของ รา่ งกาย เดก็ ควรไดร้ บั การฝึกหัดให้เรยี นรูบ้ ทบาทตามเพศดว้ ย 1.3 สภาพรา่ งกาย จิตใจ ความสนใจ ความสามารถ เปน็ เรอื่ งของตัวบุคคลซง่ึ เป็นผลมาจาก กรรมพันธุแ์ ละอทิ ธพิ ลของส่ิงแวดลอ้ ม ทีเ่ ห็นชดั คือ ความสามารถและสตปิ ญั ญา การเรยี น เละการฝึกฝน ทาํ ให้เดก็ เกง่ ข้นึ ไดท้ กุ คน แต่ลกั ษณะทางกายและจติ ใจของตวั เดก็ เองจะเปน็ ตวั จํากัดความสามารถ และ ยังมเี รอ่ื งราวของความถนัด และพรสวรรคเ์ ขา้ มาเกย่ี วข้องอีกด้วย มานิต ปวริญญานนท.์ (2549). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. สืบคน้ 19 กรกฏาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/
1.4. สุขอนามัย เดก็ ควรได้รบั สุขอนามัยทด่ี เี พ่ือส่งผลต่อสขุ ภาพ เมือ่ รา่ งกายมีสขุ ภาพที่ดี แล้วรา่ งกายจะพรอ้ มต่อการทาํ กจิ กรรมตา่ งๆ ไดอ้ ย่างสมดุลและมปี ระสิทธภิ าพ ตวั อย่าง สุขอนามยั เชน่ การรกั ษาความสะอาดล้างมอื ทกุ ครงั้ กอ่ นทานอาหาร หลงั ทํากจิ กรรม ต่างๆ อย่างถกู หลักและการรกั ษาความสะอาดของรา่ งกาย 2. ปัจจัยภายนอกตัวเดก็ 2.1 อาหาร เปน็ ปจั จัยทมี่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของรา่ งกายและพัฒนา กลา้ มเน้ื อมดั ใหญโ่ ดยตรง เด็กปฐมวยั ต้องได้รบั สารอาหารทม่ี คี ณุ คา่ ครบถว้ น และ เพียงพอต่อความตอ้ งการของรา่ งกาย เพราะอยใู่ นวัย กําลังเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ อาหารทจ่ี ะชว่ ยในการพัฒนากลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ คอื อาหาร 5หมู่ โดยเฉพาะโปรตนี เชน่ นม ไข่ เน้ื อสัตว์ ถ่ัวเหลอื ง สารอาหารเหล่าน้ี จะไปชว่ ยสรา้ งกล้ามเน้ือมดั ใหญ่ มานิต ปวริญญานนท.์ (2549). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี. สืบคน้ 19 กรกฏาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/
2.2 ภมู อิ ากาศ ซ่งึ ไดแ้ ก่ อุณหภูมคิ วามชนื้ ความกดอากาศ มผี ล ตอ่ สมรรถภาพในการทาํ งานของรา่ งกาย และชว่ ยสรา้ งบรรยากาศในการ เรยี นรูโ้ ดยตรงกบั เดก็ 2.3 การพักผอ่ น และกจิ กรรมนันทนาการเดก็ จะตอ้ งไดร้ บั การพักผ่อนเพือ่ ให้ รา่ งกายไดผ้ อ่ นคลายความเครยี ค ซอ่ มแซมส่วนทสี่ ึก หรอทเ่ี กดิ ข้ึนในขณะทํากจิ กรรมนันทนาการตา่ ง ๆ ชว่ ยฟ้ ืนฟูสภาพจิตใจให้ หายเครยี ด เด็กปฐมวยั ควรพักผ่อนนอนหลบั อยา่ งน้อย 9 - 10 ชว่ั โมง มานิต ปวริญญานนท.์ (2549). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. สืบคน้ 19 กรกฏาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/
ทฤษฎกี ารพัฒนากลา้ มเนื้อมดั เลก็ มัดใหญ่ ทฤษฎพี ัฒนาการของ Gesell กีเซลล์ (Gesell) กล่าวถึงทฤษฎพี ฒั นาการทางรา่ งกายวา่ การ เจรญิ เตบิ โตของเดก็ จะแสดงออก เป็นพฤตกิ รรมดา้ นต่าง ๆ สําหรบั พัฒนาการทาง รา่ งกายน้ันหมายถงึ การที่เดก็ แสดงความสามารถในการจัดกระทํา กับวสั ดุ เชน่ การเล่น ลกู บอล การขดี เขยี น เดก็ ตอ้ งใชค้ วามสามารถของการใชส้ ายตาและ กล้ามเนื้อมอื ซง่ึ เป็นพฤตกิ รรมที่ตอ้ งอาศัยการเจรญิ เติบโตของระบบประสาทและ การเคลือ่ นไหวประกอบกัน ลักษณะพัฒนาการทีส่ ําคัญของเดก็ ในระยะนี้ กค็ ือ การ เปล่ยี นแปลงทางดา้ นการเคลือ่ นไหว การทํา งานของระบบประสาทกล้ามเน้ือ การ พัฒนาความสามารถในการควบคมุ รา่ งกาย การบงั คบั ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย มานิต ปวริญญานนท.์ (2549). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั . อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. สืบคน้ 19 กรกฏาคม 2564 จาก http://portal5.udru.ac.th/
อารโ์ นลด์ กีเซล (Arnold Gesell 1880 – 1961) เปน็ นั กจิตวทิ ยาท่มี ี ความเชอื่ ในเรอื่ งของความ เจรญิ เตบิ โตตามวุฒิภาวะ โดยให้ความหมาย ของวุฒิภาวะไวว้ า่ “วุฒิภาวะเปน็ ปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้นึ ตาม ธรรมชาติอยา่ ง มรี ะเบียบ โดยไมไ่ ด้เกยี่ วโยงกบั ส่ิงเรา้ ภายนอกเลย” กเี ซล เชอื่ วา่ พฤติกรรมของเด็กจะเกยี่ วขอ้ ง กับการเปลยี่ นแปลงทางสรรี วทิ ยา กลา่ วคือ การเปลีย่ นแปลงทางสรรี วิทยา เชน่ ความพรอ้ มของกลา้ มเน้ื อ ต่อมต่าง ๆ ของรา่ งกาย ฯลฯ จะกระตุ้นให้เกดิ พฤตกิ รรมข้นึ เชน่ เดก็ จะ พูดไดก้ ต็ ่อเมอ่ื มีความพรอ้ มด้าน กลา้ มเน้ื อปาก เป็นต้น ดงั นั้ น การ เรยี นรูจ้ ะไมเ่ กิดหากรา่ งกายไม่มคี วามพรอ้ ม นอกจากน้ี กีเซล เชอื่ ว่าวุฒิ ภาวะเพียงประการเดยี วทมี่ ีส่วนรบั ผดิ ชอบในการเจรญิ เติบโตและ ความสามารถในการทําพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ การฝึกฝนหรอื การเรยี นรูไ้ มว่ า่ ในลักษณะใดก็ตาม จะไมก่ อ่ ให้เกดิ ประโยชน์ แต่จะเป็นการเสียเวลาโดย ใชเ่ หตุ หากรา่ งกายยังไม่พรอ้ มหรอื ยังไมม่ วี ุฒิภาวะ (วฒั นา พัช ราวนิช ,2543 )
กีเซล จึงได้ทําการทดลองเพ่ือพิสูจน์ ทฤษฎดี ว้ ยการทดลองเรอ่ื งการเดิน ของเดก็ ฝาแฝดว่าจะเป็นผลมาจากวุฒภิ าวะหรอื การเรยี นรูโ้ ดยนํ าเดก็ ท่เี ป็นแฝด แท้ 2 คน ให้คนแรกหัดข้นึ บันได และปล่อยคนหลังไว้เฉย ๆ ฝาแฝดคนแรกเดนิ ข้นึ บันไดสําเรจ็ ภายใน สัปดาห์ต่อมา เม่ือนํ าแฝดคนหลังมาหัดเดนิ ข้นึ บันได ปรากฏว่าแฝดคนหลังทาํ สําเรจ็ ไดภ้ าย 2สัปดาห์และความสามารถ ก็ไมแ่ ตกต่าง จากแฝดคนแรกเลย กีเซลจึงสรุปผลการทดลองว่า ความพรอ้ มหรอื วุฒิภาวะมี ส่วนสําคัญในการ พัฒนาการในข้ันต่อ ๆ ไปของบคุ คล และเมื่อมคี วามพรอ้ มของ ระบบต่าง ๆ แล้ว เดก็ สามารถจะทํากิจกรรม ของข้นั น้ั นได้เอง โดยไม่ต้องการ การเรยี นรูแ้ ต่ประการใด ทฤษฏพี ัฒนาการ 1 ทิศทางของพัฒนาการ 2 พัฒนาการมีความสัมพันธก์ นั และเก่ยี วเนื่ องกัน 3 พัฒนาการมีการใชก้ ิจกรรมรว่ มกัน 4 การพัฒนาต่างๆเป็นผลมาจากวุฒิภาวะ
สรุป การพฒั นากลา้ มเน้ือมดั เลก็ และกลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ จะตอ้ งอาศยั ปัจจยั ตา่ ง ๆ เช่น ภูปัจจยั ภายในตวั เดก็ คือ อายวุ ยั , เพศ , สภาพร่างกาย จิตใจ ความสนใจ ความสามารถ และสุขอนามยั ส่วนปัจจยั ภายนอกตวั เดก็ คอื อาหาร ,มิอากาศ , การ พกั ผอ่ น เป็ นตน้ และการพฒั นากลา้ มเน้ือมดั เลก็ และมดั ใหญย่ งั ใชห้ ลกั การของ กีเซล ที่อธิบายไวว้ ่า ร่างกายเจริญเตบิ โตตามวฒุ ิ ภาวะ กีเซลล์ เชื่อว่าพฤตกิ รรมของเดก็ จะเก่ียวขอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงทางสรีรวทิ ยา กล่าวคอื การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความพรอ้ มของกลา้ มเน้ือตอ่ มต่าง ๆ ของร่างกาย ฯลฯ จะกระตุน้ ใหเ้ กิดพฤตกิ รรมข้นึ เช่น เด็กจะพดู ไดก้ ต็ ่อเม่ือมีความพร้อม ดา้ นกลา้ มเน้ือปาก เป็ นตน้ ดงั น้นั การเรียนรูจ้ ะไม่เกิดหากร่างกายไม่มีความพร้อม และถา้ เดก็ ไดร้ ับการพฒั นาและส่งเสริมที่ถูกตอ้ งเดก็ กจ็ ะมีความพรอ้ มในการ เจริญเตบิ โต กลา้ มเน้ือมดั ใหญ่เป็ นกลา้ มเน้ือมดั ใหญใ่ นกลา้ มเน้ือลายท่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั การเคล่ือนไหว เช่น กลา้ มเน้ือศีรษะ และลาํ คอ กลา้ มเน้ือลาํ ตวั กลา้ มเน้ือส่วนขาและกลา้ มเน้ือส่วนแขนช่วยในการทรงตวั เคล่ือนไหวร่างกาย ทาํ ใหน้ กั เรียนสามารถ ชนั คอ คว่าํ หงาย คลานและเดินได้ กลา้ มเน้ือเลก็ เป็ น กลา้ มเน้ือมือ นิ้วมือ ดา้ นการประสานสัมพนั ธ์ระหว่างมือกบั ตา และดา้ น ความคล่องแคล่ว
4 ศิ ลปะกบั กล้ามเนื้ อ มดั เล็กและมดั ใหญ่
ความหมายของกจิ กรรมศิ ลปะ การนํ าเสนอผลงานตามจินตนาการในทางศิลปะโดยการ นํ าวิธจี ัดรูปแบบองคป์ ระกอบศิลปะโดยใชท้ ศั นะธาตุ เชน่ เส้น สี นา้หนั ก พื้นผิว รูปรา่ ง รูปทรง เป็นส่ือในการถ่ายทอด และผา่ น เทคนิ คต่าง ๆ ในทางจิตรกรรมอาจใช้ ดนิ สอสี สีนา้มนั สีนา้ สีอะ ครายลิค สีฝุ่น หรอื เทคนิ คผสม เดือน หงษาวด.ี (2556). การสรา้ งสรรค์ทางศิลปะ. สืบค้น 19 กรกฎาคม 2563, จาก h ttps://arit.rmutsv.ac.th/th/blogs/55-การสรา้ งสรรค์ทางศิลปะ-247
ความหมายของกจิ กรรมศิ ลปะ ศิ ลปะในความหมายกวา้ งๆ ในสมัยโบราณ นั กปราชญ์ไดใ้ ห้ความหมายของศิลปะ (Art) ไวว้ ่า ศิลปะ คอื ส่ิงทม่ี นษุ ย์ สรา้ งข้นึ (Artifact) เปน็ ส่ิงที่มไิ ดเ้ กิดข้นึ ตามธรรมชาติ ดังน้ั น ตามความหมายนี้ ตะวนั ตกดนิ ท่เี รา ว่างดงามจึงไมใ่ ชศ่ ิลปะ ก้อนหินทก่ี ฏุ นาช้ ดั จนมีรูปรา่ งต่าง ๆ และอาจมคี ณุ ค่าทางความงามกไ็ มใ่ ช่ ศิลปะ เพราะเปน็ ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ แตม่ ้านั่ งบา้ นเรอื น เขื่อนกนั้ นา้ ภาพเขยี น หรอื หินที่ สลกั ข้นึ ถงึ จะมรี ูปรา่ ง “น่ าเกลียด” เพียงไร ก็นั บเปน็ ศิลปะ เพราะเปน็ ส่ิงทม่ี นษุ ยส์ รา้ งข้ึน ถา้ ถอื ตามเกณฑ์นี้ ศิลปะก็มีความหมายกวา้ งมาก ครอบคลุมต้ังแต่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม เครอ่ื งเรอื น เครอื่ งจกั รกล บา้ นเมอื ง ไปจนถึงอาวธุ ท่ใี ชป้ ระหัตประหารกัน มนษุ ย์ทาํ อะไรข้ึนมากเ็ ปน็ ศิลปะ ทั้งส้ิน ไม่วา่ จะดหี รอื ชว่ั สวยงามหรอื น่ าเกลียด สรา้ งสรรคห์ รอื ทําลาย ศิลปะยังมอี ีกความหมายหน่ึงท่ใี ชต้ รงขา้ มกบั คําวา่ ศาสตร์ หมายถึง การเรยี นรูแ้ ละการ กระทาํ ทต่ี ้องใชก้ ารเห็นแจง้ (Intuition) ความชาํ นาญ หรอื ฝีมือ นอกเหนือไปจากเหตหุ รอื กฎเกณฑ์ ท่ัวไป เชน่ ศิลปะการครองเรอ่ื ง ศิลปะการสงคราม ศิลปะมวยไทย เปน็ ต้น อ้างอิง นางสาวปวีนา เนืองนิตย,์ สถาบนั ราขภัฏอุตรดิตถ,์ ( 2546). ศิลปะคอื อะไร. สืบคน้ เม่อื วนั ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จาก https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/arts/10000-10185.html
ศิ ลปะแบ่งตามลกั ษณะของส่ื อในการแสดงออก ส่ือในการแสดงออก หรอื เรยี กอกี นัยหน่ึ งว่า สื่อสุนทรยี ภาพ (ซ่งึ ไดแ้ ก่ เส้น สี ปรมิ าตร เสียง ภาษา ฯลฯ) ของงานศิลปะแตล่ ะสาขา ยอ่ มแตกตา่ งกนั ไปตามธรรมชาตขิ องการแสดงออก ซง่ึ อาจแบง่ ออกได้ เปน็ 5 สาขา คือ 1. จติ รกรรม (Painting) เป็นศิลปะที่แสดงออกดว้ ยการใชส้ ี แสง เงา และแผน่ ภาพที่แบนราบเปน็ 2 มิติ 2. ประติมากรรม (Sculpture) เป็นศิลปะที่แสดงออกดว้ ยการใชว้ สั ดุ และปรมิ าตรของรูปทรง 3. สถาปตั ยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะทแ่ี สดงออกดว้ ยการใชว้ ัสดุ โครงสรา้ ง และปรมิ าตร 4. วรรณกรรม (Literature) เปน็ ศิลปะทแ่ี สดงออกดว้ ยการใชภ้ าษา 5. ดนตรแี ละนาฎกรรม (Music and Drama) เปน็ ศิลปะทแ่ี สดงออกดว้ ยการใชเ้ สียง (หรอื ภาษา) และ ความเคลือ่ นไหวของรา่ งกาย อา้ งองิ นางสาวปวนี า เนืองนิตย์, สถาบนั ราขภฏั อุตรดติ ถ์,( 2546). ศิลปะคอื อะไร. สืบค้นเมอ่ื วนั ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จาก https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/arts/10000-10185.html
ศิ ลปะแบ่งตามลกั ษณะของการรับสั มผัส ประสาทรบั สัมผสั ของมนษุ ยน์ ้ี ประกอบดว้ ยประสาททาง ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย แตก่ ารรบั สัมผสั ทใ่ี หค้ วามพอใจในสนุ ทรยี ภาพระดบั สงู มี 2 ทาง คือ ทางตา และทางหู ส่วนทางจมกู ลนิ้ และกาย เป็น ทางรบั ทใี่ ห้ความพอใจในสนุ ทรยี ภาพระดบั รองลงไป ศิลปนิ อาจใชก้ ลนิ่ รส และการสัมผสั เป็นส่ือของการ แสดงออกทางศิลปะได้ แตค่ งเปน็ เพียงส่วนประกอบ เราจงึ แบง่ ศิลปะตามลกั ษณะของการรบั สัมผสั ออกไดเ้ ปน็ 31ส. ทาขศั านคศือิลป์ (Visual Arts) เปน็ ศิลปะทรี่ บั สัมผสั ดว้ ยการเห็น ไดแ้ ก่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม ภาพพิมพ์ และ สถาปตั ยกรรม 2. โสตศิลป์ (Aural Arts) เป็นศิลปะทร่ี บั สัมผสั ดว้ ยการฟัง ไดแ้ ก่ ดนตรี และวรรณกรรม (ผา่ นการอา่ นหรอื รอ้ ง) 3. โสตทศั นศิลป์ (Audio Visual Arts) เป็นศิลปะทรี่ บั สัมผสั ดว้ ยการฟังและการเห็นพรอ้ มกนั ประสาทสัมผสั ทางตา การมองเห็น การดูส่ิงตา่ งๆ ประสาทสัมผัสทางหู การได้ยิน การฟังเพลง ประสาทสัมผัสทางจมูก การดมกล่นิ ประสาทสัมผสั ทางล้นิ การรบั รส ประสาทสัมผัสทางกาย การบบี นวด อา้ งอิง นางสาวปวีนา เนืองนิตย,์ สถาบนั ราขภฏั อุตรดติ ถ์,( 2546). ศิลปะคืออะไร. สืบคน้ เมื่อ วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จาก https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/arts/10000-10185.html
ความสาคัญของกจิ กรรมศิ ลปะสรา้ งสรรค์ กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรคม์ คี วามสําคัญอย่างมากตอ่ เดก็ ปฐมวยั ดังที่นั กวิชาการหลายท่าน ได้กลา่ วไว้ ดงั น้ี เบญจา แสงมะลิ (2545: 262) กล่าววา่ ศิลปะเป็นส่ือการแสดงออกของเดก็ ในส่ิงที่ เดก็ ทําเหน็ รูส้ ึกและคิด กิจกรรมศิลปะให้โอกาสเดก็ สํารวจทดลอง แสดงความคิด ความรูส้ ึกเกย่ี วกบั ตัวเดก็ สิ่งแวดลอ้ มรอบๆตัวความสามารถในการจนิ ตนา การ สังเกตและความรูส้ ึกทีด่ ตี อ่ ตนเองและผูอ้ ื่นมมี ากขึน้ นิตยา ประพฤตกิ จิ (2546: 100) ไดก้ ล่าวถงึ ความสําคญั ของกิจกรรมศิลปะ สรา้ งสรรค์ไว้ ดงั น้ี 1. เป็นการกระตุ้นใหเ้ ดก็ รูจ้ กั ชว่ ยเหลอื ตวั เอง 2. ชว่ ยส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ รูส้ ึกซาบซง้ึ ในความงามท่อี ยรู่ อบตวั 3. ชว่ ยในการระบายอารมณ์ของเดก็ 4. ชว่ ยในการพัฒนากลา้ มเน้ือ 5. ชว่ ยให้เดก็ รูจ้ ักการสังเกต การสืบคน้ อ้างอิง:ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็ก ปฐมวยั .
กิจกรรมศิ ลปะสร้างสรรค์ 1. การวาดภาพและระบายสี เป็นกิจกรรมหน่ึ งซง่ึ ชว่ ยในการทาํ งาน ประสานกันระหว่างมอื และตา เดก็ จะรูจ้ ัก สี เส้น รูปทรง พ้ืนผิว ขนาดท่ีจะต้อง พบในชวี ิตประจําวันของเขา ภาพท่ีจะเห็นต่อไปน้ี เป็นภาพท่ีวาดโดยเดก็ ปฐมวัย อายุ 3-4 ขวบ เป็นภาพท่ีวาดตามความคิดและจินตนาการของเด็กเป็นอกี กิจกรรมหน่ึ งซง้ึ ชว่ ยในการทํางานประสานกันระหวา่ งมือและตา 2. การเล่นกับสี นา้ ปัจจุบนั สีท่ีนิ ยมใช้ และหาซอ้ื ได้งา่ ยราคาไม่แพงมากนั กก็ คอื สีนา้ และสีโปสเตอร์ เพราะมีสี สดใชง้ านงา่ ย แต่ก็นั บว่าเป็นสีท่มี สี ่วนผสม ของเคมที ่ีอาจเกิดอันตรายต่อเดก็ ได้เชน่ กัน ดงั น้ั นอีก ทางเลือกหน่ึ งในการจัด กิจกรรมสีนา้ให้กับเดก็ อย่างปลอดภยั คอื การใชส้ ีท่ีจากธรรมชาติ อ้างองิ :ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .
3. การพิมพ์ภาพ กิจกรรมการพิมพ์ภาพเป็นกิจกรรมท่ีเด็ก ๆ สามารถเรยี นรู้ ได้อย่างสนกุ สนาน ครูสามารถ ออกแบบกิจกรรมการพิมพ์ให้มีความยากงา่ ย เหมาะสมกับวัยของเดก็ 4. การป้ ัน กิจกรรมศิลปะท่ีมีต่อเดก็ ปฐมวัยศิลปะเป็นเครอ่ื งมืออย่างหน่ึ งใน การพัฒนาความเป็นมนษุ ย์ ความละเอยี ดออ่ นของศิลปะจึงมี คณุ คา่ ในการ จรรโลงวิถีชวี ิตวัฒนธรรมให้คงอยู่ ชว่ ยสรา้ งสรรค์ความสวยงาม ชว่ ยบันทึก เรอื่ งราว 5. การพับ ฉีก ตัด ปะ การทํากิจกรรมการตัดปะของเดก็ นั้ น เป็นการฝึกการ ทํางานท่ีมีความยากมากข้ึนอีกระดบั หน่ึ ง ซ่งึ ต้องใชค้ วามพยายาม ความ อดทน และความระมัดระวัง ในการใชก้ รรไกร เดก็ จะได้ฝกึ การใช้ กล้ามเนื้ อ มือในการสอดจับและควบคมุ ทิศทางของกรรไกร อ้างองิ :ป่ นิ ทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .
6. การประดิษฐ์ เป็นการรวบรวมเศษวัสดุจากกระดาษ เชน่ กล่อง กระดาษ ชนิ ดต่างๆ เศษกระดาษ กระดาษห่อของขวัญ แกนกระดาษชาํ ระ ฯลฯ มา ประดิษฐ์เป็นส่ิง ต่างๆ ตามแบบอย่างหรอื ความคิดอิสระและใชว้ ัสดอุ ่นื ๆ 7. การรอ้ ย การจัดกิจกรรมการรอ้ ยจากวัสดทุ ้องถ่ินและวสั ดเุ หลือใชท้ ่คี รู สามารถเตรยี มให้กับเดก็ ต้อง คํานึ งถึงพัฒนาการตามวัยเป็นหลกั วัสดกุ าร รอ้ ยหากมีขาดเล็กจะไมเ่ หมาะสําหรบั เดก็ เล็ก ควรเป็น วัสดทุ ่ีมีรูขนาดใหญ่ พอสมควร 8. การสาน การสานเป็นกิจกรรมท่ีทา้ ทายสําหรบั เด็กอีกกิจกรรมหน่ึ ง ซง่ึ ชว่ ยพัฒนาทักษะการใช้ กล้ามเนื้ อมือและตาให้ทางานประสานสัมพันธก์ ัน ให้ดีย่ิงข้นึ ชว่ ยปลกู ฝงั ให้เด็กมลี ักษณะนิ สัยเป็นคนมี ความประณีต อ้างองิ :ป่ ินทอง นั นทะลาด. (2560). เอกสารสําหรบั การสอน รายวิชาศิลปะสําหรบั เด็กปฐมวยั .
การพัฒนากลา้ มเนื้อมัดเลก็ กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์เป็นกจิ กรรมที่สามารถส่งเสรมิ และพัฒนาการทาํ งานทีป่ ระสาน สัมพนั ธก์ นั ระหวา่ งการใชก้ ลา้ มเนื้อมือนิ้วมอื และประสาทตาซงึ่ เดก็ จะไดพ้ ฒั นาทัง้ กลา้ มเนื้อน้ิวมอื ฝ่ามือขอ้ มอื และน้ิวมอื ซง่ึ จะส่งผลใหอ้ วยั วะต่างๆมีความแขง็ แรงและทํางาน ไดค้ ล่องตัวขึ้นและมที ักษะในการใชม้ ือไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว อา้ งอิง วิภาภรณ์ โตแยม้ . (2557). การพัฒนากลา้ มเน้ือมดั เลก็ โดยใชก้ จิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์จากวัสดเุ หลอื ใชข้ องนักเรยี นชน้ั อนบุ าลปที ่ี 1/1. วารสารครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนั นทา, (1), 1.
การพัฒนากลา้ มเน้ือมัดใหญ่ การเคลือ่ นไหวหรอื การเตน้ ราํ เป็นการส่งเสรมิ พัฒนา กลา้ มเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเลก็ แขน ขา ลาํ ตวั น้ิวมือ และ ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายให้เคลอื่ นไหวไปตาม จงั หวะดนตรี อีก ท้ังเป็นการชว่ ยพฒั นาให้เดก็ มีรา่ งกายแข็งแรง และพลานามัย ท่ีสมบูรณ์ อนั จะเป็นผลเชอื่ มโยงไปส่จู ุดมงุ่ หมายทางการศึกษา ปฐมวยั ทีม่ ่งุ ให้เดก็ ปฐมวยั พัฒนาครบ ทุกดา้ นทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและความคิดสรา้ งสรรค์ รวมท้งั ทกั ษะดา้ นคดิ แกป้ ัญหา และทกั ษะชวี ติ ท่เี ดก็ ไดร้ บั ความรู้ ประสบการณ์ซงึ่ จะชว่ ยให้เดก็ ปฐมวยั สามารถปรบั ตัวเข้ากบั สถานการณ์ และส่ิงแวดลอ้ มในปัจจุบันไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ดนตรแี ละกิจกรรมเคลอ่ื นไหวสําหรบั เดก็ ปฐมวยั ทาํ ให้เดก็ มีพัฒนาการทางดา้ นสังคม อา้ งอิง วารุณี สกลุ ภารกั ษ. (2563). ดนตรแี ละกิจกรรมเคล่อื นไหวสําหรบั เด็กปฐมวยั . วชริ เวชสารและวารสารเวชศาสตรเ์ ขตเมือง, 63(3), 203-8.
การรอ้ งเพลง เชอ่ื มโยงประสาทสัมผสั และการเคล่อื นไหวของรา่ งกาย ใชห้ ูใน การฟังเสียง รว่ มถึงการขยบั กล้ามเนื้อมัดใหญเ่ ชน่ แขน หรอื ขา ไปจนถงึ มดั เล็ก ๆ อยา่ ง น้ิ วมือ ดนตรเี ป็นส่ิงเรา้ ที่จะจูงใจให้ เดก็ เกดิ อารมณ์และความรูส้ ึกในทางทด่ี ี ชว่ ย ส่งเสรมิ สมองซกี ขวา ซง่ึ เป็นความคิดสรา้ งสรรค์ และจนิ ตนาการประกอบกับสมอง ซกี ซา้ ยทส่ี ่งเสรมิ การคิด การใชเ้ หตุผลในการจัดกจิ กรรม ดนตรสี ําหรบั เดก็ ปฐมวยั จะนํา ความรูเ้ ก่ียวกบั ดนตรมี าสรา้ ง เชอ่ื มโยงกับกจิ กรรมการเคลื่อนไหวและจงั หวะสําหรบั เดก็ ปฐมวยั อา้ งองิ วารุณี สกลุ ภารกั ษ. (2563). ดนตรแี ละกจิ กรรมเคลอ่ื นไหวสําหรบั เดก็ ปฐมวยั . วชริ เวชสารและวารสารเวชศาสตรเ์ ขตเมือง, 63(3), 203-8.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437