Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Published by Guset User, 2023-07-27 01:26:08

Description: นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Search

Read the Text Version

๙๐ ความท่ีพระนางรูปงาม ทาใหพ้ ระนางหลงมวั เมาอยู่แตใ่ นรูปโฉม ทาให้พระเจ้าพิมพิสารไม่ใคร่ พอพระทัยนัก เพราะพระองค์เป็นพุทธมามกะ แต่พระมเหสีตรงกันข้าม วัดไม่เข้า ไม่เคยได้ฟังธรรมจาก พระศาสดา พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงหาอุบายให้พวกนักกวีประพันธ์พรรณนาความงดงามของพระวิหาร แล้วนาไปขับใกล้ๆ ที่พระนางประทับ พระนางได้สดับคาพรรณนาพระวิหารเวฬุวันแล้ว มีพระประสงค์ เสดจ็ ไปชม จึงขอพระบรมราชานญุ าต คร้ันได้รบั พระบรมราชานุญาตแล้ว ก็เสด็จไป พระนางเสด็จพระราชดาเนินชมพระเวฬุวันตลอดท้ังวัน ครั้นจะเสด็จกลับ พวกราชบุรุษ ท้ังหลายก็ทูลเชิญเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้ง ๆ ที่พระนางไม่มีความประสงค์ และไม่เป็นท่ีพอ พระทัยนกั เพราะทรงทราบว่า พระพทุ ธเจ้าทรงตาหนิเรื่องรปู โฉมภายนอก พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นพระนางกาลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตรนางเทพอัปสรยืนถวาย งานพัดให้พระองค์ พระนางทอดพระเนตรเห็นเทพอัปสรนั้นแล้วก็ทรงดาหริว่า หญิงผู้นี้งดงามย่ิงนัก ส่วนตวั เรา แมเ้ ป็นหญงิ รับใชข้ องนางก็ยงั ไม่คคู่ วร ไฉนจงึ มาหลงมวั เมาอย่ใู นรปู โฉมของตนได้ถงึ เพียงนี้ ขณะที่พระนางกาลังทอดพระเนตรนางเทพอัปสรอยู่น่ันเอง พระศาสดาได้อธิษฐานให้สรีระ ค่อยๆ เปล่ียนแปลงไปตามลาดับ พระนางได้พิจารณาโดยตลอด จึงทรงดาหริว่า สรีระงดงามถึงเพียงน้ี ยังถึงความวิบตั ไิ ด้ แมส้ รรี ะของเราก็คงจะมคี ติเปน็ ไปอย่างน้ี พระพทุ ธเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของพระนาง จึงได้ตรัสภาษิตสอนพระนาง คร้ันจบภาษิตแล้ว พระนางเขมาก็ได้บรรลุพระอรหันตผล๒๓๒ พระเจ้าพิม พิสารเมื่อทราบว่าพระนางเขมาบรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้พระนางผนวชเป็น ภิกษุณี เพราะเพศคฤหัสถ์ไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์แห่งอรหัตผลได้๒๓๓ ครั้นผนวชแล้ว พระนางก็ ไดร้ ับยกยอ่ งจากพระศาสดาในตาแหนง่ เอตทัคคะมปี ัญญาเป็นเลศิ ๒๓๔ ในเขมาสูตร๒๓๕ พรรณนาเร่ืองราวพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสด็จเข้าไปทูลถามปัญหากับพระ นางเขมาภิกษุณีเรื่องชีวิตหลังจากความตายว่า ตายแล้วเกิดอีก หรือตายแล้วไม่เกิดอีก พระนางได้ทูล แก้ปัญหาทูลถามของพระเจ้าปเสนทโิ กศลจนเป็นทพ่ี อพระทัย จากน้ันพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปทูล ถามปัญหาเดียวกันนี้กะสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้รับการพยากรณ์เช่นเดียวกัน สร้างความ อัศจรรย์แก่พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นอย่างมาก เพราะคาพยากรณ์ที่ได้รับจากสานักของพระผู้มีพระภาค เจ้า และทพี่ ระองคไ์ ด้จากสานักเขมาภกิ ษุณเี ขา้ กันได้ทัง้ อรรถและพยญั ชนะ อน่ึง ในประวัติของพระเขมาเถรีไม่มีการกล่าวถึงการนิพพานของพระนางเลย และก็ไม่มี ปรากฏในอรรถกถาส่วนอื่นๆ ด้วย มีแต่ความตอนหน่ึงมาจากขุททกนิกาย อปทาน อยู่ในประวัติของพระ มหาปชาบดีโคตมีเถรี๒๓๖ ความสังเขปว่า พระนางเขมาภิกษุณีผู้เป็นบริวาร ได้เกิดความปริวิตกว่า พระ นางมหาปชาบดีจะปริพพาน มีความประสงค์จะปรินิพพานพร้อมด้วย จึงได้เข้าไปทูลแจ้งความประสงค์ และกราบทลู ลาพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เพอ่ื ปรนิ ิพพานพร้อมกบั พระนางปชาบดี ๒๓๒ ข.ุ ธ.อ (ไทย) ๑/๒/๔/๒๙๘. ๒๓๓ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๑. ๒๓๔ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๓๖/๓๐. ๒๓๕ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๑๐/๔๖๖. ๒๓๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๐๙/๔๐๐.

๙๑ เขมงั กร,พระ พระเขมังกร เปน็ ภิกษุผู้อุปฏั ฐากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี๒๓๗ ประวตั ขิ องทา่ นปรากฏเพียง เท่าน้ี ค ครหทินน์, นาย นายครหทินน์ มีชื่อปรากฏอยู่ในขุททกนิกาย ธรรมบท๒๓๘ ในคัมภีร์อรรถกถามีประวัติ พรรณนาเพ่ิมเติมว่า เป็นสาวกของนิครนท์ และเป็นสหายของนายสิริคุตต์ ซึ่งเป็นสาวกของ พระพทุ ธเจา้ ๒๓๙ นายครหทนิ น์ได้รบั การแนะนาจากพวกนิครนถ์ให้ชวนนายสิริคุตต์มาเป็นสาวก เน่ืองจากเห็น ว่าเป็นคนมีฐานะ หากหนั มาเลือ่ มใส กจ็ ะกลายเป็นกาลังสาคัญของนิครนถ์ เขาจึงพูดชักชวนนายสิริคุตต์ ทกุ คร้ังท่มี ีโอกาสวา่ เขา้ ไปหาสมณะโคดมแล้วไดอ้ ะไร ทาไมไม่เข้าไปหาอาจารย์ของตนดูบ้าง พร้อมกันนี้ กพ็ ยายามโอ้อวดคณุ สมบตั อิ าจารย์ของตนเองว่า เป็นผูล้ ่วงรู้ทกุ สงิ่ ทุกอยา่ ง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต กายกรรม วจกี รรม มโนกรรมท้ังหมด เหตุควร ไมค่ วร สิริคุตต์ได้ฟังคาของครหทินน์บ่อยๆ ก็เกิดความราคาญ ได้ทาทีเป็นเลื่อมใส และแสดงความ ประสงคจ์ ะถวายไทยธรรมแก่นคิ รนถ์ทง้ั หลาย จงึ ได้มอบหมายใหค้ รหทินน์นิมนต์นิครนถ์ท้ังหลายไปฉันใน เรือนของตน ขณะเดียวกันก็วางแผนทดสอบสิ่งที่ครหทินน์ได้พูดเอาไว้ โดยการขุดหลุมพราง หลอกให้ดู เหมือนว่ามกี ารเตรียมการเพื่อการบุญใหญ่โต คร้ันถึงเวลาอาหาร นิครนถ์ทั้งหลายมาถึง ก่อนเช้ือเชิญเข้า บ้าน กอ็ ธิษฐานจติ ว่า ถา้ นคิ รนถเ์ ป็นผ้มู ีญาณหย่งั รู้จริงก็ขออย่าได้เข้าไปในบ้าน เพราะในบ้านไม่ได้เตรียม อาหารใดๆ ไว้เลย ด้านล่างท่ีนั่งซ่ึงเตรียมต้อนรับนิครนถ์ ก็เต็มไปด้วยคูถ ถูกวางกลเอาไว้ สามารถชัก เชอื กขา้ งหน่ึงใหน้ คิ นถเ์ หล่าน้นั ตกลงไปในหลมุ คถู ได้ ฝ่ายนคิ รนถท์ ้ังหลายไม่ทราบเหตุท้ังปวง ด้วยตนไม่มีญาณหย่ังรู้จริง เม่ือได้รับคาเชื้อเชิญจาก สิริคุตต์ก็พากันเข้าไปประจาที่อาสนะของตน ๆ เมื่อนั่งพร้อมแล้ว สิริคุตต์ก็ให้สัญญาณบริวารของตนดึง เชือกข้างหน่ึง ทาให้นิครนถ์ไหลลื่นตกลงไปในหลุมคูถ จากน้ันก็สั่งให้บริวารตีสั่งสอน ทาให้นิครนถ์ได้รับ ความอับอายอย่างมาก กระทั้งมีการฟ้องร้องข้ึนโรงขึ้นศาล แต่ครหทินน์ก็ได้รับการตัดสินให้แพ้คดี ย่ิง สรา้ งความคบั แคน้ ใจ ขณะเดยี วกันก็ถูกต่อวา่ จากนคิ รนถ์ท้ังหลายจนเข้าหน้ากันไม่ติดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้น มา ครั้นนานวันเข้า ครหทินน์ก็กลับคิดว่า หากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นไปเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีกับ ตนและนิครนถ์ท้ังหลาย จึงได้ทาทีเข้าไปตีสนิทกับสิริคุตต์ผู้เป็นสหายอีกคร้ัง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กลับ เขา้ สู่ภาวะปกติ ก็ได้วางแผนเตรียมล้างแค้นให้นิครนถ์ผู้เป็นอาจารย์ของตน โดยทาทีว่ามีความเลื่อมใสใน พระผู้มีพระภาคเจ้า และปรารถนาจะถวายภัตตาหารเช้า ขอให้สิริคุตต์เป็นภาระนิมนต์พระผู้มีพระภาค เจา้ พรอ้ มดว้ ยเหล่าพระภกิ ษุสงฆ์เพอื่ ฉนั ภตั ตาหารเช้าทเ่ี รือนของตน ๒๓๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๒๓๘ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๕๘/๔๕. ๒๓๙ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๔๐๕.

๙๒ ฝา่ ยสิริคตุ ตเ์ มือ่ รับปากครหทินน์แล้วก็ได้เข้าเฝ้า กราบทูลเร่ืองราวทั้งหมดให้พระผู้มีพระภาค เจา้ ทราบ พรอ้ มท้ังข้อกังวลตา่ ง ๆ ที่คิดไว้วา่ อาจเป็นแผนการของครหทินน์เตรียมล้างแค้นตนที่ได้เคยทา กับนิครนถท์ ง้ั หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเร่ืองราวโดยตลอดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทรงรับนิมนต์ ด้วย ทรงพิจารณาเห็นประโยชน์จะเกดิ ข้นึ ในสมาคมแหง่ นนั้ ฝ่ายครหทินน์เล่า เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้ารับนิมนต์แล้ว ก็วางแผนการเช่นเดียวกันที่สิริคุตต์ ไดเ้ คยทาเอาไว้ จะต่างกต็ รงทีเ่ ปลี่ยนหลุมคูถให้เป็นหลุมถ่านเพลิง เป้าหมายคือชีวิตของพระพุทธเจ้าและ เหล่าภิกษุสงฆ์ ไม่ใช่เพียงแค่สั่งสอนให้เข็ดหลาบเหมือนอย่างท่ีสิริคุตต์ได้เคยทาเอาไว้กับอาจารย์ของตน เทา่ นั้น คร้ันรุ่งเช้าได้เวลาภัตตกิจ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็ไปถึงเรือนรับรอง ของครหทินน์ ได้รับการต้อนรับจากครหทินน์เหมือนดังนัยท่ีสิริคุตต์ต้อนรับนิครนถ์ท้ังหลายก่อนหน้าน้ัน โดยก่อนการอญั เชญิ เสด็จพระผ้มู ีพระภาคเจ้า ครหทินนไ์ ดอ้ ธิษฐานในใจว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มี ญาณหย่ังรู้จริงก็ขออย่าได้เข้าไปในบ้าน เพราะในบ้านไม่ได้เตรียมอาหารใดๆ ไว้เลย ด้านล่างที่นั่งซ่ึง เตรียมต้อนรับพระองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ ก็เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ถูกวางกลเอาไว้ สามารถชักเชือกข้าง หน่งึ ให้พระองคแ์ ละเหล่าภกิ ษสุ งฆต์ กลงไปในหลุมถ่านเพลงิ ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทราบเหตุการณ์ท้ังปวง แต่ก็เสด็จพระดาเนินไปยังที่รับรองตามปกติ เสื่อลาแพนที่นิครนถ์ปูลาดไว้ ทันทีท่ีพระพุทธเจ้าพระบาทเหยียบไปเท่านั้นก็อันตรธานหายไป ดอกบัว ประมาณเท่าล้อผุดขึ้นมาทาลายหลุมถ่านเพลิง พระผู้มีพระภาคทรงเหยียบกลีบดอกบัว เสด็จไปประทับ บนอาสนะท่ีเขาปูลาดไวอ้ ย่างนั้น แม้ภิกษทุ ง้ั หลายก็เข้าไปนงั่ บนอาสนะอย่างน้ัน ครหทินน์เห็นเช่นนั้นก็เกิดความเดือดร้อน กังวลใจ ด้วยตนเองไม่ได้เตรียมอาหารไว้แต่อย่าง ใด จงึ ไดว้ ่ิงไปหาสริ ิคตุ ต์ และเลา่ ความเป็นจริง และความเดือดร้อนใจใหฟ้ ัง พรอ้ มท้ังขอให้ช่วยเป็นที่พ่ึงให้ ดว้ ย จากน้นั สิริคุตตจ์ ึงไดแ้ นะนาให้ครหทนิ ไปตรวจดูหม้อ ตุ่ม ภาชนะต่าง ๆ ท่ีได้ตระเตรียมไว้ แม้จะรู้ว่า ไม่มอี าหารทีต่ ระเตรยี มไว้แต่ตน้ แตก่ เ็ ช่ือในพทุ ธานภุ าพ ครหทินน์เกิดความลังเลชั่วขณะ เพราะรู้ว่า ตนไม่ได้ตระเตรียมอาหารใด ๆ ไว้แต่ต้น แต่เม่ือ ไม่เห็นที่พึ่งอื่น ก็ได้ไปตรวจดูภาชนะต่าง ๆ ตามคาแนะนาของสิริคุตต์ผู้เป็นสหาย ซ่ึงก็เกิดความอัศจรรย์ ใจ เพราะภาชนะเหล่าน้ัน ต่างเต็มด้วยอาหารหลากหลายชนิด เกิดความปีติยินดี ให้บริวารตักไปอังคาส พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ด้วยความศรัทธาเล่ือมใส ครั้นเสร็จภัตกิจ ได้ฟังพระธรรมเทศนา จากพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ต้งั อยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมกบั สิรคิ ตุ ตผ์ เู้ ป็นสหาย คยากัสสปะ, พระ คยากัสสปะ เป็น ๑ ในชฎิล ๓ พี่น้องซึ่งถือลัทธิบูชาไฟ ตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝ่ังแม่น้าเนรัญชรา ถือกาเนิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตร เรียนจบไตรเพทตามลัทธิของอาจารย์จนมีความชานาญ และมี ชอื่ เสยี งโด่งดัง มีบริวาร ๒๐๐ คน ครั้นต่อมาพิจารณาเห็นลัทธิของตนว่าไม่มีแก่นสาร จึงได้ออกบวชเป็น ชฎิล บาเพ็ญพรตด้วยการบูชาไฟ พร้อมด้วยพี่ชาย ๒ คน คืออุรุเวลกัสสปะ และนทีกัสสปะ ท่ีได้ชื่อว่า คยากสั สปะเพราะตั้งอาศรมอยู่ท่ตี าบลคยาสีสะ๒๔๐ อรรถกถาระบวุ ่า เพราะท่านอยู่ในคยาประเทศ๒๔๑ ๒๔๐ ขุ.อป.(ไทย) ๒๕/๒๘๗/๒๗๗. ๒๔๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๐/๓๗.

๙๓ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มีพระประสงค์จะวางรากฐาน พระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ จึงได้เสด็จไปโปรดชฎิลท้ัง ๓ ทรงทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ ร่วม ๓,๕๐๐ วิธี๒๔๒ จนชฎิลเกิดความเลื่อมใส ละทิ้งลัทธิเดิม ขอบวชในพระพุทธศาสนา ต่อแต่น้ันก็ทรงแสดงอาทิต ปรยิ ายสตู รโปรด คยากสั สปะได้บรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์พร้อมกับชฎิลท่ีเหลือ๒๔๓ (ว.ิ มหา.๔/๕๔/๖๕) ควัมปต,ิ พระ พระควมั ปติ อยู่ในกลุ่มสหายของพระยสะที่ออกบวชพร้อมกัน ๔ รูป ได้แก่ พระวิมละ พระสุ พาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ๒๔๔ ในอดีต ทั้งหมดเป็นบุตรของตระกูลเศรษฐีในกรุงพาราณสี เม่ือ ทราบข่าวว่า ยสะผู้เป็นสหายออกบวช ต่างก็พากันคิดว่า “ยสกุลบุตรโกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรโกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสา ยะออกจากเรือนบวชเปน็ บรรพชิตนนั้ คงจะไมต่ า่ ทรามเปน็ แน่” จงึ ได้ออกบวชตาม ต่อมาได้ฟังอนุปุพพิก กถาจากพระพุทธเจ้าได้ดวงตาเห็นธรรม คร้นั ต่อมาไมน่ านกไ็ ดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ คคั คะ,พระ พระคัคคะปรากฏชื่อในอุมมัตตกสมมติ ระบุว่าเป็นภิกษุวิกลจริต๒๔๕ จึงได้รับการยกเว้นไม่ ตอ้ งมาประชุมทาสังฆกรรม และทรงมีพุทธานุญาตให้อมูฬหวินัยกรณีล่วงละเมิดสิกขาบทขณะวิกลจริต มี จิตแปรปรวน๒๔๖ คันธภกะ, นาย นายคันธภกะ ปรากฏในคันธภกสูตร ระบุตาแหน่งว่าเป็นผู้ใหญ่บ้าน และได้เข้าเฝ้าสนทนา ธรรมกบั พระผู้มพี ระภาคเจ้าประเดน็ เรื่องเหตเุ กิดและความดับทุกข์ ก่อนวิสัชชนาปัญหาแก่นายคันธภกะ พระพุทธเจา้ ได้ทรงปรารภขนึ้ ว่า ถา้ พระองค์แสดงเหตุเกิดทกุ ขแ์ ละความดับทุกข์โดยอ้างอดีต หรืออนาคต กจ็ ะทาใหเ้ กิดความเคลอื บแคลงสงสยั เพราะฉะนน้ั จะไมท่ รงทาเช่นนนั้ แต่จะแสดงเหตุเกิดทุกข์และความ ดับทกุ ขเ์ ฉพาะหนา้ เวลาน้ีเทา่ นน้ั พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามความรู้สึกของผู้ใหญ่บ้านคันธภกะว่า มีบ้างไหม เวลามีคนใน หมู่บ้านถูกดาเนินคดี และตัดสินลงโทษประหารบ้าง จองจาบ้าง ปรับไหม หรือถูกตาหนิโทษบ้าง แล้ว เกิดโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสะ เม่ือนายคันธภกะกราบทูลว่า มี ก็ทรงตรัสถามต่อไปอีก ว่า แล้วมีบ้างไหม เวลามีคนในหมู่บ้านถูกดาเนินคดี และตัดสินลงโทษประหารบ้าง จองจาบ้าง ปรับไหม หรอื ถกู ตาหนิโทษบา้ ง แล้วไม่เกดิ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาสะ นายคันธภกะก็กราบทูลถาม ตามความเป็นจริงว่า มี เม่ือนายคันธภกะกราบทูลเช่นนั้น ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า เพราะเหตุไรจึงเป็น เชน่ นน้ั นายคันธภกะได้กราบทูลตามความเป็นจริงว่า ท่ีเป็นเช่นน้ันเพราะฉันทราคะ ถ้าฉันทราคะมี โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส อปุ ายาสะก็มี ถ้าฉันทราคะไมม่ ี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะก็ไม่มี ๒๔๒ ขุ.อป.(ไทย) ๒๕/๒๘๗/๒๗๗. ๒๔๓ ข.ุ เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๓/๑๐๓. ๒๔๔ วิ.ม.(ไทย) ๔/๕๔/๔๘. ๒๔๕ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๖๗/๒๕๑. ๒๔๖ วิ.จ.ู (ไทย) ๖/๑๙๖/๓๑๐.

๙๔ เมือ่ นายคันธภกะกราบทูลเช่นน้ัน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเสริมว่า ขอให้ท่านทรงจาไว้อย่างน้ัน ทุกข์อย่าง ใดอย่างหนง่ึ ในอดีตกต็ าม ในอนาคตก็ตาม เมื่อเกิดข้ึนแล้ว หรือกาลังจะเกิดขึ้น ย่อมมีรากเหง้าจากฉันทะ มฉี ันทะเปน็ เหตุ ฉันทะเปน็ รากเหง้าแห่งทกุ ข์๒๔๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามเทียบเคียงโดยนัยเดียวกันน้ีกับบุตร ภรรยา ซึ่งก็ได้รับการ ยืนยันโดยนัยเดียวกัน และพระองค์ก็ตรัสสรุปให้นายคันธภกะได้เห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ และความดับแห่ง ทกุ ขโ์ ดยไมต่ อ้ งอา้ งเหตุในอดีต หรืออนาคต แต่อยา่ งใด คามณิ,กุมาร คามณิกุมาร ปรากฏในคามณิชาดกแห่งขุททกนิกาย ชาดก๒๔๘ ความในอรรถกถาระบุว่า คามณิกุมารน้ันได้รับการสถาปนาเป็นพระราชา ครอบครองราชย์สมบัติโดยธรรม แม้จะเป็นน้องคนเล็ก แตก่ ม็ พี ี่ชาย ๑๐๐ คนแวดล้อม ทา้ ยชาดกได้สรุปเรื่องว่า คามณิกุมารในอดีตชาติน้ัน บัดน้ีก็คือภิกษุผู้สละ ความเพยี ร๒๔๙ ในอรรถถกาสงั วรชาดก มเี น้อื ความพรรณนาเพิ่มเติมว่า เดิมภิกษุรูปนี้เป็นชาวเมืองสาวัตถี มีศรัทธาเล่ือมใส ออกบวช ทรงจาปาติโมกข์ ครั้นมีพรรษาครบ ๕ แล้ว ก็เรียนกัมมัฏฐานจากสานัก อาจารย์เข้าป่า แต่เมื่อไม่สามารถยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้น ก็เกิดความท้อแท้ ออกจากป่าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทเ่ี ชตวนั พระพุทธเจ้าทราบความน้ันก็ตรัสถามว่า ทาไมถึงละท้ิงความเพียร ในอดีตเธอเป็นคนอดทนต่อ โอวาทอาจารย์ แม้จะเป็นน้องคนเล็ก แต่ก็สามารถครองเศวตฉัตรมีพี่ชาย ๑๐๐ คน เป็นบริวารมิใช่ หรือ๒๕๐ จากนั้นก็ทรงเล่าเร่ืองคามณิกุมารความสังเขปว่า (เทียบเคียงกับสังวรกุมาร เนื้อหาคล้ายกัน ต่างกันแตเ่ พยี งพระคาถาเทา่ น้ัน) คามณกิ มุ ารนนั้ เป็นพระราชโอรสองคเ์ ลก็ สุด แตม่ ีพระโพธสิ ัตว์เปน็ อาจารย์ วันหนึ่งได้ปรึกษา กับอาจารยข์ องตนวา่ หากบดิ าจะยกชนบทใหด้ ูแลปกครอง จะทาอยา่ งไร ผ้เู ป็นอาจารย์ได้ให้คาแนะนาว่า อยา่ รบั ให้กราบทูลว่า พระองคเ์ ปน็ พระราชบุตรองค์เล็กสุด ถ้าไปอยู่ชนบทแล้ว ก็ไม่มีใครคอยรับใช้เบื้อง พระยุคลบาท ให้พระองค์อาสาเสนอตัวอยู่เพ่ือคอยรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ต่อมาเมื่อพระราชามอบ ชนบทใหด้ ูแล พระกุมารก็กราบทูลเหมอื นอยา่ งทีอ่ าจารย์ได้แนะนาไว้ ทาให้พระราชาทรงประทับใจอยู่ไม่ น้อย ในกาลตอ่ มาอีก พระราชกุมารกถ็ ามอาจารย์จะให้ทาอยา่ งไรต่อ ทรงได้รับคาแนะนาว่า ให้ทูล ขอพระราชทานอุทยานเก่าแห่งหน่ึง พระราชกุมารจึงกราบทูลขอพระราชอุทยานเก่าแห่งหนึ่ง ซ่ึงก็ได้รับ พระราชทาน จากน้ันก็ทรงใช้ผลที่เกิดขึ้นในอุทยานน้ัน เป็นต้นว่า ดอกไม้ ผลไม้ต่าง ๆ สงเคราะห์ ประชาชน พระโพธิสัตว์ได้บอกอุบายแนะนาคามณิกุมารโดยประการย่ิง ๆ ข้ึนนับตั้งแต่ขอให้ทรง พระราชทานเบ้ียเลย้ี งภายในเมือง พระราชทานท่ีพกั แก่ทตู พระราชทานยกเว้นภาษีแก่พวกพ่อค้า ทรงทา กิจที่ควรทาจนเป็นท่ีไว้วางพระราชหฤทัย และเม่ือคราวจะสวรรคต ก็ได้ทรงยกราชสมบัติให้แก่คามณิ กุมาร ๒๔๗ ส.สฬา. (ไทย) ๑๐/๓๖๓/๔๑๘. ๒๔๘ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๘/๔. ๒๔๙ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๑/๒๐๙. ๒๕๐ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๖/๕๙.

๙๕ คามณจิ ันท์,พราหมณ์ คามมณีจันทพราหมณ์ ปรากฏในคามณิจันทชาดก๒๕๑ ความในอรรถกถาพรรณนาเน้ือความ เพิ่มเติมว่า๒๕๒ เดิมเป็นข้าละอองธุลีพระบาทรัชสมัยของพระเจ้าชนสันธนะ เมื่อเปลี่ยนรัชกาล เห็น พระราชาองค์ใหม่ยังเป็นเด็กอยู่ก็ไม่ยอมรับราชการ จึงได้ลาออกจากราชสานักไปพักอาศัยอยู่นอกพระ นครห่างออกไป ๓ โยชน์ ประกอบอาชีพกสิกรรม ครั้นถึงฤดูฝนก็ไปยืมโค ๒ ตัวจากเพื่อนบ้าน ไถนา ตลอดวันยังค่า เสร็จแล้วจัดให้โคกินหญ้า ส่วนตนไปบ้านเพ่ือคืนโคให้กับเจ้าของ ในขณะนั้นเจ้าของโค พร้อมด้วยภรรยากาลังรับประทานอาหารอยู่ ฝ่ายโคทั้ง ๒ ตัวก็เดินเข้าบ้านด้วยความเคยชิน เมื่อโคเข้า คอกแล้ว เป็นเวลาท่ีเขาบริโภคอาหารเสร็จพอดี ภรรยาจึงยกสารับไปเก็บ นายคามณีจันท์ได้แต่มองตาม ใจก็ปรารถนาใหเ้ ขาเชิญบริโภค จึงไม่ไดม้ อบหมายคืนโคแลว้ กก็ ลับไป คืนวันนั้น พวกโจรได้เข้าไปลักโค เจ้าของโคลุกขึ้นในเวลาเช้าไม่เห็นโค แม้ทราบว่าถูกโจรลัก ไป ก็คิดจะไปปรับสินไหมแก่นายคามณีจันท์ จึงได้นาเรื่องไปฟ้องร้องพระราชาเพื่อตัดสินพิจารณาคดีให้ นายคามณีจันท์คืนโค ๒ ตัว นายคามณีจันท์จึงต้องออกเดินทางไปวังหลวงเพ่ือรับการพิจารณาคดี ระหว่างทางเขารู้สึกหิวข้าวมาก จึงได้ขออนุญาตเจ้าของโคขอไปกินข้าวท่ีบ้านเพื่อนก่อน จากน้ันจึงได้ไป บ้านของเพอ่ื นคนหนงึ่ แตข่ ณะนั้นเพ่อื นไมอ่ ยู่ คงอยูเ่ ฉพาะภรรยาเทา่ น้นั ภรรยาของเพ่ือนเห็นนายคามณีจันท์ก็ต้อนรับ แต่ก็บอกว่า ข้าวสุกไม่มี ให้รอสักครู่จะหุงให้ เดี๋ยวนี้แหละ แล้วก็กระวีกระวาดปีนขึ้นบันไดยุ้งฉาง พลัดตกลงมาแท้งลูกท่ีตั้งครรภ์ได้ ๗ เดือน เม่ือสามี นางกลับมาก็กลา่ วโทษว่านายคามณจี นั ท์ทาร้ายภรรยาจนแท้งลูก ทาให้ได้คดีความเพิ่มอีก ๑ เรื่อง ระหว่างที่ถูกคุมตัวไปยังพระลานหลวง คนเล้ียงม้าคนหน่ึง ไม่สามารถบังคับม้าให้กลับได้ จึง ได้วานให้นายคามณีจันท์ช่วยไล่ให้หน่อย นายคามณีจันท์ได้ใช้ก้อนหินขว้างใส่ม้า ถูกขาม้าหัก เจ้าของม้า จึงกล่าวโทษ และขอดาเนนิ คดกี ับนายคามณจี นั ท์อีกเชน่ กัน นายคามณีจันท์เดินคอตก ได้แต่ปลงชีวิต ในใจก็คิดไปว่า จะเอาปัญญาที่ไหนไปชดใช้ความ เสียหายท่ีเกดิ ขน้ึ ท้ังหมดนไ้ี ด้ แค่โค ๒ ตวั ก็หมดปัญญาแล้ว ไมต่ ้องพดู ถงึ ภรรยาของเพ่ือนท่ีแท้งลูก ไม่ต้อง พูดถึงม้า คดิ ไปคิดมาก็หาหนทางจบชวี ิตด้วยการโดดเขาตาย จงึ ไดว้ างแผนให้โจทก์ท้ัง ๓ คนรอสักครู่หน่ึง ก่อน ตนจะไปถ่ายอุจจาระ แต่ครั้นพ้นสายตาไปแล้ว ก็ได้ไปท่ีเงื้อมผาแห่งหน่ึง ตัดสินใจกระโดดลงไป จังหวะน้ันเองในช่างสานพร้อมลูกชายกาลังน่ังทอเส่ือลาแพนอยู่ นายคามณีจันท์ตกลงไปทับนายช่างสาน ถึงแก่ความตาย สุดท้ายก็ถูกลูกชายของนายช่างสานฟ้องร้องเพิ่มอีกคดีหน่ึง อรรถกถาพรรณนาความว่า ในระหว่างทาง นายคามณีจนั ทไ์ ด้รับการฝากปญั หาไปทลู ถามพระราชาหลายคาถาม แต่ประเด็นนั้นขอยก ไว้ คงนามากลา่ วเพียง ๔ ปญั หาท่ีเปน็ คดีความเท่านนั้ คดีแรก เร่ืองโค ๒ ตัว พระราชาได้เริ่มพิจารณาคดี โดยการทรงซักถามนายคามณีจันท์ว่า ตอนเอาวัวไปคืนให้เจ้าของนั้น ได้กล่าวมอบโคคืนไหม นายคามณีจันท์ก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า ไม่ไดก้ ลา่ วมอบ จากนน้ั กท็ รงหันไปถามเจ้าของโควา่ ไดเ้ ห็นวัวตอนเข้าคอกไหม เจ้าของวัวแม้เห็นอยู่ แต่ก็ กราบทลู เทจ็ วา่ ไม่เห็น พระราชาจึงทรงใชอ้ บุ ายจนยอมรบั ความจริง จากนนั้ กท็ รงตดั สินคดีวา่ นายคามณี จันท์ยืมวัวไปใช้แล้ว ตอนคืนไม่ได้ส่งมอบ ถือว่ามีความผิดให้ปรับสินไหม ๒๖ กหาปณะเป็นค่าโค ๒ ตัว ส่วนเจ้าของววั และภรรยา เห็นวัวตอนเข้าคอกอยู่ แต่โกหกว่า ไม่เห็น ถือว่ามีความผิด ให้ควักดวงตาของ ๒๕๑ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๙/๑๒๔. ๒๕๒ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๔/๓๔.

๙๖ เขาและภรรยาเสีย สิ้นคาพิพากษา เจ้าของโคก็ตกใจ เห็นว่าเรื่องจะบานปลาย จึงขอเจรจา ขอโทษ และ ถอนฟอ้ ง ไมต่ ดิ ใจเอาความอีกตอ่ ไป คดที ี่ ๒ พระราชาเริ่มไตส่ วนนายคามณีจันท์ว่า ได้ทุบตีภรรยาของเพ่ือนจนแท้งลูกจริงหรือไม่ นายคามณีจันท์ได้ปฏิเสธ พร้อมกับกราบทูลเล่าเรื่องราวให้ทรงทราบตั้งแต่ต้น พระราชาได้หันไปถาม คู่กรณีว่า ภรรยาของท่านแทง้ ลูกแล้ว จะทาอยา่ งไรเลา่ สหายของนายคามณีจันท์ก็ยืนยันว่า ตนควรได้ลูก คืน เมื่อเปน็ เช่นนนั้ พระราชจึงตัดสนิ ว่า ถา้ อย่างนัน้ ใหน้ ายคามณีจันท์ขังภรรยาของผู้น้ีไว้ในเรือน เม่ือใด เกดิ บตุ รแล้ว จงนาบุตรไปมอบให้ท่านผู้น้ี สหายของนายคามณีจันท์ได้ยินคาพิพากษาเช่นนั้น ก็คุกเข่าขอ อภัยโทษ ไม่ติดใจเอาคดคี วามอกี คดีท่ี ๓ พระราชาทรงเรมิ่ ซักถาม นายคามณีจันท์ได้กราบทลู ตามความเปน็ จริง จากน้ันจึงทรง หันไปถามเจ้าของม้าว่า จริงไหมท่ีเป็นคนบอกให้นายคามณีจันท์ขว้างม้าให้กลับ ซ่ึงตอนแรกได้กราบทูล ปฏเิ สธ แต่พอคาดค้ันไปมากร็ บั สารภาพว่าจริง จึงทรงตัดสินว่า เจ้าของม้าพูดโกหก ให้ตัดลิ้นเสีย ส่วนค่า ม้า พระองค์จะเป็นผู้ใช้ให้เอง เจา้ ของม้าไดฟ้ งั คาตดั สนิ เชน่ นั้น กเ็ กดิ ความกลัว จงึ ไมต่ ดิ ใจเอาความ คดที ี่ ๔ ทรงตดั สินคล้าย ๆ กับคดีท่ี ๒ คือเม่ือทรงสอบสวนทราบความเป็นจริงแล้ว ก็ให้บุตร ชา่ งสานเอาแม่ของตนเองมาไว้ในเรอื นของนายคามณีจันท์ แล้วให้นายคามณีจันท์เป็นพ่อ บุตรช่างสานได้ ฟังคาพพิ ากษาเช่นนนั้ รอ้ งขอวา่ อย่าให้ทาเช่นนั้นเลย จากนั้นก็กราบทูลไม่ติดใจเอาความนายคามณีจันท์ อีกตอ่ ไป เปน็ อนั ยุตทิ ั้ง ๔ คด๒ี ๕๓ คริ ิทตั ต์, คนเลยี้ งมา้ นายคิริทัตต์ มีอาชีพเลี้ยงม้า มีประวัติปรากฏในอรรถกถาชาดก๒๕๔ พุทธประสงค์ในการตรัส เรื่องของนายคิริทตั ต์ เพือ่ เป็นตวั อย่างให้เห็นว่า การคบหาสมาคมกับคนประพฤติผิด ย่อมพลอยประพฤติ ผิดตามไปดว้ ย ดังเชน่ กรณีของนายคิรทิ ัตต์ นายคิริทัตต์เป็นคนพิการขากะเผลก ได้รับการมอบหมายจากพระราชาให้เป็นผู้ดูแลม้ามงคล ช่ือปณั ฑวะ เวลานายคริ ทิ ตั ตจ์ ูงม้าเดนิ นาหนา้ ไป มา้ ก็เขา้ ใจว่า นายคิริทัตต์สอนให้ตนเดินอย่างน้ัน จึงเดิน ขากะเผลกตาม กระท่ังกลายเป็นม้าขากะเผลก พระราชาทราบความนั้นก็รับสั่งให้หมอไปตรวจสอบ ไม่ เห็นความผิดปกติอย่างอ่ืน จึงทรงมอบหมายให้พระโพธิสัตว์ไปพิจารณา ได้ความจริงว่า ท่ีเป็นเช่นนั้น เพราะม้าเลียนแบบพฤติกรรมของนายคิริทัตต์ จึงทรงกราบทูลข้อเท็จจริงให้ทรงทราบ และขอให้เปล่ียน คนเลี้ยงมา้ ใหม่ หลังจากทรงเปลย่ี นคนเลีย้ งมา้ ใหม่ไม่นาน มา้ กก็ ลบั ไปเดนิ ปกติดังเดมิ คิริมานนท์, พระ พระคิรมิ านท์ ตามประวตั ิระบวุ ่าเปน็ บุตรชายปุโรหติ ท่านหนง่ึ ของพระเจา้ พมิ พิสาร คร้ันบรรลุ นิติภาวะแล้วได้เห็นอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อคราวเสด็จกรุงราชคฤห์ มีศรัทธาเล่ือมใสใน พระพุทธศาสนา บาเพ็ญสมณธรรมท่ีวัดใกล้บ้าน ๒-๓ วัน ก็ได้ไปยังเมืองราชคฤห์เพ่ือเฝ้าพระศาสดา ระหว่างทาง พระเจ้าพิมพสิ ารทรงทราบข่าว จงึ ไดน้ มิ นต์ให้อยู่จาพรรษาในเมือง แต่ด้วยพระราชกรณียกิจ มีมาก ทาให้พระองคล์ ะเลย ไมไ่ ดด้ ูแลหรือปฏบิ ัติพระเถระเตม็ ท่ี ๒๕๓ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๔/๓๙-๔๐. ๒๕๔ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๑๑๕.

๙๗ วันหนึ่งท่านอยู่กลางแจ้ง ฝนตกหนัก เทวดาจึงห้ามฝนไม่ให้ตก พระราชาทรงพิจารณาเหตุท่ี ฝนไม่ตก ทราบเหตุแล้วจึงสร้างกุฏิถวายพระเถระหลังหนึ่ง ท่านได้กุฏิท่ีพักแล้ว มีความต้ังใจม่ัน บาเพ็ญ สมณธรรมไม่นานกไ็ ด้บรรลุเป็นพระอรหันต์๒๕๕ ในพระบาลี พบประวัติท่านในคิริมานนทสูตร๒๕๖ พรรณนาเหตุการณ์ตอนท่ีท่านอาพาธหนัก พระอานนทท์ ราบข่าวจงึ ได้กราบทูลเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงเย่ียมอาการ แต่พระพุทธเจ้าได้ มอบหมายใหพ้ ระอานนทไ์ ปแทน พรอ้ มทง้ั ใหส้ าธยายสัญญา ๑๐ ประการให้พระคริ มิ านนทฟ์ งั สัญญา ๑๐ ประการ ประกอบด้วย (๑) อนิจจสัญญา (๒) อนัตตสัญญา (๓) อสุภสัญญา (๔) อาทีนวสัญญา (๕) ปหานสัญญา (๖) วิราคสัญญา (๗) นิโรธสัญญา (๘) สัพพโลเก อนภิรตสัญญา (๙) สัง ขาเรสุ อนิจจสญั ญา และ (๑๐) อานาปานสติ อาการอาพาธของพระคริ มิ านนท์ได้สงบระงับ เพราะฟงั สาธยายสญั ญา ๑๐ ประการน้ี โคธา, เจา้ ศากยะ เจ้าศากยะพระนามว่า โคธา ปรากฏในโคธสักกสูตร สังยุตตนิกาย มหาวรรค๒๕๗ เนื้อความ พรรณนาถึงการสนทนากันระหว่างเจ้าศากยะพระนามว่ามหานามกับเจ้าศากยะพระนามว่าโคธา โดย เร่ิมต้นบทสนทนา เจ้ามหานามได้ตรัสถามเจ้าโคธาศากยะว่า รู้จักธรรมท่ีเป็นเหตุทาให้บุคคลเป็นพระ โสดาบนั แลว้ ไม่มที างตกต่า มคี วามแนน่ อนทสี่ าเร็จสัมโพธิในภายภาคหนา้ หรอื ไม่ เจ้าโคธาได้เฉลยไปว่า ทรงทราบอยู่ ต่อแต่น้ันจึงได้แจกแจงถวายไปว่า ผู้ใดก็ตาม (๑) ประกอบด้วยความเล่ือมใสไม่หวั่นไหวในพระศาสดา (๒) ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หว่ันไหวในพระ ธรรม และ (๓) ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ธรรมเหล่าน้ีย่อมเป็นเหตุทาให้บุคคล เปน็ พระโสดาบัน แล้วไมม่ ที างตกต่า มคี วามแน่นอนทสี่ าเร็จสัมโพธใิ นภายภาคหน้า โคทัตตะ, พระ พระโคทตั ตะมาในโคทัตตสตู รแหง่ สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค๒๕๘ ความพรรณนาไว้ว่า พระ โคทัตตะพักอยู่ท่ีอัมพาฏกวัน เขตเมืองมัจฉิกาสัณฑ์ ครั้งนั้นจิตตคหบดีได้เข้าไปหาท่าน ท่านจึงได้ถามว่า อัปปมาณาเจโตวิมุตติ อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ สุญญตาเจโตวิมุตติ และอนิมิตตาเจโตวิมุตติ มีอรรถ ตา่ งกนั มีพยญั ชนะต่างกนั หรือมอี รรถอย่างเดยี วกัน ต่างกันแต่พยญั ชนะเทา่ นั้น จิตตคหบดีได้ตอบว่า ท่ีมีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกันก็มี ที่มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกัน แต่พยัญชนะกม็ ี ท่ีมีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกัน เพราะอัปปมาณาเจโตวิมุตติเป็นเรื่องของเมตตาจิตที่แผ่ ไปไม่มีประมาณ อากิญจัญญาเจโตวิมุตติ เป็นเร่ืองของฌานท่ีก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ กระทั่งเข้าถึง ภาวะว่า ไม่มีอะไร สุญญตาเจโตวิมุตติ เป็นเร่ืองของฌานท่ีเห็นความหลุดพ้นว่า ส่ิงน้ีว่างจากอัตตา หรือ สิ่งทเ่ี นอ่ื งดว้ ยอัตตา สว่ นอนิมิตตาเจโตวมิ ตุ ติ เปน็ เรือ่ งของฌานทีไ่ ม่มกี ารกาหนดนิมิตใด ๆ ๒๕๕ ข.ุ อป.อ.(ไทย) ๒/๓๐๗. ๒๕๖ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๐/๑๒๘. ๒๕๗ ส.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๐๑๙/๕๒๔. ๒๕๘ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๙/๓๔๙.

๙๘ ที่มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น มีอธิบายไว้เป็นต้นว่า เจโตวิมุตติทั้ง ๔ ประการนั้น ตัดราคะ โทสะ และโมหะเหมือนกัน จึงได้ช่ือว่ามีอรรถอย่างเดียวกัน ส่วนที่มีพยัญชนะ ต่างกัน มีคาอธิบายว่า เจโตวิมุตติท่ีไม่กาเริบ เลิศกว่าอัปปมาณาเจโตวิมุตติ เจโตวิมุตติอันไม่กาเริบนั้น ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นกิเลสเคร่ืองกังวล พระขีณาสพละได้หมดแล้ว ตัดรากถอนโคน ทาให้มี ทาใหเ้ กดิ ข้ึนตอ่ ไมไ่ ด้ เจโตวิมุตติท่ีไม่กาเริบ เลิศกว่าอากิญจัญญาเจโตวิมุตติเหล่าน้ัน เจโตวิมุตติอันไม่กาเริบนั้น ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ อันเปน็ กิเลสเครือ่ งกระทานมิ ิต พระขณี าสพละไดห้ มดแล้ว ตัดรากถอนโคน ทา ให้มี ทาใหเ้ กิดข้นึ ต่อไม่ได้ โคธิกะ, พระ พระโคธิกะ มาในโคธิกสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค๒๕๙ ในพระสูตรพรรณนาความไว้ว่า พระโคธิกะอยู่ท่ีวิหารกาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ ท่านเป็นผู้มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ได้บรรลุเจโต วิมุตติชั่วคราว ภายหลังเสื่อมจากเจโตวิมุตติน้ัน ท่านพยายามอยู่หลายครั้ง ก็ได้ๆ เสื่อม ๆ กระทั่งเกิด ความทอ้ แท้ คดิ ฆ่าตวั ตาย มารทราบความดาหริของพระโคธิกะ จึงได้เข้าไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปห้าม แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะทรงทราบว่า พระโคธิกะจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในช่วงขณะเวลาน้ัน เมื่อ ทรงทราบวา่ พระโคธกิ ะปรนิ พิ พานแลว้ กเ็ สดจ็ ไปยังกาฬสิลา พร้อมดว้ ยภกิ ษุท้ังหลาย ทอดพระเนตรเห็น พระโคธิกะนอนคอบิดอยู่บนเตียง ได้ทรงพยากรณ์ท่ามกลางภิกษุทั้งหลายว่า “โคธิกกุลบุตรไม่มีวิญญาณ สถติ อยู่ ปรินพิ พานแลว้ ” ๒๖๐ โคปกะ, พระ พระโคปกะ มีช่ือปรากฏในมหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎก ตอนว่าด้วยการถวายผ้าจีวรเป็นการ สงฆ์ แต่มีภิกษุอยู่ไม่ครบสงฆ์ จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไร ในคัมภีร์ระบุว่าท่านเป็นพระเถระ พักอยู่ในกุก กุฏาราม เขตกรงุ ปาตลบี ุตรร่วมกบั พระเถระอกี หลายรปู เช่น พระนีลวาสี พระสาณวาสี พระภคุ พระผลิก สันทานะ สว่ นภิกษุผเู้ ป็นมลู เหตขุ องเร่ืองนี้ พักอยู่จาพรรษาในเขตกรุงราชคฤห์มีจานวน ๓ รูป ท่านทั้ง ๓ รูปนี้จึงเดินทางไปสอบถามพระเถระทั้ง ๔ รูปในกรุงปาตลีบุตร ซ่ึงก็ได้รับคาตอบว่า จีวรยังเป็นของท่าน ทง้ั ๓ รูปเทา่ น้นั จนถึงคราวเดาะกฐนิ ๒๖๑ โคปกโมคคัลลานะ, พราหมณ์ โคปกโมคคัลลานะเป็นพราหมณ์อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ เร่ืองราวของท่านมีพรรณนาไว้ใน มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณั ณาสก์๒๖๒ เนื้อความมีพอสงั เขปว่า พระอานนท์เถระเม่ือคราวออกบิณฑบาตวันหน่ึง เหน็ วา่ เวลายังเชา้ อยู่ จึงไดแ้ วะเข้าไปสนทนากับโคปกโมคคัลลานพราหมณ์ โคปกโมคคัลลานพราหมณ์ได้ถามปัญหาข้อหนึ่งกะพระอานนท์ว่า มีภิกษุสักรูปหนึ่งไหมที่มี คุณธรรมครบทุกประการเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ได้รับคาตอบจากพระอานนท์ว่า ไม่มี เหตุผลคือ ๒๕๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๕. ๒๖๐ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๗. ๒๖๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๕/๓๖๓/๒๓๖. ๒๖๒ ม.อุปร.ิ (ไทย) ๑๔/๗๙/๘๕.

๙๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ยังมรรคที่ยังไม่อุบัติให้อุบัติ ยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้ เกิด ตรัสบอกมรรคท่ีไม่มีใครบอกได้ ทรงทราบชัดมรรค ทรงรู้แจ้งมรรค ทรงฉลาดในมรรค ส่วนสาวก ทงั้ หลายเป็นเพยี งแต่ผดู้ าเนนิ ตามเท่านั้น โคลิสสาน,ิ ภกิ ษุ พระโคลสิ สานิ มาในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์๒๖๓ ระบุไว้ว่า ท่านเป็นพระผู้ถือการอยู่ป่า เป็นวัตร มีมารยาท มีความเคารพยาเกรงในเพ่ือนพรหมจารี ได้รับการยกย่องจากพระสารีบุตร ยกเป็น ตัวอย่างในท่ามกลางภิกษทุ ้งั หลาย ในโอกาสน้ี พระสารีบุตรได้แสดงคุณสมบัติของภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรควรปฏิบัติ ๑๘ ประการ ประกอบด้วย (๑) มีความยาเกรงในเพ่ือนพรหมจารี (๒) มีความเข้าใจลาดับอาสนะของตน (๓) มีความรู้ ในอภิสมาจารกิ ธรรม (๔) ไม่ควรเขา้ บ้านเชา้ นกั ไม่ควรกลับมาสายนัก (๕) ไม่ควรเท่ียวไปในสกุลท้ังหลาย (๖) ไมค่ วรคะนองกาย วาจา (๗) ไม่ควรเป็นผู้มีปากกล้า ไม่ควรเป็นผู้มีวาจาจัดจ้าน (๘) ควรเป็นผู้ว่าง่าย เป็นกลั ยาณมิตร (๙) ควรเปน็ ผคู้ ้มุ ครองทวารในอินทรีย์ท้ังหลาย (๑๐) ควรเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค อาหาร (๑๑) ควรเป็นผู้ประกอบความเพียรเคร่ืองต่ืนอย่างต่อเนื่อง (๑๒) ควรเป็นผู้เคารพความเพียร (๑๓) ควรเป็นผู้มสี ตติ ง้ั ม่ัน (๑๔) ควรเป็นผ้มู ีจิตตง้ั ม่ัน (๑๕) ควรเป็นผู้มีปัญญา (๑๖) ควรทาความเพียรใน อภธิ รรมและในอภวิ นิ ยั (๑๗) ควรเป็นผู้ทาความเพียรในสันตวิโมกข์ และ (๑๘) ควรทาความเพียรในอุตต ริมนุสสธรรม โควินทะ, พราหมณ์ คาว่า โควินทะ เป็นช่ือตาแหน่งที่ถวายคาปรึกษาอรรถคดีต่าง ๆ ในพระราชวังของพระ เจ้าทิสัมบดี ผู้ท่ีได้รับตาแหน่งนี้จึงมักถูกเรียกเป็นสรรพนามแทนบุคคลด้วย ดังเช่นกรณีของโควินท พราหมณ์ โควินทพราหมณ์ มีพรรณนาไว้หลายแห่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก เฉพาะอย่างย่ิงในมหาโควินท สตู ร ทีฆนิกาย มหาวรรค๒๖๔ ความเล่าถึงเรื่องเคยมีมาแล้วว่า โควินทพราหมณ์ดารงตาแหน่งเป็นปุโรหิต ของพระเจ้าทิสัมบดี และมีบุตรผู้หน่ึงชื่อโชติปาละ ต่อมาเม่ือโควินทพราหมณ์ถึงแก่กรรมแล้ว จึงได้มอบ ตาแหนง่ โควินทะแทนบิดา ความท่ีโชติปาลมีความเฉลียวฉลาด เป็นอภิชาตบุตร จึงได้รับการยกย่องจากชาวบ้าน ให้ สมญั ญานามว่า มหาโควินทะ และจากสตปิ ญั ญาเฉลยี วฉลาดนเ้ี อง ไดท้ รงชว่ ยให้สนับสนุนให้พระราชบุตร เรณุได้สืบราชสมบัติจากพระเจ้าทิสัมบดีผู้เป็นพระราชบิดา และทาให้พระเจ้าเรณุแบ่งราชสมบัติให้ราช กมุ ารผู้เป็นสหายอกี ๖ พระองค์ ดารงฐานะเปน็ ผู้ให้คาปรกึ ษาแก่กษัตริย์ ๗ พระองค์ กระทั่งมหาชนเล่ือง ลอื ว่ามหาโควนิ ทะสามารถมองเหน็ พระพรหมได้ สามารถสนทนาปรึกษากบั พระพรหมได้ มหาโควินทะพิจารณาแล้วว่าตนเองไม่ได้มีความสามารถเช่นนั้น จึงได้กราบทูลลากษัตริย์ ท้ังหมดปลีกวิเวกเป็นระยะเวลา ๔ เดือนเพื่อฝึกฌานให้สามารถสนทนากับพรหมได้ ตามความเชื่อที่ อาจารยร์ นุ่ กอ่ น ๆ ไดเ้ ล่าไว้ จากนัน้ จงึ ได้ไปสรา้ งอาคารทางดา้ นทศิ ตะวันออกของเมือง หลีกเร้นแต่เพียงผู้ ๒๖๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๗๓/๑๙๕. ๒๖๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๐๔/๒๓๘.

๑๐๐ เดียวบาเพ็ญฌานอยู่ตลอด ๔ เดือน แต่ก็ไม่สามารถบรรลุเจตนาที่ต้ังใจไว้ได้ กระท่ังความทราบถึงสนัง กมุ ารพรหม จงึ ได้เสดจ็ มาหาพรอ้ มทง้ั ให้โอกาสในการถามคาถามข้อหนง่ึ มหาโควินทะได้ถามคาถามว่า สัตว์ท้ังหลายต้ังอยู่ในธรรมอะไร ศึกษาธรรมอะไรอยู่ จึงจะถึง พรหมโลกอันเป็นอมตะได้ สนังกุมารพรหมได้พยากรณ์ว่า สัตว์ผู้ละความยึดถือว่าเป็นของเรา เป็นผู้อยู่ผู้ เดียว น้อมใจไปในกรุณา ผู้ไม่มีกล่ินชั่วร้าย เว้นจากเมถุน สัตว์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมนี้ ศึกษาธรรมน้ี ย่อมถึง พรหมโลกอันเป็นอมตะได้๒๖๕ มหาโควินทะ ได้ฟังคาของสนังกุมารพรหมก็เกิดความดาริว่า ธรรมเหล่านี้ หากอยู่ครองเรือน ยอ่ มไมอ่ าจทาได้โดยงา่ ย จึงได้แสดงความประสงคข์ องลาบวช จากนนั้ จึงได้ไปกราบทูลลาพระเจ้าเรณุออก บวช แรก ๆ พระเจ้าเรณุก็ทรงห้าม แต่ครั้นได้รับคาชี้แจง ก็ปรารถนาจะเสด็จออกผนวชด้วย แม้กษัตริย์ พราหมณ์มหาศาลที่เหลือก็ออกผนวช และออกบวชตามมหาโควินทะ กระทาฌานให้บังเกิดข้ึน เข้าถึง พรหมโลกด้วยอาการอย่างนี้ หมวด ฆ ฆฏบัณฑิต ฆฏบณั ฑิตปรากฏในขุททกนกิ าย ชาดก๒๖๖ ในอรรถกถาชาดก๒๖๗ มีพรรณนาความเพิ่มเติมว่า ฆฏบณั ฑิตไดใ้ ช้อบุ ายสอนใหพ้ ระราชาผสู้ ญู เสียพระราชโอรสผเู้ ป็นที่รักยิ่งให้คลายจากความทุกข์ ด้วยการ แกล้งเป็นบ้า เดินร้องไห้อยากได้กระต่าย พระราชาทอดพระเนตรเห็นจึงเรียกว่ามาถามว่าอยากได้ กระต่ายแบบไหน จะเอามาให้ ฆฏบัณฑิตกราบทลู ว่า อยากได้กระต่ายในดวงจันทร์ พระราชาจึงทรงตาหนวิ า่ ปรารถนาในส่ิง ทีไ่ มค่ วรปรารถนา ใครจะไปเอากระต่ายในดวงจันทร์มาให้ได้ ฆฏบัณฑิตได้โอกาสจึงกราบทูลว่า พระองค์ ก็ดีแต่สอนคนอ่ืน พระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระองค์ก็ยังทรงเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ หาใหพ้ ระชนม์คืนมาตราบเท่าทุกวันน้ี ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ พระราชาจึงทรงได้สติ และหายเศร้าโศก ตั้งแต่บดั นน้ั ฆฏายศากยะ เจ้าศากยะพระนามว่า ฆฏายะ ปรากฏพระนามในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์๒๖๘ เนื้อหา พรรณนาไว้แต่เพียงว่า พระอานนท์พร้อมด้วยภิกษุจานวนมาก ไปอาศัยอยู่ท่ีวิหารของเจ้าฆฏายศากยะ เพื่อทาจีวร ก่อนหน้านั้นพระพุทธเจ้าเสด็จพักผ่อนท่ีวิหารของเจ้าศากยะพระนามว่ากาฬเขมกะ เห็น เสนาสนะท่ีถูกจัดไว้เป็นจานวนมาก คร้ันออกจากวิหารของเจ้ากาฬเขมกะ เสด็จมาที่วิหารของเจ้าฆฏา ยศากยะ เห็นพระอานนท์อยู่กับพระภิกษุจานวนมาก จึงทรงตาหนิว่า การคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ชอบคณะ ยินดีคณะ บันเทิงอยูใ่ นคณะ ไมง่ ามเลย เพราะโอกาสจะได้เนกขัมมสุข ปวิเวกสุข อุปสมสุข สัมโพธิสุขน้ัน ยาก ๒๖๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๑๙/๒๔๗. ๒๖๖ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๖๕/๓๕๐. ๒๖๗ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๕/๕๓๔. ๒๖๘ ม.อุปร.ิ (ไทย) ๑๔/๑๘๖/๒๒๒.

๑๐๑ ฆฏกิ าระ,ช่างหมอ้ ฆฎิการะ เป็นชา่ งหมอ้ อาศัยอยใู่ นเวคฬิงคนิคม เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสส ปะ๒๖๙ เขามีเพื่อนรักคนหนึ่งชื่อโชติปาละ แต่ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ฆฏิการะจึงพยายามชักชวน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ และทุกคร้ังที่ชวนก็ถูกปฏิเสธ แต่เขาก็หาหมดความพยายามไม่ บางคร้ัง ถงึ กบั จบั ผ้าลากไป มีอยู่วันหน่ึง ขณะเล่นน้าอยู่ที่ไม่ไกลสานักของพระผู้มีพระภาค ฆฏิการะได้จับผมดึงเชิญชวน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงคราวนี้เขาฉุกคิดข้ึนว่า นายฆฏิการะมีสกุลรุณชาติต่า แต่บังอาจจับผมของ ตนจะนาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ได้ การเฝ้าพระผู้มีพระภาคน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงยอมไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้ากับนายฆฏิการะ หลังจากเข้าเฝ้า และได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะแล้ว โชติปาละก็เกิดความเล่ือมใส และชวนฆฏิการะบวช แต่ฆฏิการะยังห่วงบิดามารดาท่ีตาบอดและชราภาพ มากต้องดูแล ทาใหโ้ ชติปาละออกบวชคนเดียว ฆฏิการะ แม้จะมีฐานะยากจน แต่ก็ได้รับความเมตตาจากพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ดังจะ เห็นได้จากครั้งหนึ่ง พระราชามีความเลื่อมใส ได้ทูลให้จาพรรษาในเมืองพาราณสี พร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ แม้จะพยายามทูลเชิญถึง ๓ คร้ัง ก็ได้รับการปฏิเสธทั้ง ๓ ครั้ง เหตุผลเพียงเพราะ ทรงรับนิมนต์จากนายฆฏิการะไว้แล้ว จากนั้นเพ่ือยกย่องเกียรติคุณนายฆฏิการ จึงได้ทรงเล่าเร่ืองราว ตา่ งๆ ระหวา่ งพระองคก์ ับนายฆฏิการให้พระเจ้าแผ่นดินสดับ พระเจ้าราชาทรงเลื่อมใสในคุณของนายฆฏิ การะ และไดจ้ ดั ส่งสง่ิ ของไปช่วยเหลือเป็นจานวนมาก โฆฏมขุ ะ, พราหมณ์ โฆฏมุขะ เป็นช่ือพราหมณ์ผู้หน่ึง เรื่องราวของท่านปรากฏในโฆฏมุขสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก๒์ ๗๐ พระสตู รพรรณนาเรอื่ งราวพราหมณ์เดินทางไปธุระในเมืองพาราณสี จึงได้แวะเข้าไป เย่ียมพระอุเทน ณ เขมิยอัมพวัน หัวข้อของการสนทนา โฆฏมุขะแสดงความไม่เห็นด้วยในการบรรพชา ของพระอุเทน เพราะถึงแม้บวชมาแล้ว พระอุเทนก็ยังไม่เห็นธรรม เมื่อโฆฏมุขะ กล่าวเช่นนี้ พระอุเทนก็ ได้ลงจากที่จงกรม และชวนโฆฏมุขะนั่งสนทนาธรรม ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จากน้ันก็เอ่ยขึ้นว่า ถ้าท่าน ยอมรับคาทีค่ วรยอมรับ คัดคัดคาทค่ี วรคดั ค้าน อะไรไมเ่ ขา้ ใจ ก็ควรซักถามให้เข้าใจ เช่นน้ีเราทั้งสองจึงจะ สนทนากันตอ่ ไปได้ เม่ือโฆฏมุขะรับคาพระเถระแล้ว พระเถระจึงได้ย้อนถามโฆฏมุขะว่า ในคน ๔ จาพวกน้ี ท่าน ชอบใจพวกไหน (๑) ทาตนให้เดือดร้อน หมั่นทาตนให้เดือดร้อน (๑) ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน หม่ันทาให้ผู้อ่ืน เดือดร้อน (๓) ผู้ทาให้ตนเดือดร้อน หมั่นตนให้เดือดร้อน และทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน หม่ันทาให้ผู้อื่น เดือดรอ้ น และ (๔) ผูไ้ ม่ทาตนใหเ้ ดือดรอ้ น ไม่หมน่ั ทาตนให้เดือดร้อน และไม่ทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน ไม่หม่ัน ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน๒๗๑ โฆฏมุขะตอบว่า ไม่ชอบใจ ๓ พวกแรก ชอบใจพวกท่ี ๔ เหตุผลเพราะบุคคลผู้ ไม่ทาตนใหเ้ ดอื ดร้อน ไมท่ าให้ผอู้ ื่นเดอื ดรอ้ นนนั้ เปน็ ผไู้ มห่ ิว ดับร้อน เย็นใจ มีตนอันประเสริฐ เสวยสุขอยู่ ในปัจจบุ นั ๒๖๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๘๓/๓๓๘. ๒๗๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๑๒/๕๑๕. ๒๗๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๑๓/๕๑๗.

๑๐๒ เมอื่ พระอเุ ทนถามถงึ เหตผุ ลทไ่ี ม่ชอบใจบุคคล ๓ จาพวกแรก พราหมณ์ก็ให้เหตุผลว่า คนท่ีทา ตนให้เดือดร้อน หมั่นประกอบในการทาตนให้เดือดร้อน ชื่อว่าทาตนซ่ึงรักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือดร้อน ให้ ร้อนรุ่ม ส่วนบุคคลผู้ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน หมั่นประกอบในการทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน ชื่อว่าทาผู้อ่ืนซ่ึงรักสุข เกลียดทุกข์ให้เดือดร้อน ให้ร้อนรุ่ม แม้บุคคลที่ทั้งชอบทาตนและผู้อ่ืนให้เดือร้อน หม่ันทาตนและผู้อ่ืนให้ เดือดรอ้ น ช่ือว่าทาทั้งตนเองและผู้อื่นซึ่งรักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือดร้อน ให้ร้อนรุ้ม เหตุนั้นตนจึงไม่ชอบใจ บุคคล ๓ จาพวกนี้ เมื่อโฆฏมุขพราหมณ์ให้เหตุผลเช่นนั้น พระอุเทนก็กล่าวถึงบริษัท ๒ ประเภท คือ ประเภท แรก คือ ผูม้ ีความกาหนดั ยนิ ดี ประการหลังคือผู้ไม่มีความกาหนัดยินดี พวกแรกย่อมแสวงหาบุตร ภรรยา ทรัพย์ ทาสชายหญิง ไร่ นา สวน เงิน และทอง ส่วนพวกหลังละท้ิงการแสวงหาบุตร ภรรยา ทรัพย์ ทาส ชายหญิง ไร่ นา สวน เงินและทอง ออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต บุคคล ๒ ประเภทนี้ ใครย่อมทาตนให้ เดอื ดรอ้ น หม่ันประกอบในการทาตนใหเ้ ดอื ดรอ้ นมากกวา่ กนั พราหมณ์ได้ยอมรับถ้อยคาของพระเถระว่า บริษัทจาพวกแรก ย่อมทาตนให้เดือดร้อน และ หมัน่ ประกอบในการทาใหต้ นเดอื ดรอ้ นมากกวา่ สุดทา้ ยกย็ อมรับวา่ การบวชท่ถี ูกตอ้ งนั้นมจี รงิ หมวด ง วรรค จ จ จกั ขุบาล, พระ จกั ขุบาล มาในยมกวรรค แห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท๒๗๒ และขุททกนิกาย เถรคาถา๒๗๓ อรรถกถา ได้ขยายความเพมิ่ เติม สรุปความพอสงั เขปดังนี้ มหาสุวรรณ เป็นกุฎุมพีมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร วันหน่ึงได้ไปบวงสรวงขอบุตรกับรุกขเทวดา ไว้ และต่อมาภรรยาก็ต้ังครรภ์ คลอดบุตรคนแรก ได้ต้ังช่ือว่า ปาละ เม่ือคลอดบุตรคนท่ี ๒ อีก ก็ขนาน นามว่า มหาปาละ ส่วนบุตรคนเล็กขนานนามว่า จุลปาละ ทั้ง ๒ ได้รับเล้ียงดูเป็นอย่างดี เมื่อบิดามารดา ลว่ งลบั ไป เขาทัง้ สองก็ไดค้ รอบครองทรัพย์ทัง้ หมด อยู่มาวันหน่ึงมหาปาละ เห็นมหาชนไปฟังธรรมท่ีเชตวัน ก็ได้ไปพร้อมกับมหาชน ยืนฟังธรรม อยู่ท้ายบริษัท เกิดความเล่ือมใส เกิดความสังเวชใจว่า ทรัพย์สมบัติก็ดี บุตรธิดาก็ดี พี่น้องชายก็ดี ไม่ สามารถติดตามตัวไปยังปรโลกได้ แม้ร่างกายก็จาต้องละทิ้งไป ตัดสินใจท้ิงสมบัติ และน้องชาย ลาบวช เพื่อแสวงหาทางหลดุ พ้น คร้ันบวชแล้ว ก็ตั้งใจบาเพ็ญเพียรอย่างหนัก ปฏิญญาไม่ยอมเอนหลังนอน กระทั่งมีปัญหา เร่ืองสายตา ลมเสียดแทงตา แม้ให้หมอมารักษา ก็ไม่สามารถเยียวยาได้ เพราะท่านไม่ยอมนอนหยอดตา ตามคาสั่งของหมอ ท่านแม้ถูกหมอบอกเลิกรักษา ก็ไม่ละความเพียรพยายาม บาเพ็ญเพียรตลอดทั้ง กลางวันและกลางคืน สุดท้ายก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมกับนัยต์ตาท้ัง ๒ ข้างบอดสนิท ท่านจึง ปรากฏนามตอ่ มาวา่ จกั ขบุ าล ๒๗๒ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. ๒๗๓ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๙๕/๓๓๘.

๑๐๓ คัมภีร์อรรถกถาพรรณนาไว้ว่า สาเหตุที่ท่านตาบอด เน่ืองเพราะกรรมเก่าท่ีท่านได้เคยกระทา ต่อหญิงชราคนหน่ึง ซึ่งมีปัญหาเรื่องสายตา ท่านอาสารักษาให้ แต่เมื่อรักษาหายแล้ว หญิงชราท่านน้ัน กลบั ใช้อบุ ายบ่ายเบี่ยงเป็นอื่น ด้วยหวังจะไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ด้วยความไม่พอใจ จึงได้วางยา ทาให้หญิง ชรานน้ั ตาบอด๒๗๔ จงั กี, พราหมณ์ จังกีพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ผู้มีช่ือเสียง เป็นผู้ปกครองบ้านพราหมณ์แห่งหนึ่งชื่อโอปาสาทะ ในแคว้นโกศล ถือเป็นหมู่บ้านท่ีได้รับพระราชทานปูนบาเหน็จให้เป็นพรหมไทยจากพระเจ้าปเสนทิ โกศล๒๗๕ ในวาเสฏฐสูตรมีข้อความระบุว่า เป็นหนึ่งในพราหมณ์มหาศาลผู้มีช่ือเสียง๒๗๖ ในเตวิชชสูตรก็ ระบุเป็น ๑ ในพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ประกอบด้วย จังกีพราหมณ์ (บ้านโอปาสาทะ) ตารุกข พราหมณ์ (บ้านอิจาฉงั คละ) โปกขรสาติพราหมณ์ (เมืองอุกกัฏฐะ) ชานุสโสสิพราหมณ์ (เมืองสาวัตถี) โต เทยยพราหมณ์ (บ้านตุทิ)๒๗๗ เรียนจบไตรเพท พร้อมท้ังนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และ ประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชานาญโลกายาตศาสตร์และลักษณะมหาบุรุษ เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู นา่ เลื่อมใส มผี วิ พรรณผุดผอ่ งยิง่ นัก ดุจพรหม มกี ายดพุ รหม โอกาสท่จี ะได้พบเห็นยากนัก เป็นผู้มีศีล มีศีลท่ีเจริญ ประกอบด้วยศีลท่ีเจริญ มีวาจาไพเราะสุภาพ ประกอบด้วยถ้อยคาอ่อนหวานอย่างชาวเมือง นุ่มนวล เข้าใจง่าย เป็นอาจารย์ และปาจารย์ของหมู่ชน สอนมนต์แก่มาณพ ๓๐๐ คน เป็นผู้ที่พระเจ้า ปเสนทิโกศลสกั การะ เคารพ นับถือ บชู า นอบนอ้ ม๒๗๘ ในจังกสี ตู ร๒๗๙ พรรณนาความไวว้ า่ จงั กีพราหมณเ์ หน็ มหาชนเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะ ทรงประทับอยู่ที่ป่าไม้สาละชื่อเทพวัน ซ่ึงอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านโอปาสาทะ มีความประสงค์จะเข้า เฝ้าด้วย จึงไดล้ งจากประสาทเตรยี มออกเดนิ ทางไปเฝา้ พระผู้มพี ระภาคเจ้าพร้อมกบั มหาชน ฝา่ ยพราหมณ์ ๕๐๐ คนทอ่ี ยใู่ นเมอื งทราบขา่ วว่า จังกีพราหมณ์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่างกอ็ อกมาคดั คดั วา่ เป็นการไมเ่ หมาะสมทพี่ ราหมณจ์ ะเขา้ เฝ้าพระผูม้ ีพระภาค พระผู้มีพระภาคต่างหาก ควรเป็นฝ่ายท่ีต้องมาหาจังกีพราหมณ์ ไม่ใช่จังกีพราหมณ์เป็นฝ่ายเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ก็ได้รับการ คัดค้านจากจังกีพราหมณ์ว่า ตนเป็นฝ่ายเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นการสมควรแล้ว ไม่เป็นการสมควรอย่าง ยิ่งท่ีจะใหพ้ ระพุทธเจา้ มาหาตน จากนน้ั กอ็ ธบิ ายเหตผุ ลเป็นต้นว่า พระพุทธเจ้าทรงปฏิสนธิบริสุทธ์ิทั้งฝ่าย พระชนนีและพระชนกตลอด ๗ ช่ัวบรรพบุรุษ ทรงสละเงินทองมากมายออกผนวช ทรงกาจัดราคะ โทสะ โมหะให้สิน้ แลว้ เป็นพระอรหันต์ มหาชนเคารพ นับถือ มอบกายถวายชีวิต จากน้ันก็ได้ไปกับมหาชนเพ่ือ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อถึงแล้วก็สนทนาปราศรัยเป็นท่ีบันเทิงใจ พอเป็นท่ีระลึกถึงกันแล้วก็นั่ง ณ ที่ สมควร ระหว่างที่พราหมณ์กับพระพุทธเจ้าสนทนากันอยู่นั้น กาปทิกมาณพนั่งอยู่ในสมาคมนั้นด้วย ได้พูดสอดขึ้นในระหว่างน้ัน กระทั่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้าม จังกีพราหมณ์ได้กราบทูลว่า มาณพผู้นี้ ๒๗๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๒. ๒๗๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๒/๕๓๐. ๒๗๖ ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๓๘๑/๓๓๗. ๒๗๗ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๕๑๙/๒๓๐. ๒๗๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๔/๕๓๓. ๒๗๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๒/๕๓๐.

๑๐๔ เป็นบุตรของผู้มีสกุล จบไตรเพท เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิต สามารถเจรจาโต้ตอบได้ ขอพระผู้มีพระภาค อนญุ าตใหเ้ ขาพดู เถิด มาณพไดช้ ่องคิดอยวู่ ่า ถ้าพระผู้มีพระภาคสบพระเนตรตนเม่ือไร ก็จะถือโอกาสถาม ปญั หาเมอื่ นัน้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบวาระจิตของเธอ จึงได้สบพระเนตร กาปทิกมาณพทราบโดยนัยนั้น จึงได้กราบทูลถามปัญหาเรื่องทัศนะของพราหมณ์ทั้งหลายที่มักยืนยันทิฐิของตนเท่านั้นจริง อย่างอ่ืนไม่ จริง ข้อน้พี ระองค์จะตรัสอย่างไร พระผมู้ พี ระภาคได้ตรัสย้อนถามไปว่า เคยเห็นพราหมณ์ท่านไหนบ้างท่ียืนยันว่า เรารู้สิ่งน้ี เรา เหน็ สิง่ น้ี นเ้ี ทา่ นน้ั จริง อยา่ งอื่นไม่จริง มาณพกราบทลู วา่ ไม่เคยเหน็ ส่วนใหญ่มีแต่พูดสืบๆ กันมา พระผู้มี พระภาคได้ตรสั สรปุ ในเรอ่ื งนีว้ า่ เหมอื นคนตาบอดเข้าแถวเกาะหลงั กัน คนอยู่หัวแถว กลางแถว ปลายแถว ต่างมองไม่เห็นกัน สุดท้ายก็เข้าหลัก ๕ ประการคือ อาศัยความเชื่อ ความชอบใจ ฟังตามกันมา นึกเอา ตามอาการ และเหน็ ว่าเข้ากนั ได้กับทฤษฎที ค่ี ิดเอาไวแ้ ลว้ หลักการ ๕ ประการนี้ มีผลเป็น ๒ อย่างเท่านั้น ในปัจจุบัน คือ เท็จก็มี จริงก็มี คนฉลาด เม่ือจะตามรักษาสัจจะ จึงไม่ควรตกลงใจข้อน้ันอย่างเด็ดขาดว่า นเี้ ทา่ น้ันจริง อย่างอ่ืนไมจ่ ริง อนง่ึ พระสตู รน้ี ผู้ทีไ่ ด้รบั ประโยชนส์ งู สดุ แทนทีจ่ ะเป็นจังกีพราหมณ์ กลับเป็นกาปทิกมาณพผู้ เป็นศิษยข์ องจงี กีพราหมณ์ ถงึ กบั แสดงความเล่ือมใส ประกาศตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยต้ังแต่บัด นั้น จัณฑะ, นาย นายจณั ฑะ ปรากฏในจันฑสูตร คามณิสงั ยตุ แหง่ สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค๒๘๐ สถานะทาง สังคมดารงตาแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ด้วยความเป็นคนดุร้าย จึงได้ชื่อว่า จันฑะ ในพระสูตรพรรณนาความ ว่า ท่านได้เข้าไปทลู ถามต่อพระผูม้ พี ระภาคเจ้าว่า ด้วยเหตุเพยี งไร บุคคลในโลกนี้จึงได้รับการเรียกขานว่า เป็นคนดรุ า้ ย พระผู้มพี ระภาคเจ้าได้ตรัสตอบวา่ ท่เี รียกว่า ดรุ ้าย เพราะเหตุยังละราคะไม่ได้ เหตุยังละโทสะ ไมไ่ ด้ เหตุยังละโมหะไม่ได้ ผู้ละราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนสงบเสง่ียม ไม่เป็นคนดุ ร้าย จณั ฑาลี, นาง นางจัณฑาลี มปี รากฏประวัติเพียงเลก็ น้อยในขทุ ทกนกิ าย วิมานวัตถุ๒๘๑ ว่า พระผู้มีพระภาค เจ้าทรงทราบว่า นางจะมีอายุวันน้ีเป็นวันสุดท้าย มีพระประสงค์จะอนุเคราะห์ จึงได้เสด็จไปพร้อมด้วย สงฆห์ มู่ใหญป่ ระทบั ยนื เฉพาะหนา้ พระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวเตือนนาง นางเกิดความสลดใจ และเกิด ความเลอ่ื มใสในพระศาสดา จงึ ได้ประคองอญั ชลดี ว้ ยความเคารพ เมือ่ พระพุทธเจา้ ละสายตาไม่นาน แม่โค ลกู ออ่ นได้ขวดิ นางถึงแกช่ ีวติ ด้วยท้งั จติ เล่อื มใสน้นั เอง นางไดไ้ ปบงั เกิดเปน็ เทพธดิ า เสวยสุขอยู่ในจัณฑาลี วมิ าน ในอรรถถกาพรรณนาความเพ่ิมเติมว่า ในเวลาใกล้รุ่งวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ี กรงุ ราชคฤห์ ทรงตรวจดูสตั วโ์ ลก ทรงเหน็ หญงิ จัณฑาลผู้หน่ึง ในจัณฑาลิคาม จะสิ้นอายุขัยในวันน้ัน และ ๒๘๐ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๓/๓๙๔. ๒๘๑ ขุ.วิ. (ไทย) ๒๖/๑๙๕/๓๔.

๑๐๕ กรรมท่ีนางทาจะนานางไปสู่นรกปรากฏชัด อาศัยความกรุณา มีพระประสงค์จะให้นางได้ทากรรมอันจะ นาไปส่สู วรรค์ จึงได้สงเคราะห์ด้วยการเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ แม้นางก็ถือไม้ออก จากนคร พบพระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่เฉพาะหน้า พระมหาโมคคัลลานะทราบความประสงค์ของพระ ศาสดา จงึ กลา่ วเตือนนางว่า วนั นี้เปน็ วันสดุ ทา้ ยทนี่ างจะมชี ีวิตอยู่ นางได้ฟงั เชน่ น้ันก็เกิดความสลดใจ มีใจ เล่ือมใสในพระศาสดา จงึ ถวายอภวิ าทดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ได้มีใจยินดีเป็น สมาธิ มีปตี แิ ผน่ ซ่านไปในพทุ ธคุณ๒๘๒ จัณฑกาลี, ภิกษณุ ี นางจัณฑกาลภี กิ ษุณี ปรากฏชือ่ ในพระไตรปิฎกหลายแหง่ ในกุมารีภูตวรรค สิกขาบทที่ ๖ นางประสงค์จะเปน็ อปุ ัชฌายใ์ หก้ ารอปุ สมบทแก่กุลธิดา จึงขอ อนญุ าตตอ่ ภิกษุณสี งฆ์ ภิกษณุ สี งฆ์พิจารณาแลว้ เหน็ วา่ ยงั ไมเ่ หมาะสม จึงไมอ่ นุญาต นางนอ้ มรับ แต่ต่อมา ภายหลังภิกษุณีสงฆ์สมมติการให้อุปสมบทแก่ภิกษุณีอ่ืน ทาให้นางจัณฑกาลีไม่พอใจ ตาหนิการกระทา ของภิกษุณีสงฆ์ว่าไม่ยุติธรรม เป็นเหตุเพ่งโทษ ติเตียน และโพนทะนา กระท่ังทราบเร่ืองถึงพระผู้มีพระ ภาคเจ้า จนเป็นทีม่ าของการบัญญตั ิสกิ ขาบทหา้ มภิกษุณีตาหนมิ ติสงฆท์ ี่ตนยอมรบั วา่ ดแี ลว้ ๒๘๓ ในกมุ ารภี ตู วรรค สิกขาบทท่ี ๙ ระบวุ ่า ผูท้ ่เี ป็นอุปัชฌาย์บวชให้นางฝ่ายภิกษุณีสงฆ์คือนางถุล ลีนันทาภิกษุณี๒๘๔ การบวชครั้งน้ัน ได้รับการตาหนิจากภิกษุณีผู้มักน้อย สันโดษพอสมควร ด้วยประวัติ ของนางจัณฑกาลีนั้นไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเร่ืองผู้ชาย ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่มีการบัญญัติสิกขาบท ห้ามใหอ้ ุปสมบทแกส่ กิ ขมานาผเู้ กี่ยวขอ้ งดว้ ยบุรุษ คลกุ คลดี ้วยบุรุษ ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘ ระบุว่า นางถูกตัดสินให้แพ้คดีในอธิกรณ์ แสดงอาการโกรธ ไม่ พอใจ กล่าวตาหนภิ ิกษณุ ผี ตู้ ัดสินว่า ลาเอียงเพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัว บรรดาภิกษุณีผู้ มักนอ้ ย สันโดษ พากันตาหนิ โพนทะนา และนาเร่ืองไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจึงนาเร่ืองไป กราบทูลพระพทุ ธเจา้ และเป็นมูลเหตุใหพ้ ระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท๒๘๕ ในอันธการวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ ระบวุ า่ นางถูกภิกษุณีด้วยกันถามหาของท่ีหาย แสดงความไม่ พอใจ พูดเชิงประชดประชันว่า ดิฉันน้ีแหละเป็นคนขโมย เป็นคนไม่มีความละอาย พวกแม่เจ้าทั้งหลาย ทาของหาย แต่กลับมาถามหากับดิฉัน ถ้าดิฉันขโมยจริง ก็ขอให้ขาดจากสมณะ ขอให้ตกนรก ส่วนพวกท่ี กล่าวหาดิฉัน ก็ขอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ จงบังเกิดในนรกเช่นกัน สุดท้ายเกิดฟ้องร้อง เรื่องไปถึงพระ กรรณของพระพุทธเจา้ อนั เป็นเหตใุ ห้ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มภกิ ษสุ าปแช่งตนเอง หรือผู้อื่นด้วยนรกหรือ พรหมจรรย์๒๘๖ จนั ทาภะ, พระเจ้าจักพรรดิ พระเจ้าจันทาภะ เป็นพระนามพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีพลานุภาพมาก และเป็นอดีตชาติของ พระเอกทปี ยิ เถระ ไดด้ ารงความเป็นจักรพรรดิ ๔ ชาติ ด้วยอานิสงส์ของการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระ ๒๘๒ ขุ.วิ.อ.(ไทย) ๑๒๐-๑๒๔. ๒๘๓ ว.ิ ภิกขณุ .ี (ไทย) ๓/๔๒๐/๒๕๖. ๒๘๔ วิ.ภิกขฺ ุณี. (ไทย) ๓/๒๔๙/๒๖๒. ๒๘๕ ว.ิ ภิกขฺ ุณี.(ไทย) ๓/๗๑๖/๕๙. ๒๘๖ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณี. (ไทย) ๓/๘๗๕/๑๗๙.

๑๐๖ นามว่าปทมุ ตุ ตระด้วยประทปี ชาติสดุ ท้ายไดอ้ อกบวช และบรรลุพระอรหนั ต์ มชี อ่ื ปรากฏในคัมภีร์อปทาน วา่ พระเอกทปี ยิ เถระ๒๘๗ จนั ทกิ าบตุ ร, พระ พระจันทกิ าบตุ ร ปรากฏในสิลายูปสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย นวกนิบาต เนื้อหาพรรณนาความ ถึงพระจันทิกาบุตร และพระสารีบุตร ขณะพักอยู่ที่พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตกรุงราชคฤห์ ได้ ปรารภถึงพระเทวทัตแสดงธรรมแกภ่ ิกษทุ ้ังหลายว่า เม่ือใดภกิ ษุอบรมจิตดว้ ยจติ เมอ่ื นั้น จึงจะสมควรที่จะ พยากรณ์ได้ว่า สามารถถึงความส้ินชาติ อยู่จบพรหมจรรย์ ทากิจที่ควรทาแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่ต้องทาเพ่ือ ความเป็นอย่างนี้อีก พระสารีบุตรได้ยินเช่นก็กล่าวคัดค้านว่า พระเทวทัตไม่ได้แสดงธรรมอย่างนั้นหรอก แตพ่ ระเทวทัตพดู วา่ เม่ือใดภกิ ษอุ บรมจติ ดีด้วยจิต... ตา่ งหาก พระจันทิกาบุตรก็ยังยืนยันถึง ๓ ครั้ง ว่า พระเทวทัตพูดว่า “อบรมจิตด้วยจิต” ขณะที่พระ สารบี ุตรกย็ ืนยนั ท้งั ๓ ครัง้ เช่นกันวา่ พระเทวทัตพดู ว่า “อบรมจิตดีด้วยจิต” จากนั้นท่านจึงได้ขยายความ เร่ืองการอบรมจิตดีด้วยจิตว่า หมายถึงการท่ีถูกอารมณ์มากระทบทางทวารท้ัง ๖ แล้ว จิตม่ันคง ไม่ หวัน่ ไหวไปตามอารมณท์ ่ีมากระทบนัน้ ๒๘๘ จาละ, สามเณร จาลสามเณร มีช่ือปรากฏอยใู่ นขทริ วนยิ เถรคาถา๒๘๙ เนื้อความแห่งคาถาพรรณนาถึงพระขทิ รวนิยเถระ ได้เตือนสามเณร ๓ รูป คือ สามเณรจาละ สามเณรอุปจาละ และสามเณรสีสุปจาละเร่ืองการ คมุ้ ครองสติใหม้ นั่ คง สามเณรจาละ มีศกั ดิ์เป็นหลานของพระสารีบตุ ร จริ วาสี จิรวาสี เป็นบุตรของผู้ใหญ่บ้านชื่อ คันธภกะ ชื่อถูกกล่าวถึงในคันธภกสูตรในฐานะเป็นเหตุ ปรารภถึงความห่วงใยของคันธภกะผู้เปน็ บิดา คันธภกะ ดารงตาแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้กราบทูลถึงเหตุ แหง่ ทกุ ข์ และความดับแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะให้คันธภกะเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง จึงได้ ยกเหตุปจั จุบัน คอื ความหว่ งใยในบตุ ร ภรรยาทคี่ นั ธภกะมีน่ันแหละ เปน็ เหตุแหง่ ทุกข์ โสกะ ปรเิ ทวะ๒๙๐ ประวตั ินอกเหนือจากนี้ ไม่มีปรากฏ จิญจมาณวกิ า,ปรพิ พาชิกา จิญจมาณวิกา เป็นชาวเมืองสาวัตถี คัมภีร์อรรถกถา ธรรมบท๒๙๑ ระบุว่า นางเป็นผู้ทรงรูป อนั เลอโฉม ถึงความเลิศด้วยความงาม เหมอื นนางเทพอัปสรฉะนั้น รศั มยี อ่ มเปลง่ ออกจากสรรี ะของนาง ๒๘๗ ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๓๐/๓๔๓, ขุ.อป.อ. ๒/๒๖๕. ๒๘๘ อง.ฺ นวก. (ไทย) ๒๓/๒๖/๔๘๕. ๒๘๙ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๔๒/๓๑๘. ๒๙๐ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๓/๔๑๖. ๒๙๑ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๒/๑๖๙.

๑๐๗ พระพุทธเจ้าได้ปรารภถึงนางจิญจมาณวิกาในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท๒๙๒ แล้วทรงตรัส พระคาถาใจมีความสาคัญว่า หากบุคคลไร้สัจจะ ก็มักจะกล่าวเท็จ ปฏิเสธปรโลก และที่จะไม่ทาบาปเห็น จะไม่มี ความในคมั ภีร์อรรถกถา มรี ายละเดยี ดพอสังเขป ดงั น้ี ในช่วงปฐมโพธิกาล เม่ือสาวกของพระทศพลมีมาก หาประมาณมิได้ เม่ือพวกเทวดาและ มนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิ พระคุณของพระศาสดาแผ่ไปแล้ว ลาภสักการะเป็นอันมากก็เกิดขึ้น พวกเดียรถีย์ จึงตกอยู่ในฐานะลาบาก เพราะลาภสักการะได้เส่ือมถอยลง อุปมาเหมือนแสงห่ิงห้อยในยามพระอาทิตย์ อุทัย พวกเดียรถีย์เหล่าน้ัน ยืนในระหว่างถนน แม้ให้พวกมนุษย์ประกาศอยู่อย่างน้ีว่า พระสมณโคดม เท่าน้ันหรือ เป็นพระพุทธเจ้า แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ให้แก่พระสมณโคดมน้ันเท่าน้ันหรือมี ผลมาก ทานท่ีใหแ้ ลว้ แมแ้ ก่เราทั้งหลายกม็ ีผลมากเหมือนกัน ท่านท้ังหลายจงให้ จงทาแก่เราท้ังหลายบ้าง กระนั้นก็ไม่ได้ลาภสักการะ จึงประชุมคิดกันในท่ีลับและวางแผนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าให้เส่ือมเสีย โดยการ ใช้นางจญิ จมาณวกิ าเปน็ เครอ่ื งมือ วิธีการคือให้นางจิญจมาณวิกาทาทีไปวัดกับมหาชน โดยเม่ือมหาชนฟังธรรม ออกจากวิหาร แล้ว ก็ให้นางทาทีถือดอกไม้ของหอมเดินเข้าไปในวัด เมื่อถูกถามว่า จะไปไหนเวลานี้ ก็ให้นางพูดปัดว่า ไม่ใช่ธุระอะไรทที่ า่ นจะต้องรู้ เม่อื มหาชนไปแล้ว ก็ให้นางหลบไปแวะท่ีสานักเดียรถีย์ใกล้วิหาร ครั้นรุ่งเช้า มหาชนมาวัด ก็ให้นางทาทีออกจากวิหาร ปฏิบัติอย่างน้ีประมาณ ๑-๒ เดือน ภายหลังก็เริ่มแสดงนัยว่า ตนพกั อยู่ในวหิ ารกับพระพุทธเจ้า เพื่อใหค้ นเริ่มสงสยั ผ่านไป ๒-๓ เดือน นางจิญจมาณวิกาก็ทาอุบายเป็นคนท้อง โดยเอาผ้าผูกไว้หน้าท้องให้ดู เหมือนว่ากาลังตั้งครรภ์ กระทั่งผ่านไป ๘-๙ เดือน ผูกไมก้ ลมไว้ท่ีท้อง ห่มผ้าทับข้างบน ให้ทุบหลังมือและ เท้าด้วยไม้คางโค แสดงอาการบวมขึ้น มีอินทรีย์บอบช้า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับน่ังแสดงธรรมบน ธรรมาสน์ที่ประดับแล้วในเวลาเย็น ไปสู่ธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์ของพระตถาคตแล้ว กล่าวว่า พระองค์ดีแต่แสดงธรรมสอนชาวบ้าน เสียงของพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อม ฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกาหนดแล้ว พระองค์กลับไม่สนใจใยดี จัดแจง หรือรับสั่งให้จัดแจง เตรยี มการใด ๆ เมอ่ื พระพุทธเจ้าสดับถ้อยคาของนางจิญจมาณวกิ าเช่นน้ัน ทรงงดธรรมกถาแล้ว ตรัสว่า \"น้อง หญิง ความท่ีเจ้ากล่าวแล้วจะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้\" นางจิญจมาณวิกาพูดเหมือนได้ทีว่า อย่างน้นั มหาสมณะ เรือ่ งแบบน้ีมีแต่ทา่ นและดฉิ นั เทา่ นัน้ ทร่ี ู้ ขณะนัน้ อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน ทา้ วเธอทรงใครค่ รวญอยู่ ก็ทราบว่า นางจิญจ มาณวิกา แต่งเรอ่ื งใสร่ ้ายพระตถาคตดว้ ยคาไม่เป็นจริง จงึ ทรงดาริว่า “เราจักชาระเรื่องนี้ให้หมดจด\" ดังนี้ แล้วก็เสด็จมากับเทพบุตร ๔ องค์ เทพบุตรทั้งหลายแปลงเป็นลูกหนูกัดเชือกท่ีผูกท่อนไม้กลม ด้วยอัน แทะทีเดียวเท่านั้น ลมพัดเวิกผ้าห่มข้ึน ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนางจิญจมาณวิกานั้น ปลายเท้า ทั้ง ๒ ขา้ งแตกแล้ว มนษุ ย์ท้ังหลายทราบความจริงจึงโพนทะนา ตาหนิ และพากันถ่มน้าลายลงบนศีรษะ ถือก้อน ดินและท่อนไม้ ฉดุ ลากออกจากพระเชตวัน ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไปเท่าน น้นั แผ่นดนิ ใหญแ่ ตกแยกช่องใหแ้ ล้ว เปลวไฟตัง้ ข้ึนจากอเวจี นางจญิ จมาณวิกานน้ั ไปเกิดในอเวจี๒๙๓ ๒๙๒ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๖/๘๘. ๒๙๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๖๙-๑๗๑.

๑๐๘ จติ ตบัณฑติ ,โพธสิ ัตว์ จิตตบัณฑิต ปรากฏในจิตตสัมภูตชาดก คัมภีร์ขุททกนิกาย ชาดก๒๙๔ อรรถกถาชาดก๒๙๕ ได้ พรรณนาไว้วา่ ในอดตี กาล พระพุทธเจ้าถือกาเนดิ ในหมบู่ ้านคนจัณฑาลตาบลหน่ึง ในกรุงอุชเชนี แคว้นอวัน ตี มีช่ือว่า จิตตกุมาร และมีสหายคู่ใจคนหน่ึงเป็นบุตรน้าสาวช่ือ สัมภูตกุมาร โดยท้ัง ๒ ได้เรียนศิลป ศาสตร์ช่ือว่า จณั ฑาลวงั สโธวนะ ใชว้ ิชาศลิ ปะศาสตร์ดังกลา่ วหาเลีย้ งชวี ติ วันหนึ่งชักชวนกันไปแสดงศิลปศาสตร์ท่ีใกล้ประตูพระนครอุชเชนี โดยตกลงกันว่า คนหน่ึง แสดงศิลปะที่ประตูด้านทศิ เหนอื อกี คนหนึง่ แสดงศลิ ปะท่ีประตูด้านทิศใต้ ในระหว่างที่แสดงอยู่น้ัน มีธิดา ของปุโรหิตาจารย์ ๒ คน ได้ให้บริวารชน ถือเอาของขบเคี้ยวและของบริโภค ทั้งระเบียบดอกไม้และของ หอมเป็นต้นเป็นอันมากไป ด้วยคิดว่า จักเล่นในอุทยาน คนหน่ึงออกทางประตูด้านทิศเหนือ อีกคนหน่ึง ออกทางประตูดา้ นทิศใต้ ธดิ าทั้งสองนัน้ เหน็ บตุ รของคนจณั ฑาลสองพ่ีน้องแสดงศิลปะอยู่ ถามทราบความแล้วก็คิดว่า เราท้ังหลายได้เห็นบุคคลท่ีไม่สมควรเห็น แล้วเอาน้าหอมล้างตาพากันกลับ มหาชนท่ีไปด้วยพากันโกรธ ด่าทอ เพราะเป็นสาเหตุไม่ได้ด่ืมสุรา และกับแกล้มที่ไม่ต้องซ้ือหา จึงพากันรุมทุบตีจิตตกุมารและสัมภูต กมุ ารถงึ ความบอบชา้ ยอ่ ยยับ ครั้นได้สติฟื้นขึ้นมา จึงลุกข้ึนเดินไปยังสานักของกันและกัน มาพร้อมกัน ณ สถานท่ีแห่งหน่ึง แล้วบอกเล่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นน้ันสู่กันฟัง ต่างร้องไห้คร่าครวญ ปรึกษากันว่า เพราะ อาศยั ชาติกาเนิด ความทุกข์นีจ้ งึ เกดิ แก่เราท้ังสอง จึงตกลงกันที่จะปกปิดชาติกาเนิดแล้ว ปลอมแปลงเพศ เป็นพราหมณม์ าณพ ไปเรยี นศิลปวิทยาท่เี มอื งตกั กศิลา ในพ่ีน้องท้ังสองคนน้ัน จิตตบัณฑิตเล่าเรียนศิลปศาสตร์สาเร็จ แต่สัมภูตกุมารยังเรียนไม่ สาเร็จ อยมู่ าวนั หนง่ึ พราหมณช์ าวบ้านผู้หนงึ่ มาเชญิ อาจารยท์ ิศาปาโมกขไ์ ปในงานพธิ ีมงคล แต่ในคืนวัน นัน้ ฝนตกหนักนา้ ทว่ มซอกซอย ไม่สะดวกในการเดินทาง อาจารยจ์ งึ มอบหมายให้จิตตบัณฑติ ไปแทน จิตตบัณฑิตรับคาอาจารย์แล้วพามาณพไป คนท้ังหลายคดข้าวปายาสต้ังเอาไว้ สัมภูตมาณพ เป็นคนมีนิสยั ละโมบ เห็นอาหารก็รีบตักก้อนข้าวปายาสใส่ปาก ด้วยสาคัญว่าเย็นดีแล้ว ถูกความร้อนของ อาหารลวกปาก ถึงกับสะบัดหน้าสั่นไปทั้งร่าง ตั้งสติไม่อยู่ มองดูจิตตบัณฑิต และเผลอกล่าวเป็นภาษา จัณฑาลไปว่า \"ขลุ ขลุ\" ฝ่ายจิตตบัณฑิตก็ต้ังสติไว้ไม่ได้เหมือนกัน ส่งภาษาจัณฑาลตอบไปว่า \"นิคคละ นิคคละ\" สร้างความสงสัย และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ กระท่ังเหตุการณ์บานกลาย มีการด่าทอต่อว่า จิตตบณั ฑติ และสมั ภตู กมุ าร พร้อมท้งั ทุบตี ขับไล่ออกจากหมู่ ลาดบั นั้น สัตบรุ ุษผหู้ นึ่งได้เขา้ ไปหา้ มปราม ทั้งแนะนาให้จิตตบัณฑิต และสัมภูตกุมารหลีกไป พร้อมกับพูดว่า น้ีเป็นโทษแห่งชาติกาเนิดของท่านทั้งสอง จงพากันไปบวชเลี้ยงชีพท่ีแห่งใดแห่งหนึ่งเถิด จากน้ันมาณพทั้งสองก็เข้าป่า บวชเป็นฤาษี ต่อมาไม่นานนัก ก็จุติจากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในท้องของแม่ เน้ือ ใกลฝ้ ั่งแมน่ า้ เนรัญชรา จาเดมิ แตค่ ลอดจากทอ้ งแม่เนื้อแล้ว เนอื้ ทง้ั สองพน่ี อ้ งก็เท่ียวไปด้วยกัน ไม่อาจ พรากจากกันได้ วนั หนึง่ นายพรานผ้หู นง่ึ มาเหน็ เนื้อทง้ั สอง คาบเหยอื่ กลบั มา แล้วยืนเอาหัวต่อหัว เอาเขา ต่อเขา เอาปากต่อปากจรดติดชิดกัน ยืนขนชัน ต้ังอยู่ ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงพุ่งหอกไปท่ีสัตว์ทั้งสองทา ใหส้ ้ินชีวติ พร้อมกนั ทนั ที ท้งั คู่จตุ ิจากอตั ภาพนัน้ แล้วไปบงั เกิดในกาเนิดนกเขา อยทู่ ร่ี มิ ฝ่ังนา้ รัมมทานที ๒๙๔ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๒๔/๔๗๓. ๒๙๕ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๗/๒๑-๒๖.

๑๐๙ แม้ในอัตภาพน้ัน ก็มีนายพรานดักนกผู้หนึ่งมาเห็นลูกนกเขาท้ังสองเหล่าน้ันซึ่งเจริญวัยแล้ว ไปเที่ยวคาบเหยื่อ แล้วมายืนเอาหัวซบหัว เอาจะงอยปากต่อจะงอยปากแนบสนิทชิดเรียงยืนเคียงกัน จึง เอาข่ายครอบฆ่าตายไปพร้อมกัน หลังจากจุติจากอัตภาพน้ันแล้ว จิตตบัณฑิตเกิดเป็นบุตรของปุโรหิตใน พระนครโกสมั พี สัมภตู บณั ฑติ ไปเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าอุตตรปญั จาลราช จาเดิมแตก่ าลทถ่ี ึงวนั ขนานนาม สมั ภูตบัณฑิตราชกุมารไม่สามารถระลึกชาติในระหว่างได้ คง ระลึกได้เฉพาะชาติท่ี ๔ ซ่ึงเกิดเป็นคนจัณฑาลเท่านั้น ส่วนจิตตบัณฑิตกุมารระลึกได้ตลอด ๔ ชาติโดย ลาดับ เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี จิตตบัณฑิตออกจากเรือนเข้าไปสู่หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและ อภิญญาให้เกิดแล้ว ขณะท่ีสัมภูตราชกุมาร เม่ือพระชนกสวรรคตแล้ว ให้ยกเศวตฉัตรขึ้นเสวยราชสมบัติ แทน ไดต้ รัสพระคาถา ๒ คาถาด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย กระทาให้เป็นเพลงขับเฉลิมฉลองมงคล ทา่ มกลางมหาชน ในวนั เฉลิมฉตั รมงคลนน่ั เอง นางสนมกานัลก็ดี นักฟ้อนราท้ังหลายก็ดี ได้สดับคาถาเพลงขับน้ันแล้ว คิดว่า ได้ยินว่าน้ีเป็น เพลงขบั เฉลมิ ฉลองเนื่องในวันมงคลของพระราชาของเราทั้งหลาย จึงพากันขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ นั้นทั่วกัน ประชาชนชาวพระนครแม้ทั้งหมดทราบว่า เพลงขับนี้เป็นท่ีโปรดปราน พอพระราชหฤทัยของ พระราชา กพ็ ากันขับรอ้ งบทพระราชนิพนธน์ น่ั แหละตอ่ ๆ กันไปโดยลาดบั ฝ่ายพระจิตตบัณฑิตดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศ พิจารณาดู เห็นว่า สัมภูตบัณฑิตผู้น้องชาย ได้ครอบครองราชสมบัติแล้ว ได้พิจารณาต่อก็ทราบความจริงอีกว่า บัดนี้ยังไม่สามารถเพื่อจะไปสั่งสอน พระราชาซึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ ให้ทรงรู้แจ้งซ่ึงธรรมวิเศษได้ก่อน จะเข้าไปหาท้าวเธอในเวลาที่ทรง พระชราภาพ กล่าวธรรมกถา แล้วชักนาให้บรรพชา ด้วยเหตุน้ันจึงมิได้ไปเย่ียมพระราชาตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี ในเวลาท่พี ระราชาทรงเจริญด้วยพระโอรสและพระธิดาแล้ว จึงเหาะมาทางอากาศด้วยฤทธา นภุ าพ ลงทีพ่ ระราชอุทยาน นั่งพักอยู่บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ราวกับพระปฏิมาทองคา ขณะน้ันมีเด็กคน หนึ่งขับเพลงบทพระราชนิพนธ์ เก็บฟืนอยู่ จิตตบัณฑิตดาบสเรียกเด็กนั้นมา เด็กก็มาไหว้พระดาบสแล้ว ยืนอยู่ ทีนั้นพระจิตตบัณฑิตดาบส จึงกล่าวกะเด็กนั้นว่า ต้ังแต่เช้ามา ขับเพลงขับบทเดียวนี้เท่าน้ัน ไม่ รูจ้ ักเพลงอยา่ งอน่ื บา้ งเลยหรือ เด็กตอบวา่ ข้าแต่ทา่ นผ้เู จริญ กระผมรูบ้ ทเพลงแมอ้ ย่างอน่ื เป็นอนั มาก แต่บทเพลงท้ังสองบท น้ี เป็นบทที่พระราชาทรงโปรดปราน พอพระราชหฤทัย เพราะฉะนั้น กระผมจึงขับร้องเฉพาะเพลงบทน้ี เทา่ นนั้ พระดาบสถามต่อไปว่า มีใครขับร้องเพลงขับตอบบทพระราชนิพนธ์บ้างหรือไม่? เด็กตอบว่า ไม่ มีเลยขอรับ พระดาบสจึงกล่าวว่า ก็เจ้าเล่าจักสามารถเพื่อจะขับบทเพลงตอบอยู่หรือ? เด็กตอบว่า เม่ือ กระผมรู้ก็จักสามารถ ดาบสจึงให้เรียนเพลงขับบทท่ีสาม พร้อมกับส่ังว่า เจ้าไปขับร้องในสานักของ พระราชา พระราชาทรงเลือ่ มใสจักพระราชทานยศย่ิงใหญ่แก่เจ้า เด็กนั้นรีบไปยังสานักของมารดาให้ช่วย ประดับตกแตง่ ตนแล้ว ไปยังประตูพระราชนเิ วศน์ เพอ่ื ขับเพลงตอบพระราชา การตอบเพลงขับครั้งน้ี ทาให้พระราชาหวนระลึกถึงจิตตบัณฑิต และไต่ถามกับเด็กหนุ่มเก็บ ฟืนขายถึงที่พัก จากนั้นจึงได้เสด็จพระราชดาเนินไปหา ทรงปราบปล้ืมโสมนัสเป็นอย่างมาก หลังจากได้ ทรงปฏสิ ันถารพอสมควรแล้ว จิตตบัณฑิตได้แสดงธรรมกถาเตือนพระราชาโดยประการต่าง ๆ นับตั้งแต่ชี้ ใหท้ รงเห็นผลแห่งสจุ ริต และทุจริตที่สั่งสมไว้แล้ว ช้ีให้ทรงเห็นชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกน้ีน้อยนัก อยู่ ไดไ้ ม่เกินร้อยปี สุดท้ายก็ย่อมจะเหือดแห้งไป เหมือนไม้อ้อท่ีถูกตัดแล้ว มีแต่จะเหี่ยวแห้งไปฉะน้ัน ในช่วง ชีวิตอันจะต้องเหือดแห้งไปนั้น จะมัวเพลิดเพลินไปไย จะมัวเล่นคึกคะนองไปทาไม ความยินดีจะเป็น

๑๑๐ ประโยชน์อะไร ประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยา เป็นต้น จากนน้ั ก็เลา่ ถงึ อดีตชาติ เพื่อทบทวน และตกั เตือนใหเ้ ห็นภัยจากการเกดิ พระราชาไดท้ รงเหน็ จริงดงั นัน้ จงึ ได้สละราชสมบัติให้พระโอรสองค์ใหญ่ ส่วนพระองค์ได้ออก บวชบาเพญ็ ฌานและอภิญญาให้บังเกดิ แล้ว เข้าถึงพรหมโลก จติ ตหตั ถเถระ พระจิตตหัตถเถระ ปรากฏในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท๒๙๖ อรรถกถาธรรมบท๒๙๗ พรรณนารายละเอียดไว้ดังน้ี จติ ตหัตถะ เดมิ เปน็ ชาวเมืองสาวตั ถี ประกอบอาชีพเกษตรกรรม วนั หนึ่ง ววั เกิดหายเขา้ ไปในป่า เขาจงึ ออกติดตามกระทงั่ เวลาจวนจะเท่ียงจึงได้พบ ด้วยความ ที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ทาให้รู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก หลังจากปล่อยวัวเข้าฝูงแล้ว ก็เดินตรงไปยังวิหาร ดว้ ยหวงั จะไดอ้ ะไรทานบ้าง เมอ่ื ถึงสานกั ของภิกษุทั้งหลาย ไหว้แล้ว ได้ยืนอยู่ ณ สว่ นข้างหน่ึง ภิกษุท้ังหลายเห็นอาการท่ีเขาถูกความหิวครอบงา บอกให้ไปเอาอาหารท่ีเหลือมาทาน เขา เห็นอาหารเหลอื มากมาย เกิดความสงสัย จึงได้เอ่ยถามว่า วันน้ีมีกิจนิมนต์หรือ จึงมีอาหารเหลือมากมาย อย่างน้ี ไดร้ ับคาตอบว่า ทุกวันกม็ อี าหารอย่างนี้แหละ ไม่ไดม้ ีกิจนมิ นต์แต่อย่างใด นายจิตตหตั ถะคดิ ว่า ตนเองลุกข้ึนทางานแต่เช้าตรู่ ทางานตลอดคืนและวัน ก็ยังไม่ได้อาหาร และกับข้าวอร่อยมากมายอย่างนี้ แต่ภิกษุเหล่าน้ีย่อมได้อาหารฉันอย่างนี้เนือง ๆ เราจะต้องการอะไร ด้วยความเป็นคฤหสั ถ์ เราจกั เปน็ ภกิ ษุ จึงเขา้ ไปหาภกิ ษทุ ง้ั หลายขอบวช พระจิตตหัตถะ ได้รับการบรรพชาอุปสมบทได้ไม่นาน อาศัยลาภท่ีเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้า ท้ังหลาย กลายเป็นผู้มีสรีระอ้วนท้วนสมบูรณ์ ต่อมาก็คิดอยากสึก แต่สึกได้ไม่นาน ทางานจบซูบผอม ก็ ปรารถนาจะบวชอีก ได้ไปอ้อนวอนให้ภิกษุบวชให้อีก เขาบวช ๆ สึก ๆ อยู่อย่างน้ีถึง ๖ ครั้ง กระทั่งภิกษุ ขนานนามให้วา่ จิตตหตั ถะ หมายถงึ ผ้ตู กอยใู่ นอานาจของจติ เม่ือจิตตหัตถะน้ันเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่อย่างน้ี ภริยาได้ตั้งครรภ์แล้ว ในวาระท่ี ๗ เขาแบก เครื่องไถจากป่าไปเรอื น วางเคร่ืองใชไ้ วแ้ ลว้ เข้าหอ้ งดว้ ยประสงค์วา่ “จกั หยิบผา้ กาสาวะของตน” ในขณะ นน้ั ภรยิ าของเขากาลังนอนหลับ ผ้าที่หล่อนนุ่งหลุดลุ่ย น้าลายไหลออกปาก จมูกก็กรนดังครืดๆ ปากอ้า กัดฟัด หล่อนปรากฏแก่เขาประดุจสรีระท่ีพองขึ้น เขาคิดว่า สรีระน้ีไม่เท่ียงเป็นทุกข์ เราบวชตลอดกาล ประมาณเท่านแี้ ล้ว อาศยั สรีระน้ี จงึ ไม่สามารถดารงอยู่ในภิกษุภาวะได้ ดังน้ีแล้ว ก็ฉวยผ้ากาสาวะพันท้อง พลางออกจากเรอื น ขณะนั้น แม่ยายของเขายนื อยู่ทีเ่ รอื นตดิ ตอ่ กัน เห็นเขากาลังเดินไปด้วยอาการอย่างนั้น สงสัย ว่า เจา้ นี่กลบั ไปอีกแลว้ เขามาจากป่าเดี๋ยวน้ีเอง พันผ้ากาสาวะที่ท้อง ออกเดินบ่ายหน้าตรงไปวิหาร เกิด เหตอุ ะไรกันหนอ? จึงเข้าเรือนเห็นลูกสาวหลับอยู่ รู้ว่าเขาเห็นลูกสาวแล้ว มีความราคาญ หนีไป จึงตีลูก สาว พร้อมกับกล่าวตาหนิ ขณะท่ีลูกสาวหาได้ทุกข์ร้อนไม่ คิดว่า สามีหนีไปบวช เดี๋ยวก็คงสึกกลับมาอีก เหมอื นเดิม ฝ่ายจิตตหัตถะ ได้เดินออกจากบ้าน พลางบ่นไปว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ได้บรรลุเป็นพระ โสดาบันระหว่างทางนั่นเอง ครั้นถึงวิหารแล้วก็ขอบรรพชาอุปสมบทอีกครั้ง คร้ังแรกภิกษุท้ังหลายได้ ๒๙๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๘/๓๗. ๒๙๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๘๙-๒๙๓.

๑๑๑ ปฏิเสธ ดว้ ยเหน็ วา่ เขาบวช ๆ สกึ ๆ มาหลายรอบแล้ว แต่เมื่อทนอ้อนวอนไม่ไหว ด้วยอานาจอุปการะ จึง ไดใ้ หเ้ ขาบวชอีกครั้ง ครน้ั บวชได้ ๒-๓ วันเทา่ นั้น กไ็ ด้บรรลพุ ระอรหันตพ์ รอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ า จิตตหัตถสิ ารบี ตุ ร,พระ พระจติ ตหัตถิสารีบุตร มาในหตั ถิสารปี ตุ ตสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย ฉกนิบาต๒๙๘ ความสังเขป ดงั ตอ่ ไปนี้ ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ีป่าอิสิปตนมคฤทายวัน เขตกรุงพาราณสี พระภิกษุ จานวนมากนั่งสนทนาเกี่ยวกับอภิธรรมในโรงฉัน ขณะนั้นพระจิตตหัตถิสารีบุตรได้พูดสอดข้ึนในระหว่าง พระมหาโกฏฐิกะจึงได้กล่าวห้าม ทาให้อันตเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตรไม่พอใจ กล่าวทักท้วง เชน่ กันวา่ แม้พระมหาโกฏฐิกะกอ็ ยา่ รุกรานพระจิตตหัตถิสารีบุตร ๆ ก็เป็นบัณฑิต สามารถกล่าวอภิธรรม กับภิกษุผู้เปน็ พระเถระได้ พระมหาโกฏฐิกะได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยข้ึนว่า ผู้ที่ไม่ทราบวาระจิตของบุคคลอ่ืน ย่อมไม่รู้ (๑) ผู้ มีอาการสงบเสง่ียมของบุคคลบางคนเฉพาะเวลาท่ีอยู่ต่อหน้าครู หรือต่อหน้าศาสดา (๒) ผู้สงัดจากกาม และอกุศลได้บรรลุปฐมฌาน แต่ยังคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่ (๓) ผู้มีวิตกวิจารระงับไป ได้บรรลุทุติยฌาน แล้ว แต่ยังคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่ (๔) ผู้มีปีติจางหายไป อยู่ด้วยอุเบกขา ได้บรรลุตติยฌานแล้ว แต่ยัง คลกุ คลีด้วยหมู่คณะ (๕) ผลู้ ะทุกขแ์ ละสุขได้แลว้ บรรลุจตตุ ถฌานแล้ว แตย่ งั คลกุ คลดี ้วยหมู่คณะ (๖) ผู้ไม่ มีมนสกิ ารในนมิ ติ ท้งั ปวง เข้าถงึ เจโตสมาธิแลว้ แต่ยงั คลุกคลีดว้ ยหมู่คณะอยู่ ความหมายของพระมหาโกฏฐิกะก็คือ ถ้ายังอยู่ในภาวะอย่างน้ี ก็ยังเอาแน่นอนไม่ได้ นัยหน่ึง เท่ากับเปน็ การปรามอันเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตร ซึ่งก็จริงดังนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พระ จิตตหัตถิสารีบุตร ก็ลาสิกขาคืนสู่ความเป็นคฤหัสถ์ ทาให้อันเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตรแปลกใจ ได้เข้าไปถามพระมหาโกฏฐิกะว่ารู้วาระจิตของพระจิตตหัตถิสารีบุตร หรือว่าเทวดามาได้มาแจ้งข่าวให้ ทราบ พระมหาโกฏฐิกะได้บอกว่า ทง้ั รเู้ อง และเทวดาก็มาบอกเนือ้ ความน้ดี ้วย ต่อมาภิกษุเหล่าน้ันก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเร่ืองราวที่พระจิตตหัตถิสารี บุตรลาสิกขาให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบเร่ืองแล้ว ก็ทรงตรัสว่า อีกไม่นาน พระจิตตหัตถิสารี บุตรก็จะระลึกถึงคุณของเนกขัมมะ และกลับมาบรรพชาอุปสมบทอีกคร้ัง ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะ หลงั จากน้ันไมน่ าน พระจิตตหัตถิสารีบุตรก็ได้กลับมาบวชอีกครั้ง ครั้งน้ีท่านไม่ประมาท หลีกออกจากหมู่ บาเพญ็ สมณธรรม ได้เขา้ บรรลพุ ระอรหันต์ในทสี่ ดุ จุนทกมั มารบุตร, จุนทกัมมารบุตร เป็นบุตรนายช่างทอง ชาวเมืองปาวา ในอรรถกถามีรายละเอียดเพ่ิมเติมว่า บตุ รนายช่างทองน้ันเปน็ คนม่ังคงั่ เปน็ กุฎุมพใี หญ่ เป็นพระโสดาบนั โดยการเห็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก ก่อน หน้านัน้ ได้เคยสร้างวหิ าร มอบถวายแดส่ งฆ์มพี ระพทุ ธเจ้าเปน็ ประมุขที่สวนอมั พวนั ของตน๒๙๙ เมื่อพระผู้มี พระภาคเสดจ็ เม่อื งกุสนิ าราเพอ่ื ปรินพิ พาน จงึ ไดท้ รงแวะทีส่ วนของนายจนุ ทะอกี ครัง้ ๒๙๘ อง.ฺ ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๖๐/๕๕๔. ๒๙๙ ขุ.อ.ุ อ.(ไทย) ๑/๓/๗๓๗.

๑๑๒ ชีวประวัติของท่านมีความเก่ียวข้องกับพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นผู้ถวายอาหารบิณฑบาตมื้อ สุดท้าย ความปรากฏในมหาปรนิ พิ พานสตู ร๓๐๐ และจนุ ทสตู ร๓๐๑ ความสังเขปในมหาปรินิพพานสูตรพรรณนาถึงคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเมืองกุสินารา เพ่อื ปรินพิ พาน ไดเ้ สด็จผา่ นเมืองปาวา และประทบั พักแรมที่สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร ครั้งนั้น นายจุนทกมั มารบตุ รไดถ้ วายการตอ้ นรับ และถวายสูกรมัททวะ ผลจากการเสวยพระกระยาหารท่ีนายจุน ทะถวายในคร้ังน้ัน ทาให้พระองค์มีอาการอาพาธลงพระบังคลหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสน สาหัส จวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ก็ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนา และเสด็จพระดาเนินพร้อม ภิกษสุ งฆ์จนถึงเมืองกสุ นิ ารา๓๐๒ ในจุนทสูตร มีบันทึกบทสนทนาระหว่างนายจุนทกัมมารบุตรกับพระพุทธเจ้า ความตอนหน่ึง พระผมู้ พี ระภาคไดต้ รัสถามความเหน็ ของนายจนุ ทะวา่ ชอบใจความสะอาดของใคร นายจุนทะได้กราบทูล ว่า ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์ จากน้ันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงความสะอาดในอริยวินัย ๓ ประการ ไดแ้ ก่ สะอาดกาย ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และประพฤติผิดในการ สะอาดวาจา ด้วยการไม่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคาหยาบ พูดเพ้อเจ้อ และสะอาดใจ ด้วยการไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา ไม่มีจิต พยาบาท มจี ิตเป็นสัมมาทฏิ ฐิ ไมว่ ปิ ริตจากทานองคลองธรรม จุนทะ,พระ พระจนุ ทะ มีศักดิ์เป็นน้องชายของพระสารีบุตร ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ในบ้านอุปติสสคาม มารดาชอ่ื นางสารพี ราหมณี บิดาชอ่ื วังคันตพราหมณ์ มพี ช่ี ายรว่ มท้อง ๒ คน คืออุปติสสะ และอุปเสนะ มี น้องชาย ๑ คน คือเรวตะ น้องสาว ๓ คน คือนางจาลา อุปจาลา และนางสีสุปจาลา ซึ่งทั้งหมดออกบวช ในพระพุทธศาสนาตามพี่ชายคือพระสารีบุตร ท่านได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะเป็นสามเณร๓๐๓ ใน คัมภีร์ระบุไว้ว่า เม่ือคร้ังปฐมโพธิกาล ยังไม่มีผู้ทาหน้าท่ีเป็นพุทธอุปัฏฐากประจา ท่านก็ได้ทาหน้าที่เป็น พุทธอุปัฏฐากองค์หนึ่งด้วย ซ่ึงเวลานั้นมีระบุชื่อพระที่ทาหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเป็นพุทธอุปัฏฐากหลายรูป ประกอบด้วย พระนาคสมาละ พระนาคติ ะ พระอุปวาณะ พระสุนักขตั ตะ พระสาคตะ พระเมฆยิ ะ๓๐๔ พระจนุ ทะนอกจากจะเคยทาหน้าทพ่ี ทุ ธอุปัฏฐากแลว้ ท่านยังมบี ทบาทสาคัญในการปรารภให้ มีการทาสังคายนาพระธรรมวินัย โดยในช่วงที่ท่านจาพรรษาอยู่ที่กรุงปาวา ท่านได้เข้าไปหาพระอานนท์ ปรารภเหตุสาวกของนิครนถ์นาฏบุตร เมื่อศาสดาดับขันธ์แล้ว เกิดการแตกแยกเป็น ๒ พวก เกรงว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดข้ึนกับพระธรรมวินัยขององค์พระศาสดาด้วย จึงได้ชวนพระอานนท์เข้าเฝ้า กราบ ทลู เหตุการณ์ท่ีประสบให้ทรงทราบ๓๐๕ ๓๐๐ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๘๙/๑๓๗. ๓๐๑ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๗๖/๓๑๙,ขุ.อุ.(ไทย) ๒๕/๗๕/๓๒๕. ๓๐๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๐/๑๓๙. ๓๐๓ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๑๓๘/๑๘๖. ๓๐๔ เชิงอรรถ ท.ี สี.(ไทย) ๑๐/๓๖๐/๑๕๑. ๓๐๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๐/๑๓๙.

๑๑๓ จนุ ที,ราชกมุ ารี พระนางจุนที เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพิมพิสาร ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ระบุว่า ในชมพูทวีป มีเพียงกุมารี ๓ นางเท่าน้ันที่มีรถเป็นพาหนะถึง ๕๐๐ คัน ได้แก่ พระนางจุนทีราช กมุ ารี พระธิดาของพระเจ้าพิมพสิ าร นางวิสาขา ธิดาของธนัญชยั เศรษฐี และพระนางสมุ นาราชกมุ ารี๓๐๖ ในจุนทีสูตร มีเน้ือความพรรณนาถึงพระนางว่า สมัยหน่ึงพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬวุ ัน เขตกรงุ ราชคฤห์ ครงั้ นน้ั พระนางจนุ ทีราชกุมารี มรี ถ ๕๐๐ คนั และกุมารี ๕๐๐ คน แวดล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ท่ีสมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงกรณีท่ีพระภาดาของพระนางกล่าวว่า หญิงหรือชายก็ตาม ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็น สรณะ เวน้ ขาดจากการฆา่ สตั ว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในการ พูดเท็จ และเว้นขาดจากการเสพของมึนเมา หลังจากตายแล้วย่อมไปเกิดในสุคติอย่างเดียว ไม่เกิดในทุคติ จึงขอทูลถามพระองค์ว่า เลื่อมใสใน พระพุทธเจา้ ในพระธรรม และในพระสงฆ์เช่นไร๓๐๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้พยากรณ์แก่พระนางว่า เล่ือมใสในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เล่ือมใสในพระธรรมอันนาไปเพ่ือกาจัดความเมา ดับความกระหาย ถอนอาลัย ตัดวัฏฏะ ให้ถึงซ่ึงความส้ิน ตัณหา คลายกาหนดั ถึงซงึ่ ความดับทกุ ข์คือพระนิพพาน เลอื่ มในในพระสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ จาพวก มีพระผู้ เขา้ ถึงโสดาปตั ตมิ รรค พระผเู้ ข้าถงึ โสดาปัตติผล เป็นตน้ จฬู กาล,พระ พระจูฬกาลเถระ ภูมิลาเนาเดิมเป็นชาวเสตัพยนคร มีพ่ีน้องร่วมท้องกัน ๓ คน ประกอบด้วย จูฬกาล, มัชฌิมกาล, และมหากาล เดิมมีอาชีพค้าขาย โดยจูฬกาล และมหากาลทาหน้าท่ีรับซื้อของ บรรทกุ มา ๕๐๐ เล่มเกวยี น ส่วนมัชฌมิ กาล ทาหน้าท่ขี ายส่ิงของที่ท้งั ๒ น้นั หามา ในคัมภีร์อรรถกถาระบุ วา่ จูฬกาลนนั้ มีภรรยา ๒ คน มัชฌิมกาลมีภรรยา ๔ สว่ นมหากาลนัน้ มภี รรยา ๘ คน๓๐๘ วันหนึ่งมหากาลได้ฟังธรรม เกิดความเลื่อมใส ประสงค์จะลาบวช จึงได้กลับมาลาน้องชายทั้ง สอง พร้อมกับมอบทรัพย์สมบัติท่ีมีอยู่ท้ังหมดให้น้องชายดูแล สวนตนเองก็ไปยังสานักพระศาสดาเพ่ือทูล ขออุปสมบท ฝา่ ยจฬู กาลไม่ประสงคจ์ ะให้พช่ี ายบวช ได้คัดค้านด้วยประการต่าง ๆ แต่เม่ือเห็นว่าไม่สาเร็จ จงึ ได้ออกบวชตามดว้ ยต้ังใจว่า จะทาให้พชี่ ายสกึ ให้ได้ ฝา่ ยมหากาล เมื่อไดอ้ ปุ สมบทแล้ว เรยี นกมั มฏั ฐานจากสานกั ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้า ไปอาศัยอยู่ในป่าช้าแห่งหน่ึง อาศัยหญิงเฝ้าป่าช้าแห่งหน่ึงบารุง บาเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท ไม่ นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ขณะที่จูฬกาลผุดลุกผุดนั่ง หวนระลึกถึงการครองเรือน ระลึกถึงบุตรและ ภรรยา ต่อมากถ็ ูกภรรยาชว่ ยกนั จบั เปลีย่ นเสื้อผ้าลาสิกขาไปในทส่ี ุด จูฬนาคะ,พระ ๓๐๖ อง.ฺ ปญจฺ ก.อ.(ไทย) ๓/๓๑/๑๔. ๓๐๗ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๓๒/๔๘. ๓๐๘ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๖๙.

๑๑๔ พระจูฬนาคะ ปรากฏในคัมภีร์วินัยปิฎกหลายแห่ง เนื้อหาระบุว่าเป็น ๑ ในบรรดาพระมหา เถระท่ีทรงและสบื พระวินยั สืบตอ่ ๆ กันมา คมั ภรี ์บริวารระบุวา่ “เป็นพหสุ ตู ร ดุจช้างซับมัน” ๓๐๙ ในอรรถ กถาอากังเขยยสูตรระบุวา่ ท่านเป็นอันเตวาสิกของพระสุมนเถระ๓๑๐ ในอรรถกถาสังยุตตนิกาย มีข้อความระบุถึงท่านเพิ่มเติมว่า ท่านเป็นชาวบ้านวโสฬนคร มีพ่ี น้องท่ีบวชพร้อมกันอีก ๑ ท่าน คือพระมหานาคเถระ ทั้ง ๒ บวชและพานักอยู่ที่จิตตลบรรพตตลอด ๓๐ ปี ได้บรรลุเป็นพระอรหันตท์ ั้ง ๒ องค๓์ ๑๑ ในอรรถกถาพระวินัย มีข้อความระบุถึงพระจูฬนาคะ ได้เคยวินิจฉัยประเด็นปัญหาเรื่องการ รบั บิณฑบาตเกิน หรือลน้ บาตรวา่ ยาคกู ด็ ี ภัตก็ดี ขาทนียะก็ดี ก้อนแป้งก็ดี ไม้ชาระฟันก็ดี ด้ายชายผ้าก็ดี ชื่อว่าบิณฑบาต แม้ด้ายชายผ้าทาให้พูนเป็นยอดสถูป ก็ไม่ควร๓๑๒ คาวินิจฉัยของพระจูฬนาคะ ถูกภิกษุ ทั้งหลายนาไปร้องเรียนพระจุฬสุมนเถระ ๆ ได้แสดงความไม่เห็นด้วย และตนเองเป็นผู้สอนพระวินัยพระ จูฬนาคะมาถึง ๗ ครั้ง ก็ไม่เคยกล่าวอย่างน้ัน พระจูฬนาคะได้ข้อความนี้มาจากไหน เม่ือภิกษุทั้งหลายขอ ความเห็นว่าควรกาหนดด้วยอะไร พระจูฬสุมนเถระจึงบอกไปว่า ควรกาหนดด้วยยาวกาลิก และบาตรท่ี อธิษฐานเท่าน้นั ส่วนบาตรนอกเหนือจากนี้ รับเกนิ ขอบปากได้ ส่วนยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก แม้รบั เกนิ ขอบบาตรท่อี ธิษฐานก็ควร๓๑๓ จฬู ปันถก,พระ พระจูฬปนั ถกเถระ เป็นชาวเมอื งราชคฤห์ มารดาเป็นธิดาธนัญชัยเศรษฐี แต่เน่ืองจากมารดา ของท่านได้เสียกับทาสในเรือน ด้วยความกลัวจะถูกลงโทษ จึงได้พากันหนีไปต้ังครอบครัวอยู่ที่แห่งหนึ่ง นอกเมือง เม่ือมารดาตั้งครรภ์ มีประสงค์จะไปคลอดที่บ้านเกิดเมืองนอน แต่ได้คลอดเสียในระหว่างทาง มารดาจึงไดต้ ั้งช่ือวา่ ปันถกะ และเมื่อตัง้ ครรภ์ทส่ี อง นางกค็ ลอดบุตรในระหว่างทางเช่นเดียวกัน จึงได้ต้ัง ช่ือบุตรคนแรกว่า มหาปนั ถกะ บตุ รที่เกิดทหี ลังวา่ จฬู ปนั ถก๓๑๔ เม่ือเจริญวัยพอรู้เดียงสา เด็กทั้งสองก็เร่ิมเรียนรู้ และตั้งคาถามกับมารดาถึงปู่ ย่า ตา ยาย ตลอดจนญาติอื่น ๆ แม้นางจะพยายามบ่ายเบ่ียง แต่ก็ไม่เป็นผล บุตรท้ังสองรบเร้าให้พาไปเย่ียมบ้านปู่ บา้ นยา่ วันหน่ึง นางพร้อมสามีได้พาเด็กๆ ไปบ้าน เมื่อไปถึงเมืองราชคฤห์ พักอยู่ท่ีศาลาหลังหนึ่ง ได้ ส่งเดก็ ทัง้ สองไปแล้วสัง่ บอกความทตี่ นมาแก่มารดาบิดา มารดาบิดาทงั้ สองทราบข่าวน้ัน นึกถึงความผิดท่ีมารดาของเด็กกระทา ไม่อาจจะมองหน้าลูก สาวและลกู เขยได้ จงึ ได้มอบคนไปแจ้งข่าวว่า จะรับหลานท้ังสองไว้เลี้ยงดูเอง ส่วนพ่อแม่เด็กรับเอาทรัพย์ แลว้ ก็ไปหาเล้ียงชพี ตามปรารถนา ๓๐๙ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓,๘,๒๒/๖,๑๓,๒๖. ๓๑๐ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๑๐. ๓๑๑ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๕๕๔. ๓๑๒ ว.ิ มหา.อ. (ไทย) ๒/๙๕๖. ๓๑๓ ว.ิ มหา.อ. (ไทย) ๒/๙๕๗. ๓๑๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๒๙.

๑๑๕ หลานท้ังสองเมอ่ื อยู่กบั ตายาย โดยเฉพาะมหาปนั ถก ได้มีโอกาสไปฟังธรรมของพระศาสดากับ ตาหลายคร้งั ได้มจี ติ น้อมไปในบรรพชา จึงได้ขออนุญาตบรรพชา ธนัญชัยเศรษฐีผู้เป็นมีความยินดีเป็นยิ่ง นกั ได้นาไปขอบรรพชาในสานกั ของพระผ้มู ีพระภาค พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มอบให้ภิกษุเป็นผู้บวชให้ คร้ันบวชแล้ว ได้ฟังตจปัญจกกรรมฐาน และ เรียนพระพุทธพจน์เป็นอันมาก คร้ันมีอายุครบอุปสมบท ก็ได้รับการอุปสมบท เรียนกัมมัฏฐาน บาเพ็ญ สมณธรรมไม่นานกไ็ ด้บรรลุพระอรหันต์ กลายเปน็ คณาจารยผ์ มู้ ีช่อื เสียง กาลเวลาเวลาผ่านไป ทา่ นได้ระลึกถงึ น้องชายคือจูฬปันถก อยากให้ได้รับความสุขจากรสพระ ธรรมเหมือนท่ีท่านได้ จึงได้ไปสู่สานักของเศรษฐีผู้เป็นตา และขออนุญาตให้น้องชายได้บวชเช่นเดียวกัน ตน ซง่ึ ก็ไดร้ ับอนุญาต เหตุผลส่วนหน่งึ ท่านก็นึกละอาย ที่ตอ้ งตอบคาถามเมอื่ คนถามเดก็ คนน้ีลกู ใคร พระจูฬปันถกบวชแล้วต้ังอยู่ในศีล แต่เป็นคนโง่เขลา แม้พ่ีชายสอนให้ท่องคาถา คาถาเดียว ใชเ้ วลา ๔ เดือน ก็ไม่สามารถจาได้ ท้ังน้ีเป็นเพราะบุพกรรมของท่านท่ีเคยหัวเราะเยาะภิกษุรูปหน่ึง ท่าน ได้คาตาหนิจากมหาปันถกว่า แค่คาถาเดียว ใช้เวลา ๔ เดือน ไม่สามารถเรียนได้ จะทาที่สุดแห่งทุกข์ได้ อย่างไร ต่อมาได้ถูกพระมหาปันถกะผู้เป็นพี่ชายขับออกจากวิหาร ท่านเกิดความน้อยใจ จึงไปกราบทูล พระพุทธเจ้าเพ่ือลาสิกขา แต่เธอได้รับการปลอบโยนจากพระศาสดา และแนะนาให้มาอยู่ในสานักของ พระองค์ จากนั้นก็ทรงแนะนาให้เธอบาเพ็ญโลหิตกสิณ โดยมอบผ้าสีแดง ให้น่ังกลางกลางแจ้งหน้าพระ คนั ธกฎุ ี หันหน้าไปทางทศิ ตะวนั ออก ลูบคลาผ้าสีแดง พรอ้ มบรกิ รรมวา่ ชโรหรณ รโชหรณ ผ้าที่ถูกพระจูฬปันถกลูบไปมาอยู่เช่นนั้น ได้มีสีเศร้าหมองตามลาดับ เธอได้ยกจิตขึ้นสู่ วิปัสสนา ได้บรรลุเปน็ พระอรหนั ตพ์ ร้อมด้วยปฏิสมั ภิทาท้งั หลาย วนั ท่ที า่ นไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ มีกจิ นิมนต์ในบา้ นหมอชีวกโกมารภัจจ์ พระมหาปันถกะ นิมนต์ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด ยกเว้นพระจูฬปันถกผู้เป็นน้องชาย คร้ันถึงเวลาภัต หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้น้อมน้า ทักษโิ ณทกไปถวาย พระศาสดาทรงปิดบาตรไว้ พร้อมกับบอกวา่ ในวหิ ารมีภิกษุเหลืออยู่รูปหน่ึง หมอชีวก โกมารภัจจไ์ ดม้ อบหมายให้คนไปตรวจสอบ แต่เม่อื ไปถึงก็พบว่ามีภิกษุอยู่เต็มวัด บางรูปก็นั่งสมาธิ บางรูป กเ็ ดนิ จงกรม บางพวกกย็ อ้ มจวี ร บางพวกกส็ าธยายมนต์ จึงไดก้ ลบั มากราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกอุบาย เมื่อไปถึงให้เรียกช่ือดู คนใช้หมอชีวกก็ดาเนินการตาม แต่พอ เรียนถามว่าใครช่ือจูฬปันถก ภิกษุท้ังหมดเหล่าน้ันก็อ้างว่าตนช่ือจูฬปันถกทั้งหมด คนใช้กลับมารายงาน อีก สุดท้ายพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกอุบายว่า รูปไหนพูดข้ึนก่อนให้จับมือรูปน้ัน รูปที่เหลือก็จะอันตรธาน ไปเอง คนใช้ของหมอชีวกได้ทาตามที่ทรงแนะนา นาพระจูฬปันถกมายังเรือนของหมอชีวกโกมารภัจจ์ คร้ันเสรจ็ ภตั กิจแลว้ ทรงมอบหมายให้พระจฬู ปันถกเป็นผกู้ ระทาอนุโมทนาแทนพระองค์ เรื่องของพระจูฬปันถกได้กลายเป็นเร่ืองเล่าขานถึงพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า เพราะ สามารถทาให้พระจูฬปนั ถกบรรลพุ ระอรหนั ตภ์ ายในเวลาชั่วภตั มอื้ เดยี ว ขณะท่ีพระมหาปันถกผู้เป็นพ่ีชาย ไดพ้ ยายามถึง ๔ เดอื น คาถาเพียงบทเดยี ว ไมส่ ามารถใหเ้ รียนได้ จฬู ธนคุ คหบัณฑิต จูฬธนุคคหบัณฑิต เป็นเรื่องราวบุพกรรมของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซ่ึงบวชในพระธรรมวินัยของ องค์สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้า แต่เธอกระสันอยากจะสึกด้วยมีหญิงสาวผู้หน่ึงมาหลงรัก ความทราบถึง พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงให้เรียกมาเข้าเฝ้า จากน้ันก็ทรงตรัสถามสาเหตุ เธอได้กราบทูลพระผู้มีพระ ภาคตามความเปน็ จรงิ วา่ เพราะมีหญิงสาวมาพูดทานองเชิญชวนให้ลาสิกขาว่า นางอยู่ตัวคนเดียว ทรัพย์ สมบัตมิ ีพร้อมแล้ว ขาดแต่คนดูแลจัดแจง

๑๑๖ พระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงสดบั เชน่ นัน้ ก็ยอ้ นอดตี ชาติให้ฟังว่า เร่ืองนี้ไม่น่าอัศจรรย์ เพราะชาติท่ี แล้ว เธอเป็นจูฬธนุคคหบัณฑิต ได้ถูกภรรยาแท้ ๆ ยื่นดาบให้โจรฆ่าสามีของตน เพราะหลงรักโจรซ่ึงเพิ่ง เคยเห็นเป็นคร้ังแรก จากน้ันจึงทรงประทานโอวาทว่า \"หญิงน้ันปลงบัณฑิตผู้เลิศในชมพูทวีปทั้งสิ้น จาก ชีวิต เพราะความสิเนหาในชายคนหนึ่งซึ่งตนเห็นครู่เดียวนั้นอย่างนี้ ภิกษุเธอจงตัดตัณหาของเธอ อัน ปรารภหญงิ น้ันเกดิ ข้นึ เสยี \"๓๑๕ จูฬเทวะ, พระ พระจูฬาเทวะ มีชื่อปรากฏในพระวินัยปิฎกในฐานะเป็นผู้มีปัญญาและเช่ียวชาญพระวินัย๓๑๖ ในคัมภีร์นี้ได้แสดงรายนามพระมหาเถระทรงจาพระวินัยสืบต่อกันมา นับต้ังแต่พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ (ชมพูทวี), พระมหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัทท บัณฑิต (ผู้เดินทางจากชมพูทวีปมาเกาะลังกา) สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ท้ัง ๗, พระอริฏฐะผู้มีปัญญา พระติสสทัตตบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระทีฆเถระ พระทีฆสุมนบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ พระติสสเถระ พระเทวเถระ เป็นต้น เร่ือยมากระท่ังถึงพระจูฬเทวะ และพระสิวเถระ โดยคัมภีรไ์ ดพ้ รรณนาคณุ สมบัติท่านเหลา่ น้ีไว้ในลกั ษณะทีค่ ลา้ ยกันคือ เป็นผู้มีปัญญามาก เรียนรู้พระวินัย ฉลาดในมรรค ได้ประกาศพระวินัยปฎิ กในเกาะตามพปัณณิ๓๑๗ จูเฬกสาฎก, พราหมณ์ พราหมณ์จูเฬกสาฎก เป็นชาวเมืองสาวัตถี มีฐานะยากจน คัมภีร์อรรถกถาพรรณนาไว้ว่า พราหมณ์และนางพราหมณีมีผ้านุ่งเพียงผืนเดียวเท่าน้ัน เวลาออกไปข้างนอก สามารถไปได้เพียงคนเดียว สว่ นอกี คนต้องอย่ใู นบ้าน วันหน่ึงพราหมณ์ได้ยินเสียงประกาศเชิญชวนไปฟังธรรม มีความประสงค์จะไปฟังธรรมด้วย จงึ ได้ตกลงกนั ว่า ให้ภรรยาไปกลางวัน สว่ นตนจะไปตอนกลางคืน ช่วงที่ภรรยาไป พราหมณ์ก็อยู่เฝ้าบ้าน ตลอดท้ังวัน ครั้นถึงเวลากลางคืนพราหมณ์จึงได้ไปน่ังฟังธรรม ได้ฟังธรรมจากพระศาสดา เกิดปีติอย่าง แรงกล้า ปรารถนาจะบูชาพระศาสดาด้วยผ้าสาฎกผืนท่ีนุ่งอยู่ แต่ก็ชั่งใจว่าจะถวายดีหรือไม่ดี เพราะถ้า ถวาย ตนและนางพราหมณีก็จะไม่มีผ้านุ่งห่ม จึงได้แต่ยับย้ังใจ ไม่ได้ถวายในช่วงปฐมยาม ครั้นถึงมัชฌิม ยามก็เกิดความคิดจะถวายอีก แต่พอนกึ ถึงภรรยากห็ ่วงวา่ มผี ้าเพยี งผนื เดียว นางจะไดอ้ ะไรนุ่งห่ม ก็ยับย้ัง ใจท่ีจะไม่ถวายอีก กระท่ังถึงปัจฉิมยาม จึงเกิดความสังเวชสลดใจตัวเองว่า เรายากจนถึงเพียงน้ี ก็เพราะ มัจฉริยจิตครอบงา กระทั่งบัดน้ีก็ยังไม่สามารถโงศีรษะขึ้นได้ พิจารณาดังนั้นจึงตัดสินใจน้อมผ้าสาฎกวาง แทบบาทมูลพระศาสดา พรอ้ มกับเปลง่ วาจาวา่ “ข้าพเจ้าชนะแล้ว ขา้ พเจ้าชนะแล้ว” ขณะน้ัน พระเจ้าปเสนทิโกศลกาลังทรงฟังธรรมอยู่ ได้สดับเสียงน้ัน เกิดความสงสัย จึงรับส่ัง ให้สอบถาม ได้ความ เกดิ ความคิดว่า พราหมณ์ผู้นี้ทาสิ่งที่ทาได้ยาก เราจะทาการสงเคราะห์เขา ดังน้ีแล้ว จึงทรงรบั สง่ั ให้พระราชทานผ้าสาฎก ๑ คู่ พราหมณจ์ ูเฬกสาฎกรบั พระราชทานผา้ จากพระราชาแล้ว ก็นาผ้าผืนน้ันไปถวายพระพุทธเจ้า แม้พระราชากท็ รงพระราชทานผา้ ค่ใู หม่ให้อกี โดยนยั นี้ พราหมณ์ได้ผ้าจากพระราชาถึง ๓๒ คู่ โดยเขารับ ๓๑๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๕๐๔. ๓๑๖ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓/๖. ๓๑๗ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓/๗.

๑๑๗ ไว้เพียง ๒ คู่ คือเพ่ือตนคู่หนึ่ง และเพ่ือภรรยาคู่หน่ึง การกระทาของพราหมณ์สร้างความเลื่อมใสให้แก่ พระราชาเป็นอย่างมาก ถึงกับทรงพระราชทานผ้ากัมพลมีค่าแสนหนึ่งแก่พราหมณ์ แต่พราหมณ์ก็หาได้ นามาใชเ้ พ่อื ตนไม่ แต่ได้ให้นาไปขงึ เปน็ เพดานเบอ้ื งบนทป่ี ระทับของพระศาสดา อีกผืนหน่ึงนาไปขึงไว้เป็น เพดานเบอ้ื งบนทที่ าภัตกจิ ของภกิ ษุผฉู้ ันในเรือนของตน ภายหลงั ตอ่ มาพระราชาเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ทอดพระเนตรเห็นผ้ากัมพล ทรงจาได้ว่าเป็น ของพระราชทานให้แก่พราหมณ์ จึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทราบความแล้ว ก็เกิดความ เลื่อมใสว่า พราหมณ์ผู้นี้เล่ือมในฐานะเดียวกันกับเรา จึงทรงรับส่ังให้พระราชทานหมวด ๔ แห่งวัตถุทุก อยา่ งแก่พราหมณ์ คือ ช้าง ๔ ตัว ม้า ๔ ตัว กหาปณะ ๔ พนั สตรี ๔ นาง ทาส ๔ นาย บุรุษ ๔ นาย และ บ้านส่วย ๔ ตาบล ผลทานที่พราหมณ์จูเฬกสาฎกได้รับในวันน้ัน เป็นท่ีกล่าวขานกันว่าเป็นเร่ืองอัศจรรย์ พระผู้มี พระภาคเจา้ ทรงทราบความน้นั จึงได้ตรัสแกภ่ ิกษทุ ัง้ หลายว่า \"ภิกษุท้ังหลาย ถ้าพราหมณ์จูเฬกสาฎกน้ีจัก ได้อาจเพ่ือถวายแก่เราในปฐมยามไซร้ เขาจักได้สรรพวัตถุอย่างละ ๑๖, ถ้าจักได้อาจถวายในมัชฌิมยาม ไซร้ เขาจักได้สรรพวัตถุอย่างละ ๘, แต่เพราะถวาย ในเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้สรรพวัตถุอย่างละ ๔, แท้จริง กรรมงามอันบุคคลผู้เม่ือกระทา ไม่ให้จิตที่เกิดข้ึนเส่ือมเสีย ควรทาในทันทีน้ันเอง, ด้วยว่า กุศลท่ี บุคคลทาช้า เมื่อให้สมบัติ ย่อมให้ช้าเหมือนกัน เพราะฉะน้ัน พึงทากรรมงามในลาดับแห่งจิตตุปบาท ทีเดยี ว\"๓๑๘ จูฬสารี,พระ พระจูฬสารี มาในจุฬสาริภิกขุวัตถุแห่งขุททนิกาย๓๑๙ ความในพระบาลีระบุว่า พระจูฬสารี ได้ปรุงยาให้ชาวบ้านเพื่อแลกกับโภชนะ พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงได้ตรัสตาหนิเป็นพระคาถาว่า ผู้ไม่มี ความละอาย กล้าเหมือนดังกา ชอบทาลายคนอ่ืน ชอบเอาหน้า มีความคะนอง มีพฤติกรรมสกปรก เปน็ อยูส่ บาย สว่ นผมู้ คี วามละอาย แสวงหาความบริสุทธเิ์ ป็นนติ ย์ ไม่เกยี จครา้ น ไมม่ ีความคะนอง มีอาชีพ บรสิ ุทธ์ิ และมีปัญญา เปน็ อยลู่ าบาก อรรถกถา ธรรมบท๓๒๐ มเี นอ้ื ความพรรณนาเพิ่มเติมว่า พระจูฬสารีทาเวชกรรมได้โภชนะอัน ประณีตแล้วถือเดินออกไป พบพระเถระในระหว่างทาง จึงเรียนถวายว่า โภชนะน้ีตนได้มาจาการทาเวช กรรม พระเถระจะไม่ได้อาหารเชน่ นีใ้ นที่อ่ืน ขอใหฉ้ ันโภชนะน้ี ตนทาเวชกรรมแล้วจะนามาถวายตลอดไป ฝ่ายพระเถระฟังคานั้นแล้วก็น่ิงไม่โต้ตอบ ครั้นหลีกไปแล้วก็ได้นาเร่ืองน้ันไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาค เจา้ ทรงทราบ พระศาสดาทรงทราบความนั้นแล้วจึงตรสั ตาหนิดงั ได้กล่าวแลว้ ขา้ งตน้ ฉ ฉนั นะ, ภกิ ษุ (ผูว้ ่ายาก) พระฉันนะ เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม “สหชาติ” คือ เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า มี ๗ อยา่ ง ไดแ้ ก่ นางพมิ พา, อานนท,์ ฉันนะ, กาฬุทายีอามาตย์, ม้ากัณฑกะ, ต้นศรีมหาโพธ์ิ, และขุมทรัพย์ ทั้ง ๔ ๓๑๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๔. ๓๑๙ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๒๔๔/๑๐๘. ๓๒๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๓๒๘.

๑๑๘ เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เสด็จกลับเมืองกบิลพัสด์ุ พระฉันนะมี ความเล่อื มใสขอบวชตามเสดจ็ ดว้ ยต้ังแตบ่ ัดน้ัน พระฉันนะเม่ือบวชแล้ว ได้กลายเป็นผู้ว่ายากสอนยาก ถูกภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือน และสั่ง สอนหลายครั้ง ก็ไม่ฟังตาม ท้ังยังรุกรานเพื่อนภิกษุท่ีว่ากล่าวตักเตือน คร้ังหน่ึงท่านถึงกับเอ่ยกับภิกษุท่ี กล่าวตักเตือนท่านว่า “ท่านคิดว่าผมเป็นผู้ท่ีท่านควรกล่าวตักเตือนหรือ ผมต่างหากที่เป็นผู้ควรกล่าว ตกั เตือนทา่ น พระพุทธเจ้าเป็นของผม พระธรรมก็เป็นของผม พระธรรมอันพระลูกเจ้าของผมตรัสรู้แล้ว” ๓๒๑ ในพระวินัยปิฎกพรรณนาว่า พระฉันนะได้รับการอุปถัมภ์จากเศรษฐีท่านหน่ึง สร้างวิหาร ถวายเป็นการส่วนตัว ท่านจึงส่ังให้คนแผ้วถางสถานที่สาหรับการสร้างวิหาร ใช้คนตัดต้นไม้เป็นเจดีย์ท่ี ชาวบา้ นเคารพนบั ถือตน้ หน่ึง ทาให้ชาวบ้านไม่พอใจ กลายเป็นเรื่องราวฟ้องร้องถึงพระพุทธเจ้า และเป็น สาเหตุของการบญั ญตั สิ ังฆาทิเสสสกิ ขาบททว่ี ่าดว้ ยการต้องให้สงฆแ์ สดงทใ่ี หก้ ่อนดาเนินการก่อสรา้ ง๓๒๒ ความเป็นผู้ว่ายากสอนยากของพระฉันนะเร่ิมหนักขึ้นเร่ือย ๆ ในคัมภีร์จึงมีเร่ืองราวพรรณนา ความเป็นผู้ว่ายากสอนยากของท่านปรากฏอยู่ทั่วไป ท่านจึงเป็นต้นบัญญัติสิกขาบทท่ีว่าด้วยภิกษุว่ายาก หลายสิกขาบท เช่น สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒๓๒๓ สิกขาบทที่ ๒ ภูตคามวรรค แห่งปาจิตตีย์๓๒๔ สิกขาบทที่ ๙ ภูตคามวรรค แห่งปาจิตตีย์๓๒๕ สิกขาบทท่ี ๔ สุราปานวรรค แห่งปาจิตตีย์ ว่าด้วยการ ประพฤติไม่เอื้อเฟ้อต่อพระธรรมวินัย๓๒๖ สิกขาบทที่ ๑ สหธรรมิกวรรค แห่งปาจิตตีย์ ว่าด้วยพระฉันนะ ประพฤตอิ นาจาร ถูกกล่าวตกั เตือนกไ็ มฟ่ งั อ้างว่าต้องถามผูร้ วู้ นิ ยั ก่อน๓๒๗ เปน็ ต้น ความเป็นผู้ว่ายากของพระฉันนะ แม้จะถูกสงฆ์ และพระพุทธเจ้าตักเตือนหลายครั้ง แต่ก็หา ปฏิบตั ติ ามไม่ สุดทา้ ยกอ่ นพทุ ธปรนิ ิพพาน พระพุทธเจา้ จงึ สงั่ ให้ลงพรหมทณั ฑแ์ ก่พระฉันนะ๓๒๘ เมอ่ื พระพทุ ธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์จึงไดป้ ระชมุ สงฆ์ ๕๐๐ ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉัน นะ พระฉันนะเม่ือถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ ด้วยการไม่กล่าว ไม่ตักเตือน ไม่พร่าสอนแล้ว ต่อมาก็สานึกตน ไดล้ ะออกจากหมคู่ ณะ และบาเพญ็ สมณธรรมจนไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหันต์ คร้ันได้บรรลุธรรมแล้วก็กลับมา ขอให้สงฆ์ยกเลิกพรหมทัณฑ์ แต่ก็ได้รับการช้ีแจงจากพระอานนท์ว่า ทันทีที่ได้บรรลุพระอรหันต์ พรหม ทณั ฑก์ ็เปน็ อันยกเลกิ ไปโดยปรยิ ายด้วย๓๒๙ ฉนั นะ, ภิกษุ (ผ้วู ่างา่ ย) ฉันนะรูปนี้ อดีตเคยเป็นพุทธอุปัฏฐากมาก่อน มีกล่าวถึงในพระสูตรหลายพระสูตร เนื้อความ สอดรบั กนั ทง้ั หมดกล่าวคือ ท่านอาพาธหนกั และประสงค์จะปลงชีวติ ตนเอง ๓๒๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๒๔/๔๕๔. ๓๒๒ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๖๖/๔๐๓. ๓๒๓ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๔๒๕/๔๕๕. ๓๒๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๙๔/๒๘๑. ๓๒๕ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๑๓๔/๓๐๙. ๓๒๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๓๔๐/๔๗๓. ๓๒๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๔๓๔/๕๔๕. ๓๒๘ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๕.. ๓๒๙ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๕/๓๘๖.

๑๑๙ ในฉันโนวาทสูตรเลา่ ถึงพระสารีบุตรและพระจุนทะเข้าไปเยี่ยมไข้และสอบถามอาการ พระฉัน นะได้พรรณนาทุกขเวทนาให้ฟังโดยประการต่าง ๆ พร้อมกับทิ้งท้ายว่าอยากฆ่าตัวตาย พระสารีบุตรและ พระจนุ ทะไดป้ ลอบโยนใหท้ า่ นสบายใจ ดว้ ยการสนทนาธรรมในหมวดว่าด้วยการถอนอตั ตวาทปุ าทาน เม่ือสมควรแก่เวลาพระสารีบุตรและพระจุนทะจึงลุกจากอาสนะจากไป หลังจากพระเถระท้ัง สองจากไปไม่นาน พระฉนั นะก็ได้ฆา่ ตวั ตาย พระสารีบุตร ได้เข้าเฝ้ากราบทูลรายงานเรื่องท่ีตนไปเย่ียมพระฉันนะมา พร้อมกับทูลถามคติ ของพระฉันนะว่าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสย้อมถามว่า เรื่องน้ี พระฉันนะบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า การฆ่าตัวตายคร้งั น้ไี มค่ วรได้รับการตเิ ตียน๓๓๐ แมใ้ นฉันนสูตร แหง่ คมั ภีร์สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค ก็มเี นอื้ ความทานองเดยี วกัน๓๓๑ ฉตั ตปาณิ,อุบาสก ฉตั ตปาณิอบุ าสกปรากฏในคมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท๓๓๒ ในอรรถกถา มีเน้ือความพรรณนา เพิ่มเติมว่า ฉัตตปาณิ เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก เป็นอนาคามี เป็นผู้รักษาอุโบสถ เวลาเช้าตรู่ ได้ไปท่ีบารุง ของพระศาสดา๓๓๓ ขณะท่ีบารุงพระศาสดาอยู่น้ัน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จเข้าไปสู่ท่ีบารุงพระศาสดาด้วย ฉัตตปาณิอุบาสกเห็นเช่นน้ันก็คิดว่า ถ้าตนลุกรับพระราชา ก็จะเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อพระ ศาสดา จงึ ไม่ไดล้ ุกขน้ึ ตอ้ นรบั ทาใหพ้ ระราชารู้สึกไมพ่ อพระทยั พระศาสดาทรงทราบว่าพระราชาไม่พอพระทัย จึงได้ตรัสพรรณนาคุณของอุบาสกว่า มหาบพิตร ฉัตตปาณิอุบาสกนี้เป็นบัณฑิต มีธรรมเห็นแล้ว ทรงพระไตรปิฎก ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ ประโยชน์ พระราชาเมอื่ ได้สดับคุณของอุบาสกจากพระศาสดา กม็ ีพระหฤทัยอ่อนลง วันหน่ึงพระราชาประทับอยู่บนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นฉัตตปาณิอุบาสกกาลังเดินไปพระ ลานหลวง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษเรียกมา อุบาสกน้ันหุบร่มและถอดรองเท้าแล้ว เข้าไปเฝ้าพระราชา ถวาย บงั คมแลว้ ไดย้ นื อยู่ ณ ท่คี วรสว่ นข้างหนึง่ พระราชาทอดพระเนตรเห็นอาการดังนั้นก็ตรัสถามเหตุผลว่า ทาไมตอนอยู่ในสานักพระ ศาสดาจึงไม่ได้แสดงความเคารพ ต่างจากตอนน้ี ฉัตตปาณิได้กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง พระราชาไม่ทรงถือเอาความ แต่ได้ทรงมีรับส่ังให้ฉัตตปาณิอุบาสกทาหน้าที่บอกธรรมภายในวัง แต่ฉัตต ปาณิกไ็ มอ่ าจรับรบั สง่ั ด้วยมองเหน็ อันตรายหลายอย่างอันอาจจะเกิดข้ึนในอนาคตได้ จึงได้กราบทูลขอให้ ทรงปรกึ ษาพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ทูลขอใหพ้ ระองคพ์ ระราชทานพระภกิ ษุรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่น้ี ซ่ึงหลังจาก กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงมอบหมายให้พระอานนท์รับหน้าท่ีแสดงธรรมใน พระราชวงั ตง้ั แตบ่ ัดนั้น ๓๓๐ ม.อุปร.ิ (ไทย) ๑๔/๓๘๙/๔๔๒. ๓๓๑ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๘๗/๘๐. ๓๓๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๕๑/๔๓. ๓๓๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๕๕.

๑๒๐ ฉตั ตะ, มาณพ ฉัตตมาณพ ปรากฏในฉัตตมาณวกวิมาน แห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ๓๓๔ เน้ือความใน คมั ภีรร์ ะบุถึงพระผ้มู พี ระภาคเจ้าทรงแสดงวธิ กี ารเขา้ ถงึ ไตรสรณคมน์แกฉ่ ัตตมาณพเป็นต้นว่า ให้มาณพถึง พระผู้มพี ระภาคเจา้ ผ้ปู ระเสริฐสดุ เป็นศากยมนุ ี จาแนกธรรม สาเร็จกจิ ท้ังปวง ถงึ ฝัง่ พระนิพพานแล้ว กับ ทัง้ พระธรรมทีเ่ ปน็ เหตสุ ารอกราคะ และพระอริยสงฆ์ผู้เห็นธรรม ผ้บู รสิ ุทธิ์ เป็นทพี่ ึ่งทร่ี ะลึก ในคมั ภีร์พรรณนาต่อไปอกี วา่ ฉัตตมาณพไดป้ ฏิบัตติ ามคาสัง่ สอนของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ แลว้ ดารงตนอยูใ่ นศลี ๕ แตอ่ ย่มู าวนั หนง่ึ มีภาระเดนิ ทางไกล ได้ถกู โจรดักปล้นฆา่ ชิงทรัพย์ไป ก่อนตายได้ระลึก ถงึ กศุ ลกรรมต่าง ๆ ทไี่ ด้บาเพ็ญมา จงึ ได้ไปบังเกดิ ในสวรรค์ชนั้ ดาวดงึ ส์๓๓๕ ในคมั ภีร์อรรถกถา มีเนอื้ ความพรรณนาถึงประวัติฉัตตมาณพไว้ว่า เป็นบุตรของพราหมณ์ชาว เสพยนคร เมื่อเจริญวัยแล้วถูกส่งไปเรียนมนต์และวิชาทั้งหลายในสานักพราหมณ์โปกขรสาติท่ีเมือง อุกกฏั ฐนคร เมอื่ เรียนสาเร็จแล้ว ก็ได้กลับไปเอาทรัพย์ ๑ พันกหาปณะเพื่อบูชาครู โจรทราบเรื่องราว จึง ไดร้ อดกั ปลน้ ในระหวา่ งทาง พระผู้มีพระภาคทราบเร่ืองท้ังปวงด้วยพระญาณ จึงได้เสด็จไปดักในระหว่างทาง ประทับน่ัง อย่ทู โี่ คนต้นไม้แห่งหนึ่ง มาณพเห็นเข้าจึงได้เข้าไปเฝ้ายืนอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถาม ก็กราบทูลตาม ความจรงิ จากนน้ั พระผมู้ ีพระภาคจงึ ไดต้ รสั ให้มาณพเข้าถึงไตรสรณคมน์และรับศีล ๕ ต่อแต่นั้นจึงได้ออก เดนิ ทางไปยังสานกั ของอาจารย์ และถกู โจรฆ่าตายในระหวา่ งทางน้ัน๓๓๖ ฉนั โทกะ, พราหมณ์ ฉันโทกพราหมณ์ เป็นหนึ่งในบรรดาพราหมณ์ผู้ใหญ่ เป็นเจ้าลัทธิท่ีบัญญัติทางไปสู่พรหม ซ่ึง ในคัมภีร์ภีร์พระพุทธศาสนาระบุถึงพร้อมกับพราหมณ์อีกหลายท่าน เช่น อัทธริยพราหมณ์ ติตติริย พราหมณ์ พวหาริชฌพราหมณ์๓๓๗ อรรถกถาเตวิชชสูตร ระบุช่ือพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน เช่น วังกีพราหมณ์แห่งบ้านโอปสาทะ ตารุกขพราหมณ์แห่งบ้านอิจฉานังคละ โปกขรสาติพราหมณ์แห่งบ้าน อุกกัฏฐนคร ชาณุโสนิแห่งเมืองสาวัตถี และโตเทยยพราหมณแ์ หง่ ตทุ ิคาม๓๓๘ ฉพั ภิ, พราหมณ์ ฉัพภิพราหมณ์ปรากฏในทกรักขสชาดก๓๓๙ ความสังเขปในอรรถกถามดี งั ต่อไปนี้ ฉัพภิพราหมณ์ได้แอบมีชู้กับพระนางสลากเทวี ผู้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ามหาจุลนี จากน้ัน ได้วางแผนปลงพระชนม์พระเจ้ามหาจุลนี ยึดเอาราชสมบัติมาครอง หลังจากได้ครองราชย์สมบัติแล้ว ก็ วางแผนปลงพระชนม์จุลนกี ุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามหาจุลนี ด้วยเกรงว่า หากปล่อยไว้ ก็จะ เป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ เพราะทรงเห็นว่า พระกุมารเป็นคนฉลาด จึงได้นาเร่ืองน้ีไปปรึกษาพระนาง สลากเทวี ๆ ทรงทาทีเห็นชอบด้วย แต่พระนางก็วางแผนช่วยเหลือพระราชกุมาร โดยได้รับความ ๓๓๔ ข.ุ วิ.(ไทย) ๒๖/๘๘๖/๑๐๕. ๓๓๕ ขุ.วิ. (ไทย) ๒๖/๙๐๓/๑๐๘. ๓๓๖ ข.ุ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๔๔๖. ๓๓๗ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๕๒๒/๓๒๑. ๓๓๘ ท.ี สี.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๗๕. ๓๓๙ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๒๒๔/๕๗๒.

๑๒๑ ชว่ ยเหลือจากพ่อครวั คนสนทิ พาหนไี ปอาศยั พระเจ้ามทั ทราชแห่งสากลนคร ในมัททรัฐ ซ่ึงต่อมาภายหลัง พระราชกมุ ารก็ได้อภิเษกกบั พระธิดาของพระเจ้ามัททราช๓๔๐ ฉพั พวัคคยี ์, ภิกษุ ฉัพพัคคีย์ เป็นศัพท์บัญญัติเรียกภิกษุกลุ่มหน่ึง มีจานวน ๖ รูป ประกอบด้วย พระปัณฑกะ ,พระโลหติ กะ, พระเมตติยะ, พระภมุ มชกะ พระอสั สชิ,และพระปุนัพพสุกะ ตามประวัตเิ ลา่ ว่า ท้ัง ๖ รูปน้ีเป็นชาวเมืองสาวัตถี เคยเป็นสหายร่วมกันมาต้ังแต่สมัยยังไม่ได้ บวช ต่อมาท้ังหมดบวชในสานักของพระอัครสาวกทั้งสอง เรียนมาติกาจนคล่อง คร้ันมีพรรษาครบ ๕ แล้ว จึงปรึกษากันว่า ธรรมดาชนบท บางครั้งก็สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ บางครั้งก็ฝืดเคือง ถ้าอยู่รวมกัน ท้ังหมด จะลาบาก จึงไดแ้ ยกกันอยู่ ๓ แหง่ ๆ ละ ๒ รปู ทง้ั ๖ รูปวางแผนรว่ มกันว่า เมืองสาวัตถีนั้นมอบให้พระปณั ฑุกะและพระโลหิตกะ ดูแลจัดการ ให้นโยบายไปวา่ เมืองสาวัตถมี ีห้าล้านเจ็ดแสนตระกูล เป็นปากทางแห่งความเจริญ ให้ไปสร้างสานักที่นั่น แลว้ ปลูกผลไมต้ า่ ง ๆ มขี นุน มะม่วง มะพร้าว เป็นต้น สงเคราะห์สกุลด้วยผลไม้เหล่าน้ัน ให้พวกเด็กหนุ่ม ของตระกลู เหล่านนั้ บวช ขยายบริษทั ให้ยง่ิ ใหญ่ พระเมตติยะกับพระภุมมชกะ ให้ไปอยู่เมืองราชคฤห์ เมืองนี้มีคนอยู่ ๑๘ โกฏิ ทาในลักษณะ เดียวกันคือ สร้างสานักอยู่ใกล้ ๆ เมืองราชคฤห์ ปลูกผลไม้ต่าง ๆ สงเคราะห์ชาวเมืองด้วยผลไม้เหล่านั้น ใหพ้ วกเด็กหนมุ่ ของตระกลู บวช ขยายบรษิ ัทให้ย่งิ ใหญ่ ส่วนท่านอัสสชิและปุนัพพสุกะ ให้ไปอยู่กิฏาคีรีชนบท เมืองน้ีมี ๒ ฤดู ปีหนึ่งทานาได้ ๓ คร้ัง กใ็ ห้ไปสรา้ งสานักใกล้ ๆ เมอื ง ปลูกไมด้ อกไมผ้ ล สงเคราะห์ชาวเมืองด้วยไม้ดอกไม้ผลเหล่านั้น ให้กุลบุตร ของตระกลู บวช ขยายบริษทั ให้ย่ิงใหญ่ ด้วยวิธีการดังกล่าว ทาให้บริษัทของภิกษุฉัพพวัคคีย์ขยายออกอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มมี บรวิ ารรูปละ ๕๐๐ ร้อย ในบรรดาภิกษฉุ ัพพวคั คยี ์เหล่านั้น กลมุ่ พระปัณฑกะและพระโลหิตกะ พร้อมด้วยบริวารเป็นผู้ มีศลี ตามเสดจ็ พระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะที่ ๒ กลุ่มท่ีเหลือเป็นอลัชชี ได้ก่ออธิกรณ์ ข้ึนในพระพุทธศาสนา อยูเ่ นอื ง ๆ๓๔๑ กรณีตัวอย่างอธิกรณ์ที่กลุ่มภิกษุฉัพพัคคีย์ก่อข้ึน เช่น อุบาสกคนหน่ึงอาพาธ ภรรยาของ อุบาสกผู้น้ีมีรูปงาม ภิกษุฉัพพวัคคีย์แอบชอบนาง จึงปรึกษากันว่า ถ้าอุบาสกน้ียังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็จะ ไม่ได้นาง จึงพากันเข้าไปหาอุบาสก พรรณนาคุณของความตายว่า อุบาสก ท่านเป็นผู้มีบุญ ทาความดีไว้ มาก จะมวั มาทนทุกขจ์ ากโรคทาไม ทา่ นตายแลว้ พ้นจากทกุ ข์ ไปเสวยสขุ ในโลกสวรรค์จะมิดกี วา่ หรอื อุบาสกเชอื่ คาของภกิ ษุฉัพพวัคคีย์ จึงไม่ยอมทานยา ทั้งยังแอบกินของแสลง จนอาการกาเริบ หนัก และเสียชีวิตในที่สุด ภายหลังภรรยาทราบเร่ืองจึงตาหนิ และมีการฟ้องร้อง จนเป็นท่ีมาของอนุ บัญญตั ิปาราชิกสกิ ขาบทที่ ๓๓๔๒ ๓๔๐ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๔/๒/๕๕๕. ๓๔๑ ว.ิ มหา.อ. (ไทย) ๑/๓/๖๓๑. ๓๔๒ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑๖๘/๑๓๙.

๑๒๒ นอกจากนี้ ภิกษุฉัพพวัคคีย์เป็นต้นเหตุของการบัญญัติสิกขาบทหลายเรื่อง เช่น การบัญญัติ สิกขาบทห้ามทรงอตเิ รกจีวร๓๔๓ การบัญญัตสิ ิกขาบทรบั จวี รแลว้ ไมย่ อมสละคนื แก่เจ้าของ๓๔๔ การบัญญัติ สิกขาบทห้ามเอ่ยปากขอจีวรกับคฤหัสถ์๓๔๕ การบัญญัติสิกขาบทห้ามเอ่ยปากขอบาตร๓๔๖ การบัญญัติ สิกขาบทห้ามเอ่ยปากขอด้าย๓๔๗ การบัญญัติสิกขาบทห้ามดูการขับร้องฟ้อนรา๓๔๘ การบัญญัติสิกขาบท ห้ามใช้เครื่องประดับของสตรี๓๔๙ การบัญญัติสิกขาบทห้ามถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะลงแม่น้า ลาคลอง๓๕๐ เป็นต้น ฉัพพคั คยี ,์ ภกิ ษุณี ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ เป็นช่ือกลุ่มนางภิกษุณีผู้ก่อการและก่ออธิกรณ์หลายประการเช่นเดียวกับ กลุ่มภิกษุฉัพพัคคีย์ เป็นสาเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยหลายสิกขาบทที่เก่ียวข้องกับนาง ภิกษุณี เช่น พระบัญญัติห้ามภิกษุณียืนบงการในตระกูลที่รับนิมนต์ให้จัดแจงอาหาร๓๕๑ พระบัญญัติห้าม นางภิกษุณีก่อเหตุแห่งปาราชิก ๘ ประการ ประกอบด้วย (๑) ยินดีในการจับมือ (๒) ยินดีการจับมุม สังฆาฏิ (๓) ยินดีเคียงคู่ (๔) สนทนากัน (๕) ไปในที่นัดหมาย (๖) ยินดีท่ีเขามาหา (๗) เดินตามเข้าไปสู่ที่ ลับ และ (๘) น้อมกายเขา้ ไปเพื่อเสพอสัทธรรมกบั ชายผู้กาหนัด๓๕๒ พระบัญญัติห้ามภิกษุณีสะสมบาตร๓๕๓ พระบญั ญตั หิ า้ มภิกษุณีถอนขนในที่แคบ เปลือยการอาบนา้ ทา่ เดียวกันกบั หญิงแพศยา๓๕๔ เปน็ ต้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ มีพวก ๖ รูป ประกอบด้วย นางถุลลนันทาภิกษุณี, นางสุนทรีนันทาภิกษุณี, นางนนั าวดีภิกษณุ ี, นางภทั ทกาปิลานีภิกษณุ ,ี นางนนั ทาภกิ ษณุ ี, และนางจัณฑากาลีภิกษณุ ี ช ชฏาภารทวาชะ,พระ พระชฏาภารทวาชะปรากฏชื่อในชฎาสูตรแห่งสังยุตตนิกาย สคาถวรรค๓๕๕ ความในพระสูตร พรรณนาไว้วา่ ชฏาภารทวาชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้กราบทูลพระผู้มีพระ ภาคเจ้าด้วยคาถาว่า “หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งท้ังภายนอก ถูกความยุ่งพาให้นุงนัง ใครจะสามารถแก้ ความยุ่งนี้ได”้ ๓๔๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๔๕๙/๑. ๓๔๔ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๔๗๐/๗. ๓๔๕ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๒๒/๔๖. ๓๔๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๖๑๑/๑๒๙. ๓๔๗ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๖๓๖/๑๕๖. ๓๔๘ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณี. (ไทย) ๓/๘๓๓/๑๕๒. ๓๔๙ ว.ิ ภกิ ฺขุณ.ี (ไทย) ๓/๑๑๙๔/๓๖๖. ๓๕๐ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณี.(ไทย) ๓/๑๒๔๑/๓๙๗. ๓๕๑ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๕๕๘/๖๓๒. ๓๕๒ วิ.ภกิ ขฺ ุณ.ี (ไทย) ๓/๖๗๕/๒๑. ๓๕๓ วิ.ภิกฺขณุ ี.(ไทย) ๓/๗๓๔/๗๘. ๓๕๔ วิ.ภิกฺขุณี.(ไทย) ๓/๗๙๙/๑๓๑. ๓๕๕ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๒/๒๗๑.

๑๒๓ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ (๑) นรชนผมู้ ีปญั ญา เห็นภัยในสงั สารวัฏ ดารงอยู่ในศีลแล้ว เจริญ จิตและปัญญา มีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหาร พึงแก้ความยุ่งน้ีได้ (๒) บุคคลใดกาจัดราคะ โทสะ และอวชิ ชาได้ บุคคลเหล่านนั้ ส้นิ อาสวะแลว้ เปน็ พระอรหันต์ พวกเขาแก้ความยุ่งได้แล้ว (๓) นามก็ดี รูป ก็ดี ปฏฆิ สัญญาก็ดี รปู สัญญากด็ ี ดับไมเ่ หลอื ในทีใ่ ด ความยุ่งน้ันก็ย่อมขาดหายไปในท่ีนัน้ พระชฎาภารทวาชะ ได้รับการรับรองจากพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็นพระอรหันต์รูปหน่ึง ใน บรรดาพระอรหันตท์ ้งั หลาย๓๕๖ ชนสนั ธะ,พระราชา พระเจ้าชนสันธะ ปรากฏในคามณิจันทชาดก แห่งคัมภีร์ขุททนิกาย ชาดก๓๕๗ และชนสันธ ชาดก๓๕๘ และในติสสพทุ ธวงศ์ วา่ ด้วยพระประวตั ขิ องพระติสสพทุ ธเจ้า๓๕๙ ความสังเขปตอ่ ไปนี้ ในคามณจิ ันทชาดก มีเนื้อความเกี่ยวโยงบุรุษผู้หน่ีงชื่อคามณิจันท์ ทางานรับใช้ในรัชสมัยของ พระเจ้าชนสันธะ ต่อมาเมื่อส้ินรัชกาลของพระเจ้าชนสันธะ พระราชโอรสพระองค์เล็กได้ขึ้นครองราช สมบัติแทน นายคามณิจันท์จึงได้ลาออกจากราชสานัก ไปกระกอบอาชีพกสิกรรมเล้ียงชีวิตอยู่ในชนบท ด้วยเหน็ วา่ พระราชายังเยาว์วยั เกินไป สว่ นตนเองมอี ายุมากแล้ว ไม่เหมาะที่จะบารุง ในคัมภีร์อรรถกถา ระบุว่า เหตุท่ีพระราชาได้พระนามว่า พระเจ้าชนสันธะ เพราะทรง สงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ บางคร้ังก็เรียกว่า พระเจ้าทศรถ เพราะทรงทากิจท่ีพึง กระทาด้วยรถ ๑๐ คัน ด้วยรถของพระองค์เพียงคนั เดยี วเท่าน้ัน๓๖๐ สว่ นในอรรถกถาชนสนั ธชาดก พรรณนาไว้ว่า เม่ือพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระ นครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีพระเจ้าพรหมทัต พระญาติท้ังหลายได้ถวาย พระนามว่า ชนสันธกุมาร เม่ือเจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยา ต่อมาได้รับการสถาปนาไว้ในตาแหน่งอุปราช และเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ก็ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อมา พระองค์สร้างโรงทาน ๖ แห่ง บริจาค ทรัพย์วันและหกแสน บาเพ็ญมหาทานจนลือกระฉ่อนไปท่ัวชมพูทวีป ให้เคาะระฆังป่าวร้องมาฟังธรรม ทรงสงเคราะห์โลกด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ รักษาศีล ๕ อยู่จาอุโบสถ ครองราชยส์ มบัตโิ ดยธรรม๓๖๑ ส่วนในอรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ระบุว่า พระเจ้าชนสันธะน้ันเป็นพระราชบิดาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ครองราชย์สมบัติอยู่ในพระนครช่ือว่าเขมกะ มีพระมเหสีทรงพระนามว่า ปทมุ า๓๖๒ ๓๕๖ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๒/๒๗๒. ๓๕๗ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๒๐/๑๒๔. ๓๕๘ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๔๙/๓๘๒. ๓๕๙ ขุ.พทุ ธ.(ไทย).๓๓/๑๖/๖๗๘. ๓๖๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๓/๔/๕๖. ๓๖๑ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๖/๑๖๒. ๓๖๒ ขุ.พุทฺธ.อ.(ไทย) ๙/๒/๕๗๐.

๑๒๔ ชตุกัณณ,ิ มาณพ ชตกุ ณั ณิมาณพ มาในชตุกัณณมิ าณวกปญั หา แห่งขุททกิกาย สุตตนิบาต๓๖๓ ขุททกนิกาย จูฬ นิเทศ๓๖๔ และในชตกุ ณั ณมิ าณวปญั หานิทเทส แห่งขุททกนกิ าย๓๖๕ ความพรรณนาสรปุ พอสังเขปดังนี้ ชตุกัณณิมาณพ ได้เข้าไปกราบทูลถามเรื่อง (๑) สันติบท (๒) ธรรมเป็นเคร่ืองละชาติ ชรา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า (๑) ให้กาจัดความติดใจในกาม (๒) เห็นเนกขัมมะโดยความเป็นธรรม เกษม (๓) สลดั กิเลสเครอ่ื งกงั วล (๔) ไมถ่ ือเอาสังขารในเบอื้ งต้น ทา่ มกลาง และท่สี ดุ ไว้ ชมั พกุ ะ, อาชวี ก ชัมพุกะ มาในชัมพุกาชีวกวัตถุแห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท ปรารภพระคาถาที่ พระพุทธเจ้ายกข้ึนแสดงแก่มหาชนชาวแคว้นอังคะ และมคธ ทวี่ า่ คนพาลถึงใช้ปลายหญ้าคาจ้ิมอาหารกิน ทกุ ๆ เดือน เขาก็ไมไ่ ด้รับผลของการปฏบิ ัตเิ ชน่ น้ัน เทา่ เส้ียวที่ ๑๖ ของผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว๓๖๖ ความใน อรรถกถา มพี รรณนารายละเอยี ดเพิ่มเติมดงั นี้ ชัมพุกะ เป็นตัวอย่างของผู้มีอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยเศษวิบากกรรมที่ได้ บริภาษพระอรหันต์เมื่อคร้ังพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม แมจ้ ะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ แต่ก็มีพฤติกรรมท่ีน่ารังเกียจ กระทั่งถูกนาไปปล่อยให้ใช้ชีวิตตาม ยถากรรม ในคัมภีร์พรรณนาไว้ว่า พฤติกรรมของชัมพุกะท่ีไม่เหมือนมนุษย์คนอ่ืนคือ นอนบนเตียงหรือ ต่ังไม่ได้ เวลานอนต้องนอนบนดิน เส้ือผ้าก็นุ่งห่มไม่ได้ ใส่แล้วจะเกิดอาการคัน ระคายเคืองจนต้องถอด ออก กลายเป็นคนไม่นุ่งเส้ือผ้าต้ังแต่เด็ก และก็ชอบกินอุจจาระของตนเอง มารดาบิดาเห็นพฤติกรรม ดงั น้ัน ก็คดิ ว่า เด็กคนนปี้ ระพฤติตวั ไมเ่ หมาะสมกบั ตระกลู จึงได้นาไปมอบให้บวชในสานักของอาชวี ก ชัมพุกะคร้ันบวชแล้ว ก็ถูกนาไปวางในหลุมประมาณเพียงคอ พวกอาชีวกนาไม้กระดานแผ่น เรียบไปวางรอบแล้วพากันน่ังถอนผมจากแปรงตาล เสร็จพิธีแล้ว รุ่งขึ้นก็รับนิมนต์ไปฉันในบ้านของบิดา มารดาพรอ้ มด้วยอาชวี กทงั้ หลาย แต่พอถึงเวลากไ็ มย่ อมไปกับพวกอาชวี กท้ังหลาย หลบอยู่แต่ผู้เดียว เปิด ประตเู วจกฏุ ี ลงไปกนิ คถู แม้พวกอาชีวกนาอาหารมาจากที่นิมนต์มาให้ก็ไม่ปรารถนา บอกแต่เพียงว่า ตน บริโภคอาหารแล้ว กระทัง่ เป็นทสี่ งสยั ต่อมาอาชีวกท้ังหลายก็วางแผนสังเกตพฤติกรรมของชัมพุกาชีวก คร้ันทราบความเป็นไปแล้ว กป็ รึกษากนั ว่า คงจะให้อยูใ่ นสานักตอ่ ไปอีกไม่ได้ ดว้ ยเกรงจะเสื่อมเสียชื่อเสียง จงึ ได้ขับออกจากสานัก ชัมพุกชีวกคร้ันถูกขับออกจากสานักแล้ว ก็ไปอาศัยเงื้อมผาแห่งหน่ึง บนผาน้ันมีหินดาดก้อน หนึ่งที่เขาลาดไว้เพื่อเป็นที่ถ่ายอุจจาระของมหาชน เขาไปในท่ีน้ันเวลากลางคืน ในเวลาที่มหาชนมาเพื่อ ถ่ายอุจจาระ เขาก็เหน่ียวก้อนหินด้วยมือข้างหนึ่ง ยกเท้าข้างหน่ึงตั้งไว้บนเข่า เงยหน้าอ้าปากอยู่ เป็นท่ี ฉงนใจของมหาชนท่ีผา่ นไปผ่านมา เม่อื ถกู ถามก็พูดไปทานองว่า ตนเองมีลมเป็นภักษา มีตบะแก่กล้า ยืน ท้งั สองขาไมไ่ ด้ แผ่นดินจะถล่มเพราะรบั นา้ หนักไม่ได้ ๓๖๓ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๑๐๓/๗๖๖. ๓๖๔ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๑๒๑/๒๘. ๓๖๕ ข.ุ จู.(ไทย) ๓๐/๖๕/๒๔๕. ๓๖๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๗๐/๔๙.

๑๒๕ พฤติกรรมของชัมพุกะ กลายเป็นท่ีเล่าขาน และเล่ือมใสของมหาชนในแคว้นอังคะและมคธ ต่างพากันนาสักการะไปบูชาทุกเดือน มหาชนต่างอ้อนวอนให้ชัมพุกะบริโภคอาหารของตนบ้างเพื่อความ เป็นสิริมงคล แต่เขาก็ไม่ปรารถนา เม่ือถูกรบเร้าหนักเข้า ก็อาศัยหญ้าคาวางที่ปลายลิ้นแตะอาหารที่ มหาชนนามา ปฏบิ ัตติ นอย่างนีเ้ ป็นระยะเวลา ๕๕ ปี เม่ือกาลังแห่งกุศลกรรมในอดีตตักเตือน พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระ อรหนั ต์ จึงได้เสดจ็ ไปโปรด โดยอาศัยช่วงจังหวะเสด็จกลับจากบิณฑบาต แวะไปยังสานักของชัมพุกาชีวก แต่เพียงพระองค์เดียว คร้ันเสด็จไปถึงก็เรียกตรัสเรียกชื่อ ชัมพุกะได้ยินเสียงเรียกก็ไม่สู้พอใจนัก ด้วยไม่ เคยมีใครรอ้ งเรยี กชือ่ “ชมั พุกะ” เช่นน้ีมากอ่ น เม่ือชัมพกุ ะออกมา พระพุทธเจ้าก็ได้ทาทีว่าขอที่พักแรมสักคืน แรกทีเดียวชัมพุกะปฏิเสธ แต่ เม่ือพระพุทธเจ้าอ้างว่า พวกเราเป็นนักบวชด้วยกัน ถ้าไม่อาศัยซึ่งกันและกันแล้ว จะไปให้ไปอาศัยใครได้ เลา่ เม่ือพระพุทธเจ้าพานักอยู่ที่เงื้อมผาใกล้ ๆ กับที่พักของชัมพุกะ ในเวลาปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ได้มีแสงสว่างแปลก ๆ สร้างความสงสัยให้แก่ชัมพุกะเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยเห็นแสง สว่างลักษณะน้ีมาก่อน รุ่งเช้าจึงได้เข้าไปถาม เมื่อทราบว่ามีท้าวสักกะบ้าง ท้าวมหาพรหมบ้าง ท้าว มหาราชทั้ง ๔ บ้าง มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ชัมพุกาชีวกก็ต้ังคาถามข้ึนว่า พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่กว่าเทวดา เหล่าน้ีหรือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นใหญ่กว่าเทวดาเหล่าน้ี เทวดาเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับ สามเณรอปุ ฏั ฐากองค์หนึ่งเท่าน้นั ชมั พุกะได้ยนิ พระพทุ ธเจา้ ตรสั เชน่ น้นั กเ็ อย่ ขนึ้ ว่า ตนเองบาเพ็ญตบะ มีลมเป็นภักษา ยืนอย่าง เดียวตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี ไม่เคยมเี ทวดาองค์ใดมาหาเลย พระผมู้ ีพระภาคได้สดับเช่นน้ันก็ตรัสเตือนว่า ชมั พกุ ะ เธอลวงโลกแล้ว ยังจะมาลวงเราอีก เธอกินคูถ นอนบนแผ่นดิน เปลือยกายเท่ียวไป ถอนผมด้วย แปรงตาลสนิ้ ระยะเวลา ๕๕ ปี มใิ ช่หรอื ในกาลกอ่ นเธออาศยั ทิฏฐอิ ันลามก จงึ ได้เสวยกรรมเช่นนี้ มาบัดน้ี เธอยังถือทิฏฐิอันลามกเท่ียวไปอยู่อีกหรือ จากน้ันพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแสดงบุพกรรมให้ชัมพุกะฟังว่า ในอดีต ไดเ้ คยประพฤตผิ ดิ ต่อพระอรหันตอ์ งคห์ นงึ่ ไว้ ด้วยการดา่ บรภิ าษด้วยวาทะเป็นต้นว่า ท่านกลืนกิน คถู ยงั ดกี วา่ กลนื กินอาหารท่ชี าวบา้ นถวายดว้ ยศรทั ธา ท่านถอนผมดว้ ยแปรงตาลยงั ดกี ว่าใชม้ ีดโกน ส้ินพระดารัส ชัมพุกะเกิดความสังเวชสลดใจ หิริโอตตัปปะปรากฏขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ โยนผา้ ผืนหนง่ึ ให้ เขาน่งุ ผา้ แลว้ นงั่ ลงทค่ี วรส่วนขา้ งหน่งึ ได้ฟงั อนุปุพพกี ถาจากพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุ พระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ทูลขอบรรพชาอุปสมบท เป็นเหมือนพระมหาเถระ ๖๐ พรรษา แม้ มหาชนทเ่ี คยนบั ถอื ชมั พกุ ะมากอ่ น เม่ือทราบข่าว ได้รับการยืนยันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ และเป็นครขู องชมั พกุ าชีวก ต่างกห็ นั ไปนับถอื พระผู้มพี ระภาคเจา้ ตั้งแต่บดั นน้ั ชัยเสน,พระราชา พระเจ้าชัยเสน ปรากฏในโสภิตพุทธวงศ์ ว่าด้วยพระประวัติของพระโสภิตพุทธเจ้า๓๖๗ คัมภีร์ พรรณนาไวว้ า่ พระเจ้าชัยเสนได้สร้างพระอารามแหง่ หน่งึ น้อมถวายพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภติ ะน้นั ๓๖๗ ขุ.พทุ ธฺ .(ไทย) ๓๓/๑/๖๑๘.

๑๒๖ ในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายว่า ทรงเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่า โสภิตะ ด้วย๓๖๘ และในคมั ภีรอ์ รรถกถาพุทธวงศ์เช่นกัน ได้พรรณนาถึงพระประวัติของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุส สะว่า ทรงมีพระนครชือ่ ว่ากาสี พระชนกพระนามวา่ พระเจา้ ชัยเสน พระชนนพี ระนามว่าพระนางสิริมา๓๖๙ ชาณสุ โสณิ,พราหมณ์ ชาณุสโสณิพราหมณ์ เป็นหน่ึงในพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ในคัมภีร์อรรถกถาระบุรายชื่อไว้ ประกอบดว้ ย จงั กพี ราหมณ์แห่งหมบู่ ้านโอปาสาทะ, ตารกุ ขพราหมณ์แห่งหมู่บ้านอิจฉานังคละ, โปกขรสา ติพราหมณ์แห่งเมืองอุกกัฏฐะ, ขานุสโสณิพราหมณ์แห่งเมืองสาวัตถี และโตเทยยพราหมณ์แห่งบ้านตุทิ โดยทง้ั หมดเป็นปุโรหติ ของพระเจ้าปเสนทิโกศล๓๗๐ ในคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ กมีเร่ืองราวเก่ียวกับชานุสโสณอิ ย่หู ลายแหง่ ความสังเขปดงั ต่อไปน้ี ในนิพพุตสูตร พรรณนาถึงพราหมณ์ชานุสโสณิได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลถามถึง สภาวะของพระนิพพานว่าเป็นสภาวะท่ีผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นได้ด้วยตนเองว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะเหตุใด พระนิพพานจงึ ไมป่ ระกอบด้วยกาล ควรเรียกใหม้ าดู ควรน้อมเข้ามาในตน อนั วญิ ญูชนพงึ รู้เฉพาะตน ตอ่ ปญั หานี้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดต้ รัสตอบวา่ บุคคลผู้มีราคะ ถูกราคะครอบงา มีจิตถูกราคะ โทสะ โมหะกลมุ้ รุม ย่อมคิดเพ่อื เบียดเบียนตนเองบา้ ง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพ่ือท้ังเบียดเบียนตนและผู้อ่ืน บ้าง เสวยทุกขโทมนัส เม่ือละราคะ ละโทสะ และละโมหะได้แล้ว ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น ไม่เสวยทกุ ขโทมนสั ทางใจ นพิ พานจงึ ช่ือว่าเป็นสภาวะทผี่ ปู้ ฏิบัติจะพงึ เหน็ ไดด้ ้วยตนเอง๓๗๑ ในชานุสโสณิสูตร พรรณนาพราหมณ์ชานุสโสณิได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงท่ีประทับ กราบทูลเสนอประเด็นเรื่องพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ ว่า หมายเอาพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการ ประกอบด้วย (๑) ชาติกาเนิดดีทง้ั ฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา ปฏิสนธิบริสุทธ์ิตลอด ๗ ช่ัวโคตร (๒) คงแก่เรียน ทรงจามนต์ (๓) รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เขา้ ใจตัวบท และไวยากรณ์ ชานาญโลกายตศาสตร์ และลักษณะมหาบรุ ษุ ๓๗๒ ประเด็นเดียวกันน้ี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงผู้ได้วิชชา ๓ ในอริยวินัยว่า หมายเอาผู้ท่ี บรรลุฌานปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จิตเป็นสมาธิบริสุทธ์ิผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก ความเศร้าหมอง เหมาะแก่การงาน ต้ังม่ัน ไม่หวั่นไหวแล้ว ย่อมน้อมไปในปุพเพนิวาสนุสสติญาณบ้าง จตูปปาตญาณบ้าง อาสาวักขยญาณบ้าง จิตหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ อยู่จบ พรหมจรรย์ ในอภยั สตู รพรรณนาเรอ่ื งราวพราหมณ์ชานสุ โสณไิ ดเ้ ข้าไปเฝา้ พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงท่ีประทับ กราบทลู ความเหน็ ของตนเองวา่ สัตวท์ ่ีมีความตายเปน็ ธรรมดา ท่ีช่ือว่าไม่กลัวความตาย ไม่สะดุ้งต่อความ ตาย ไมม่ ี แตพ่ ระพทุ ธเจา้ กลบั แยง้ ว่า สตั วท์ ่ีมีความตายเป็นธรรมดา แตไ่ ม่กลวั ความตาย ไม่สะดุ้งต่อความ ๓๖๘ ขุ.พทุ ธฺ .อ.(ไทย) ๙/๒/๔๐๕. ๓๖๙ ขุ.พทุ ฺธ. (ไทย) ๙/๒/๕๘๗. ๓๗๐ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๕๑๙/๓๓๒. ๓๗๑ อง.ฺ ทกุ .(ไทย) ๒๐/๕๖/๒๑๙. ๓๗๒ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๒๐/๖๐/๒๒๙.

๑๒๗ ตายนั้น มีอยู่ จากน้ันจึงทรงแสดงเหล่าสัตว์ทั้งท่ีมีความตายเป็นธรรมดา ทั้งกลัวต่อความตาย สะดุ้งต่อ ความตาย และเหล่าสตั ว์ทม่ี ีความตายเป็นธรรมดา แต่ไม่กลัวต่อความตาย และไม่สะด้งุ ตอ่ ความตาย๓๗๓ ชาลิยะ,ปริพพาชก ชาลิยปริพพาชก เป็นศิษย์ของทารุปัตติกะ (นักบวชผู้นิยมใช้บาตรไม้) วันหน่ึง พร้อม กบั มณั ฑิยปรพิ พาชก ได้เขา้ เฝา้ พระผู้มีพระภาคเจ้าขณะทรงประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ทูล ถามปัญหาเร่ืองชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกันหรือว่าคนละอย่างกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า พระองคไ์ มต่ รสั วา่ ชีวะกับสรรี ะเปน็ อย่างเดยี วกนั หรอื ว่าชวี ะกบั สรีระเปน็ คนละอย่างกนั ๓๗๔ ในอรรถกถาชาลยิ สูตร พรรณนาความเพ่ิมเติมว่า สาเหตุท่ีชาลยิ ปรพิ พาชกยกวาทะข้ึนทูลถาม พระพุทธเจ้าเช่นน้ันด้วยประสงค์ว่า หากพระพุทะเจ้าตรัสว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน วาทะของ พระองค์ก็จะเป็นอุจเฉททิฏฐิ ถ้าทรงตอบว่า เป็นคนละอย่างกัน วาทะของพระองค์ก็จะเป็นสัสตทิฏฐิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความดารินั้น จึงแสดงด้วยหลักมัชฌิมาปฏิปทา ทรงงดใช้คาว่า “หรือ” เพราะคาน้ีบง่ บอกถึง ความไม่รแู้ จ้งตามความจริง พระองค์จึงตรัสว่า ผู้รู้ตามความเป็น ย่อมไม่พูดว่า ชีวะ กับสรรี ะเป็นอยา่ งเดยี วกัน หรอื เป็นคนละอย่างกนั ชีวกโกมารภัจ หมอชีวกโกมารภจั จ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี นครโสเภณีประจาเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ใน สมัยนั้นตาแหนง่ นีม้ ีเกยี รตยิ ศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีต้งั ครรภ์โดยบังเอิญ เม่ือคลอดบุตร ชายออกมา จงึ สง่ั ให้สาวใช้นาไปท้ิง แต่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนามาเล้ียงเป็น บุตรบุญธรรม ช่ือ ชีวก ตั้งขึ้นตามคากราบทูลตอบคาถามของอภัยราชกุมารที่ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่ หรอื เปล่า มหาดเลก็ กราบทลู วา่ ยังมีชีวติ อยู่ (ชวี โก) ส่วนคาว่า โกมารภจั จ์ แปลวา่ กมุ ารท่ีได้รับการเล้ียง ดู หรอื กมุ ารในราชสานัก หมายถึง บตุ รบญุ ธรรม นน่ั เอง เม่ือเติบโตข้ึนชีวกโกมารภัจจ์ถูกพวกเด็ก ๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะ จึงหนีพระบิดาไปเรียนศิลปวิทยาท่ีเมืองตักสิลา เพื่อเอาชนะคาดูหม่ิน วิชาท่ีเลือกเรียนคือวิชาแพทย์ แต่ เนือ่ งจากไม่มีคา่ เล่าเรียน จึงอาสารบั ใช้อาจารย์เป็นการตอบแทน ได้เลา่ เรียนเป็นระยะเวลา ๗ ปี จึงขอลา อาจารย์กลับบ้าน ระหว่างนั้น อาจารย์ได้ทดสอบความรู้ ด้วยการให้ไปหาต้นไม้ที่ทายาไม่ได้ให้เก็บ ตัวอย่างมาให้ดู ปรากฏว่าชีวกโกมารภัจจ์กลับมามือเปล่า เพราะต้นไม้ทุกต้นใช้ทายาได้ทั้งหมด อาจารย์ บอกว่าเขาได้เรียนจบแล้ว จึงอนุญาตให้กลับได้ หลังจากกลับถึงเมืองแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพิสารให้ หายขาดจากโรคริดสีดวงทวาร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง แต่ ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนน้ีให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกท้ังหลาย และได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจา พระองคอ์ ีกด้วย ด้วยความท่ีเป็นคนบาเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือกฐานะ จึงได้รับการยก ยอ่ งจากพระพทุ ธเจ้าวา่ เปน็ เอตทัคคะ ในดา้ นเปน็ ท่ีรักของปวงชน ๓๗๓ อง.ฺ จตกุ กฺ .(ไทย) ๒๑/๑๘๔/๓๖๑. ๓๗๔ ที.สี.(ไทย) ๙/๓๗๙/๑๕๙.

๑๒๘ ในวงการแพทย์แผนโบราณในปจั จุบันนี้ ถอื วา่ หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็น บรมครูแห่งการแพทย์ แผนโบราณ เปน็ ทเี่ คารพของประชาชนท่วั ไป ชณุ หะ,พระราชา พระเจ้าชุณหะ มาในชุณหชาดกแห่งขุททนิกาย ชาดก๓๗๕ อรรถกถามีเนื้อความพรรณนา เพิม่ เตมิ ดงั น้ี พระเจ้าชุณหะ เป็นพระโพธิสัตว์ กาเนิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองราช สมบตั ิในกรุงพาราณสี เมื่อเจริญวัยไดท้ รงศึกษาศิลปะในกรุงตักกศลิ า วันหนึ่งได้ทาตุ่มของพราหมณ์ผู้หน่ึง แตก จึงถูกเรียกค่าเสียหาย แต่ไม่มีเงินชดใช้ จึงได้บอกไปว่า ตนเองเป็นมกุฎราชกุมาร ได้ครองราชย์ สมบัตเิ ม่ือใด ขอใหไ้ ปรบั ทรัพยค์ ่าเสียหายนีไ้ ด้ ต่อมาเม่ือชุณหกุมารได้ครองราชย์สมบัติ พราหมณ์ทราบเร่ือง จึงได้ออกเดินทางไปยังเมือง พาราณสีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้ พราหมณ์ได้เรียกร้องหลายประการนับตั้งแต่บ้าน ส่วย ทาสี โค ทองเนื้อดี และภรรยา ซ่ึงก็ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าชุณหะตามความประสงค์ทุก ประการ๓๗๖ โชตปิ าละ,มาณพ โชตปิ าละ ปรากฏชือ่ หลายแหง่ ในพระไตรปิฎก ในทีฆนิกาย มหาวรรค ระบุเป็นบุตรของโควินทพราหมณ์ เป็นสหายกับโชติปาลมาณพ และ กษตั รยิ อ์ กี ๖ พระองค๓์ ๗๗ ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พรรณนาถึงสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ โชติปาล มาณพเป็นสหายกับนายช่างหม้อช่ือฆฏิการะ วันหน่ึงฆฏิการะได้ชวนโชติปาลมาณพเข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ โชติปาลมาณพไม่ได้นับถือ จึงตอบปฏิเสธไปทุกครั้ง ภายหลังถูกรบเร้าถึง ขนาดจับเส้นผมดึงชวนไป ทาให้โชติปาลมาณพบังเกิดความคิดว่า ฆฏิการเกิดในตระกูลต่า แต่บังอาจจับ ผมตนเองชวนไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาคเจ้า นา่ จะไม่ใชเ่ รือ่ งเล็กน้อย คิดดังน้ัน จึงยอมไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้าพระนามวา่ กัสสปะ๓๗๘ โชติปาลมาณพได้เข้าเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้ฟังธรรม เกิดความเล่ือมใส จึงไดท้ ลู ขออปุ สมบท ขณะที่ฆฏกิ าระ แม้ปรารถนาจะบวช แตด่ ้วยความทตี่ ้องเลีย้ งดูบิดามารดาซ่ึงตาบอด จงึ ไมส่ ามารถตัดใจลาบวชได้ ในอรรถกถาพุทธวงศ์ระบุว่า โชติปาลมาณพเป็นพระโพธิสัตว์ เรียนจบไตรเพท มีชื่อเสียงใน การทายลกั ษณะพ้นื ดนิ และลกั ษณะอากาศ เป็นสหายของฆฏิการะ ผู้เป็นช่างหม้อ ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคเจา้ เกดิ ความเล่ือมใส ออกบวช ยงั พระศาสนาใหง้ ดงามดว้ ยการปฏบิ ัตขิ ้อวัตรน้อยใหญ่๓๗๙ ๓๗๕ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๓/๓๕๖. ๓๗๖ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๖/๒๒. ๓๗๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๐๔/๒๓๘. ๓๗๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๘๔/๓๔๐. ๓๗๙ ขุ.พุทธฺ .(ไทย) ๙/๒/๖๗๙.

๑๒๙ ในอังคุตตรนิกาย ปรากฏช่ือโชติปาละ เป็นครู หรือเจ้าลัทธิหน่ึงที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง ประกอบด้วย ครูสุเนตตะ ครูมูคปักขะ ครูอรเนมิ ครูกุททาลกะ ครูหัตถิปาละ ครูโชติปาละ เป็นผู้แสดง ธรรมเพอ่ื ความเกิดในพรหมโลก๓๘๐ โชติยะ, คหบดี โชติยคหบดี ปรากฏในทีฆาวุอุปาสกสตู รแห่งสังยุตตนิกาย มหาวรรค๓๘๑ ความพรรณนาไว้ว่า โชติยคหบดีเป็นบิดาของทีฆาวุอุบาสก วันหนึ่งทีฆาวุอุบาสกป่วยหนัก ได้ขอร้องให้พ่อไปนิมนต์ให้ พระพทุ ธเจ้ามาโปรดท่เี รือน พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์ทีฆาวุอุบาสกตามคากราบทูลอาราธนาของโชติย คหบดีผู้เป็นบิดา โดยได้เสด็จมายังเรือน ตรัสถามอาการแล้ว ทรงแสดงคุณเครื่องแห่งการบรรลุโสดาบัน แกท่ ีฆาวอุ ุบาสก หลงั จากพระผู้มพี ระภาคเจา้ เสดจ็ จากไปไมน่ าน ทีฆาวุอุบาสกถึงแก่กรรม พร้อมกับได้รับ การพยากรณจ์ ากพระผมู้ พี ระภาคเจ้าว่า ทีฆาวุอุบาสกไม่กลับมาสู่โลกนี้อกี จักไดบ้ รรลพุ ระอรหันต์ในภพที่ เกิดนั้น ฌ ไม่พบ ญ ไมพ่ บ ฏ ไมพ่ บ ฐ ไม่พบ ฑ ไมพ่ บ ฒ ไมพ่ บ ณ ไมพ่ บ วรรค ต ต ตครสิขี,พระปัจเจกพุทธเจ้า ตรคสขิ ี เปน็ พระนามของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองคห์ น่งึ ในคมั ภีร์พรรณนาไว้ว่า พระปัจเจก พุทธเจ้าพระองค์น้ีอาศัยอยู่ที่ภูเขาอิสิคิลิ นอกจากพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์น้ี ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า อีกหลายพระองค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงระบุถึงว่าเป็นผู้อาศัยอยู่ท่ีภูเขาอิสิคิลิเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย ๓๘๐ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๙. ๓๘๑ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๙๙๙/๔๙๑.

๑๓๐ พระอรฏิ ฐะ, พระตครสิขี, พระยสัสส,ี พระปยิ ทสั ส,ี พระคันธาระ, พระปิณโฑละ, พระอุปาสภะ, พระนิถะ , พระสุตวา, พระภาวติ ัตตะ๓๘๒ ในทุติยอปุตตกสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสปรารภถึงคหบดีท่านหนึ่งในอดีตชาติ ได้สั่งให้คน จัดเตรียมอาหารถวายบิณฑบาตถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าตครสิขี แต่ต่อมาภายหลังเกิดความ เสยี ดายวา่ อาหารน้ถี ้าให้ทาสหรือกรรมกรบรโิ ภคยังจะดีกว่า และคหบดีท่านนี้ ต่อมาได้ฆ่าบุตรของพี่ชาย เพราะเหตุแหง่ ทรพั ย์ ด้วยผลกรรมดังกล่าว ในชาตินี้จึงเป็นคนไม่มีบุตร ตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติจึงถูกยึด เข้าคลงั หลวง๓๘๓ ในขุททกนกิ าย อทุ าน๓๘๔ พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ไดต้ รสั อดีตชาติของชายโรคเรื้อนช่ือสุปปพุทธะ ว่า ในอดีตชาติเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ว่า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าตครสิขีกาลังเดิน บณิ ฑบาต เกดิ ความไม่พอใจ ตาหนใิ นใจวา่ พวกข้ีเรื้อน นุ่งผา้ สกปรกเทย่ี วขอทาน จากนั้นก็ถ่มน้าลายเดิน แซงท่านไป ด้วยผลกรรมน้ัน จึงตกนรกหลายพันปี เพราะเศษกรรมท่ีเหลือ จึงเกิดเป็นชายโรคเรื้อน กาพร้า และเป็นคนยากไร้ อาศัยอย่ใู นเรืองราชคฤห์ ตปสุ สะ,พอ่ คา้ ตปสุ สะ เปน็ พ่อคา้ เดนิ ทางไกลมาจากอุกกลชนบท คู่กบั ภัลลกิ ะ เปน็ ผ้ถู วายสตั ตุผงและสัตตุ กอ้ นปรงุ ดว้ ยนา้ ผงึ้ แดพ่ ระพุทธเจา้ ภายหลังการตรัสรแู้ ละเสวยวมิ ุตตสิ ขุ และเป็นบคุ คลแรกที่เข้าถงึ พระ รัตนตรัย ๒ คอื พุทธรตั นะ ธรรมรัตนะ เรียกวา่ เทววาจกิ อุบาสก๓๘๕ ตาลบุตร, นาย นายตาลบุตร มาในตาลปุตตสูตรแห่งสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค๓๘๖ ความพรรรณนาไว้ว่า นายตาลบุตรไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระผูม้ พี ระภาค กราบทูลถามปัญหาที่มีอาจารย์ท่านหน่ึงสอนไว้ว่า นักแสดงคน ใดก็ตามทส่ี ามารถทาให้บุคคลอืน่ หัวเราะ รื่นเรงิ ด้วยคาจริงบ้าง เท็จบ้าง ผู้น้ันเมื่อชีวิตหาไม่แล้ว จะได้ไป บงั เกิดเป็นสหายของเทวดาผู้ร่ืนเรงิ ขอ้ นีเ้ ท็จจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าปฏิเสธที่จะไม่ตอบหลายครั้ง แต่นายตาลบุตรก็ยังคงร้องขอ จึงตรัสตอบตาม ความเปน็ จรงิ ว่า โดยปกติ สตั ว์ท้ังหลายก็ถูกกิเลสมีราคะ โทสะ โมหะครอบงาอยู่แล้ว นักเต้นราท้ังหลาย ยังจะไปเพิ่มกิเลสมีราคะ โทสะ และโมหะอีก ตนเองมีความประมาทเป็นปกติอยู่แล้ว กลับส่งเสริมให้คน อื่นประมาทตามด้วย นักเต้นราเหล่านี้เม่ือตายไป ย่อมมีคติเพียง ๒ ประการเท่าน้ัน คือนรกหรือกาเนิด เดยี รจั ฉานอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ นายตาลบุตรได้ฟังพระดารัสเช่นน้ันก็เกิดความเสียใจ ด้วยตนเองถูกอาจารย์หลอกมาเป็น ระยะเวลายาวนาน แต่พระดารัสวันน้ีกระจ่างแจ้งย่ิงนัก จากน้ันจึงขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และทูล ขอบรรพชาอุปสมบท ครั้นได้บรรพชาอุปสมบทได้ไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ เพยี ร มีใจแนว่ แน่ ดารงอยใู่ นความเป็นพระอรหนั ต์ ๓๘๒ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๑๓๔/๑๗๑. ๓๘๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๓๑/๑๕๘. ๓๘๔ ขุ.อุ.(ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๘. ๓๘๕ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๖/๑๐. ๓๘๖ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๕๘๙/๓๑๔.

๑๓๑ ตารุกขะ, พราหมณ์ ตารรุ กขพราหมณ์ อาศัยอยู่ท่ีหมู่บ้านอิจฉานังคละ ถือเป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่ท่ีมีช่ือเสียงคนหนึ่ง ในบรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย ความเป็นคนมีช่ือเสียง จึงมักมีผู้นาเรื่องของท่านมากล่าวถึง เช่น ในเตวิชช สตู ร๓๘๗ วาเสฏฐมาณพ (ศิษย์ของโปกขรสาติ) กับภารัทวาชมาณพ (ศิษย์ของตารุกพราหมณ์) เกิดการโตะ เถียงกันเรื่องทางและมิใช่ทาง วาเสฏฐมาณพเห็นว่า ทางที่โปกขรสาติพราหมณ์บอกเท่านั้นเป็นทางตรง เป็นทางนาออก นาผู้เดินไปสู่ความเป็นอยู่ร่วมกับพรหมได้ ขณะที่ภารัทวาชะแย้งว่า ทางที่ตารุกข พราหมณ์บอกตา่ งหาก เป็นทางตรง เป็นทางนาออก นาผ้เู ดนิ ส่คู วามเปน็ พรหมได้ ท้ังสองไม่สามารถให้กัน และกันยนิ ยอมได้ จึงไปกราบทูลใหพ้ ระพุทธเจา้ เป็นผ้ตู ัดสนิ ในวาเสฏฐสูตร๓๘๘ ได้พรรณนาถึงศิษย์ของตารุกขพราหมณ์ (ภารทวัชชมาณพ) และศิษย์ของ โปกขรสาติพราหมณ์ (วาเสฏฐมาณพ) ได้ถกปัญหาเร่ืองพราหมณ์ว่า เป็นโดยสายเลือดหรือว่าเป็นโดย กรรมคือการกระทา เม่อื ไมส่ ามารถให้กันและกนั ยนิ ยอมได้ กไ็ ดเ้ ข้าไปกราบทลู ใหพ้ ระพุทธเจ้าเปน็ ผู้ตดั สนิ ตนิ ทุกขาณุ, ปริพพาชก ตินทุกขาณุปริพพาชกปรากฏในคัมภีร์ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค๓๘๙ รายละเอียดเนื้อหามีแต่เพียง ว่า พวกเจ้าลิจฉวี พราหมณ์มหาศาล คหบดี และพราหมณ์ลัทธิต่าง ๆ ทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปที่สานักของนักบวชชีเปลือยปาฏิกบุตร จึงพากันเดินทางไปที่สานักของปาฏิกบุตร ท้ังน้ีด้วย ประสงคจ์ ะเหน็ การโต้วาทะระหว่างพระพุทธเจา้ กบั นักบวชชเี ปลือยปาฏกิ บตุ ร ฝ่ายนักบวชชีเปลือยปาฏิกบุตร ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้ากาลังเสด็จมาที่สานักก็รู้สึกกลัว ตัว สนั่ ไมก่ ล้าทีจ่ ะอยู่เผชิญหน้า จงึ หนไี ปท่ีอารามของตนิ ทุกขาณปุ ริพพาชก ความทเ่ี กยี่ วข้องกบั ตินทุกขาณปุ ริพพาชกในคัมภรี ์พระไตรปิฎกมเี พียงเท่าน้ี ติมพรุกขะ, ปรพิ พาชก ตมิ พรุกขปริพพาชก มาในสังยุตตนกิ าย นิทานวรรค๓๙๐ เน้อื ความพรรณนาว่า พราหมณ์ได้เข้า ไปเฝ้าและทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่ที่เขตกรุงสาวัตถี ปัญหาท่ีทูลถามต้องการให้ พระพุทธเจ้ายนื ยนั ลักษณะใดลกั ษณะหนึง่ เช่น สุขและทุกข์เปน็ ท่สี ิ่งตนเองกระทาเองทาใชไ่ หม สขุ และทกุ ขเ์ ป็นสิ่งที่คนอืน่ กระทาให้ สขุ และทุกข์เป็นสง่ิ ท่ตี นเองกระทาดว้ ย และเป็นสงิ่ ท่ีคนอื่นกระทาให้ด้วย สขุ และทกุ ขเ์ ปน็ ส่ิงท่ีไมใ่ ชต่ นเองกระทาด้วย และไมเ่ ปน็ สิ่งท่ีคนอื่นกระทาให้ดว้ ย เป็นตน้ ซ่ึงท้ังหมดน้ัน พระพุทธเจ้าตรัสห้ามท้ังหมดว่า “อย่ากล่าวอย่างนั้น” ทรงหลีกเลี่ยงการตอบปัญหาท่ี นาไปสู่ความสุดโต่ง ๒ ทาง ทรงตอบโดยอาศัยหลักทางสายกลาง “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขาร ๓๘๗ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๕๑๘/๒๓๐. ๓๘๘ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๕๖๐/๖๔๔. ๓๘๙ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๑/๑๗. ๓๙๐ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๘/๓๐.

๑๓๒ ทั้งหลายจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ ความเกิดข้ึนแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วย ประการฉะนี้”๓๙๑ ตสิ สเถระ, พระ ตสิ สเถระ ปรากฏชือ่ หลายแห่งในคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก จาแนกตัวบุคคลและสถานะแตกต่างกัน ดังนี้ (๑) พระติสสเถระผู้ทรงพระวินยั พระติสสเถระ ในฐานะพระเถระผู้ทรงพระวินัย๓๙๒ ซ่ึงถูกได้รับการระบุช่ือเป็นทอด ๆ นบั ตั้งแต่ ในชมพูทวปี ๕ รปู ประกอบด้วย พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ และพระโมค คัลลีบุตร อีก ๕ ท่าน ประกอบด้วย พระมหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัทท บัณฑติ เดินทางมาจากชมพูทวปี สเู่ กาะลงั กา ซ่ึงต่อมาก็มีผู้รับช่วงสืบทอด ประกอบด้วย พระอริฏฐะ พระ ติสสทัตตะ พระกาฬสมุ นะ พระทีฆะ ต่อมากม็ ีพระกาฬสมุ นะ พระนาคะ พระพุทธรักขิตะ พระติสสะเถระ ผู้มปี ัญญา และพระเทวเถระผ้เู ปน็ บณั ฑิต นับลาดับต่อมาได้แก่ พระสุมนะ พระจูฬนาคะ พระธัมมปาลิตะ พระเขมะผู้เป็นศิษย์ของ พระธัมมปาละ พระอุปตสิ สะ พระปุสสเทวะผูเ้ ป็นมหาธรรมกถึก ต่อมา พระสุมนะผู้มีปัญญา พระมหาปทุมะผู้เป็นพหูสูต พระมหาสีวะผู้เป็นมหาธรรมกถึก ฉลาดในพระไตรปิฎกทัง้ หมด ตอ่ มา พระอบุ าลีผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย พระมหานาคะผู้มีปัญญา ฉลาดในวงศ์พระ สัทธรรม ตอ่ มา พระอภยะผู้มีปญั ญา ฉลาดในพระไตรปฎิ กทง้ั หมด พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา เช่ียวชาญ ในพระวินัย พระสุมนา ผู้มีปัญญามาก ผู้เป็นศิษย์ของพระติสสเถระนั้น เป็นพหูสูต รักษาพระศาสนาต่อ กนั มาอยู่ในชมพูทวีป พระจูฬาภยะผ้มู ปี ัญญา และเช่ียวชาญในพระวนิ ยั พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา ฉลาดในวงศ์พระ สัทธรรม พระจูฬเทวะผู้มีปัญญา และเชี่ยวชาญในพระวินัย พระสิวเถระผู้มีปัญญา ฉลาดในพระวินัย ทั้งหมด จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้น สันนิษฐานได้ว่า มีพระเถระชื่อติสสะผู้ทรงพระวินัย และทา หนา้ ทีส่ ืบตอ่ พระวินัย มากกวา่ ๑ รูป ท้งั เกดิ ในยคุ สมยั ทีแ่ ตกตา่ งกันด้วย (๒) พระติสสะเถระ ผวู้ า่ ยาก พระติสสเถระผู้น้ี ปรากฏอยู่ในติสสเถรวัตถุ แห่งยมกวรรค ขุททนิกาย ขุททกปาฐะ๓๙๓ มี เน้อื ความพรรณนาไวใ้ นอรรถกถาธรรมบท๓๙๔ โดยสังเขป ดังนี้ พระตสิ สะ เป็นพระโอรสพระปิตจุ ฉา (ลงุ ) ของพระพุทธเจ้า บวชตอนแก่ บริโภคลาภสักการะ ที่เกิดในพระศาสนา ทาให้ร่างกายอ้วนพี นุ่งห่มจีวรเรียบร้อย และชอบไปนั่งอยู่ท่ีศาลาโรงฉันกลางวิหาร พวกภิกษุอาคันตุกะมาเฝ้าพระศาสดา เห็นพระติสสะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ จึงได้เข้าไปหา และถามถงึ วตั รต่าง ๆ แตเ่ ธอกลับนง่ิ พวกภกิ ษุอาคันตกุ ะจงึ ไดส้ อบถามว่า มีพรรษาเท่าไรแล้ว คร้ันทราบ ๓๙๑ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๑๘/๓๑. ๓๙๒ วิ.ปร.ิ (ไทย) ๘/๓/๕. ๓๙๓ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓/๒๔. ๓๙๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๘.

๑๓๓ ความจรงิ ว่า เพง่ิ บวชใหม่ ยงั ไมม่ ีพรรษา กต็ าหนิพระติสสะว่า หลวงตาแก่ฝึกยาก ไม่รู้จักฐานะของตนเอง เหน็ พระเถระผู้ใหญ่แลว้ กย็ ังไมท่ าวัตรแมส้ กั ว่าสามจี ิกรรม พระติสสะเกิดขัตติยมานะ แสดงอาการไม่พอใจ และตั้งใจจะเอาเรื่องพระอาคันตุกะเหล่าน้ัน ให้ถึงที่สุด จงึ ไปเฝ้าพระศาสดา เพ่อื ให้ทรงจัดการเรอ่ื งนี้ แม้ภิกษอุ าคันตุกะเหล่านั้นก็ตามไป ด้วยเกรงว่า พระติสสะจะไปใส่ความใหเ้ สียหาย เม่ืออยู่พร้อมพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ทรงไต่สวนทวนถาม ครั้นทราบความจริง ทั้งหมดแล้ว ทรงเห็นว่า พระติสสะทาไม่ถูกต้อง จึงรับส่ังให้ขอโทษต่อพระอาคันตุกะ แต่พระติสสะก็ไม่ ยอมขอโทษ โดยยืนยันว่า พระอาคันตุกะด่าตนก่อน แม้จะได้รับการเตือนจากพระพุทธเจ้า แต่เธอก็ไม่ ปฏิบัติตาม กลายเป็นคนว่ายาก และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ปรารภความเป็นผู้ว่ายากของพระติสสะว่า มใิ ช่เป็นแตช่ าตนิ ้เี ทา่ นั้น ชาติก่อนเธอกเ็ ปน็ คนวา่ ยากแบบนีเ้ หมอื นกนั (๓) พระตสิ สะเถระผอู้ ยใู่ นนิคม พระติสสเถระรูปน้ี อยู่ในนิคม เรียกช่ือตามท่ีอยู่ว่า “นิคมวาสีติสสเถระ” เป็นตัวอย่างของ พระผู้ยินดีในความไม่ประมาท มีปกติเห็นภัยในความประมาท๓๙๕ มีเน้ือความพรรณนาไว้ในอรรถกถา ธรรมบทโดยสงั เขป๓๙๖ ดังนี้ พระติสสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี และผู้อุปัฏฐากของพระสารีบุตร ตอน ตั้งครรภ์มารดาแพ้ท้อง ปรารถนานิมนต์พระ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเป็นประธานให้นั่งในเรือน ถวาย ปายาสเจือด้วยน้านมลว้ น ส่วนตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งท้ายอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาส อันเป็นเดนของภกิ ษทุ งั้ หลาย เม่อื ไดญ้ าติ ๆ จัดแจงดาเนินการให้ อาการแพ้ทองก็สงบ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในครรภ์ มารดาได้บาเพ็ญกุศลเนือง ๆ แม้ในเวลาคลอดแล้ว ญาติ ท้งั หลายกไ็ ด้ถวายข้าวปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเป็นประธาน และในวัน นั้น ทารกน้อยได้ถวายผ้ากัมพลท่ีติดมือไปแก่พระเถระ พระเถระจึงได้ถามชื่อเด็ก ญาติท้ังหลายก็บอกว่า ชื่อเหมอื นพระผเู้ ป็นเจา้ พระสารบี ตุ รจงึ ตั้งชอื่ ใหว้ ่า ติสสะ ติสสะเม่อื เจริญวัยได้ ๗ ขวบ กป็ รารถนาจะบวช จึงได้ขออนุญาตมารดาบวชในสานักพระสารี บตุ ร มารดาจงึ ได้นาไปถวายพระเถระในเวลาเยน็ วนั หนึ่ง พระเถระไดจ้ ดั แจงให้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่ บัดนั้น สามเณรติสสะครั้นบวชแล้ว ได้มีลาภสักการะมาก ด้วยผลทานที่ตนได้บาเพ็ญมาแล้วในอดีต วันแรกที่ออกบิณฑบาต สามเณรได้บิณฑบาตพันหน่ึง ผ้าสาฎกพันหน่ึง และได้ถวายบิณฑบาตและผ้า สาฎกเหล่านน้ั แก่ภกิ ษุสงฆ์ทงั้ หมด ภกิ ษุทั้งหลายจึงขนานนามสามเณรว่า “ปิณฑปาตทายกติสสะ” ถึงฤดู หนาว สามเณรได้อาศัยบารมีของตน ถวายผ้ากัมพลแก่ภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ รูป จึงได้นามเพิ่มอีกว่า “กมั พลทายกติสสะ” คร้ันต่อมาอีก สามเณรเบ่ือหน่ายกับการคลุกคลีในหมู่คณะ จึงได้เรียนกัมมัฏฐานจากสานัก พระศาสดา เดินทางไกล ๑๒๐ โยชน์ อาศัยอุบาสกผหู้ นึ่ง อยู่ที่ป่าบาเพ็ญสมณธรรม เวลาผ่านไป ๓ เดือน กไ็ ดบ้ รรลพุ ระอรหันตพ์ ร้อมด้วยปฏสิ มั ภิทา ไดร้ บั สมัญญานามใหมเ่ พม่ิ อกี ว่า “วนวาสตี ิสสะ” ครั้นปวารณาออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรพร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายมีพระมหากัสส ปะ พระอนุรุทธะ พระอุบาลีเถระ พระปุณณเถระ เป็นต้น ได้เดินทางไปเยี่ยมสามเณรพร้อมด้วยภิกษุ ๓๙๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๒/๓๔. ๓๙๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๔๙๐-๕๐๘.

๑๓๔ ประมาณ ๕๐๐ รูป สรา้ งความปลาบปลื้มยนิ ดีแกอ่ บุ าสก อุบาสิกาทั้งหลายเป็นอย่างมาก ต่างก็ขวนขวาย บารุงพระภิกษุสงฆ์ท้ังหลาย เนื่องจากวันนั้นเป็นวันน้ันเป็นวันธรรมสวนะ พระเถระจึงมอบหมายให้ สามเณรแสดงธรรม ทันทีท่ีพระเถระบอกให้สามเณรแสดงธรรม อุบาสกทั้งหลายก็ลุกข้ึน พร้อมกับพูดว่า ตลอดเวลาท่ีผา่ นมา สามเณรกแ็ สดงธรรม ๒ บทเทา่ นนั้ คอื ขอให้ท่านท้ังหลายมีความสุข จงพ้นจากความ ทุกข์ สามเณรหารูธ้ รรมอนื่ ไม่ ขอไดโ้ ปรดมอบหมายให้พระธรรมกถึกรูปอ่ืนแสดงธรรมเถิด ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมา สามเณรแม้จะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา แต่ก็ไม่เคย กล่าวธรรมกถาแก่อุปัฏฐากเหล่าน้ันเลย คร้ันอุปัชฌาย์มอบหมายให้แสดงธรรม จึงได้ปรารภเหตุผลนามา อธิบายเหตุให้เกิดสุข และเหตุให้พ้นจากทุกข์จากนิกายท้ัง ๕ จาแนกขันธ์ ธาตุ อายตนะ และโพธิปักขิย ธรรมดจุ มหาเมฆตัง้ ข้ึนใน ๔ ทวีปยังลกู เหบ็ ให้ตกอยู่ เม่ือสามเณรแสดงธรรมจบ มหาชนได้แตกเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งโกรธสามเณร อีกพวกหนึ่ง ยินดีท่ีได้ฟังธรรมอันวิจิตรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากสามเณร พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็น อุปนิสัยของอุปัฏฐากเหล่านั้น รุ่งขึ้น จึงได้เสด็จไปเยี่ยมสามเณร และแสดงคุณของสามเณรในท่ามกลาง บริษทั เหลา่ นัน้ โดยนัยเป็นต้นว่า การท่ีได้เห็นอสีติมหาสาวก มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นต้น ก็ เพราะอาศัยสามเณร แมพ้ ระองคเ์ สด็จมาน้ี กเ็ พราะอาศัยสามเณร มนุษย์ท้ังหลายได้ยินดังนั้น ท่ีโกรธอยู่ก็มีความยินดี ท่ียินดีแล้วก็ยินดียิ่งข้ึน ในเวลาจบ อนุโมทนา ชนเป็นอันมากได้บรรลอุ รยิ ผล มีโสดาปัตตผิ ลเป็นตน้ (๔) พระตสิ สเถระผู้มีร่างกายเนา่ เปื่อย พระติสสเถระรูปน้ี เป็นโรคเรื้อรัง ร่างกายของท่านเน่าเปื่อย ไม่มีผู้ดูแลรักษา กระท่ังสมเด็จ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปอนเุ คราะหเ์ ป็นการส่วนพระองค์ พร้อมทั้งตรัสเตือนสติด้วยพระคาถาว่า อีก ไม่นาน ร่างกายนี้จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ไม่มีประโยชน์๓๙๗ ความ พรรณนาไว้ในอรรถกถาธรรมบท๓๙๘ โดยสังเขป ดังน้ี พระติสสะ เดมิ เป็นชาวเมืองสาวัตถึ ไมป่ รากฏชือ่ บิดามารดา คัมภีร์พรรณนาไว้แต่เพียงว่า วัน หนึ่งได้ฟังธรรมกถาจากสานักของพระศาสดา ถวายชีวิตบวชในพระศาสนา แต่ต่อมาเกิดโรคพุพอง ร่างกายเต็มไปด้วยน้าเหลือง ลุกลามไปถึงกระดูก ไม่สามารถลุกไปไหนได้ นุ่งผ้านุ่งและผ้าห่มเปื้อนด้วย หนองและเลอื ด แม้มสี ทั ธวิ หิ าริก กไ็ ม่สามารถดูแลปฏบิ ตั ไิ ด้ ตา่ งทิ้งให้ท่านนอนรอความตายอยู่เพียงลาพัง เป็นท่เี วทนา พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ด้วยพระญาณอันเป็นทิพย์ มีพระ ประสงคจ์ ะอนุเคราะห์ จงึ ได้เสดจ็ ไปยังสานักของพระเถระ คร้ันเสดจ็ ไปถึงแลว้ ก็ทรงจัดแจงล้างหม้อ ใส่น้า ยกต้ังบนเตา ประทับยืนรอให้น้าร้อน ครั้นทรงทราบว่าน้าร้อนแล้ว ก็เสด็จไปจับปลายเตียงที่พระติสสะ นอน ภิกษทุ ้งั หลายเห็นเช่นน้นั จงึ ได้เขา้ ไป กราบทูลขอให้ทรงหลกี ไป จะชว่ ยกันจดั แจงเอง พระศาสดารับสั่งให้นารางมา เทนา้ รอ้ นใสแ่ ล้ว รับสง่ั ใหภ้ ิกษเุ หลา่ น้ันเปล้ืองผ้าห่ม ให้ขยาด้วย น้าร้อน แล้วให้ผ่ึงแดด ทรงประทับยืนอยู่ในท่ีใกล้ ทรงรดสรีระพระติสสะด้วยน้าอุ่น ทรงถูสรีระของเธอ ให้เธออาบนา้ แล้ว เม่อื ผา้ แห้งแลว้ กท็ รงชว่ ยให้เธอนุ่งห่ม ให้นอนบนเตียง เม่ือเห็นว่าเธอมีจิตเป็นอารมณ์ ๓๙๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๑/๓๘. ๓๙๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๐๐-๓๐๔.

๑๓๕ หนึ่ง ได้ทรงตรัสเตือนสติว่า ร่างกายน้ี เม่ือวิญญาณไปปราศแล้ว หาอุปการะมิได้ จักนอนบนแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ ในเวลาจบเทศนา พระปูติคัตตติสสะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาพร้อมทั้ง ปรนิ พิ พาน พระศาสดาโปรดใหท้ าสรีรกิจของท่าน ทรงเก็บอัฐิ แลว้ โปรดให้ทาเจดยี ์บรรจุไว้ หลังจากทาสรีรกิจ บรรจุอัฐพระติสสเถระเสร็จแล้ว ก็ทรงคลายข้อสงสัยของภิกษุว่า ทาไม รา่ งกายของพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์จึงเป็นเช่นน้ี โดยทรงยกบุพกรรมที่ได้เคยทา ไว้สมัยเป็นนายพรานนก ได้เคยจับนกหักกระดูกแข้ง กระดูกปีกไม่ให้บินได้ กองเอาไว้ รุ่งข้ึนก็เอาไปขาย บา้ ง กินบ้าง ดารงชีวติ อยดู่ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี วันหนึ่งได้เห็นพระขีณาสพรูปหนึ่งเท่ียวบิณฑบาต เกิดความเล่ือมใส จึงได้ถวายอาหาร บิณฑบาต แล้วไหว้พระเถรด้วยเบญจางคประดิษฐ์ พร้อมท้ังเปล่งวาจาว่า ขอให้ได้เช้าถึงธรรมที่พระ คุณท่านถึงแล้ว พระเถระได้อนุโมทนาขอใหเ้ ปน็ เช่นน้นั ด้วยบุพกรรมท่ีเคยจับนก และกุศลท่ีได้ถวายอาหารบิณฑบาต เกิดในชาตินี้ จึงมีโรคเกิดข้ึนท่ี สรรี ะเป็นทีร่ งั เกียจ และวาระสดุ ท้ายชวี ิต ก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ (๕) พระตสิ สะเถระชาวเมอื งโกสัมพี พระติสสเถระรูปนี้ เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งตามที่อยู่ของท่านว่า “โกสัมพีวาสีติสสเถระ” ได้รับ การพรรณนาไวใ้ นคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก ดว้ ยพระผู้มพี ระภาคเจ้าได้ทรงปรารภถึงสามเณรผู้เป็นอุปัฏฐากของ พระเถระ และได้ตรัสพระคาถาแก่พระเถระใจความสาคัญว่า ผู้หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ ย่อมมี มโนกรรมทส่ี งบ วจกี รรมทส่ี งบ กายกรรมทสี่ งบ๓๙๙ ความพรรณนาไวใ้ นอรรถกถาธรรมบทโดยสังเขป ดงั นี้ พระตสิ สะรูปนี้ อาศัยอยู่จาพรรษาในเมืองโกสัมพี คร้ันออกพรรษาแล้ว อุปัฏฐากได้นาผ้าไตร จีวร เนยใส และน้าอ้อยมาถวาย พระเถระไม่รับ ด้วยเหตุว่า ตนไม่มีสามเณรผู้เป็นกัปปิยการก อุปัฏฐาก ทา่ นจึงได้มอบบตุ รชายใหบ้ วชเปน็ สามเณรในสานกั ของพระเถระ สามเณรเป็นผู้มีอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ เพียงแค่ปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุเป็นพระ อรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา คร้ันอยู่ได้ก่ึงเดือน ก็นาสามเณรไปเฝ้าพระศาสดา ระหว่างทางก็ได้พักอยู่ที่ วหิ ารแหง่ หน่งึ สามเณรมัวแต่จัดแจงอาสนะเพ่ือพระเถระ ทาให้ไม่มีเวลาสาหรับการจัดการอาสนะเพื่อตน กลางคืนจึงได้อนุญาตใหส้ ามเณรอยูใ่ นห้องเดยี วกนั กบั ตน พระเถระเป็นปุถุชน ได้เวลานอนก็นอนหลับไปไม่มีสติ ขณะที่สามเณรคิดว่า วันน้ีเป็นวันที่ ๓ ที่นอนในที่นอนเดียวกับอุปัชฌาย์ ถ้าตนนอนหลับ พระอุปัชฌาย์ก็ต้องอาบัติ จึงได้นั่งสมาธิ ยังราตรีให้ ผ่านไป พระเถระลกุ ข้ึนในเวลาใกล้รงุ่ ประสงคจ์ ะใหส้ ามเณรออกไป จึงคว้าด้ามพัดยกข้ึนเพื่อตีเสื่อให้ สามเณรรู้สึกตัว แต่ด้ามพัดได้ถูกตาสามเณรแตก สามเณรแม้ตาแตกก็ไม่ปริปากพูด มือข้างหนึ่งกุมตาไว้ ออกไปข้างนอก ทากิจวัตรทุกอย่างด้วยมือข้างเดียว พระเถระตาหนิสามเณรที่ทาอย่างน้ัน เพราะถือว่า เป็นอาจาระท่ไี ม่สมควร สามเณรจึงได้กราบเรียนพระเถระตามความเป็นจริง พระเถระทราบเรื่อง เกิดความเดือดร้อนใจ ตาหนิตัวเองว่าทากรรมหนัก เกิดความสลดใจ ประคองอัญชลีขอให้สามเณรอดโทษให้ สามเณรได้กล่าวปลอบใจพระเถระ ให้ถือว่าเป็นกรรมของวัฏฏะ ๓๙๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๙๖/๕๙.

๑๓๖ แต่พระเถระก็หาได้เบาใจไม่ ถือเอาภัณฑะของสามเณร พาไปยังสานักของพระศาสดา พร้อมทั้งกราบทูล เหตุการณท์ ี่เกดิ ข้นึ ทัง้ หมดให้ทรงทราบ พระศาสดาไดย้ กเรอ่ื งนีเ้ ปน็ เหตุ ทรงแสดงธรรมแกพ่ ระเถระ ในเวลาส้ินพระธรรมเทศนา พระ เถระได้บรรลพุ ระอรหนั ต์พรอ้ มดว้ ยปฏสิ ัมภทิ า อุทาหรณ์จากเร่ืองพระติสสะผู้มีปกติอยู่ในเมืองโกสัมพี สะท้อนถึงสภาวะจิตของพระอรหันต์ วา่ มคี วามม่ันคงหนกั แนน่ ไมโ่ กรธ เปน็ ผ้มู ีอนิ ทรยี ส์ งบ และไมป่ ระทษุ ร้ายผใู้ ด (๖) พระตสิ สะเถระผู้เขา้ ถึงตระกลู ช่างแก้ว พระติสสเถระ ปรากฏในคัมภีร์ขุททนิกาย ธรรมบท๔๐๐ ความในอรรถกถา ไม่ปรากฏว่าบิดา มารดาของท่านเป็นใคร แต่มเี นอื้ ความพรรณนาไว้พอสงั เขป๔๐๑ ดงั ตอ่ ไปนี้ พระตสิ สะ ฉันในตระกลู ของนายช่างแกว้ ผู้หนึง่ ตลอดระยะเวลา ๑๒ ปี วันหนงึ่ ขณะที่พระเถระนั่งในเรอื น ไดร้ ับการบารุงอุปัฏฐากจากสองสามีภรรยาอยู่ ขณะท่ีสามี กาลังนั่งห่ันเนื้ออยู่ ราชบุรุษของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้นาแก้วมณีมาให้เจียรนัย จึงได้หยิบแก้วมณีทั้งที่ มือที่ยังเป้ือนเลือด แล้วนาไปวางไว้บนเขียง จากนั้นก็เข้าไปล้างมือ นกกะเรียนที่นายช่างเล้ียงไว้ ได้กล่ิน คาวเลือด เห็นแก้วมณีวางอยู่เข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อ จึงได้กลืนกินไป พระเถระเห็นเหตุการณ์ตลอด แต่ก็ ไม่ได้พูดอะไร เมื่อนายช่างออกมาไม่เห็นแก้วมณีก็ถามทุกคนในบ้าน แต่ไม่มีใครทราบเร่ือง สุดท้ายก็เกิด ความสงสยั พระเถระ แม้พระเถระกป็ ฏิเสธวา่ ไมไ่ ดเ้ อาไป ดว้ ยความกลวั ต่ออาญา จงึ ได้พยายามคาดคั้นเอากับพระเถระ แม้ท่านจะยืนยันว่าไม่ได้เอาไป ก็ยังคงคาดค้ัน เท่านั้นยังไม่พอ นายช่างแก้วได้จับพระเถระมัดมือมัดเท้า เอาเชือกพันศีรษะ ขันด้วยท่อน ไม้ เลือดไหลออกจากศีรษะ หู และจมูกของพระเถระ นัยน์ตาท้ัง ๒ ข้างถึงอาการทะลักออก ได้รับความ เจบ็ ปวดกระท่ังล้มสลบลง ขณะนน้ั นกกะเรียนท่ีนายช่างเล้ียงไว้ได้กลิ่นเลือด ก็ออกมา ช่วงขณะน้ัน นายช่างกาลังโกรธ อยู่ จงึ ได้เตะนกกะเรียนล้มกลิ้งตายทนั ที พระเถระเห็นก็ร้องขอให้ผ่อนเชือกก่อน ให้นายช่างไปดูว่านกกะ เรียนตายหรือยงั เมอ่ื รวู้ ่านกกะเรียนตายแลว้ ก็บอกความจริงให้ฟัง นายช่างได้ผ่าท้องนกกะเรียน และเห็น แก้วมณีตามทพี่ ระเถระบอก เกดิ ความเดือดร้อนใจ ได้กราบแทบเทา้ ขอใหพ้ ระเถระไดอ้ ดโทษ พระเถระได้อดโทษให้ พรอ้ มท้งั ปลอบใจว่า อย่าทกุ ขร์ อ้ นใจไปเลย นี้เป็นกรรมของวัฏฏะ และ ต้งั แต่บัดนนั้ เป็นตน้ มา ท่านก็สมาทานธุดงค์ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ไม่รับอาหารในเรือนสกุลอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ครั้นตอ่ มาไม่นาน ทา่ นกม็ รณภาพดว้ ยบาดแผลที่เกิดจากการทรมานของนายชา่ งมณีน้นั (๗) พระตสิ สเถระ พระติสสเถระ มาในขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท๔๐๒ ปรารภเหตพุ ระผูม้ พี ระภาคเจ้าตรัสพระคาถาว่า “สนิมเกิดจากเหล็ก คร้ันเกิดข้ึนแล้ว ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง ฉันใด กรรมทั้งหลายของตน ย่อมนาบุคคลผู้ ประพฤติล่วงโธนาไปสูท่ คุ ติ ฉะนน้ั ” ความในอรรถกถา มีพรรณนารายละเอียดเพม่ิ เตมิ ดังนี้ ๔๐๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๖/๗๐. ๔๐๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๓๓-๓๕. ๔๐๒ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๔๐/๑๐๗.

๑๓๗ พระติสสเถระ ชาติภูมิเดิมเป็นบุตรชาวกรุงสาวัตถีคนหน่ึง ต่อมาได้บรรพชาอุปสมบท อยู่จา พรรษา ณ วิหารใกล้ชนบท ได้ผ้าสาฎกเน้ือหยาบประมาณ ๘ ศอก คร้ันปวารณาออกพรรษาแล้ว ได้นา ผา้ นั้นไปมอบให้พส่ี าวเก็บไว้ ฝ่ายพ่ีสาวเห็นผ้าแล้วก็คิดว่า ผ้าสาฎกนี้ไม่สมควรแก่น้องชาย จึงได้จัดแจงตัดให้เป็นช้ินน้อย ช้ินใหญ่ โขลกในครกแล้วสาง ดีด กรอ ป่ันให้เป็นด้ายละเอียด แล้วให้ทอเป็นผ้าสากฎ มอบให้พระ นอ้ งชายคืนเมื่อคราวทาจีวร พระตสิ สะเถระ รับผา้ มาแลว้ กน็ ากลบั มามอบใหภ้ กิ ษแุ ละสามเณรชว่ ยกนั จดั แจงทาจีวร โดยมี พี่สาวจัดแจงข้าวยาคูและภัตเป็นต้นถวาย ในวันที่จีวรเสร็จ พ่ีสาวได้ทาสักการะมากมาย ท่านมองดูจีวร แล้วเกิดความเยื่อใยในจีวร คิดว่า พรุ่งน้ีจักห่มจีวรผืนน้ี พับพาดไว้ที่สายระเบียง ในคืนนั้นเอง ท่านไม่ สามารถใหอ้ าหารท่ฉี นั แลว้ ใหย้ ่อยได้ มรณภาพแลว้ เกิดเปน็ เล็นทจี่ วี รนนั้ ต่อมาเม่ือพวกภิกษทุ าสรีรกิจของท่านแล้วก็พูดข้นึ วา่ พระติสสะไม่มีอุปัฏฐาก จีวรย่อมตกเป็น ของสงฆ์ พวกเราจักให้แบ่งจีวรน้ัน ให้นาจีวรนั้นออกมาแล้ว เล็นน้ันวิ่งร้องไปข้างโน้นข้างน้ีว่า ภิกษุแย่ง จวี รของเราๆ พระศาสดาประทับยืนอยู่นพระคันธกุฏิ ทรงสดับเสียงน้ันด้วยโสตธาตุเพียงดังทิพย์ จึงตรัสให้ พระอานนท์ไปบอกพวกภิกษุอย่าเพิ่งแบ่งจีวรจนกว่าจะครบ ๗ วัน พระเถระก็ได้ทาตามรับส่ัง แม้เล็นน้ัน ในวันที่ ๗ กเ็ กิดในวิมานชั้นดสุ ิต ในวันท่ี ๘ พระศาสดาจึงรบั สัง่ ให้แบ่งจวี ร ภกิ ษทุ ง้ั หลายก็ทาอย่างนั้น แต่ ก็ด้วยความสงสัย จงึ ไดก้ ราบทูลถามเหตผุ ล พระศาสดาได้ตรัสว่า หากพวกเธอแบ่งจีวรในขณะนั้น จะทาให้เล็นเกิดความขัดเคือง และจัก ไปบงั เกิดในนรก แต่บัดน้เี ธอไปบังเกิดในสวรรคช์ ้ันดุสิตแลว้ จงึ อนุญาตให้แบ่งจีวร จากน้ันก็ทรงปรารภถึง ภยั ของตณั หาวา่ เปรยี บเสมอื นกับสนิม สนมิ เกดิ จากเหล็ก ย่อมกัดกินเหล็กให้เสยี หาย๔๐๓ (๘) พระตสิ สเถระ ผมู้ ีปกติอยทู่ ่เี ง้ือมเขา พระติสสเถระรูปน้ี มาในขุททกนิกาย ธรรมบท๔๐๔ ปรารภเหตุพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระ คาถาว่า “ผู้ไม่คลุกคลีกับคน ๒ จาพวก คือ คฤหัสถ์และบรรพชิต ไม่มีความอาลัยเท่ียวไป มีความ ปรารถนาน้อย เราเรียกวา่ พราหมณ์” ความในอรรถกถาธรรมบท๔๐๕ มพี รรณนาโดยสงั เขปดงั น้ี พระติสสเถระ เรียนกมั มัฏฐานจากสานักของพระศาสดาแล้ว ได้เข้าไปอยู่ในเงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ดว้ ยคิดว่า จะอาศัยทแ่ี ห่งน้เี ป็นท่ีบาเพ็ญสมณธรรมเพ่ือทาท่ีสุดแห่งทุกข์ เทวดาผู้อาศัยอยู่ในถ้า เห็นพระ เถระมาก็คิดว่า การอยู่ในท่ีเดียวกันกับผู้มีศีล ย่อมลาบาก หวังอยู่ว่าท่านคงจะพักอาศัยอยู่แค่วันเดียว เทา่ นน้ั ฝ่ายพระเถระคร้ันถึงรุ่งเช้าก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน อุบาสิกาท่านหนึ่งพบท่านเข้า เกิด ความรักเพียงดังบุตร จึงนิมนต์ให้อยู่ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน แม้ท่านก็รับปากด้วยคิดว่า จักอาศัย อบุ าสิกาทา่ นนี้ ทาการสลัดออกจากภพได้ จงึ ได้กลับไปยังถ้า เทพยดาเห็นท่านเดินกลับมาก็คิดว่า คงจะมี ใครนิมนต์พระเถระไว้เปน็ แน่ กาลเวลาผ่านไปครึ่งเดือน เมื่อเห็นว่าพระเถระยังไม่ไปก็คิดว่า ท่านคงจักอยู่ในที่ตลอดฤดูฝน จึงได้วางแผนทาให้พระเถระผิดศีล เริ่มต้นด้วยการเข้าสิงบุตรของอุบาสิกาท่ีบารุงท่านนั่นเอง บิดคอ ๔๐๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๒๔๐/๓๒๒. ๔๐๔ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๔๐๔/๑๖๑. ๔๐๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๖๐๕-๖๐๘.

๑๓๘ นัยน์ตาท้ังสองเหลือก น้าลายออกจากปาก พร้อมกับบอกว่า ถ้าอยากให้อาการบุตรหายเป็นปกติ ก็ให้ไป ขอชะเอมเครือกับพระเถระ ได้ชะเอมเครอื มาแล้ว ให้ทอดน้ามนั แล้วให้บตุ รนตั ถยุ์ า ฝา่ ยอุบาสิกาไดย้ ินเทวดาพูดอยา่ งนนั้ กย็ นื ยันจะไม่ยอมทาตาม ต่อให้บุตรตายก็ตาม เทวดาจึง แนะนาใหม่ ให้เอาน้าล้างเท้าพระเถระมารดศีรษะเด็ก อุบาสิกาเห็นว่าเป็นเร่ืองท่ีไม่ผิดวินัย จึงได้นิมนต์ พระเถระมาที่บ้าน ถวายภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็กราบเรียนให้พระเถระทราบ พร้อมท้ังขอน้าล้างเท้ามารด ศีรษะบตุ รของตน อาการจงึ กลับปกติ เมอ่ื พระเถระกระทาภัตกิจเสร็จแล้ว กลับเข้าถ้า เทวดาได้ยืนอยู่ที่หน้าถ้า พร้อมทั้งยกเหตุผล เรือ่ งการทาเวชกรรม และไมย่ อมใหพ้ ระเถระเขา้ ไปอยู่อาศัยในถา้ อีก พระเถระได้พิจารณาความด่างพร้อย แห่งศีลของตน ตั้งแต่อุปสมบท เกิดความปีติยินดีว่า ตนได้ต้ังตนไว้ชอบ ประพฤติสมควรแก่พระศาสนา แมเ้ ทวดาก็ไมไ่ ด้มองเหน็ ความเศรา้ หมองแห่งศีล อาศัยเพียงเหตุเอาน้าล้างเท้ารดศีรษะ ข่มปีติ บรรลุพระ อรหัตผลในขณะนน้ั นั่นเอง ติสสทัตตบณั ฑติ , พระ พระติสสทัตตบณั ฑิต เป็นหน่งึ ในพระเถระผ้ทู รงจาพระวินัยสบื ต่อกนั มาในเกาะตามพปัณณิ นบั ตั้งตน้ แต่พระอบุ าลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ พระโมคคลั ลีบตุ ร เป็นตน้ กระทั่งถงึ พระ จฬู าภยั ะ พระติสสเถระ พระจูฬเทวะ และพระสิวเถระเป็นทส่ี ุด๔๐๖ ติสสเมตเตยยะ,พระ พระติสสเมตเตยยะ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง เช่น ในติสสเมตเตยยสูตร แห่ง ขุททกนิกาย สุตตนิบาต๔๐๗ ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส แห่งขุททกนิกาย มหานิทเทส๔๐๘ และติสสเมต มาณวปัญหา แห่งขุททนิกาย จูฬนิเทส๔๐๙ เป็นต้น เป็น ๑ ในศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ๑๖ คน ท่ีเข้าเฝ้า พระผมู้ ีพระภาคเจ้าเพือ่ ทลู ถามปญั หาตามคาของอาจารย์ ปัญหาทีพ่ ระตสิ สเมตเตยยะตง้ั ขึ้นเพ่ือทลู ถามพระผูม้ ีพระภาคเจ้าคือ ขอให้ทรงตรัสบอกความ คับแค้นของบุคคลผู้ประกอบเมถุนธรรมเนือง ๆ ซึ่งได้รับการพยากรณ์จากพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้ ประกอบเมถุนธรรมเนือง ๆ ย่อมเลอะเลือน และเป็นเหตุให้ปฏิบัติผิด๔๑๐ ส่วนในติสสเมตเตยยมาณ วปัญหา ท่านได้ตั้งปัญหาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ใครชื่อว่าเป็นผู้สันโดษในโลกน้ี ใครไม่มีความหว่ันไหว ใครรู้ชัดส่วนสุดท้ัง ๒ ด้าน ใครไม่ยึดติดในท่ามกลางด้วยมันตา ใครเรียกว่ามหาบุรุษ ใครล่วงพ้นเครื่อง ร้อยรัดในโลกนไี้ ด้ ต่อปัญหานี้ พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า ภิกษุเป็นผู้มีพรหมจรรย์เพราะเห็นโทษในกาม ทั้งหลาย ช่ือว่าเป็นผู้สันโดษ ผู้คลายตัณหาแล้ว มีสติทุกเม่ือ รู้ธรรมทั้งหลายแล้ว ดับกิเลสได้ ชื่อว่าไม่มี ความหว่ันไหว ชื่อว่ารู้ชดั ส่วนสุดท้ัง ๒ ด้านแล้ว ไม่ยึดติดในท่ามกลางด้วยมันตา ชื่อว่าเป็นมหาบุรุษ และ ชือ่ วา่ ลว่ งเครือ่ งร้อยรดั ในโลกน้ีได้๔๑๑ ๔๐๖ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕-๗. ๔๐๗ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๘๒๑/๖๙๗. ๔๐๘ ข.ุ นิ. (ไทย) ๒๙/๔๙/๑๖๘. ๔๐๙ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๖๕/๑๓. ๔๑๐ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๘๒๒/๖๙๗. ๔๑๑ ข.ุ จู.(ไทย) ๓๐/๖๕/๑๓.

๑๓๙ ติสสา ชื่อติสสา ปรากฏหลายแห่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก จากบริบทของเรื่อง น่าจะมีบุคคลช่ือนี้ หลายคน ดารงสถานะแตกต่างกนั ออกไป ดังรายละเอียดจะกลา่ วตอ่ ไป ตสิ สา เปน็ ชื่อของอุบาสกิ า มปี รากฏอยู่หลายแหง่ ในคมั ภีร์พระไตรปิฎก เช่น ในสามัญญวรรค แห่งอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต๔๑๒ ระบุรายชื่ออุบาสิกา ๒๖ ท่าน ที่มีธรรมเสมอกัน ๑ ในน้ันคือนางติส สาอบุ าสกิ า มัตติกาเปติวตั ถุ แห่งขุททกนิกาย เปตวัตถุ พรรณนาถึงนางติสสาถามเปรตตนหนึ่ง มีร่างกาย ซูบผอม เปลือยกาย มีผิวพรรณนาน่าเกลียดน่ากลัว มีร่างกายสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ว่าเป็นใคร ทาไมจึง มายนื อยู่อยา่ งเช่นน้ี นางเปรตนน้ั ได้เล่าให้ฟังว่า เดิมทีเดียวตนก็เป็นหญิงร่วมสามีกับนางติสสานั่นเอง แต่ ได้ทากรรมชั่วไว้ ตายไปจงึ บงั เกดิ เป็นเปรต๔๑๓ ติสสา เป็นช่ือของภิกษุณีรูปหน่ึง ปรากฏในขุททนิกาย เถรีคาถา๔๑๔ พรรณนาถึงพระติสสา เถรี รบั โอวาทจากพระศาสดาแล้ว ไดก้ ล่าวภาษิตสอนตนเองว่า ติสสา เธอจงศึกษาในไตรสิกขา โยคกิเลส ทง้ั หลายอย่าไดค้ รอบงาเธอเลย เธอจงพรากกเิ ลสโยคะท้ังหมด ท่องเท่ียวไปในโลกอย่างไมม่ ีอาสวะเถิด ติสสา เป็นชื่อของภิกษุณีอีกรูปหน่ึง ปรากฏในอัญญตราติสสาเถรีคาถา๔๑๕ ความว่า พระติส สาเถรีอกี รูปหนึ่งรบั โอวาทจากพระศาสดาแลว้ ได้กล่าวสอนตนเองว่า ติสสา เธอจงประกอบธรรมท้ังหลาย เถิด ขณะอย่าไดล้ ่วงเลยเธอไป เพราะผู้มีขณะล่วงเลยไปแล้ว จะต้องเศรา้ โศกแออัดอยู่ในนรก เตคณั ฑิกะ,นิครนถ์ เตคัณฑิกะ เป็นช่ือนิครนถ์ผู้หนึ่งท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เปน็ เหตุใหด้ ารงอยใู่ นนรกเหมอื นถูกนาไปฝังไว้ ธรรม ๕ ประการ ได้แก่ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็นผู้ลักทรัพย์ เป็น ผู้ประพฤติผิดพรหมจรรย์ เป็นผู้พูดเท็จ และเป็นผู้เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความ ประมาท๔๑๖ โตเทยยพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านตุทิ เขตกรุงสาวัตถี๔๑๗ เป็นหนึ่งในพราหมณ์ผู้ใหญ่มี ชอ่ื เสียงทพ่ี ระพุทธเจ้าตรัสถึง ประกอบด้วย จังกีพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุสโสณิพราหมณ์ โต เทยยพราหมณ์ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า ที่ได้ช่ือโตเทยยะ เพราะเป็นคนใหญ่คนโตในบ้านตุทิคาม มีทรัพย์ สมบัติ ๔๕ โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่ถ่ีเหนียว ไม่เคยหยิบย่ืนอะไร ๆ ให้แก่ใคร ๆ พราหมณ์มักจะสอนบุตร ว่า คนฉลาด ควรดูความหมดไปของยาหยอดตา และควรดูตัวอย่างปลวกสร้างรัง หรือผึ้งสะสมน้า ด้วย ๔๑๒ องฺ.อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๙๑/๔๒๑. ๔๑๓ ข.ุ เปต.(ไทย) ๒๖/๑๓๕/๑๙๐. ๔๑๔ ขุ.เถร.ี (ไทย) ๒๖/๔/๕๕๒. ๔๑๕ ข.ุ เถรี.(ไทย) ๒๖/๕/๕๕๒. ๔๑๖ อง.ฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๙๔/๔๐๖. ๔๑๗ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๒/๒๒๓.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook