๔๔๐ ด้วยกนั , ชีวกโกมารภัจ ต้งั ตามลักษณะแวดลอ้ ม กล่าวคือเม่ือครั้งอภัยราชกุมารทรงพบเด็กถูกท้ิงกองขยะ ได้ตรัสถามว่า เด็กยังมชี ีวติ อยหู่ รอื ไม่ เมอ่ื ทราบว่ายังมชี ีวติ อยู่ ก็ทรงนามาเล้ียง ชีวก มีความหมายว่า ยังมี ชีวิต ส่วนโกมารภัจ มีความหมายว่า พระกุมารนามาเล้ียง, พระนิคมวาสีติสสเถระ เรียกชื่อตามที่ท่าน อาศัยอยใู่ นนิคมแหง่ หนึ่ง, ช่ือโกสัมพีวาสีติสสเถระ เพราะท่านอาศัยอยู่ในเมืองโกสัมพี, พระนิโครธกัปปะ เรียกชื่อตามสภาพแวดล้อมท่ีท่านอาศัยโคนต้นไทรอยู่๑๘, นางอัมพปาลี หญิงงามเมืองชาวเวสลี ได้ชื่อ อย่างนั้นเพราะตอนเกิดใหม่ๆ มีคนนานางไปท้ิงไว้ที่ใต้ต้นมะม่วง คนเฝ้าสวนมาเห็นเข้า จึงได้เก็บไปเลี้ยง และต่อมาไดต้ ง้ั ช่ือเด็กว่า อัมพปาลี๑๙, นางพหุปุตติกาเถรี เมื่อคร้ังเป็นฆราวาส นางมีบุตรมากถึง ๑๔ คน คนทง้ั หลายจงึ เรยี กนางว่า พหุปุตตกิ า มคี วามหมายว่า หญงิ มีลกู มาก๒๐ ๔.๒.๓ การตั้งชื่อใหส้ ัมพนั ธ์กบั อาชีพ หรอื การงาน การต้งั ช่ือตามลกั ษณะอาชีพ ถ้าเป็นชือ่ ที่ต้งั มาแต่กาเนิด มักกาหนดจากอาชีพของบิดามารดา แตห่ ากเปน็ อาชพี ของเจา้ ของชื่อ สว่ นใหญท่ ่ีพบในคมั ภรี ์ มักเปน็ ชือ่ ท่ไี มไ่ ด้ตั้งตัง้ มาแต่กาเนิด หากเป็นช่ือที่ ใช้ร้องเรียกภายหลัง หรืออาจเป็นช่ือที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง หากแต่พระอรรถกถาจารย์สร้างข้ึนเป็นตัว ละครเพื่อสื่อเรื่องราวอย่างใดอย่างหน่ึง ส่วนใหญ่มักพบในระดับอรรถกถา เช่น ช่ือนายฆฏิการะ เพราะ ประกอบอาชีพป้ันหม้อ, ชื่อจักขุปาล เพราะอดีตเคยประกอบอาชีพเป็นหมอรักษาตา (จักขุแพทย์), ช่ือ ทามริกะ เพราะดุร้าย และมีอาชีพเป็นโจร๒๑, นิครนถ์ชื่อทีฆตปัสสี เพราะได้บาเพ็ญตบะมาเป็นระยะ เวลานาน๒๒, ชื่อธนปาละ เพราะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก, ช่ือนายนันทโคบาล เพราะมีอาชีพเล้ียงโค เป็น ตน้ อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหลายช่ือ ท่ีมีตัวตนอยู่จริง เช่น ชื่อนิครนถ์นาฏบุตร เพราะเป็นบุตรของ นักฟ้อน๒๓ องคุลิมาล ก่อนเข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ถูกล่อลวงจะให้เรียนวิชาช้ันสูงในสานักอาจารย์ แต่ต้องฆ่าคนให้ครบพันก่อน องคุลิมาลได้ฆ่าคน จากน้ันก็ตัดเอาน้ิวมือมาร้อยเป็นพวงมาลัย คาว่า องคุ ลมิ าล มีความหมายวา่ มีนว้ิ มือเป็นพวงมาลัย เป็นต้น ๔.๒.๔ การตง้ั ชอื่ ใหค้ วามสมั พันธ์กบั บตุ รในครอบครวั การต้ังช่ือตามความสัมพันธ์ของบุตรในครอบครัว เท่าท่ีพบ มักเป็นครอบครัวท่ีมีบุตรชาย หรือบุตรีต้ังแต่ ๒ คนข้ึนไป เวลาต้ังชื่ออาจใช้ชื่อเดียวกัน แต่มีเติมสร้อยหน้า หรือหลังชื่อดังกล่าวเพื่อ แสดงสถานะการเกิดก่อน เกิดหลัง เช่น ครอบครัวหน่ึงมีบุตร ๓ คน บิดามารดาตั้งช่ือบุตรคนโตว่า มหา กาล คนรองลงมาวา่ มชั ฌมิ กาล และคนเลก็ สุดว่า จุลกาล ในท่ีน้ี ชื่อหลักคือ กาละ แต่นาคาว่า มหา (คน โต)-มัชฌิมะ (คนกลาง)-จุล (คนเล็ก) มากาหนดสถานการณ์เกิดก่อน-หลัง เรียกคนโตว่า มหากาล คน กลางวา่ มัชฌมิ กาล และคนเล็กวา่ จลุ กาล บตุ รสาวของธนญั ชยั เศรษฐี ได้เสียกับทานในเรือน มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คนโตช่ือมหาปันถกะ คนเล็กชื่อว่าจูฬปันถกะ, หรือกรณีนางสารีพราหมณี กับวังคันตพราหมณ์ มีบุตรสาว ๓ คน ได้ต้ังช่ือ บุตรสาวทั้ง ๓ คน เรียงลาดับว่า นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา ตามลาดับ และทั้งหมดได้ออกบวช ๑๘ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๐๕. ๑๙ ขุ.เถรี.อ.(ไทย) ๒/๔/๓๕๘. ๒๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๖๕๕. ๒๑ ม.อุปร.ิ (ไทย) อ.๓/๑/๓๐๒. ๒๒ ม.ม.อ. (ไทย) ๒/๕๖/๓๙. ๒๓ ท.ี ส.ี อ. (ไทย) ๑/๑๕๖/๑๓๒.
๔๔๑ ตามพระพชี่ ายคอื พระสารีบุตร๒๔, สาหรับนางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลาน้ี ก่อนออกบวช ก็มีบุตรสาว คนละ ๑ คน และตั้งชื่อเหมือนมารดาท้ัง ๓ คน คือ จาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา โดยทั้ง ๓ คนน้ี เมื่อ เติบใหญ่พอสมควร กไ็ ดอ้ อกบวชเป็นสามเณรี ๔.๒.๕ การตง้ั ชื่อใหส้ มั พันธก์ ับอุปนสิ ยั หรือพฤติกรรม คาว่า อุปนิสัย หมายเอาลักษณะนิสัยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของบุคคลนั้น ซ่ึงเป็นพฤติกรรม เฉพาะส่วนบุคคล ท่ีกระทาจนเป็นปกติวิสัย ทาให้คนท้ังหลายรู้จักอัธยาศัย หรือพฤติกรรมเฉพาะน้ัน ชื่อ ในลักษณะเช่นน้ี ส่วนใหญ่มักเป็นสร้อยนามท่ีตั้งขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ช่ือที่ได้มาแต่กาเนิด เช่น ช่ือพระเจ้าชน สันธะ เพราะทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ, พระเจ้าทศรถ เพราะทรงทากิจที่พึง กระทาด้วยรถ ๑๐ คัน ด้วยรถของพระองค์เพียงคันเดียวเท่านั้น๒๕, ชื่อสามเณรปัณฑปาตทายกติสสะ เพราะมีบารมีสามารถถวายอาหารบิณฑบาตแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป, ช่ือกัมพลทายกติสสะ เพราะมี ความสามารถถวายผ้ากัมพลแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป, ชื่อพระปูติคัตตติสสะ เพราะท่านเป็นโรคพุพอง ร่างกาย เป็นตุ่มพองแตกเป้ือนผ้าจีวรเนื้อตัวเน่าเหม็น, นางปฏาจารา เป็นชื่อท่ีตั้งข้ึนภายหลังจากท่ีนางเสียสติ เน่ืองจากสญู เสียบคุ คลในครอบครัว คาว่า “ปฏาจาร” มีความหมายว่า เสียสติ ทาอะไรไม่รู้ตัว คาบาลีว่า มีอาจาระอันตกไปแล้ว๒๖ พระโลลุทายี ได้ชื่ออย่างนี้เพราะประพฤติโลเลในธรรมวินัย และเป็นท่ีมาของ การบัญญัติสิกขาบทหลายประการ, นางปติปูชิกา ต้ังแต่เกิดและจาความได้ นางทาบุญก็ปรารถนาขอให้ ไปอยู่ในสานักของสามี แม้แต่งงานมีสามีแล้ว นางก็ยังปรารถนาเช่นนั้น คนทั้งหลายจึงต้ังขนานนามนาง ปติปูชิกา๒๗ นางปุญญลักขณา ภรรยาของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ลักษณะชอบทาบุญกุศลเป็นเนืองนิตย์ ขวนขวายไดท้ รัพยม์ า กใ็ ชท้ รัพยน์ ั้นทากุศล จงึ ได้ช่อื วา่ ปุญญลกั ขณา พระโปฐิละ ทรงจาพระไตรปิฎกไว้มาก เป็นคณาจารย์บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป แต่ไม่ได้ ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม ไม่สามารถยังคุณสักว่าโสดาบันให้บังเกิดข้ึน พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียก ดว้ ยวาทะวา่ โปฐิละ มคี วามหมายวา่ พระคมั ภรี เ์ ปลา่ ๒๘ พระผัคคุนะ เม่ือสมัยเป็นฆราวาส ท่านไว้มวยผม ใหญ่มาก คนสว่ นใหญ่จึงมักเรียกท่านว่าโมลิยผัคคุนะ๒๙, นางภัททกุณฑลเกสา เม่ือคร้ังเป็นศิษย์ปริพาชก คราวโกนผม ใชก้ ้านแปรงตาลถอนผมทลี ะเส้น เมอ่ื ผมออกใหม่ ผมของนางมีลักษณะเป็นปมๆ จึงได้สร้อย นามว่า กุณฑลเกสา, พระเจ้าทสารหะ ได้ชื่ออย่างนี้เพราะพระองค์ถือเก็บภาษี ๑๐ ส่วน จากข้าวกล้า๓๐ พระกณุ ฑธานะ ได้ชื่อเรียกอย่างนัน้ เพราะมรี ูปสตรปี รากฏข้างๆ ตัวทา่ น ทาให้คนเข้าใจผิด เป็นที่เย้ยหยัน วา่ พระช่ัว๓๑ เป็นต้น การตั้งช่ือลกั ษณะดังกลา่ วน้ี คล้าย ๆ กับแนวคิดเรื่องการตง้ั ช่ือเลน่ หรอื ช่ือรองท่ีมีปรากฏคร้ัง แรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น กรณีฝรั่งเรียกสมเด็จพระนเรศวรว่า “พระองค์ดา” และเรียกพระ ๒๔ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๔/๒๗๙. ๒๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๓/๔/๕๖. ๒๖ อ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๗. ๒๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๘/๔๒. ๒๘ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒/๓๘๔. ๒๙ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๖๖ ๓๐ ส.นิ.อ.(ไทย) ๒/๗๓๘. ๓๑ ขุ.อป.อ.(ไทย) ๒/๖๙.
๔๔๒ อนุชาคือพระเอกาทศรสว่า “พระองค์ขาว”๓๒ ครั้นต่อมาก็ยังคงมีปรากฏชื่อเล่นของเจ้านายหลาย พระองค์ เช่น สมเด็จพระเจ้าเสือ ทรงมีพระนามเดิมว่า “เด่ือ” แต่ด้วยพระอุปนิสัยโปรดการผจญภัย คน ท่ัวไปจึงเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าเสือ” แม้ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อพระองค์เจ้าอภัยทัต (พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมหลวงเทพพลภักด์ิ) และพระองค์เจ้าอรุโณทัย (สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหา ศักดพิ ลเสพ) ยงั ทรงพระเยาว์ เรียกกันว่า “พระองคเ์ สือ” และ “พระองค์ช้าง” ๓๓ ตามลาดับ ต่อมาการตั้งช่ือเล่น ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้น ท้ังนี้ อาจเปน็ เพราะสมยั นี้ พระนามของพระมหากษัตริย์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์มักมีหลายพยางค์ ทาให้ ไม่สะดวก จงึ ต้องมวี ธิ เี รียกให้สั้น จนกลายเปน็ ชอ่ื เลน่ หรือช่อื รองดังทน่ี ยิ มใช้อยใู่ นปจั จบุ ัน ๔.๒.๖ การตง้ั ช่อื ใหส้ มั พันธ์กับนามบดิ า มารดา ตระกูลหรอื โคตร การต้ังชื่อตามนามบิดา มารดา หรือตามนามโคตร มี ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกเป็นการนาช่ือ บิดา หรือมารดามาเป็นสร้อยนาเสริมต่อท้าย หรือให้ทราบว่าเป็นบุตรของใคร เช่น พระทัพพมัลลบุตร เดิมเป็นพระราชโอรสของเจ้ามัลลราช พระนามเดิม ทัพพกุมาร เรียกช่ือตามพระนามบิดาว่า ทัพพมัลล บุตร๓๔, พระธนิยะ บิดาเป็นนายช่างหม้อ จึงได้ชื่อว่า ธนิยกุมภการบุตร แปลว่า พระธนิยะผู้เป็นบุตรนาย ช่างหมอ้ , ครูปกธุ กจั จายนะ เดิมชอื่ ปกธุ มีโคตรว่า กจั จายนะ เรยี กรวมว่า ปกุธกัจจายนะ๓๕, พระอุปเสน วังคันตบุตร เดิมชื่ออุปเสน เพราะเป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ จึงได้ช่ือว่า อุปเสนวังคันตบุตร, พระ ปุณณมันตานีบุตร เดิมช่ือปุณณะ แต่เพราะมารดาของท่านชื่อนางมันตานี คนทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า ปณุ ณมันตานบี ตุ ร ซง่ึ มคี วามหมายว่า ปณุ ณะ ผูเ้ ป็นบุตรของนางมนั ตานเี ปน็ ต้น ลกั ษณะทส่ี อง เป็นการนาชือ่ บิดา หรือมารดามากาหนดชื่อใหม่ เช่น พระสารีบุตร เดิมช่ืออุป ติสสะ แต่เรียกว่า สารีบุตร เพราะมารดาของท่านช่ือสารี การเรียกช่ือสารีบุตร จึงเป็นการเรียกตามนาม มารดาของท่าน, พระโมคคัลลานะ เดิมชื่อโกลติ ะ แตเ่ รยี กว่า โมคคัลลานะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคคัล ลีพราหมณ์ เปน็ ต้น หากพิจารณาจากคตินิยมเรื่องการตั้งชื่อบุตรให้สัมพันธ์กับชื่อบุคคลในครอบครัว จะเห็นว่า คนไทยนิยมต้งั ชื่อให้สมั พนั ธ์กับชอื่ บคุ คลในครอบครัว ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีหลายลักษณะ เช่น สัมพันธ์ ทางเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์หน้า ซึ่งอาจจาแนกย่อยเป็นสัมพันธ์หมดทั้งครอบครัว เช่น อานนท์ (บดิ า)+อัมพร (มารดา)=อมรรัตน์ (บตุ รี), อญั ญรตั น์ (บุตรี) สัมพันธ์เฉพาะบิดา เช่น ลิขิต+นันทนา=ลลิตา ,ลลนา,ลินดา สัมพนั ธ์เฉพาะมารดา เช่น ธรรมนาถ+มัลลิกา=เมธินีย์, มัณฑนา,มัธยา เป็นต้น สัมพันธ์ทาง เสียงสัมผัสสระ ซ่ึงอาจแบ่งเป็น สัมผัสต่อจากชื่อบิดา เช่น อาทิตย์+ทองเตรียม=นิตยา,ศราวุธ,นุชจรี สัมผัสต่อจากช่ือมารดา เช่น คงศักดิ์+สุรภี=ธีรสันต์,ขวัญกมล หรือส่งสัมผัสเฉพาะชื่อบุตร เช่น เปรม+ ปรดี า=สรยุทธ,วฒุ ิชาติ,นาตยา,ผานิต,วิษณุ, สวุ พงศ์ เปน็ ตน้ ซึ่งมีลักษณะแตกตา่ งจากการต้ังช่ือให้สัมพันธ์ กบั นามบดิ า มารดา ตระกลู หรอื โคตรในสงั คมอินเดยี ๔.๒.๗ การต้ังช่อื สัมพันธก์ บั การเปลย่ี นชะตาชวี ิต ๓๒ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, พระราชประวัตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช, (พระนคร: โรงพิมพโ์ สภณพิพรรฒธนากร, ๒๕๐๕), หน้า ๑. ๓๓ เสาวนติ , พระนามกษัตรยิ ์ พระองค์เจา้ หม่อมเจา้ , (พระนคร: ประมวลสาสน์ , ๒๕๐๕), หนา้ ๑๒. ๓๔ วิ.มหา.อ. (ไทย) ๑/๓/๔๗๗. ๓๕ ท.ี สี.อ. (ไทย) ๑/๑๕๔/๑๓๒.
๔๔๓ การต้ังชื่อดว้ ยมปี ระสงค์จะเปลี่ยนชะตาชวี ิตของเดก็ มักพบในกรณีท่ีเด็กเกิดมามีลางบอกเหตุ ในอนาคตไม่ดี ทาใหบ้ ดิ ามารดาต้องหาวิธีแก้ไขเพ่ือเปลี่ยนชะตาชีวิตให้ดีข้ึน เช่น อายุวัฒนกุมาร เมื่อคร้ัง คลอดออกมาก็ได้รับการพยากรณ์ว่า จะมีอายุได้เพียง ๗ วันเท่าน้ัน ผู้เป็นบิดาจึงขวนขวายแสวงหาวิธีให้ ลกู ปลอดภัย จึงได้ไปปรึกษาพระผู้มีพระภาคเพ่ือขออุบายให้ลูกมีชีวิตรอด พระพุทธเจ้าได้แนะนาวิธี เม่ือ ปลอดภัยแล้ว บิดามารดาจึงต้ังชื่อให้ว่า อายุวัฒนกุมาร๓๖ อหิงสะ เม่ือตอนคลอดจากครรภ์มารดา เกิด เหตุอาเพศ อาวุธโพลงท่ัวท้ังเมือง โหรได้ทานายชะตาว่า อนาคตจะเป็นโจรฆ่าคน ได้ถวายคาแนะนาให้ พระเจ้าแผ่นดินฆ่าเด็กทิ้งเสีย แต่พระองค์ไม่เห็นด้วย จึงทรงแก้ปัญหาด้วยการรับเด็กนั้นมาเล้ียงไว้ และ พระราชทานนามเดก็ นน้ั ว่า อหสิ งกะ แปลวา่ ผู้ไม่เบยี ดเบยี นใคร๓๗ พระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อคร้ังพระมารดา ทรงพระครรภ์ ก็ได้รับการพยากรณ์ว่า ภายภาคหน้า จะเป็นผู้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระ บดิ า พระองค์จึงถูกพระมารดาแอบทาลายพระครรภห์ ลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสาเร็จ เพราะเจ้าพิมพิสารจับ ได้ ต่อมาจึงทรงวางกาลังอารักขากระทั่งพระโอรสประสูติออกมา และก็ทรงขนานพระนามว่า อชาต ศตั ร๓ู ๘ ๔.๓ สรุปทา้ ยบท การตั้งชื่อ หรือการสร้างคาเพ่ืออ้างถึงคน สัตว์ ส่ิงของ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ภาษา และ ถือเป็นส่วนจาเปน็ และสาคญั ในฐานะเป็นเครื่องจาแนกว่าผู้ใดเป็นผู้ใด เพ่ือความสะดวกและความถูกต้อง ในการส่ือสาร ลักษณะการใช้ภาษาในการต้ังชื่อจึงสะท้อนค่านิยม คติความเชื่อของคนในแต่ละยุคสมัย และทุกชาตภิ าษา การต้ังชื่อของคนไทยมีวิวัฒนาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสังคมไทย กล่าวคือ สมัยที่ สังคมเรียบง่าย ชือ่ มกั จะเป็นคาไทยสั้น ๆ ครน้ั เม่ือสังคมเปิดกว้างและซับซ้อนข้ึน ช่ือก็ประกอบด้วยคายืม มากข้ึน ยาวขึ้น และแปลกขึ้น นอกจากน้ี การตั้งช่ือของคนไทยยังสะท้อนแนวคิดและยุคสมัยไว้อีกด้วย เชน่ สมัยสโุ ขทัย ช่ือจะสะทอ้ นแนวคิดเรือ่ งความเปน็ ญาติ สมยั อยุธยาและธนบุรีสะท้อนการดารงอยู่อย่าง เรยี บง่าย ขณะทส่ี งั คมสมัยระบอกประชาธิปไตยสะท้อนถึงการพัฒนาสังคมตามรูปแบบตะวันตกด้วยการ ตั้งช่อื ใหม้ ีการเคลื่อนไหว มีชวี ิตชีวามากขนึ้ สังคมอินเดีย มีการต้ังช่ือตามระบบวรรณะ กล่าวคือ ชื่อกษัตริย์มักเก่ียวกับอานาจ ไวศยะ เกีย่ วกับความมง่ั ค่ัง ศทู รเก่ียวกบั สง่ิ ต่าๆ อันน่าเกลยี ดเหยียดหยาม ชื่อที่เป็นลักษณะเด่นของพราหมณ์คือ ชื่อท่ีสื่อถึงความเจริญ กษัตริย์ส่ือถึงการพิทักษ์รักษา ไวศยะ ส่ือถึงความม่ังค่ัง ศูทร ส่ือถึงการรับใช้ ชื่อ สตรีต้องมีความหมายที่น่ายินดี ไม่แข็งกระด้าง ความหมายไปทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงท้าย ด้วยทฆี สระ คอื สระเสยี งยาว ถือเป็นเอกลักษณะเฉพาะท่แี ตกตา่ งจากสงั คมไทย จากการวิเคราะห์คตินิยมการต้ังช่ือท่ีพบในคัมภีร์พระพุทธศาสนา สังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมตั้งช่ือให้สัมพันธ์กับลักษณะกาเนิด ส่ิงแวดล้อม อาชีพหรือการงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับ บุตร บุตรกับบิดามารดา การตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับอุปนิสัย หรือพฤติกรรม สัมพันธ์กับโคตร และการต้ังช่ือ ใหส้ ัมพันธก์ บั ชะตาชวี ิต ซ่งึ ส่วนใหญ่มกั เปลยี่ นรา้ ยให้กลายเปน็ ดี ๓๖ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๔๕๙ ๓๗ ม.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๑๕๔ ๓๘ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๔/๖๓๔.
๔๔๔ บทท่ี ๕ สรปุ ผลการศึกษา อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรปุ ผลการวจิ ัย งานวิจัยเรื่อง “นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์” มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพ่ือสืบค้นชื่อ บุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ๒) เพ่ือจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับตามตัวอักษร ผู้วิจัยได้ดาเนินวิจัยเชิงเอกสาร (Document Research) โดยดาเนินการตามลาดับขั้นตอนดังนี้ คือ ๑) สืบค้นหาชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกจากดัชนีท้ายเล่ม ๒) นาช่ือเหล่านั้นมาจัด เรียงลาดับตามตัวอักษรตามหลักการจัดทาพจนานุกรม หรือสารานุกรม ๓) คัดเลือกศัพท์ โดยตัดศัพท์ที่ ซ้าซ้อน และศัพท์ที่ไม่สาคัญออก ๔) จัดทาคาอธิบายประกอบ โดยอาศัยข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับ แปลภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ตพี มิ พ์เผยแพร่ พ.ศ.๒๕๓๕ ส่วนอรรถกถา ผู้วิจัยใช้คัมภีร์ พระไตรปิฎกและอรรถกถาชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๕๒๕ และ ๕) ตรวจสอบ ความถูกต้อง แล้วนาเสนอผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ ก่อนนาเสนอคณะกรรมการของสถาบันเพ่ือพิจารณา อนุมตั ิ ก่อนพจิ ารณาแหลง่ ตพี ิมพ์เผยแพรต่ ามเกณฑต์ ่อไป ผลการวจิ ัยสรปุ ดงั นี้ ๑. ผ้วู จิ ัยได้ดาเนนิ การสืบคน้ จากดัชนีทา้ ยเล่มพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย คัดรายช่ือบุคคลที่จัดทาคาอธิบาย และตัดส่วนที่ซ้าออกไปแล้ว ได้ศัพท์ท่ีเป็นช่ือบุคคล จานวนทัง้ สน้ิ ๑,๐๘๕ รายชอ่ื แบง่ เป็น เลม่ ที่ ๑ จานวน ๔๖ ช่ือ, เล่มที่ ๒ จานวน ๒๓ ช่ือ, เล่มที่ ๓ จานวน ๙ ช่ือ, เลม่ ท่ี ๔ จานวน ๒๒ ชื่อ, เลม่ ท่ี ๕ จานวน ๔๐ ชื่อ, เลม่ ท่ี ๖ จานวน ๔ ช่ือ, เล่มท่ี ๗ จานวน ๒๘ ชื่อ, เล่มท่ี ๘ จานวน ๒๖ ช่อื , เล่มที่ ๙ จานวน ๒๙ ช่ือ, เล่มที่ ๑๐ จานวน ๔๒ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๑ จานวน ๑๑ ชื่อ, เล่มที่ ๑๒ จานวน ๑๑ ชื่อ, เล่มที่ ๑๓ จานวน ๕๐ ชื่อ, เล่มท่ี ๑๔ จานวน ๑๕ ช่ือ, เล่มที่ ๑๕ จานวน ๓๑ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๖ จานวน ๒๑ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๗ จานวน ๑๒ ช่ือ, เล่มที่ ๑๘ จานวน ๒๖ ชื่อ, เล่มท่ี ๑๙ จานวน ๑๖ ชื่อ, เล่มที่ ๒๐ จานวน ๒๗ ชื่อ, เล่มที่ ๒๑ จานวน ๑๐ ช่ือ, เล่มที่ ๒๒ จานวน ๒๖ ช่ือ, เล่มท่ี ๒๓ จานวน ๙ ช่ือ, เล่มที่ ๒๔ จานวน ๙ ชื่อ, เล่มท่ี ๒๕ จานวน ๗๒ ช่ือ, เล่มที่ ๒๖ จานวน ๔๖ ช่ือ,เล่มที่ ๒๗ จานวน ๑๑๓ ชอ่ื , เลม่ ท่ี ๒๘ จานวน ๕๐ ชื่อ, เล่มที่ ๒๙ จานวน ๕ ชื่อ, เล่มท่ี ๓๐,๓๑ มีรายช่ือซ้ากับที่เก็บ ไว้แล้ว, เล่มที่ ๓๒ จานวน ๒๐๘ ช่ือ, เล่มที่ ๓๓ จานวน ๗๔ ช่ือ, เล่มท่ี ๓๔-๔๕ ไม่เก็บ เน่ืองจากมีรายชื่อ นอ้ ย และซ้ากบั ท่ีเกบ็ แล้วในคมั ภรี ์พระวนิ ัยปฎิ ก และพระสุตตนั ตปิฎก หลังจากดาเนินการคัดกรองแล้ว คงเหลือช่ือบุคคลสาหรับการเขียนคาอธิบายนามานุกรมท้ังส้ิน จานวน ๖๖๑ รายช่ือ จากเดิม ๑,๐๘๕ ส่วนใหญ่ที่ตัดออก เพราะเป็นชื่อท่ีถูกกล่าวพาดพิงถึงเพียงครั้ง เดียว หรือสองคร้ังในคัมภีร์พระไตรปิฎก เมื่อสืบค้นในคัมภีร์อรรถกถาก็ไม่ได้มีรายละเอียดเพ่ิมเติมพอที่จะ อธิบายความได้ ชื่อลักษณะน้ี ส่วนใหญ่มักปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชาดก และย้อนระยะเวลาไกลออกไปมากเป็น กปั หรอื แมป้ รากฏอยใู่ นคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎก ก็มักเป็นเร่ืองราวที่พรรณนาถึงอดตี อนั ไกลโพ้น
๔๔๕ ๒. การจัดทาคาอธิบาย ผู้วิจัยได้จัดทาคาอธิบายโดยอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นหลัก และอาศัยคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก การดาเนินการได้ใช้โปรแกรมพระไตรปิฎก ๒ ชุด ได้แก่ โปรแกรม พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ เป็นตัวช่วยในการสืบค้นหาคาแต่ละคาท่ี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ จากนั้นประมวลจัดทาคาอธิบายประกอบ ยกตัวอย่าง เช่น สารีบุตร,พระ มี กระบวนการจัดทาคาอธิบายโดย ๑) นาศัพท์ “สารีบุตร” ป้อนลงในโปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ ว่า มีคานี้ปรากฏอยู่ก่ีครั้งในพระไตรปิฎกท้ัง ๔๕ เล่ม ซึ่งจากการ คน้ หา โปรแกรมได้รายงานพบทงั้ สนิ้ ๑,๕๙๑ ครัง้ ๒) ตรวจสอบเนื้อหาตามหลักฐานทีค่ ้นพบแต่ละครั้ง เพื่อ จดั ทาคาอธิบาย โดยตัดสว่ นทไ่ี มเ่ กี่ยวข้อง ไม่จาเป็น หรือมีเน้ือหาซ้าออก เทียบเคียงเน้ือหาจากพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมทั้งจัดทาเชิงอรรถประกอบสาหรับการสืบค้น หรือ ตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ และ ๓) ตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพ่ิมจากคัมภีร์อรรถกถา ๔๘ เล่ม โดยใช้โปรแกรมพระไตรปิฎก เวอร์ชั่น ๒.๑ ฉบับเรียนพระไตรปิฎก ในการสืบค้นคาที่กาหนดไว้แล้ว จากน้ัน นาเนือ้ หาทค่ี ้นพบมาอธิบายเพม่ิ เติม ตัดส่วนท่ีมีเน้ือหาซ้าออก คงเหลือไว้เฉพาะส่วนเน้ือหาที่ไม่ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์พระไตรปิฎกเท่าน้ัน จากนั้นเทียบเคียงคัมภีร์อรรถกถาฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพ่ือจัดทา เชงิ อรรถประกอบการสบื ค้น หรอื ตรวจสอบความถูกตอ้ งทางวชิ าการ เน้อื หาหลักสาคัญในการจดั ทาคาอธิบายประกอบด้วย ๑) ชาติภมู ิ มรี ายละเอยี ดหลัก ๆ เช่น บิดา มารดา สถานท่เี กดิ การศึกษา ๒) บทบาทสาคัญ มีรายละเอียดหลักๆ เช่น หน้าที่ การงาน การปฏิบัติตนทั้ง ในแง่ส่วนตน และในแง่สังคมที่พรรณนาไว้ในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา การได้รับการยกย่องพิเศษ และ ๓) บ้นั ปลายชวี ติ ความสมบูรณ์ของเนื้อหาทั้ง ๓ ประเด็น ข้ึนอยู่กับหลักฐานท่ีปรากฏ ไม่เสมอไปทุกนามบุคคลท่ี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ทั้งน้ีเนื่องจากว่า นามบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์นั้น แต่ละบุคคลมีบทบาทสาคัญมากน้อย แตกตา่ งกัน ทีม่ ีความสาคัญมาก จะมีหลักฐานระบุไว้มาก สาคัญน้อย ก็จะมีหลักฐานปรากฏน้อยตามไปด้วย ชือ่ บคุ คลแตล่ ะช่ือจงึ มคี าอธิบายมาก อธบิ ายนอ้ ยแตกต่างกันตามไปด้วย โดยเฉพาะหลักฐานในส่วนประวัติท่ี เกี่ยวกับชาติภูมิ หลักฐานส่วนใหญ่ที่ได้จะอาศัยคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก ในส่วนพระไตรปิฎกมักปรากฏ รายละเอยี ดแตพ่ อสงั เขปเทา่ น้ัน อนึ่ง เพ่ือประโยชน์ในการศึกษาภายภาคหน้า ผู้วิจัยได้วิเคราะห์คตินิยมเรื่องการต้ังชื่อท่ีปรากฏ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งสามารถสรุปความได้ว่า สังคมอินเดีย มีการต้ังชื่อตามระบบ วรรณะ กลา่ วคอื ช่ือกษัตริย์มักเกีย่ วกบั อานาจ ไวศยะเก่ียวกับความมั่งคั่ง ศูทรเกี่ยวกับสิ่งต่าๆ อันน่าเกลียด เหยียดหยาม ชื่อทเี่ ป็นลกั ษณะเด่นของพราหมณ์คือชื่อท่ีส่ือถึงความเจริญ กษัตริย์สื่อถึงการพิทักษ์รักษา ไวศ ยะ ส่ือถึงความม่ังคั่ง ศูทร สื่อถึงการรับใช้ ช่ือสตรีต้องมีความหมายที่น่ายินดี ไม่แข็งกระด้าง ความหมายไป ทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงท้ายด้วยทีฆสระ คือสระเสียงยาว ถือเป็นเอกลักษณะเฉพาะท่ีแตกต่าง จากสังคมไทย จากการวิเคราะห์คตินิยมการต้ังช่ือท่ีพบในคัมภีร์พระพุทธศาสนา สังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมตง้ั ชือ่ ใหส้ ัมพันธก์ ับลกั ษณะกาเนดิ สงิ่ แวดล้อม อาชีพหรือการงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับบุตร บตุ รกบั บิดามารดา การตง้ั ช่ือให้สัมพันธก์ ับอุปนิสัย หรือพฤติกรรม สมั พนั ธก์ ับโคตร และการตั้งช่ือให้สัมพันธ์ กับชะตาชีวิต ซึง่ ส่วนใหญม่ ักเปลีย่ นรา้ ยให้กลายเป็นดี
๔๔๖ ๕.๒ อภิปรายผล จากการสืบค้นศัพท์บุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และนามาจัดทาคาอธิบายตามหลัก และวิธีการจัดนามานุกรมท่ัวไป ทาให้ทราบว่า ช่ือบุคคลท่ีปรากฏอยู่นั้น มีทั้งที่เป็นช่ือบุคคลที่เกิดก่อน พุทธกาล สมัยพุทธกาล และหลงั พุทธกาลมาแล้ว บางชื่อก็มีตัวตน มีหลักฐานประกอบ และมีความเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ท้ังก่อน ระหว่าง และหลังพุทธกาล แต่บางชื่อก็เป็นเพียง “บุคลาธิษฐาน” ท่ีท่านยกข้ึน มาเพื่อมงุ่ สื่อข้อธรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับจรติ หรืออปุ นสิ ัยของผฟู้ งั นอกจากน้ียังพบอีกว่า ช่ือบุคคลในดัชนีท้ายเล่มในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ยงั มกี ารสะกดคาไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่ตรงกันอยู่บ้างเช่นกัน เช่น ดีชนีท้ายเล่มอรรถกถาธรรมบทฉบับมหาจุฬาฯ ระบุชื่อพระปฏาจาราเถรีคลาดเคล่ือน กล่าวคือในดัชนีท้าย เลม่ ระบุว่า พระปฏจิ าราเถรี๑ พระเจา้ วฑิ ฑู ภะ เขียนเปน็ พระเจ้าวิฑฑภู ะ๒ ช่ือเดียวกันในคัมภีร์เดียวกันสะกด ต่างกนั กม็ ี เช่น พระอบุ ลวรรณาเถร,ี พระอุบลวัณณาเถรี, พระมหากัจจานะ, พระมหากัจจายนะ เป็นต้น ข้อ น้ีทาให้การสืบค้นพระไตรปิฎกฉบับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประสบปัญหา เพราะฐานข้อมูลช่ือบุคคลใน โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ กับโปรแกรมพระไตรปิฎก เวอร์ชน่ั ๒.๑ ฉบบั เรียนพระไตรปิฎก ทใี่ ช้อยูท่ ว่ั ไปในปัจจุบนั สะกดคาหรอื ศพั ท์ไม่เหมือนกัน ชื่อบคุ คลบางช่ือมีพ้องกัน เพ่ือป้องกันความสับสน ในคัมภีร์มักมีการใช้สร้อยนามเพ่ือระบุให้เห็น ความแตกต่างกันสาหรับเรยี กขาน เช่นกรณพี ระติสสะ มที งั้ พระติสสะผู้ทรงพระวินัย พระติสสะผู้ว่ายาก พระ ตสิ สะผอู้ ย่ใู นนิคม พระตสิ สะผู้มรี ่างกายเน่าเปื่อย พระตสิ สะชาวเมอื งโกสัมพี พระติสสะผู้อาศัยอยู่ในสกุลช่าง แกว้ พระตสิ สะชาวเมืองสาวัตถี พระตสิ สะผู้มีปกติอยู่ที่เง่ือมเขา เปน็ ต้น ในส่วนของการจัดทาคาอธิบายนามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ มีหลายชื่อท่ีระบุที่มาของเหตุผลใน การต้ังช่ือในลักษณะอย่างนั้น อย่างน้ี สะท้อนให้เห็นว่า สังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับ ลักษณะกาเนิด สิ่งแวดล้อม อาชีพหรือการงาน บคุ คลในครอบครวั เชน่ บตุ รกับบุตร บุตรกับบิดามารดา การ ต้ังช่ือให้สัมพันธ์กับอุปนิสัย หรือพฤติกรรม สัมพันธ์กับโคตร และการตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับชะตาชีวิต ซ่ึงส่วน ใหญ่มักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี สอดคล้องในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ของอินเดียที่กล่าวถึงการตั้งช่ือว่า ชื่อ ของพราหมณ์ใหเ้ กยี่ วกบั สิง่ มงคล กษัตรยิ ์เก่ียวกับอานาจ ไวศยะเกี่ยวกับความมั่งค่ัง ศูทรเก่ียวกับส่ิงต่าๆ อัน น่าเกลียดเหยียดหยาม ช่ือที่เป็นลักษณะเด่นของพราหมณ์คือช่ือที่สื่อถึงความเจริญ กษัตริย์ส่ือถึงการพิทักษ์ รักษา ไวศยะ สื่อถึงความม่ังค่ัง ศูทร สื่อถึงการรับใช้ ช่ือสตรีต้องมีความหมายท่ีน่ายินดี ไม่แข็งกระด้าง ความหมายไปทางเรยี บรอ้ ย มีเสน่ห์ มโี ชค และลงทา้ ยดว้ ยทีฆสระ คือสระเสียงยาว อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบเงื่อนไขในการตั้งชื่อของคนไทยในสมัยโบราณ หรือแม้กระทั่งใน ปัจจุบัน การต้ังชื่อก็ยังใช้เพศ หลักโหราศาสตร์ ความหมาย ความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัว เป็นเคร่ือง กาหนด มเี พยี งความไพเราะทางด้านครุ ลหุ ความแปลกใหม่ การเลียนแบบชื่อคนมีชื่อเสียง การพ้องคาท่ีสื่อ ไปในความหมายไม่ดี อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาในอนาคตเท่านั้นท่ีไม่พบในเง่ือนไขของการต้ังช่ือ นอกจากน้ี การ ตั้งช่ือในสังคมอินเดียสมัยโบราณ ก็ไม่มีความซับซ้อนเหมือนกับแนวคิดการตั้งช่ือตามหลักทักษาปกรณ์ ข้อน้ี แสดงเห็นถึงพฒั นาการมาตามลาดบั ๑ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๖๖๖. ๒ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๖๖๕.
๔๔๗ ๕.๓ ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั การวิจยั เรอ่ื ง “นามานุกรมบคุ คลพุทธศาสน์” มฐี านข้อมูลสาหรับการอ้างอิงมาก ผู้วิจัยได้กาหนด ขอบเขตคัมภีร์เพียงพระไตรปิฎก และอรรถกถา ทาให้ต้องตัดฐานข้อมูลระดับฎีกา และอนุฎีกา ซ่ึงอาจช่วย เติมเต็มเน้อื หา หรือคาอธบิ ายให้สมบูรณ์มากย่ิงข้ึน นอกจากน้ี นามบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาร่วม สมัย ท้ังที่เป็นชาวไทย ชาวต่างประเทศ ผู้วิจัยก็ยังไม่มีโอกาสในการเก็บรายละเอียด และจัดทาคาอธิบายให้ ครบตามเจตนาที่เคยต้ังไว้ ทั้งนี้ด้วยเหตุข้อจากัดด้านเวลา หากขอบเขตเน้ือหากว้างไป อาจไม่สามารถ ดาเนนิ การให้เสรจ็ ทนั กรอบระยะเวลาของการวจิ ยั ได้ จึงเสนอแนะไว้ ๒ ประเด็น ดงั นี้ ๑. เหน็ ควรศึกษาเพิ่มเติมรายนามบุคคลทีป่ รากฏในคัมภรี ์อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา แล้วจัดทา คาอธิบายเพิม่ เตมิ เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหานามานุกรมบุคคลพทุ ธศาสนย์ ิง่ ขึน้ ๒. เห็นควรจัดเก็บนามบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาร่วมสมัยท้ังชาวไทย และชาว ตา่ งประเทศท่ีมีบทบาทสาคญั แลว้ จัดทาคาอธิบาย เพื่อเป็นหลักฐานสาหรับการอ้างอิงทางวิชาการในโอกาส ต่อไป
บรรณานกุ รม ก. คมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปฎิ กฉบับภาษาไทย ๔๕ เลม่ . กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓. มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปล ๙๑ เลม่ . กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒. ข. หนังสอื ทั่วไป กรมศิลปากร. นามานุกรมพพิ ิธภัณฑสถานในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: สานกั พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ, ๒๕๔๙. จรสั สวุ รรณมาลา และคณะ. นามานกุ รมนวัตกรรมท้องถิน่ ไทย : ประจาปี พ.ศ.๒๕๔๗.กรุงเทพฯ: สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั , ๒๕๔๘. ปรีชา ชา้ งขวัญยนื . “ชื่อเสียงเรียงนาม” . วิพากษก์ ารใชภ้ าษาไทย:รวมบทความจากคอลัมน์ปากกาขน นก สงั เกตภาษาและจับตาภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๐. ประกาศสานักนายกรฐั มนตรี เรื่องช่อื บคุ คล. ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี ๕๘, ตอนท่ี ๔๑ วนั ท่ี ๒๔ มิถนุ ายน ๒๔๘๔. ประจกั ษ์ ประภาพิทยากร. นามานกุ รมขนุ ช้าง-ขนุ แผน. พระนคร: ไทยวฒั นาพานชิ ,๒๕๐๘. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์. พิมพ์คร้ังท่ี ๒๖. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ผลิธัมม์ จัดพิมพ์, ๒๕๕๘. __________. พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพค์ ร้ังท่ี ๓๓. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พผ์ ลิธมั ม์ จดั พมิ พ,์ ๒๕๕๘. _________. กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก. พิมพค์ ร้ังท่ี ๖. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์ผลธิ ัมม์ จัดพิมพ์, ๒๕๕๕. พนิ ัย ศกั ด์ิเสนีย์. นามานกุ รมพระเคร่อื ง. พระนคร: สานักพมิ พผ์ ดุงศกึ ษา,๒๕๐๒. พูนพศิ อมาตยกลุ และคณะ. นามานุกรมศลิ ปนิ เพลงไทยรอบ ๒๐๐ ปี แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์: รายงาน ผลการวิจัย. จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๒. ถาวร สกิ ขโกศล.ช่ือและแซข่ องคนจีน. กรงุ เทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๓๗. มูลนธิ สิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานกุ รมพระมหากษตั ริย์ไทย. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ พบั ลิเคชัน่ ส์ จากดั , ๒๕๕๔. มลู นธิ ิสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา.นามานุกรมวรรณคดีไทย ชุดที่ ๑-๒-๓. พิมพเ์ น่ืองในวโรกาสทรงเจรญิ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๔๙. วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ. นามานุกรมเครือ่ งจักรสาน. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พเ์ มืองโบราณ,๒๕๕๓. สุเชาวน์ พลอยชุม. สารานกุ รมพระพทุ ธศาสนา. พิมพค์ ร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. สุภาพรรณ ณ บางช้าง. การใชภ้ าษาในการตงั้ ช่อื ของคนไทย. กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย
๔๔๙ ,๒๕๒๗. โสฬสเวท, มงคลนามและการต้งั ชอ่ื . กรุงเทพมหานคร: แพร่วทิ ยา, ๒๕๒๕. หนา้ ๑๘. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. พระราชประวตั ิสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช. พระนคร: โรงพมิ พ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๕๐๕. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชนิ วรสิรวิ ัฒน์ ทรงแปล. พระคัมภีร์อภิธานปั ปทปี ิกา, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. สมบัติ จาปาเงนิ . ภูมินามานุกรม. กรุงเทพฯ: สานักสุขภาพใจ,๒๕๔๕. เสาวนติ . พระนามกษัตริย์ พระองค์เจา้ หมอ่ มเจ้า. พระนคร: ประมวลสาส์น, ๒๕๐๕. ห้องโหรศรมี หาโพธ์ิ. ตาราพรหมชาติฉบับสมบรู ณ์. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์อานวยสาสน์ , ๒๕๖๐. ศศมิ า ทองคา และคณะ. นามานกุ รมเอดส์และเพศศึกษา. นครปฐม: สถาบนั พัฒนาการสาธารณสขุ อาเซยี น มหาวิทยาลัยมหิดล,๒๕๔๒. อรองค์ ชาคร และคณะ. นามานุกรมนักเขยี น-นกั แปล. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๓. ค. เวบ็ ไซต์ การสืบคน้ . [ออนไลน์]. แหล่งทม่ี า: https://lrckm.wordpress.com/2012/05/24/(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). การสบื ค้น. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา: http://www.khaochamao.com/webboard-show_36405(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). การสบื ค้น. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่มี า: https://kmutt-lm.lib.kmutt.ac.th/opac/(๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐). ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกบั การจัดทาฐานขอ้ มูลออนไลน์และฐานขอ้ มลู ฟรีออนไลน.์ [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา: https://library.kku.ac.th/free-database/index. php?option= com_content&view = article&id = 204&Itemid=7(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). ใบความรู้ท่ี ๕ เรอื่ งหนงั สืออ้างองิ . [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/ 440947 (๒๙ ธนั วาคม ๒๕๖๐). นามานกุ รม. [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา: http://guru.sanook.com/2330/ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐). นามานกุ รม. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา: http://wachum.com/eBook/1630101/directory.html/ (๒๙ ธนั วาคม ๒๕๖๐). อาศรมศรจี ักรนารท. .วิธีตัง้ ชอื่ ตามหลักทักษาปกรณ์. [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา: http://www.astroneemo.net/web/index.php (๒ มนี าคม ๒๕๖๑).
๔๗๔ ประวตั คิ ณะผู้วิจัย ๑. หวั หนา้ โครงการวิจยั พระครศู รปี ญั ญาวิกรม,ผศ.ดร. ๑. ชอ่ื – นามสกุล (ภาษาไทย) PhrakruSripanyavikrom ช่ือ – นามสกลุ (ภาษาองั กฤษ) รองผูอ้ านวยการฝ่ายวิชาการ ๒. ตาแหน่งปัจจบุ ัน วทิ ยาลัยสงฆ์บรุ รี ัมย์ ๓. หน่วยงานและสถานทตี่ ิดต่อ ประธานหลกั สตู รพระพุทธศาสนา วิทยาลัยสงฆ์บรุ ีรมั ย์ ๔. วุฒกิ ารศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เลขที่ ๒๘๑ หมูท่ ่ี ๑๓ ถนนบรุ รี ัมย์-ประโคนชยั วดั พระพุทธบาทเขากระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมืองบรุ ีรัมย์ จังหวัดบรุ ีรัมย์ ๓๑๐๐๐ โทร. ๐๔๔ ๖๓๗๒๖๑, ๐๔๔ ๖๓๗๒๕๖ มอื ถือ ๐๘๖-๔๕๖-๓๖๓๒ ๒๕๓๔ ป.ธ. ๖ ๒๕๓๙ พธ.บ. (ปรชั ญา) ๒๕๔๒ พธ.ม. (ปรัชญา) ๒๕๕๘ พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา) ๒. ผรู้ ว่ มวจิ ัย ๑. ช่อื - นามสกุล (ภาษาไทย) พระมหาพจน์ สุวโจ,ผศ.ดร. ชอ่ื - นามสกุล (ภาษาองั กฤษ) Phramaha Poj Suvaco, อาจารยป์ ระจาหลักสตู รพระพทุ ธศาสนา ๒. ตาแหน่งปัจจบุ นั : วิทยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๓. หน่วยงานทีอ่ ยู่ท่ีสามารถติดต่อได้ วิทยาลัยสงฆ์บรุ รี ัมย์ ๔. ประวตั ิการศึกษา ป.ธ. ๖ พธ.บ. (ปรัชญา) พธ.ม. (พระพุทธศาสนา) Ph.D. (Buddhist Studies)
๔๗๕ ๓. ผูร้ ว่ มวิจัย ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ, Dr.Chayaporn Sukprasert ๑. ช่ือ - นามสกุล (ภาษาไทย) อาจารย์ประจาหลักสูตรพระพทุ ธศาสนา ช่ือ - นามสกุล (ภาษาอังกฤษ) วทิ ยาลัยสงฆบ์ รุ รี ัมย์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ๒. ตาแหน่งปัจจุบนั : วทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ บศ.3 ๓. หน่วยงานทอี่ ย่ทู ่สี ามารถตดิ ตอ่ ได้ บธ.บ. (บญั ชี) ๔. ประวัติการศกึ ษา MBA (การตลาดและการจดั การ) ศน.ม.(พุทธศาสน์ศึกษา) พธ.ด.(พระพทุ ธศาสนา)
ภาคผนวก ก บทความวิจัย
๔๕๐ นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ พระครูศรีปัญญาวิกรม,ผศ.ดร. บทคัดย่อ พระมหาพจน์ สุวโจ,ผศ.ดร. ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ งานวจิ ยั เรอื่ ง “นามานกุ รมบุคคลพุทธศาสน์” มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพ่ือสืบค้นช่ือ บุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ๒) เพื่อจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับตามตัวอักษร ผู้วิจัยได้ดาเนินการระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผลการดาเนินการสรปุ ได้ดังน้ี ๑. รายช่ือบคุ คลที่ได้จากการสืบค้นดัชนีท้ายเลม่ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตัดส่วนท่ีซ้าออกไปแล้ว คัดเฉพาะรายชื่อท่ีจะได้จัดทาคาอธิบาย จานวนทั้งส้ิน ๑,๐๘๕ รายชอ่ื ๒. ได้จัดทาคาอธิบาย โดยเรียงตามหมวดพยัญชนะวรรค ๔ หมวด คือ ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, และพยัญชนะ อวรรค ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ ตามลาดับ ส่วนลาดับสระ ก็เรียงตามรูปสระ อ อา อิ อี เอ โอ ตามลาดับ การจัดทาคาอธิบายได้ใช้ หลักฐานจากคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก คาอธิบายนามานุกรมจะประกอบไปด้วย สาระสาคัญ ๒ สว่ น ได้แก่ ชาติภมู ิ และผลงานสาคัญ อน่งึ สงั คมอินเดยี สมัยพทุ ธกาล นยิ มต้ังชือ่ ให้สมั พันธก์ บั ลักษณะกาเนิด สิ่งแวดล้อม อาชีพหรือ การงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับบุตร บุตรกับบิดามารดา การตั้งช่ือให้สัมพันธ์กับอุปนิสัย หรือ พฤติกรรม สัมพนั ธ์กับโคตร และการต้ังชือ่ ใหส้ ัมพันธ์กบั ชะตาชีวติ ซึ่งสว่ นใหญม่ ักเปลย่ี นรา้ ยใหก้ ลายเป็นดี ด้วยข้อจากับด้านระยะเวลา การจัดทานามานุกรมครั้งนี้ อาศัยเพียงฐานของมูลจาก พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยเป็นหลัก ทาให้ต้องละช่ือบุคคลในคัมภีร์อรรถกา และช่ือบุคคลร่วมสมัยท่ีมี ความสาคัญทัง้ ชาวไทย และต่างประเทศ จึงเสนอแนะไว้เพ่ือการจัดทาในโอกาสต่อไป Abstracts The main proposes of Research title ‘Directories of Personal Names in Buddhism’ were (1) to search the personal names in Buddhist Canon (2) to make an explanation on the personal names by means of Directory and qualitative research methodology. The result of research can be summarized as follow: 1. The personal names were collected form Index of Tripitaka Thai version of Mahachulalongkornrajvidyalaya University are 1,085 people for preparing explanation by means of Directory 2. The names were explained in accordance with groups of Pali alphabets and vowels: - k kh g gh n, c ch j jh ñ, h ḍ ḍh ṇ, t th d dh n, p ph b bh m, y r l v s h ḷ and a ä
๔๕๑ I Î u Ü e o. To make an explanation, Tripitaka and commentaries were used as the main Texts Further, in Indian Paranormal Society, Naming is related to the nature of the environment, occupation or occupation, family members such as children with children and parents. Naming refers to the character or relationship with the descent, and naming in relation to destiny. Most of them turn bad to good. With a limitation of time, this Directory based only on the Thai version of Tripitaka. The name of the person in the others texts and the names of contemporary people, both Thai and abroad, are important to collect for making explanation. So it is recommended to prepare for the next opportunity. ๑. บทนา หนังสือนามานุกรมเป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการติดต่อสื่อสารในชีวิตปร ะจาวันของ บุคคลทุกคน และของหน่วยงานทุกหน่วยงาน ท้ังที่เป็นของรัฐบาลและของเอกชนปัจจุบันจึงมีการจัดทา หนังสือประเภทนามานุกรมไว้หลายประเภท เช่น นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย๑ จัดทาโดยมูลนิธิ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า สยามบรมราชกุมารี, นามานุกรมมงคล ผลงานของโกวิท ต้ังตรงจิตร จัดพิมพ์ โดยสานักพิมพ์คา เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เก่ียวกับการต้ังช่ือ หลักการคือ ก่อนท่ีจะพิจารณาตั้งช่ือ จาเป็น จะตอ้ งสารวจดจู ากแผนภูมิตามหลักทักษาปกรณ์ให้ละเอียดก่อนว่า อักษรตัวไหนเป็น เดช ตัวไหนเป็น ศรี ตัวไหนเป็น กาลกิณี ซึ่งต้องพิถีพิถันในเร่ืองนี้ก่อนประเด็นอื่น หากตั้งชื่อท่ีเป็นสิริมงคล ย่อมจะทาให้ชีวิต ของบุคคลนน้ั ประสบความรงุ่ เรือง แต่หากตัง้ ชอ่ื ไมด่ ี มตี ัวกาลกณิ ีอยรู่ ่วมด้วย ก็อาจจะนาความเส่ือมเสียหรื อภัยพบิ ัตมิ าสู่เจา้ ของชือ่ ได้ นามานุกรมนักเขียน-นักแปล๒ ของอรอนงค์ ชาคร จัดพิมพ์ในนามโครงการวิชาการด้าน วรรณศลิ ป์ สานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมยั กระทรวงวัฒนธรรม, นามานุกรมรามเกียรติ์๓ ผลงานของรื่น ฤทัย สัจจพันธ์ุ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สถาพร ปรับปรุงใหม่ล่าสุด ปี ๒๕๕๔ เป็นงานที่รวบรวมความ เป็นมาของตัวละคร สถานท่ี พิธี และอาวุธในเร่ืองรามเกียรต์ิไว้อย่างละเอียด ถือเป็นหลักสาหรับการ ค้นคว้าข้อมูลเรื่องรามเกียรติ์ได้ทั้งหมด, นามานุกรมนวัตกรรมท้องถ่ินไทย๔ ผลงานของจรัส สุวรรณมาลา สานักงานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย จัดพิมพ์คร้ังที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๘, นามานุกรมวรรณคดีไทย๕ ผู้จัดทาแบ่ง ๑ มลู นธิ ิสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา, นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ พบั ลิเคชั่นส์ จากดั , ๒๕๕๔), ๒๖๔ หน้า. ๒ อรองค์ ชาคร และคณะ, นามานุกรมนักเขียน-นักแปล, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๓), ๒๖๒ หน้า. ๓ รื่นฤทัย สัจจพันธ์, นามานุกรมรามเกียรติ์ ฉบับปรับปรุงใหม่, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, ๒๕๕๔), ๒๓๔ หนา้ . ๔ จรัส สุวรรณมาลา และคณะ, นามานุกรมนวัตกรรมท้องถ่ินไทย : ประจาปี พ.ศ.๒๕๔๗, (กรุงเทพฯ: สานกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั , ๒๕๔๘), ๒๙๑ หนา้ . ๕ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, นามานุกรมวรรณคดีไทย ชุดที่ ๑-๒-๓, พิมพ์เน่ืองในวโรกาสทรง เจริญพระชนมายุ ๕๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๔๙.
๔๕๒ ออกเป็น ๓ ชุด ชุดท่ี ๑ ว่าด้วย ชื่อวรรณคดี ชุดท่ี ๒ ว่าด้วย ช่ือผู้แต่ง และชุดท่ี ๒ ว่าด้วย ตัวละคร ชื่อ สถานท่ี และช่อื ปกณิ ณกะ, นามานุกรมพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย๖ เป็นหนังสือที่รวบรวมรายชื่อและ รายละเอียดเก่ียวกับพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย โดยภัณฑารักษ์และนักวิชาการของพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติทุกแห่งท้ังของราชการและเอกชน ซ่ึงมีพิพิธภัณฑสถานทั้งสิ้น ๔๘๖ แห่ง จาก ๗๖ จังหวัด เพื่อ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้ทอ่ี ยใู่ นแวดวงพิพธิ ภณั ฑสถาน ผู้ทีเ่ ก่ยี วข้อง และผู้สนใจทว่ั ไป, นามานุกรมขุนช้าง-ขุนแผน๗ ผู้แต่งคือ ประจักษ์ ประภาพิทยากร ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกโดย สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ.๒๕๐๘, นามานุกรมศิลปินเพลงไทย๘ ผู้แต่งคือ พูนพิศ อมาตยกุล ได้ รวบรวมศิลปินเพลงไทยในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๓๒, นามานุกรมพระเคร่ือง๙ ผลงานของพินัย ศักด์ิเสนีย์ ให้ความรู้เกี่ยวกับพระ เคร่ืองต่าง ๆ สาระสาคัญมีความเกี่ยวข้องกับศิลปะและพระพุทธศาสนาท่ีมีคุณค่ายิ่ง, ภูมินามานุกรม๑๐ ของสมบัติ จาปาเงิน จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สุขภาพใจ เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์ในการเขียนช่ือประเทศ เมืองหลวง ทวปี เขต รัฐ ดินแดนต่างๆ ให้ถูกต้อง โดยยึดประกาศของราชบัณฑิตยสถาน,นามานุกรมเอดส์ และเพศศึกษา๑๑ เป็นหนังสือท่ีรวบรวมรายช่ือหนังสือ/เอกสารด้านเอดส์ และเพศศึกษา ท่ีมีอยู่ในศูนย์ ข้อมูลขา่ วสารดา้ นเอดส์ ซึ่งปัจจบุ ันนี้อยู่ในมุมหน่ึงของห้องสมุดสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน เพ่ือส่งเสริม การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของผู้ใช้บริการท้ังคนไทยและชาวต่างชาติ, นามานุกรมเคร่ืองจักรสาน๑๒ ผลงาน ของวบิ ูลย์ ล้ีสุวรรณ์ รวมคาศัพท์เกี่ยวกับเคร่ืองจักรสานมากกว่า ๑,๐๐๐ คา สาพิมพ์เมืองโบราณจัดพิมพ์ ๒๕๕๓ เปน็ ตน้ จากรายละเอียดข้างต้นจะเห็นว่า นามานุกรม เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ เพราะสามารถใช้เป็น ฐานข้อมูลในการค้นหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับบุคคลด้านต่าง ๆ ได้โดยง่าย จึงมีการจัดทานามานุกรมบุคคล ออกมาเผยแพรก่ ันอยา่ งแพรห่ ลาย อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาในวงการพระพุทธศาสนา หนังสืออ้างอิงลักษณะ ดังกล่าวน้ี ยังมีน้อย และส่วนใหญ่เป็นผลงานของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาในอดีต เช่น คัมภีร์ อภิธานัปปทีปิกา๑๓ งานนิพนธ์พระมหาโมคคัลลานะ พระเถระชาวศรีลังกา, สารานุกรมพระพุทธศาสนา ๖ กรมศลิ ปากร, นามานุกรมพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: สานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, ๒๕๔๙), ๔๐๐ หนา้ . ๗ ประจักษ์ ประภาพิทยากร, นามานุกรมขุนช้าง-ขุนแผน, (พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช,๒๕๐๘), ๓๒๘ หนา้ . ๘ พนู พศิ อมาตยกุล และคณะ, นามานุกรมศิลปินเพลงไทยรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์: รายงาน ผลการวจิ ยั , จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๒. ๙ พินยั ศักดิ์เสนีย์, นามานุกรมพระเคร่อื ง, (พระนคร: สานักพมิ พ์ผดงุ ศึกษา,๒๕๐๒),๗๘๘ หน้า. ๑๐ สมบตั ิ จาปาเงนิ , ภมู ินามานุกรม, (กรงุ เทพฯ: สานักสุขภาพใจ,๒๕๔๕), ๒๙๖ หน้า. ๑๑ ศศิมา ทองคา และคณะ, นามานุกรมเอดส์และเพศศึกษา, (นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุข อาเซยี น มหาวิทยาลัยมหดิ ล,๒๕๔๒), ๓๓๘ หน้า. ๑๒ วิบลู ย์ ล้สี วุ รรณ, นามานกุ รมเครือ่ งจักรสาน, (กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์เมอื งโบราณ,๒๕๕๓), ๓๖๘ หน้า. ๑๓ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงแปล. พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), ๕๒๐ หน้า.
๔๕๓ ประมวลจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส๑๔ เป็นต้น ที่เป็นผลงานร่วม สมัยก็พอมีอยู่บ้าง เช่น พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์๑๕ ฉบับประมวลธรรม๑๖ และกาลานุ กรม๑๗ ซง่ึ เปน็ งานนพิ นธข์ องพระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ผู้วิจัยมีความเห็นคัมภีร์พระไตรปิฎก มีชื่อบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจานวนมาก พิจารณาได้ จากดัชนีท้ายเล่มของพระไตรปิฎกแต่ละเล่ม บางชื่อปรากฏซ้ากันในหลายเล่ม ส่วนท่ีซ้ามีเน้ือหาซ้ากันก็มี มีเน้อื หาแตกต่างกนั ออกไปก็มี หากมีการนามาร้อยเรียง และจัดทาคาอธิบายโดยใช้หลักวิชาการสมัยใหม่ เข้ามาช่วยในรูปของนามานุกรม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษาพระพุทธศาสนาโดยภาพรวม ท้ัง สะดวก และกระชับในการสบื ค้นขอ้ มูล การเรียนรู้ประวัติบุคคลพุทธศาสน์ ก็เหมือนกับการได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน มติ ิตา่ ง ๆ ไปด้วย เพราะศัพทบ์ ุคคลแต่ละคนที่ถูกเก็บนามาเขียนคาอธิบาย ล้วนมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก ซ่ึงย่อมจะมีความสาคัญ และเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาไม่อย่างใดก็อย่างหน่ึง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เทา่ กับไดร้ วบความความหลากหลายมารวมอยู่ในหมวดหม่เู ดียวกนั นามานุกรมพุทธศาสน์ จึงน่าจะเป็นงานอีกช้ินหนึ่งที่มีความจาเป็น และมีความสาคัญ เพราะ เม่อื กล่าวถงึ พระพทุ ธศาสนา มเี นือ้ หา และขอบเขตกวา้ งขวางมาก แมข้ อบเขตที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเพียง อย่างเดียว ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นงานท่ีท้าทายความวิริยะอุตสาหะอยู่พอสมควร เพราะเหตุว่า บุคคลท่ีมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีทั้งส่วนท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา น่ียังไม่นับบุคคลร่วมสมัยที่มีบทบาทสาคัญต่อวงการพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ ทั่ว โลก การจัดทานามานุกรมพุทธศาสตรจ์ งึ นา่ จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างกวา้ งขวาง อาศัยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเสนอโครงการวิจัยเรื่อง นามานุกรมพุทธศาสน์ เสนอต่อ สถาบันวิจัย เพ่ือของบประมาณสนับสนุน พร้อมทัง้ ดาเนนิ การใหเ้ ป็นรปู ธรรมสบื ตอ่ ไป ๒. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ๒.๑ เพอ่ื สืบคน้ ชื่อบคุ คลท่ปี รากฏในคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา ๒.๒ เพ่ือจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับ ตามตวั อกั ษร ๓. ขอบเขตของการวิจัย ๓.๑ ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา ๑๔ สุเชาวน์ พลอยชุม, สารานุกรมพระพุทธศาสนา, พิมพ์คร้ังท่ี ๒ (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), ๗๙๓ หนา้ . ๑๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี ๒๖, (กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ผลิธัมม์ จดั พมิ พ,์ ๒๕๕๘), ๖๐๐ หน้า. ๑๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งท่ี ๓๓, (กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พผ์ ลิธัมม์ จัดพิมพ,์ ๒๕๕๘), ๓๘๙ หน้า. ๑๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ผลิธัมม์ จดั พิมพ์, ๒๕๕๕), ๒๗๕ หน้า.
๔๕๔ จัดทานามานุกรมพุทธศาสน์ โดยการคัดเลือกช่ือท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเรียบเรียง ตามลาดับตัวอักษร โดยเร่ิมจากพยัญชนะ วรรค ต่อด้วยพยัญชนะ อวรรค พร้อมกับจัดทาคาอธิบาย ประกอบโดยอาศัยขอ้ มลู จากคัมภีร์อรรถกถาประกอบ ๓.๒ ขอบเขตของคัมภีร์ ผู้วจิ ยั ใช้คัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาไทย ๔๕ เล่ม ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ฉบับตีพิมพ์ เผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นหลัก ส่วนคาอธิบายประกอบ จะใชค้ ัมภีร์อรรถกถาเปน็ หลัก ๔. วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Document Research) โดยผู้วิจัยดาเนินการ ตามลาดับดงั ตอ่ ไปน้ี ๕.๑ สืบค้นหาชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในดัชนีท้ายเล่มพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ฉบบั ตีพิมพพ์ ทุ ธศกั ราช ๒๕๓๕ คดั ชอ่ื ท่ีซา้ และชื่อท่ีไม่ใช่บุคคล เช่น เทวดา คนธรรพ์ นาค เปน็ ต้น ออกเสยี ๕.๒ นาชื่อบุคคลเหล่านั้นมาจัดเรียบลาดับตามตัวอักษร ยึดตามแบบแผนที่บุรพาจารย์ได้ กาหนดไวแ้ ลว้ คอื หมวด ก วรรค ประกอบด้วย ก ข ค ฆ ง, หมวด จ วรรค ประกอบด้วย จ ฉ ช ฌ ญ, หมวด ฏ วรรค ประกอบด้วย ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, หมวด ต วรรค ประกอบด้วย ต ถ ท ธ น, หมวด ป วรรค ประกอบด้วย ป ผ พ ภ ม, หมวด อวรรค ประกอบดว้ ย ย ร ล ว ส ห ฬ อ ส่วนหมวด สระ เรยี งลาดับดังน้ี อ อ อิ อี อุ อู เอ โอ ๕.๓ เขียนคาอธิบายประกอบ โดยใช้ข้อมูลจากพระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลักใน การจดั ทาคาอธบิ าย ๕.๓ จัดเขียนรายงานฉบับร่างส่งให้ผู้ส่งคุณวุฒิตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งแก้ไขตาม คาแนะนาของผูท้ รงคณุ วุฒิ ๕.๔ จดั ทารายงานฉบับสมบูรณเ์ สนอตอ่ สถาบนั วิจัยพุทธศาสตร์ ๕.๕ จดั พิมพ์หรือเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยตอ่ สาธารณชนตามเกณฑม์ าตรฐานสืบตอ่ ไป ๕. ผลการวิจัย งานวจิ ัยเรอื่ ง “นามานกุ รมบุคคลพุทธศาสน์” มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพื่อสืบค้นชื่อ บุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ๒) เพ่ือจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดบั ตามตวั อกั ษร ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินวจิ ยั เชงิ เอกสาร (Document Research) โดยดาเนนิ การตามลาดับขั้นตอนดังน้ี คือ ๑) สืบค้นหาชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกจากดัชนีท้ายเล่ม ๒) นาช่ือเหล่าน้ันมาจัด เรียงลาดับตามตัวอักษรตามหลักการจัดทาพจนานุกรม หรือสารานุกรม ๓) คัดเลือกศัพท์ โดยตัดศัพท์ท่ี ซ้าซ้อน และศัพท์ที่ไม่สาคัญออก ๔) จัดทาคาอธิบายประกอบ โดยอาศัยข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับ แปลภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตีพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.๒๕๓๕ ส่วนอรรถกถา ผู้วิจัยใช้ คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๕๒๕ และ ๕) ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วนาเสนอผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ ก่อนนาเสนอคณะกรรมการของสถาบันเพ่ือ พจิ ารณาอนุมตั ิ ก่อนพจิ ารณาแหลง่ ตพี มิ พเ์ ผยแพร่ตามเกณฑต์ อ่ ไป ผลการวจิ ัยสรปุ ดังน้ี
๔๕๕ ๑. ผู้วิจัยได้ดาเนินการสืบค้นจากดัชนีท้ายเล่มพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คัดรายช่ือบุคคลท่ีจัดทาคาอธิบาย และตัดส่วนที่ซ้าออกไปแล้ว ได้ศัพท์ที่เป็นชื่อ บุคคลจานวนทั้งส้นิ ๑,๐๘๕ รายช่อื แบง่ เปน็ เล่มท่ี ๑ จานวน ๔๖ ช่ือ, เล่มท่ี ๒ จานวน ๒๓ ช่ือ, เล่มที่ ๓ จานวน ๙ ช่ือ, เล่มที่ ๔ จานวน ๒๒ ช่ือ, เล่มที่ ๕ จานวน ๔๐ ช่ือ, เล่มที่ ๖ จานวน ๔ ช่ือ, เล่มที่ ๗ จานวน ๒๘ ชื่อ, เล่มท่ี ๘ จานวน ๒๖ ช่ือ, เล่มท่ี ๙ จานวน ๒๙ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๐ จานวน ๔๒ ชื่อ, เล่มที่ ๑๑ จานวน ๑๑ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๒ จานวน ๑๑ ชื่อ, เล่มท่ี ๑๓ จานวน ๕๐ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๔ จานวน ๑๕ ช่ือ, เล่มที่ ๑๕ จานวน ๓๑ ชื่อ, เล่มที่ ๑๖ จานวน ๒๑ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๗ จานวน ๑๒ ชื่อ, เล่มที่ ๑๘ จานวน ๒๖ ชอ่ื , เล่มท่ี ๑๙ จานวน ๑๖ ชือ่ , เลม่ ท่ี ๒๐ จานวน ๒๗ ช่ือ, เล่มท่ี ๒๑ จานวน ๑๐ ช่ือ, เล่มท่ี ๒๒ จานวน ๒๖ ชอ่ื , เลม่ ท่ี ๒๓ จานวน ๙ ช่ือ, เลม่ ท่ี ๒๔ จานวน ๙ ช่อื , เล่มที่ ๒๕ จานวน ๗๒ ชื่อ, เล่มท่ี ๒๖ จานวน ๔๖ ชอื่ ,เล่มท่ี ๒๗ จานวน ๑๑๓ ช่ือ, เล่มที่ ๒๘ จานวน ๕๐ ช่ือ, เล่มที่ ๒๙ จานวน ๕ ชื่อ, เล่มท่ี ๓๐,๓๑ มีรายชอื่ ซา้ กบั ทีเ่ ก็บไว้แล้ว, เลม่ ท่ี ๓๒ จานวน ๒๐๘ ชอื่ , เลม่ ที่ ๓๓ จานวน ๗๔ ชอ่ื , เลม่ ท่ี ๓๔-๔๕ ไม่เกบ็ เน่ืองจากมีรายชอ่ื นอ้ ย และซา้ กับทเี่ ก็บแลว้ ในคัมภีรพ์ ระวินยั ปิฎก และพระสตุ ตนั ตปิฎก หลงั จากดาเนนิ การคดั กรองแล้ว คงเหลือช่อื บุคคลสาหรับการเขยี นคาอธิบายนามานุกรมท้ังสิ้น จานวน ๖๖๑ รายชื่อ จากเดิม ๑,๐๘๕ ส่วนใหญ่ที่ตัดออก เพราะเป็นช่ือท่ีถูกกล่าวพาดพิงถึงเพียงคร้ัง เดียว หรอื สองครงั้ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก เมื่อสืบค้นในคัมภีร์อรรถกถาก็ไม่ได้มีรายละเอียดเพ่ิมเติมพอที่จะ อธิบายความได้ ช่ือลักษณะนี้ ส่วนใหญ่มกั ปรากฏอยู่ในคมั ภีร์ชาดก และย้อนระยะเวลาไกลออกไปมากเป็น กปั หรือแมป้ รากฏอยูใ่ นคมั ภรี ์พระไตรปฎิ ก ก็มักเป็นเรอ่ื งราวที่พรรณนาถึงอดีตอันไกลโพ้น ๒. การจัดทาคาอธิบาย ผู้วิจัยได้จัดทาคาอธิบายโดยอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็น หลัก และอาศยั คัมภีรอ์ รรถกถาเป็นหลกั การดาเนินการไดใ้ ช้โปรแกรมพระไตรปิฎก ๒ ชดุ ได้แก่ โปรแกรม พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ เป็นตัวช่วยในการสืบค้นหาคาแต่ละคาท่ี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ จากน้ันประมวลจัดทาคาอธิบายประกอบ ยกตัวอย่าง เช่น สารีบุตร,พระ มี กระบวนการจดั ทาคาอธบิ ายโดย ๑) นาศัพท์ “สารบี ุตร” ป้อนลงในโปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ช่ัน ๑.๐ ว่า มีคาน้ีปรากฏอยู่ก่ีครั้งในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ซ่ึงจาก การค้นหา โปรแกรมได้รายงานพบทั้งส้ิน ๑,๕๙๑ ครั้ง ๒) ตรวจสอบเนื้อหาตามหลักฐานที่ค้นพบแต่ละ ครั้ง เพื่อจัดทาคาอธิบาย โดยตัดส่วนท่ีไม่เก่ียวข้อง ไม่จาเป็น หรือมีเนื้อหาซ้าออก เทียบเคียงเน้ือหาจาก พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมท้ังจัดทาเชิงอรรถประกอบสาหรับการ สืบค้น หรือตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ และ ๓) ตรวจสอบเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องเพิ่มจากคัมภีร์อรรถ กถา ๔๘ เลม่ โดยใชโ้ ปรแกรมพระไตรปิฎก เวอร์ชนั่ ๒.๑ ฉบบั เรียนพระไตรปิฎก ในการสืบค้นคาท่ีกาหนด ไว้แล้ว จากน้นั นาเนอ้ื หาท่ีคน้ พบมาอธบิ ายเพ่ิมเติม ตัดส่วนท่ีมีเนื้อหาซ้าออก คงเหลือไว้เฉพาะส่วนเนื้อหา ท่ีไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเท่านั้น จากนั้นเทียบเคียงคัมภีร์อรรถกถาฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย เพ่ือจดั ทาเชิงอรรถประกอบการสืบคน้ หรอื ตรวจสอบความถกู ตอ้ งทางวชิ าการ เนื้อหาหลักสาคัญในการจัดทาคาอธิบายประกอบด้วย ๑) ชาติภูมิ มีรายละเอียดหลัก ๆ เช่น บดิ ามารดา สถานท่ีเกิด การศึกษา ๒) บทบาทสาคัญ มีรายละเอียดหลกั ๆ เช่น หน้าที่ การงาน การปฏิบัติ ตนท้งั ในแง่ส่วนตน และในแง่สังคมที่พรรณนาไว้ในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา การได้รับการยกย่องพิเศษ และ ๓) บั้นปลายชีวติ ความสมบรู ณ์ของเน้ือหาทัง้ ๓ ประเดน็ ขึน้ อยู่กบั หลกั ฐานท่ีปรากฏ ไม่เสมอไปทุกนามบุคคลท่ี ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี ์ ทั้งนเ้ี นอื่ งจากวา่ นามบคุ คลที่ปรากฏในคัมภีร์นั้น แต่ละบุคคลมีบทบาทสาคัญมากน้อย
๔๕๖ แตกต่างกัน ท่ีมีความสาคัญมาก จะมีหลักฐานระบุไว้มาก สาคัญน้อย ก็จะมีหลักฐานปรากฏน้อยตามไป ด้วย ชื่อบุคคลแต่ละช่ือจึงมีคาอธิบายมาก อธิบายน้อยแตกต่างกันตามไปด้วย โดยเฉพาะหลักฐานในส่วน ประวัติที่เกี่ยวกับชาติภูมิ หลักฐานส่วนใหญ่ท่ีได้จะอาศัยคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก ในส่วนพระไตรปิฎกมัก ปรากฏรายละเอียดแตพ่ อสังเขปเทา่ นั้น อนึ่ง เพ่ือประโยชน์ในการศึกษาภายภาคหน้า ผู้วิจัยได้วิเคราะห์คตินิยมเร่ืองการต้ังชื่อท่ี ปรากฏในคมั ภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีรอ์ รรถกถา ซ่ึงสามารถสรปุ ความได้ว่า สังคมอนิ เดีย มีการต้ังชื่อตาม ระบบวรรณะ กล่าวคือ ช่ือกษัตริย์มักเกี่ยวกับอานาจ ไวศยะเกี่ยวกับความมั่งคั่ง ศูทรเก่ียวกับสิ่งต่าๆ อัน น่าเกลียดเหยียดหยาม ช่ือท่ีเป็นลักษณะเด่นของพราหมณ์คือช่ือท่ีสื่อถึงความเจริญ กษัตริย์ส่ือถึงการ พิทักษ์รักษา ไวศยะ สื่อถึงความม่ังค่ัง ศูทร สื่อถึงการรับใช้ ช่ือสตรีต้องมีความหมายที่น่ายินดี ไม่แข็ง กระด้าง ความหมายไปทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงท้ายด้วยทีฆสระ คือสระเสียงยาว ถือเป็นเอก ลักษณะเฉพาะท่แี ตกต่างจากสงั คมไทย จากการวิเคราะห์คตินิยมการต้ังชื่อที่พบในคัมภีร์พระพุทธศาสนา สังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมต้ังช่ือให้สัมพันธ์กับลักษณะกาเนิด สิ่งแวดล้อม อาชีพหรือการงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับ บตุ ร บตุ รกบั บิดามารดา การตัง้ ช่ือให้สัมพันธ์กับอุปนิสัย หรอื พฤติกรรม สัมพันธ์กับโคตร และการต้ังช่ือให้ สัมพันธ์กบั ชะตาชวี ิต ซง่ึ ส่วนใหญม่ กั เปล่ยี นรา้ ยให้กลายเปน็ ดี ๖. อภิปรายผล จากการสืบค้นศัพท์บุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และนามาจัดทาคาอธิบายตามหลัก และวิธีการจัดนามานุกรมท่ัวไป ทาให้ทราบว่า ชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่น้ัน มีท้ังท่ีเป็นชื่อบุคคลที่เกิดก่อน พุทธกาล สมัยพุทธกาล และหลังพุทธกาลมาแล้ว บางช่ือก็มีตัวตน มีหลักฐานประกอบ และมีความ เกีย่ วขอ้ งกบั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ท้งั กอ่ น ระหว่าง และหลังพุทธกาล แต่บางช่ือก็เป็นเพียง “บุคลาธิษฐาน” ท่ี ทา่ นยกขึ้นมาเพอ่ื มุ่งส่ือข้อธรรมต่าง ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกับจริต หรืออปุ นสิ ัยของผู้ฟัง นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ช่ือบุคคลในดัชนีท้ายเล่มในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังมีการสะกดคาไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่ตรงกัน เช่น ดีชนี ทา้ ยเลม่ อรรถกถาธรรมบทฉบับมหาจุฬาฯ ระบุช่ือพระปฏาจาราเถรีคลาดเคล่ือน กล่าวคือในดัชนีท้ายเล่ม ระบุวา่ พระปฏจิ าราเถรี๑๘ พระเจ้าวฑิ ูฑภะ เขยี นเป็น พระเจา้ วฑิ ฑูภะ๑๙ ช่ือเดยี วกันในคัมภีร์เดียวกันสะกด ต่างกันก็มี เช่น พระอุบลวรรณาเถรี, พระอุบลวัณณาเถรี, พระมหากัจจานะ, พระมหากัจจายนะ เป็นต้น ข้อน้ีทาให้การสืบค้นพระไตรปิฎกฉบับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประสบปัญหา เพราะฐานข้อมูลชื่อบุคคลใน โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ กับโปรแกรม พระไตรปฎิ ก เวอร์ช่ัน ๒.๑ ฉบบั เรียนพระไตรปิฎก ท่ใี ชอ้ ยทู่ วั่ ไปในปจั จุบนั สะกดคาหรอื ศัพทไ์ ม่เหมือนกนั ช่ือบุคคลบางชื่อมีพ้องกัน เพื่อป้องกันความสับสน ในคัมภีร์มักมีการใช้สร้อยนามเพื่อระบุให้ เห็นความแตกต่างกันสาหรับเรียกขาน เช่นกรณีพระติสสะ มีทั้งพระติสสะผู้ทรงพระวินัย พระติสสะผู้ว่า ยาก พระติสสะผู้อยู่ในนิคม พระติสสะผู้มีร่างกายเน่าเป่ือย พระติสสะชาวเมืองโกสัมพี พระติสสะผู้อาศัย อยใู่ นสกุลชา่ งแก้ว พระตสิ สะชาวเมืองสาวัตถี พระตสิ สะผ้มู ีปกติอยทู่ เ่ี ง้ือมเขา เปน็ ตน้ ๑๘ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๖๖๖. ๑๙ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๖๖๕.
๔๕๗ ในส่วนของการจัดทาคาอธิบายนามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ พบข้อเท็จจริงว่า สังคมอินเดีย สมัยพุทธกาล นิยมตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับลักษณะกาเนิด ส่ิงแวดล้อม อาชีพหรือการงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บตุ รกับบตุ ร บตุ รกับบดิ ามารดา การตั้งช่ือใหส้ ัมพนั ธก์ บั อุปนสิ ยั หรือพฤติกรรม สัมพันธ์กับโคตร และ การต้ังชื่อให้สัมพันธ์กับชะตาชีวิต ซ่ึงส่วนใหญ่มักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี สอดคล้องในคัมภีร์มนู ธรรมศาสตร์ของอินเดียที่กล่าวถึงการตั้งชื่อว่า ช่ือของพราหมณ์ให้เก่ียวกับส่ิงมงคล กษัตริย์เก่ียวกับ อานาจ ไวศยะเก่ียวกับความม่ังคั่ง ศูทรเก่ียวกับสิ่งต่าๆ อันน่าเกลียดเหยียดหยาม ช่ือที่เป็นลักษณะเด่น ของพราหมณ์คือชื่อที่ส่ือถึงความเจริญ กษัตริย์สื่อถึงการพิทักษ์รักษา ไวศยะ สื่อถึงความมั่งคั่ง ศูทร สื่อถึง การรับใช้ ช่ือสตรีต้องมีความหมายที่น่ายินดี ไม่แข็งกระด้าง ความหมายไปทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงทา้ ยดว้ ยทีฆสระ คือสระเสยี งยาว อย่างไรก็ตาม หากเปรยี บเทียบเงอ่ื นไขในการตัง้ ช่อื ของคนไทยในสมัยโบราณ หรือแม้กระท่ังใน ปัจจบุ ัน การตั้งชื่อก็ยงั ใช้เพศ หลักโหราศาสตร์ ความหมาย ความสมั พนั ธ์กับบุคคลในครอบครัว เป็นเคร่ือง กาหนด มีเพียงความไพเราะทางด้านครุ ลหุ ความแปลกใหม่ การเลียนแบบช่ือคนมีชื่อเสียง การพ้องคาที่ ส่ือไปในความหมายไมด่ ี อันจะก่อให้เกดิ ปญั หาในอนาคตเทา่ นัน้ ที่ไมพ่ บในเงือ่ นไขของการต้ังช่ือ นอกจากน้ี การตั้งชอ่ื ในสังคมอนิ เดียสมยั โบราณ ก็ไม่มีความซับซ้อนเหมือนกับแนวคิดการตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์ ขอ้ น้ีแสดงเห็นถึงพัฒนาการมาตามลาดับ ๗. ข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง “นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์” มีฐานข้อมูลสาหรับการอ้างอิงมาก ผู้วิจัยได้ กาหนดขอบเขตคัมภีรเ์ พยี งพระไตรปิฎก และอรรถกถา ทาให้ต้องตัดฐานข้อมูลระดับฎีกา และอนุฎีกา ซ่ึง อาจช่วยเติมเต็มเน้ือหา หรือคาอธิบายให้สมบูรณ์มากยิ่งข้ึน นอกจากนี้ นามบุคคลที่เก่ียวข้องกับ พระพุทธศาสนาร่วมสมัย ทั้งท่ีเป็นชาวไทย ชาวต่างประเทศ ผู้วิจัยก็ยังไม่มีโอกาสในการเก็บรายละเอียด และจัดทาคาอธบิ ายใหค้ รบตามเจตนาทเี่ คยตง้ั ไว้ ท้งั นด้ี ้วยเหตุข้อจากัดด้านเวลา หากขอบเขตเน้ือหากว้าง ไป อาจไม่สามารถดาเนินการใหเ้ สร็จทันกรอบระยะเวลาของการวจิ ัยได้ จงึ เสนอแนะไว้ ๒ ประเดน็ ดังนี้ ๑. เห็นควรศึกษาเพิ่มเติมรายนามบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา แล้ว จดั ทาคาอธิบายเพิม่ เติม เพื่อใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หานามานุกรมบุคคลพทุ ธศาสน์ยิ่งขึ้น ๒. เห็นควรจัดเก็บนามบุคคลที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาร่วมสมัยท้ังชาวไทย และชาว ต่างประเทศที่มีบทบาทสาคัญ แล้วจัดทาคาอธิบาย เพื่อเป็นหลักฐานสาหรับการอ้างอิงทางวิชาการใน โอกาสตอ่ ไป ๘. กิตตกิ รรมประกาศ ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ให้ โอกาสแก่ผวู้ ิจัยได้ทาวจิ ยั เร่ืองนี้ ทาใหผ้ ้วู ิจยั ได้มีโอกาสอ่านทบทวนคมั ภรี ์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ซ้าอีกรอบ ทาใหส้ มั ผสั กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในสมัยพุทธกาล และหลังพุทธกาลซ่ึงได้รับการจารึกไว้ เป็นหลักฐานโดยอรรถกถาจารย์ ซึ่งทุกคร้ังของการอ่านสารวจข้อมูล ผู้วิจัยมักจะได้ประสบการณ์ใหม่ เพิ่มขน้ึ ทุกครัง้ ประการต่อมา ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิท่ีทาหน้าที่ตรวจสอบผลงาน พร้อมทั้งข้อเสนอแนะท่ี เปน็ ประโยชน์ ทาให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์มากย่ิงข้ึน ขอบคุณเพ่ือนร่วมงานในสาขาวิชาพระพุทธศาสนา
๔๕๘ ที่บางครั้ง ได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานประจาท่ีผู้วิจัยรับผิดชอบอยู่แทน เพื่อให้ได้มีเวลาในการทุ่มเทงานให้ สาเร็จลุล่วงตามกรอบระยะเวลาที่กาหนด สุดท้ายขอขอบคุณเจ้าหน้าท่ีสานักงานวิจัยพุทธศาสตร์ทุกท่าน ทเ่ี ก้ือกูล และใสใ่ จรายละเอียดตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วข้อง ทาให้งานเป็นไปด้วยดี ความดีใด ๆ ก็ตามท่ีเกิดขึ้นจากงานวิจัยช้ินนี้ ผู้วิจัยขอยกให้แก่โยมพ่อผู้เป็นแบบอย่างชีวิตใน วยั เด็ก พร้อมอทุ ศิ ส่วนกุศลแก่โยมแมผ่ ลู้ ่วงลบั ไปแล้ว ๙. เอกสารอา้ งอิง ๙.๑ คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ๔๕ เลม่ . กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓. มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ๙๑ เลม่ . กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. ๙.๒ หนังสือทั่วไป กรมศิลปากร. นามานกุ รมพพิ ิธภัณฑสถานในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: สานักพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต,ิ ๒๕๔๙. จรัส สวุ รรณมาลา และคณะ. นามานุกรมนวัตกรรมทอ้ งถิน่ ไทย : ประจาปี พ.ศ.๒๕๔๗.กรงุ เทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั , ๒๕๔๘. ปรชี า ช้างขวญั ยืน. “ช่อื เสยี งเรยี งนาม” . วิพากษ์การใช้ภาษาไทย:รวมบทความจากคอลัมนป์ ากกาขน นก สังเกตภาษาและจบั ตาภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๐. ประจกั ษ์ ประภาพทิ ยากร. นามานกุ รมขุนช้าง-ขุนแผน. พระนคร: ไทยวฒั นาพานิช,๒๕๐๘. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์. พมิ พ์ครั้งท่ี ๒๖. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พผ์ ลิธมั ม์ จัดพมิ พ์, ๒๕๕๘. __________. พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. พิมพค์ ร้งั ที่ ๓๓. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ผลธิ ัมม์ จัดพิมพ,์ ๒๕๕๘. _________. กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก. พิมพค์ รั้งท่ี ๖. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ผลธิ ัมม์ จดั พิมพ,์ ๒๕๕๕. พินัย ศกั ดิเ์ สนีย์. นามานุกรมพระเครือ่ ง. พระนคร: สานักพิมพผ์ ดงุ ศึกษา,๒๕๐๒. พนู พิศ อมาตยกุล และคณะ. นามานุกรมศลิ ปนิ เพลงไทยรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรงุ รตั นโกสินทร์: รายงาน ผลการวจิ ยั . จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๓๒. ถาวร สิกขโกศล.ช่ือและแซ่ของคนจนี . กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๓๗. มลู นธิ ิสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษตั ริย์ไทย. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พน์ านมีบคุ๊ ส์ พับลิเคชั่นส์ จากดั , ๒๕๕๔. มูลนธิ สิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา.นามานุกรมวรรณคดีไทย ชดุ ที่ ๑-๒-๓. พิมพเ์ นอื่ งในวโรกาสทรงเจรญิ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๔๙. วิบลู ย์ ลี้สุวรรณ. นามานกุ รมเคร่ืองจกั รสาน. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์เมืองโบราณ,๒๕๕๓.
๔๕๙ สเุ ชาวน์ พลอยชุม. สารานกุ รมพระพทุ ธศาสนา. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. สุภาพรรณ ณ บางช้าง. การใชภ้ าษาในการตั้งชอ่ื ของคนไทย. กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,๒๕๒๗. โสฬสเวท, มงคลนามและการตงั้ ชอื่ . กรงุ เทพมหานคร: แพร่วิทยา, ๒๕๒๕. หน้า ๑๘. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช. พระนคร: โรงพมิ พ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๕๐๕. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชนิ วรสิรวิ ัฒน์ ทรงแปล. พระคัมภีร์อภิธานปั ปทีปิกา, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑. สมบัติ จาปาเงิน. ภูมินามานกุ รม. กรงุ เทพฯ: สานักสุขภาพใจ,๒๕๔๕. เสาวนติ . พระนามกษัตริย์ พระองคเ์ จา้ หม่อมเจ้า. พระนคร: ประมวลสาสน์ , ๒๕๐๕. หอ้ งโหรศรมี หาโพธ์ิ. ตาราพรหมชาติฉบับสมบรู ณ์. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พอ์ านวยสาส์น, ๒๕๖๐. ศศมิ า ทองคา และคณะ. นามานุกรมเอดสแ์ ละเพศศกึ ษา. นครปฐม: สถาบนั พฒั นาการสาธารณสขุ อาเซยี น มหาวิทยาลัยมหดิ ล,๒๕๔๒. อรองค์ ชาคร และคณะ. นามานุกรมนกั เขียน-นักแปล. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๓. ๙.๓ เวบ็ ไซต์ การสืบคน้ . [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://lrckm.wordpress.com/2012/05/24/(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). การสบื คน้ . [ออนไลน์]. แหลง่ ท่มี า: http://www.khaochamao.com/webboard-show_36405(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). การสืบคน้ . [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา: https://kmutt-lm.lib.kmutt.ac.th/opac/(๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐). ความรู้เบอ้ื งตน้ เกยี่ วกบั การจัดทาฐานขอ้ มูลออนไลนแ์ ละฐานข้อมูลฟรอี อนไลน์. [ออนไลน์]. แหล่งทีม่ า: https://library.kku.ac.th/free-database/index. php?option= com_content&view = article&id = 204&Itemid=7(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). นามานุกรม. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา: http://guru.sanook.com/2330/ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐). นามานุกรม. [ออนไลน์]. แหลง่ ทมี่ า: http://wachum.com/eBook/1630101/directory.html/ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐). อาศรมศรีจักรนารท. .วิธีตัง้ ชอ่ื ตามหลกั ทกั ษาปกรณ์. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.astroneemo.net/web/index.php (๒ มีนาคม ๒๕๖๑).
๔๖๐ ภาคผนวก ข การนาไปใช้ประโยชน์
๔๖๑ หนังสอื รบั รองการใช้ประโยชนจ์ ากผลงานวจิ ัยหรอื งานสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วันที.่ ...............................๑....ม..ิถ...นุ..า..ย...น...๒...๕...๖..๑...... เร่ือง การรับรองการใช้ประโยชนข์ องผลงานวจิ ัย/งานสร้างสรรค์ เรียน ...ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก..า..ร..ส..ถ..า..บ...นั ..ว..ิจ..ยั..พ...ทุ ..ธ..ศ..า..ส..ต..ร..์ .................................... ขา้ พเจา้ ......................พ...ร..ะ.เ..ท..พ..ป...ร.ิย..ต.ั ..โิ .ม..ล...ี ...................... ตาแหนง่ ................เ.จ..้า..อ..า..ว..า..ส..ว..ดั..โ..ม..ล..โี.ล..ก...ย..า..ร.า..ม. ชือ่ หนว่ ยงาน/องค์กร/ชมุ ชน......................................ส..า..น..กั..เ.ร..ีย..น...ว.ด.ั ..โ.ม..ล...โี .ล..ก..ย..า..ร..า..ม............................................. ที่อยู.่ .................แ..ข..ว..ง..ว..ดั..อ..ร..ุณ....เ.ข..ต...บ..า..ง..ก..อ..ก..ใ..ห..ญ...่.ก..ร..ุง..เ.ท..พ...ม..ห..า..น..ค..ร.......................................................................... โทรศัพท.์ ........................................................................โทรสาร.................................................................... ขอรบั รองวา่ ได้มกี ารนาผลงานวิจัย/งานสร้างสรรค์ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เรือ่ ง …น…าม…า…นกุ…ร…มบ…คุ …ค…ล.พ..ทุ...ธ.ศ...า..ส..น..์ ..................................................... ......................................................................... ซ่งึ เปน็ ผลงานวจิ ัย/งานสร้างสรรคข์ อง .....พ..ร..ะ..ค..ร.ู.ศ..ร.ีป...ั ญ...ญ...า..ว..ิก..ร..ม..,.ผ...ศ...ด..ร...,..พ..ร..ะ. .ม..ห..า..พ...จ..น..์ .ส..วุ..โ.จ..,.ผ...ศ...ด..ร...แ..ล..ะ...ด..ร...ช..ย..า..ภ..ร..ณ...์ .ส..ขุ..ป...ร.ะ..เ.ส...ร.ิฐ.................................... โดยนาไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ การใชป้ ระโยชน์เชิงวิชาการ เช่น การบรรยาย การสอน การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอน การใช้ประโยชน์ดา้ นความรูใ้ นพระพุทธศาสนา การใช้ประโยชน์ในเชงิ พาณชิ ย์ เชน่ งานวจิ ยั และ/หรืองานสรา้ งสรรคเ์ พ่ือพัฒนาสิง่ ประดิษฐ์ การใช้ประโยชน์เชิงนโยบายหรือระดบั ประเทศ การใชป้ ระโยชน์ตามวัตถุประสงค์/เปา้ หมายของงานวิจัย/งานสร้างสรรค์ ชว่ งเวลาทนี่ าไปใช้ประโยชน์ ตั้งแต่.........๒...๘....ม..ีน..า..ค..ม....๒..๕...๖..๑..............จนถงึ .......๓..๐....พ..ฤ..ษ...ภ..า..ค..ม....๒..๕...๖...๑........ซง่ึ การนาผลงานวิจัย/งานสร้างสรรค์ เรอื่ งนไี้ ปใชป้ ระโยชน์นั้น ก่อใหเ้ กิดผลดี ดังนี้ ............ป..ร..ะ..โ.ย...ช..น..์ใ..น...ก..า..ร..ส..บื ..ค...้ น..ข..้.อ..ม..ลู...บ..คุ...ค..ล..ส...า..ค..ญั ....ใ.น...พ..ร..ะ..พ...ทุ ..ธ..ศ...า..ส..น...า............................................................................ ............ค..ว..า..ม...น..า่..เ.ช...่ือ..ถ..ือ...ข..อ..ง..ข..้อ..ม...ลู ...ค...ว.า...ม..ส..ะ..ด...ว..ก..ส..บ...า..ย..ใ..น..ก...า..ร.ส...บื ..ค..้.น..ข..้อ...ม..ลู..เ.ก...ี่ย..ว..ก..บ.ั ..บ...คุ ..ค..ล................................................. ................................................................................................................................................................................... ขอรบั รองว่าข้อความข้างต้นเปน็ จริงทกุ ประการ ลงชื่อ ................................................................... (พระเทพปริยตั ิโมล)ี ตาแหนง่ ................เ.จ.้.า..อ..า..ว.า..ส..ว..ดั..โ..ม..ล..โี.ล...ก..ย..า..ร.า..ม.............. หมายเหต:ุ ทา่ นสามารถประทบั ตราของหน่วยงานในเอกสารน้ีได้ (ถ้าม)ี
๔๖๒ หนังสอื รบั รองการใช้ประโยชนจ์ ากผลงานวิจยั หรอื งานสรา้ งสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วันท.่ี ........................๑..๗....ม...ิถ..นุ...า..ย..น...๒...๕...๖...๑.......... เร่อื ง การรบั รองการใช้ประโยชน์ของผลงานวิจยั /งานสร้างสรรค์ เรยี น ...ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก..า..ร..ส..ถ..า..บ...นั ..ว..จิ ..ยั..พ...ทุ ..ธ..ศ..า..ส..ต..ร..์ .................................... ขา้ พเจา้ .....ผ..้ช.ู ..่ว.ย...ศ..า..ส..ต..ร..า..จ..า..ร.ย..์..ด...ร...ท..พิ...ย..์.ข..นั...แ..ก.้.ว............... ตาแหน่ง......ร.ัก..ษ...า..ก..า..ร.ห...วั..ห..น..้า..ก..ล...มุ่ ..ง.า..น...ห..้อ..ง..ส..ม..ดุ.. ชอ่ื หน่วยงาน/องค์กร/ชมุ ชน................................ม..ห...า..ว.ิท...ย..า..ล..ยั..ม..ห...า..จ..ฬุ ..า..ล..ง..ก..ร..ณ...ร.า..ช..ว..ทิ...ย..า..ล..ยั...ว..ทิ..ย..า..ล...ยั ..ส..ง..ฆ..์บ..ร.ุ .ีร..ัม..ย. ์ ทอ่ี ยู่.............................................................๒...๘...๑...ห..ม...ู่ .๑..๓....ต..า..บ..ล..เ..ส..ม..ด็...อ..า..เ.ภ...อ..เ.ม..ือ..ง..บ...รุ .ีร..ัม..ย..์.จ..ง.ั .ห..ว..ดั...บ..รุ.ีร..ัม..ย...์ .๓..๑...๐..๐...๐. โทรศพั ท์.........................................................................โทรสาร.................................................................... ขอรบั รองว่าได้มีการนาผลงานวิจัย/งานสรา้ งสรรค์ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เร่อื ง ………………………....................................................................................................น...า..ม..า..น..กุ..ร..ม..บ...คุ ..ค..ล..พ...ทุ..ธ..ศ..า..ส...น..์ ซงึ่ เป็นผลงานวจิ ัย/งานสรา้ งสรรค์ของ .......................................พ..ร..ะ..ค..ร..ูศ..ร.ี.ป..ั ญ. ..ญ...า..ว..กิ ..ร..ม..,.ผ...ศ...ด..ร...,..พ..ร..ะ..ม..ห..า..พ...จ..น..์ .ส..วุ..โ.จ..,.ผ...ศ...ด..ร...แ..ล..ะ...ด..ร...ช..ย..า..ภ..ร..ณ...์ .ส..ขุ..ป...ร.ะ..เ.ส...ร.ิฐ.. โดยนาไปใช้ประโยชน์ ดังน้ี การใช้ประโยชนเ์ ชงิ วิชาการ เช่น การบรรยาย การสอน การพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอน การใชป้ ระโยชน์ดา้ นความรใู้ นพระพุทธศาสนา การใชป้ ระโยชน์ในเชงิ พาณชิ ย์ เชน่ งานวจิ ยั และ/หรืองานสรา้ งสรรค์เพ่ือพัฒนาส่งิ ประดษิ ฐ์ การใชป้ ระโยชน์เชงิ นโยบายหรอื ระดบั ประเทศ การใช้ประโยชนต์ ามวัตถุประสงค์/เปา้ หมายของงานวิจยั /งานสร้างสรรค์ ชว่ งเวลาท่นี าไปใชป้ ระโยชน์ ตง้ั แต่.........๒...๘....ม..นี ..า..ค..ม....๒..๕...๖..๑..............จนถึง.......๓..๐....พ..ฤ..ษ...ภ..า..ค..ม....๒..๕...๖...๑........ซง่ึ การนาผลงานวิจัย/งานสรา้ งสรรค์ เรอ่ื งนไี้ ปใช้ประโยชน์น้ัน กอ่ ให้เกิดผลดี ดงั นี้ ............ส..ะ..ด...ว..ก..แ..ล..ะ..ร..ว..ด...เ.ร.็ว..ใ..น...ก..า..ร..ส..บื..ค...้น..ฐ...า..น..ข..้อ..ม...ลู..ป...ร..ะ..ว..ตั ..ิบ...คุ ..ค..ล...ส..า..ค..ญ.ั ...ใ..น..พ...ร.ะ..พ...ทุ...ธ..ศ..า..ส..น...า............................................. ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ขอรับรองว่าข้อความข้างต้นเปน็ จริงทุกประการ ลงชื่อ ................................................................... (ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์.ดร.ทิพย์ ขนั แก้ว) ตาแหนง่ ร.ก....ห...วั .ห...น..้า..ก..ล..มุ่..ง..า..น..ห..้อ..ง..ส..ม...ดุ ..แ..ล..ะ..เ.ท..ค..โ..น..โ.ล..ย...สี ..า..ร.ส. นเทศ หมายเหต:ุ ท่านสามารถประทบั ตราของหนว่ ยงานในเอกสารนไี้ ด้ (ถา้ ม)ี
๔๖๓ หนงั สือรับรองการใช้ประโยชนจ์ ากผลงานวจิ ยั หรอื งานสรา้ งสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วนั ท่.ี ........................๑..๗....ม...ถิ ..นุ...า..ย..น...๒...๕...๖...๑.......... เร่อื ง การรบั รองการใช้ประโยชนข์ องผลงานวจิ ยั /งานสร้างสรรค์ เรียน ...ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก..า..ร..ส..ถ..า..บ...นั ..ว..ิจ..ยั..พ...ทุ ..ธ..ศ..า..ส..ต..ร..์ .................................... ขา้ พเจา้ .......ผ..้ชู..่ว..ย..ศ...า.ส...ต..ร..า.จ..า..ร..ย..์ส..นุ..น.ั ..ท..า...ก..ลู..ร..ัต..น..์.............. ตาแหนง่ ......ร..ก....ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก...า..ร.ส..า..น...กั ..ว.ทิ...ย..บ..ร..ิก..า..ร... ชอ่ื หนว่ ยงาน/องค์กร/ชมุ ชน..............................................................ส..า..น..กั..ว..ิท..ย...บ..ร.ิ.ก..า..ร.แ..ล...ะ..เ.ท..ค..โ..น..โ.ล..ย...สี ..า..ร.ส..น...เ.ท..ศ. ทอ่ี ย.ู่ ..........................................................ม...ห..า..ว..ทิ ..ย..า..ล..ย.ั ..ร.า..ช..ภ..ฏั..ส...รุ .ิน...ท..ร.์..ต..า..บ..ล..น...อ..ก..เ.ม..ือ..ง...อ..า..เ.ภ...อ..เ.ม..อื..ง...จ..งั..ห..ว..ดั..ส..รุ..ิน..ท...ร์ โทรศพั ท.์ ........................................................................โทรสาร.................................................................... ขอรบั รองวา่ ได้มกี ารนาผลงานวิจยั /งานสรา้ งสรรค์ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เร่อื ง ………………………....................................................................................................น...า.ม...า..น..กุ..ร..ม..บ...คุ ..ค..ล..พ...ทุ..ธ..ศ..า..ส..น...์ ซ่งึ เปน็ ผลงานวจิ ยั /งานสรา้ งสรรค์ของ .......................................พ..ร..ะ..ค..ร..ูศ..ร.ี.ป..ั ญ. ..ญ...า..ว..ิก..ร..ม..,.ผ...ศ...ด..ร...,..พ..ร..ะ..ม..ห..า..พ...จ..น..์ .ส..วุ..โ.จ..,.ผ...ศ...ด..ร...แ..ล..ะ...ด..ร...ช..ย..า..ภ..ร..ณ...์ .ส..ขุ..ป...ร.ะ..เ.ส...ร.ิฐ.. โดยนาไปใช้ประโยชน์ ดังน้ี การใชป้ ระโยชน์เชิงวิชาการ เช่น การบรรยาย การสอน การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอน การใชป้ ระโยชน์ดา้ นความรใู้ นพระพุทธศาสนา การใช้ประโยชนใ์ นเชงิ พาณชิ ย์ เชน่ งานวิจยั และ/หรอื งานสรา้ งสรรค์เพ่ือพฒั นาสิง่ ประดิษฐ์ การใช้ประโยชน์เชิงนโยบายหรือระดับประเทศ การใช้ประโยชนต์ ามวตั ถุประสงค์/เปา้ หมายของงานวิจยั /งานสร้างสรรค์ ชว่ งเวลาทนี่ าไปใชป้ ระโยชน์ ต้งั แต่.........๒...๘....ม..ีน..า..ค..ม....๒..๕...๖..๑..............จนถงึ .......๓..๐....พ..ฤ..ษ...ภ..า..ค..ม....๒..๕...๖...๑........ซง่ึ การนาผลงานวิจัย/งานสรา้ งสรรค์ เร่ืองนี้ไปใชป้ ระโยชนน์ นั้ กอ่ ใหเ้ กิดผลดี ดงั น้ี ................................................................................................................................................................................... ............เ.ป..็น...แ..ห...ล..ง่..ส..บื...ค..้น..ข..้.อ..ม..ล.ู ..ใ.น...ห..้อ...ง.ส...ม..ดุ...เ.พ..่อื...น..กั..ศ...กึ..ษ...า..ใ..ช.้.ป..ร..ะ..โ.ย...ช..น..ต์...อ่..ไ..ป...................................................................... ................................................................................................................................................................................... ขอรบั รองวา่ ข้อความขา้ งต้นเป็นจริงทุกประการ ลงช่อื ................................................................... (ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์สนุ นั ทา กลู รตั น์) ตาแหนร่งก..ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก...า.ร..ส..า..น..กั..ว..ิท..ย...บ..ร.ิ.ก..า.ร..แ..ล..ะ..เ.ท..ค...โ.น..โ.ล...ย..ีส..า.รสนเทศ หมายเหต:ุ ทา่ นสามารถประทบั ตราของหนว่ ยงานในเอกสารนี้ได้ (ถ้าม)ี
๔๖๔ หนงั สือรบั รองการใช้ประโยชนจ์ ากผลงานวจิ ัยหรอื งานสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วนั ท่.ี ........................๑..๗....ม...ถิ ..นุ...า..ย..น...๒...๕...๖...๑.......... เรอื่ ง การรับรองการใชป้ ระโยชนข์ องผลงานวิจยั /งานสร้างสรรค์ เรยี น ...ผ..้อู..า..น..ว..ย..ก..า..ร..ส..ถ..า..บ...นั ..ว..จิ..ยั..พ...ทุ ..ธ..ศ..า..ส..ต..ร..์ .................................... ขา้ พเจา้ ....ผ..้ชู..ว่..ย..ศ...า..ส..ต..ร..า..จ..า..ร.ย..์ว..ฒุ...ิน...นั ..ท..์.ร..า..ม..ฤ..ท...ธ.์ิ.............. ตาแหน่ง................ผ...อ....ว..ิท..ย..า..ล..ยั..ช..ม.ุ ..ช..น..บ...รุ .ีร..ัม..ม..ย..์ ชื่อหน่วยงาน/องค์กร/ชมุ ชน............................................................................................ว..ทิ ..ย..า..ล..ยั..ช..มุ...ช..น..บ..ร.ุ .ีร..ัม..ย. ์ ทอ่ี ย.ู่ ....................................................................ถ..น...น..บ..รุ..ีร..ัม..ย..์-.ส..ต..กึ....ต..า..บ..ล..ห...น..อ..ง..บ..วั..ท..อ..ง...อ..า..เ.ภ...อ..เ.ม..ือ..ง...จ..งั..ห..ว..ดั..บ..ร.ุ .ีร..ัม..ย. ์ โทรศพั ท์.........................................................................โทรสาร.................................................................... ขอรบั รองว่าได้มีการนาผลงานวิจยั /งานสรา้ งสรรค์ ของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั เรอื่ ง ………………………....................................................................................................น...า..ม..า..น..กุ..ร..ม..บ...คุ ..ค..ล..พ...ทุ..ธ..ศ..า..ส...น..์ ซ่ึงเป็นผลงานวจิ ยั /งานสร้างสรรค์ของ .......................................พ..ร..ะ..ค..ร..ูศ..ร.ี.ป..ั ญ. ..ญ...า..ว..กิ ..ร..ม..,.ผ...ศ...ด..ร...,..พ..ร..ะ..ม..ห..า..พ...จ..น..์ .ส..วุ..โ.จ..,.ผ...ศ...ด..ร...แ..ล..ะ...ด..ร...ช..ย..า..ภ..ร..ณ...์ .ส..ขุ..ป...ร.ะ..เ.ส...ร.ิฐ.. โดยนาไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ การใชป้ ระโยชนเ์ ชิงวิชาการ เช่น การบรรยาย การสอน การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอน การใช้ประโยชน์ด้านความรใู้ นพระพุทธศาสนา การใชป้ ระโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เช่น งานวจิ ัยและ/หรืองานสร้างสรรคเ์ พื่อพัฒนาสิง่ ประดิษฐ์ การใช้ประโยชนเ์ ชงิ นโยบายหรอื ระดับประเทศ การใชป้ ระโยชนต์ ามวัตถุประสงค์/เป้าหมายของงานวิจยั /งานสรา้ งสรรค์ ชว่ งเวลาที่นาไปใชป้ ระโยชน์ ตง้ั แต่.........๒...๘....ม..นี ..า..ค..ม....๒..๕...๖..๑..............จนถึง.......๓..๐....พ..ฤ..ษ...ภ..า..ค..ม....๒..๕...๖...๑........ซง่ึ การนาผลงานวจิ ยั /งานสร้างสรรค์ เรื่องน้ไี ปใช้ประโยชน์น้นั กอ่ ใหเ้ กดิ ผลดี ดังน้ี ............ม..อ..บ...ห..้.อ..ง..ส..ม..ด.ุ ..ใ.ห...้น..ก.ั ..ศ..กึ..ษ...า..ใ..ช..้อ..้า..ง..อ..ิง..ท...า..ง.ว..ิช...า..ก..า..ร..ใ.น...โ.อ..ก...า..ส..ต..อ่...ไ.ป........................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ขอรับรองว่าข้อความข้างต้นเป็นจริงทกุ ประการ ลงช่อื ................................................................... (ผ้ชู ่วยศาสตราจารยว์ ฒุ ินนั ท์ รามฤทธ์ิ) ตาแหน่ง .............ผ..้.อู ..า..น..ว..ย..ก..า..ร.ว..ทิ..ย...า.ล...ยั ..ช..มุ ..ช..น..บ...รุ .ีร..มั ..ย..์..... หมายเหต:ุ ทา่ นสามารถประทบั ตราของหนว่ ยงานในเอกสารนไ้ี ด้ (ถ้าม)ี
๔๖๕ ภาคผนวก ค ตารางเปรียบเทยี บวตั ถปุ ระสงค์ กจิ กรรมท่วี างแผนไว้และกิจกรรมทีไ่ ด้ดาเนนิ การมา และผลทีไ่ ด้รบั ของโครงการ
๔๖๖ วัตถุประสงค์โครงการ กจิ กรรมที่วางแผน กิจกรรมท่ดี าเนินการ ผลที่ไดร้ ับตลอด โครงการ ๑. เพ่ือสืบค้นช่ือบุคคลท่ี ๑. เขียนโครงการ/เตรียม ๑. เขียนโครงการ/เตรียม สื บ ค้ น คั ม ภี ร์ ปรากฏในคัมภีร์ทาง นาเสนอและทาสัญญา นาเสนอและทาสัญญา พระไตรปิฎก และ พระพุทธศาสนา วิจัย/ตุลาคม-ธันวาคม วิ จั ย /พ ฤ ศ จิ ก า ย น - คัมภีร์อรรถกถาพบ ๒๕๕๙ ธนั วาคม ๒๕๕๙ ชื่ อ บุ ค ค ล ที่ คั ด ไ ว้ ๒. สารวจและเก็บข้อมูล ๒. สารวจและเก็บข้อมูล เ บ้ื อ ง ต้ น จ า น ว น จ า ก คั ม ภี ร์ จากคัมภีร์พระไตรปิฎก ๑ ๐ ๘ ๕ ค น เ มื่ อ พระไตรปิฎกและอรรถ แ ล ะ อ ร ร ถ ก ถ า / พิจารณาเนื้อหา/ กถา/ธันวาคม๒๕๕๙- ธั น ว า ค ม ๒ ๕ ๕ ๙ บริบทท่ีเกี่ยวข้อง กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ กับบุคคลเหล่านั้น ๓. เลือกศัพท์พร้อมจัดทา ๓. เลือกศัพท์พร้อมจัดทา คัดเลือกเหลือ ๖๖๑ คาอธิบาย/ธันวาคม คาอธิบาย/มกราคม- ค น เ พื่ อ จั ด ท า ๒ ๕ ๕ ๙ -มิ ถุ น า ย น มิถุนายน ๒๕๖๐ คาอธิบาย ส่วนที่ตัด ๒๕๖๐ ออก เพราะเป็นชื่อ ที่ เ พี ย ง ถู ก ก ล่ า ว พ า ด พิ ง ไ ม่ ไ ด้ มี รายละเอียดพอที่จะ อธบิ ายความได้ ๑. เขียนบทที่ ๑-๒-๓/ ๑. เ ขี ย น บ ท ท่ี ๑ -๒ -๓ ได้จัดทาคาอธิบาย ธั น ว า ค ม ๒ ๕ ๕ ๙ - (มกราคม ๒๕๖๐) โ ด ย เ น้ื อ ห า ห ลั ก มนี าคม ๒๕๖๐ ๒. ตรวจสอบความถูก สาคัญในการจัดทา ๒. ตรวจสอบความถูก ต้ อ ง ( ม ก ร า ค ม ค า อ ธิ บ า ย ต้ อ ง /เ ม ษ า ย น - ๒๕๖๐) ประกอบดว้ ย ๒. เ พื่ อ จั ด ค า อ ธิ บ า ย มถิ ุนายน ๒๕๖๐ ๓. รายงานความก้าวหน้า ๑ ) ช า ติ ภู มิ มี เ ก่ี ย ว กั บ บุ ค ค ล ท่ี ๓. ร า ย ง า น เสนอผู้ทรงคุณวุฒิ รายละเอียดหลัก ๆ ปรากฏในคัมภีร์ทาง ความก้าวหน้าเสนอ ต ร ว จ ส อ บ แ ก้ ไ ข เช่น บิดาม ารด า พระพุทธศาสนาโดย ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ (มกราคม ๒๕๖๑) ส ถ า น ที่ เ กิ ด ก า ร จั ด ล า ดั บ ต า ม ต ร ว จ ส อ บ แ ก้ ไ ข ๔. เขยี นรายงานบทท่ี ๔- การศกึ ษา ตวั อักษร (กรกฎาคม-กันยายน ๕ ( พ ฤ ษ ภ า ค ม ๒) บทบาทสาคัญ มี ๒๕๖๐) ๒๕๖๑) รายละเอียดหลักๆ ๔. เขยี นรายงานบทที่ ๔- ๕. เสนอผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น หน้าท่ี การงาน ๕ ( พ ฤ ษ ภ า ค ม - ตรวจสอบร่างฉบับ การปฏิบัติตนทั้งใน สิงหาคม ๒๕๖๐) สมบูรณ์ (มิถุนายน แง่ส่วนตน และใน ๕. เสนอผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๕๖๑) แง่สังคมท่ีพรรณนา ตรวจสอบร่างฉบับ ๖. แ ก้ ไ ข ต า ม ท่ี ไว้ในพระไตรปิฎก
๔๖๗ ส ม บู ร ณ์ /สิ ง ห า ค ม ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ หรืออรรถกถา การ ๒๕๖๐ เสนอแนะ ไ ด้ รั บ ก า ร ย ก ย่ อ ง ๖. แ ก้ ไ ข ต า ม ที่ ๗. เสนอตรวจรูปแบบ/ พิเศษ และ ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ แก้ไขรปู แบบ ๓) บ้นั ปลายชีวติ เสนอแนะ (สิงหาคม ๘. ส่งฉบับสมบูรณ์เพ่ือ ๒๕๖๐) ข อ อ นุ มั ติ จ บ ( ๑ ๕ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ ๗. เสนอตรวจรูปแบบ/ กรกฎาคม ๒๕๖๑) คตินิยมเร่ืองการต้ัง แ ก้ ไ ข รู ป แ บ บ ๙. ตีพิมพ์เผยแพร่ตาม ช่ื อ ที่ ป ร า ก ฏ ใ น (พฤษภาคม ๒๕๖๐) เกณฑ์ที่กาหนด (๓๐ คัมภีร์พระไตรปิฎก ๘. ส่งฉบับสมบูรณ์เพ่ือ กรกฎาคม ๒๕๖๑) และคัมภีร์อรรถกถา ข อ อ นุ มั ติ จ บ ซ่ึ ง ส า ม า ร ถ ส รุ ป (มิถุนายน-กรกฎาคม ความได้ว่า สังคม ๒๕๖๐ อินเดีย มีการตั้งช่ือ ๙. ตีพิมพ์เผยแพร่ตาม ตามระบบวรรณะ เ ก ณ ฑ์ ท่ี ก า ห น ด ก ล่ า ว คื อ ชื่ อ (มิถุนายน-กรกฎาคม กษัตริย์มักเก่ียวกับ ๒๕๖๐) อานาจ ไวศยะ เกี่ยวกับความม่ังค่ัง ศูทรเก่ียวกับส่ิงต่าๆ อันน่าเกลียดเหยียด ห ย า ม ช่ื อ ที่ เ ป็ น ลัก ษ ณ ะ เด่ น ข อ ง พ ร า ห ม ณ์ คื อ ช่ื อ ที่ ส่ื อ ถึ ง ค ว า ม เ จ ริ ญ ก ษั ต ริ ย์ ส่ื อ ถึ ง ก า ร พิทักษ์รักษา ไวศยะ ส่ื อ ถึ ง ค ว า ม ม่ั ง ค่ั ง ศูทร สื่อถึงการรับ ใช้ ช่ือสตรีต้องมี ค ว า ม ห ม า ย ที่ น่ า ยิ น ดี ไ ม่ แ ข็ ง ก ร ะ ด้ า ง ความหมายไปทาง เรียบร้อย มีเสน่ห์ มี โช ค และลงท้าย ด้วยทีฆสระ คือสระ เสียงยาว ถือเป็น
๔๖๘ เ อ ก ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ที่ แ ต ก ต่ า ง จากสงั คมไทย จากการวิเคราะห์ คตินิยมการต้ังช่ือที่ พ บ ใ น คั ม ภี ร์ พร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า สั ง ค ม อิ น เ ดี ย ส มั ย พุทธกาล นยิ มตั้งช่ือ ใ ห้ สั ม พั น ธ์ กั บ ลั ก ษ ณ ะ ก า เ นิ ด ส่ิงแวดล้อม อาชีพ หรือการงาน บุคคล ในครอบครัว เช่น บุตรกับบุตร บุตร กับบิดามารดา การ ต้ังชื่อให้สัมพันธ์กับ อุ ป นิ สั ย ห รื อ พฤติกรรม สัมพันธ์ กับโคตร และการ ตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับ ชะตาชีวิต ซ่ึงส่วน ใหญ่มักเปล่ียนร้าย ใหก้ ลายเป็นดี
๔๖๙ ภาคผนวก ง แบบสรุปโครงการ
๔๗๐ แบบสรปุ โครงการ สถาบนั วิจัยพุทธศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั สญั ญาวจิ ยั เลขท่ี ๑๘๙/๒๕๖๐ ชือ่ โครงการ: นามานุกรมบคุ คลพทุ ธศาสน์ หวั หนา้ โครงการ: พระครูศรปี ัญญาวิกรม,ผศ.ดร. ผู้ร่วมโครงการ: พระมหาพจน์ สุวโจ,ผศ.ดร. ดร.ชยาภรณ์ สขุ ประเสรฐิ ความเปน็ มาของปญั หาและความสาคญั ของปญั หา หนังสือนามานุกรมเป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจาวันของ บุคคลทุกคน และของหน่วยงานทุกหน่วยงาน ทั้งท่ีเป็นของรัฐบาลและของเอกชนปัจจุบันจึงมีการจัดทา หนังสือประเภทนามานุกรมไวห้ ลายประเภท เช่น นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย จัดทาโดยมูลนิธิสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, นามานุกรมมงคล ผลงานของโกวิท ตั้งตรงจิตร จัดพิมพ์โดย สานักพิมพ์คา เป็นหนังสือท่ีให้ความรู้เก่ียวกับการตั้งช่ือ หลักการคือ ก่อนที่จะพิจารณาต้ังชื่อ จาเป็น จะตอ้ งสารวจดจู ากแผนภูมิตามหลักทักษาปกรณ์ให้ละเอียดก่อนว่า อักษรตัวไหนเป็น เดช ตัวไหนเป็น ศรี ตัวไหนเป็น กาลกิณี ซ่ึงต้องพิถีพิถันในเร่ืองน้ีก่อนประเด็นอื่น หากตั้งช่ือที่เป็นสิริมงคล ย่อมจะทาให้ชีวิต ของบุคคลนนั้ ประสบความรุ่งเรอื ง แตห่ ากต้ังชื่อไมด่ ี มตี ัวกาลกณิ ีอยู่ร่วมด้วย ก็อาจจะนาความเสื่อมเสียหรื อภยั พบิ ตั มิ าสเู่ จา้ ของชือ่ ได้ นามานุกรมนักเขียน-นักแปล ของอรอนงค์ ชาคร จัดพิมพ์ในนามโครงการวิชาการด้าน วรรณศลิ ป์ สานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, นามานุกรมรามเกียรต์ิ ผลงานของรื่น ฤทัย สัจจพันธุ์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สถาพร ปรับปรุงใหม่ล่าสุด ปี ๒๕๕๔ เป็นงานที่รวบรวมความ เป็นมาของตัวละคร สถานท่ี พิธี และอาวุธในเร่ืองรามเกียรต์ิไว้อย่างละเอียด ถือเป็นหลักสาหรับการ ค้นคว้าข้อมูลเร่ืองรามเกียรติ์ได้ทั้งหมด, นามานุกรมนวัตกรรมท้องถิ่นไทย ผลงานของจรัส สุวรรณมาลา สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จัดพิมพ์ครั้งท่ี ๓ พ.ศ.๒๕๔๘, นามานุกรมวรรณคดีไทย ผู้จัดทาแบ่ง ออกเป็น ๓ ชุด ชุดที่ ๑ ว่าด้วย ช่ือวรรณคดี ชุดที่ ๒ ว่าด้วย ช่ือผู้แต่ง และชุดท่ี ๒ ว่าด้วย ตัวละคร ช่ือ สถานที่ และช่ือปกิณณกะ, นามานุกรมพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย เป็นหนังสือท่ีรวบรวมรายช่ือและ รายละเอียดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย โดยภัณฑารักษ์และนักวิชาการของพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติทุกแห่งท้ังของราชการและเอกชน ซึ่งมีพิพิธภัณฑสถานทั้งส้ิน ๔๘๖ แห่ง จาก ๗๖ จังหวัด เพื่อ เปน็ ประโยชนต์ ่อผทู้ ่ีอยู่ในแวดวงพพิ ิธภณั ฑสถาน ผ้ทู ีเ่ กย่ี วข้อง และผสู้ นใจทัว่ ไป, นามานุกรมขุนช้าง-ขุนแผน ผู้แต่งคือ ประจักษ์ ประภาพิทยากร ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกโดย สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ.๒๕๐๘, นามานุกรมศิลปินเพลงไทย ผู้แต่งคือ พูนพิศ อมาตยกุล ได้ รวบรวมศิลปินเพลงไทยในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั พ.ศ.๒๕๓๒, นามานกุ รมพระเครอื่ ง ผลงานของพินัย ศักดิ์เสนีย์ ให้ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง ตา่ ง ๆ สาระสาคัญมีความเกี่ยวข้องกับศิลปะและพระพุทธศาสนาท่ีมีคุณค่ายิ่ง, ภูมินามานุกรม ของสมบัติ จาปาเงิน จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สุขภาพใจ เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์ในการเขียนช่ือประเทศ เมืองหลวง ทวีป เขต รัฐ ดินแดนต่างๆ ให้ถูกต้อง โดยยึดประกาศของราชบัณฑิตยสถาน,นามานุกรมเอดส์ และ
๔๗๑ เพศศึกษา เป็นหนังสือที่รวบรวมรายช่ือหนังสือ/เอกสารด้านเอดส์ และเพศศึกษา ท่ีมีอยู่ในศูนย์ข้อมูล ข่าวสารด้านเอดส์ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในมุมหน่ึงของห้องสมุดสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน เพ่ือส่งเสริมการ เข้าถึงข้อมูลข่าวสารของผู้ใช้บริการทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ, นามานุกรมเคร่ืองจักรสาน ผลงานของ วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ์ รวมคาศัพท์เกี่ยวกับเครื่องจักรสานมากกว่า ๑,๐๐๐ คา สาพิมพ์เมืองโบราณจัดพิมพ์ ๒๕๕๓ เป็นต้น จากรายละเอียดข้างต้นจะเห็นว่า นามานุกรม เป็นหนังสือท่ีมีประโยชน์ เพราะสามารถใช้เป็น ฐานข้อมูลในการค้นหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับบุคคลด้านต่าง ๆ ได้โดยง่าย จึงมีการจัดทานามานุกรมบุคคล ออกมาเผยแพร่กันอย่างแพรห่ ลาย อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาในวงการพระพุทธศาสนา หนังสืออ้างอิงลักษณะ ดังกล่าวน้ี ยังมีน้อย และส่วนใหญ่เป็นผลงานของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาในอดีต เช่น คัมภีร์ อภิธานัปปทีปิกา งานนิพนธ์พระมหาโมคคัลลานะ พระเถระชาวศรีลังกา, สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธส์ มเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เป็นต้น ท่ีเป็นผลงานร่วมสมัย ก็พอมีอยู่บ้าง เช่น พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ฉบับประมวลธรรม และกาลานุกรม ซึ่ง เปน็ งานนิพนธข์ องพระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ผู้วิจัยมีความเห็นคัมภีร์พระไตรปิฎก มีช่ือบุคคลเข้ามาเก่ียวข้องเป็นจานวนมาก พิจารณาได้ จากดัชนีท้ายเล่มของพระไตรปิฎกแต่ละเล่ม บางชื่อปรากฏซ้ากันในหลายเล่ม ส่วนที่ซ้ามีเน้ือหาซ้ากันก็มี มเี น้ือหาแตกตา่ งกันออกไปก็มี หากมีการนามาร้อยเรียง และจัดทาคาอธิบายโดยใช้หลักวิชาการสมัยใหม่ เข้ามาช่วยในรูปของนามานุกรม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษาพระพุทธศาสนาโดยภาพรวม ทั้ง สะดวก และกระชบั ในการสืบคน้ ขอ้ มลู การเรยี นรู้ประวัติบุคคลพุทธศาสน์ ก็เหมือนกับการได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน มติ ติ ่าง ๆ ไปด้วย เพราะศพั ท์บคุ คลแต่ละคนท่ีถูกเก็บนามาเขียนคาอธิบาย ล้วนมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งย่อมจะมีความสาคัญ และเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เท่ากบั ได้รวบความความหลากหลายมารวมอยู่ในหมวดหมู่เดยี วกนั นามานุกรมพุทธศาสน์ จึงน่าจะเป็นงานอีกช้ินหน่ึงที่มีความจาเป็น และมีความสาคัญ เพราะ เม่ือกลา่ วถึงพระพุทธศาสนา มีเนื้อหา และขอบเขตกว้างขวางมาก แม้ขอบเขตท่ีเก่ียวข้องกับตัวบุคคลเพียง อย่างเดียว ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นงานที่ท้าทายความวิริยะอุตสาหะอยู่พอสมควร เพราะเหตุว่า บุคคลท่ีมีความเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา มีท้ังส่วนท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา นี่ยังไม่นับบุคคลร่วมสมัยที่มีบทบาทสาคัญต่อวงการพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ ทั่ว โลก การจดั ทานามานกุ รมพทุ ธศาสตรจ์ งึ น่าจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างกวา้ งขวาง วัตถุประสงค์ของโครงการ ๑. เพอื่ สบื ค้นชือ่ บุคคลทป่ี รากฏในคัมภีรท์ างพระพทุ ธศาสนา ๒. เพื่อจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับตาม ตวั อกั ษร ผลการวจิ ยั ผลการวิจัยสรุปดงั น้ี ๑. เมื่อได้ดาเนนิ การสบื ค้นจากดชั นที า้ ยเล่มพระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย คัดรายช่ือบุคคลที่จัดทาคาอธิบาย และตัดส่วนท่ีซ้าออกไปแล้ว เหลือศัพท์ที่เป็นช่ือ
๔๗๒ บคุ คลจานวนท้งั สน้ิ ๑,๐๘๕ รายชอ่ื แบง่ เปน็ เล่มท่ี ๑ จานวน ๔๖ ชื่อ, เล่มท่ี ๒ จานวน ๒๓ ช่ือ, เล่มท่ี ๓ จานวน ๙ ช่ือ, เล่มท่ี ๔ จานวน ๒๒ ช่ือ, เล่มท่ี ๕ จานวน ๔๐ ช่ือ, เล่มท่ี ๖ จานวน ๔ ชื่อ, เล่มท่ี ๗ จานวน ๒๘ ช่ือ, เล่มที่ ๘ จานวน ๒๖ ช่ือ, เล่มที่ ๙ จานวน ๒๙ ชื่อ, เล่มที่ ๑๐ จานวน ๔๒ ชื่อ, เล่มที่ ๑๑ จานวน ๑๑ ช่ือ, เล่มที่ ๑๒ จานวน ๑๑ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๓ จานวน ๕๐ ช่ือ, เล่มท่ี ๑๔ จานวน ๑๕ ช่ือ, เลม่ ท่ี ๑๕ จานวน ๓๑ ชอ่ื , เลม่ ที่ ๑๖ จานวน ๒๑ ช่ือ, เล่มที่ ๑๗ จานวน ๑๒ ชื่อ, เล่มที่ ๑๘ จานวน ๒๖ ชื่อ, เลม่ ที่ ๑๙ จานวน ๑๖ ชอ่ื , เล่มที่ ๒๐ จานวน ๒๗ ช่ือ, เล่มที่ ๒๑ จานวน ๑๐ ชื่อ, เล่มท่ี ๒๒ จานวน ๒๖ ชอื่ , เลม่ ท่ี ๒๓ จานวน ๙ ชอื่ , เลม่ ที่ ๒๔ จานวน ๙ ช่ือ, เลม่ ที่ ๒๕ จานวน ๗๒ ชื่อ, เล่มที่ ๒๖ จานวน ๔๖ ชอื่ ,เล่มที่ ๒๗ จานวน ๑๑๓ ช่ือ, เล่มท่ี ๒๘ จานวน ๕๐ ชื่อ, เล่มที่ ๒๙ จานวน ๕ ช่ือ, เล่มที่ ๓๐,๓๑ มรี ายชอ่ื ซ้ากบั ทีเ่ กบ็ ไว้แล้ว, เลม่ ท่ี ๓๒ จานวน ๒๐๘ ชือ่ , เลม่ ท่ี ๓๓ จานวน ๗๔ ช่ือ, เลม่ ที่ ๓๔-๔๕ ไมเ่ กบ็ เนื่องจากมีรายชอื่ น้อย และซ้ากบั ทเี่ ก็บแล้วในคมั ภีร์พระวนิ ยั ปิฎก และพระสตุ ตนั ตปฎิ ก หลงั จากดาเนินการคัดกรองแล้ว คงเหลือชื่อบคุ คลสาหรบั การเขียนคาอธบิ ายนามานุกรมท้ังสิ้น จานวน ๖๖๑ รายช่ือ จากเดิม ๑,๐๘๕ ส่วนใหญ่ท่ีตัดออก เพราะเป็นชื่อที่ถูกกล่าวพาดพิงถึงเพียงครั้ง เดยี ว หรือสองครง้ั ในคัมภีร์พระไตรปิฎก เม่ือสืบค้นในคัมภีร์อรรถกถาก็ไม่ได้มีรายละเอียดเพิ่มเติมพอท่ีจะ อธบิ ายความได้ ช่อื ลักษณะนี้ สว่ นใหญ่มักปรากฏอยู่ในคัมภรี ์ชาดก และย้อนระยะเวลาไกลออกไปมากเป็น กปั หรอื แมป้ รากฏอย่ใู นคัมภีร์พระไตรปฎิ ก ก็มกั เป็นเรื่องราวทีพ่ รรณนาถงึ อดีตอันไกลโพ้น ๒. การจัดทาคาอธิบาย ผู้วิจัยได้จัดทาคาอธิบายโดยอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็น หลัก และอาศัยคัมภีรอ์ รรถกถาเปน็ หลกั การดาเนนิ การไดใ้ ชโ้ ปรแกรมพระไตรปิฎก ๒ ชุด ได้แก่ โปรแกรม พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ช่ัน ๑.๐ เป็นตัวช่วยในการสืบค้นหาคาแต่ละคาท่ี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ จากน้ันประมวลจัดทาคาอธิบายประกอบ ยกตัวอย่าง เช่น สารีบุตร,พระ มี กระบวนการจดั ทาคาอธิบายโดย ๑) นาศัพท์ “สารีบุตร” ป้อนลงในโปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชั่น ๑.๐ ว่า มีคานี้ปรากฏอยู่ก่ีคร้ังในพระไตรปิฎกท้ัง ๔๕ เล่ม ซ่ึงจาก การค้นหา โปรแกรมได้รายงานพบท้ังสิ้น ๑,๕๙๑ คร้ัง ๒) ตรวจสอบเน้ือหาตามหลักฐานที่ค้นพบแต่ละ ครั้ง เพ่ือจัดทาคาอธิบาย โดยตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่จาเป็น หรือมีเน้ือหาซ้าออก เทียบเคียงเน้ือหาจาก พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมท้ังจัดทาเชิงอรรถประกอบสาหรับการ สืบค้น หรือตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ และ ๓) ตรวจสอบเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องเพ่ิมจากคัมภีร์อรรถ กถา ๔๘ เล่ม โดยใช้โปรแกรมพระไตรปฎิ ก เวอร์ชัน่ ๒.๑ ฉบบั เรียนพระไตรปิฎก ในการสืบค้นคาที่กาหนด ไว้แล้ว จากนัน้ นาเนือ้ หาท่ีคน้ พบมาอธิบายเพิ่มเติม ตัดส่วนที่มีเน้ือหาซ้าออก คงเหลือไว้เฉพาะส่วนเน้ือหา ที่ไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเท่าน้ัน จากน้ันเทียบเคียงคัมภีร์อรรถกถาฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย เพอื่ จัดทาเชงิ อรรถประกอบการสบื ค้น หรือตรวจสอบความถกู ต้องทางวิชาการ เน้ือหาหลักสาคัญในการจัดทาคาอธิบายประกอบด้วย ๑) ชาติภูมิ มีรายละเอียดหลัก ๆ เช่น บิดามารดา สถานทีเ่ กิด การศึกษา ๒) บทบาทสาคญั มีรายละเอยี ดหลักๆ เชน่ หน้าที่ การงาน การปฏิบัติ ตนทั้งในแง่ส่วนตน และในแง่สังคมท่ีพรรณนาไว้ในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา การได้รับการยกย่องพิเศษ และ ๓) บ้ันปลายชีวิต ความสมบูรณข์ องเน้อื หาทง้ั ๓ ประเดน็ ข้ึนอยู่กับหลกั ฐานที่ปรากฏ ไม่เสมอไปทุกนามบุคคลที่ ปรากฏอยใู่ นคัมภรี ์ ทง้ั น้เี นอื่ งจากวา่ นามบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์น้ัน แต่ละบุคคลมีบทบาทสาคัญมากน้อย แตกต่างกัน ท่ีมีความสาคัญมาก จะมีหลักฐานระบุไว้มาก สาคัญน้อย ก็จะมีหลักฐานปรากฏน้อยตามไป ด้วย ชื่อบุคคลแต่ละช่ือจึงมีคาอธิบายมาก อธิบายน้อยแตกต่างกันตามไปด้วย โดยเฉพาะหลักฐานในส่วน
๔๗๓ ประวัติที่เก่ียวกับชาติภูมิ หลักฐานส่วนใหญ่ท่ีได้จะอาศัยคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก ในส่วนพระไตรปิฎกมัก ปรากฏรายละเอียดแตพ่ อสงั เขปเทา่ น้ัน อนึ่ง เพ่ือประโยชน์ในการศึกษาภายภาคหน้า ผู้วิจัยได้วิเคราะห์คตินิยมเร่ืองการต้ังชื่อท่ี ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปฎิ ก และคมั ภีร์อรรถกถา ซึง่ สามารถสรปุ ความไดว้ า่ สังคมอนิ เดีย มีการตั้งชื่อตาม ระบบวรรณะ กล่าวคือ ชื่อกษัตริย์มักเก่ียวกับอานาจ ไวศยะเก่ียวกับความมั่งคั่ง ศูทรเก่ียวกับส่ิงต่าๆ อัน น่าเกลียดเหยียดหยาม ช่ือท่ีเป็นลักษณะเด่นของพราหมณ์คือชื่อที่สื่อถึงความเจริญ กษัตริย์สื่อถึงการ พิทักษ์รักษา ไวศยะ ส่ือถึงความม่ังคั่ง ศูทร ส่ือถึงการรับใช้ ช่ือสตรีต้องมีความหมายท่ีน่ายินดี ไม่แข็ง กระด้าง ความหมายไปทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงท้ายด้วยทีฆสระ คือสระเสียงยาว ถือเป็นเอก ลกั ษณะเฉพาะทแี่ ตกตา่ งจากสงั คมไทย จากการวิเคราะห์คตินิยมการต้ังชื่อท่ีพบในคัมภีร์พระพุทธศาสนา สังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมต้ังชื่อให้สัมพันธ์กับลักษณะกาเนิด สิ่งแวดล้อม อาชีพหรือการงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับ บตุ ร บุตรกับบดิ ามารดา การตง้ั ชือ่ ใหส้ มั พนั ธก์ ับอปุ นิสยั หรอื พฤตกิ รรม สัมพันธ์กับโคตร และการตั้งชื่อให้ สมั พนั ธ์กับชะตาชวี ติ ซึง่ ส่วนใหญ่มักเปล่ยี นรา้ ยให้กลายเปน็ ดี การนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ งานวิจยั เรื่อง นามานุกรมบุคคลพทุ ธศาสน์ เมื่อได้ดาเนินการตามกระบวนการของการวิจัยเสร็จ สิ้นสมบูรณ์แล้ว ผู้วิจัยมีเจตนาปรับเป็นหนังสือตีพิมพ์เผยแพร่ ให้ได้อย่างน้อย ๑,๐๐๐ เล่ม จากนั้นจะ แจกจ่ายตามสถานศึกษาทั้งระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา เพ่ือเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง และแหล่ง ศึกษาสาหรบั ผูส้ นใจสืบต่อไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: