Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Published by Guset User, 2023-07-27 01:26:08

Description: นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Search

Read the Text Version

๒๔๐ มหากาลเป็นอุบาสกรักษาศีลอุโบสถ ๘ วันต่อเดือน ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร พวก โจรลกั ของในเรอื นหลังหนงึ่ ในเวลากลางคืน ถูกเจา้ ของตดิ ตาม ต่างหนีกระจัดกระจายไป แต่มีโจรคนหน่ึง หนไี ปทางวหิ าร และทิง้ ห่อสง่ิ ของทข่ี โมยมาไว้ข้างริมสระน้า จังหวะมหากาลลุกข้ึนแต่เช้าตรู่ เดินไปท่ีสระ น้าเพอ่ื ลา้ งหน้าพอดี พวกมนุษยต์ ามมาเห็นเข้า เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโจร จึงพาจับและรุมตีจนเสียชีวิต และ ทิ้งศพไวข้ ้าง ๆ สระนา้ นน่ั เอง ต่อมาภิกษุทั้งหลายพบศพมหากาล จึงได้นาเร่ืองไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ พร้อมกับกราบทูลว่า มหากาลนั้นไม่สมควรตายแบบน้ี พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า จริงอยู่มหากาลไม่ สมควรตายแบบนี้ก็จรงิ แตเ่ ธอตายสมควรแกเ่ หตุท่ีได้ทาไว้ในชาติปางก่อน จากน้ันก็ทรงเล่าเรื่องมหากาล ในอดีตที่มหากาลได้เคยทาร้ายชายผู้หน่ึงถึงแก่ความตาย เพราะเหตุหลงรัก และประสงค์จะแย่งภรรยา ของเขามาเป็นภรรยาของตน มหากจั จายนะ,พระ พระมหากัจจายนะ หรือบางครั้งก็เรียกว่ามหากัจจานะ เป็นบุตรของติปิติวัจฉพราหมณ์ ผู้ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในพระนครอุชเชนี มารดาช่ือจันทนปทุมา ในวันขนานนามท่าน มารดาบิดาปรกึ ษากนั ว่าบุตรของตนน้นั มีสรรี ะมผี วิ ดง่ั ทอง จึงขนานนามท่านวา่ กาญจนะ๘๙๖ ครั้นเจริญวัย แลว้ ได้ศึกษาไตรเทพจนจบสิ้น ต่อมาเมื่อบิดาท่านวายชนม์แล้ว ท่านก็ได้รับตาแหน่งปุโรหิตสืบแทนท่าน บดิ า ค ร้ั ง ห นึ่ ง พ ร ะ เ จ้ า จั ณ ฑ ปั ช โ ช ต ท ร ง ป ร ะ ชุ ม เ ห ล่ า อ า ม า ต ย์ แ ล้ ว มี พ ร ะ ร า ช ด า รั ส ถ า ม ว่ า พระพุทธเจ้าได้ทรงบังเกิดข้ึนในโลกแล้ว จะมีผู้ใดสามารถทูลอาราธนาพระพุทธองค์มาได้ อามาตย์ทูลว่า กาญจนพราหมณเ์ ทา่ นน้ั ทจ่ี ะเป็นผสู้ ามารถทูลอาราธนาพระพุทธองค์มาได้ พระเจ้าจัณฑปัชโชติจึงให้ตรัส เรียกกัจจายนะอามาตย์มาเข้าเฝ้า ตรัสมอบหมายให้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลเชิญเสด็จมายัง เมืองอุชเชนี กัจจายนะอามาตย์รบั สนองพระราชโองการ แต่ก็ทูลขอพรว่า ถ้าอนุญาตให้ท่านได้บวชท่านก็ จะไป พระเจ้าจณั ฑปัชโชติกท็ รงอนญุ าต ก่อนออกเดินทาง กัจจายนะอามาตย์ ได้คัดเลือกผู้ท่ีจะไปพร้อมกับตน ๗ คน และออก เดินทาง คร้ันเมื่อไปถึง และได้ฟังพระบรมศาสดาทรงแสดงธรรม เมื่อจบเทศนาหมู่อามาตย์น้ันก็ได้บรรลุ พระอรหัตพร้อมท้ังปฏิสัมภิทาทั้ง ๗ ท่าน ได้ทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาก็ทรงประทาน เอหิภกิ ขุอุปสัมปทา เม่ือกิจของตนถึงที่สุดแล้ว พระมหากัจจายนะก็กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เพ่ือเสด็จไป กรุงอุชเชนี แต่ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอาศัยเหตุอันหน่ึง จึงไม่เสด็จไปสู่ท่ีที่ไม่สมควรเสด็จ เพราะฉะนั้นจึงทรงมอบหมายให้พระมหากัจจายนะนั่นแหละไป ท่านจึงถวายบังคมพระตถาคต แล้ว กลบั ไปกรุงอชุ เชนีพร้อมกับภิกษทุ ้งั ๗ รปู ทม่ี าพร้อมกับตนนั้น พระราชาทรงทราบว่า พระมหากัจจายนะกลับมาถึงแล้ว ได้ทรงกระทาสักการะใหญ่ พระ เถระได้แสดงธรรม ยังมหาชนใหเ้ ล่อื มใส บวชในสานกั ของพระเถระเปน็ จานวนมาก ต้ังแต่นั้น ท่ัวพระนคร ก็รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวพัตร แม้พระเทวีก็ทรงเลื่อมใสในพระมหากัจจายนเถระอย่างยิ่ง ได้ขอพระราชา นุญาตสร้างวิหารถวายพระเถระในพระราชอุทยาน พระเถระยังชาวอุชเชนีให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ๘๙๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๔๐. ๘๙๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๑/๒๔๐.

๒๔๑ แลว้ จึงกลบั ไปเฝ้าพระศาสดาอีกครง้ั หน่งึ ตอ่ มาภายหลังพระศาสดาเมือ่ ประทับอยู่ ณ เชตวัน ทรงกระทา พระสูตร ๓ สูตร เหล่าน้ีคือ มธุบิณฑิกสูตร, กัจจายนเปยยาลสูตร, ปรายนสูตร ให้เป็นเหตุเกิดเร่ืองแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตาแหนง่ เปน็ ยอดของเหล่าภิกษุ ผู้จาแนกอรรถแห่งพระดารัสท่ีทรงตรัสโดยย่อ ใหพ้ สิ ดารแลว้ จากตาแหน่งเอตทัคคะชองท่านน้ี ทาให้มีภิกษุแวะเวียนมาสอบถามข้อธรรมต่าง ๆ ท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั ไว้แต่โดยย่อ ใหพ้ ระมหากัจจายนะช่วยอธิบายให้พิสดาร เพื่อความเข้าใจยิ่ง ๆ ข้ึนไป ดัง ปรากฏหลักฐานหลายแหง่ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก เช่น ในมธุปิณฑิกสูตร ภิกษุทั้งหลายเข้าไปถามปัญหาให้ ขยายความเรื่องปปัญจธรรม๘๙๗ มธุรสูตร พระเจ้ามธุระเสด็จทูลถามปัญหาเร่ืองข้อถกเถียงเร่ืองวรรณะท่ี ประเสริฐ๘๙๘ มหากัจจายนภัทเทกรัตตสูตร เหล่าภิกษุเข้าไปขอร้องให้ท่านขยายความอุทเทสท่ี พระพทุ ธเจา้ แสดงเกยี่ วกบั ผ้มู ีราตรเี ดียวเจริญใหพ้ ิสดาร๘๙๙ อุทเทสวิภงั คสตู ร ภกิ ษเุ ข้าไปขอให้พระมหากัจ จายนะขยายความเรื่องการพิจารณาโดยประการท่ีวิญญาณจะไม่ฟุ้งไปในภายนอก๙๐๐ หลิททิกานิสูตร พรรณนาความคหบดีช่ือหลิททิกานิเข้าไปขอให้ท่านขยายความพระคาถาว่า บุคคลละท่ีอยู่แล้ว ไม่เที่ยว ซ่านไปหาท่ีอยู่อาศัย ไม่ทาความเย่ือใยในบ้าน ว่างจากกามท้ังหลาย ไมมุ่งหวังอัตภาพต่อไป ไม่พึงกล่าว ถ้อยคาขัดแย้งกนั ๙๐๑ เป็นตน้ ความท่ีพระมหากจั จายนะอยู่ในชนบท ท่านประสบปัญหาทเ่ี นอ่ื งดว้ ยขอ้ วินยั บางประการ เมื่อ ศิษย์ของท่านคือพระโสณกุฏิกัณณะประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านจึงฝากกราบทูลเพื่อขอ ผ่อนผนั พระวินยั บางประการ ดังน้ี ๑. ในอวันตที ักขณิ าชนบทมีภกิ ษุน้อย ขอพทุ ธานุญาตผ่อนผันการอุปสมบทด้วยคณะน้อยกว่า ๑๐ รปู ได้ ๒. ในอวันตีทักขิณาชนบท พื้นดินมีสีดามาก แข็ง มีรอยแตกระแหงเหมือนกีบโค ขอพุทธา นญุ าตพเิ ศษให้ภกิ ษใุ นอวนั ตที กั ขณิ าชนบทใช้รองเท้าหลายชั้นได้ ๓. ในอวันตที กั ขิณาชนบท มนษุ ย์นิยมการอาบนา้ ถือว่าน้าทาให้สะอาด ขอพทุ ธานุญาตพิเศษ ให้ภกิ ษใุ นอวนั ตีทักขิณาชนบทอาบนา้ ไดเ้ ป็นนติ ย์ ๔. ในอวันตีทักขิณาชนบท นิยมใช้หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤคเป็นเคร่ืองลาด เหมือนท่ี มัชฌิมชนบทนิยมหญ้าตีนกา หญ้าหางนกยูง หญ้าหนวดแมว หญ้าหางช้าง ขอพุทธานุญาตพิเศษให้ภิกษุ ในอวันตชี นบทใชห้ นังแกะ หนังแพะ หนงั มฤคเปน็ เคร่ืองลาดได้ ๕. ชาวบา้ นถวายจีวรฝากภิกษุทั้งหลาย ขอพุทธานุญาตพิเศษให้ภิกษุสามารถรับฝากจีวรเพ่ือ ภิกษอุ นื่ ได้โดยไม่ต้องอาบตั นิ ิสสัคคิยปาจติ ตีย์ พระผมู้ ีพระภาคไดส้ อบถามเหตุผลตา่ ง ๆ แลว้ กท็ รงอนญุ าต๙๐๒ อนึ่ง จากมธุรสูตร๙๐๓ ทาให้ทราบว่า พระมหากัจจายนะน้ันมีชีวิตอยู่หลังพุทธปรินิพพาน รายละเอียดในคัมภีร์ระบุว่า เมื่อพระเจ้ามธุระได้สดับความพิสดารแห่งอุทเทสท่ียกขึ้นตรัสถามแล้ว ทรง ๘๙๗ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๑๙๙/๒๐๙. ๘๙๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๑๗/๓๘๒. ๘๙๙ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๒๗๙/๓๓๐. ๙๐๐ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๓๑๓/๓๘๐. ๙๐๑ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๓/๑๑. ๙๐๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๕๙/๓๘.

๒๔๒ เล่อื มใสขอถึงพระมหากจั จายนะเป็นสรณะ แต่ท่านให้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ พระเจ้ามธุระจึงตรัสถาม ถึงพระพทุ ธเจา้ ว่าขณะนีท้ รงประทับอยูท่ ใี่ ด ซงึ่ ทา่ นไดถ้ วายพระพรไปวา่ พระพุทธเจ้าปรนิ ิพพานแล้ว มหากปั ปินะ, พระ พระมหากปั ปินะ เดมิ เป็นพระราชาครองราชยอ์ ยู่ในกกุ กฏุ วดีนคร ในปัจจันตประเทศ มีอาณา เขตประมาณ ๓๐๐ โยชน์๙๐๔ ในมหากัปปนิสูตร ได้พรรณนาบุคลิกลักษณะของพระมหากัปปินะไว้ว่า “ขาวโปร่ง จมูกโด่ง” ๙๐๕ วันหน่ึงขณะเสด็จประพาสอุทยาน ได้ทรงทราบข่าวการอุบัติข้ึนของพระพุทธเจ้าจากพ่อค้า กลุ่มหนึ่ง จึงได้พระราชทานทรัพย์แก่พ่อค้า พร้อมฝากพระราชสาส์นไปถวายพระมเหสี ส่วนพระองค์ได้ เสด็จออกอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมเหล่าอามาตย์ ๑ พันคนท่ีติดตามพระองค์ ทรงข้ามแม่น้าคงคา แมน่ ้าจนั ทภาคาด้วยสจั กิริยา แม้พระศาสดาเม่ือทรงทราบข่าวด้วยพระญาณ ก็เสด็จออกมาต้อนรับตลอด ระยะทาง ๑๒๐ โยชน์๙๐๖ ทรงประทับเปล่งพระฉัพพรรณรังสี ณ โคนต้นไทร ใกล้ร่ิมฝั่งแม่น้าจันทภาคา ประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา และให้พระราชาพร้อมกับอามาตย์เหล่าน้ันต้ังอยู่ในพระ อรหตั ตผลในวันน้นั น่ันเอง๙๐๗ ในมหากัปปนิสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชมพระมหากัปปินะว่า “ภิกษุน่ันมีฤทธ์ิมาก สมาบัติท่ีเธอไม่เคยเข้า เธอก็เข้าได้โดยง่าย เธอได้กระทาให้แจ้งประโยชน์อันยอดเยี่ยมอันเป็นท่ีสุดแห่ง พรหมจรรยท์ เี่ หล่ากลุ บตุ รออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันย่ิงเอง เข้าถึงอยู่ ในปจั จบุ นั ” ๙๐๘ พระมหากัปปินะ หลังจากท่ีได้บรรลุกิจในพระศาสนาแล้ว พักอยู่ในท่ีใด ๆ ก็ตาม มักเปล่ง วาจาเนอื งๆ วา่ อโห สโุ ข อโห สุโข แปลวา่ สขุ หนอ สุขหนอ ทาให้ภิกษุท้ังหลายเข้าใจผิดคิดว่าท่านคิดถึง สขุ ในราชสมบัติ๙๐๙ ในมหากัปปินวัตถุ ปรารภพระมหากัปปินะหลีกเร้นอยู่ในมัททกุจฉิมฤคทายวัน เขตกรุง ราชคฤห์ เกดิ ข้อสงสัยวา่ ตนได้บรรลุพระอรหนั ต์ ปลีกวิเวกอยู่เช่นนี้ ควรจะทาอุโบสถหรือไม่ พระผู้มีพระ ภาคทราบความดาหริเธอ จึงได้ไปปรากฏต่อหน้า พร้อมกับตรัสเตือนอย่าได้คิดอย่างนั้น เพราะถ้าเธอไม่ สกั การะ ไม่เคารพ ไมน่ ับถือ ไม่บูชาอโุ บสถแลว้ ใครเ่ ลา่ จักสักการะ เคารพ นับถอื บชู าอโุ บสถ๙๑๐ พระมหากัปปนิ ะ ได้รบั การยกย่องจากพระศาสดาในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุท้ังหลาย ผู้กล่าวสอนภิกษุ เน่ืองจากมีความสามารถสอนภิกษุ ๑ พันรูปให้ได้บรรลุพระอรหันต์ในการประชุมคร้ัง เดยี ว๙๑๑ ๙๐๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๓/๓๙๑. ๙๐๔ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๗๘๔. ๙๐๕ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๕/๓๓๘. ๙๐๖ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๕๒๖. ๙๐๗ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๓๑/๓๓๕. ๙๐๘ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๕/๓๓๘. ๙๐๙ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๓๑/๓๓๖. ๙๑๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓๗/๒๑๔. ๙๑๑ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๓๑/๓๓๗.

๒๔๓ มหากัสสปะ, พระ พระมหากสั สปะ นามเดิม ปิบผลิ เป็นบุตรของกบิลพราหมณ์ ในบ้านมหาติตถะ กรุงราชคฤห์ เม่ือเติบใหญ่บิดามารดามีความประสงค์จะให้แต่งงาน แต่ปิบผลิมาณพหามีความประสงค์ต้องการครอง เรือนไม่ ตั้งใจอยู่ว่า จะทาหน้าที่ปฏิบัติบิดามารดาจนกว่าท่านทั้งสองจะเสียชีวิต จากนั้นจะขอออกบวช แต่กถ็ ูกรบเร้าจากบิดามารดาอยเู่ นือง๙๑๒ ปิบผลมิ าณพเห็นว่าถูกรบเร้าอยู่บ่อย ๆ ก็หาวิธีจะให้บิดามารดายอม จึงไปเอาทองคาสีสุกมา แล้วให้ช่างทองทารูปหญิงคนหนึ่ง เมื่อขัดและบุบเรียบร้อยแล้ว แต่งชุด และประดับประดาเสร็จก็นาไป วางตอ่ หน้ามารดา พร้อมกบั บอกวา่ ถา้ ได้หญงิ สาวมรี ูปอย่างนี้ จงึ จะแต่งงาน มารดาเป็นคนฉลาด คิดว่าลูกของตนคงมีบุญวาสนา จึงได้แต่งตั้งพราหมณ์ ๘ คน มอบหมาย ให้ไปแสวงหาสตรีผู้มีรูปร่างเหมือนอย่างรูปหุ่นท่ีบุตรมอบให้ และด้วยบุญบารมีของปิบผลิมาณพ ก็ทาให้ พราหมณ์ท้งั ๘ ไดพ้ บกับบตุ รขี องโกสยิ พราหมณ์ชื่อนางภทั ทกาปลิ านี ในสาคลนคร แคว้นมัททรัฐ จากนั้น กก็ ลบั มารายงานใหก้ บิลพราหมณท์ ราบ กบลิ พราหมณ์ได้แจ้งแกป่ ิบผลมิ าณพวา่ ไดส้ ตรีมรี ูปงามตามที่ลูกต้องการแล้ว จะดาเนินการสู่ ขอใหเ้ ป็นไปตามประสงค์ ปิบผลมิ าณพ ความท่ีไมต่ อ้ งการแต่งงาน และต้องการจะออกบวชตั้งแต่ต้น เกรงว่าจะเสียการ ตามท่ีตั้งใจไว้ จึงได้แอบเขียนจดหมายให้คนไปส่งให้นางภัททกาปิลานีทราบ ใจความจดหมายระบุว่า ให้ นางหาชายที่เหมาะสมแต่งงานด้วยเถิด ส่วนตนเองไม่ต้องการอยู่ครองเรือน แต่มีความประสงค์จะออก บวช หนังสือท่ีส่งไปก็ถูกคนของกบิลพราหมณ์ผู้เป็นบิดาจับได้ จึงได้แปลงหนังสือใหม่ แม้ในส่วน ของนางภัททกาปลิ านีก็ไม่มคี วามปรารถนาแต่งงาน นางได้เขียนหนังสอื แจง้ มาในลักษณะเดียวกัน แต่ก็ถูก จับได้ และถูกแปลงสาร จนในท่ีสดุ ท้ังสองกไ็ ดแ้ ตง่ งานกนั ทง้ั ๆ ทไ่ี มป่ รารถนา ทัง้ ค่อู ยดู่ ว้ ยกนั ตลอดระยะเวลาท่บี ดิ ามารดามีชีวิตอยู่ แตไ่ ม่เคยสมั ผัสถูกตอ้ งตัวกันเลย วนั หน่งึ ปบิ ผลิมาณพถามนางภทั ทกาปิลานีว่า ตอนมาจากบ้านนาทรัพย์สมบัติมาเท่าไหร่ เม่ือ นางบอกจานวนทรพั ย์ ก็กลา่ วต่อไปวา่ ทรพั ยท์ ้ังหมด รวมกับของตนมี ๘๗ โกฏิ ขอยกให้เธอทั้งหมด ส่วน เราจะขอออกบวช นางภัททกาปิลานี ได้ฟังคาของปิบผลิมาณพเช่นนั้น ก็แจ้งความประสงค์ของตนเช่นเดียวกัน ท้ังสองจึงโกนศีรษะให้แก่กัน นุ่งห่มด้วยผ้ากาสาวะที่ได้จากร้านตลาด สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดถือบวช อทุ ศิ พระอรหันตใ์ นโลก ส่วนข้าทาสบริวารกใ็ หพ้ ้นจากความเปน็ ทาส พระผู้มีพระภาค ประทับน่ังอยู่ท่ีกุฏิในพระวิหารเชตวัน ได้ทรงพิจารณาเห็นผู้ประกอบด้วย คุณอันยิ่งใหญ่ของบุคคลทั้งสอง จึงได้ทาการสงเคราะห์ด้วยการเสด็จออกไปต้อนรับเพียงลาพังพระองค์ โดยประทบั น่ังทโี่ คนตน้ พหุปตุ ตกนโิ ครธระหวา่ งกรงุ ราชคฤหก์ บั เมืองนาลันทา ทรงเปล่งรัศมีแสดงพุทธานุ ภาพให้ปรากฏ พระมหากัสสปะได้มองเห็นแต่ไกลก็คิดว่า ผู้น้ีแหละจักเป็นศาสดาของเรา เราบวชอุทิศพระ ศาสดาพระองค์นี้ จาเดิมแต่มองเห็นก็น้อมกายไหว้ในที่ ๓ แห่ง แล้วกราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ศาสดาของขา้ พระองค์ ขา้ พระองคเ์ ปน็ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๙๑๒ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๒๙๓.

๒๔๔ พระผู้พระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “กัสสป ถ้าเธอจะพึงทาการนบนอบน้ีไว้ในมหาปฐพีไซร้ แม้มหาปฐพีนั้นก็ไม่อาจรองรับเอาไว้ได้ การนบนอบที่เธอกระทา ย่อมไม่อาจทาแม้ขนของเราให้สั่น เพราะตถาคตมคี ณุ ใหญห่ ลวงอยา่ งน้ี น่งั ลงเถดิ กสั สปะ เราจะให้ทรัพยอ์ นั เป็นมรดกแก่เธอ” ๙๑๓ ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทานอุปสมบทแก่พระมหากัสสปเถระด้วยโอวาท ๓ ประการ ได้แก่ (๑) กัสสปะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า ‘เราจักเข้าไปตั้งหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าใน ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ ผู้เป็นมัชฌิมะ’ (๒) กัสสปะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า ‘เราจักฟัง ธรรมอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ซึง่ ประกอบด้วยกศุ ล จักกระทาธรรมนั้นท้ังหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึง ธรรมน้ันท้ังหมด จักประมวลจิตมาท้ังหมด เงี่ยโสตสดับธรรม’ (๓) กัสสปะ เธอพึงศึกษาอย่างน้ีว่า ‘เราจักไมล่ ะกายคตาสติ ท่ปี ระกอบด้วยความยินดี๙๑๔ ครั้นประทานแล้วก็เสด็จออกจากโคนต้นพหุปุตตกนิโครธ เสด็จเดินทางมีพระเถระเป็นปัจฉา สมณะ เม่ือเสดจ็ ไปได้หน่อยหนึ่งก็ทรงแวะข้างทาง ประทับน่ังพักที่โคนต้นไม้แห่งหน่ึง พระเถระได้ใช้ผ้าท่ี ตนหม่ พับเปน็ ๔ ชน้ั ปูลาดถวาย พระศาสดาประทับน่ังบนผ้าสังฆาฏิน้ันแล้ว เอาพระหัตถ์ลูบคลาเน้ือผ้าตรัสว่า กัสสปะ สังฆาฏิอันทาด้วยผ้าเก่าผืนนี้ของเธอนุ่มดี พระเถระคิดว่า พระศาสดาตรัสถึงสังฆาฏิของเรานุ่ม คงจัก ประสงค์จะห่ม จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห่มสังฆาฏิเถิด พระ ศาสดาตรัสว่า กสั สปะ เธอจะหม่ อะไร ? พระเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ผ้านุ่งของพระองค์ จึงจัก ห่ม พระศาสดาตรัสว่า กสั สปะ กเ็ ธอจกั อาจทรงผ้าบงั สุกุลทใี่ ชจ้ นเก่าผืนนีอ้ ย่างนี้ได้หรือ ด้วยว่ามหา ปฐพีได้ไหวจนถึงน้ารองแผ่นดิน ในวันท่ีเราซักผ้าบังสุกุลผืนนี้ ธรรมดาว่าจีวรที่เก่าเพราะใช้ของ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายน้ี ถงึ เก่าแล้ว คนทีม่ คี ุณนิดหนอ่ ยไม่อาจครองได้ จีวรเก่าดังกล่าวน้ี อันบุคคลผู้ อาจสามารถในการบาเพ็ญข้อปฏิบัติ ผู้ถือผ้าบังสุกุลมาแต่เดิมจึงจะควรรับเอา แล้วทรงเปล่ียนจีวรกับ พระเถระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนจีวรอย่างน้ีแล้ว ทรงห่มจีวรที่พระเถระห่มแล้ว พระเถระ หม่ จวี รของพระศาสดา ในสมัยนั้นมหาปฐพีนแี้ ม้ไมม่ ีจติ ใจก็ไหวจนถงึ นา้ รองแผ่นดนิ เหมือนจะกล่าวว่าข้า แต่พระองค์ผูเ้ จรญิ พระองค์ทรงทาสิ่งท่ที าไดย้ าก จีวรท่ีพระองค์ห่มแล้ว ช่อื ว่าเคยได้ประทานแก่พระ สาวกไม่มี (คือไม่เคยมีการประทานจีวรท่ีทรงห่มแล้วแก่สาวก) ข้าพระองค์ไม่อาจรองรับคุณของ พระองค์ได้ แม้พระเถระก็มิได้กระทาเหย่อหยิ่งว่า เด๋ียวน้ีเราได้จีวรสาหรับใช้สอยของพระพุทธเจ้า ท้งั หลาย สง่ิ ที่เราจะพึงทาใหย้ ่ิงข้ึนไปในบัดน้ียงั จะมีอยูห่ รอื จงึ ได้สมาทานธุดงค์คุณ ๑๓ ข้อในสานัก ของพระพทุ ธเจา้ น่ันแหละ เปน็ ปถุ ชุ นเพียง ๗ วนั ในอรณุ ท่ี ๘ ได้บรรลพุ ระอรหตั ๙๑๕ พระมหากัสสปะได้รับการยกย่องในเร่ืองธุดงค์คุณมาก คัมภีร์พรรณนาไว้ว่า “เว้นพระ สมั มาสัมพุทธเจา้ เสยี สาวกอื่น ใครเล่าผเู้ สมอเหมือนพระมหากัสสปะดว้ ยธุดงคค์ ุณ ๑๓ ไม่มี” ๙๑๖ ๙๑๓ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๐๒. ๙๑๔ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๘. ๙๑๕ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๐๓. ๙๑๖ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๒๔๐.

๒๔๕ เกียรติคุณของท่าน ได้แผ่ขจรขจาย ในหมู่สงฆ์ ท่านเป็นพระเถระช้ันผู้ใหญ่ที่คณะสงฆ์ให้การ เคารพ ดังจะเห็นได้จากเม่ือพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว คณะสงฆ์ยังไม่ยอมถวายพระเพลิงพระบรมศพ จนกวา่ พระมหากัสสปะจะเดนิ ทางมาถงึ ๙๑๗ ในหมู่เทวดา มีหลักฐานในพระสูตรหลายแห่งพรรณนาถึงความเคารพและความห่วงใยของ เทวดาท่ีมีต่อพระมหากัสสปะ เช่น คราวหนึ่งท่านอาพาธ เทวดา ๕๐๐ องค์ ห่วงว่าท่านจะลาบากด้วย บณิ ฑบาต จงึ พากันแปลงกายมาเป็นคนยาก คอยถวายอาหารบิณฑบาตท่าน๙๑๘ แม้แต่ท้าวสักกะจอมเทพ กเ็ คยปลอมพระองค์ถวายบิณฑบาตพระเถระ๙๑๙ หลังพุทธปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน พระมหากัสสปะได้เป็นประธาน และคัดคัดเลือกพระ อรหนั ต์ ๕๐๐ รปู ทาสังคายนา รอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั ใหเ้ ป็นหมวดหมู่๙๒๐ ถือเป็นคณุ ปู ระการท่ีท่านมีต่อ พระพทุ ธศาสนาตราบเทา่ ปจั จุบนั มหาโกฏฐติ ะ,พระ พระมหาโกฏฐิตะ เป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่ออัสสลายนะ กับนางพราหมณ์ช่ือจันทวดี๙๒๑ ซึ่ง เป็นตระกูลท่ีมที รัพย์สมบตั ิมาก ในพระนครสาวตั ถี เมอื่ ถึงคราวตั้งชื่อ มารดาบดิ าไดต้ งั้ ชื่อท่านว่า โกฏฐิตะ เมอ่ื เติบใหญข่ ้ึนกเ็ ล่าเรียนจบไตรเพท ต่อมาเมื่อบิดาของท่านได้พบพระพุทธเจ้า๙๒๒ ได้ฟังธรรมเกิดความเล่ือมใส โกฏฐิตะจึงได้รับ การปลูกฝังในพระพทุ ธศาสนาดว้ ย โดยวันหน่งึ เมื่อทา่ นได้เข้าฟงั ธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเล่ือมใส ได้ขอบวช โดยมีพระมหาโมคคลานะเป็นอาจารย์ พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ โดยขณะกาลังอุปสมบทอยู่ นนั้ ท่านได้ตัดทฏิ ฐพิ รอ้ มดว้ ยมูลรากเสียไดข้ ณะปลงผม เม่ือกาลงั นงุ่ ผ้ากาสาวะ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พรอ้ มดว้ ยปฏสิ ัมภิทา๙๒๓ พระมหาโกฏฐิตะ เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษารูปหน่ึง ดังจะเห็นได้จากหลักฐานในคัมภีร์ พระไตรปิฎก ท่านได้เข้าไปหาพระสารีบุตร และเรียนถามปัญหาอยู่เนืองๆ ดังตัวอย่างที่ปรากฏในพระ สตู รดังต่อไปนี้ ในนฬกลาปิสูตร๙๒๔ พระมหาโกฏฐิตะ ขณะพักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เข้าไปถาม ปัญหากับพระสารีบุตรว่า ชรา และมรณะเป็นสิ่งที่ตนกระทาเอง หรือเป็นสิ่งท่ีคนอ่ืนกระทาให้ เป็นสิ่งที่ ตนกระทาเองด้วย และเป็นสิ่งที่คนอ่ืนกระทาให้ด้วย หรือชราและมรณะเกิดเพราะอาศัยเหตุท่ีตนกระทา เองก็ไม่ใช่ และคนอ่ืนกระทาให้ก็มิใช่ ต่อปัญหานี้ พระสารีบุตรได้ตอบโดยอาศัยนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท คือ เพราะภพเปน็ ปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเปน็ ปจั จยั ชราและมรณะจึงมี ๙๑๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๓๓/๒๓๔. ๙๑๘ ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๖/๑๗๘. ๙๑๙ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๒๗/๒๒๒. ๙๒๐ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๕. ๙๒๑ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๒๔๓/๒๗๑. ๙๒๒ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๐๑/๕๐๑. ๙๒๓ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๔๕/๒๗๑. ๙๒๔ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๖๗/๑๓๔)

๒๔๖ ในสลี วันตสตู ร๙๒๕ พระมหาโกฏฐิตะ ขณะพักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เข้าไปถามปัญหา กับพระสารบี ตุ รวา่ ธรรมเหลา่ ไหนท่ีภกิ ษผุ มู้ ศี ลี ควรมนสกิ ารโดยแยบคาย ต่อปญั หาน้ี พระสารีบุตรได้ตอบ ว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นสิ่งที่ภิกษุผู้มีศีลควรมนสิการโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นของลาบาก เป็นอาพาธ เป็นอย่างอื่น บังคับไม่ได้ เป็น ของทรุดโทรม เปน็ ของสญู และเป็นอนตั ตา ในทุติยสมุทยธรรมสูตร๙๒๖ พระมหาโกฏฐิตะ ขณะพักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เข้าไป ถามปัญหากับพระสารีบุตรว่า ท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสว่า อวิชชา อวิชชา นี้ อวิชชา เป็นอย่างไร และด้วย เหตุเพียงไร บุคคลจึงช่อื ว่าตกอยู่ในอวิชชา ต่อปัญหาน้ี พระสารีบุตรตอบว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่รู้ชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณท่ีมีความเกิดข้ึน เสื่อมไปเป็นธรรมดาตามความเป็นจริง นี้แหละเรียกว่า อวิชชา และดว้ ยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลจงึ ช่ือวา่ ตกอยใู่ นอวชิ ชา ในปฐมสารีปุตตโกฏฐิตสูตร๙๒๗ ขณะพักอยู่ท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เข้าไปถามปัญหากับ พระสารีบุตรวา่ หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกหรอื , หลังจากตายแล้ว ตถาคตไม่เกิดอีกหรือ เป็นต้น ซึ่ง ตอ่ ประเดน็ นี้ พระสารบี ุตรตอบวา่ ปญั หาเชน่ น้ี พระผมู้ ีพระภาคไม่พยากรณ์ ในมหาโกฏฐติ สูตร๙๒๘ พระมหาโกฏฐิตะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร และได้เรียนถามปัญหาว่า “เพราะผัสสายตนะ ๖ ประการดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ อะไรอ่ืนยังมีอยู่หรือ” ต่อปัญหานี้ พระสารีบุตร ไดต้ อบว่า “อยา่ กล่าวอยา่ งนนั้ ” “เพราะผสั สายตนะ ๖ ประการดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ อะไรอื่นไม่มีอยู่ หรือ” ต่อปัญหาน้ี พระสารีบุตรก็ได้ตอบว่า “อย่ากล่าวอย่างนั้น” เป็นต้น เหตุผลที่พระสารีบุตรตอบ เช่นนี้ เพราะท่านมองว่า การต้ังคาถามเช่นน้ัน เป็นเรื่องของการปรุงแต่ง คาตอบของท่านจึงเป็นเสมือน เตือนว่า ไมค่ วรปรุงแตง่ เพราะการปรุงแตง่ นน้ั เป็นปปญั จธรรม พระมหาโกฏฐิตะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเลิศกว่าภิกษุท้ังหลายผู้บรรลุ ปฏสิ มั ภทิ า๙๒๙ มหาจุนทะ,พระ พระมหาจุนทะ เป็นน้องชายของพระสารีบุตร บิดาช่ือวังคันตพราหมณ์ มารดาช่ือนางสารี พราหมณี๙๓๐ กาเนิดท่ีอุปติสสคาม ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ มีพ่ีน้องร่วมท้องกัน ๗ คน ชาย ๔ คน ประกอบไปด้วย อุปติสสะ อุปเสนะ เรวตะ จุนทะ หญิง ๓ คน ประกอบด้วย นางจาลา อุปจาลา และสีสุ ปจาลา โดยท้ังหมดในออกบวชในธรรมวินัยของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาที่ไล่เลี่ย กนั ตามประวัติเล่าว่า มารดาท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านจึงสั่งภิกษุท้ังหลายไว้ว่า หากเห็นน้องชาย หนีมาขอบวช ก็ให้ดาเนินการบวชให้ตามประสงค์ โดยไม่ต้องให้ไปลาบิดามารดา ให้ถือเสมือนท่านเป็น มารดาและบิดาของจนุ ทะ ดงั นั้นเมื่อจุนทะหนีออกจากบ้านได้ พระเถระเหล่านั้นก็ดาเนินการบวชให้ท่าน ๙๒๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑๒๒/๒๑๕. ๙๒๖ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑๒๗/๒๒๓. ๙๒๗ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๑๒/๔๗๘. ๙๒๘ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๗๓/๒๔๔. ๙๒๙ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๘/๒๘. ๙๓๐ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๑๓๖/๑๘๖.

๒๔๗ ทันที โดยเบื้องต้นได้บวชเป็นสามเณร เนื่องจากอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี โดยในช่วงท่ีท่านยังเป็นสามเณรอยู่ นั้น ก็ได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากด้วย คร้ันเม่ืออายุครบอุปสมบท ท่านจึงได้รับการอุปสมบทโดยมี พระอานนท์เปน็ พระอุปัชฌาย์๙๓๑ ในสัลเลขสูตร บันทึกเร่ืองราวพระจุนทะเข้าเฝ้าทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนาอุบายหลายประการ นับตั้งแต่เร่ืองทิฏฐิ รูปฌาน อรูปฌาน ข้อปฏิบัติเป็นไป เพ่ือการขัดเกลากิเลสทั้งหลาย เพ่ือความดับสนิทแห่งกองกิเลสท้ังหลาย มีนัยเป็นต้นว่า “จุนทะ น่ันโคน ต้นไม้ น่ันเรือนว่าง เธอท้ังหลายจงเพ่งพินิจเถิด อย่าประมาท อย่าได้เดือดร้อนในภายหลังเลย นี่เป็นคา พรา่ สอนของเราสาหรับเธอทั้งหลาย”๙๓๒ ในมหาจุนทสูตร๙๓๓ บันทึกเร่ืองราวพระมหาจุนทะได้ให้แนวทางในการปฏิบัติต่อกันระหว่าง พระธรรมกถึก และพระนักปฏิบัติที่มักจะมีปัญหากระทบกระท่ังกัน กล่าวคือ พระธรรมกถึกก็มักจะเพ่ง โทษพระนักปฏิบัติว่า ไม่ได้ปฏิบัติเพ่ือเก้ือกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก เป็นต้น ขณะท่ีพระ ปฏิบตั ิก็มกั จะเพง่ โทษพระธรรมกถึกว่า เป็นพวกฟงุ้ ซา่ น ถอื ตวั โลเล ปากกลา้ พดู พรา่ เพร่ือ หลงลืมสติ ไม่ มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ต้ังม่ัน เป็นต้น ทาให้เกิดความขัดแย้ง ทางที่ถูก พระธรรมกถึก ควรสรรเสริญซึ่งกัน และกนั ๙๓๔ สมัยหน่ึงพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ ทรงประชวร ได้รับความ ทุกข์ พระอาการหนัก พระมหาจุนทะได้มีโอกาสเข้า และได้รับการขอให้สาธยายโพชฌงค์ ๗ ประการ ถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อท่านได้สาธยายจบ อาการอาพาธของพระพุทธเจ้าก็หายขาด จึงได้ตรัสชมพระ มหาจนุ ทะวา่ “จุนทะ โพชฌงค์ดีนกั จุนทะ โพชฌงค์ดนี กั ” ๙๓๕ ในฉันโนวาทสูตร๙๓๖ ขณะท่ีพักอยู่ท่ีเขาคิชกูฏ พระมหาจุนทะ และพระสารีบุตร ได้มีโอกาส เข้าไปเย่ียมอาการอาพาธของพระฉันนะ โดยทั้งสองรูปได้ให้โอวาท และชวนพระฉันนะสนทนาเพ่ือ บรรเทาความยึดมั่นถือม่ันในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หลังจากการสนทนา และพระเถระ ท้งั ๒ รปู กลบั ไปแลว้ พระฉันนะกไ็ ดป้ ลงชวี ติ ตวั เอง พรอ้ มกับจติ หลดุ พ้นจากอาสวะทัง้ ปวง เมื่อคร้ังพระสารีบุตรจะเข้าสู่ปรินิพพาน พระมหาจุนทะได้เป็นพระติดตามไปที่บ้านเกิด และ เมื่อจัดแจงสรีรกิจของพระสารีบุตรเสร็จแล้ว ท่านก็ได้นาบาตรและจีวรของพระสารีบุตรมาถวายพระ อานนท์ พระอานนท์จึงชวนพระมหาจนุ ทะเข้าเฝ้า กราบทูลถวายรายงานการปรินิพพานของพระสารีบุตร ให้พระผมู้ ีพระภาคทรงทราบ๙๓๗ สว่ นอัฐิกไ็ ดห้ ่อดว้ ยผา้ กรองน้า นาไปถวายพระผมู้ พี ระภาคเจ้า อน่ึง พระมหาจุนทะ มบี ทบาทสาคัญในการเสนอแนะให้มีการร้องกรองธรรมวินัย โดยท่านได้ เห็นตัวอย่างจากการถงึ แกก่ รรมของนิครนถ์ นาฏบุตร หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์ของนิครนถ์ก็แตกออกเป็น ๒ พวก ท่านจึงชวนพระอานนท์เข้าเฝ้า เพ่ือให้พระผู้มีพระภาคทรงมีวินิจฉัยต่อไป๙๓๘ โดยเบื้องต้น ๙๓๑ ส.ม.อ.(ไทย) ๕/๑/๔๓๗. ๙๓๒ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๘๘/๘๑. ๙๓๓ องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๔๖/๕๑๒. ๙๓๔ อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๔๖/๕๑๓. ๙๓๕ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๙๗/๑๓๑. ๙๓๖ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๓๘๙/๔๔๒. ๙๓๗ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๗๙/๒๓๒. ๙๓๘ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๖๕/๑๒๖.

๒๔๘ พระองค์ทรงให้แนวทางไว้ว่า “จุนทะ ธรรมท้ังหลายท่ีเราแสดงไว้แล้วเพ่ือความรู้ย่ิง บริษัทท้ังหมดน่ัน แหละ พึงพร้อมเพรียงกันประชุม สอบทานอรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะในธรรมนั้น แล้วพึง สังคายนา ไม่พงึ ววิ าทกนั เพ่ือพรหมจรรยน์ ้ตี ั้งอยไู่ ดน้ าน” ๙๓๙ มหานาคะ,พระ พระมหานาคะ เปน็ หนึ่งในพระเถระท่ีไดร้ บั การบันทึกไว้ว่า เป็นผู้สืบทอดพระวินัยต่อๆ กันมา ต้ังต้นแต่พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ และพระโมคคัลลีบุตร ในชมพูทวีป เรื่อยมา กระทง่ั ถึงศรีลังกา ซึง่ ในศรลี งั กาก็มีพระเถระผูน้ าพระวินัยสบื ๆ กนั มาหลายรูป ๑ ในจานวนนั้นก็คือ พระ มหานาคะ ซง่ึ ในคัมภรี ์ระบวุ า่ “เป็นผมู้ ปี ญั ญามาก ฉลาดในวงศพ์ ระธรรม” ๙๔๐ มหาปทุมะ,พระ พระมหาปทมุ ะ เป็น ๑ ในพระมหาเถระผูท้ รงพระวินยั และนาสืบพระวนิ ยั มาในศรีลงั กา ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก๙๔๑ ระบุชื่อพระมหาเถระ ประกอบด้วย พระอุบาลี พระทาสกะ พระ โสณกะ พระสิคควะ พระโมคคัลลีบุตร รวม ๕ รูป นาพระวินัยสืบ ๆ กันมาในชมพูทวีป จากน้ันก็มี พระ มหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัททบัณฑิต เดินทางมาจากชมพูทวีปมาเกาะ สิงหล สอนพระวินัยปิฎกในเกาะตามพปณั ณิ สอนนกิ าย ๕ และปกรณ์ ๗ จากนั้นก็มีพระอริฏฐะ พระติสสทัตตบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระทีฆเถระ และพระทีฆสุมน บัณฑิต ถัดจากนั้นก็มีพระกาฬสุมน พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ พระติสสเถระ พระเทวเถระ ถัด จากนั้นมีพระสุมนะ พระจูฬนาคะ พระธัมมปาลิตะ พระเขมะ พระอุปติสสะ กระท่ังมาถึงพระปุสสเทวะ ถัดจากนั้นก็มีพระสุมนะ พระมหาปทุมะ พระมหาสีวะ พระอุบาลี พระมหานาคะ พระอภยะ ฯลฯ ต่างก็ นาพระวนิ ยั สบื ๆ ตอ่ กนั มาในเกาะตามพปณั ณิ มหาปนาทะ,พระราชา พระเจ้ามหาปนาทะ ปรากฏในจักกวัตติสูตร ตอนว่าด้วยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระ นามว่าเมตไตรย เป็นคาพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาค พระนามว่าเมตไตรย จักเสด็จอุบัติข้ึนในโลก จักทรงแสดงธรรมอันมีความงามในเบ้ืองต้น ท่ามกลาง และ ท่ีสุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมท้ังอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน และคร้ังนั้น พระ เจ้าสังขะ จักรับสั่งให้ยกปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะโปรดให้สร้างไว้ แล้วประทับอยู่ ทรงสละบาเพ็ญ ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกาพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกท้ังหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระ มัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัตร์ เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตในสานักของพระพุทธเจ้าพระ นามวา่ เมตไตรยนัน้ ๙๔๒ ๙๓๙ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๗๗/๑๓๘. ๙๔๐ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๘/๑๔. ๙๔๑ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๙๔๒ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๐๘/๗๙.

๒๔๙ ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทะ ได้รับการพรรณนาไว้ว่า เป็นปราสาททองคา กว้าง ๑๖ ช่ัว ลูกธนู สูง ๑,๐๐๐ ชั่วลูกธนู มีพ้ืน ๑๐๐ ชั้น ประดับประดาด้วยธงแก้วมณีสีเขียว มีนักฟ้อนอยู่ ๖,๐๐๐ คน แบบออกเปน็ ๗ พวก๙๔๓ อนง่ึ ในคัมภีร์อรรถกถา มพี ระเจ้ามหาปนาทะอกี ๑ พระองค์ แต่พระองค์น้ี เป็นอดีตชาติของ พระภัททชิ คร้ังน้ันพระองค์ก็มีปราสาททองกว้างกึ่งโยชน์ สูง ๒๕ โยชน์ มี ๑,๐๐๐ ชั้น มีคนธรรพ์ ประมาณ ๖,๐๐๐ คน แบง่ เป็น ๗ พวก ฟอ้ นอยู่ พระผมู้ พี ระภาคเจ้าต้องการจะเชิดชูพระภัททชิให้ปรากฎ ในหมูภ่ กิ ษุท้งั หลาย จงึ รบั สง่ั ให้พระภทั ทชแิ สดงปราสาททีเ่ คยครอบครองในอดีตชาติทีผ่ า่ นมา๙๔๔ มหาโมคคัลลานะ,พระ พระมหาโมคคลั ลานะ ชอ่ื เดิมของทา่ นคือ โกลติ ะ เป็นบุตรของนางโมคคัลลีพราหมณี อยู่บ้าน โกลิตคาม แขวงเมืองราชคฤห์ ตานานเล่าว่า ขณะท่ีนางพราหมณีผู้เป็นมารดาของโกลิตะต้ังครรภ์ แม้ มารดาของอุปติสสะ (สารีบุตร) ก็ต้ังครรภ์ด้วย๙๔๕ คร้ันคลอดออกมา ทั้งสองก็ได้เป็นเพ่ือนกัน ในพุทธวงศ์ ระบถุ งึ ผิวพรรณของพระมหาโมคคัลลานะไวว้ ่า “มีผวิ พรรณเสมอเหมือนดอกอบุ ลเขียว” ๙๔๖ ชวี ติ ช่วงวัยรุน่ ชอบเท่ยี วหาความสาราญกอ่ นออกแสวงหาโมกขธรรม วันหนึ่ง พร้อมกับเพื่อน คืออุปตสิ สะ (พระสารีบุตร) ไปเที่ยวงานมหรสพในเมืองราชคฤห์ แต่วันนั้นเกิดความเบ่ือหน่าย ตั้งคาถาม ขน้ึ กับตัวเองวา่ พวกเรามวั เที่ยวแสวงหา และดูสิง่ ทีไ่ ร้สาระแก่นสารเหล่าน้ีเพ่ือประโยชน์อันใด สุดท้ายจึง ได้ชวนกันแสวงหาโมกขธรรม เบ้ืองต้นได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์สัญชัย จาเดิมแต่กาลที่ท้ังสอง บวชในสานักอาจารย์สัญชัยแล้ว ได้ถึงความพร้อมด้วยลาภและยศอย่างเหลือเฟือ เรียนจบลัทธิของ อาจารย์ เมื่อเหน็ วา่ ยังไม่ใชท่ างหลดุ พ้น จงึ ไดล้ าอาจารยอ์ อกแสวงหาโมกขธรรมต่อไป๙๔๗ เมื่ออุปติสสมาณพได้ไปพบและฟังธรรมจากพระอัสสชิ จนได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว อุปติสสะ มาณพได้นาคาสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เช่นเดียวกัน ทง้ั สองได้ไปเฝ้าพระพุทธเจา้ ที่วัดเวฬวุ นาราม และได้ทลู ขออปุ สมบทตอ่ พระพทุ ธเจ้า หลังจากอุปสมบท พระมหาโมคคัลลานะ ได้บาเพ็ญความเพียรอยู่ที่กัลลวาลมุตตคาม แคว้น มคธ ถกู ถีนมิทธะ ไดแ้ ก่ อาการง่วง ครอบงา พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นด้วยทิพจักษุญาณ ได้ทรง หายไปจากป่าเภสกลามิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมาคิระ แคว้นภัคคะ ไปปรากฏต่อหน้าพระมหาโมคคลานะ พร้อมท้ังตรัสบอกอุบายแก้ง่วง ๗ ประการ คือ (๑) อย่ามนสิการถึงสัญญาที่จะทาให้ความง่วงครอบงาได้ (๒) ให้พิจารณาธรรมตามที่ได้สดับ ได้เล่าเรียนมา (๓) ให้สาธยายธรรมตามท่ีได้สดับ ได้เล่าเรียนมาโดย พสิ ดาร (๔) ใหล้ องยอนชอ่ งหูท้งั ๒ ขา้ ง แลว้ ใชม้ ือบบี นวดตวั (๕) ลุกขึ้นยนื ใชน้ า้ ลูบตา มองไปรอบ ๆ ตัว (๖) ให้พิจารณาว่าเป็นกลางวัน (๗) ให้เดินจงกรมกลับไปกลับมา ไม่คิดออกนอกตัว หากทาตามดูท้ัง หมดแล้ว ยังไม่สามารถละความง่วงได้ ให้กาหนดสีหไสยาสน์ มีสติสัมปชัญญะ กาหนดหมายจะลุกข้ึนใน ใจ พอตืน่ ข้ึนก็ให้รีบลกุ ทนั ที๙๔๘ ๙๔๓ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๔๐/๑๒๙. ๙๔๔ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๐๗. ๙๔๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๒๒. ๙๔๖ ข.ุ พุทฺธ.(ไทย) ๓๓/๕๘/๕๖๔. ๙๔๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๒๒. ๙๔๘ อง.ฺ สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๖๑/๑๑๖.

๒๕๐ เม่ือตรัสอุบายแก้ง่วงให้แก่พระมหาโมคคัลลานะแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานโอวาทแก่ พระโมคคัลลานะ ประการ ดังนี้ (๑) ไม่พึงชูงวง (ถือมานะ) เข้าสู่ตระกูล (๒) ไม่พึงกล่าวถ้อยคาเป็นเหตุ ให้ทุ่มเถียงกัน (๓) พึงหลีกเล่ียงการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ (๔) ไม่ควรยึดมั่นในธรรมทั้งปวง ท่านรับโอวาท จากพระบรมศาสดาแล้ว บาเพ็ญเพยี รสามารถกาจดั ถีนมิทธะ พิจารณาธรรมทง้ั ปวงดว้ ยปัญญา ก็ได้สาเร็จ เปน็ พระอรหันต์ในวนั ท่ี ๗ หลงั จากอปุ สมบท ในอรรถกถาสรภังคชาดก๙๔๙ พรรณนาถึงการมรณภาพของพระมหาโมคคัลลานะไว้ว่า พระ เถระเทย่ี วไปในโลกโลกบ้าง นรกบา้ ง กลับมาแจง้ มนุษย์ไดท้ ราบวา่ ผ้นู ั้น ผู้น้ี ตายแล้วไปบังเกิดในที่ต่าง ๆ ทาให้เป็นท่ีเลื่อมใส ลาภสักการะได้เกิดขึ้น ขณะท่ีลาภสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมลง พวกเดียรถีย์ ท้ังหลายจึงได้จา้ งโจรชอื่ สมณกตุ ตด์ ้วยเงิน ๑ พันกหาปณะ ให้ฆา่ พระเถระเสยี ขณะท่พี ักอย่ทู ่ีถ้ากาฬศิลา พระมหาโมคคัลลานะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้ทรง อภญิ ญา เลิศทางมีฤทธมิ์ าก และไดร้ ับการแตง่ ต้ังจากพระพทุ ธเจ้าให้เป็นอคั รสาวกเบื้องซ้าย คู่กับพระสารี บุตร พระอัครสาวกเบ้ืองขวา ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงเป็นกาลังสาคัญในการประกาศศาสนา และปรับวาทะ เหลา่ เดียรถยี ์ท้ังหลาย มหานามะ, เจา้ ศากยะ เจ้ามหานามะ เปน็ พระราชโอรสของเจ้าอมโิ ตทนะ ผู้เป็นอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุง กบลิ พัสดุ์ มีพระเชษฐา และอนุชาร่วมอุทรเดยี วกนั ๓ พระองค์ ประกอบด้วย พระนางโรหิณี เจ้ามหานาม และเจ้าอนุรุทธะ ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ระบุว่า เจ้ามหานามะ บรรลุโสดาบันตั้งแต่ได้มีโอกาสเฝ้า พระพุทธเจ้าครง้ั แรก๙๕๐ เมื่อคร้ังท่ีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีนิโครธาราม เจ้ามหานามะทราบว่าภิกษุสงฆ์ลาบากด้วย อาหารบิณฑบาต จึงได้เข้าไปกราบทูลขอพุทธานุญาตอุปถัมภ์เป็นระยะเวลา ๔ เดือน เมื่อได้รับพุทธานุ ญาตแล้ว ก็จัดแจงกิจที่ควรแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยไม่บกพร่อง และเมื่อครบ กาหนด ก็ได้ขอพุทธานุญาตต่ออีก ๔ เดือน รวมเป็น ๘ เดือน โดยทานองน้ี ทาให้เจ้ามหานามะมีช่ือเสียง ปรากฏท่ัวชมพูทวีป และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าอุบาสก ทัง้ หลายผถู้ วายทานอันประณีต๙๕๑ มหาปชาบดโี คตมี พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งกรุงเทวทหะ พระประยูร ญาตขิ นาพระนามว่า โคตมี เป็นพระกนิษฐภคินีของพระนางมหามายา เมื่อพระนางสิริมหามายาสวรรคต พระนางก็ไดร้ ับสถาปนาจากพระเจ้าสทุ โธทนะใหเ้ ป็นอัครมเหสีสืบต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ เสด็จนิวัตพระนคร โปรดพระเจ้าสุทโธทนะให้ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล ต่อมาเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะได้ บรรลพุ ระอรหันต์ ปรินิพพานเศวตฉัตรแล้ว พระนางปชาบดโี คตมกี ็ดาหรอิ อกผนวช โดยได้ชักชวนบาทปา ริจาริกาของพระกุมาร ๕๐๐ องค์ ออกผนวช เบ้ืองต้น พระศาสดาจะไม่ทรงอนุญาต ทรงตรัสห้ามถึง ๓ ๙๔๙ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๗/๕๘๙. ๙๕๐ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๕๒/๓๙๙. ๙๕๑ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๕๒/๔๐๐.

๒๕๑ ครั้งว่า “อย่าเลยโคตรมี เธออย่าชอบใจการท่ีมาตุคามได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศไว้เลย” ๙๕๒ ต่อมาพระนางได้เรียกช่างกัลบกมา ทรงให้ตัดพระเกสา ทรงครองผ้าย้อมด้วย น้าฝาด ทรงพานางสากิยานีเหล่าน้ันทั้งหมดไปกรุงเวสาลี ขอให้พระอานนท์ช่วยทูลอ้อนวอนพระศาสดา แต่ก็ถูกพระพุทธเจ้าห้ามถึง ๒ คร้ัง ครั้งท่ี ๓ จึงทรงอนุญาต พระนางปชาบดีโคตรมีจึงได้รับการบรรพชา อุปสมบทด้วยครุธรรม ๘ ประการ๙๕๓ ครุธรรม ๘ ประการ ประกอบด้วย (๑) ภิกษุณีถึงจะบวชได้ ๑๐๐ พรรษา ก็ต้องทาการกราบ ไว้ ต้อนรับ ทาอัญชลีกรรม ทาสามีจิกรรมแก่ภิกษุผู้บวชแม้ในวันน้ัน (๒) ห้ามภิกษุณีจาพรรษาในที่ท่ีไม่มี ภิกษุ (๓) ภกิ ษุตอ้ งทาอุโบสถ และรับโอวาทจากภกิ ษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือนตลอดชีวิต (๔) ภิกษุณีจาพรรษาแล้ว ตอ้ งปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย (๕) ภิกษณุ เี มือ่ ต้องครธุ รรมแล้วต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (๖) ผู้ จะบวชภกิ ษุณี ต้องประพฤตสิ ิกขมานา ๒ ปี คร้นั ครบ ๒ ปีแลว้ จะอปุ สมบท ต้องอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (๗) ห้ามภกิ ษณุ ีด่า บริภาษภิกษุไม่ว่ากรณีใด ๆ และ (๘) ห้ามภิกษุณีส่ังสอนภิกษุ แต่ไม่ห้ามภิกษุสั่งสอน ภิกษณุ ี เมื่อพระนางมหาปชาบดีอุปสมบทแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา ได้ฟังธรรม และรับพระ กัมมัฏฐานจากสานักพระศาสดาเท่าน้ัน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ส่วนเหล่าภิกษุณีท่ีอุปสมบทพร้อมพระ นาง ๕๐๐ รปู ท่เี หลอื ไดบ้ รรลพุ ระอรหตั ผลในเวลาพระผูม้ ีพระภาคแสดงนนั ทโกวาทสตู รจบลง๙๕๔ เร่ืองราวเกี่ยวกับพระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายสถาน เฉพาะอย่างย่ิง พระนางเป็นภิกษุณีรูปแรก คณะแรก เมื่ออุปสมบทมาแล้ว จึงมีรายละเอียดที่เป็นข้อวัตร ปฏิบตั ิต่าง ๆ ตามมา ประมวลพอเป็นตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี ในโกสิยวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๙๕๕ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้น ถวายอภิวาทแล้ว ได้ประทับยืน ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่ของนางภิกษุ ทั้งหลายวา่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีความมุ่งม่ันอยู่หรือไม่ พระนางได้กราบทูลตามความเป็นจริงว่า หา เป็นเชน่ นั้นไม่ เพราะนางภกิ ษณุ ที ั้งหลายมกั ถกู ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์ใช้ซกั ย้อม สางขนเจียมอยู่ตลอดเวลา ทาให้ พลาดโอกาสในการต่อการศึกษาและปฏบิ ัติ ต่อมาพระผู้มพี ระภาคได้ยกเรอื่ งนเี้ ป็นเหตุ ตรัสเรียกพระภิกษุ ทั้งหลายประชมุ และบญั ญตั สิ ิกขาบทห้ามใชภ้ กิ ษุณีทไี่ มใ่ ชญ่ าตใิ ห้ซัก ยอ้ ม สางขนเจียม๙๕๖ ในโอวาทวาทวรรค๙๕๗ ภิกษุผู้เป็นพระเถระทั้งหลายได้เข้าไปเยี่ยมพระนางปชาบดีโคตรมี ซ่ึง กาลงั อาพาธหนกั พระนางไดข้ อร้องใหพ้ ระเถระเหลา่ น้นั แสดงธรรม แต่พระเถระเหล่านั้นได้ปฏิเสธ ด้วยมี พระวินัยบญั ญตั ิหา้ มแสดงธรรมแกน่ างภิกษุณีผิดเวลา ในวันต่อมา พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเย่ียมและตรัส ถามถามอาการ พระนางก็กราบทูลถวายรายงาน และปรารภถึงการห้ามแสดงธรรมแก่ภิกษุณีนอกเวลา ทาให้พระนางพลาดโอกาสทจ่ี ะฟังธรรม พระผู้มีพระภาคจงึ ไดท้ รงบัญญตั พิ ระวินัยเพ่ิมเติมโดยยกเว้นกรณี เจ็บไข้ แมไ้ มใ่ ชเ่ วลา ก็อนุญาตใหแ้ สดงธรรมได้๙๕๘ ๙๕๒ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๐๒/๓๑๓. ๙๕๓ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๐๓/๓๑๖. ๙๕๔ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๓๕/๓๕๓. ๙๕๕ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๕๗๖/๑๐๑. ๙๕๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๗๗/๑๐๒. ๙๕๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๕๙/๓๓๑. ๙๕๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๖๐/๓๓๒.

๒๕๒ ในภิกขุณีขันธกะ๙๕๙ ระบุ แต่เดิมยังไม่มีการยกปาติโมกข์ข้ึนแสดงแก่ภิกษุณี ภิกษุท้ังหลายจึง กราบทูลเรื่องนี้ต่อพระพุทธเจ้า พระองค์จึงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุยกปาติโมกข์แสดงแก่ภิกษุณี เมื่อภิกษุ เข้าไปแสดงปาติโมกข์ในสานักภิกษุณี ก็ทาให้เกิดมีเสียงตาหนิติเตียนในเชิงชู้สาวตามมา เป็นเหตุให้ พระพทุ ธเจา้ บญั ญัตหิ ้ามไมใ่ หภ้ กิ ษุยกปาติโมกข์ข้นึ แสดงแก่ภิกษุณี และปรบั อาบัตทิ ุกกฏหากลว่ งละเมดิ ในทกั ขิณาวิภงั คสตู ร๙๖๐ ปรารภพระนางปชาบดีโคตรมีมีพระประสงค์จะถวายผ้าใหม่ท่ีจัดแจง กรอด้าย ทอเองแด่พระพุทธเจ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่ทรงแนะนาให้ถวายแด่สงฆ์ เบื้องต้นพระนางไม่ ยินยอม เพราะมีพระประสงค์ถวายแด่พระพุทธเจ้าเท่าน้ัน พระพุทธเจ้าอาศัยเหตุนี้ จึงจาแนกปาฏิปุคลิก ทาน ๑๔ ประเภท นับต้ังแต่ถวายเจาะจงแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระผปู้ ฏิบัติ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น กระทั่งถึงการให้แก่สัตว์เดรัจฉาน เป็นที่สุด จากน้ันทรงจาแนกการ ถวายทานในสงฆ์ ๗ ประเภท นบั ต้ังแต่ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย มพี ระพุทธเจา้ เป็นประธาน กระทั่งถึงถวายแก่ ภกิ ษณุ ที ่เี จาะจงจากสงฆ์ ทรงประมวลสรุปว่า แม้สงฆ์จะทุศีล มีธรรมเลวทราม ถึงกระน้ัน ทานท่ีถวายใน สงฆ์เชน่ นี้ ก็ยงั มีอานสิ งส์มากกว่าปาฏปิ คุ ลิกทานทงั้ ๑๔ ประเภท ในสังขิตตสตู ร๙๖๑ พระนางปชาบดีโคตรมีได้เขา้ ไปทลู ขอให้พระพุทธเจ้า ขณะทรงประทับอยู่ที่ กฏู าคารศาลา เมอื งเวสาลี แสดงธรรมโดยย่อ และเพียงพอที่พระนางสามารถปลีกอยู่เพียงลาพังได้ พระผู้ มีพระภาคจึงแสดงเกณฑ์การตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ได้แก่ (๑) เป็นไปเพื่อคลายกาหนัด (๒) เป็นไป เพื่อสลัดออก (๓) เปน็ ไปเพ่ือการไมส่ ง่ั สม (๔) เปน็ ไปเพือ่ ความไม่มักมาก (๕) เป็นไปเพื่อความสันโดษ (๖) เป็นไปเพอ่ื ความสลัดออกจากหมู่ (๗) เป็นเพอ่ื ความไม่เกยี จครา้ น (๘) เปน็ เพอื่ ความเปน็ คนเล้ยี งงา่ ย พระนางมหาปชาบดโี คตรมี ได้รบั การยกยอ่ งจากพระพุทธเจ้าว่าเลิศกว่าภิกษุณีท้ังหลายเป็นผู้ รตั ตญั ญู๙๖๒ ตามความปรารถนาที่นางได้เคยปรารถนาเอาไว้เม่ือครงั้ พระพทุ ธเจ้าพระนามว่าปทุมตุ ตระ๙๖๓ หลักฐานในคัมภีร์อปทานระบุว่า พระนางปชาบดีโคตมีเข้าสู่นิพพานก่อนพระศาสดา ขณะ พระนางมีพระชนมายุ ๑๒๐ ปี ก่อนนิพพาน พระนางได้เข้าไปกราบทูลลา โดยมีพระดารัสตอบว่า “โคตร มผี ปู้ ระดับด้วยคุณ ชอื่ ว่านิพพานก็สมควรแก่เธอ จะมีโทษอะไร เมื่อเธอบอกว่าจะลานิพพาน ตถาถคตจัก ไปว่าอะไรเธอให้มากเล่า” ๙๖๔ การลานิพพานของพระนาง ทาให้พระอานนท์ถึงกับหลั่งน้าตา พร้อมกับ เปล่งคาถาว่า “พระโคตมเี ถรีตรสั อยู่หลัด ๆ กจ็ ะเสดจ็ นพิ พาน คงอีกไม่นานเลย แม้พระพุทธเจ้าก็จะเสด็จ ดับขันธปรินิพพานเหมอื นไฟหมดเชื้อแล้ว”๙๖๕ ในคัมภีร์ระบุไว้อีกว่า เมื่อได้ทาลายสรีระสังขารของพระนางแล้ว พระอานนท์ได้นาอัฐิพระ นางใส่บาตร น้อมถวายพระพุทธเจ้า พระองค์รับมาแล้วก็ตรัสว่า “ต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้น ถึงจะมีลาต้น ใหญ่ ก็พึงหกั ทาลายได้ เพราะความไม่เทีย่ ง อานนทพ์ ทุ ธมารดาปรินิพพานแล้ว เหลือเพียงสรีรธาตุ เธอไม่ ควรเศรา้ โศกคร่าครวญ คนอ่นื ๆ กไ็ ม่ควรเศรา้ โศกถงึ พระนางผ้ขู ้ามห้วงนา้ คือสังสารวฏั ไปแลว้ ” ๙๕๙ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๐๗/๓๒๔. ๙๖๐ ม.อปุ ริ.(ไทย) ๑๔/๓๗๖/๔๒๔. ๙๖๑ องฺ.อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๕๓/๓๓๘. ๙๖๒ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๓๕/๓๐. ๙๖๓ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๓๕/๓๕๓. ๙๖๔ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๔๖/๔๐๖. ๙๖๕ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๖๑/๔๐๘.

๒๕๓ มหาวรี ะ มหาวีระ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นคาร้องเรียกพระนามของพระพุทธเจ้า มีปรากฏอยู่ทั่วไป ที่พบส่วนใหญ่มีทั้งแทนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเป็นคาร้องเรียก พระพุทธเจ้าในอดีต ดังตัวอย่าง ตอ่ ไปน้ี “วตั รในเสนาสนะ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นพระมหาวีระทรงบัญญัติไว้แล้ว”๙๖๖ “พระมหาวี ระทรงบัญญตั ปิ าราชกิ ซงึ่ เปน็ มูลเหตุแหง่ การขาดอยา่ งไม่ต้องสงสัย”๙๖๗ “พระตถาคตทั้งหลายผู้เป็นมหาวี ระ บรรลุทศพลญาณ ข้ามตัณหาอันเป็นเหตุซ่านไปในโลกได้แล้ว จึงกล้าบันลือในท่ามกลางบริษัท”๙๖๘ “พระมหาวีระผู้ถึงซึ่งฝ่ังธรรมท้ังปวงแล้ว ได้ทรงพร่าสอนสอน”๙๖๙ “พระมหาวีระพระนามว่าโกนาคมนะ ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก เป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ มฤคทายวัน” ๙๗๐ “พระมหาวีระพระนามว่ากัสสปะ ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก ผู้สูงสุดแห่งนรชน ผู้อันพรหม ทลู อาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรทม่ี ฤคทายวัน”๙๗๑ อน่ึง เป็นท่ีน่าสังเกตว่า คาว่า มหาวีระ เป็นพระนามเรียกศาสดาของศาสนาเชนด้วย แต่ใน คัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาไม่ใช้คานี้ จะเล่ียงไปใช้คาเรียกศาสดาของศาสนเชนว่า นิครนถ์ นาฏบตุ ร ไม่ใช้คาวา่ พระมหาวีระ เหมอื นทีน่ ยิ มใชอ้ ยู่ในปัจจุบัน มหาสวี ะ,พระ พระมหาสีวะ ปรากฏช่ือในคัมภีร์ปริวารแห่งพระวินัยปิฎก ๓ คร้ัง ระบุเป็นมหาธรรมกถึก ฉลาดในพระไตรปิฎกท้ังหมด๙๗๒ เป็นหน่ึงในพระเถระท่ีทรงจาพระวินัยสืบกันมาในเกาะตามพปัณณิ ข้อความแบบเดยี วกนั ท้งั ๓ แหง่ มาคัณฑิยะ,ปรพิ าชก มาคันฑิยปริพาชก ปรากฏในมาคัณฑิยสูตร๙๗๓ ความระบุถึงมาคันฑิยปริพาชกเดินเล่น และ เข้าไปที่โรงบชู าไฟของพราหมณภ์ ารทวาชโคตร ได้เหน็ เคร่อื งลาดทาด้วยหญ้า จึงเกิดความสงสัยว่าคงจะมี สมณะมาพัก ซึ่งก็เป็นดังนั้น เพราะวันนั้นพระผู้มีพระภาคได้เข้ามาขอพักท่ีโรงบูชาไฟของพราหมณ์ภาร ทวาชโคตรพอดี มาคณั ฑยิ ปรพิ าชกเมอื่ ทราบว่าพระผูม้ พี ระภาคมาประทบั อย่ทู โ่ี รงไฟ ก็กล่าวกับพราหมณ์ภาร ทวาชโคตรว่า ได้เห็นท่ีนอนของท่านพระโคดมผู้ทาลายความเจริญ นับว่าได้เห็นส่ิงที่ไม่เป็นมงคล พราหมณ์ภารทวาชโคตรได้ยินเช่นน้ันจึงกล่าวเตือน และขอให้จาคาพูดของตัวเองไว้ให้ดี แต่มาคัณฑิย ปริพาชกหาสะทกสะท้านไม่ และแสดงความปรารถนาอยากจะพบพระพุทธเจ้าเพ่ือยืนยันวาทะท่ีตนเอง กลา่ วไปแล้วนั้นต่อหนา้ พระพกั ตร์ ๙๖๖ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๘๒/๒๗๓. ๙๖๗ วิ.ปร.ิ (ไทย) ๘/๒๐๕/๒๐๘. ๙๖๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๔๘/๑๘๘. ๙๖๙ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๖๖/๓๒๗. ๙๗๐ ข.ุ พทุ ฺธ.(ไทย) ๓๓/๒๑/๗๑๐. ๙๗๑ ข.ุ พทุ ฺธ.(ไทย) ๓๓/๓๗/๗๑๖. ๙๗๒ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓/๖. ๙๗๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๐๗/๒๔๕.

๒๕๔ พระผ้มู ีพระภาคไดส้ ดับคาสนทนาดว้ ยโสตะอันเป็นทิพย์ จงึ ได้เสด็จออกจากที่เร้นเข้าไปยังโรง ไฟ และตรัสถามว่าไดเ้ จรจาโต้ตอบกนั อย่างไรบา้ ง ทาให้พราหมณ์ภารทวาชโคตรถงึ กับตะลึงขนลุก เพราะ ไม่นึกวา่ พระพุทธเจา้ จะตรัสถามเรอื่ งทต่ี นได้สนทนากับมาคณั ฑยิ ปริพาชก แต่ก็ได้กราบทูลตามความเป็น จรงิ ทุกประการ มาคัณฑิยปริพาชก เม่ืออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ก็ได้ยืนยันความเห็นของตนต่อว่า พระพุทธเจ้า เปน็ ผูท้ าลายความเจริญ ต่อทัศนะดังกล่าวนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสยอมรับ แต่ก็ทรงอธิบายเพ่ิมเติมว่า ความเจริญ ด้วยกามคุณ ๕ ท้ังหลาย ไม่ว่าจะเป็นกามคุณที่เป็นของมนุษย์ และกามคุณที่เป็นของทิพย์ พระองค์ได้ ทาลายหมด ทรงสลัดกามท้ังหลายได้แล้ว ถึงอมตธรรมอันเป็นแดนเกษม ถึงความเป็นผู้ไม่มีโรคคือทุกข์ ทงั้ หลายเสยี ดแทง เขา้ ถึงพระนพิ พานอันเป็นบรมสุข ภายหลงั ต่อมา เมอื่ พระผู้มีพระภาคแสดงโทษของกามทั้งหลาย มาคัณฑิยปริพาชก เกิดความ เลื่อมใส ได้แสดงตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย และได้ขอบรรพชาอุปสมบทในสานักของพระผู้มีพระภาค โดย เบ้ืองต้น ทรงให้อยู่ปริวาส ๔ เดือน หลังจากครบ ๔ เดือนแล้ว จึงให้การอุปสมบท คร้ันอุปสมบทแล้วไม่ นาน ไม่ประมาท มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายและใจอยู่ กไ็ ด้บรรลุพระอรหนั ต์ มาคณั ฑิยา,นาง นางมาคันฑยิ า เปน็ มเหสีองค์หนง่ึ ของพระเจา้ อุเทน พระนางเปน็ ชาวแคว้นกรุ ุ พระเจ้าอุเทน ทรงมีพระมเหสี ๓ พระองค์ ประกอบด้วย พระนางสามาวดี ซ่ึงเป็นบิดาบุญ ธรรมของโฆสกเศรษฐี, พระนางวาสุลทตั ตา ซง่ึ เป็นพระธิดาของพระเจ้าจัณฑปชั โชต, และพระนางมาคันทิ ยา ซ่งึ เปน็ ธิดาของมาคนั ทยิ พราหมณ์ ประวตั ินางมาคันทยิ าระบไุ วใ้ นอรรถกถาธรรมบท๙๗๔ ว่า นางเป็นธิดาของพราหมณ์ชื่อมาคันทิ ยะ ในแคว้นกุรุ มารดา อา ก็ชื่อมาคันทิยาเหมือนกัน นางเป็นคนมีรูปงามเปรียบเหมือนเทพอักษร พราหมณ์ไม่ยอมยกลูกสาวให้ใครๆ ด้วยคิดว่า ยังไม่มีตระกูลใดท่ีคู่ควรกับบุตรสาวของตน วันหน่ึงไปเห็น พระพุทธเจ้า ได้ตรวจดูลักษณะต่าง ๆ แล้ว เห็นว่ามีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการ จึงได้เข้าไปหาบอก วา่ อย่าเพิ่งไปไหน จะยกลูกสาวให้ สว่ นตนเองก็กลับมาเรอื น เรียกหาภรรยา ถามหาลูกสาว จากน้ันก็พา ไปหาพระพทุ ธเจา้ ยังทีท่ ีน่ ดั แนะเอาไว้ พราหมณ์ นางพราหมณี และบุตรสาวมาถึงที่นัดหมาย ได้เห็นแต่รอยพระบาทที่ทรงประทับ เอาไว้ นางพราหมณีได้ตรวจดูรอยพระบาทก็เห็นว่า นี่ไม่ใช่รอยเท้าของคนมีกิเลส จึงได้บอกพราหมณ์ผู้ เป็นสามี พราหมณ์ผู้เป็นสามีบอกให้นางเงียบไว้ จากนั้นก็เดินตามหา พบพระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีร่มไม้ อีกแห่งหนึ่ง จึงได้ตรงเข้าไปหา พร้อมกับเสนอยกลูกสาวให้ ก่อนท่ีจะตอบรับใด ๆ พระพุทธเจ้าขอตรัส กับพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์กไ็ มข่ ดั ขอ้ ง พระพทุ ธเจ้าได้ตรัสกับพราหมณ์ว่า พระองค์ถูกมารติดตามตั้งแต่ประทับน่ังบาเพ็ญเพียรอยู่ท่ี ต้นอชปาลนิโครธ กา้ วข้ามพน้ ธิดามารโดยส้ินเชงิ แลว้ มไิ ดม้ ีความพอใจในเมถุน เพราะเห็นนางตัณหา นาง อรดี และนางราคา ไฉนเล่าจักมีความพอใจเพราะเห็นธิดาของพราหมณ์ ซึ่งเต็มไปด้วยของไม่สะอาด พระองคไ์ มป่ รารถนาจะถกู ต้องธิดาของพราหมณ์แม้ดว้ ยเท้า ๙๗๔ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๒๖๙.

๒๕๕ นางมาคนั ทยิ า ได้ฟังพระดารัสของพระพทุ ธเจ้าเช่นนั้น ก็ผูกอาฆาต เจ็บแค้นใจว่า ไม่ต้องการ กไ็ มเ่ ห็นจาเปน็ ต้องพูดเหยียดหยามขนาดนั้น ตนมีรูปสมบัติขนาดนี้ ภายภาคหน้า หากได้สามีที่ถึงพร้อม ด้วยชาติ ยศ ตระกูลแลว้ คงจะได้เห็นดกี นั คัมภีร์ระบุไว้ว่า พราหมณ์และนางพราหมณีผู้เป็นบิดา-มารดาของนางมาคันทิยา ได้ฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใส มอบนางมาคันทิยาให้กับน้องชายดูแล ส่วนตนเองได้ขอบวช ต่อมาก็ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ส่วนนางมาคันทิยา ต่อมาได้ถูกนาไปถวายตัวแด่พระเจ้าอุเทน ซ่ึงก็เป็นท่ีโปรด ปรานมาก นางจงึ ไดร้ ับการสถาปนาไวใ้ นตาแหนง่ อัครมเหสี นางมาคันทิยาเมื่อได้มาอยู่ในวังเดียวกันกับนางสามาวดีซึ่งเป็นพุทธสาวิกา เม่ือทาอะไร พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ด้ ก็คอยหาโอกาสเล่นงานนางสามาวดี เริ่มตั้งแต่ใส่ร้ายว่านางสามาวดีมีชู้ ต่อมาก็จ้างคน ไปด่าพระพุทธเจ้าเวลาบณิ ฑบาต ถดั มาก็ใสค่ วามเรอ่ื งไก่ ตอ่ มาอีกใ็ สค่ วามเร่ืองปล่อยงู ครั้งหลังสุดนี้ได้ทา ให้พระเจ้าอุเทนกริ้วมาก ถึงกับรับสั่งให้ประหารชีวิตนางสาวมาวดี อย่างไรก็ตาม ด้วยเมตตาจิต ลูกธนูที่ เพชฌฆาตปล่อยออกไป กลับเด้งกลับมาเกือบจะถูกพระราชา ทาให้พระองค์ตกพระทัย และก็ทบทวน เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน ในที่สุดก็ทรงทราบความจริง จึงทรงขอให้พระนางสามาวดีอดโทษ พร้อมทั้งประทาน พรพิเศษให้ เม่ือนางสามาวดีพ้นโทษแล้ว นางก็ขอพร โดยการทูลขอพระราชานุญาตนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุท้ังหลายมาฉันในพระราชวัง ซ่ึงก็ทรงได้รับอนุญาต ทาให้ความอาฆาตแค้นได้ย้อนกลับไป นางมาคนั ทิยาอีกเทา่ ตวั เพราะเหตนุ ้ี นางมาคันทิยาเม่ือเห็นว่าแผนการท้ังหมดท่ีตนทามาตั้งแต่ต้นล้มเหลว ก็วางแผนใหม่ คราวน้ี ถึงกับวางเพลิงเรอื นท่ีนางสามาวดีอยู่ โดยให้คนแอบดาเนินการขณะทีค่ นบนเรอื นทงั้ หมดกาลังหลับ คร้ังน้ี งานสาเรจ็ นางสามาวดพี ร้อมด้วยบริวารตายในกองเพลิงสมควรแค้น ข่าวไฟไหม้ตาหนักนางสามาวดีแพร่ สะพัดไปท้งั เมอื งในไมก่ พี่ ริบตา แมภ้ ิกษุท้งั หลายในวดั กจ็ บั กลุ่มคุยกนั ว่า นางสามาวดีตายอย่างนี้ไม่สมควร เลย ฝ่ายพระเจ้าอเุ ทน เม่อื ทราบเร่อื งกท็ รงเศร้าโศกมาก ทรงทบทวนไปมาเพ่ือหาผู้ก่อการ ก็ได้แต่ สงสยั นางมาคันทยิ า จึงได้วางแผนลวง เพื่อทดสอบความจริง สุดท้ายก็เป็นจริงอย่างท่ีพระองค์ดาหริไว้แต่ ต้น นางมาคันทิยาจึงถูกลงโทษประหารพร้อมด้วยหมู่ญาติ และถือเป็นการลงโทษท่ีน่าอนาถใจที่สุด กล่าวคือ ทรงรับส่ังให้ขุดหลุมฝังคร่ึงตัว จากน้ันเอาฟางเกลี่ยไว้เบ้ืองบน แล้วจุดไฟเผา เม่ือทุกคนถูกไฟ ครอกตายหมดแล้ว ก็รับสั่งให้เอาไถเหล็กไถให้เป็นช้ินๆ เท่าน้ันยังไม่พอ ยังรับส่ังให้เชือดช้ินเน้ือจากร่าง นางมาคนั ทิยามาทอดแล้วเสวย ชีวติ ของนางมาคันทยิ าจบลงด้วยผลกรรมชว่ั ที่ทาเอาไวส้ นองผล ขณะที่นางสามาวดี แม้ชาติน้ี จะสร้างแต่คุณงามความดี แต่ด้วยผลกรรมร้ายแรงที่ทาไว้ในอดีต พระนางก็ถูกใส่ร้ายหลายต่อหลายครั้ง และสุดท้ายกจ็ บชีวติ บนกองเพลิงอยา่ งน่าสะพรึงกลัว มานทินนะ,คหบดี นายมานทินนะ ปรากฏในมาทินนสูตร สังยุตตนิกาย มหาวรรค๙๗๕ ความว่า มาทินนคหบดี ป่วย ได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก ได้เรียกบุรุษคนหน่ึงมาส่ังให้ไปหาพระอานนท์ พร้อมกับเรียนอาการให้ ท่านทราบ พระอานนท์ทราบข่าว จงึ ได้เข้าไปหา พร้อมท้ังสอบถามอาการ ๙๗๕ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๙๖/๒๕๔.

๒๕๖ มาทินนคหบดี ได้เล่าอาการถวายพระอานนท์ตามความเป็นจริง พร้อมทั้งบอกว่า แม้ตนจะมี อาการหนักขนาดนี้ ก็ยังมีสติ เจริญพระกัมมัฏฐาน พิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ละโอรัมภาคิย สงั โยชน์ ๕ ประการไดแ้ ลว้ ความในพระสตู รมีเพยี งเท่าน้ี มานตั ถทั ธะ, พราหมณ์ มานัตถัทธพราหมณ์ ปรากฏในมานัตถัตธสูตรสังยุตตนิกาย๙๗๖ ความระบุว่า มานัตถัทธ พราหมณ์ อาศยั อยู่ท่ีเมืองสาวัตถี เป็นกระด้างกระเดื่อง ถือตัว แม้แต่บิดามารดา อาจารย์ พี่ชาย เขาก็ไม่ แสดงความเคารพ ไมไ่ หว้ หนึง่ หน่ึงมานตั ถัทธพราหมณเ์ ห็นพระพุทธเจ้ากาลังแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทก็มีความคิด จะเขา้ เฝ้า แต่ก็ยังตั้งใจว่าถ้าพระพุทธเจ้าทรงทักทาย ท่านก็จะทักทายตอบ ถ้าไม่ทรงทักทาย ตนเองก็จะ ไมท่ กั ทายตอบเหมือนกัน เม่ือไปถึง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงทักทาย ทาให้พราหมณ์เตรียมหันกลับ ด้วยคิด วา่ พระพทุ ธเจ้าไม่รู้เรื่องอะไร พระผมู้ พี ระภาคทราบความคดิ เขา ก็ตรัสขึ้นว่า “พราหมณ์ ในโลกนี้ ใครท่ียังมีมานะ ไม่ดีเลย บุคคลมาด้วยประโยชน์ใด พึงเพ่ิมพูนประโยชน์น้ันไว้” พราหมณ์ได้ยินเข้าก็ทราบว่า พระพุทธเจ้าทราบ วาระจิตของตน จึงได้หมอบกราบ และจุมพิตพระบาท พร้อมท้ังประกาศชื่อของตน ทาให้เป็นท่ีอัศจรรย์ ของบริษทั เพราะทราบว่า พราหมณ์ผนู้ ้ีกระด้างกระเด่อื ง ไมไ่ หว้แม้แต่บิดามารดาของตน แต่พระพุทธเจ้า ทาใหล้ ะมานะดังกล่าวน้นั ได้ ต่อมาพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรดมานัตถัทธพราหมณ์ให้ละมานะถือตัว และมีความ เคารพยาเกรงในบิดามารดา ครูอาจารย์ และสุดท้าย พราหมณ์ก็แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิตต้ังแต่บดั นั้น มาลงุ กยบตุ ร, พระ พระมาลุงกยบตุ ร ปรากฏในจูฬมาลุงกยสตู ร๙๗๗ เนอื้ ความระบุถงึ พระมาลุงกยบตุ รได้กราบทูล ถามอัพยากตปญั หากับพระผู้มพี ระภาคเจ้า แต่กไ็ ม่ได้รบั คาตอบ จึงคดิ ว่า คร้ังนี้ถ้าไมท่ รงตอบอีกกจ็ ะลา สิกขา จงึ ไดเ้ ข้าเฝา้ อีกคร้ัง พร้อมท้ังแสดงเจตนารมณใ์ ห้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสย้อนถามพระมาลุงกยบุตรไปว่า พระองค์ได้เคยรับรองไว้ท่ีไหนว่า ถ้า มาลุงกยบุตรมาบวชแล้ว จะทรงแสดงอัพยากตปัญหาให้ฟัง หรือมาลุงยกบุตรเคยพูดไว้ท่ีไหนว่า จะ ประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าพระผู้มีพระภาคจักตรัสตอบปัญหา เช่นน้ีแล้ว จะมาทวงอะไรกับใครเล่า จากนั้น ได้ทรงแสดงเหตุของการไม่ตรัสอัพยากตปัญหาว่า เป็นเพราะไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพ่ือเบื่อหน่าย คลายกาหนด เพื่อดับ เพ่ือสงบระงับ เพื่อรู้ย่ิง เพื่อตรัสรู้ และเพ่ือ นพิ พาน๙๗๘ ๙๗๖ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๐๑/๒๙๑. ๙๗๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๒๒/๑๓๓. ๙๗๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๕๒/๑๔๑.

๒๕๗ ในมหาลุงกยสูตร๙๗๙ ความระบุถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามมาลุงกยบุตรว่า จาท่ีเคยทรง แสดงเรือ่ งโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ประการได้หรือไม่ พระมาลุงยกบุตรได้กราบทูลว่า จาได้ จากน้ันก็กราบ ทลู รายละเอียดของโอรัมภาคิยสังโยชน์ นบั ตั้งแตว่ จิ กิ ิจฉา สลี พั พตปรามาส กามฉนั ทะ พยาบาท เมื่อพระมาลุงยกบุตรกราบทูลเช่นนั้น ก็ทรงตรัสเตือนว่า ถ้าทรงตรัสเพียงเท่าน้ี พวกอัญ เดียรถีย์ก็หักล้างได้ว่า เด็กเกิดใหม่ ยังไม่รู้เดียงสาก็ไม่มีวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ และ พยาบาทเหมือนกัน พระอานนท์ได้ยินเช่นนี้ จึงได้กราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคตรัสโอรัมภาคิยสังโยชน์ โดยละเอยี ดอีกครั้ง จากนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงโอรัมภาคิยสังโยชน์ พร้อมท้ังข้อปฏิบัติเพื่อการ ละโดยละเอยี ด จบพระธรรมเทศนา พระมาลงุ กยบตุ รได้สาเรจ็ เป็นพระอรหันต์ มายาเทวี,พระนาง พระนางมายาเทวี เป็นพระพุทธมารดา ดังปรากฏในมหาปทานสูตร๙๘๐ ว่า “บัดนี้ เรามีพระ เจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดา พระนางมายาเทวีเปน็ พระมารดาผู้ให้กาเนิด” ในพุทธวงศ์ก็ระบุว่า “พระเจ้าสุ ทโธทนะเป็นพระบดิ าของเรา พระมารดาบังเกดิ เกลา้ ของเรา ชาวโลกเรยี กพระนามวา่ มายาเทวี” ๙๘๑ พระนางมายาเทวี เดมิ เป็นพระธิดาในพระเจ้าอัญชนะแห่งโกลิยวงศ์ มีพระเชษฐา ๒ พระองค์ คอื พระเจา้ สปุ ปพุทธะ และพระเจ้าทัณฑปาณิ มีพระขนิษฐา ๑ พระองค์ คือ พระนางมหาปชาบดีโคตรมี พระชนกและพระชนนเี ป็นเครือญาตกิ นั สบื เชือ้ สายมาจากพระเจา้ โอกกากราช พระนางมายาเทวี หลังจากประสูติพระโพธิสัตว์ได้ ๗ วัน ก็สวรรคต ดังปรากฏหลักฐานใน คัมภีร์อุทานว่า “จริงอย่างนั้น อานนท์ จริงอย่างน้ัน อานนท์ มารดาพระโพธิสัตว์มีอายุน้อย เมื่อพระ โพธสิ ัตวป์ ระสูติได้ ๗ วนั มารดาก็สวรรคตไปเกิดยงั หมู่เทพช้นั ดสุ ิต” ๙๘๒ มิคชาละ,พระ พระมิคชาละ ปรากฏในปฐมมคิ ชาลสตู ร๙๘๓ ทุติยมิคชาลสตู ร๙๘๔ ความระบุว่า พระมิคชาละได้ เข้าไปทูลถามปัญหาประเด็นที่ทรงตรัสว่า “มีปกติอยู่ผู้เดียว” กับ “มีปกติอยู่กับเพื่อน” มีความหมายว่า อยา่ งไร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ผู้ยังมคี วามเพลิดเพลิน เชยชม ยึดติดในรูปารมณ์ สัททารมณ์ เป็นต้น ช่ือ ว่า “มีปกติอยู่กับเพ่ือน” ส่วนผู้ท่ีละความเพลิดเพลิน เชยชม ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ ธรรมารมณ์ไดแ้ ล้ว ชอ่ื วา่ “มปี กตอิ ยผู่ เู้ ดยี ว” จากบทนยิ ามดังกล่าว ภกิ ษทุ ้ังหลาย แม้จะมปี กตอิ ยู่ในที่หลีกเร้น อยู่ในท่ีปราศจากการสัญจร ไปมาของผู้ ถึงกระน้ัน ก็ยังเรียกว่า “มีปกติอยู่กับเพื่อน” หากสภาวะจิตยังมีความเพลิดเพลิน ยึดติดใน อารมณ์ตา่ ง ๆ อยู่ สว่ นในพระสตู รที่ ๒ ระบุพระมิคชาละ ได้เข้าไปกราบทูลขอคาชี้แนะเพ่ือเป็นแนวทาง ก่อนท่ี ตนจะหลีกออกจากหมู่เพื่อบาเพ็ญสมณธรรมเพียงลาพัง พระผู้มีพระภาคได้ทรงแนะนาให้สารวม ๙๗๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๕๓/๑๔๒. ๙๘๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๖. ๙๘๑ ขุ.พุทฺธ.(ไทย) ๓๓/๑๓/๗๑๙. ๙๘๒ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๒/๒๕๔. ๙๘๓ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๓/๕๓. ๙๘๔ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๔/๕๕.

๒๕๘ ระมัดระวังไม่เกิดความเพลิดเพลินยินดี ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อันน่าใคร่ น่า ชอบใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กาหนดั เพราะน่นั เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ ทุกข์ท้ังปวง มคิ สาลา, อุบาสิกา มิคสาลาอบุ าสกิ า เปน็ บุตรสาวของปรุ าณะ ปรากฏในมคิ สาลาสูตร๙๘๕ ความระบุว่า นางมิคสา ลาอุบาสิกา ได้เข้าไปถามปัญหากะพระอานนท์ ประเด็นเรื่องคติของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ และไม่ได้ ประพฤตพิ รหมจรรย์ท่พี ระผู้มีพระภาคตรสั วา่ มีคติเสมอกัน จะรู้ได้อย่างไร โดยนางได้ยกตัวอย่างบิดาของ นางเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ งดเว้นจากเมถุนธรรม ตายแล้วได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า ได้ ไปบังเกิดในหมู่เทพชั้นดุสิต ขณะท่ีนายอิสิทัตตะ เพ่ือนของพ่อ ไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ถือสทาร สันโดษ ตายไปแล้ว พระพทุ ธเจ้ากย็ ังพยากรณว์ า่ ได้บังเกิดในชั้นดุสิต พระอานนท์ได้ยืนยันว่าพระพุทธเจ้า ตรัสอย่างน้ันจริง แต่หลังจากวนั นั้นไปท่านก็ได้กราบทลู ประเดน็ ดังกล่าวใหพ้ ระผู้มพี ระภาคเจา้ ทรงทราบ พระผ้มู ีพระภาคไดส้ ดับอยา่ งนัน้ กต็ รสั ตอบว่า มิคาลสาลาอบุ าสิกาพดู อย่างนั้นก็เพราะยังไม่มี ญาณเครื่องกาหนดรู้อนิ ทรีย์ของแตล่ ะบคุ คล แต่พระองคแ์ มจ้ ะเคยตรัสอย่างนั้น ก็ตรัสโดยอาศัยญาณเป็น เคร่ืองกาหนดรู้อินทรีย์ จึงได้จาแนกให้เห็นความแตกต่างของคติของแต่ละบุคคลได้ เช่น บางคนไม่ได้ทา กิจด้วยการฟัง ไม่ทากิจด้วยความเป็นพหุสูต ไม่ได้แทงตลอดดีด้วยทิฏฐิ ไม่ได้วิมุตตตามเวลาอันสมควร บางคนเป็นผู้มักโกรธ ถือตัว มีโลภธรรมเกิดขึ้น เป็นต้น อน่ึง ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตทรงจาแนก บคุ คล ๖ ประเภท ขณะทใ่ี นอังคตุ ตรนิกาย ทสกนิบาต๙๘๖ ทรงจาแนกบคุ คล ๑๐ ประเภท มิคารมาตา, วิสาขามหาอุบาสกิ า มิคารมาตา เปน็ ช่อื หนงึ่ ทีใ่ ช้เรยี กยกย่องนางวิสาขา ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเมื่อเอยช่ือนาง มัก ระบชุ ่อื ว่า นางวิสาขามิคารมาตา อรรถกถาธรรมบท๙๘๗ ระบุว่า วิสาขามิคารมาตา เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองภัททิยะ แคว้น อังคะ บิดาช่ือว่า ธนญชัย มารดาช่ือว่าสุมนาเทวี และปู่ชื่อเมณฑกเศรษฐี พระผู้มีพระภาคได้มองเห็น อุปนิสัยแหง่ โสดาปตั ตผิ ลตัง้ แตน่ างยังมอี ายุ ๗ ขวบ จึงได้เสดจ็ ไปโปรดถงึ บา้ นของนาง เม่ือเมณฑกเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จานวนมากกาลัง เสด็จมาสู่เมืองภัททิยะ จึงได้มอบหมายให้วิสาขาพร้อมด้วยบริวาร ออกไปทาการรับเสด็จที่นอกเมือง ขณะท่ีพระพุทธองค์ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่น้ัน วิสาขาพร้อมด้วยบริวาร เข้าไปเฝ้ากราบถวาย บังคมแล้วน่ัง ณ ท่ีอันสมควร พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้พวกเธอฟัง เมื่อจบลงก็ได้บรรลุ เปน็ พระโสดาบันดว้ ยกันทง้ั หมด๙๘๘ ส่วนเมณฑกเศรษฐี เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาถึงแล้วจึงรีบเข้าไปเฝ้าได้ฟังพระธรรม เทศนาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน แล้วกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์ที่ติดตามเสด็จท้ังหมดเข้าไปรับอาหารบิณฑบาต ณ ที่บ้านของตนตลอดระยะเวลา ๑๕ วันท่ี ประทบั อยทู่ ี่ภทั ทยิ นครนัน้ ๙๘๕ อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๔๔/๕๐๒. ๙๘๖ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๗๕/๑๖๓. ๙๘๗ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๖๐-๓๙๑. ๙๘๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๖๑.

๒๕๙ สมัยน้ัน พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งเมืองสาวัตถี และพระเจ้าพิมพิสารแห่งเมืองราชคฤห์ มี ความเกี่ยวขอ้ งกันโดยต่างก็ได้เป็นพระภัสดาของพระภคินีกันและกันมาเป็นมเหสี แต่เน่ืองจากในเมืองสา วัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศลน้ัน ไม่มีเศรษฐีตระกูลใหญ่ ๆ ผู้มีทรัพย์สมบัติมากเลย และได้ ทราบว่าในเมืองราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสารน้ัน มีเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัตินับไม่ถ้วนอยู่ถึง ๕ คน พระ เจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จมายังเมืองราชคฤห์ และเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารเพื่อขอพระราชทานตระกูล เศรษฐีในเมอื งราชคฤหน์ ้ไี ปอยู่ในเมืองสาวตั ถสี ักหนึ่งตระกลู พระเจ้าพิมพิสารได้สดับแล้วตรัสตอบว่า “การโยกย้ายตระกูลใหญ่ ๆ เพียงหน่ึงตระกูลก็ เหมือนกับแผ่นดินทรุด” แต่เพื่อรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันไว้หลังจากท่ีได้ปรึกษากับอามาตย์ทั้ง หลายแลว้ เห็นพ้องต้องกนั ว่าสมควรยกตระกูลธนญชัยเศรษฐี ใหไ้ ปอยู่เมืองสาวตั ถี ธนญชัยเศรษฐีได้ขนย้ายทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งบริวารและสัตว์เล้ียงท้ังหลายเดินทางสู่ พระนครสาวัตถีพร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล และเมื่อเดินทางเข้าเขตแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้ว ขณะท่ีพักค้างแรมระหว่างทางก่อนเข้าเมืองธนญชัยเศรษฐีเห็นว่าภูมิประเทศบริเวณที่พักนั้นเป็น ชยั ภมู เิ หมาะสมดี อกี ท้ังตนเองกม็ บี รวิ ารติดตามมาเป็นจานวนมาก ถ้าไปตั้งบ้านเรือนภายในเมืองก็จะคับ แคบ จึงขออนุญาตพระเจา้ ปเสนทโิ กศลก่อตง้ั บา้ นเมอื งลง ณ ที่นั้น และได้ช่ือเมืองใหม่นี้ว่า “สาเกต” ซ่ึง อยหู่ ่างจากเมืองสาวัตถี ๗ โยชน์๙๘๙ ในเมืองสาวัตถีน้ัน มีเศรษฐีตระกูลหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในช่ือว่า มิคารเศรษฐี มีบุตรชายชื่อ ปุณณวัฒนกุมาร เมื่อเจริญวัยสมควรท่ีจะมีภรรยาได้แล้ว บิดามารดาขอให้เขาแต่งงานเพ่ือสืบ ทอดวงศ์ตระกูล แต่เขาเองไม่มีความประสงค์จะแต่งเม่ือบิดามารดารบเร้ามากขึ้น เขาจึงหาอุบาย เล่ียงโดยบอกแก่บิดามารดาว่า ถ้าได้หญิงที่มีความงามครบทั้ง ๕ อย่าง (ผมงาม เน้ืองาม กระดูกงาม ผิว งาม และวัยงาม) ซ่งึ เรยี กว่า เบญจกัลยาณี แล้วจงึ จะยอมแตง่ งาน บิดามารดาเม่ือได้ฟังแล้วจึงให้เชิญพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอิตถีลักษณะมาถามว่า หญิงผู้มีความงามดังกล่าวนี้มีหรือไม่ เมื่อพวกพราหมณ์ตอบว่ามี จึงส่งพราหมณ์เหล่าน้ันออก เทย่ี วแสวงหาตามเมืองตา่ ง ๆ พรอ้ มทงั้ มอบพวงมาลัยและเครอื่ งทองหม้ันไปด้วย พวกพราหมณ์เท่ียวแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ ท้ังเมืองเล็กเมืองใหญ่ จนมาถึงเมือง สาเกต ได้พบนางวิสาขามีลักษณะภายนอกถูกต้องตามตาราอิตถี ลักษณะครบทุกประการ ขณะ ท่ีนางพร้อมทั้งหญิงบริวารออกมาเที่ยวเล่นน้ากันที่ท่าน้า ขณะนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก หญิง บริวารทั้งหลายพากันว่ิงหลบหนีฝนเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขายังคงเดินด้วยอาการปกติ ทา ให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายรู้สึกแปลกใจประกอบกับต้องการจะเห็นลักษณะฟันของนางด้วยจึง ถามนางว่า “ทาไม เธอจึงไม่วิ่งหลบหนีฝนเหมือนกับหญิงอื่น ๆ” นางวิสาขาตอบว่า ชน ๔ พวก เมื่อว่ิงจะดูไม่งาม ได้แก่ (๑) พระราชาผู้ได้อภิเษกแล้ว ทรงเครื่องประดับต่าง ๆ (๒) ช้างมงคลของ พระราชาทีป่ ระดบั ประดาแลว้ (๓) บรรพชิต และ (๔) สตรี๙๙๐ พวกพราหมณ์ได้เห็นปัญญาอันชาญฉลาด และคุณสมบัติ เบญจกัลยาณี ครบทุกประการ แล้ว จึงขอให้นางพาไปที่บ้านเพ่ือทาการสู่ขอตามประเพณี เม่ือสอบถามถึงชาติตระกูล และทรัพย์สมบัติก็ทราบว่า มีเสมอกัน จึงสวมพวงมาลัยทองให้นางวิสาขาเป็นการหมั้นหมาย และกาหนดวนั ววิ าหมงคล ๙๘๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๖๒. ๙๙๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๖๕.

๒๖๐ ธนญชัยเศรษฐี ได้ส่ังให้ช่างทองทาเครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ เพื่อมอบให้แก่ ลูกสาว ซ่ึงเป็นเคร่ืองประดับชนิดพิเศษ เป็นชุดยาวติดต่อกันตั้งแต่ ศีรษะจรดปลายเท้า ประดับ ด้วยเงินทองและรัตนอันมีค่าถึง ๙ โกฏิกหาปณะ ค่าแรงฝีมือช่างอีก ๑ แสน เป็นเคร่ืองประดับท่ี หญิงอ่ืน ๆ ไม่สามารถจะประดับได้เพราะมีน้าหนักมาก นอกจากนี้ ธนญชัยเศรษฐี ยังได้มอบ ทรัพย์สินเงินทองของใช้ต่าง ๆ รวมทั้งข้าทาสบริวารแ ละฝูงโคอีกจานวนมากมาย อีกทั้ง สง่ กุฏมุ พีผู้มีความชานาญพเิ ศษด้านต่าง ๆ ไปเป็นทป่ี รึกษาดแู ลประจาตัวอกี ๘ นายด้วย ก่อนที่นางวิสาขาจะไปสู่ตระกูลของสามี ธนญชัยเศรษฐีได้อบรมมารยาทสมบัติของ กลุ สตรีผจู้ ะไปสตู่ ระกูลของสามี โดยให้โอวาท ๑๐ ประการ๙๙๑ เปน็ แนวปฏบิ ตั ิ คือ ๑. ไฟในอย่านาออก หมายความว่า อย่านาความไม่ดีของพ่อผัวแ ม่ผัวและสามี ออกไปพดู ใหค้ นภายนอกฟงั ๒. ไฟนอกอย่านาเข้า หมายความว่า เมื่อคนภายนอกตาหนิพ่อผัวแม่ผัวและสามี อย่างไร อยา่ นามาพูดใหค้ นในบา้ นฟงั ๓. ควรให้แก่คนท่ีให้เท่าน้ัน หมายความว่า ควรให้แก่คนท่ียืมของไปแล้วแล้วนา มาสง่ คืน ๔. ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายความว่า ไม่ควรให้แก่คนท่ียืมของไปแล้ว แล้วไม่ นามาสง่ คืน ๕. ควรให้ท้ังแก่คนท่ีให้และไม่ให้ หมายความว่า เม่ือมีญาติมิตรผู้ยากจนมาขอ ความชว่ ยเหลือพ่งึ พาอาศยั เมอื่ ให้ไปแล้วจะใหค้ นื หรอื ไม่ให้คืน ก็ควรให้ ๖. พงึ น่งั ใหเ้ ปน็ สขุ หมายความว่า ไม่นง่ั ในท่กี ีดขวางพ่อผวั แมผ่ วั และสามี ๗. พึงนอนใหเ้ ปน็ สุข หมายความวา่ ไมค่ วรนอนก่อนพอ่ ผัวแมผ่ วั และสามี ๘. พึงบริโภคให้เป็นสุข หมายความว่า ควรจัดให้พ่อผัว แม่ผัวและสามีบริโภค แล้ว ตนจึงบริโภคภายหลัง ๙. พึงบาเรอไฟ หมายความว่า ให้มีความสานึกอยู่เสมอว่า พ่อผัว แม่ผัวและสามี เป็นเหมืองกองไฟ และพญานาคทจ่ี ะต้องบารงุ ดูแล ๑๐. พงึ นอบน้อมเทวดาภายใน หมายความว่า ให้มีความสานึกอยู่เสอมว่า พ่อผัว แม่ผัว และ สามีเป็นเหมือนเทวดาที่จะตอ้ งให้ความนอบน้อม ธนญชัยเศรษฐี ให้เวลาถึง ๔ เดือนในการเตรียมทรัพย์สมบัติเพ่ือมอบให้แก่นางวิสาขา สาหรับใช้สอยเมื่อไปอยู่ในตระกูลของสามี เฉพาะเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์เพียงอย่างเดียว ก็ใช้เวลาทาถึง ๔ เดือน เช่นกัน เมื่อถึงกาหนดนางวิสาขาได้ออกเดินทางไปยังตระกูลของสามี พร้อมด้วยข้าทาสบริวารทรัพย์สินเงินทองของใช้อเนกอนันต์ และโคกระบืออีกมากมายมหาศาล ทีบ่ ดิ าจัดการมอบให้ แม้กระน้ัน โคกระบือที่อยู่ในคอกยังทาลายคอกวิ่งออกตามขบวนของนางวิสาขาไปอีก จานวนมาก ท้ังน้ีด้วยอานิสงส์แห่งการทาบุญถวายทานท่ีนางทาไว้ในอดีตชาติ คือ ในคร้ังท่ีนาง วิสาขาเดิมเป็นธิดาของพระเจ้ากิกิ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ นางได้ถวายอาหารแก่ พระภิกษุสามเณรเป็นประจา และทั้ง ๆ ที่พระภิกษุสามเณรกล่าวว่า “พอแล้ว ๆ” ก็ยังตรัสว่า “พระคุณเจ้าส่ิงน้ีอร่อย ส่ิงนี้น่าฉัน” แล้วก็ถวายเพ่ิมข้ึนอีก ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเพ่ิมนี้ ๙๙๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๗๒.

๒๖๑ บันดาลให้โคเหล่าน้ันแม้จะมีคนห้ามมีคอกกั้นอยู่ก็ยังโดดออกจากคอกวิ่งตามขบวนของ นาง วิสาขาไปอีกจานวนมาก เม่ือนางวิสาขา เข้ามาสู่ตระกูลของสามีแล้ว เพราะความที่เป็นผู้ได้รับการอบรมส่ังสอน เป็นอย่างดีต้ังแต่วัยเด็ก และเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีน้าใจ เจรจาไพเราะ ให้ความเคารพผู้ ท่ีมีวัยสูงกว่าตน จึงเป็นที่รักใคร่และชอบใจของคนท่ัวไป ยกเว้นมิคารเศรษฐีผู้เป็นบิดาของสามี ซ่ึงมีจิต ฝักใฝ่ในนักบวชอเจลกชีเปลือย โดยให้ความเคารพนับถือว่าเป็นพระอรหันต์ และนิมนต์ให้มา บริโภคโภชนาหารท่ีบ้านของตนแล้ว สั่งให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้พระอรหันต์ และให้มา ชว่ ยจัดเลี้ยงอาหารแก่อเจลกชเี ปลอื ยเหล่านน้ั ดว้ ย นางวิสาขา ผู้เป็นพระอริยสาวิกาชั้นโสดาบันพอได้ยินคาว่า อรหันต์ ก็รู้สึกปีติยินดีรีบ มายังเรือนของมิคารเศรษฐี แต่พอได้เห็นอเจลกชีเปลือย ก็ตกใจจึงกล่าวว่า ผู้ไม่มีความละอาย เหลา่ น้ี จะเปน็ พระอรหันต์ไดอ้ ยา่ งไร๙๙๒ จงึ กล่าวติเตยี นมิคารเศรษฐแี ล้วกลบั ที่อยู่ของตน ต่อมาอีกวันหนึ่ง ขณะที่มิคารเศรษฐีกาลังบริโภคอาหารอยู่ โดยมีนางวิสาขาคอย ปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ได้มีพระเถระเที่ยวบิณฑบาตผ่านมาหยุดยืนที่หน้าบ้านของมิคารเศรษฐี นางวิสาขาทราบดีว่าเศรษฐีแม้จะเห็นพระเถระแล้วก็ทาเป็นไม่เห็น นางจึงกล่าวกับพระเถระว่า “นมิ นตพ์ ระคณุ เจา้ ไปข้างหน้าก่อนเถดิ ท่านเศรษฐีกาลังบริโภคของเกา่ อยู่” ๙๙๓ เศรษฐี ได้ฟังดังน้ันแล้วจึงโกรธ หยุดบริโภคอาหารแล้วส่ังให้บริวารมาจับ และขับไล่นาง วิสาขาให้ออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาจับ นางวิสาขาขอช้ีแจงแก่กุฎุมพี ๘ นายที่คุณพ่อได้ส่ง มาช่วยดูแลนางกอ่ น และเมื่อมิคารเศรษฐีให้คนไปเชิญกุฎุมพีมาแล้วแจ้งโทษของนางวิสาขาให้ฟัง ซ่ึงนาง ก็แก้ด้วยคาว่า “ท่ีดิฉันกล่าวอย่างน้ัน หมายถึง มิคารเศรษฐีบิดาของสามีกาลังบริโภคบุญเก่าอยู่ มิใช่ บรโิ ภคของบดู เน่าอยา่ งทเ่ี ข้าใจ” กุฎมุ พีทั้ง ๘ จึงกล่าวกับเศรษฐวี า่ “เรือ่ งนี้นางวิสาขาไมม่ ีความผดิ ” เมื่อมิคารเศรษฐี ฟังคาชี้แจงของลูกสะใภ้แล้วก็หายโกรธขัดเคือง และกล่าวขอโทษนาง พร้อมท้ังอนุญาตให้นางนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์มารับอาหารบิณฑบาตในเรือน ของตน ขณะที่นางวิสาขาจัดถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์อยู่นั้น ก็ได้ใ ห้คน ไปเชิญมิคารเศรษฐีมาร่วมถวายภัตตาหารด้วย แต่เศรษฐีเม่ือมาแล้วไม่กล้าท่ีออกไปสู่ที่เฉพาะ พระพักตร์พระศาสดา เพราะไม่มีศรัทธาเล่ือมใสจึงแอบนั่งอยู่หลังม่าน เม่ือเสร็จภัตกิจแล้วพระ บรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา ส่วนมิคารเศรษฐีแม้จะหลบอยู่หลังม่านก็มีโอกาสได้ ฟัง ธรรมด้วยจนจบ และไดส้ าเร็จเป็นพระโสดาบนั เป็นสัมมาทฎิ ฐบิ ุคคลตง้ั แต่น้ันเป็นต้นมา มิ ค า ร เ ศ ร ษ ฐี ไ ด้ อ อ ก ม า จ า ก ห ลั ง ม่ า น แ ล้ ว ต ร ง เ ข้ า ไ ป ห า น า ง วิ ส า ข า ใ ช้ ป า ก ดู ด ถั น ของลูกสะใภ้ และประกาศให้ได้ยินทั่วกัน ณ ท่ีนั้นว่า “ต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้นไปขอเธอจงเป็นมารดา ของข้าพเจ้า” และต้ังแต่น้ันมานางวิสาขาก็ได้นามว่า “มิคารมารดา” คนทั่วไปนิยมเรียกนางว่า “วิสาขามิคารมารดา” เศรษฐีเม่ือจะบูชาคุณของนางวิสาขาให้ปรากฏ จึงได้สั่งให้ทาเคร่ืองประดับชื่อ ฆนมัฏฐกะ ซ่งึ มรี าคา ๑ แสนกหาปณะ๙๙๔ ในบรรดาอุบาสิกาทั้งหลาย นางวิสาขานับว่าเป็นผู้มีบุญสั่งสมมาต้ังแต่อดีตชาติมากเป็น พิเศษกว่าอบุ าสกิ าคนอ่ืน ๆ หลายประการ เช่น ๙๙๒ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๗๔ ๙๙๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๗๕. ๙๙๔ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๘๐.

๒๖๒ ๑. ลักษณะของผู้มีวัยงาม คือ แม้ว่านางจะมีอายุมาก มีลูกชาย-หญิง ถึง ๒๐ คน ลูก เหล่าน้ันแต่งงานมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน นางก็มีหลานนับได้ ๔๐๐ คน หลานเหล่านั้นแต่งงานมี ลูกอีกคนละ ๒๐ คน คนจานวน ๘,๔๒๐ คน มีต้นกาเนิดมาจากนางวิสาขา นางมีอายุยืนได้เห็นหลานได้ เห็นเหลนทุกคน แม้นางมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่ขณะเมื่อนางนั่งอยู่ในกลุ่มของลูก หลาน เหลน นางจะมี ลักษณะวัยใกล้เคยี งกบั คนเหล่าน้นั คนพวกอื่นจะไมส่ ามารถทราบได้ว่านางวสิ าขาคือคนไหน แต่จะสังเกต ได้เมื่อเวลาจะลุกขึ้นยืน ธรรมดาคนหนุ่มสาวจะลุกได้ทันที แต่สาหรับคนแก่จะต้องใช้มือยันพ้ืนช่วยพยุง กาย และจะยกกน้ ข้นึ ก่อน นั่นแหละจึงจะทราบว่าเปน็ นางวสิ าขา ๒. นางมีกาลังมากเท่ากับช้าง ๕ เชือกรวมกัน ครั้งหนึ่งพระราชามีพระประสงค์จะ ทดลองกาลังของนาง จึงรับสั่งให้ปล่อยช้างพลายตัวที่มีกาลังมากเพื่อให้วิ่งชนนางวิสาขา นาง เห็นช้างวิ่งตรงเข้ามา จึงคิดว่า “ถ้ารับช้างนี้ด้วยมือข้างเดียวแล้วผลักไป ช้างก็จะเป็นอันตรายถึง ชีวิต เราก็จะเป็นบาป ควรจะรักษาชีวิตช้างไว้จะดีกว่า” นางจึงใช้นิ้วมือเพียงสองนิ้วจับช้างท่ี งวงแลว้ เหวยี่ งไปปรากฏว่าช้างถึงกับล้มลงทีพ่ ระลานหลวง๙๙๕ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวน้ีชนท้ังหลายเมื่อขจัดงานมงคลในบ้านเรือนของตนจึงพากันเชิญ นางวิสาขาให้ไปเป็นประธานในงาน มอบให้นางเป็นผู้นาในพิธีต่าง ๆ แม้แต่อาหารก็ให้นางทาน ก่อน เพ่ือความเป็นสิริมงคล จนนางวิสาขาไม่มีเวลาดูแลปฏิบัติพระภิกษุที่มาฉันในบ้านของตน ตอ้ งมอบใหล้ กู ๆ หลาน ๆ ดาเนินการให้ ในวิสาขาสูตร๙๙๖ นางวิสาขามิคารมาตา มีผ้าเปียก ผมเปียกได้เข้าเฝ้าพระผู้พระภาค ชณะ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ บุพพาราม เวลาน้ันหลานสาวผู้เป็นท่ีรักเป็นท่ีพอใจอย่างย่ิงของนางได้ถึงแก่ กรรมลง ทาให้นางเศร้าโศกเสียใจ พระผู้มีพระภาคครั้นตรัสถามทราบความแล้วก็ปรารภธรรม เตือนสติ โดยทรงยกถ้อยคาของนางวิสาขาท่ีเคยปรารภว่ายังอยากมีบุตรหลานเท่ากับจานวนชาวกรุงสา วัตถอี ยู่อีกหรอื เม่อื มิคารมาตา กราบทูลว่า ยังคงเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า ชาวกรุงสาวัตถี เสียชีวติ ลงวนั ละเท่าไร จากน้ันนน้ั ก็ทรงย้อนถามนางมิคารมาตาว่า ถ้าเป็นเช่นน้ัน เธอก็คงมีหน้าเปียกชุ่ม ด้วยน้า ตาโดยไมม่ วี ันแห้งเหอื ด เพราะคนในโลกนี้ ผใู้ ดมสี งิ่ เปน็ ท่รี กั ๑๐๐ ผู้น้ันก็จะมีทุกข์ถึง ๑๐๐ ผู้ใดมี สิ่งเป็นทร่ี ัก ๕๐ ผูน้ ้นั กจ็ ะมที กุ ข์ถึง ๕๐ เชน่ กนั นางวิสาขามิคารมาตา เม่ือได้ฟังพระพุทธดารัสตรัสสอนจบลงแล้ว ก็คลายจากความเศร้าโศก แต่เพราะความท่ีนางมีลูกหลานหลายคน ซ่ึงต่อจากน้ันอีกไม่นานนักหลานสาวอีกคนหนึ่ง ที่นางได้ มอบหมายหน้าท่ีการปฏิบัติดูแลพระภิกษุสงฆ์ซ่ึงนิมนต์มาฉันที่บ้านเป็นประจาก็ได้ถึงแก่ความ ตายลงอีก นางวิสาขาก็ต้องเสียน้าตาร่าไห้ด้วยความรักความอาลัยต่อหลานสาวเป็นครั้งท่ีสอง และพระพุทธองค์ก็ทรงเทศนาโปรดนางให้คลายความเศรา้ โศกลงดุจเดียวกบั ครั้งก่อน โดยปกตินางวิสาขาจะไปวัดวันละ ๒ คร้ัง คือ เช้า-เย็น และเมื่อไปก็จะไม่ไปมือเปล่า ถ้า ไปเวลาเช้าก็จะมีของเค้ียวของฉันเป็นอาหารไปถวายพระ ถ้าไปเวลาเย็นก็จะถือน้าปานะไปถวาย เพราะนางมีปกติทาอย่างนี้เป็นประจา จนเป็นที่ทราบกันดีทั้งพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาท้ังหลาย แม้นางเองก็ไม่กล้าท่ีจะไปวัดด้วยมือเปล่า ๆ เพราะละอายท่ีพระภิกษุหนุ่ม สามเณรีน้อยต่างก็จะมองดูท่ีมือว่านางถืออะไรมา และก่อนที่นางจะออกจากวัดกลับบ้าน นางจะ ๙๙๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๘๒. ๙๙๖ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๘/๓๓๙.

๒๖๓ เดินเย่ียมเยือนถามไถ่ความสุข ความทุกข์ และความประสงค์ของพระภิกษุสามเณร และเยี่ยม ภิกษุไขจ้ นทั่วถงึ ทุก ๆ องค์กอ่ นแลว้ จึงกลบั บ้าน วันหน่ึงมีงานมหรสพอุทยาน นางประดับเคร่ืองประดับจะออกไปเที่ยวงาน ก็เปล่ียนใจไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค เม่ือนางมาถึงวัด นางได้ถอดเคร่ืองประดับมหาลดาปสาธน์ มอบให้หญิงสาวผู้ติดตามถือ ไว้๙๙๗ เมื่อเสร็จกิจการฟังธรรมแล้ว ขณะเดินกลับบ้าน นางได้บอกให้หญิงรับใช้ส่งเคร่ืองประดับให้ แต่ หญิงรบั ใช้ลมื ไว้ที่ศาลาฟงั ธรรม นางจงึ ให้กลับไปนามา แต่สั่งว่าถ้าพระอานนท์เก็บรักษาไว้ก็ไม่ต้องเอาคืน มาให้มอบถวายท่านไปเลย เพราะนางคิดว่าจะไม่ประดับเครื่องประดับท่ีพระคุณเจ้าถูกต้องสัมผัสแล้ว ซ่ึง พระอานนทท์ ่านกม็ กั จะเก็บรกั ษาของทอี่ บุ าสกอบุ าสกิ าลมื ไว้เสมอ และก็เป็นไปตามที่นางคิดไว้จริง ๆ แต่ นางก็กลับคิดได้อีกว่า “เครื่องประดับน้ีไม่มีประโยชน์แก่พระเถระ” ดังน้ันนางจึงขอรับคืนมาแล้วนาออก ขายในราคา ๙ โกฏิ กบั ๑ แสนกหาปณะ ตามราคาทนุ ที่ทาไว้ แตก่ ็ไมม่ ผี ้ใู ดมีทรัพย์พอทจี่ ะซ้อื ไว้ได้ นางจึงซื้อเอาไว้เอง ด้วยการนาทรัพย์เท่าจานวนนั้นมาซ้ือที่ดินและวัสดุก่อสร้างดาเนินการ สร้างวัดถวายเป็นพระอารามท่ีประทับของพระบรมศาสดา และเป็นที่อยู่อาศัยจาพรรษาของพระภิกษุ สงฆ์สามเณร พระบรมศาสดารับส่ังให้พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้อานวยการดูแลการก่อสร้าง ซ่ึงมีลักษณะเป็นปราสาท ๒ ช้ัน มีห้องสาหรับพระภิกษุพักอาศัยช้ันละ ๕๐๐ ห้อง โดยใช้เวลาใน การก่อสร้างถึง ๙ เดอื น และเมอื่ สาเรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว ได้นามวา่ “พระวิหารบุพพาราม” โดยปกตินางวิสาขา จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาเสวยและ ฉันภัตตาหารท่ีบ้านของนางเป็นประจา เม่ือการจัดเตรียมภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมแล้ว ก็จะ ใ ห้ ส า ว ใ ช้ ไ ป ก ร า บ ทู ล อ า ร า ธ น า พ ร ะ ผู้ มี พ ร ะ ภ า ค แ ล ะ ภิ ก ษุ ส ง ฆ์ ใ ห้ เ ส ด็ จ ไ ป ยั ง บ้ า น ข อ ง น า ง วันหนึ่ง สาวใช้ได้มาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นมีฝนตกลงมาพระสงฆ์ท้ังหลาย จึง พากันเปลือยกายอาบน้าฝน เมื่อสาวใช้มาเห็นเข้าก็ตกใจเพราะความท่ีตนมีปัญญาน้อยคิดว่าเป็น นักบวชชีเปลือย จึงรีบกลับไปแจ้งแก่นางวิสาขาว่า วันนี้ที่วัดไม่มีพระอยู่เลย เห็นมีแต่ชีเปลือยแก้ผ้า อาบน้า กันอยู่ นางวิสาขาได้ฟังคาบอกเล่าของสาวใช้แล้ว ด้วยความท่ีนางเป็นพระอริยบุคคลชั้น โสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์ จึง ทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสาหรับใช้สอย เพียง ๓ ผืน คือ ผ้าจีวรสาหรับห่ม ผ้าสังฆาฎิสาหรับห่มซ้อน และผ้าสบงสาหรับนุ่ง ดังน้ันเม่ือ เวลาพระภิกษุจะอาบน้าจึงไม่มีผ้าสาหรับผลัดอาบน้า ก็จาเป็นต้องเปลือยกายอาบน้า อาศัยเหตุนี้ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับท่ีบ้านและเสร็จภัตกิจแล้ว นางวิสาขา จึง ได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้าฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาต ตามทีข่ อนน้ั และนางวิสาขากเ็ ป็นบุคคลแรกทไี่ ด้ถวายผา้ อาบนา้ ฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ นางวิสาขา ได้ชอ่ื วา่ เปน็ มหาอบุ าสิกาผู้ย่ิงใหญ่ เป็นยอดแห่งอุปัฏฐายิกา ได้รับการยกย่องจาก พระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศในทางถวายทาน๙๙๘ นางได้ทะนุบารุงพระพุทธศาสนาด้วยวัตถุ จ ตุ ปั จ จั ย ไ ท ย ท า น ต่ า ง ๆ ทั้ ง ที่ ถ ว า ย เ ป็ น ข อ ง ส ง ฆ์ ส่ ว น ร ว ม แ ล ะ ถ ว า ย เ ป็ น ข อ ง สว่ นบคุ คลคือแกพ่ ระภิกษแุ ตล่ ะองค์ ๆ การทาความปรารถนาทั้งปวงให้สาเรจ็ บริบูรณ์๙๙๙ ๙๙๗ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๕๐๓/๕๙๔. ๙๙๘ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๙/๓๒. ๙๙๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๒/๓๘๗.

๒๖๔ ความปรารถนาเหล่านั้นของนางวิสาขาสาเร็จครบถ้วนทุกประการ สร้างความเอิบอิ่มใจ แก่นางยิ่งนัก นางจึงเดินเวียนรอบปราสาทอันเป็นวิหารทานพร้อมทั้งเปล่งอุทานดังกล่าว พร ะภิ กษุ ท้ัง หล าย ได้ เห็ นกิ ริย า อา กา รข อง นา งวิ สา ขา แล้ ว ต่ าง ก็รู้ สึก ปร ะห ลา ดใ จ ไ ม่ ทราบว่าเกดิ อะไรข้ึนกับนาง จงึ พรอ้ มใจกนั เข้าไปกราบทลู ถามพระบรมศาสดาว่า ต้ังแต่ได้พบเห็นและรู้จัก นางวสิ าขากเ็ ป็นเวลานาน ไมเ่ คยเห็นนางขับร้องเพลงและแสดงอาการอย่างน้ีมาก่อนเลย แต่วันน้ี นางอยู่ ในท่ามกลางการแวดล้อมของบรรดาบุตรธิดาและหลาน ๆ ได้เดินเวียนรอบปราสาทและบ่นพึ มพา คลา้ ยกับรอ้ งเพลง เข้าใจวา่ ดีของนางคงจะกาเริบ หรอื ไม่นางกค็ งจะเสยี จริตไปแล้ว พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุเหล่าน้ันว่า วิสาขามิคารมาตา มิได้ขับร้องเพลงหรือเสียจริตอย่างท่ี เขา้ ใจหรอก แตท่ ่ีเธอเปน็ อย่างน้ันกเ็ พราะความปีตยิ ินดีทคี่ วามปรารถนาท่ีต้ังไว้น้ันสาเร็จลุล่วงสมบูรณ์ทุก ประการ นางจึงเดินเปล่งอุทานออกมาด้วยความอ่ิมเอมใจ ด้วยเหตุที่นางวิสาขาได้อุปถัมภ์บารุงพระภิกษุ สงฆ์ และได้ถวายวัตถุจตุปัจจัยในพระพุทธศาสนาเป็นจานวนมาก ดังกล่าวมา พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรง ประกาศยกยอ่ งนางในตาแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลศิ กว่าอบุ าสิกาทง้ั หลายในฝา่ ยผูเ้ ปน็ ทายิกา มุสลิ ะ,พระ พระมุสิละ ปรากฏในโกสัมพิสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๐๐๐ ความระบุถึงพระมุสิละ พระปวิฏฐะ พระนารทะ และพระอานนท์ ขณะพักอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ระหว่างน้ันพระปวิฏฐะได้ถาม พระปญั หากบั พระมสุ ลิ ะ พระมุสิละ ปรากฏในโกสัมพิสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๐๐๑ความระบุถึงพระมุสิละ พระปวิฏฐะ พระนารทะ และพระอานนท์ ขณะพักอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ระหว่างน้ันท่านพระปวิฏฐะ กับ สหธรรมิกประกอบด้วยพระมุสิละ พระนารทะ และพระอานนท์ พักอยู่ที่โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ทงั้ หมดน่ังปุจฉา-วสิ ชั นาธรรมวา่ ด้วยความรูเ้ กีย่ วกับปฏิจจสมุปบาท โดยพระปวิฏฐะเป็นฝ่ายถาม พระมุสิ ละเป็นฝ่ายตอบ จุดประสงค์ของการถามตอบเหมือนต้องการเช็คภูมิธรรม ดังจะเห็นได้จากเม่ือถามไปโดย ลาดับเก่ียวกับการมีความรู้เฉพาะในปฏิจจสมุปบาทแล้ว พระมุสิละก็ยืนยันว่าตนมีความรู้ จากนั้น พระปวฏิ ฐะก็สรปุ ว่า “ถ้าเช่นน้ัน ท่านมุสิละก็เป็นพระอรหันตขีณาสพละสิ?” เม่ือพระมุสิละไม่ตอบ ท่าน นารทะกข็ อให้พระปวฏิ ฐะถามตนบ้าง จากนน้ั พระปวฏิ ฐะกถ็ ามพระนารทะโดยนยั เดยี วกนั ในคมั ภรี ์อรรถกถา ไม่ได้พรรณนาประวัตใิ ด ๆ อื่นนอกเหนือจากน้ี มคู ปกั ขะ,เจ้าลทั ธิ เจ้าลทั ธชิ อื่ มคู ปกั ขะ เป็น ๑ ในครทู ้งั ๖ ในอดีต ประกอบด้วย ครูสุเนตตะ ครูมูคปักขะ ครูอร เนมิ ครูกุททาลกะ ครูหัตถิปาลมาณพ และครูโชติปาละ ครูท้ัง ๖ น้ี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีจิต ปราศจากความกาหนัดในการทัง้ หลาย ผู้ได เม่ือครูทั้ง ๖ นี้แสดงธรรมเพื่อความเป็นผู้บังเกิดในพรหมโลก หากสาวกเหล่าน้ันไม่ทาจิตให้เลื่อมใส ตายไปแล้วก็จักไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสาวก เหล่าใด มจี ติ เลื่อมใส สาวกเหลา่ น้ันหลังจากตายแล้วกไ็ ดบ้ งั เกดิ ในสุคตโิ ลกสวรรค์๑๐๐๒ ๑๐๐๐ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๘/๑๓๘. ๑๐๐๑ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๖๘/๑๓๘. ๑๐๐๒ องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๓๐.

๒๖๕ เมฆยิ ะ,พระ พระเมฆิยะ ปรากฏช่ือในเมฆิยสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย๑๐๐๓ ระบุว่า เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากรูป หน่ึง วันหนึ่ง ขณะเดินไปตามฝั่งแม่น้ากิมิกาฬา ได้เห็นป่ามะม่วงน่าร่ืนรมย์ จึงกลับมาทูลขอพุทธานุญาต เพื่อปลีกวิเวก บาเพ็ญเพยี รในป่ามะม่วงแหง่ นน้ั เวลานั้นพระผู้มพี ระภาคทรงประทับอยู่เพียงลาพัง ไม่มีภิกษุอื่นคอยอุปัฏฐาก จึงตรัสขอให้รอ ก่อนจนกว่าจะมีภิกษุรูปอื่นมาสับเปล่ียน แต่พระเมฆิยะก็หาเชื่อฟังพระพุทธองค์ไม่ แม้จะทรงห้ามถึง ๓ ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล นอกจากนั้นยังกราบทูลไปอีกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงต้องมีกิจที่ทาให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ ตนเองน้ันยังมีกิจต้องทา ขอให้พระองค์ทรงอนุญาต เม่ือทรงเห็นว่า พระเมฆิยะยืนยันจะไปให้ได้ ก็ทรง อนญุ าต พระเมฆิยะเม่ือเข้าไปอยู่ในป่ามะม่วง อกุศลวิตกได้เกิดข้ึน ทาให้เกิดความประหลาดใจว่า ตนเองบวชมาดว้ ยความศรทั ธาแทๆ้ แต่ยังถกู บาปธรรมรุมเร้าจิตได้ จึงได้กลับไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้แสดงเหตุ ๕ ประการท่ีเป็นไปเพ่ือความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ ได้แก่ (๑) ความมีมิตรดี สหายดี (๒) ความเป็นผมู้ ศี ลี สารวมในปาตโิ มกข์ (๓) ได้กถาเป็นเคร่ืองขัดเกลา เป็นท่ีสัปปา ยะ (๔) ปรารภความเพียรเพ่อื ละอกุศลธรรม และ (๕) เป็นผู้มีปญั ญา เมื่อดารงอยู่ในธรรม ๕ ประการแล้ว พึงเจริญธรรม ๕ ประการให้ย่ิงขึ้น ได้แก่ (๑) เจริญอสุภะเพื่อละราคะ (๒) เจริญเมตตาเพื่อละพยาบาท (๓) เจริญอาณาปานสติเพื่อละวิตก และ (๔) เจรญิ อนจิ จสญั ญาเพอื่ ถอนอสั สมิมานะ๑๐๐๔ ในเมฆยิ สตู รแหง่ ขทุ ทนิกาย อุทาน๑๐๐๕ ความคลา้ ยกัน จึงไม่นามากลา่ วอกี เมฏฐะ,พระ พระเมฏฐะ ปรากฏในจูฬวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๐๐๖ ความระบุถึงว่า ท่านเป็นพี่น้องกับพระ โกกุฏฐะ เกิดในสกุลพราหมณ์ พูดจาอ่อนหวาน มีเสียงไพเราะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพ่ือขอ พุทธานุญาตยกพระพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต แต่ก็ไม่ได้รับพุทธานุญาต ขณะเดียวกันกลับทรง บัญญัติสิกขาบทห้ามยกพระพุทธพจน์ด้วยภาษาสันสกฤต รูปใดละเมิด ปรับอาบัติทุกกฎ แต่ทรงอนุญาต ให้เล่าเรยี นพทุ ธวจนะด้วยภาษาของตน เมณฑกะ, คหบดี เมณฑกคหบดี ปรากฎในมหาวรรคแห่งวินัยปิฎก๑๐๐๗ ความระบุว่า เมณฑกคหบดี ต้ัง บ้านเรือนอยู่ในพระนครภัททิยะ เป็นผู้มีบุญญาธิการ คนในครอบครัวของท่าน นับต้ังแต่ภรรยา บุตร สะใภ้ และทาส ล้วนเป็นผู้มีบุญญาธิการ ในลักษณะท่ีแตกต่างกันไป เช่นในส่วนของคหบดี เพียงแค่ให้ กวาดฉางข้าวนั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าวเปลือกตกจากอากาศเต็มฉาง ภริยาเพียงแค่นั่งใกล้กระถางข้าว สุกขนาดจุน้าหน่ึงอาฬหกะใบเดียว และแกงหม้อหนึ่งเท่านั้น สามารถเล้ียงอาหารแก่บุรุษที่เป็นทาสและ ๑๐๐๓ องฺ.นวก.(ไทย) ๒๓/๓/๔๓๐. ๑๐๐๔ อง.ฺ นวก.(ไทย) ๒๓/๓/๔๓๔. ๑๐๐๕ วิ.จู.(ไทย) ๗/๒๘๕/๗๑. ๑๐๐๖ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๓๑/๒๓๑. ๑๐๐๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๙๖/๑๒๐.

๒๖๖ กรรมกรไดห้ มดทงั้ บา้ น โดยที่อาหารนัน้ ไม่หมดจนกว่านางจะลุกข้ันจากท่ี บุตรของเขาเพียงแค่ถือถุงจุเงิน พันหนึ่ง ถุงเดียวเท่าน้ัน แล้วแจกเบ้ียหวัดกลางปีแก่ทาสและกรรมกร เงินนั้นไม่หมดสิ้น ตลอดเวลาท่ีถุง เงินยังอยู่ในมือของเขา สะใภ้ แค่น่ังใกล้กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนานใบเดียวเท่าน้ัน แล้วแจกข้าวกลางปีแก่ ทาสและกรรมกร ข้าวน้ันมิได้หมดส้ินตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากท่ี ส่วนทาส เมื่อเขาไถนาด้วยไถคัน เดียว มีรอยไถถึง ๗ รอย พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงสดับข่าวจากนครภัททิยะ มีพระประสงค์จะทราบ ความจริง จึงได้ส่งอามาตย์ผู้สาเร็จราชการ พร้อมเสนา ๔ เหล่า เดินทางไปตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็น อย่างไร ครั้นไปถึงแล้วก็ได้เข้าไปหาเมณฑกคหบดี พร้อมกับขอทดสอบบุญญาธิการดังกล่าวข้างต้น เหน็ ชัดแจง้ ทุกประการแล้วกก็ ลบั มากราบทลู พระเจ้าพมิ พิสารตามความเป็นจรงิ ครั้งนน้ั พระผมู้ พี ระภาคประทับอยู่ในพระนครเวสาลตี ามพทุ ธประสงคแ์ ล้ว เสดจ็ จาริกทางพระ นครภัททิยะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จจาริกโดยลาดับ ได้เสด็จถึงพระนคร ภัททยิ ะแล้วทราบวา่ พระองคป์ ระทบั อยู่ ณ ชาตยิ าวัน เขตพระนครภัททยิ ะนั้น. เมณฑกคหบดีได้สดับข่าวพระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จโดย ลาดับถึงพระนครภัททิยะ ประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน เขตพระนครภัททิยะ ก็พระกิตติศัพท์อันงามของท่าน พระโคดมพระองค์นั้นขจรไป ก็มีความปรารถนาจะเข้าเฝ้า จึงได้ให้จัดแจงยวดยานแล่นออกจากพระนคร ภทั ทิยะไปเฝา้ พระผ้มู ีพระภาค. พวกเดียรถีย์เป็นอันมาก ได้เห็นเมณฑกะคหบดีกาลังมาแต่ไกล จึงได้สอบถามว่าจะไปไหนกัน ครั้นได้รับคาตอบว่า จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็แสดงอาการไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า พระพุทธเจ้า เปน็ พวกอกิรยิ วาท และพระองคก์ ท็ รงสอนพระสาวกอย่างนน้ั ลาดบั น้นั เมณฑกะคหบดีคดิ ว่า พระผู้มีพระภาค จกั เปน็ พระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ แน่แท้ไม่ ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เดยี รถีย์พวกนี้จึงพากันริษยา แล้วไปดว้ ยยวดยานตลอดภมู ภิ าคทย่ี วดยานจะไปได้ ลงจากยวดยานแล้ว เดินเข้าไปในพทุ ธสานกั ถวายบงั คมพระผมู้ ีพระภาค นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพพิกถาแก่เมณฑกคหบดี ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่าทราม ความเศร้าหมองของกามท้ังหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เม่ือ เมณฑกคหบดีมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศ อริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ส้ินกระแสพระเทศนา ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่ท่านเมณฑกคหบดีว่า ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งน้ันทั้งมวลมี ความดับเป็นธรรมดา เมณฑกคหบดีเห็นธรรมแล้ว ได้กราบทูลชมเชยพระธรรมเทศนาของพระพุทะเจ้าว่า เปรียบ เหมอื นบคุ คลหงายของทคี่ ว่า เปดิ ของท่ีปดิ บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่งประทีปให้ในท่ีมืด จากนั้นก็ได้ แสดงตนขอถึงพระผ้มู ีพระภาค พระธรรม และพระสงฆว์ า่ เปน็ สรณะ ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึง พระรัตนตรัยว่าสรณะ จาเดมิ แต่วนั นั้น พร้อมกันน้ันก็ได้นิมนต์พระพุทธเจ้ากับภิกษุสงฆ์ รับภัตตาหารใน วันร่งุ ขึน้ คร้ันเมณฑกะคหบดีทราบการรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากท่ีน่ัง ถวายบังคม ทาประทักษิณกลับไป แล้วส่ังให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยผ่านราตรีน้ัน แล้วให้เจ้าหน้าที่ไป กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธ

๒๖๗ ดาเนินเข้าไปทางนิเวศน์ของเมณฑกคหบดี ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์ ขณะนั้น ภรรยา บตุ ร สะใภ้ และทาสของเมณฑกคหบดี ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหน่ึง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาในสมาคมนรั้น กล่าวคือทรง ประกาศทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่าทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ ในความออกจากกาม เมื่อชนเหล่านั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่อง ใสแล้ว จงึ ทรงประกาศอริยสจั ๔ คอื ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค จบพระธรรมเทศนา ทั้งหมดได้ดวงตาเห็น ธรรม ครัน้ ชนเหล่าน้ันบรรลุธรรมแล้วแล้ว ได้กราบทูลชมเชยภาษิตของพระผู้มีพระภาคพร้อมท้ังขอ ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์วา่ เป็นสรณะ แสดงตนเปน็ อุบาสกอบุ าสกิ าผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จาเดิมแตว่ ันนนั้ ครั้นเมณฑกคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอัน ประณีตเสร็จ ได้กราบทูลปวารณาแด่พระผู้มีพระภาคว่า ตราบใดท่ีพระองค์ยังประทับอยู่ ณ พระนคร ภทั ทิยะ ขอถวายภตั ตาหารเป็นประจาแกภ่ กิ ษุสงฆ์มพี ระพุทธเจา้ เป็นประมขุ พระผูม้ พี ระภาคทรงชี้แจงให้ เมณฑกคหบดเี ห็นแจง้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา แล้วทรงลกุ จากที่ประทับเสด็จกลับไป พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครภัททิยะพอสมควรแล้ว ไม่ได้ทรงลาเมณฑกะคหบดี เสด็จพระพทุ ธดาเนินไปทางชนบทอังคุตตราปะ พรอ้ มด้วยภกิ ษุสงฆห์ มูใ่ หญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เมณฑก คหบดีได้ทราบข่าวแน่ชัดว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดาเนินไปทางชนบทอังคุตตราปะ พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป จึงส่ังทาสและกรรมกรบรรทุกเกลือบ้าง น้ามันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง ลงในเกวียน และคนเล้ยี งโค ๑,๒๕๐ คน พาแม่โคนม ๑,๒๕๐ ตวั เพ่ือเตรียมเลี้ยงพระสงฆ์ ดว้ ยน้านมสดอนั รีดใหม่ท่มี นี ้ายังอนุ่ ๆ ณ สถานท่ีๆ ได้พบพระผูม้ ีพระภาค เมณฑกะคหบดีตามไปพบพระผู้มีพระภาค ณ ระหว่างทางกันดาร จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลอาราธนาว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค พร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้าเพื่อเจริญบุญกุศล และปีติ ปราโมทย์ในวันพรุ่งน้ีด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นเมณฑกคหบดี ทราบ การทรงรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากท่ีนั่งถวายบังคมทาประทักษิณกลับไป แล้วส่ังให้ ตกแตง่ ของเคีย้ วของฉนั อันประณีต โดยผา่ นราตรีนั้นแลว้ ใหค้ นไปกราบทลู ภัตกาลแด่พระผ้มู พี ระภาค ครน้ั เวลาเช้า พระผมู้ ีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดาเนินเข้า สถานทอ่ี งั คาสของเมณฑกคหบดี ครนั้ แลว้ ประทับนั่งเหนอื พทุ ธอาสน์ท่ีเขาปูลาดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เมณฑกคหบดสี งั่ คนเลย้ี งโค ๑,๒๕๐ คนช่วยกนั จับแม่โคนมคนละตัว แล้วยืนใกล้ๆ ภิกษุรูปละคนๆ เล้ียง พระด้วยน้านมสดอันรีดใหม่ที่มีน้ายังอุ่นๆ ครั้นแล้วได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วย ขาทนยี โภชนยี าหารอนั ประณีต และด้วยน้านมสดอันรีดใหมด่ ้วยมอื ของตน เม่ือเมณฑกะคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระ ภาคว่า หนทางกันดาร อัตคัดน้า อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป ทาไม่ได้ง่าย ขอประทาน พระวโรกาสอนุญาตเสบียงเดินทางสาหรับภิกษุท้ังหลาย พระผู้มีพระภาคทรงก็ทรงอนุเคราะห์อนุญาตให้ ภกิ ษุรับประเคนโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส นอกจากนั้นยังทรงอนุญาตให้แสวงหา เสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร ถั่วเขียว ถ่ัวราชมาส เกลือ น้าอ้อย น้ามัน เนยใส ก็สามารถแสวงหา

๒๖๘ ได้ หรือหากแม้นชาวบ้านมีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการกส่ังว่า ส่ิงใดควรแก่พระผู้ เปน็ เจา้ ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้ ทรงอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์ น้ันได้ แตท่ รงห้ามยนิ ดี การแสวงหาทองและเงินไมว่ า่ จะโดยประการใดๆ เมตตค,ู พระ พระเมตตคู เป็น ๑ ในศิษย์ ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี มีประวัติปรากฏในเมตตคูเถรา ปทาน๑๐๐๘ ความระบวุ า่ ทา่ นบริจาคเงิน ๖๐ โกฏิ แล้วออกบวชแสวงหากุศลบางอย่างอยู่ จึงได้เข้าไปหา พราหมณ์พาวรี ต่อมาได้บวชในสานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้บรรลุวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ โดยลาดับ ไดก้ ระทาใหแ้ จง้ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ พระเมตตคู เม่ือคร้ังยังเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ได้ผูกปัญหาถามพระพุทธเจ้าว่า “ทุกข์ หลายรูปแบบอะไรก็ตามในโลก ทุกข์เหล่านั้นเกิดมาจากที่ไหน”๑๐๐๙ ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคได้ พยากรณ์ว่า “ทุกข์หลายรูปแบบอะไรๆ ก็ตามในโลกน้ี ล้วนเกิดมาแต่อุปธิเป็นต้นเหตุ๑๐๑๐ ผู้ใดแลไม่มี ปัญญา ก่ออุปธิ ผู้นั้นจัดว่าเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ชัดอยู่ เป็นผู้มีปกติ พจิ ารณาเห็นทกุ ข์ว่า มชี าตเิ ป็นแดนเกิด ไม่ควรก่ออุปธิ๑๐๑๑ เมื่อได้รับคาพยากรณ์จากพระผู้มีพระภาคแล้ว พระเมตตคูได้กราบทูลขอโอกาสถามคาถาม ต่อไปอีกว่า “นักปราชญ์ท้ังหลายจะข้ามโอฆะ ชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะได้อย่างไรหนอ” ๑๐๑๒ ต่อ ปัญหาน้ี พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “บุคคลรู้ชัดธรรมใดแล้ว มีสติ เที่ยวไปอยู่ พึงข้ามตัณหาท่ีช่ือว่า วิ สตั ตกิ า ในโลกได้” ๑๐๑๓ เมตติยะ,พระ พระเมตติยะเป็นเพ่ือนของพระภุมมชกะ จัดอยู่ในกลุ่มพระฉัพพวัคคีย์ สร้างสานักอยู่ใกล้ ๆ เมืองราชคฤห์ ปลูกผลไม้ต่าง ๆ สงเคราะห์ชาวเมืองด้วยผลไม้เหล่าน้ัน ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวช ขยายบริษัทจนใหญ่โต และได้ก่ออธิกรณต์ ่างๆ ขนึ้ ในหมสู่ งฆ์ ชื่อเสียงด้านลบของพระเมตติยะ และพระภุมมชกะ น่าจะเป็นท่ีทราบแก่สาธารณชนอยู่ พอสมควร เห็นไดจ้ ากครงั้ หนึ่ง คฤหบดีท่านหน่ึงต้องการถวายภัตตาหาร แต่ครั้นทราบว่า พระท่ีถูกจัดมา ฉันภัตตาหารวันน้ันเป็นคิวของพระเมตติยะและพระภุมมชกะ ก็เอ่ยปากข้ึนว่า ทาไมจัดภิกษุช่ัวฉันท่ีบ้าน เช่นนั้น คร้ันกลับถึงบ้านก็สั่งคนใช้ทาอาหารเลวถวาย ท้ังให้ฉันในซุ้มนอกบ้าน ท้ังคหบดีเจ้าของบ้านก็ไม่ อยู่ต้อนรับ สร้างความไม่พอใจแก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็นอย่างมาก พาลโกรธไปถึงพระทัพพ มัลลบุตรผู้ทาหน้าท่ีแจกภัต๑๐๑๔ จึงคอยหาเร่ือง และใส่ร้ายพระทัพพมัลลบุตรอยู่หลายคร้ัง เช่น ให้นาง ๑๐๐๘ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๔๕/๖๖๐. ๑๐๐๙ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๕๖/๗๕๑. ๑๐๑๐ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๕๗/๗๕๑. ๑๐๑๑ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๕๘/๗๕๑. ๑๐๑๒ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๕๙/๗๕๒. ๑๐๑๓ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๖๐/๗๕๒. ๑๐๑๔ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๓๘๓/๔๑๖.

๒๖๙ ภิกษุณีใส่ร้ายว่าเสพเมถุน ต้องปาราชิก๑๐๑๕ ให้เจ้าลิจฉวีไปฟ้องร้องว่าพระทัพพมัลลบุตรเสพเมถุนกับ ภรรยาของเจ้าลิจฉวี๑๐๑๖ เมตติยา,ภิกษณุ ี ชื่อเมตติยาภิกษุณีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกในฐานะเป็นผู้สมคบกับพระเมตติยะและพระ ภุมมชกะฟ้องพระทัพพมัลลบุตรในข้อหาข่มขืน เป็นการโจทย์ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล เ๑๐๑๗ มื่อ พระพทุ ธเจา้ รบั สง่ั ใหส้ อบสวนได้ความแลว้ จึงรบั ส่ังให้สกึ นางเมตติยาภิกษุณีเสยี พระเมตติยะและพระภุมมชกะทราบข่าว จึงได้สารภาพว่า อย่าให้นางเมตติยาภิกษุณีสึกเลย นางไม่มีความผิด การใส่ความพระทัพพมัลละ พวกตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง สาเหตุมาจากความโกรธ ไม่ พอใจพระทพั พมัลลบุตรเปน็ การส่วนตัว ทาใหบ้ รรดาภิกษุผ้มู ักน้อย สันโดษตาหนิ และนาเรื่องไปกราบทูล พระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถาม ทราบความจริงแล้ว จึงทรงตาหนิ และบัญญัติสิกขาบทหาใส่ความ ภิกษอุ นื่ ด้วยอาบัตปิ าราชกิ ไมม่ ีมลู หากละเมดิ ปรบั อาบัติสงั ฆาทิเสส๑๐๑๘ โมฆราช,พระ พระโมกราช เปน็ ๑ ในศิษยพ์ ราหมณ์พาวรี ๑๖ คน ที่ได้รับการมอบหมายให้ไปกราบทูลถาม ปัญหากับพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย ๑) อชิตะ ๒) ติสสเมตเตยยะ ๓) ปุณณกะ ๔) เมตตคู ๕) โธตกะ ๖) อุปสีวะ ๗) นันทะ ๘) เหมกะ ๙) โตเทยยะ ๑๐) กัปปะ ๑๑) ชตุกัณณิ ๑๒) ภัทราวุธ ๑๓) อุทัย ๑๔) โปสาละ ๑๕) โมฆราช และ ๑๖) ปิงคิยะ โมฆราช ได้กราบทูลถามปัญหากับพระผู้มีพระภาคเป็นลาดับท่ี ๑๕ ว่า “บุคคลพึงพิจารณา โลกอยา่ งไร มจั จุราชจงึ มองไมเ่ ห็น” ๑๐๑๙ ต่อปัญหาน้ี พระผ้มู พี ระภาคได้ตรัสตอบว่า เธอจงพิจารณาโลก โดยความว่างเปลา่ มีสตทิ ุกเมอื่ พึงถอนอตั ตานุทิฏฐเิ สยี โดยอาการอยา่ งนี้ มัจจรุ าชจึงมองไมเ่ ห็น๑๐๒๐ พระโมฆราช ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ ทรงจวี รเศร้าหมอง๑๐๒๑ โมลิยผคั คนุ ะ พระโมลิยผัคคุนะ เดิมช่ือ ผัคคุ บางครั้งก็เรียกว่า โมลิยผัคคุนะ เพราะเมื่อสมัยท่านเป็น ฆราวาส ทา่ นไว้มวยผม (เมาล)ี ใหญ่มาก คนส่วนใหญ่จึงรู้จักท่านตามลักษณะน้ัน๑๐๒๒ ช่ือของท่านปรากฏ ในพระสตู รต่าง ๆ ประมวลสรปุ ไดด้ ังนี้ ๑๐๑๕ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๘๓/๔๑๗. ๑๐๑๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๒๖๕/๔๔. ๑๐๑๗ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๓๘๓/๔๑๗. ๑๐๑๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๘๔/๔๑๙. ๑๐๑๙ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๑๒๕/๗๗๒. ๑๐๒๐ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๑๒๖/๗๗๒. ๑๐๒๑ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๓๔/๓๐. ๑๐๒๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑/๒/๒๖๖.

๒๗๐ ในผัคคุนปัญหาสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๐๒๓ เนื้อหาในพระสูตรพรรณนาถึงพระผัคคุนะ ได้ กราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เกี่ยวกับการบัญญัติพระพุทธเจ้าในอดีต ซึ่งปรินิพพานแล้ว โดยจักษุก็ตาม ชิวหา หรือโดยมโน, จักษุ ชิวหา หรือมโนน้ันมีอยู่หรือ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า จักษุ ชิวหา หรือมโนทีบ่ ญั ญัตใิ นอดีตน้นั ไมม่ ี ในกกจูปมสูตร๑๐๒๔ พรรณนาเรื่องราวของพระโมลิยผัคคุนะคลุกคลีกับภิกษุณีเกินเวลา ถ้ามี ภกิ ษบุ างรูปตาหนิภกิ ษุณีเหล่าน้ันต่อหน้าพระโมลิยผัคคุนะ ท่านก็แสดงอาการโกรธ ไม่พอใจ ก่ออธิกรณ์ ขึน้ หรือถา้ แมน้ มภี กิ ษุบางรูปไปตาหนิพระโมลิยผัคคุนะต่อหน้านางภิกษุณี นางภิกษุณีเหล่านั้นก็โกรธ ไม่ พอใจ ถงึ ขนั้ ก่ออธิกรณ์ขึ้น ภกิ ษรุ ูปหนีง่ จงึ นาเรอื่ งนเี้ ข้าไปกราบทูลใหพ้ ระผูม้ ีพระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกพระโมลิยผัคคุนะไปตรัสถาม ทราบความแล้ว ก็ทรงตรัสเตือน และสอนใหพ้ ระโมลิยผัคคนุ ะฝึกระงับความโกรธด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นต้นว่า ให้ทาใจให้หนักแน่นเหมือน แผน่ ดนิ , ทาใจให้ว่างเหมอื นอากาศ, ทาใจให้เยน็ เหมอื นน้า เปน็ ตน้ ในโมลิยผัคคนุ สตู ร๑๐๒๕ พรรณนาเร่ืองราวพระผู้มพี ระภาคขณะประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ได้ทรง ปรารภเรื่องอาหาร ๔ อย่าง ได้แก่ (๑) กวฬิงการาหาร (๒) ผัสสาหาร (๓) มโนสัญเจตนาหาร และ (๔) วิญญาณาหาร ซ่ึงอาหารทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นไปเพ่ือการดารงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้บังเกิดแล้ว หรือเพื่อ อนเุ คราะห์หมสู่ ัตวผ์ แู้ สวงหาทีเ่ กิด พระโมลิยผัคคุนะได้ยินพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างน้ันก็ยกประเด็นเก่ียวกับอาหารมาทูลถาม เช่น เมือ่ ตรัสเก่ยี วกบั ผสั สาหาร กถ็ ามว่า ใครเลา่ ยอ่ มถูกตอ้ ง เม่ือตรัสเก่ยี วกับวิญญาณาหาร ก็ถามว่า ใคร ย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร หรือเม่ือตรัสเกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร ก็ถามว่า ใครย่อมเสวยอารมณ์ เป็น ตน้ ซ่งึ พระผู้มพี ระภาคเจ้าไดต้ รัสเตือนวา่ ถามคาถามท่ีไม่สมควรถาม ทั้งน้ีทรงให้เหตุผลว่า เวลาพระองค์ ตรัสเรื่องผัสสาหาร พระองค์ไม่ได้ใช้คาว่า “ย่อมถูกต้อง” แต่ทรงใช้คาว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา เวลาตรัสเรื่องวิญญาณาหาร พระองค์ไม่ได้ใช้คาว่า “กลืนกิน” แต่ทรงใช้คาว่า วิญญาณาหารเป็น ปัจจัยเพือ่ ใหเ้ กิดภพใหม่ เป็นต้น อนึ่งในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า พระโมลิยผัคคุนะน้ี เป็นคนว่ายากสอนยาก แม้ภิกษุ หรือ พระพทุ ธเจ้าตักเตือนกไ็ ม่เช่อื ฟงั เธอขัดข้องใจ สุดทา้ ยก็ลาสิกขาไปในทส่ี ุด๑๐๒๖ โมฬยิ สีวกะ, ปรพิ าชก โมฬิยสีวกะ เป็นปริพาชก ปรากฏในสิวกสูตร๑๐๒๗ ความระบุว่า เม่ือพระผู้มีพระภาคประทับ อยู่ทเ่ี วฬวุ ัน เขตกรงุ ราชคฤห์ โมฬยิ สวี กปริพาชก ไดเ้ ข้าเฝา้ และกราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่าสุข ทุกข์ที่บุคคลเสวยนั้นเพราะเหตุท่ีได้ทาไว้ในปางก่อน ประเด็นน้ี พระโคดมผ้เู จริญตรัสไว้อยา่ งไร ๑๐๒๓ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๘๓/๗๖. ๑๐๒๔ ม.ม.(ไทย) ๑๒/๒๒๒/๒๓๓. ๑๐๒๕ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๒/๑๙. ๑๐๒๖ ส.นิ.อ.(ไทย) ๒/๑๗๔. ๑๐๒๗ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๒๖๙/๓๐๑.

๒๗๑ พระพุทธเจ้าได้ปฏิเสธปัญหาดังกล่าวนี้ โดยยกตัวอย่างให้เห็นว่า เวทนาบางอย่างมีดีเป็น สมฏุ ฐานกม็ ี มเี สลด ลม เสลดและลมร่วมกัน การเปลย่ี นฤดู การบริหารกายไมส่ มา่ เสมอ การถูกทาร้ายก็มี เวทนาบางอย่างเกิดจากผลกรรมกม็ ี โมคคลั ลีบุตร,พระ พระโมคคัลลีบุตร เป็น ๑ ใน ๕ พระเถระผู้ทรงจาพระวินัยในชมพูทวีป ประกอบด้วย พระ อุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ และโมคคัลลบี ตุ ร๑๐๒๘ ต่อจากนนั้ ก็มีพระมหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตตยิ ะ พระสมั พละ เปน็ ตน้ นาสบื ตอ่ มาในเกาะตามพปณั ณิ พระโมคคลั ลบี ตุ รน้ี ในคราวทาสังคายนาครง้ั ที่ ๓ ได้เป็นประธานในการคัดเลอื กภกิ ษุ ๑,๐๐๐ รูป เพื่อทาสังคายนา อรรถกถาทีฆนิกาย ปาฏิกวรรคจึงบันทึกไว้ว่า “การสังคายนามี ๓ คร้ัง คือ การ สังคายนาท่ีพระมหากัสสปะกระทา ๑ สังคายนาท่ีพระยสเถระกระทา ๑ สังคายนาที่พระโมคคัลลีบุตร กระทา ๑” ๑๐๒๙ และเป็นผแู้ สดงกถาวตั ถใุ นทีป่ ระชมุ สงั คายนา นอกจากน้ี ในคราวพระเจ้าอโศกมีพระราช ประสงค์จะนาต้นโพธิ์ไปประดษิ ฐานท่เี กาะลงั กา คณะสงฆก์ ไ็ ดม้ อบใหเ้ ป็นภาระแก่พระโมคคัลลีบุตรเถระ ในอรรถกถาพุทธวงศ์๑๐๓๐ มีข้อความระบุว่า “คัมภีร์พุทธวงศ์ได้พระเถระทั้งหลาย เป็นต้นว่า พระสารีบุตรเถระ พระภัททชิ พระติสสะ พระสิคควะ พระโมคคัลลีบุตร พระสุทัตตะ พระธัมมิกะ พระ ทาสกะ พระโสณกะ พระเรวตะ นาสบื กันมาถงึ สงั คายนาครง้ั ที่ ๓” อน่ึง พระโมคคัลลีบุตรน้ี ในท่ีบางแห่งก็เรียกว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ สันนิษฐานน่าจะ เป็นคนเดียวกัน เพราะเน้ือหาระบุถึงท่านเป็นผู้ทาสังคายนาครั้งที่ ๓ และเป็นผู้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ เชน่ เดยี วกัน อวรรค ย ยมกะ, พระ พระยมกะ ปรากฏในยมกสูตรแหง่ สังยตุ ตนิกาย๑๐๓๑ ความระบุวา่ ท่านเกิดความเข้าใจผิดว่า รู้ ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ว่า ภิกษุขีณาสพหลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิดอีก ภิกษุทั้งหลายท่ีเป็นสหายกันไม่สามารถทาให้เธอเปลี่ยนทัศนะดังกล่าวได้ จึงได้เข้าไปขอร้องให้พระสารี บุตรไดช้ ่วยอนเุ คราะห์ พระสารบี ตุ รได้เขา้ ไปหาพระยมกะ จากนัน้ ก็เร่ิมสนทนา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทัศนะของพระยมกะ นั้นไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกันเอง เพราะเม่ือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็น ทกุ ข์ เป็นอนัตตาแล้ว จิตของพระขีณาสพย่อมไม่มีอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเป็น เช่นน้ัน การพูดว่า “ภิกษุขีณาสพหลังจากตายไปแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิดอีก” ย่อมไม่เป็นการ ถกู ต้อง ๑๐๒๘ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๑๐๒๙ ที.ป.อ.(ไทย) ๓/๑/๒๔๘. ๑๐๓๐ ข.ุ พุทธฺ .อ.(ไทย) ๙/๒/๒๒. ๑๐๓๑ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๕/๑๔๗.

๒๗๒ พระยมกะได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตรแล้ว ก็เข้าใจถูกต้อง สละทัศนะเดิมของตน จิตหลุดพ้น จากอาสวะท้ังหลาย อนึ่ง พระยมกะน้ี ในวัสสการสูตร๑๐๓๒ ระบุว่าเป็นข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะ ซ่ึง เคารพศรัทธาในคาสอนสานักสมณรามบุตร สว่ นประวัติท่านได้เข้ามาขอบรรพชาอุปสมบทเมื่อไร อย่างไร ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่หลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา๑๐๓๓ ระบุว่า พระสารีบุตรเห็นว่า พระยมกะนั้นไม่เห็น ขอ้ บกพรอ่ งในลัทธิของตน จงึ ไดเ้ ข้าไปหาเพอื่ ปรบั ทัศนคติใหถ้ ูกตอ้ ง ยสะ,พระ พระยสะ เดิมเป็นลกู เศรษฐีชาวเมอื งพาราณสี บดิ ามารดาสร้างปราสาท ๓ หลัง สาหรับอาศัย ๓ ฤดู พร้อมทั้งให้บาเรอด้วยกามคุณ ไม่มีบุรุษเจอปน อยู่บนปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน วันหนึ่งตื่น ขึน้ มากลางดึก เหน็ บริวารกาลังหลับ แต่ละคนมีอาการต่าง ๆ ปรากฏแก่ยสะเหมือนป่าช้าผีดิบ เกิดความ เบื่อหน่าย จึงเปล่งอุทานว่า ท่ีน่ีวุ่นวายหนอ ท่ีน่ีขัดข้องหนอ๑๐๓๔ จากนั้นก็สวมรองเท้าเดินออกจากประตู นิเวศนไ์ ปเพยี งลาพัง ครนั้ ราตรยี ่ารุ่ง พระผ้มู พี ระภาคเสด็จลุกขึ้นจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัย แห่งพระอรหันต์ จึงได้ตรัสเรียกว่า ยสะ ที่น่ีไม่วุ่นวาย ท่ีนี่ไม่ขัดข้อง มาเถิด ยสะ จงน่ังลง เราจักแสดง ธรรมแก่เธอ๑๐๓๕ ยสะได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาค เกิดความแช่มช่ืนเบิกบานใจ จึงได้เข้าไปเฝ้า ถึงท่ีประทับ พระผู้มีพระภาคได้แสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ โปรดยสะ ส้ินพระธรรมเทศนา ยสะได้ ดวงตาเห็นธรรม คร้ันรุ่งเชา้ เศรษฐที ราบข่าวการหายตวั ไปของยสะจากภรรยา จึงได้สั่งให้เหล่าบริวารกระจาย กาลังออกตดิ ตามทกุ ทศิ ส่วนตนเองก็ออกตดิ ตาม กระทั่งไปถึงป่าอิสิปตนมคฤทายวัน พบรองเท้าวางอยู่ก็ จาได้ จึงได้เดนิ เขา้ ไป พบพระผู้มีพระภาคประทบั น่งั อยู่ จงึ ไดก้ ราบทลู ถามหาบตุ รชาย พระผู้มีพระภาครับส่ังให้เศรษฐีน่ังลงก่อน ทรงปลอบให้เศรษฐีเบาใจว่า ลูกชายน่ังอยู่แถวน้ี แหละ เศรษฐีคลายความหว่ งเร่อื งลกู ชาย เพราะพระพุทธเจ้ารับรองแล้ว จึงได้น่ังลง ณ ส่วนข้างหน่ึง พระ ผู้มีพระภาคเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ จึงได้แสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีผู้เป็นบิดาของยสะ ฟงั สนิ้ พระธรรมเทศนาเศรษฐไี ด้ต้ังอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมประกาศตนเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นคน แรกในโลก ขณะทยี่ สะซงึ่ น่ังอยูใ่ นทน่ี น้ั ดว้ ย (แต่เศรษฐีมองไมเ่ ห็นดว้ ยอานภุ าพของพระพุทธเจ้าบันดาลบัง ไว้) ก็ได้บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ ยสกากณั ฑกบตุ ร,พระ พระยสกากัณฑกบุตร ในคัมภีร์ไม่ระบุว่าชาวเมืองใด ระบุแต่เพียงว่า ท่านพักอาศัยอยู่ท่ีกูฏา คารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี๑๐๓๖ บิดามารดาของท่านก็ไม่ปรากฏ แต่ก็พอสันนิษฐานได้จากชื่อ “ยสกากัณฑกบุตร” เหมือนกรณีพระเถระหลายรูปที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยพระพุทธเจ้า เช่น พระสารีบุตร ๑๐๓๒ องฺ.จตุกก.(ไทย) ๒๑/๑๘๗/๒๗๐. ๑๐๓๓ ส.ข.อ.(ไทย) ๓/๒๖๓. ๑๐๓๔ วิ.ม.(ไทย) ๔/๒๕/๓๑. ๑๐๓๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๖/๓๒. ๑๐๓๖ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓.

๒๗๓ บุตร นางสารีพราหมณี เป็นต้น ท่านมีชีวิตอยู่หลังพุทธกาล เพราะในคัมภีร์มีระบุไว้ว่า ๑๐๐ ปี หลัง พุทธกาล ภิกษุชาววัชชีได้แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ ก่ออธิกรณ์ข้ึน เป็นเหตุให้สังฆมณฑลเกิดปัญหาข้อ ขดั แยง้ เรื่องธรรมวนิ ยั หลักฐานในคัมภีร์ระบุว่า พระยสกากัณฑกบุตรถูกภิกษุชาววัชชีบุตรลงปฏิสารณียกรรม สาเหตุเพราะท่านตาหนิอุบาสก อุบาสิกาท่ีถวายเงินและทองแก่ภิกษุ และท่านได้ปฏิเสธการรับเงินและ ทองที่พวกภิกษุชาววัชชีบุตรยื่นให้ ด้วยหวังจะให้ท่านเป็นพวกด้วย เม่ือท่านเห็นว่า การลงปฏิสารณีย กรรมครั้งน้ไี มช่ อบด้วยธรรม ท่านจึงขอให้ต้ังอนุทูต และพาอนุทูตนี้ไปเพ่ือขอช้ีแจงเหตุผลว่าทาไมท่านจึง ตาหนกิ ารถวายเงนิ และทอง โดยได้ยกเหตุการณต์ ่าง ๆ ทีพ่ ระพทุ ธเจ้าไดเ้ คยทรงวินิจฉัยไว้แลว้ ๑๐๓๗ พระยสกากัณฑบุตร มีบทบาทสาคัญในการทาสังคายนครั้งท่ี ๒ เพราะท่านได้เป็นประธานใน การชกั ชวนพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ทาสังคายนาพระธรรมวินัย ปรารภเหตุภิกษุชาววัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ การทาสงั คายนาคร้งั น้ี ไดพ้ ระเรวตะ เปน็ ผู้ถาม และพระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา๑๐๓๘ มีพระเจ้ากา ลาโศกทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ กระทาที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เม่ือประมาณพุทธศักราช ๑๐๐ ปี ใช้เวลา ๘ เดือน วตั ถุ ๑๐ ประการ ประกอบด้วย๑๐๓๙ ๑. สิงคโิ ลณกัปปะ เกลอื เก็บไวใ้ นเขนงแลว้ ฉันกบั อาหารรสไมเ่ ค็มได้ ๒. ทวงั คุลกปั ปะ ฉันอาหารเม่อื เงาเลยเทยี่ งไป ๒ องคุลไี ด้ ๓. คามนั ตรกัปปะ เข้าบ้านฉนั อาหารท่ีไม่เป็นเดนได้ ๔. อาวาสกัปปะ ทาอุโบสถแยกกนั ในอาวาสทมี่ สี มี าเดียวกันได้ ๕. อนมุ ัตกิ ปั ปะ ทาสังฆกรรมในเม่ือภกิ ษทุ ้ังหลายยงั มาไม่พร้อมแล้วขออนมุ ัติภายหลงั ได้ ๖. อาจิณณกัปปะ ประพฤตติ ามแบบทีพ่ ระอปุ ชั ฌาย์อาจารยเ์ คยประพฤติมาได้ ๗. อมถิตกปั ปะ ฉนั นมสดท่แี ปรไปแลว้ แตย่ งั ไม่เปน็ นมเปร้ยี วได้ ๘. ชโลคิ ด่มื สุราออ่ นๆ ได้ ๙. อทสกนสิ ที นะ ใชผ้ า้ รองนั่งไมม่ ีชายได้ ๑๐.ชาตรูปรชนะ รบั เงนิ รบั ทองได้ ยสวดีเทว,ี พระนาง พระนางยสวดีเทวี เป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุปปติตะแห่งเมืองอโนมะ พระนางเป็นพระ มารดาของพระพทุ ธเจา้ พระนามว่าสขิ ี๑๐๔๐ ประวัติในคมั ภีรป์ รากฏเพียงเทา่ น้ี ยมตคั คิ,ฤาษี ยมตัคคิฤาษี เป็น ๑ ในบรรดาฤาษีช้ันผู้ใหญ่ผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย ใน คัมภีร์๑๐๔๑ ระบุชื่อไว้หลายตน เป็นต้นว่า ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษุ ๑๐๓๗ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๕. ๑๐๓๘ ดรู ายละเอยี ดตัง้ แต่ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๕๒/๔๐๓ เป็นตน้ ไป. ๑๐๓๙ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓. ๑๐๔๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๑๐๔๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗.

๒๗๔ ยมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และฤาษีภคุ ฤาษีเหล่านี้ ถือว่าเป็นผู้ แต่งมนต์ บอกมนตรท์ ี่พราหมณท์ ้ังหลายขบั ตามกันอยใู่ นปัจจุบนั ยโสชะ,พระ พระยโสชะ ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับชาติภูมิ แต่มีเรื่องราวพรรณนาไว้ในคัมภีร์ พระไตรปิฎก และคัมภรี อ์ รรถกถาไว้ดงั นี้ ในเภสัชชขันธกะ พรรณนาถึงพระยโสชะเป็นไข้ คนท้ังหลายนาเภสัชมาถวายท่าน ภิกษุ ทั้งหลายใหเ้ ก็บเภสัชไวข้ ้างนอก จึงถูกสัตว์กินบ้าง ขโมยลักไปบ้าง เป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคอนุญาตกัป ปิยภูมิ (ที่เก็บ) ๔ ชนิด ได้แก่ กัปปิยภูมิท่ีประกาศให้รู้กันตั้งแต่เร่ิมสร้าง, กัปปิยภูมิที่เคลื่อนท่ีได้, เรือน คหบดที เ่ี ขาถวายใหเ้ ปน็ กัปปยิ ภูมิ และ กัปปิยภูมทิ ส่ี งฆส์ มมติข้นึ เอง๑๐๔๒ ในยโสชสูตร๑๐๔๓ ระบุถึงพระยโสชะ พาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครนั้ มาถงึ ก็จัดแจงทพ่ี ักอาศัย ทาใหเ้ กิดเสยี งดัง พระผู้มีพระภาคจงึ รับสั่งให้พระอานนท์เรียกภิกษุเหล่าน้ัน มา และขบั ไล่ออกจากสานัก ท้ังหมดจงึ พากนั ไปสร้างกฏุ มิ ุงดว้ ยใบไม้ จาพรรษาอยู่ท่ีใกล้ฝั่งแม่น้าวัคคุมุทา จากนั้นท่านกส็ ัง่ สอนใหภ้ กิ ษุทั้งหลายไม่ประมาท ส่วนตัวท่านก็ปลีกตัวไป ไม่ประมาท อุทิศกายและใจอยู่ ภายในพรรษานนั้ นั่นเอง ทา่ นกไ็ ดบ้ รรลุวิชชา ๓ แมภ้ ิกษุผ้เู ปน็ บรวิ ารก็ทานองเดยี วกัน ในคัมภีร์อรรถกถา๑๐๔๔ ระบุว่า เม่ือพระยโสชะและบริวารบรรลุพระอรหันต์แล้ว พระผู้มีพระ ภาคไดต้ รัสสรรเสรญิ พรรณนาคุณโดยอ้างทศิ ที่พระภิกษุเหล่านั้นอาศัยอยู่โดยนัยเป็นต้นว่า “อานนท์ ทิศ น้นั เหมอื นแสงสว่างของเรา” คัมภีร์ระบุด้วยว่า เม่ือพระยโสชะและบริวารบรรลุพระอรหันต์แล้ว พระผู้มี พระภาคได้รับส่ังให้พระอานนท์เรียกภิกษุเหล่านั้นเข้าเฝ้า แต่คร้ันเข้าเฝ้าแล้ว ก็ทรงเข้าอาเนญชาสมาธิ แม้ภิกษเุ หล่านั้นมาถึง ทราบว่าพระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงสมาธิอยู่ กน็ ง่ั เข้าอาเนญชาสมาธิทานองเดยี วกัน อนึ่ง พระยโสชะน้ี จัดเป็น ๑ ในกลุ่มอสีติมหาสาวก๑๐๔๕ คือเป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มี อภินหิ ารมากกว่าสาวกอ่นื ๆ อสีติมหาสาวก ประกอบด้วย พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหา นามะ พระอัสสชิ พระนาลกะ พระยสะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ พระอุรุ เวลกัสสปะ พระนทกี ัสสปะ พระคยากัสสปะ พระสารีบตุ ร พระมหาโมคคลั ลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากจั จายนะ พระมหาโกฏฐติ ะ พระมหากัปปินะ พระมหาจุนทะ พระอนุรุทธะ พระกังขาเร วตะ พระอานันทะ พระนันทกะ พระภคุ พระนันทะ พระกิมพิละ พระภัททิยะ พระราหุล พระสีวลี พระอบุ าลี พระทพั พะ พระอุปเสนะ พระขทิรวนยิ เรวตะ พระปุณณมันตานีบุตร พระปุณณสุนาปรันตะ พระโสณกุฏกิ ัณณะ พระโสณโกฬิวิสะ พระราธะ พระสุภูติ พระพระเสละ พระอุปวานะ พระเมฆิ ยะ พระสาคตะ พระนาคิตะ พระลกุณฏกภัททิยะ พระปิณโฑลภารทวาชะ พระมหาปันถกะ พระจฬู ปนั ถกะ พระพากุละ พระกณุ ฑธานะ พระทารุจีริยะ พระยโสชะ พระอชิตะ พระติสสเมตเตย ยะ พระปุณณกะ พระเมตตคู พระโธตกะ พระอุปสิวะ พระนันทะ พระเหมกะ พระโตเทยยะ พระ กปั ปะ พระชตกุ ณั ณิ พระภัทราวธุ ะ พระอทุ ยะ พระโปสาละ พระโมฆราชะ และพระปงิ คยิ ะ ๑๐๔๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๙๕/๑๒๐. ๑๐๔๓ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๒๓/๒๑๔. ๑๐๔๔ ขุ.อุ.อ.(ไทย) ๑/๓/๓๑๖. ๑๐๔๕ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๑.

๒๗๕ โยธาชีวะ, ผใู้ หญบ่ า้ น นายโยธาชวี ะ เป็นผูใ้ หญบ่ ้านแห่งหนึง่ ไมร่ ะบชุ ื่อ ในโยธาชวี สตู ร๑๐๔๖ พรรณนาความ นายโยธาชวี ะ เขา้ เฝ้ากราบทลู ถามปญั หาข้อสงสัยทม่ี ีเคยมี คากล่าวของบูรพาจารย์ท่ีสอนพวกนักรบอาชีพว่า “นักรบอาชีพคนใดอุตส่าห์พยายามในการสงคราม นักรบพวกอื่นสังหารนักรบอาชพี ผอู้ ตุ สา่ ห์พยายามนั้นให้ถึงความตาย เขาหลังจากตายแล้วจะเข้าถึงความ เปน็ ผู้อยูร่ ว่ มกบั เหลา่ เทวดาช่อื สรชติ ” ขอ้ เทจ็ จริงในเร่ืองน้ี เปน็ ประการใด พระผูม้ ีพระภาคเจ้าได้ตรัสห้ามนายยโสชะถึง ๓ คร้ัง แต่เม่ือเห็นว่ายังคาดค้ันต้องการคาตอบ จึงได้ตรัสตามความเป็นจริงว่า คาสอนที่ว่านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ แท้จริงนักรบเหล่านั้นมีคติเพียง ๒ อย่าง เท่าน้ันคือ นรก หรือกาเนิดเดรจั ฉาน นายยโสชะได้ยินพระดารัสเชน่ นนั้ ถงึ กับร้องให้เสียใจที่ได้หลงเชื่อถ้อยคาบูรพาจารย์ของพวก นักรบเหล่าน้ัน เมื่อทราบความจริงแล้ว จึงกล่าวช่ืนชมพระดารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งแสดง ตนเปน็ อุบาสกเข้าถงึ พระรตั นตรัยตลอดชวี ิตตงั้ แต่บดั น้ัน ร รัฐบาล,พระ พระรัฐบาล เป็นบุตรของตระกูลช้ันสูงในถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ๑๐๔๗ คัมภีร์อปทานระบุว่า เกิดในตระกูลท่ีเจริญ มีโภคทรัพย์มาก๑๐๔๘ ได้ช่ือ รัฐปาละ เพราะความสามารถในการดารงรักษารัฐท่ี แบง่ แยกได๑้ ๐๔๙ ต่อมาสละโภคทรพั ย์ออกบวชในศาสนาของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระรัฐบาลเถระ ตั้งแต่เป็นเด็กจนเจริญเติบโตได้รับการเอาใจใส่เล้ียงดูอย่างดีจากบิดาและ มารดา เพราะเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว และเป็นครอบครัวท่ีมีฐานะร่ารวย ได้แต่งงานตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่ไมม่ ีบตุ รธิดา เปน็ ผ้มู ีจติ ใจกวา้ งขวาง จงึ มเี พ่อื นมาก ในรัฏฐปาลสูตร๑๐๕๐ ระบุว่า เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ บ้านเกิด ของท่าน ชาวกุรุได้พากันมาฟังธรรม รัฐบาลก็มาฟังธรรมด้วย หลังจากฟังธรรมแล้วประชาชนได้กลับไป ฝ่ายรัฐบาลเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอบวช พระพุทธเจ้าตรัสบอกเขาให้ไปขออนุญาตบิดาและมารดา ก่อน เขากลับไปบ้านขออนุญาตบิดาและมารดา เพื่อจะบวชแต่ไม่ได้รับอนุญาตจึงอดหาร บิดาและ มารดา กลัวลูกตายสุดท้ายจึงอนุญาตให้บวชตามประสงค์๑๐๕๑ เขาไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วทูลขอบวช พระพทุ ธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชได้ โดยมอบหมายให้พระเถระรปู หนึ่งเปน็ พระอปุ ัชฌาย์๑๐๕๒ เม่ือพระรัฐบาลเถระบวชได้ประมาณ ๑๕ วัน พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากถุลลโกฏฐิตนิคม ไป ประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี พระรัฐบาลได้ปลีกออกไปอยู่รูปเดียว ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจ อยู่ ไมน่ านนกั กบ็ รรลุที่สดุ ของพรหมจรรย์ ๑๐๔๖ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๕๕/๓๙๘. ๑๐๔๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๙๔/๓๕๐. ๑๐๔๘ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๑๐๖/๑๑๗. ๑๐๔๙ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๔๗. ๑๐๕๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๙๓/๓๔๙. ๑๐๕๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๙๘/๓๕๕. ๑๐๕๒ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๕๒.

๒๗๖ พระรัฐบาลเถระนั้น ครั้นบรรลุพระอรหันต์แล้วได้กลับไปยังแคว้นกุรุบ้านเกิดของท่าน โปรด โยมบิดาและมารดาให้เล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ท่านพักอยู่ท่ีมิคจีรวันอันเป็นพระราชอุทยานของพระ เจ้าโกรพั ยะ เจ้าผูค้ รองแควน้ กรุ ุ ถึงเวลาเช้า ไดเ้ ข้าไปบิณฑบาตทหี่ มู่บา้ น ผา่ นนิเวศนข์ องบิดาของตน เวลานน้ั บดิ าของพระรฐั บาลกาลังให้ช่างตัดผมสางผมอยู่ เห็นพระรัฐบาลกาลังเดินมาแต่ไกล จาไม่ได้ จึงไม่ได้ใส่ใจ ทั้งยังกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า พวกสมณะโล้นเหล่านี้บวชลูกชายคนเดียวของ เรา วนั นัน้ ทา่ นจึงไม่ไดอ้ าหารบณิ ฑบาตจากเรอื นของบิดา ไดเ้ พยี งขนมกุมมาสค้างคืนท่ีหญิงคนใช้จะนาไป ทงิ้ ต่อมาเม่ือบิดามารดาทราบความจริง จึงได้นิมนต์พระรัฐบาลมาฉันในวันรุ่งข้ึน พร้อมกับ วางแผนให้ทา่ นลาสิกขา โดยประการตา่ ง ๆ นับตั้งแต่เอาทรัพย์สมบัติมากองต่อหน้า กระทั้งให้ภรรยาเก่า ออกมาเกลย้ี กล่อม แตก่ ็ไม่ประสบความสาเรจ็ คร้นั รบั อาหารบิณฑบาตเสร็จแล้ว ท่านก็ปลีกตัวออกไปพัก อยู่ที่พระราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะ ต่อมาวนั หนึ่ง พระเจ้าโกรพั ยะเสด็จประพาสพระราชอุทยานทอดพระเนตรเห็นท่านทรงจาได้ เพราะเคยรู้จักมาก่อน จึงเสด็จเข้าไปหาเพ่ือสนทนาธรรม ได้ตรัสถามว่า บุคคลบางพวกประสบความ เสื่อม ๔ อย่าง๑๐๕๓ คือ (๑) ความชรา (๒) ความเจ็บ (๓) ความส้ินโภคทรัพย์ (๔) ความสิ้นญาติ จึงออก บวช แตท่ า่ นไม่ไดเ้ ป็นอยา่ งนน้ั ทา่ นรเู้ ห็นอย่างไรจึงได้ออกบวช พระเถระได้ถวายพระแกพ่ ระเจา้ โกรัพยะว่า สาเหตุท่ีออกบวชเพราะรู้ เห็น และได้ฟังธรรมุท เทส ๔ ประการ ได้แก่ (๑) โลกคือหมู่สตั ว์ อันชรานาเขา้ ไปใกล้ความตายไม่ยั่งยืน (๒) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่ มีผปู้ ้องกัน ไม่มใี ครเปน็ ใหญ่เฉพาะตน (๓) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ทุกคน จาต้องละท้ิงส่ิงทั้ง ปวงไป และ (๔) โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอ่ิม เป็นทาสแห่งตัณหา๑๐๕๔ พระเจ้าโกรัพยะ ทรงเลอื่ มใส ตรสั ชมเชยท่านอย่างมาก แล้วไดท้ รงลากลับไป พระรัฐบาลเถระ เป็นผู้มีความศรัทธาเล่ือมใสตั้งใจบวช บวชในพระพุทธศาสนา แต่กว่าจะ บวชได้ก็แสนจะลาบาก ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ดังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลาย ผู้บวชดว้ ยศรัทธา๑๐๕๕ อนง่ึ พระรฐั บาลได้สร้างสมบญุ บารมีไวม้ ากมายหลายพุทธนั ดร จนมาได้รับพยากรณ์ว่า จะสม ประสงค์ในสมัยพระพุทธองคท์ รงพระนามว่า ปทมุ ุตตระ๑๐๕๖ ต่อจากนั้นก็มีศรัทธาสร้างความดี ไม่มีความ ยอ่ ท้อ จนมาถงึ พทุ ธปุ บาทกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราท้ังหลาย จึงได้ถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ มีประการ ดังกลา่ วมา พระรัฐบาลเถระ ครั้นจบกิจส่วนตัวของท่านแล้ว ได้ช่วยพระศาสดาประกาศพระพุทธศาสนา ดังกล่าวมา สดุ ท้ายกไ็ ดน้ ิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ดับสังขารตามโวหารท่ีว่า ชาติสิ้นแล้ว ภพใหม่ไม่ มีอกี แล้ว ราธะ,พระ ๑๐๕๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๐๔/๓๖๒. ๑๐๕๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๐๕/๓๖๔. ๑๐๕๕ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๐/๒๘. ๑๐๕๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๙๗/๑๑๖.

๒๗๗ พระราธะ เกิดในสกลุ พราหมณ์อยู่ในกรุงราชคฤห์ ถูกบุตรและภรรยาทอดทิ้ง และไล่ออกจาก บ้าน จึงได้เข้าไปหาภิกษุท้ังหลายเพื่อขอบรรพชาอุปสมบท แต่พระเถระท้ังหลายไม่ประสงค์ให้บวช ด้วย เห็นว่าเป็นคนแก่เฒ่า ต่อมาวันหนึ่งได้ไปสู่สานักของพระผู้มีพระภาค ได้ทาปฏิสัณฐานแล้ว น่ัง ณ ที่ สมควรส่วนหนึง่ ๑๐๕๗ พระผู้มีพระภาค ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ จึงได้ตรัสถามชีวิตครอบครัวว่า ได้รับการดูแล ปรนนิบัติจากบุตรภรรยาหรือไม่อย่างไร พราหมณ์ได้กราบทูลตามความเป็นจริงว่า ตนถูก บุตรภรรยาไลอ่ อกจากบ้านด้วยเห็นวา่ แกแ่ ล้ว จึงไดม้ าอาศัยอย่ทู ่ีวดั แมป้ รารถนาจะบวช แต่ก็ไม่มีภิกษุรูป ใดบวชให้ จึงได้ทรงประทานพุทธานุญาตมอบหมายให้พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ ดาเนินการบวชให้ พราหมณ์ตามประสงค์ พรอ้ มทั้งมอบหมายให้พระสารบี ุตรดูแลพราหมณ์ผู้น้ีด้วยความเฟือ้ เฟื้อ พระราธะ เม่ือได้รับการอุปสมบทแล้ว ก็ได้รับการดูแลจากพระสารีบุตรในเรื่องของอาหาร บิณฑบาต และท่ีอยู่อาศัย เพราะท่านเป็นพระบวชใหม่ ท่านได้ที่อยู่เป็นที่สบาย ได้กรรมฐานเป็นที่สบาย ขวนขวายไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์ คร้ังน้ันพระสารีบุตรได้พาท่านไปเฝ้าพระทศพล พระศาสดาทรง ทราบกต็ รัสถามว่า นสิ ิตทพ่ี ระองคม์ อบหมายใหเ้ ป็นอย่างไร พระสารีบุตรได้กราบทูลตามความเป็นจริงว่า พระราธะเป็นผู้ยนิ ดีย่งิ ในพระศาสดา ควรนบั เป็นแบบอยา่ งได้ เหตกุ ารณค์ รั้งนี้ ทาใหพ้ ระสารีบุตรปรากฏในท่ามกลางสงฆว์ ่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที พระ ศาสดาทรงสดับเรื่องน้ัน จึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า พระสารีบุตรไม่ใช่เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เฉพาะในชาตินี้เท่าน้ัน ชาติก่อนเธอก็เป็นคนผู้มีความกตัญญูกตเวทีเหมือนกัน จากนั้นจึงตรัสชาดกเร่ือง พระยาช้างถูกเสี้ยนตาเท้า และได้รับการพยาบาลจากช่างไม้กลุ่มหนึ่งกระทั่งหายเป็นปกติ พระยาช้าง ตอ้ งการจะตอบแทน จงึ ได้นาลูกช้างของตนมามอบให้ช่างไม้เพ่อื ไว้ใชส้ อยเป็นการตอบแทน ลูกช้างได้ช่วย ช่างไมข้ นทพั สมั ภาระต่าง ๆ ไดท้ าอุปการะแกช่ า่ งไม้๑๐๕๘ อน่ึง ในอรรถกถาธรรมบท๑๐๕๙ เล่าประวัติพระราธะว่า เป็นพราหมณ์ตกยากในเมืองสาวัตถี ได้เข้าไปอาศัยภิกษุเล้ียงชีวิตอยู่ รับใช้พระภิกษุท้ังหลายด้วยกิจน้อยใหญ่ ยังอัตภาพให้เป็นไป ต่อมา ปรารถนาจะบวช แตไ่ มม่ ีภกิ ษรุ ปู ใดบวชให้ จึงซบู ผอมด้วยตรอมใจไมส่ มหวงั พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ของราธะ จึงได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสถามว่า ใครระลึกถึงคุณของพราหมณ์ผู้น้ีได้บ้าง พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในท่ีประชุมสงฆ์เวลานั้นได้ แสดงตนว่า ระลึกถึงคุณที่พราหมณ์ผู้น้ีเคยถวายอาหารบิณฑบาตรทัพพีหน่ึง พระผู้มีพระภาคจึงรับส่ังให้ พระสารบี ตุ รเปน็ อปุ ัชฌาย์บวชใหร้ าธะในวนั นัน้ ๑๐๖๐ ถือเป็นภิกษุรูปแรกท่ีได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติ จตุตถกรรมวาจา๑๐๖๑ พระราธะครั้นบวชแล้วไม่นาน ไม่ประมาท มีความเพียร ก็ได้บรรลุถึงท่ีสุดแห่ง พรหมจรรย์ พระราธะเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษารูปหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากหลักฐานในพระสูตรต่าง ๆ มี เรื่องราวท่านเข้าไปกราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคอยู่เนือง ๆ หรือบางคร้ัง แม้พระราธะไม่ได้ กราบทลู ถาม แต่พระผูม้ ีพระภาคก็ยกธรรมขนึ้ ปรารภกบั พระราธะ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี ๑๐๕๗ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๙๕. ๑๐๕๘ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๙๘. ๑๐๕๙ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๒๘๖. ๑๐๖๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๘๗. ๑๐๖๑ ว.ิ ม.อ.(ไทย) ๔/๑/๑๗๒.

๒๗๘ ในราธสตู รแห่งสังยตุ ตนิกาย๑๐๖๒ ระบุพระราธะเข้าไปเฝ้า กราบทูลปัญหากะพระผู้มีพระภาค เจา้ ว่า ทาอย่างไรถึงละอหังการ มมังการ และมานานุสัยได้ ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคแนะนาให้พิจารณาเห็น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ล้วน ไมใ่ ชข่ องเรา เราไม่เปน็ นั่น น้นั ไมใ่ ชอ่ ตั ตาของเรา ในมารสูตร แหง่ สงั ยุตตนกิ าย๑๐๖๓ ระบุพระราธะไดเ้ ข้าเฝ้า และทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระ ภาคขณะทรงประทับอยทู่ ่ีเมืองสาวัตถี พร้อมกับกราบทลู ถามปญั หาเกี่ยวกับเร่ืองมาร ต่อปัญหาน้ี พระผู้มี พระภาคตรสั ว่า เมือ่ มรี ูป มีเวทนา สญั ญา สังขาร และวญิ ญาณ จึงมีมาร ในสัตตสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๐๖๔ ระบุพระราธะได้เข้าไปกราบทูลถามปัญหาขณะที่พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันว่า ที่เรียกว่า “สัตว์” เพราะอาศัยเหตุอะไร ต่อปัญหาน้ี พระผู้มีพระ ภาคตรสั ตอบว่า ที่ช่ือวา่ สัตว์ เพราะข้องติดอยใู่ นความพอใจ ความกาหนดั ความเพลิดเพลิน ความทะยาน อยากในรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ ในปริญเญยยสตู ร แหง่ สังยุตตนิกาย๑๐๖๕ พระผู้พระภาคยกข้อธรรมแสดงแก่พระราธะขณะที่ เธอเข้าเฝ้าพระผ้มู พี ระภาคถึงทปี่ ระทับ ทรงแสดงธรรมทคี่ วรกาหนด ไดแ้ ก่รปู เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ, ความกาหนดรู้ ได้แก่ความสิ้นราคะ ความส้ินโทสะ ความสิ้นโมหะ, และบุคคลผู้กาหนดรู้ ได้แก่ พระอรหนั ต์ พระราธเถระท่านดารงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนา พอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับ ขันธปรินิพพาน ในคัมภีร์ไม่ระบุว่าท่านดับขันธปรินิพพานที่ใด แต่ท่านคงดารงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาล จงึ ดับขันธปรินพิ พาน ราหุล,พระ พระราหุล เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ กับพระนางยโสธรา (พิมพา) เป็นพระนัดดา ของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสด์ุ๑๐๖๖ เม่ือพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้วเสด็จมาเทศนาโปรด พระประยูรญาติท่ีกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ท่ีนิโครธาราม วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปที่พระราชนิเวศน์ของ พระนางยโสธราพระราชเทวีเก่าของพระองค์ พระนางได้ส่งพระราหุลกุมาร ผู้เป็นพระโอรสออกมาทูลขอ พระราชสมบัติท่คี วรจะได้ราหลุ กมุ ารออกไปเฝา้ เจรจาปราศรัยแสดงความรักใคร่มปี ระการต่าง ๆ คร้ันเห็น พระบรมศาสดาจะเสด็จกลับ จึงร้องทูลขอราชสมบัติพลางตามเสด็จพระบรมศาสดาทรงดาริว่า ทรัพย์ สมบตั ิท้ังหลาย ที่จะม่นั คงถาวร และประเสริฐยง่ิ กว่าอริยทรัพย์น้ันไม่มี ควรที่เราจะให้อริยทรัพย์แก่ราหุล เถิด เมื่อพระพทุ ธองค์ทรงดารอิ ย่างนแ้ี ล้ว จงึ ตรัสสง่ั พระสารบี ุตรวา่ สารบี ุตร ถ้าอย่างนน้ั เธอจงให้ ราหุลบวชเถดิ ขณะน้ันราหลุ กุมารยังเยาว์อยู่มีอายุยังไมค่ รบอุปสมบท พระสารีบุตรจึงทูลถามว่า จะโปรด ใหข้ า้ พระพุทธเจา้ บวชราหลุ กุมารอย่างไร พระบรมศาสดาทรงปรารภเรื่องน้ีให้เป็นเหตุ จึงทรงอนุญาตให้ ๑๐๖๒ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๗๑/๑๑๑. ๑๐๖๓ ส.ข.(ไทย) ๑๓/๑๖๐/๒๕๓. ๑๐๖๔ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑๖๑/๒๕๔. ๑๐๖๕ ส.นิ.(ไทย) ๑๗/๑๖๓/๒๕๖. ๑๐๖๖ ดู ข.ุ พุทธฺ .(ไทย) ๓๓/๑๓-๑๕/๗๑๘.

๒๗๙ ภิกษุบวชกุลบุตรที่มีอายุยังไม่ครบอุปสมบทให้เป็นสามเณร ด้วยการให้สรณคมน์๑๐๖๗ นับได้ว่าราหุลเป็น สามเณรรปู แรกในพระพุทธศาสนา การบวชของสามเณรราหุล เป็นเหตุให้พระเจ้าสุทโธทนะไม่สู้จะพอพระทัยมากนัก เพราะผู้ท่ี พระองค์คาดหวังจะให้เป็นรัชทายาท ได้ออกบวชตามลาดับนับต้ังแต่พระพุทธเจ้า พระนันทะ กระทั่งถึง พระราหุล จงึ ได้ทรงทูลขอพรมิใหบ้ วชแกก่ ลุ บตุ รที่บดิ ามารดาไม่อนุญาต๑๐๖๘ เมื่อราหุลกุมารบวชเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระอุปัชฌาย์ของตนไป คร้นั มอี ายุครบแล้วกไ็ ด้อปุ สมบทเปน็ ภิกษุ วันหน่ึงในขณะท่ีพระราหุลพักอยู่ ณ ปราสาทช่ืออัมพลัฏฐิกา พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปหา ทรงแสดงจูฬราหโุ ลวาทสตู ร เปรยี บเทียบความเปน็ สมณะของบคุ คลท่ไี มม่ คี วามละอาย กล่าวเท็จเท็จทั้งที่ รู้ว่าเสมือนน้าในที่เหลือในขันหลังจากเทล้างพระบาทไปแล้ว๑๐๖๙ ตรัสสอนให้พระราหุลสาเหนียกเรื่อง พิจารณาให้ดีก่อนทา พูด และคิด โดยทรงยกตัวอย่างเปรียบเทียบเร่ืองกระจกมีประโยชน์สาหรับส่อง ดู๑๐๗๐ สน้ิ กระแสพระเทศนา พระราหุลได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลเุ ป็นพระโสดาบัน ส่วนในมหาราหุโลวาทสูตร๑๐๗๑ มีข้อความระบุไว้ว่า วันหนึ่งขณะพระราหุลได้ตามเสด็จไป บิณฑบาตในกรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ผินพระพักตร์ไปรับสั่งกับพระราหุลให้พิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ โดยความเป็นไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา จากนั้นก็ทรงแนะนาวิธีการ เจริญเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานแกพ่ ระราหุล พระราหุลเป็นต้นเหตุบัญญัติผ่อนผันการอนุญาตให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๒-๓ คืน เหตุเกิดเม่ือสมัยท่านยังเป็นสามเณร ภิกษุไม่อนุญาตให้สามเณรราหุลนอนด้วย เน่ืองจากมีพุทธานุญาต ห้ามไว้ ทาใหส้ ามเณรราหุลไม่มีท่ีนอน ต้องไปอาศัยวัจกุฎีของพระพุทธเจ้า คร้ันพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้า ไปพบเขา้ จงึ ไดว้ างอนุบญั ญัติเพ่ิมเตมิ ๑๐๗๒ ในราหุลสงั ยุต๑๐๗๓ พรรณนาเร่ืองราวพระราหุล ได้เข้าไปกราบทูลขอโอวาทเพื่อประโยชน์แก่ การปลีกวิเวก คร้ังน้ี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสให้โอวาทด้วยการยกเรื่องตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ, รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา การกาหนด รอู้ ย่างน้ี ย่อมเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเบ่อื หนา่ ย คลายกาหนัด จิตหลดุ พน้ เพราะรู้ชดั ตามความเป็นจริง ในราหุลสูตร๑๐๗๔ พรรณนาความถงึ พระราหุลได้เข้าไปกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดงธรรมอันเป็นเหตุให้คลายอหังการ มมังการ และมานานุสัย พระผู้มีพระภาคได้ประทานโอวาทให้ พจิ ารณารูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ ท้ังเป็นที่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ท้ังภายใน และภายนอก โดยความเป็นอนตั ตา แม้ในราหุโลวาทสตู ร๑๐๗๕ กท็ รงให้โอวาทแก่พระราหุลโดยทานองเดียวกันน้ี ส่วนใน ๑๐๖๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๐๕/๑๖๕. ๑๐๖๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๐๕/๑๖๗. ๑๐๖๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๐๗/๑๑๗. ๑๐๗๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๐๙/๑๑๙. ๑๐๗๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๑๓/๑๒๕. ๑๐๗๒ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๐/๒๓๘. ๑๐๗๓ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๑๘๘/๒๘๙. ๑๐๗๔ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๙๑/๑๗๔. ๑๐๗๕ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๒๑/๑๔๗.

๒๘๐ ราหุลสูตรในจตุกกนิบาต๑๐๗๖ ทรงประทานโอวาทให้พระราหุลพิจารณาธาตุ ๔ มีดิน น้า ไฟ และลมโดย ความเปน็ เป็นอนัตตา พระราหลุ นนั้ ท่านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาธรรมวินัย ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ครั้นท่านลุกขึ้นแต่ เชา้ ก็ไปกอบทรายให้เต็มฝา่ พระหตั ถแ์ ล้ว ต้ังความปรารถนาว่า ในเวลาน้ีข้าพเจ้าพึงได้รับซึ่งโอวาทคาสอน จากสานักของพระบรมศาสดา หรือจากสานักของอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายให้ได้มากประมาณเท่าเม็ด ทรายในกามอื แห่งขา้ พเจ้านี้ ด้วยเหตุน้เี อง พระราหุลจึงไดร้ บั ยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุท้ังหลาย ผู้ใคร่ในการศึกษา๑๐๗๗ ครั้นท่านดารงชนมายุสังขารโดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปริ นพิ พาน ราสิยะ, ผู้ใหญบ่ ้าน ราสียะ เปน็ ช่อื ผู้ใหญ่บ้าน ปรากฏในราสิยสูตร๑๐๗๘ ระบุว่า ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ กราบทูลถามข้อเท็จจริงกรณีพระผู้มีพระภาคตรัสตาหนิตบะทุกชนิด ทรงชี้โทษ และคัดค้านการ บาเพ็ญตบะว่า เป็นอยู่เศร้าหมองโดยส่วนเดียว ข้อเท็จจริงเป็นประการใด ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาค ตรัสวา่ คนที่พูดอย่างนั้น ชื่อว่าพูดไม่ตรงตามที่พระองค์ตรัสไว้ ถือเป็นการกล่าวตู่พระองค์ด้วยถ้อยคาอัน เปน็ เท็จ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ไดท้ รงแจกแจง โดยทรงยกตัวอย่างเช่น อัตตกิลมัตถานุโยค และกามสุขัล ลิกานุโยค ถือเป็นที่สุด ๒ อย่างท่ีบรรพชิตไม่ควรเสพ มัชฌิมาปฏิปทา เป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อใหเ้ กิดญาณ เปน็ ไปเพื่อความสงบ เพื่อความรยู้ ิง่ เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน แต่ผู้บริโภคกามก็ยังคงมี อยู่ ในบรรดาผู้บริโภคกาม บางคนแสวงหาทรัพย์โดยไม่ชอบ ได้ทรัพย์แล้ว ก็ไม่เลี้ยงตนให้อิ่มนา และไม่ แจกจ่ายก็มี อย่างนี้ พระองค์ติเตียนท้ัง ๓ สถาน แต่บางคนแสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม คร้ันได้ทรัพย์ แล้วก็ไมเ่ ลยี้ งตนใหอ้ มิ่ นา และไมแ่ จกจ่าย อย่างน้ี พระองค์สรรเสริญการแสวงหา แต่ทรงติเตียนท่ีไม่เล้ียง ตนเอง และไม่แจกจ่าย เปน็ ต้น อนง่ึ ตบะบางอย่าง พระผูม้ ีพระภาคตรัสวา่ ทาตนให้เดือดร้อน ไม่เป็นเหตุบรรลุกุศลธรรม ไม่ เป็นเหตใุ ห้แจง้ ญาณทศั นะทีป่ ระเสรฐิ ก็มี แตบ่ างอย่างทาตนให้เดือดรอ้ น แต่เป็นเหตุให้บรรลุกุศลธรรมก็มี บางอย่างทาตนให้เดือดร้อน แต่ก็เป็นเหตุให้บรรลุกุศลธรรมด้วย ท้ังยังเป็นเหตุให้รู้แจ้งญาณทัศนะอัน ประเสริฐ การกล่าวหาว่าพระผูม้ ีพระภาคตาหนติ บะโดยสว่ นเดยี ว จึงเปน็ การกล่าวเท็จ และเป็นการกล่าว ต่พู ระพทุ ธเจ้า ผู้ใหญ่บ้านชื่อราสิยะ เมื่อได้ฟังคาจากพระผู้มีพระภาคแล้ว เกิดความเลื่อมใส เข้าใจแจ่มชัด กล่าวช่ืนชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ได้ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ต้งั แตบ่ ดั นัน้ รปู นนั ทาเถร,ี ภิกษณุ ี ๑๐๗๖ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๗๗/๒๔๙. ๑๐๗๗ องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๒๐๙/๒๘. ๑๐๗๘ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๖๔/๔๑๙.

๒๘๑ รปู นนั ทาเถรี เป็นธดิ าของเจ้าศากยะพระนามว่าเขมกะ เดิมชื่อ นันทา ความท่ีพระนางเป็นผู้ มีรูปงาม พระญาติจึงเฉลิมพระนามเพิ่มว่า รูปนันทา๑๐๗๙ ในทุกนิบาตระบุคาว่า “อภิรูปนันทาเถรี” ๑๐๘๐ และเพราะความที่พระนางรูปงามน้ีเอง จึงทาให้เกิดการวิวาทกันใหญ่โตในหมู่เจ้าศากยะ สาเหตุ เพราะต่างก็ประสงค์จะได้ตัวพระนางมาครอบครอง พระบิดาเห็นว่าเรื่องจะบานปลาย จึงขอร้องให้พระ นางบวช๑๐๘๑ ในอรรถกถาธรรมบท๑๐๘๒ ระบุสาเหตุของการออกผนวชของพระนางไว้ว่า เป็นเพราะสิเนหา ในพระญาติ กล่าวคือ พระนางเห็นว่า เจ้าพี่ใหญ่ (พระพุทธเจ้า) ก็สละราชสมบัติผนวช พระราหุลกุมารก็ ผนวชแล้ว เจ้าพ่ีของพระนาง (พระนันทะ) ก็ผนวชแล้ว แม้พระมารดาก็ผนวชแล้วเช่นกัน เมื่อพระญาติ เหล่านี้ผนวชแล้ว พระนางจะอยู่เพ่ืออะไร พระนางจึงตัดสินใจผนวชเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระญาติ เหล่านัน้ พระนางรูปนันทาเถรี คร้ันบวชแล้ว ก็ไม่กล้าเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพราะได้ฟังมาว่า พระองค์ทรงตเิ ตยี นรปู ต่อมาพระผูม้ ีพระภาคไดท้ รงใช้อุบายให้นางเข้าเฝ้า คร้ันเข้าเฝ้าแล้ว ก็ทรงเนรมิต หญงิ ๓ คน ด้วยฤทธิ์ คอื หญงิ สาวสวยเหมือนเทพอัปสร หญิงชรา และหญงิ ทต่ี ายแล้ว ทาให้นางเกิดความ สลดใจ มีความเบอ่ื หน่ายในภพ ครน้ั ไดร้ ับการตรัสเตือนจากพระผ้มู ีพระภาคเจ้าแล้ว นางก็อบรมจิต เจริญ อสุภกมั มัฏฐาน พิจารณาร่างกายโดยความเป็นของไม่สะอาด เป่ือยเน่า ไหลเข้าออกอยู่ด้วยของไม่สะอาด สุดทา้ ยกไ็ ด้บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ พรอ้ มดว้ ยปฏสิ ัมภทิ า อนึ่ง ในคัมภีร์อรรถกถาขยายความ “อุบาย” ที่นางรูปนันทากล่าวถึงดังนี้ “พระศาสดาทรง ทราบวา่ พระนางหลงมัวเมาพระสิริโฉม จึงตรัสว่า ภิกษุณีท้ังหลายต้องมารับโอวาทด้วยตนเอง ส่งภิกษุณี รูปอ่ืนไปแทนไม่ได้ แต่นั้น พระนางรูปนันทา เมื่อไม่เห็นทางอ่ืน ก็ไปรับพระโอวาท ทั้งที่ไม่ปรารถนา” ๑๐๘๓ นางรูปนันทาเถรี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุณี ท้งั หลายผยู้ ินดใี นฌาน เรวดี,นาง นางเรวดี เป็นภรรยาของนันทิยะอุบาสก ท้ังสองอาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี ปรากฏในวิมาน วัตถ๑ุ ๐๘๔ ความระบถุ ึงภพภูมิของทัง้ ๒ หลังจากส้ินชวี ิตไปแล้ว โดยในส่วนของนันทิยะอุบาสก เมื่อครั้งยัง มีชีวิตอยู่ เป็นคนดีมีศีลธรรม สั่งสมกุศลกรรมไว้มาก เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว เหล่าเทพท้ังหลายจึงมา ต้อนรับเหมือนเห็นญาติและสหายผู้มีใจดี ต้อนรับคนท่ีร้างแรมไปนาน ขณะที่นางเรวดีผู้เป็นภรรยานั้น เมอื่ ครง้ั ยงั มชี วี ติ อยู่ ประพฤติชวั่ ช้า เป็นคนตระหน่ี มักโกรธ มบี าปธรรม ประตูนรกจึงเปิดรับนาง๑๐๘๕ นาง ๑๐๗๙ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๒. ๑๐๘๐ ขุ.เถรี.(ไทย) ๒๖/๑๙/๕๕๗. ๑๐๘๑ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๕๒/๕๔๐. ๑๐๘๒ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๕๘. ๑๐๘๓ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๓. ๑๐๘๔ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๘๖๑/๑๐๑. ๑๐๘๕ ข.ุ วิ. (ไทย) ๒๖/๘๖๓/๑๐๑.

๒๘๒ ถกู จับโยนลงไปในคูถนรกช่อื สงั สวกะ ซง่ึ เตม็ ไปด้วยอจุ จาระ ปัสสาวะ และส่ิงสกปรก มีกล่ินเหม็น เพราะ ผลแหง่ กรรมชั่วนั้น๑๐๘๖ เรวตะ, พระ พระเรวตะ ปรากฏในจุลวรรคแห่งวินัยปิฎก๑๐๘๗ ระบุคุณสมบัติไว้ว่า “เป็นพหูสูต เชี่ยวชาญ ปริยัติ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา มีความละอาย มีความ ระมัดระวงั ใฝก่ ารศึกษา” พระเรวตะรปู นี้ มีชีวิตอยภู่ ายหลงั พุทธปรนิ พิ พานไปแล้ว ดังหลักฐานปรากฏเมื่อคร้ังภิกษุชาว วัชชีบตุ รยกวัตถุ ๑๐ ประการขึ้นมาแสดง ภิกษุทั้งหลายต่างก็หวังความช่วยเหลือจากท่าน ทราบข่าวว่าท่าน พักอยูท่ ี่เมอื งโสเรยยะ ก็มุง่ เดนิ ทางไปเมืองโสเรยยะ เพ่อื เกลย้ี กล่อมให้ท่านเป็นพวกด้วย แต่พอท่านทราบ ข่าวดว้ ยทิพโสต ท่านกป็ ลีกตัวหลบไปท่ีเมืองสังกัสสะ เมื่อถูกตามไปที่เมืองสังกัสสะอีก ท่านก็ปลีกตัวไปที่ เมอื งกณั ณกชุ ชะ เมอื งอุทุพระ เมอื งอัคคฬปุระ เมอื งสหชาตินครตามลาดบั ๑๐๘๘ อย่างไรก็ตาม ต่อมาท่านก็ได้รับนิมนต์จากพระยสกากัณฑกบุตร ร่วมกาจัดเสี้ยนหนามของ พระศาสนา ทาสังคายนาคร้ังท่ี ๒ หลังพุทธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี การทาสังคายนคร้ังน้ี พระเรวตะรับ หน้าที่เป็นผู้ถาม มีพระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา มีพระกาลาโศกราชเป็นผู้อุปถัมภ์ กระทาที่วาลิการาม เมอื งเวสาลี ใชเ้ วลา ๘ เดือน เรวตขทริ วนยิ ะ,พระ พระเรวตขทิรวนิย ช่ือเดิมคือ เรวตะ เป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ กับนางสารีพราหมณี มี ศักดิเ์ ป็นนอ้ งรว่ มทอ้ งเดยี วกนั กบั พระสารบี ตุ ร๑๐๘๙ ได้ชื่อว่า “ขทิรวนิย” เป็นนามสร้อย เพราะท่านอาศัย อยู่ในป่าสะแกมีหนามขาว (ขทระ แปลว่าไม้ตะเคียนก็มี) และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าใน ตาแหน่งเอตทัคคะวา่ เลศิ กว่าภิกษุทง้ั หลายผู้อยู่ปา่ เปน็ วัตร๑๐๙๐ อรรถกถาขุททกนิกายา ธรรมบทพรรณนาไว้ว่า นับต้ังแต่พระสารีบุตรพาน้องชาย และน้อง หญงิ ไปบวช เหลอื เพียงเรวตะผู้เดยี ว นางสารีพราหมณีก็ไม่คอ่ ยวางใจ เกรงวา่ พระสารีบุตรจะพาน้องชาย คนสุดท้องไปบวชอีก จึงได้จับแต่งงานต้ังแต่อายุ ๗ ขวบ วันส่งตัวบ้านเจ้าสาว ญาติได้ทาพิธี และอวยพร ทานองให้ถือไม้ท้าวยอดทอง กระบองยอดเพชรเหมือนคุณยาย เรวตะก็ถามว่า คนไหนเป็นยาย ญาติก็ชี้ ไปที่หญิงชราวัย ๑๒๐ ปี ซึ่งเป็นยายของเจ้าสาว ก็เกิดความเบ่ือหน่าย นึกถึงพระสารีบุตรผู้เป็นพ่ีชายว่า คงจะเห็นเหตุน้ีกระมังจึงได้ออกบวช จึงได้ออกอุบายหนีไปบวชพระกับกลุ่มหน่ึงที่อยู่ในป่าซึ่งเป็น สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรผู้เป็นพ่ีชาย หลังจากบวชแล้ว ก็เกรงว่าญาติ ๆ จะตามค้นหา จึงได้เรียน กัมมฏั ฐานจากพระเถระในป่านนั้ แลว้ กป็ ลกี ตัวไปอยู่ทปี่ ่าสะแกห่างจากนั้นไป ๓๐ โยชน์ สามเณรเรวตะได้ทาความเพียร และภายในพรรษาน้ันเองก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา ๑๐๘๖ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๘๗๑/๑๐๒. ๑๐๘๗ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๕๒/๔๐๓. ๑๐๘๘ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๕๑/๔๐๒-๔๕๓. ๑๐๘๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๘๕. ๑๐๙๐ อง.ฺ เอก. (ไทย) ๒๐/๒๐๓/๒๗.

๒๘๓ ฝ่ายพระสารีบุตร เม่ือทราบว่าน้องชายออกบวชแล้ว ก็มีความประสงค์จะไปเย่ียม แต่ได้ถูก พระผู้มีพระภาคเจ้ายับย้ังไว้ เพราะมีพระประสงค์จะเยี่ยมเช่นกัน คร้ันออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงได้ เสดจ็ ออกไปเย่ยี มสามเณรเรวตะ พรอ้ มด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป สามเณรเรวตะ ทราบข่าวพระผู้มพี ระภาคกาลงั เสด็จมาเยยี่ ม กเ็ นรมิตพระคันธกุฎีสาหรับพระ ผมู้ ีพระภาคเจา้ เนรมติ เรอื นยอดท่จี งกรม ทพี่ กั กลางวัน และทพี่ ักกลางคนื รับรองสาหรับเหล่าภิกษุ ๕๐๐ รูป พระศาสดาไดป้ ระทบั อย่ทู ีป่ า่ สะแกสิ้นระยะเวลาก่ึงเดอื น บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูป ภิกษุแก่ ๒ รูป ในเวลาท่ีพระศาสดาเสด็จเข้าสู่ป่าไม้สะแก ก็เกิด ความคดิ วา่ เรวตะสร้างส่ิงก่อสร้างมากมายอย่างนี้ จะมีเวลาบาเพ็ญสมณธรรมที่ไหน ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ มาก็เป็นเพราะทรงเห็นว่าเปน็ น้องพระสารบี ตุ ร มิเช่นนั้นก็คงไม่เสด็จมา พระศาสดาทราบความดาหริของ ภิกษุ ๒ รูป ในเวลาเดินทางกลับ จึงทรงอธิฐานให้เธอทั้งสองลืมสัมภาระ เพ่ือจะได้กลับไปเห็นสภาพป่า หลังจากที่สามเณรเรวตะคลายฤทธิ์แล้ว ส่วนภิกษุ ๒ รูป เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง ก็พบแต่ป่าแม่สะแก และ เห็นสัมภาระของตนหอ้ ยอยูบ่ นกิ่งไม้ หลังจากออกจากที่พักของสามเณรเรวตะแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พาภิกษุทั้งออกเดินทาง ส้ินระยะทางอีกก่ึงเดือนก็เสด็จถึงบุพพาราม อารามที่นางวิสาขาสร้างถวาย ทรงประทับอยู่ในบุพพาราม น้ัน โดยได้รับการอุปถมั ภ์บารุงจากนางวสิ าขาเปน็ อยา่ งดี นางวิสาขาครั้นไดส้ อบถามถงึ ทอี่ ยู่ของเรวตะ กลุ่มหนึ่งก็บอกว่า ที่อยู่ของเรวตะน้ันมีแต่หนาม เหมือนทอ่ี ยู่ของเปรต ขณะท่ภี กิ ษอุ กี กลุ่มหนงึ่ บอกวา่ ทข่ี องเรวตะเหมอื นทพิ ยวมิ าน ท่ีตกแต่งด้วยฤทธ์ิ ไม่ อาจพรรณนาได้ เกิดความสงสัย จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกครั้ง เพราะปรารภเรื่องน้ีเป็น เหตุ พระผมู้ ีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรุปว่า พระอรหันต์อยู่ในสถานที่ใด จะเป็นบ้าน ป่า ที่ลุ่ม ที่ดอนก็ตาม ท่ี นน่ั ย่อมเปน็ รมณียสถาน๑๐๙๑ อนึ่ง ในมหาโคสงิ คสูตร มีปรารภเร่ืองทัศนะของพระมหาเถระท่ีมีต่อป่าโคสิงควันในยามราตรี จันทร์กระจ่างเช่นน้ีงามเหมือนอะไร ? พระเรวตะได้แสดงทัศนะไว้ว่า “งามเหมือนภิกษุผู้หลีกเร้น หม่ัน ประกอบความเพียรเครือ่ งระงบั จติ ไม่เหินหา่ งจากฌาน ประกอบด้วยวปิ สั สนา เพิม่ พนู เรือนวา่ งอยู่๑๐๙๒ โรหณิ ,ี พระนาง พระนางโรหิณี เปน็ พระขนิษฐาของพระอนุรุทธะ พระนางโรหณิ ี เดมิ เปน็ โรคผิวหนัง เม่ือพระอนุรทุ ธะมาเยี่ยมท่ีพระตาหนักในเมืองกบิลพัสดุ์ พระ นางละอาย ไมก่ ล้าปรากฏกายให้เหน็ พระอนรุ ุทธะจงึ ให้คนไปอัญเชิญมา สอบถามทราบความแล้ว ก็แนะ อุบายให้พระนางขายเคร่ืองประดับท่ีใส่สร้างโรงฉัน ๒ ชั้น เม่ือสร้างเสร็จแล้วก็ให้จัดแจงปัดกวาด ปู อาสนะไว้ ตั้งหม้อน้าด่ืมไว้ พระนางโรหิณีได้กระทากิจต่าง ๆ ที่ควรทาในโรงฉัน วันหน่ึง ขณะที่พระนาง กาลงั กวาดโรงฉันอยนู่ ั่นแล โรคผวิ หนงั ก็ราบ ต่อมาเมื่อโรงฉันสร้างเสร็จแล้ว พระนางก็นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมาถวาย ภัตตาหาร ครั้นพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์มา พระนางก็ให้บริวารจัดแจง ส่วนพระนางยังละอาย ไม่ กล้าออกมาด้วยละอายที่เป็นโรคผิวหนัง พระพุทธเจ้าจึงรับส่ังให้เรียกพระนางมาเฝ้า พร้อมกับตรัสถาม เหตผุ ล เมื่อทรงทราบแล้ว ก็ตรสั มลู เหตขุ องโรคว่าเกดิ แตก่ รรมเก่าท่ีพระนางเป็นคนมักโกรธ ผูกอาฆาตใน ๑๐๙๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๙๐. ๑๐๙๒ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๓๔/๓๖๘.

๒๘๔ หญงิ นักฟ้อนผหู้ น่งึ จงึ ได้แกลังเอาลูกเต่าร้างมาตาเป็นผง แล้วโรยใส่ท่ีนอน ผลของการกระทาครั้งน้ัน ทา ใหห้ ญิงนักฟอ้ นไดร้ บั ความทุกข์ทรมาน มาชาติน้ีจึงทาให้พระนางเป็นโรคผิวหนัง๑๐๙๓ จากนั้นจึงทรงแสดง โทษของความโกรธ จบพระธรรมเทศนา พระนางโรหณิ ไี ด้ต้งั อยใู่ นโสดาปัตตผิ ล ล ลกุณฏกภทั ทยิ ะ, พระ พระลกณุ ฏกภัททยิ เถระ เกดิ ในตระกูลเศรษฐีผมู้ ่ังคั่งในเมืองสาวัตถี เดิมช่ือภัททิยะ แต่ด้วยความ ที่ร่างกายของท่านเล็ก เต้ียเหมือนเด็ก ๑๐ ขวบ คนท้ังหลายจึงให้สร้อยนามท่านว่า “ลกุณฏกะ” ซ่ึงมี ความหมายว่า ต่า หรอื เต้ีย ดงั พระดารัสของพระพทุ ธเจา้ ทวี่ ่า “ภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอเห็นหรือไม่ ภิกษุซึ่ง กาลังเดินมา มีวรรณะไม่งาม ไม่น่าดู เต้ีย เป็นที่ดูแคลนของภิกษุทั้งหลาย” ๑๐๙๔ ในอรรถกถาระบุว่า สาเหตทุ ีท่ าให้ทา่ นมรี ปู ร่างเตี้ย เพราะรังเกียจ และชอบแกล้งคนแก่ด้วยวิธีการแปลก ๆ เช่น ให้เกล้ามวย ผมผกู ไว้ท่ีรักแก้บา้ ง ให้เล่น หรอื ทาพิเรน ๆ ตามใจชอบบ้าง๑๐๙๕ ในอรรถกถาชาดกระบุว่า เป็นเพราะผล กรรมทีช่ อบแกลง้ สตั ว์ สตรีชรา ชายชราดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น กระแทกท่ีท้องให้ล้มลงบ้าง ให้ตีลังกาบ้าง เปน็ ต้น๑๐๙๖ วันหน่ึง วันหนึ่งได้ตามประชาชนไปฟังธรรม ณ พระเชตวัน ได้เกิดความเล่ือมใสจึงขอบวชใน พระพุทธศาสนา ไมน่ านทา่ นก็ได้บรรลุธรรมเปน็ พระโสดาบนั ตอ่ มาได้เข้าไปสนทนาธรรมกับพระสารีบุตร หลายเรื่อง จนในที่สุดทา้ ยสง่ กระแสจิตพิจารณาตามธรรมสากจั ฉาจึงได้บรรลุอรหันต์ในขณะสนทนาธรรม น่ันเอง๑๐๙๗ ท่านเป็นหนึ่งในพระอสตี ิมหาสาวก ๘๐ องค๑์ ๐๙๘ พระลกุณฏกภัททิยเถระ เป็นคนมีรูปร่างเต้ียมาแต่กาเนิด ทาให้ท่านมักถูกพระรูปอื่นจับหัวเล่น อยู่เสมอ ๆ ด้วยคิดว่าเปน็ เพยี งสามเณรนอ้ ย จนพระพุทธเจ้าต้องแสดงให้พระสงฆ์ทราบท่ัวกันว่าท่านเป็น พระอรหนั ตแ์ ลว้ พระลกณุ ฏกภทั ทิยเถระน้ันปรากฏว่าท่านมีปกติเจรจาไดไ้ พเราะเสนาะโสตมาก ด้วยเหตุ น้ี พระพุทะเจา้ จงึ ยกยอ่ งทา่ นไวใ้ นตาแหน่งเอตทัคคะผเู้ ลิศกวา่ พระสงฆท์ ั้งหลายในผมู้ ีเสียงไพเราะ พระลกณุ ฏกภัททิยเถระ ดารงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระพุทธศาสนาพอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว กด็ บั ขันธปรนิ ิพพาน ลขุมา, อุบาสิกา ลขุมาอุบาสิกา เป็นชาวเมืองพาราณสี บ้านอยู่ใกล้ทางออก ถัดจากประตูเกวัฏฏทวารไปก็เป็น หมู่บ้านของนาง๑๐๙๙ โดยปกติที่หมู่บ้านของนางจะมีพระสงฆ์สาวกเที่ยวบิณฑบาตเป็นประจา นางมีใจ เล่ือมใส ได้ถวายข้าวสุก ขนมสด ผักดอง พร้อมทั้งเครื่องดื่มด้วยส่วนผสมต่าง ๆ มีข้าวและเกลือเป็นต้น ๑๐๙๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๔๒๙. ๑๐๙๔ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๐/๓๓๒. ๑๐๙๕ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๗๖๗. ๑๐๙๖ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๒๘๓. ๑๐๙๗ ขุ.อุ.(ไทย) ๒๕/๖๑/๓๐๙. ๑๐๙๘ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๒๘๑. ๑๐๙๙ ข.ุ ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑๗๗/๓๑.

๒๘๕ ๑๑๐๐ ครน้ั ถงึ วันอโุ บสถ นางก็เขา้ จาอุโบสถศีลทุกวัน ๑๔ ค่า ๑๕ ค่า และ ๘ ค่า มิได้ขาด๑๑๐๑ นางเป็นผู้ สารวม ระมดั ระวังในศลี ตลอดเวลา ทัง้ ยงั มีใจยินดใี นทาน ให้ทานดว้ ยความเคารพ ด้วยอานิสงส์ดงั กล่าว เมอื่ นางสนิ้ ชีวติ แล้ว จงึ ไดค้ รอบครองวิมานเปน็ ทพิ ย์ อน่ึง ในอรรถกถาขุททกนิกาย วิมานวัตถุ๑๑๐๒ ระบุว่า นางเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและความรู้ เห็นภิกษุทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาตทางประตูน้ัน ไหว้แล้วก็นิมนต์ไปเรือนของตน ถวายภิกขาทัพพีหนึ่ง และเพราะความคุ้นเคย ศรัทธาได้เพิ่มพูน นางจึงให้สร้างโรงฉันหลังหน่ึง นาอาสนะเข้าไปถวายภิกษุ ท้ังหลายที่เข้าไปในโรงฉันนั้น ต้ังน้าใช้ น้าฉันไว้ ได้ถวายข้าวสุก ขนม ผักดองท่ีมีอยู่ในเรือนแก่ภิกษุ ทง้ั หลาย นางได้ฟังธรรม ตงั้ อย่ใู นสรณคมน์ เรียนวปิ สั สนา และได้บรรลุโสดาบัน ลิจฉวี, เจ้า เจ้าลิจฉวี เป็นสามานยนาม ระบุถึงคณะผู้ปกครองแคว้นวัชชี ซ่ึงมีเมืองไพสาลีเป็นเมืองหลวง ในคร้งั พุทธกาล ในคัมภรี ์มรี ะบถุ งึ เจ้าลิจฉวีหลายคน เชน่ เจ้าลิจฉวนี ามวา่ สุนักขตั ตะ๑๑๐๓ เจ้าลิจฉวีนามว่า ทุมมุขะ๑๑๐๔ เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลิ๑๑๐๕ เจ้าลิจฉวีพระนามว่าภัททิยะ๑๑๐๖ เจ้าลิจฉวีพระนามว่าสาฬ หะ เจา้ ลจิ ฉวพี ระนามวา่ อภยั ๑๑๐๗ เจ้าลิจฉวนี ามวา่ มหานามะ๑๑๐๘ เป็นตน้ ในคมั ภีร์ระบวุ า่ เจ้าลจิ ฉวไี ดป้ ระชุมคณะเจา้ ลจิ ฉวีเพ่ือทาการตัดสินคดีชายาของเจ้าลิจฉวีองค์ หน่ึงประพฤตินอกใจพระสวามี ที่ประชุมได้มีมติให้เจ้าลิจฉวีผู้เป็นพระสวามีสามารถจัดการ (ฆ่า) นางได้ ตามความประสงค์ที่ร้องขอได้ ทาให้พระนางหนีไปบวชอยู่สานักของนางภิกษุณีในเมืองสาวัตถีของพระ เจา้ ปเสนทโิ กศล๑๑๐๙ ในลิจฉวีวัตถุ มหาวรรค แห่งวินัยปิฎก พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นการแต่งกายของ เจ้าลิจฉวีท้ังหลาย ทรงอาภรณ์สีหลากหลาย ประกอบด้วยเคร่ืองประดับต่าง ๆ ถึงกับทรงปรารภว่า ถ้า ใครไม่เคยเห็นเทวดาชัน้ ดาวดึงส์ ก็ใหด้ เู จา้ ลิจฉวี๑๑๑๐ ในพระไตรปฎิ ก มีกล่าวถึงเจา้ ลจิ ฉวหี ลายอยทู่ ่ัวไป มที ั้งแง่ดี และแง่ไมด่ ี ในแง่ไม่ดี เช่น ในพระวินัยปิฎก กล่าวถึงเรื่องราวเจ้าชายลิจฉวีได้กระทาเร่ืองเสียหายหลาย ประการ มีการจับภิกษุให้เสพเมถุนกับนางภิกษุณีบ้าง กับนางสิกขมานาบ้าง กับหญิงแพศยาบ้าง หญิง ๑๑๐๐ ข.ุ วิ.(ไทย) ๒๖/๑๗๘/๓๒. ๑๑๐๑ ขุ.วิ.(ไทย) ๒๖/๑๗๙/๓๒. ๑๑๐๒ ขุ.วิ.อ.(ไทย) ๒/๑/๑๖๗. ๑๑๐๓ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑/๑. ๑๑๐๔ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๖๐/๓๙๗. ๑๑๐๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๖๐/๙๗. ๑๑๐๖ องฺ.จตกุ กฺ .(ไทย) ๒๑/๑๙๓/๒๘๓. ๑๑๐๗ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๑๙๖/๒๙๖. ๑๑๐๘ อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๕๘/๑๐๕. ๑๑๐๙ วิ.ภกิ ขฺ ุณี.(ไทย) ๓/๖๘๒/๓๐. ๑๑๑๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๘๙/๑๐๖.

๒๘๖ บณั เฑาะว์บ้าง หญงิ คฤหัสถ์บ้าง หรือแม้กระทั่งบังคับภิกษุให้เสพเมถุนกันเอง๑๑๑๑ เจ้าวัฑฒลิจฉวีใส่ความ พระทัพพมัลลบตุ ร กระท่งั พระพุทธเจา้ ประกาศให้สงฆ์ควา่ บาตร๑๑๑๒ เป็นต้น ในแง่ดี เช่น เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ได้ชื่อว่าเป็นนักรบท่ีแกล้วกล้า มีระเบียบวินัย มีความสมัคร สมานกลมเกลียว ไม่ประมาท ทาใหแ้ มแ้ ต่แคว้นมหาอานาจอยา่ งมคธกย็ ังเกรงขาม เจา้ ลิจฉวีหลายพระองค์ยังมีความฝักใฝ่ในบุญกุศล เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมอยู่เนืองๆ คร้ังหน่ึงพระพทุ ธเจ้าได้เคยแสดงอปรหิ านยิ ธรรม ๗ ประการ แกเ่ จ้าลจิ ฉวีทง้ั หลาย๑๑๑๓ เป็นตน้ ลกั ขณะ,พระ พระลกั ขณะในอรรถกถาสงั ยตุ ตนิกายระบุวา่ ไดร้ บั การอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็น ผูห้ น่งึ ในระหวา่ งชฏลิ ๑,๐๐๐ คน บรรลพุ ระอรหนั ต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออาทิตตปริยายสูตร เป็น พระมหาสาวกรูปหน่ึง เพราะเหตุที่ท่านประกอบด้วยอัตภาพสมบูรณ์ด้วยลักษณะ บริบูรณ์ด้วยอาการทั้ง ปวง เสมอดว้ ยพรหม จึงได้สมญานามวา่ ลกั ขณะ๑๑๑๔ พระลักขณะ ปรากฏในมหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎกหลายแห่ง และมักปรากฏชื่อของท่าน พรอ้ มกับพระมหาโมคคัลลานะด้วยเสมอ โดยท้ัง ๒ รูป มักจะสนทนาปรารภเปรตที่ตนพบเห็นในสถานท่ี ต่าง ๆ ดังตวั อย่างต่อไปนี้ เมื่อครั้งท่ีพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ พระลักขณะและพระมหา โมคคัลลานะพักอยู่ที่เขาคิชกูฏ คร้ันถึงเวลาเช้าพระมหาโมคคัลลานะได้ชวนพระลักขณะไปบิณฑบาตใน กรุงราชคฤห์ ขณะลงจากเขา พระมหาโมคคัลลานะได้แสดงอาการแย้มให้ปรากฏ พระลักขณะจึงถาม สาเหตุ แตก่ ็ได้รับคาตอบวา่ กลับจากบณิ ฑบาต เมือ่ เข้าเฝา้ พระพุทธเจา้ แล้ว คอ่ ยถามปัญหานี้ หลังจากกลับจากบณิ ฑบาตเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว พระลักขณะก็ถือโอกาสถามพระมหา โมคคัลลานะอีกคร้ัง พระมหาโมคคัลลานะจึงได้กล่าวตามความเป็นจริงว่า ระหว่างบิณฑบาตน้ัน ตนได้ เห็นเปรตมีแต่ร่างกระดูก (อัฏฐิสังขลิกเปรต) ลอยข้ึนสู่อากาศ ฝูงแร้ง นกกา นกเหยี่ยวพากันโฉบอยู่ ขวักไขว่จิกท้ึงแย่งเนื้อที่ติดอยู่ตามระหว่างซ่ีโครงกระดูกสะบัดไปมาจนมันร้องครวญคราง ตนเห็นก็เลย เกดิ ความคิดวา่ น่าอศั จรรยท์ ่ไี ดเ้ ห็นสัตว์ที่มลี ักษณะ อัตภาพอย่างนี้๑๑๑๕ เช่นเดียวกัน ครัง้ หนงึ่ ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะและพระลักขณะลงจากเขาไปบิณฑบาตใน กรงุ ราชคฤห์ พระมหาโมคคลั ลานะก็แสดงอาการแย้มให้ปรากฏอกี ทาให้พระลักขณะเกิดความสงสัย และ ถามสาเหตุ พระมหาโมคคลั ลานะก็รอให้กลบั จากบิณฑบาตก่อน แลว้ จะเล่าให้ฟงั หลังกลับจากบิณฑบาต และเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระมหาโมคคัลลานะก็เล่าให้ พระลักขณะฟังว่า ขณะท่ีลงจากภูเขานั้น ตนได้มองเห็นเปรตที่มีแต่ช้ินเนื้อ (มังสเปสิเปรต) ลอยข้ึนสู่ อากาศ ฝูงแร้ง นกกา นกเหยี่ยวพากันโฉบอยู่ขวักไขว่จิกทิ้งย้ือแย่งเปรตนั้นสะบัดไปมาจนมันร้องครวญ ๑๑๑๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๘๐/๗๒. ๑๑๑๒ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๒๖๕/๔๔. ๑๑๑๓ องฺ.สตตฺ ก.(ไทย) ๒๓/๒๑/๓๑. ๑๑๑๔ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๗๐๓. ๑๑๑๕ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๒๒๘/๒๒๑.

๒๘๗ คราง น่าอัศจรรย์ที่ได้เห็นสัตว์ท่ีมีลักษณะ อัตภาพอย่างนี้๑๑๑๖ น่าอัศจรรย์ท่ีได้เห็นสัตว์ท่ีมีลักษณะ อัตภาพอยา่ งนี้๑๑๑๗ อน่ึง ในมหาวิภังค์แห่งพระวินัยปิฎก พรรณนาเร่ืองราวพระลักขณะสนทนากับพระมหาโมค คลั ลานะเร่ืองเปรตชนดิ ต่าง ๆ ทพ่ี บเหน็ ระหวา่ งลงจากเขาคิชกฏู เพอ่ื เขา้ ไปบณิ ฑบาตในเมอื งราชคฤห์ เช่น เปรตร่างมขี นเป็นดาบ เปรตร่างไมม่ ผี วิ หนัง เปรตรา่ งมขี นเปน็ หอก เปรตร่างมีขนเป็นลูกศร เปรตร่างมีขน เปน็ เข็ม เปรตมีรา่ งถกู เขม็ หมุดทิ่มแทง เปรตมีอัณฑะโตเท่าหม้อ เปรตจมหลุมคูถ เปรตกินคูถ เปรตร่างไม่ มีผิวหนัง เปรตรูปร่างน่าเกลียด เปรตร่างถูกไฟลวก เปรตศีรษะขาด เปรตมีรูปเป็นภิกษุ เปรตมีรูปเป็น ภกิ ษุณี เปรตมีรูปเปน็ สิกขมานา เปรตมีรปู เปน็ สามเณร เปรตมีรูปเปน็ สามเณรี เปน็ ตน้ โลมสกงั คิยะ,พระ พระโลมสกงั คิยะ ปรากฏในโลมสกงั คิยภัทเทกรัตตสูตร๑๑๑๘ ความระบุว่า เมื่อครั้งพระผู้มีพระ ภาคประทบั อยู่ ณ เชตวัน อารามของอนาถปิณฑิกเศรษฐี เมืองสาวัตถี สมัยนั้น พระโลมสกังคิยะ พักอยู่ที่ นิโครธาราม เขตกรุงกบลิ พัสดุ์ จนั ทนเทพบุตรได้เข้าไปพระโลมสกังคิยะในช่วงราตรีของวันหนึ่ง ท้ัง ๒ ได้ สนทนาถึงอุทเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญ โดยทั้งพระโลกสกังคิยะและเทวดาต่างก็จาอุท เทสและวิภงั คไ์ มไ่ ด้ แต่เทวดาจาคาถาท่ีแสดงถึงบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญได้ จึงได้สาธยายถวายพระเถระ โดยนัยว่า๑๑๑๙ บคุ คลไม่ควรคานงึ ถึงสิง่ ทล่ี ว่ งไปแลว้ ไมค่ วรหวังสิง่ ท่ยี งั ไมม่ าถึง สง่ิ ใดล่วงไปแลว้ ส่ิงน้นั กเ็ ปน็ ละไปแล้ว และส่งิ ใดท่ยี ังมาไมถ่ ึง สงิ่ นนั้ ก็เป็นอนั ยังมาไม่ถึง สว่ นบุคคลใดเหน็ แจง้ ธรรมท่เี ป็นปจั จุบัน ไม่งอ่ นแง่น ไมค่ ลอนแคลนในธรรมนน้ั ๆ บุคคลน้นั ควรเจรญิ ธรรมนน้ั ใหแ้ จม่ แจง้ บุคคลควรทาความเพยี รต้ังแตว่ นั น้ีทีเดยี ว ใครเล่าจะร้วู า่ ความตายจกั มใี นวันพรุง่ น้ี เพราะวา่ ความผัดเพ้ียนกับมัจจุราชผ้มู เี สนามากน้นั ยอ่ มไม่มแี ก่เราท้ังหลาย พระมุนีผูส้ งบเรยี กบคุ คลผู้มีความเพียร ไมเ่ กียจคร้านท้งั กลางวนั และกลางคนื ซึง่ มปี กตอิ ยู่อยา่ งนนี้ น้ั แลว่า ผู้มรี าตรเี ดยี วเจริญ หลังจากเทวดาสาธยายจบแล้ว ก็แนะนาให้พระโลมสกังคิยะศึกษา เล่าเรียน และจาอุทเทส และวิภังค์น้ีไว้ เพ่ือประโยชน์ในการประพฤติพรหมจรรย์ ฝ่ายพระโลมสกังคิยะ คร้ันรุ่งเช้า ก็เก็บงา เสนาสนะ ถอื บาตร และจีวรจาริกไปทางกรุงสาวตั ถี เมื่อถึงพระเชตวัน ก็เข้าเฝ้าพระผูม้ ีพระภาค กราบทูล ๑๑๑๖ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๒๒๘/๒๒๑. ๑๑๑๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๒๒๙/๒๒๒. ๑๑๑๘ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๒๘๖/๓๔๓. ๑๑๑๙ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๒๘๖/๓๔๓.

๒๘๘ รายงานความที่เทวดามาบอกอุทเทสดังกล่าวให้ทรงทราบ จากนั้นก็กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดง อทุ เทสและวิภงั คอ์ ีกครง้ั พระผู้มีพระภาคได้แสดงอุทเทสและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญโดยนัยท่ีเทวดาแสดง แล้วนั่นเอง พร้อมได้ทรงขยายความอุทเทสโดยพิสดารอีกคร้ัง เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสภาษิตแล้ว พระ โลมสกงั คยิ ะก็มใี จยนิ ดี ชนื่ ชมภาษิตของพระผมู้ พี ระภาค อน่ึง ในคัมภีร์อรรถกามัชฌิมนิกาย ได้อธิบายท่ีมาของชื่อโลมสกังคิยะว่า เป็นเพราะความที่ กายของพระเถระน้ันมีขนนิดหน่อย ส่วนช่ือเดิมของท่านจริง ๆ คือ พระอังคเถระ๑๑๒๐ ขณะท่ีอรรถกถาขุ ททกนิกาย มีรายละเอยี ดเพ่ิมเติมวา่ พระโลมสกังคิยะน้ี เกดิ ในศากยตระกูล ในกรุงกบิลพัสด์ุ ที่ฝ่าเท้าของ ท่านมีขนเม่อื พระโสณะ ชนทงั้ หลายจงึ ขนานนามวา่ โลมสกังคยิ ะ๑๑๒๑ ในคัมภีร์อรรถกถาขุททนิกายยังระบุอีกว่า จันทนเทพบุตรผู้เคยเป็นสหายของท่าน เห็นท่าน ประมาท จึงได้เข้ามาตักเตือน และให้ระลึกถึงภัทเทกรัตตปฏิปทาที่เคยอบรมไว้แล้วในชาติปางก่อน โดย แนะนาให้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า คร้ันเข้าเฝ้า และได้ฟังภัทเทกรัตตปฏิปทาแล้วก็เกิดความเล่ือมใส ลา บิดามารดาของบวชในพระพุทธศาสนา เรียนกัมมัฏฐานจากพระผู้มีพระภาค เข้าไปสู่ป่า บาเพ็ญสมณ ธรรม ไมน่ านก็ไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์๑๑๒๒ โลมสกงั ภยิ ะ, พระ พระโลมสกังภิยะ ปรากฏในกังเขยยสูตร๑๑๒๓ ความระบุว่า เมื่อครั้งพระโลมสกังภิยะพักอยู่ท่ีนิ โคราธาม เขตกรุงกบิลพัสด์ุ แคว้นสักกะ เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ เสด็จเข้าไปหาท่าน ตรัสถาม ระหว่างเสขวิหารธรรมกับตถาคตวิหารธรรมว่าเป็นอย่างเดียวกัน หรือแตกต่างกัน พระโลมสกังภิยะได้ ถวายพระพรว่า ไมใ่ ชอ่ ยา่ งเดยี วกนั พระโลมสกังภิยะ ได้ถวายรายละเอียดสรุปว่า เสขวิหารธรรม เป็นธรรมเครื่องอยู่ของเหล่า ภิกษุผู้ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล และปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเย่ียม ละนิวรณ์ ๕ ประการ ส่วนตถาคตวิหารธรรม เป็นธรรมเครื่องอยู่ของเหล่าภิกษุผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบ พรหมจรรยแ์ ล้ว ละนิวรณ์ ๕ ประการได้เดด็ ขาดแลว้ โลลทุ ายี,พระ พระโลลุทายี ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระคาถาว่า คนมี การศกึ ษานอ้ ย แกเ่ ปล่า เหมอื นโคท่ีเจริญแต่เน้ือหนัง แต่ปัญญาไม่เจริญตามไปด้วย๑๑๒๔ และพระคาถาว่า มนตร์มกี ารไมท่ ่องบน่ เป็นมลทนิ เรอื นมีความไมข่ ยนั หมน่ั เพยี รเปน็ มลทิน ผิวพรรณมีความเกียจคร้านเป็น มลทนิ ผรู้ ักษามคี วามประมาทเป็นมลทิน๑๑๒๕ ความในอรรถกถา๑๑๒๖ มีรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ดงั นี้ ๑๑๒๐ ม.อุปริ.(ไทย) อ.๓/๒/๒๔๙. ๑๑๒๑ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๑๘๐. ๑๑๒๒ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๑๘๒. ๑๑๒๓ ส.มหา.(ไทย) ๑๙/๙๘๘/๔๗๐. ๑๑๒๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๕๒/๗๙. ๑๑๒๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๔๑/๑๐๗. ๑๑๒๖ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๑๔.

๒๘๙ พระโลลุทายี เข้าไปสู่เรือนของผู้คนผู้ทาการมงคลก็กล่าวอวมงคล ไปเรือนของผู้ทาการ อวมงคล ก็ไปกล่าวมงคลคาถา ภิกษุทั้งหลายฟังกถาของท่านแล้วก็นาไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าทรงทราบความนั้นแล้ว ก็ตรัสว่า ไม่ใช่เป็นแต่บัดนี้เท่าน้ัน ชาติก่อนโน้น พระโลลุทายีก็เป็น แบบนีเ้ หมือนกนั จากน้ันจึงทรงเล่าบุพกรรมของพระโลลุทายีเม่ือครั้งชาวนาไปทูลขอพระราชทานโคจาก พระเจ้าแผ่นดิน ตอนเข้าเฝ้าขอพระราทานจริงได้กราบทูลถ้อยคาไม่ตรงกับตอนที่ซักซ้อมไว้ ทาให้เป็นท่ี ทรงขบขนั ของพระราชา ความในอรรถกถาธรรมบท๑๑๒๗ อีกแห่งหน่ึงระบุว่า อริยสาวกทั้งหลายในเมืองสาวัตถีได้ถวาย ทานมีประการต่าง ๆ แล้วกไ็ ปวิหาร ฟงั ธรรมแล้วกพ็ ากันสรรเสริญคุณของพระสารีบุตร และพระมหาโมค คัลลานะ พระโลลทุ ายีเถระ ไดย้ ินเช่นน้ันก็กล่าวขึ้นว่า พวกท่านได้ฟังธรรมกถาของพระเถระ ๒ รูป ยัง กล่าวสรรเสริญขนาดน้ี ถ้าได้ฟังธรรมกถาของเราจะกลา่ วอยา่ งไรหนอ มนุษย์ท้ังหลายได้ยินเช่นน้ันก็คิดว่า พระเถระองค์นี้คงจะเป็นพระธรรมกถึกองค์หนึ่งแน่แท้ จึงได้นิมนต์ท่านแสดงธรรมในช่วงกลางวันของวัน น้ัน ครั้นถึงเวลา พระโลลุทายีเถระขึ้นสู่ธรรมาสน์ จับพัดอันวิจิตรส่ันอยู่ ไม่เห็นบทธรรมแม้บทเดียว จึง กลา่ ววา่ จะรอสวดทีหลงั ให้ภิกษอุ ่ืนกลา่ วธรรมกถาเถดิ พวกมนษุ ยท์ ้งั หลายกใ็ หภ้ กิ ษุรปู อน่ื กลา่ วธรรมกถา คร้ันเสร็จแล้วกน็ ิมนต์พระโลลุทายีสวด แต่ ครนั้ ขึ้นธรรมาสนแ์ ลว้ พระโลลุทายีก็นึกบทสวดอะไร ๆ ไม่ออก จึงขอผลัดให้ภิกษุรูปอ่ืนสวด ตนขอเล่ือน ไปกล่าวในเวลากลางคืน แต่พอถึงเวลากลางคืน ท่านก็ไม่เห็นบทธรรมอะไรๆ อีก จึงขอผลัดไปผลัดรอบ ดกึ รอบใกลร้ ุ่ง เปน็ เหตใุ ห้มนุษย์ท้งั หลายต่างไม่พอใจ พากันคว้าก้อนดิน และท่อนไม้ ไล่ลงจากธรรมาสน์ ตามคุกคามอยู่ พระโลลุทายีเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนี และตกลงท่ีหลุมเว็จกุฏีแห่งหน่ึง กระทั่งเป็นที่กล่าวขาน ในเวลาต่อมา โลหิจจะ, พราหมณ์ โลหิจจพราหมณ์ ปรากฏในโลหิจจสูตร ในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค๑๑๒๘ และในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค๑๑๒๙ ความระบุว่า โลหิจจพราหมณ์ปกครองหมู่บ้านสาลวติกา (หมู่บ้านน้ีล้อมด้วยไม้สาละ จึงได้ชอื่ อยา่ งนนั้ ๑๑๓๐ ซึง่ มีประชากร และสัตว์เลยี้ งมากมาย มีพืชพนั ธุธ์ ญั ญาหาร และน้าหญ้าอุดมสมบูรณ์ เปน็ พระราชทรพั ย์ทพี่ ระเจา้ ปเสนทิโกศลพระราชทานปนู บาเหน็จให้เปน็ พรหมไทย โลหิจจพราหมณ์มีความเห็นผิดว่า พวกสมณพราหมณ์ท้ังหลายเมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว ไม่ควร สอนคนอ่นื เพราะไมม่ ีผรู้ บั คาสอนใดจะชว่ ยผู้สอนได้ วันหน่ึงพราหมณ์ได้มอบหมายให้ช่างกัลบกไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามารับภัตตาหารที่บ้าน ช่าง กัลบกรับคาแล้วก็ไปกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า โดยไม่ลืมท่ีจะกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแก้ไข ความเห็นผิดของโลหิจจพราหมณด์ ว้ ย ครนั้ ถงึ เวลา พระผู้มพี ระภาคกเ็ สด็จไปยังเรอื นของพราหมณ์ พร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงกระทาภัตกิจในเรือนของพราหมณ์เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสถามความเห็นของ พราหมณด์ ังกลา่ วข้างต้น ซึ่งพราหมณ์กย็ อมรบั ตามความเปน็ จริง ๑๑๒๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๓๒๒. ๑๑๒๘ ที.สี.(ไทย) ๙/๕๐๑/๒๒๑. ๑๑๒๙ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๐. ๑๑๓๐ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๕๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook