๑๔๐ ความตระหนี่ถี่เหนียว หลังจากตายไป โตเทยยพราหมณ์ก็ไปบังเกิดเป็นสุนัขในเรือนนั่นเอง สุภมาณพผู้ เปน็ บตุ รชายรักสนุ ัขตวั นีม้ าก เล้ยี งดเู หมือนบตุ รคนหนง่ึ อยูม่ าวันหนึง่ พระผู้มีพระภาคเจา้ ได้เสดจ็ ไปบณิ ฑบาตผ่านเรือน สุนัขเห็นเข้าก็เห่าใส่ พระผู้มี พระภาคจึงได้ตรัสตอบไปว่า โตเทยยะ เม่ือก่อนเจ้าดูหมิ่นเรา จึงมาเกิดเป็นสุนัข มาคราวนี้ยังเห่าเราอีก ต่อไปจักบังเกิดในอเวจีมหานรก สุนัขได้ยินดังน้ันก็เกิดความเดือดร้อน จึงหนีไปนอนคลุกขี้เถ้า ไม่มีใคร สามารถอุ้มไปนอนท่ีเดิมได้ เมื่อสุภมาณพกลับมาเห็นเข้า ได้สอบถามว่า ใครทาอะไรสุนัขของตน คนใน บา้ นกเ็ ล่าความจรงิ ใหฟ้ ังต้งั แต่ตน้ สุภมาณพได้ยินดงั นั้นก็ไมพ่ อใจ จงึ ได้พาบรวิ ารไปที่วดั เพือ่ ตอ่ วา่ พระพุทธเจ้า ครั้นไปถึง พระผู้ มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามถึงทรัพย์สมบัติ และเพื่อที่จะพิสูจน์ ก็ได้บอกอุบายให้สุภมาณพเล้ียงดูสุนัขให้ดี จากนั้นก็ให้นอน คร้ันสุนัขหลับแล้วก็ให้ถามถึงสมบัติที่ฝังไว้ในท่ีต่าง ๆ เขาได้ดาเนินการตามทุกประการ ทราบความจริงว่า สุนัขเป็นบิดาของตนจริง ๆ ได้ทูลถามปัญหา ๑๔ ข้อกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นจบ การวิสัชนา เกิดความเลอ่ื มใส ขอถงึ พระรัตนตรยั เป็นท่พี งึ่ ที่ระลึกตลอดชวี ติ ๔๑๘ โตเทยยมาณพ โตเทยยมาณพ เป็นหนึง่ ในมาณพ ๑๖ คน ผู้เปน็ ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ได้ผกู ปญั หาไปถาม พระพทุ ธเจ้าวา่ กามทงั้ หลายไม่อยใู่ นบุคคลใด ตัณหาไม่มแี ก่บคุ คลใด และบุคคลใดขา้ มพน้ ความสงสยั ได้ แล้ว วโิ มกขข์ องบุคคลน้ันเป็นเชน่ ไร๔๑๙ ตอ่ ปัญหานี้ พระผูม้ ีพระภาค ผใู้ ดไม่มีกาม ตณั หา และขา้ มความ สงสยั ได้แลว้ ความพน้ วเิ ศษของบุคคลน้นั ไม่มี ถ เถรนามกะ, พระเถรนามกะ มาในเถรนามกสูตร แห่งสังยุตตนิกาย นิทานวรรค๔๒๐ เนื้อความพรรณนาถึง คุณสมบัติของพระเถระไว้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว มีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว เข้าหมู่บ้าน บิณฑบาตผูเ้ ดียว กลับผเู้ ดียว นงั่ ในทีล่ บั ผ้เู ดยี ว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบข่าวน้ัน จึงได้รับส่ังให้เรียกพระเถรนามกะมาเข้าเฝ้า ตรัสถามถึง การประพฤติอยู่ผู้เดียวของเธอ จากน้ัน ทรงตรัสแสดงการอยู่ผู้เดียวแบบสมบูรณ์อย่างแท้จริง กล่าวคือ อะไรก็ตามท่ีล่วงไปแล้ว ก็ล่วงไปแล้ว อะไรท่ียังไม่มาถึง ก็ยังมาไม่ถึง สลัดออกเสียทั้งหมด ดารงอยู่ในแต่ ในปจั จบุ ันเทา่ นนั้ จึงจะเรียกว่า อยูผ่ ้เู ดียวแท้ ถลุ ลนนั ทา, ภกิ ษุณี ถุลลนันทาภิกษุณี มีพ่ีน้องร่วมกัน ๔ คน ประกอบด้วย นันทา, นันทวดี, สุนทรีนันทา, และถุลลนันทา ทั้งหมดบวชในสานักของนางภิกษุณีตัง้ แตเ่ ยาวว์ ัย หลกั ฐานช้นั บาลรี ะบวุ า่ ถลุ ลนนั ทาภกิ ษุณนี ้นั เป็นพหูสตู เป็นนักพดู แกล้วกลา้ สามารถกล่าว ธรรมกี ถา กระท่งั พระเจา้ ปสั เสนทโิ กศลเล่อื มใส๔๒๑ ๔๑๘ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๔๔๔/๔๖๔. ๔๑๙ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๙๕/๗๖๓. ๔๒๐ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๒๔๔/๓๓๖. ๔๒๑ วิ.ภิกขฺ ณุ ี.(ไทย) ๓/๗๘๓/๑๑๘.
๑๔๑ ถุลลนันทาภิกษุณี เป็นต้นบัญญัติสิกขาบทของนางภิกษุณีหลายข้อ เธอได้ก่ออธิกรณ์ขึ้นใน ภิกษุณีสงฆ์อยู่เนือง ๆ ในพระวินัยปิฎกจึงปรากฏชื่อบ่อยคร้ัง เช่น ก่อคดีฟ้องร้องกับบุตรชายอุบาสกคน หนึง่ ท่ถี วายโรงเกบ็ ของ เป็นเหตใุ ห้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุณีฟ้องร้องกับคหบดี บุตรคหบดี ทาส หรือกรรมกร โดยที่สุดแม้สมณปริพาชก๔๒๒, เป็นอุปัชฌาย์บวชให้สตรีผู้เป็นโจร๔๒๓ แลกเปลี่ยนจีวร กับภิกษุณีอื่นแล้วแย่งชิงกลับมา๔๒๔ จงใจก่อความราคาญแก่ภิกษุณีอื่น๔๒๕ ให้ท่ีพักแก่นางภิกษุณีอ่ืนแล้ว ไมพ่ อใจ ฉุดกระชากออกจากหอ้ ง๔๒๖ เป็นต้น ท ทสมคหบด,ี ทสมคหบดี เป็นชาวอัฏฐกนคร๔๒๗ พระสูตรพรรณนาความคหบดีเข้าไปถามปัญหากับพระ อานนท์ท่ีเวฬุวคาม เขตกรุงเวสาลี ถึงธรรมอันเอกท่ีเป็นเหตุให้ถึงความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลาย พระ อานนท์ได้แจกแจงธรรมอันเอก นับต้ังแต่รูปฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูปฌาน ๓ ทาให้ทสมคหบดีเกิด ความเล่ือมใส กล่าวชมเชยพระอานนท์ว่า ตนเองถามถึงธรรมอันเอกเพียงประการเดียว แต่พระอานนท์ แจกแจงถงึ ๑๑ ประการ คร้ังนั้น ทสมคหบดี ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ชาวเมืองปาตลีบุตรและเชิญชาวเมืองเวสาลีให้ประชุม กัน แล้วองั คาสภกิ ษสุ งฆน์ ้ันให้อมิ่ หนาสาราญด้วยของเค้ยี วของฉันอนั ประณตี ดว้ ยตนเอง นิมนต์ภิกษุ ให้ครองผ้ารูปละ ๑ คู่ นิมนต์ท่านพระอานนท์ให้ครองไตรจีวร และได้ให้สร้างวิหาร ๕๐๐ หลังถวาย ทา่ นพระอานนท์ ทสนั นราช,พระราชา พระเจ้าทสันนราช ปรากฏชื่ออยู่ในธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ ขุททกนิกาย เปตวัตถุ๔๒๘ ทรง ปกครองพระนครเอรกัจฉะ เหตุปรารภธนปาลเปรต อดีตเคยเป็นเศรษฐี แม้จะมีทรัพย์มากถึง ๘๐ เล่ม เกวียน และทรัพย์สินอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็เป็นคนตระหน่ี ไม่เคยให้ทาน นอกจากนั้นยังด่าคนที่ให้ทาน ทาบุญ ห้ามไม่ให้คนทาบุญด้วยคาพูดต่าง ๆ เป็นต้นว่า ผลแห่งทานไม่มี คนให้ทานเหมือนทาลายสระน้า บอ่ นา้ ทเี่ ขาขุดเอาไว้ ด้วยผลกรรมดงั กลา่ ว ละโลกนีไ้ ปแลว้ บงั เกดิ เป็นเปรต อดข้าวและนา้ เป็นระยะเวลา ๕๐ ปี ทสารหะ, กษัตริย์ ทสารหะ ได้รับการตรัสถึงในอาณิสูตร ขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเขตกรุงสาวัตถี ทรง ปรารภเรื่องเคยมีมาแล้ว การตรัสคร้ังนี้ เป็นการเปรียบเทียบการณ์ในอนาคตว่าต่อไปภิกษุจะไม่สนใจฟัง พระพทุ ธพจน์ท่ีตรัสไวล้ กึ ซ้งึ เป็นโลกุตรธรรม ประกอบด้วยความวา่ ง แต่จะหันไปสนใจงานประเภทบทกวี ๔๒๒ ว.ิ ภิกฺขุณ.ี (ไทย) ๓/๖๗๙/๒๗. ๔๒๓ วิ.ภกิ ฺขณุ ี (ไทย) ๓/๖๘๓/๓๑. ๔๒๔ ว.ิ ภิกฺขณุ .ี (ไทย) ๓/๗๔๔/๘๗. ๔๒๕ ว.ิ ภกิ ฺขุณี.(ไทย) ๓/๙๑๔/๒๑๗. ๔๒๖ วิ.ภกิ ขฺ ุณี.(ไทย) ๓/๙๕๐/๒๒๒. ๔๒๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๗/๑๙. ๔๒๘ ข.ุ เปต.(ไทย) ๒๖/๒๓๐/๒๐๕.
๑๔๒ มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร เป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนา เหมือนกรณีพวกกษัตริย์พระนามว่าทสาร หะ เม่อื ตะโพนช่อื อานกะแตก ก็ตอกลิม่ อ่ืนลงไป ตอ่ มาโครงไม้เกา่ ของตะโพนหายก็ กเ็ หลือแต่โครงลิ่ม ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า กษัตริย์พระองค์นี้ทรงถือเอา ๑๐ ส่วนจากข้าวกล้า จึงปรากฏพระ นามวา่ ทสารหา๔๒๙ ทัพพมลั ลบตุ ร, พระ เป็นโอรสของเจ้ามัลลราช ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ นามเดิมคือ ทัพพราชกุมาร เรียกช่ือ ตามนามพระบดิ าวา่ ทพั พมลั ลบตุ ร๔๓๐ ตามประวตั เิ ล่าว่า ก่อนประสูติ พระมารดาของพระองค์ได้สวรรคต และได้ถูกนาไปถวายพระ เพลิงบนเชิงตะกอน ขณะเพลิงกาลังลุกไหม้อยู่น้ัน พระครรภ์ได้แยกออกเป็น ๒ ส่วน ทาให้ทารกหลุด กระเด็นตกลงบนเสาไม้ แต่ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เจ้าพนักงานจึงอุ้มทารกน้ันไปมอบให้พระอัยยิกา และ พระอัยยิกาได้ต้ังชื่อให้ว่า ทัพพะ เพราะความที่ท่านกระเด็นไปตกบนเสาไม้๔๓๑ ท่านได้รับการเลี้ยงดูจาก พระอยั ยกิ าจนกระท่ังอายุได้ ๗ ขวบ เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จอนุปิยนิคม พระอัยยิกาได้พาทัพพกุมารไปด้วย พระกุมารเห็น พระพุทธเจ้าแล้ว เกิดความเล่ือมใส น้อมพระทัยไปในบรรพชา จึงขออนุญาตลาผนวช พระพุทธเจ้าได้ มอบหมายให้ภิกษุรปู หนง่ึ ทาหน้าท่ีเป็นอุปัชฌาย์ผนวชให้ ตามเร่อื งบอกวา่ ทา่ นได้บรรลุโสดาบันขณะปลง ผมปอยแรก ปอยท่ี ๓ ได้สาเรจ็ อนาคมิผล คร้ันปลงเสรจ็ ก็ไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์๔๓๒ ครั้นบวชแล้วก็มานั่งพิจารณาว่า ตนสาเร็จกิจพรหมจรรย์แล้ว ควรจะได้อนุเคราะห์แบ่งเบา ภารกจิ ของสงฆบ์ ้าง จึงเขา้ ไปกราบทูลพระพุทธเจา้ ทรงทราบ เมอ่ื ทรงทราบแล้วก็ตรัสอนุโมทนา พร้อมกับ มอบหมายใหท้ ่านทาหนา้ ทเ่ี ป็นผู้จดั แจงเสนาสนะและแจกภัตตาหารแก่สงฆ์๔๓๓ ท่านพระทัพพมัลลบุตร ได้ปฏิบัติหน้าท่ีจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตด้วยความเป็นธรรม แต่ ถึงกระนั้นก็มีผู้เสียผลประโยชน์พยายามหาเรื่อง กล่ันแกล้ง ฟ้องร้อง เพ่ือให้ท่านมีความผิด ในพระวินัย ปิฎกจึงมีเรื่องราวของท่านปรากฏอยู่ทั่วไป เช่น ท่านเมตติยาภิกษุณีใส่ความว่ากระทาการข่มขืน แต่เมื่อ สอบสวนแล้วกพ็ บความจรงิ ว่า มีผอู้ ย่เู บือ้ งหลงั คือพระเมตตยิ ะและพระภุมมชกะประสงค์ใส่ความทา่ น๔๓๔ พระทัพพมัลลบุตร เม่ือได้พิจารณาอายุขัยของตนเองแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลถวายบังคมลา ปรินิพพาน เม่อื ไดร้ บั พระบรมพทุ ธานญุ าตแลว้ จงึ ได้ถวายอภิวาท กระทาประทกั ษณิ แล้ว ก็เหาะขึ้นไปบน อากาศ เขา้ เตโชกสิณ ไฟเตโชกสิณได้เผาไหม้ร่างกายของทา่ น ไมม่ เี ถ้า เขม่าควนั เลย๔๓๕ ทฬั หเนมิ, พระเจา้ จกั รพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า ทัฬหเนมิ ปรากฏในจักกวัตติสูตร๔๓๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ยกขึ้นแสดงแก่ภิกษุท้ังหลายในฐานะเป็นผู้ปกครองในอุดมคติ เพราะทรงทศพิธราชธรรม ครองราชย์โดย ๔๒๙ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๗๓๘. ๔๓๐ วิ.มหา.อ. (ไทย) ๑/๓/๔๗๗. ๔๓๑ อง.ฺ เอก.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๒๕. ๔๓๒ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑/๑/๔๒๕. ๔๓๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๘๐/๔๑๒. ๔๓๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๘๓/๔๑๗. ๔๓๕ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๙/๓๔๑. ๔๓๖ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๘๑/๖๐.
๑๔๓ ธรรม ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ทรงได้รับชัยชนะ มีราชอาณาจักรม่ันคง สมบูรณ์ดว้ ยรตั นะ ๗ ประการ ทรงชนะโดยธรรม ไม่ตอ้ งใชศ้ ัสตรา พระสูตรพรรณนารายละเอยี ดต่อไปอกี ว่า พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์น้ี มีจักรแก้วคู่บารมีและ ครู่ าชบลั ลังก์ เพราะหากจักรแก้วน้ีเคลื่อนจากที่เม่ือใด ก็จะทรงสละราชสมบัติออกผนวช ครั้นออกผนวช ได้ ๗ วนั จกั รแกว้ อนั เปน็ ทพิ ย์น้ีก็อนั ตรธานหายไป กษัตริย์องค์ต่อๆ หากปรารถนาจะให้จักรแก้วอันเป็นทิพย์นี้ปรากฏในรัชสมัยของพระองค์ ก็ ต้องบาเพ็ญทศพิธราชธรรม สักการะธรรม เคารพธรรม นับถอื ธรรม บชู าธรรม นอบนอ้ มธรรม มธี รรมเป็น ธงชัย มธี รรมเป็นยอด มีธรรมเปน็ ใหญ่๔๓๗ ทฬั หิกะ, พระ พระทัฬหิกะ มีประวัติปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือใน มหาวิภังค์แห่งพระวินัยปิฎก ความพรรณนาไว้ว่า สัทธิวิหาริกของท่าน ปรารถนาจะลาสิกขา จึงไปลักผ้า โพกศีรษะในตลาดเพ่ือให้ขาดจากความเป็นพระ เม่ือลักแล้วก็ไปบอกพระทัฬหิกะว่า ตนขาดจากความ เปน็ พระแล้วจะขอลาสกิ ขา พระทัฬหิกะ ได้ทาการสอบสวน เอาผ้าที่ลักมาตีราคา ปรากฏว่า ได้ราคาไม่ถึง ๕ มาสก จึง ตดั สินไม่ต้องปาราชิก๔๓๘ ทามรกิ ะ, โจร ทามริกะ ปรากฏประวตั แิ ตเ่ พยี งว่าเปน็ โจรอยู่ในเมืองราชคฤห์ ต่อมาไดถ้ ูกเพชฌฆาตฆ่าตาย คาว่า ทามริกะ แปลว่า ผู้ดุร้าย เป็นศัพท์ท่ีใช้เรียกโจรดุร้ายปล้นชายแดนบ้าน นิคมบ้าง ชนบทบ้าง มกั อาศยั อยปู่ ่าภูเขา๔๓๙ เพอื่ ป้องกนั อันตรายจากโจรประเภทน้ี พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ภิกษุให้ อาหารบณิ ฑบาตท่ไี ม่เปน็ เดนได้ ไมเ่ ป็นอาบัติ แม้จะปรุงยาให้ กไ็ ม่นบั เน่ืองในเวชกรรม๔๔๐ ทารกุ ัมมิกะ, ทารุกัมมิกคหบดี มาในทารุกัมมิกสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต๔๔๑ ความสังเขปว่า ขณะท่ี พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ คิญชกาวสถาราม ทารุกัมมิกะ ได้เข้าเฝ้าถึงที่ประทับ ถูกพระผู้มีพระ ภาคตรสั ถามถงึ ทานประจาตระกูลวา่ ยงั คงรักษาต่อเนอ่ื งอยู่หรือไม่ ทารุกัมมิกะ ได้กราบทูลว่า ทานประจาตระกูลยังคงให้อยู่ ท้ังให้ในภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ หรอื บรรลุอรหตั มรรค ผู้อยปู่ า่ เป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร พระผู้มีพระภาค ได้สดบั เช่นนน้ั จงึ ได้ตรัสเตือนว่า คนบริโภคกาม อยู่ครองเรือน จะรู้ว่าเหล่านี้คือพระอรหันต์ เหล่านี้คือผู้ บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเปน็ ไปได้ยาก ทาสกะ,พระ ๔๓๗ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๘๔/๖๒. ๔๓๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑๖๑/๑๓๓. ๔๓๙ ม.อุปร.ิ อ.(ไทย) ๓/๑/๓๐๒. ๔๔๐ ขุ.มหา.อ.(ไทย) ๕/๒/๔๑๓. ๔๔๑ องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๕๙/๕๕๒.
๑๔๔ พระทาสกเถระ ปรากฏชื่อในฐานะเป็น ๑ ในพระเถระผู้สืบทอดพระวินัยในชมพูทวีป ประกอบด้วย พระอุบาลี, พระทาสกะ, พระโสณกะ, พระสิคควะ, และพระโมคคัลลีบุตร๔๔๒ ในสังยุตต นกิ าย๔๔๓ มีเรอื่ งพรรณนาเกยี่ วกับท่านว่า ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ให้ไปเยี่ยมอาการอาพาธพระเขม กะที่พทริการาม คร้ันไปถึงได้สอบถามอาการทราบข่าวตามความเป็นจริงแล้ว ได้นาข่าวกลับไปบอกคณะ สงฆใ์ หท้ ราบ พระเถระท้ังหลาย เมื่อทราบข่าวแล้ว ก็วานท่านพระทาสกะไปสอบถามพระเขมกะอีกว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ พระเขมกะได้พิจารณาเห็นอัตตา หรือสิ่งเนื่องด้วยอัตตาไรๆ ในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการน้ีหรือไม่อย่างไร ท่านพระทาสกะก็รับคาพระเถระ ไปสอบถามพระเขมกะอีก กลับมาแล้วก็นา เรียนให้พระเถระทราบ และก็ถูกพระเถระส่งไปสอบถามเรื่องราวต่างๆ ซ้าแล้วซ้าเล่า กระท่ังพระเขมกะ ได้ห้ามว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว ตนจะไปหาพระเถระท้ังหลายเอง จากนั้นท่านก็ยันไม้เท้าไปหาพระเถระถึงท่ี อยู่ ไดส้ นทนากับพระเถระท้ังหลายกระท่งั ตวั ทา่ นและพระเถระท้ังหลายเหลา่ น้ันบรรลุพระอรหนั ต์ ทิสัมบด,ี พระราชา พระราชาพระนามว่าทิสัมบดี ปรากฏพระนามในมหาโควินทสูตร๔๔๔ ทรงมีปุโรหิตประจาราช สานักช่อื โควินทะ แตโ่ ควินทะผู้น้ี รับตาแหน่งปุโรหิตได้แค่ข้ามคืนก็ส้ินชีวิต ทาให้พระเจ้าทิสัมบดีทรงเสีย พระทยั เปน็ อย่างมาก พระเจ้าทิสัมบดีทรงมีพระราชโอรส ๗ พระองค์ ในพระราชโอรสเหล่านั้น พระราชโอรสพระ นามว่าเรณุ เห็นพระราชบิดาเสียพระทัยมากเช่นน้ัน กไ็ ด้ถวายคาแนะนาว่า บตุ รของโควินทะช่ือโชติปาละ เฉลยี วฉลาดมาก ทาไมพระองค์ไมแ่ ตง่ ตงั้ ให้โชตปิ าละดารงตาแหน่งแทนบิดา พระเจ้าทิสัมบดีจึงได้แต่งตั้ง โชติปาละไว้ในตาแหน่งปุโรหิตแทนโควินทะผู้เป็นบิดา และโชติปาละก็ได้สนองพระราชกิจต่าง ๆ ได้เป็น อย่างดยี ่งิ กว่าทบี่ ดิ าไดเ้ คยทาเอาไว้ ทาใหเ้ ปน็ ทเ่ี ลื่องลือ และได้สมญานามวา่ มหาโควินทะ เม่อื พระเจา้ ทิสมั บดีสวรรคต มหาโควินทะได้ทาหน้าที่แบ่งประเทศออกเป็น ๗ อาณาจักรเท่า ๆ กนั จากนน้ั ให้ สรา้ งเมืองหลวงไว้ ๗ แห่ง๔๔๕ ประกอบไปดว้ ย กรงุ ทันตปรุ ะ แห่งรฐั กาลงิ คะ, กรุงโปตนะ แห่งรัฐอัสสกะ, กรุงมาหิสสติ แห่งรัฐอวันตี, กรุงโรรุกะ แห่งรัฐโสวีรานะ, กรุงมิถิลา แห่งรัฐวิเทหะ, กรุง จาปา แห่งรัฐอังคะ, และกรุงพาราณสี แห่งรัฐกาสี มอบให้แก่พระราชโอรสท้ัง ๗ พระองค์ คือ พระเจ้า สัตตภู ได้ครองเมืองทันตปุระ, พระเจ้าพรหมทัต ได้ครองเมืองโปตนะ, พระเจ้าเวสสภูได้ครองเมืองมาหิส สติ, พระเจา้ ภรตะได้ครองเมืองโรรุกะ, พระเจ้าเรณุได้ครองเมืองมิถิลา, พระเจ้าธตรฐได้ครองเมืองจัมปา, และพระเจา้ ธตรฐได้ครองเมอื งพาราณสี ทฆี เถระ, พระทีฆเถระ เป็น ๑ ในพระเถระผู้ทรงจาพระวินัยสืบต่อกันมา ในคัมภีร์ปริวาร ได้แจกแจง รายช่ือพระเถระทส่ี ืบตอ่ พระวนิ ยั นบั ต้งั แตใ่ นชมพทู วีป กระทง่ั ถึงในศรีลงั กา เริ่มตั้งแต่พระอุบาลี พระทาส กะ พระโสณกะ พระสิคควะ พระโมคคัลลีบุตร พระมหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ ๔๔๒ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๔๔๓ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๙/๑๖๖. ๔๔๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๐๔/๒๓๘. ๔๔๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๓๐๙/๒๔๒.
๑๔๕ พระภัททบัณพิต พระติสสิทัตตบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระทีฆเถระ พระทีฆสุมนบัณฑิต ฯลฯ พระจูฬา ภยั พระตสิ สเถระ พระจูฬเทวะ และพระสวิ เถระ๔๔๖ ทีฆการายนะ,เสนาบดี ทฆี การายนะ เป็นเสนาบดีของพระเจ้าปเสนทโิ กศล เนอ้ื ความสังเขปปรากฏในธรรมเจติยสูตร วา่ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ขณะประทบั พักผอ่ นสาราญในพระราชอุทยาน มีพระประสงค์จะเสด็จไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งขณะน้ันได้ประทับอยู่ท่ีนิคมของเจ้าศากยะพระนามว่าเมทฬุปะ ในแคว้นสักกะ จึงได้ รับส่ังให้ทีฆการายนะจัดเตรียมพาหนะนาเสด็จพระราชดาเนิน ทีฆการายนะ ได้จัดแจงตามพระประสงค์ ทุกประการ ทีฆการายนะ ในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความว่า เป็นหลานของพันธุลเสนาบดี ซ่ึงถูกพระเจ้า ปเสนทิโกศลลวงไปฆ่าด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าพันธุละเสนาบดีจะทาการกบฏ๔๔๗ ขณะท่ีพระเจ้าปเสนทิ โกศลเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่น้ัน ได้ทรงมอบเครื่องราชกุธภัณฑ์ไว้ในมือของทีฆการายนะอามาตย์ด้วย ความเคารพในพระพุทธเจ้า ทีฆการายนะ มีความแค้นเป็นการส่วนกับพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่แล้ว จึงได้อาศัยจังหวะ นั้นเอง ร่วมมือกับวิฑูฑภะยึดอานาจจากพระเจ้าปเสนทิโกศล โดยท้ิงม้า และนางสนมคนเดียวเท่าน้ันไว้ พร้อมกับส่ังว่า ถ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลอยากมีพระชนม์อยู่ก็อย่าได้ตามไป หลังจากนั้นก็พากันเข้าเมือง และไดย้ กเศวตฉัตรใหแ้ กว่ ิฑฑู ภะไดค้ รอบครองสืบไป ทีฆการายนะ,อามาตย์ ทีฆการายนะอามาตย์เช้ือชาติพราหมณ์ เป็นอามาตย์ของพระเจ้าภาติราช เป็นผู้ได้รับพระ บัญชาให้มาระงับการวิวาทะระหว่างพระเถระสานักมหาวิหารและอภัยคีรีวิหาร กรณีการตีความหมาย บาลพี ระวินยั ผิด ตกลงกันไม่ได้ เนอ่ื งจากทรงจาพระวินัยไม่ตรงกัน กล่าวคือ สานักมหาวิหารทรงจามาว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นน้ัน พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย” ขณะที่สานักอภัยคีรีวิหารทรงจามา วา่ “ภิกษทุ ัง้ หลาย ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงให้นางภกิ ษุณเี มตติยาสึกเสยี ด้วยการปฏญิ าณของตน”๔๔๘ ทฆี ตปสั ส,ี นิครนถ์ ทีฆตปัสสีนิครนถ์ ได้ช่ืออย่างนั้นเพราะเป็นนิครนถ์ที่บาเพ็ญตบะมาเป็นระยะเวลานาน๔๔๙ ปรากฏในอุปาลิวาทสูตร เนื้อความพรรณนาถึงทีฆตปัสสีเท่ียวออกบิณฑบาตในเมืองนาลันทา กลับจาก เท่ียวหาอาหารภายหลังเวลาอาหารแล้วจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงปาวาริกัมพวัน ได้สนทนา ปราศรัยพอเป็นท่ีพอเป็นท่ีบันเทิงใจแล้ว ได้รับการเชิญชวนจากพระพุทธองค์ให้นั่งที่สมควร จากน้ันพระ พทุ ธองคจ์ งึ ได้ตรสั ถามถึงคาสอนสาคัญของทฆี ตปสั สี ทีฆตปัสสีนิครนถ์ได้กราบทูลถึงฑัณฑะ ๓ ประการ เทียบกับกรรม ๓ ประการ ได้แก่ กาย ทัณฑะ, วจีทัณฑะ และมโนทัณฑะ ตามแนวคิดของนิครนถ์ถือว่า ในบรรดากรรมทั้ง ๓ ประการน้ี กาย ๔๔๖ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๖. ๔๔๗ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๒๐๔. ๔๔๘ ว.ิ มหา.อ.(ไทย) ๑/๓/๔๙๐. ๔๔๙ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๕๖/๓๙.
๑๔๖ ทัณฑะมีโทษหนักสุด โดยให้เหตุผลว่า เม่ือบุคคลทากรรมใด ๆ ทางทวารใด ๆ ก็ตาม สุดท้ายผู้ที่ต้องรับ โทษก็คอื กาย การพบกันระหว่างทีฆตปัสสีนิครนถ์กับพระพุทธเจ้าคร้ังนี้ ได้นาไปสู่การโต้วาทะระหว่างศิษย์ นิครนถน์ ามวา่ อุบาลีกับพระพุทธเจ้าอกี ครั้งในเวลาตอ่ มา ดว้ ยเหตุว่า อบุ าลีนคิ รนถ์ผู้นี้ ต้องการชี้ให้เห็นว่า คาสอนของนิครนถ์ที่ยืนยันเรื่องกายทัณฑะว่ามีโทษมากกว่า เป็นการถูกต้องแล้ว แต่สุดท้ายเม่ือมีการโต้ วาทะข้นึ จริง พระผมู้ พี ระภาคก็สามารถทาให้อุบาลียอมรับโดยดุษฎีว่า มโนกรรมมีโทษมากกว่า ทั้งนี้ด้วย เหตผุ ลวา่ ๓ ประการทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคยกขึ้นมาคัดคา้ น ๑. กรณีตัวอย่างนิครนถ์ท่ีกาลังเจ็บป่วย มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ถูกห้ามใช้น้าเย็น ใช้แต่น้าร้อน เม่ือไม่ได้น้าเย็นเขาก็จะต้องตาย และเมื่อเขาตายแล้วก็ได้ไปบังเกิดในหมู่เทพ ท้ังน้ีก็เพราะว่ามีใจผูกพัน ตายไป๔๕๐ ๒. กรณีตัวอย่างนิครนถ์ผู้สารวมด้วยอาการ ๔ อย่างคือ (๑) เว้นน้าดิบ (๒) เว้นบาปทุกอย่าง (๓) ล้างบาปทุกอย่าง และ (๔) รับผัสสะทุกอย่างโดยไม่ให้เกิดบาป แต่เวลาเดินไปเดินมา ทาสัตว์เล็ก ๆ ตายไปเป็นอันมาก หากไม่มีเจตนา นิครนถท์ งั้ หลายก็ถอื วา่ ไมม่ โี ทษเพราะขาดเจตนา๔๕๑ ๓. กรณตี วั อยา่ งการกระทาทางกายของบุคคลธรรมดา เปรียบเทียบกับการกระทาของบุคคล ผู้มีฤทธิ์ทางใจว่า ใครสามารถทาให้เกิดความเสียหายได้มากกว่ากัน ซึ่งประเด็นน้ี ทางนิครนถ์ก็ยืนยัน เชน่ กันว่า การกระทาของผู้มีฤทธิท์ างใจวา่ สามารถทาความเสยี หายได้มากกว่า๔๕๒ ทฆี าวุ, อบุ าสก ทีฆาวอุ ุบาสก เป็นบุตรของโชติยคหบดี ชาวเมืองราชคฤห์ เน้ือหาโดยสังเขปมาในทีฆาวุอุปา สกสตู รแหง่ สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค๔๕๓ ความสรุปได้ว่า ทฆี าวอุ ุบาสก มีอาการอาพาธอย่างหนัก ได้รับ ทุกขเวทนา จึงร้องขอให้บิดาไปกราบทูลเชิญพระผ้มู ีพระภาคเจ้าไดเ้ สดจ็ มาเยย่ี มอนุเคราะห์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุเคราะห์ตามคาของบิดา เสด็จไปยังเรือนของทีฆาวุอุบาสก จากน้ันจึงทรงแสดงองค์ธรรมเครื่องบรรลุให้บรรลุโสดาบันแก่ทีฆาวุอุบาสก มีพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ และสีลานุสสติ เป็นต้น ต่อแต่น้ันได้ทรงเตือนให้ระลึกเห็นสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เปน็ อนตั ตา มีหมายรู้ในการละ ในการคลายออก ในความดับ ทีฆาวุอุบาสได้กราบทูลว่า ธรรมหมดนี้มีอยู่ ในตนเองแล้ว ตนเองได้แทงตลอดธรรมเหลา่ นน้ั แล้ว หลังจากท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสนทนากับทีฆาวุอุบาสกพอสมควรแล้วก็เสด็จหลีกไป ครนั้ ทรงหลีกไปไม่นาน ทีฆาวุอุบาสกก็ได้ถึงแก่กรรม คร้ันถึงแก่กรรมแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็ได้เข้าเฝ้ากราบ ทูลคติของทีฆาวอุ ุบาสก พระพทุ ธเจา้ ได้ทรงพยากรณว์ า่ ทฆี าวุอบุ าสกเปน็ บณั ฑิต พูดความจริงถูกต้องตามธรรม ทั้งไม่ เบยี ดเบียนเราเพราะเหตแุ หง่ ธรรม ละสังโยชน์เบ้ืองต่าได้แล้ว จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาเกิด ในโลกนีอ้ กี ๔๕๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๖๑/๕๙. ๔๕๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๖๓/๖๐. ๔๕๒ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๖๔/๖๑. ๔๕๓ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๙๙๙/๔๙๑.
๑๔๗ ทีฆาวุกุมาร ทีฆาวุกุมาร มาในทีฆาวุวัตถุแห่งวินัยปิฎกมหาวรรค๔๕๔ ทีฆีติโกสลชาดก แห่งขุททกนิกาย ชาดก๔๕๕ โสณกชาดก แหง่ ขุททนิกายชาดก๔๕๖ ความสงั เขปดังตอ่ ไปนี้ ทฆี าวุกมุ าร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าทีฆีติแห่งแคว้นโกศล ทรงถือกาเนิดมาในช่วงที่พระ ราชบิดากาลังเผชิญกับปัญหาถูกพระเจ้ากาสีราชยกทัพมาชิงเอาราชสมบัติ ด้วยความมีกาลังน้อยกว่า เสยี เปรยี บทกุ ด้าน จึงจาต้องปลอมพระองค์เป็นปริพพาชกไปอาศัยอยู่ในเรือนนายช่างหม้อซึ่งอยู่ชายแดน กรงุ พาราณสี พร้อมกับมเหสี และตอ่ มาพระนางก็ทรงครรภท์ ฆี าวุกุมาร ช่วงที่พระมารดาต้ังครรภ์ทีฆาวุกุมาร พระนางเกิดอาการแพ้พระครรภ์ ปรารถนาจะดูทหาร เกราะในสนามรบ และไดเ้ สวยนา้ ลา้ งพระแสงขรรค์ แรกเริ่มก็สร้างความกังวลพระทัยแก่พระเจ้าทีฆีติเป็น อย่างมาก ด้วยสถานการณ์เวลานี้ คงไม่ง่ายนักที่จะทาเช่นนั้น แต่ด้วยอาศัยทรงมีพระสหายเป็นปุโรหิต ของพระเจา้ กาสี จงึ ได้ไปขอความชว่ ยเหลอื อยา่ งลับๆ ซ่ึงก็ได้รบั ความชว่ ยเหลือจนสาเร็จตามพระประสงค์ ตอ่ มาเมือ่ พระครรภ์แก่รอบ พระนางก็ประสูตทิ ีฆาวกุ มุ าร เมอื่ ทฆี าวกุ มุ ารเจริญวัยขนึ้ พระเจา้ ทีฆตี ิทรงเกรงวา่ พระเจ้ากาสจี ะลว่ งรู้ความลับ จึงได้ส่งพระ กุมารไปอยูน่ อกเมอื ง และให้ศึกษาศลิ ปะวิทยาทุกอย่างจนสาเร็จ ส่วนพระองค์กับพระมเหสีต่อมาก็ถูกจับ ได้ และถูกนาไปกล้อนผม แห่ประจานรอบเมืองแล้วนาไปสาเร็จโทษโดยการให้บ่ันร่างออกเป็น ๔ ท่อน ฝังแยกกัน ๔ หลุมทางทิศใต้ของเมือง ในชว่ งท่ีถูกนาแห่รอบเมือง พระเจ้าทีฆีติได้ตรัสอนทีฆาวุกุมาร ซึ่งปลอมพระองค์มาเยี่ยมเป็น ครงั้ สุดท้ายวา่ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่ จองเวร โดยตรสั อยา่ งน้ีซ้า ๆ กันถึง ๓ ครั้ง กระทั่งพวกเจ้าพนักงานเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์เสียสติไปแล้ว จงึ บ่นเพ้ออย่างน้ัน แตพ่ ระองค์กท็ รงปฏเิ สธวา่ ไม่ได้เสยี สติ ไม่ได้เพอ้ มแี ตผ่ ูร้ ้เู ทา่ นน้ั จะเข้าใจ ทฆี าวุกุมาร เมอื่ พระราชบดิ าและพระราชมารดาถูกนาไปฝงั แยกรา่ งแล้ว ก็หาอุบายเล้ียงเหล้า พวกอยู่ยามจนเมา จากน้ันก็ทรงขุดร่างของพระราชบิดาและพระราชมารดามาถวายพระเพลิง ประนม พระหัตถก์ ระทาประทกั ษิณ ๓ รอบแลว้ กจ็ ากไป นบั ต่งั แตบ่ ัดนัน้ เปน็ ตน้ มา ทฆี าวุกุมารกเ็ ริ่มวางแผนยึดคืนราชสมบตั ดิ ้วยการไปสมัครเป็นศิษย์ ของนายหัตถาจารยข์ องพระเจา้ กรุงพาราณสี เรยี นศลิ ปวิทยาจนสาเรจ็ และวางแผนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ใน พระราชวังของพระเจ้ากาสีในฐานะมหาดเลก็ คนสนทิ อยู่มาวันหนึ่งได้โอกาส ขณะท่ีพระเจ้ากาสีกับทีฆาวุกุมารประทับอยู่ด้วยกันเพียงลาพัง ทีฆาวุ กุมารได้โอกาส ขณะท่ีพระเจ้ากาสีบรรทมหลบั อยูข่ ้างด้วยความเหน็ดเหน่ือย ได้ระลึกถึงพระราชบิดาและ พระราชมารดาวา่ ไดเ้ คยถกู พระเจา้ กาสรี บั สง่ั ใหก้ ลอ้ นพระเกศา แห่ประจาน และนาไปตัดเป็นท่อน ๆ ฝัง แยกร่าง เกิดความแค้นข้ึนมา จึงทรงหยิบพระขรรค์แสงออกมาเตรียมปลงพระชนม์พระเจ้ากาสี ทรงชัก เข้าชักออกอยู่ถึง ๓ คร้ัง ด้วยลังเลพระทัย ทรงระลึกถึงพระดารัสของพระราชบิดาว่า จงอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่ส้ัน เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าจะละเมิดพระดารัสก็ไม่ เป็นการสมควร ๔๕๔ วิ.ม.(ไทย) ๕/๔๕๘/๓๔๓. ๔๕๕ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๑๐/๒๒๐. ๔๕๖ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๘/๓๘/๔๐.
๑๔๘ ช่วงจังหวะน้ันเอง พระเจ้ากาสีทรงสะดุ้งต่ืน และทรงเล่าให้ฟังว่า ทรงสุบินนิมิตร้ายว่า ถูก ทีฆาวุกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติฟันด้วยพระแสงขรรค์ ทีฆาวุกุมารจึงได้แสดงตน พร้อมท้ังจับเศียรพระ เจ้ากาสีด้วยพระหัตถ์ซ้าย ชักพระแสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา พร้อมกับขู่พระเจ้ากาสีว่า เป็นผู้ทาลาย แคว้นโกศล ชิงราชสมบัติ ท้ังยงั ปลงชีวิตพระชนกชนนี คราวนีถ้ งึ เวลาของตนเองบ้าง พระเจ้ากาสีตกพระทยั ซบพระเศยี รแทบบาทของทีฆาวกุ มุ าร อ้อนวอนขอชีวิต ทีฆาวุกุมารจึง กราบทูลว่า ไม่สามารถถวายชีวิตแด่พระเจ้ากาสีได้ พระเจ้ากาสีต่างหากควรพระราชทานชีวิตแก่ข้า พระองค์ พระเจ้ากาสีได้ขอให้ทีฆาวุกุมารไว้ชีวิต และพระองค์ก็ได้ประทานชีวิตแก่ทีฆาวุกุมาร ท้ัง ๒ พระองค์สาบานว่าจะไม่ทารา้ ยกันตลอดชีวิต จากน้นั กใ็ หท้ ฆี าวกุ มุ ารเทยี มรถ และเสดจ็ กลับพระราชวัง พระเจา้ กาสีเมื่อกลับถึงพระราชวังแล้ว ก็รับส่ังให้เรียกประชุมเสนาอามาตย์ปรึกษาว่า ถ้าพบ ทีฆาวุกมุ าร โอรสของพระเจ้าทีฆีติจะทาอย่างไร พวกอามาตย์ท้ังหลายต่างเสนอให้ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตดั ท้ังมือและเทา้ บา้ ง ตดั หู ตัดจมกู บ้าง ตัดศีรษะบ้าง จากนั้นพระเจ้ากาสจี ึงได้ชี้ไปที่ทีฆาวุกุมาร พร้อมท้ัง ตรัสบอกว่า ทีฆาวุกุมารเปน็ ผใู้ หช้ ีวติ แกพ่ ระองค์ ใครจะทาร้ายเขาไม่ได้ พระเจ้ากาสีให้ขอให้ทีฆาวุกุมารอธิบายส่ิงท่ีพระชนกได้สอนเอาไว้ก่อนถูกนาไปประหาร ซึ่ง ทีฆาวุกุมารก็ได้ถวายคาอธิบายว่า คาว่าอย่าเห็นแก่ยาว หมายความว่า อย่าได้จองเวรให้ยืดเยื้อ อย่าเห็น แก่สน้ั หมายความว่า อย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก ส่วนเวรไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการ ไม่จองเวร หมายความว่า พระชนกชนนีของของข้าพระองค์ถูกพระองค์ปลงพระชนม์ชีพแล้ว ถ้าข้า พระองค์ปลงพระชนม์ชีพพระองค์บ้าง คนของพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์ และคนของข้าพระองค์ก็จะพึง ฆ่าคนของพระองค์เชน่ กัน พระเจ้ากาสีได้สดับคาของทีฆาวุกุมารแล้ว ทรงเลื่อมใสย่ิงนัก จึงได้โปรดพระราชทานคืนราช สมบัติของพระชนกชนนี พร้อมกับพระราชทานพระธิดาให้อภิเษกสมรสด้วย ทีฆาวุกุมารจึงได้ครองราช สมบัติในแคว้นโกศลสืบต่อมา ทฆี ตี โิ กศล,พระราชา พระเจา้ ทฆี ีติโกศล ได้รับการพรรณนาไว้ในทีฆาวุวัตถุ๔๕๗ ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ขัดสน มีทรัพย์ นอ้ ย มโี ภคสมบัติน้อย มีกาลงั พลน้อย มีพาหนะน้อย มีอาณาจักรไม่กว้างใหญ่ มีภัณฑาคารห้องเก็บของมี คา่ และคลงั พืชพันธ์ธุ ญั ญาหารไมอ่ ดุ มสมบูรณ์ เวลาตอ่ มาแผน่ ดินของพระเจ้าทฆี ีติโกศล กถ็ ูกโจมตีโดยพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช พระเจ้าทีฆี ติโกศลประเมินกาลังแล้ว เห็นวา่ ไมส่ ามารถต้านทับพระเจ้าพรหมทัตได้ จึงได้หลบหนีออกจากเมืองพร้อม กับมเหสีไปอาศัยอยทู่ ีบ่ ้านชา่ งหม้อในเขตชายแดนกรุงพาราณสี และต่อมาได้ให้กาเนิดพระโอรสพระนาม วา่ ทีฆาวกุ ุมาร ส่วนพระองคพ์ ร้อมด้วยพระมเหสีถูกตามจับไดใ้ นเวลาต่อมา และถูกนาไปประหารชีวิต คง อยู่แต่ทีฆาวุกุมาร ซึ่งต่อมาได้รับการอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของพระเจ้าพรหมทัต และได้ครอง แผน่ ดนิ โกศลสบื แทนพระราชบิดา ดรู ายละเอียดในทฆี าวุกมุ าร ๔๕๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๔๕๘/๓๔๓.
๑๔๙ ทุมะ,นาง นางทมุ ะ หรืออกี นามหนงึ่ คือ อัมพปาลี๔๕๘ นางทุมะ เป็นนางสนมลับผู้หน่ึงของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งต่อมาได้กาเนิดโอรสร่วมกันองค์หน่ึง ชอ่ื ว่า วิมล ตอ่ มาภายหลังปรากฏนามว่า วมิ ลโกณฑญั ญะ เขาเจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพในคราวเสด็จ พระนครไพศาลี มีจิตเล่ือมใส ได้ขอบรรพชา ทาบุพกิจแล้ว เร่ิมวิปัสสนา บรรลุพระอรหันต์ต่อกาลไม่ นาน๔๕๙ ทโุ ยธนะ, พระราชา ทุโยธนะ ปรากฏในสังขปาลชาดก อรรถกถา๔๖๐ ขยายความเพ่ิมเติมว่า ในอดีตกาล พระเจ้า แผ่นดินมคธเสวยราชสมบัติในพระนครราชคฤห์ พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในพระครรภ์แห่งอัครมเหสีของ พระราชาน้ัน พระชนกชนนีทรงขนานพระนามว่า ทุโยธนะกมุ าร ทุโยธนะกุมารคร้ันเติบใหญ่ ได้ศึกษาศิลปะวิทยาในเมืองตักศิลา สาเร็จกลับมาได้ได้รับการ อภิเษกไวใ้ นราชสมบตั ิ ส่วนพระราชบิดาก็ผนวชเป็นฤาษี ต่อมาลาภสักการะเกิดข้ึนมาก ทาให้ไม่สามารถ บริกรรมกสิณได้ เพราะความกังวลในสักการะน้ัน จึงได้หนีไปอาศัยอยู่ท่ีจันทกบรรพตโดยไม่แจ้งให้พระ ราชโอรสทราบ ทากสิณบรกิ รรม ยงั ฌานและอภิญญาให้บังเกิดแล้ว พญานาคช่ือสังขปาละออกจากกัณณ เวณณานทีพรอ้ มด้วยบริวารเป็นอันมาก เขา้ ไปหาพระราชฤาษนี ้นั เปน็ ครั้งคราว พระราชฤาษีก็แสดงธรรม แกพ่ ญานาคสังปาละนนั้ ต่อมาทโุ ยธนะราชา ได้โปรดให้ออกตดิ ตาม ทราบขา่ วแลว้ จึงได้เสด็จไป ณ ท่ีนั้น พร้อมด้วยข้า ราชบรพิ ารมากมาย ขณะนั้นสังขปาลนาคราชกาลังนั่งฟังธรรมอยู่ พร้อมด้วยบริวาร เห็นพระราชเสด็จมา จึงได้ไหว้ฤาษีแล้วลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป พระราชาถวายบังคมพระบิดา ทรงทาปฏิสันถาร ประทับนั่ง แล้วทูลถามสงั ขปาลนาคราช เกดิ ความโลภในสมบัติของพญานาคนั้น ครั้นกลับถึงพระราชวังก็รับสั่งให้ต้ัง โรงทานไว้ ๔ ทศิ ทรงบริจาคทาน รกั ษาศีล รักษาอโุ บสถปรารถนานาคภพ คร้ันส้ินพระชนม์แล้วก็บังเกิด เป็นพญานาคสังขปาลนาคราช ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายในนาคภพ ได้รักษาอุโบสถศีลปรารถนาบังเกิด เปน็ มนษุ ยอ์ กี ครงั้ แตไ่ มป่ ระสบผลสาเร็จ เพราะล่วงละเมิดศีลก่อน จึงได้ทรมานตัวเองด้วยการไปนอนขด วงล้อมจอมปลวกแห่งหนงึ่ ไม่หา่ งจากแม่น้า อธษิ ฐานอุโบสถ สละตนว่า หากใครต้องการเน้ือหนัง ก็เอาไป เถิด จากน้ันก็นอนอยู่บนยอดจอมปลวก บาเพ็ญสมณธรรม รักษาอุโบสถในวัน ๑๔ ค่า ๑๕ ค่า แล้วไปสู่ นาคพภิ พ วันหนึ่งชาวปัจจันตคาม ๑๖ คนได้เข้าป่าหาเน้ือ แต่ไม่ได้อะไร เม่ือกลับออกมาเห็นพญานาค ราชนอนอยู่บนจอมปลวก ก็พากันวางแผนจะจับเอาไปเป็นอาหาร พญานาคเห็นชนเหล่าน้ัน ดาหริว่า ความปรารถนาของตนสาเรจ็ แลว้ วนั น้ี ไดอ้ ธิษฐานความเพยี ร ไม่ลืมตา ปล่อยให้ชนเหล่ากระทาตามความ ปรารถนา ชนเหล่านั้น ได้จับหางพญานาค กระชากให้ตกลงจากจอมปลวก เอาหลาวแทงท่ีขนด สอด หวายดามีหนามเข้าไปตามช่องทีแ่ ทง เอาคานสอดแล้วพากันแบบกไปที่หนทางใหญ่ ตอ่ มากุฎุมพีชอื่ อาฬาระ ชาวเมืองมิถิลา เห็นชนท้ัง ๑๖ คนกาลังหามพระโพธิสัตว์ไปอยู่อย่าง นั้น ได้ขอร้องให้ปล่อยตัวพญานาค โดยแลกกับทอง โคพาหนะ ๑๖ ตัว ผ้านุ่ง ผ้าห่ม เคร่ืองประดับ ๔๕๘ ข.ุ อิต.ิ อ.(ไทย) ๖๔/๒๒๗. ๔๕๙ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๒/๑/๓๒๔. ๔๖๐ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๒/๗/๖๖๙.
๑๕๐ พญานาคเม่ือได้รับอิสระแล้วก็กลับไปยังนาคพิภพ และได้เชิญกุฎุมพีน้ันไปยังนาคพิภพ ประทานยศใหญ่ ให้ บารงุ บาเรอดว้ ยกามอนั เป็นทพิ ย์ ผ่านไป ๑ ปี จงึ ไดอ้ อกบวชอยู่ในหิมวันตประเทศส้ินกาลนาน เทวทัต,พระ พระเทวทัต สถานะเดิมเป็นเจ้าชายเมืองโกลิยวงศ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะกับ พระนางอมติ า มีฐานะเป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธรา หรือพมิ พา พระชายาของเจ้าชายสิทธตั ถะ เม่ือเจ้าชายสิทธตั ถะท้ิงราชสมบัติเสด็จออกผนวช และได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขณะทรงประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน นิคมของพวกชาวมัลลกษัตริย์ พระเทวทัตก็ได้ออกผนวชตามพร้อม ดว้ ยเจา้ ศากยะอีก ๕ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระภัททยิ ะ, พระอนุรุทธะ, พระอานนท์, พระภคุ, พระกิมพิละ และ ช่างตัดผมอีก ๑ คือ อุบาลี เฉพาะพระเทวทัตรูปเดียวได้บรรลุเพียงฌานโลกิยะ ส่วนทั้ง ๖ รูปที่เหลือ ได้ บรรลพุ ระอรหันต์๔๖๑ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี ลาภและสักการะเกิดข้ึนมาก ชาวเมืองไปสู่วิหาร ถามหาพระศาสดาบา้ ง พระสารีบตุ รบ้าง พระมหาโมคคัลลานะบา้ ง พระมหากัสสปะบ้าง พระภัททิยะบ้าง พระอนุรทุ ธะบ้างบา้ ง พระอานนทบ์ า้ ง พระภคบุ า้ ง พระกิมพลิ ะบ้าง แต่ไม่มีใครถามหาพระเทวทัตเลย ทา ให้พระเทวทัตน้อยใจ และหันไปสมคบกบั พระเจ้าอชาตศตั รู ด้วยการแสดงฤทธ์ิให้ทรงเล่ือมใส ยังลาภและ สกั การะให้เกิดขึ้นเปน็ อนั มาก พระเทวทัตเม่ือมีกาลังมากข้ึน ก็เร่ิมตะเกียกตะกายทาลายสงฆ์ โดยเข้าไปชักชวนพระโกกาลิ กะ พระกฏโมรกตสิ สกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัต เงอ่ื นไขท่ีพระเทวทัตใชเ้ ป็นข้ออ้างในการดาเนนิ การกค็ อื การทลู ขอพุทธานุญาตพิเศษ คือวัตถุ ๕ ประการ คือ ๑) ให้ภิกษุอยู่ป่าเป็นวัตร ห้ามภิกษุเข้าบ้าน ๒) ให้ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต รับกิจ นิมนต์มโี ทษ ๓) ใหใ้ ช้ผ้าบงั สกุ ลุ ตลอดชีวติ ใชจ้ วี รมผี ู้ถวายมีโทษ ๔) ให้อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิต อยู่ในกุฏิมี ทมี่ ุงท่บี ังมีโทษ และ ๕) หา้ มฉันปลาและเนอื้ ตลอดชวี ิต รปู ใดฉนั มีโทษ เม่ือพระพุทธเจ้าปฏิเสธเงื่อนไขท้ัง ๕ ประการ พระเทวทัตก็ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการเชิญชวน ภิกษุผู้หวังปฏิบัติเคร่งครัดให้เข้าพวกตน โดยเฉพาะภิกษุผู้บวชไม่นาน หลงเช่ือ และเข้าพวกกับพระ เทวทตั จานวน ๕๐๐ รปู ความปรารถนาของพระเทวทัตไม่ได้หยุดอยู่แค่น้ัน แต่ยังมีความปรารถนาจะปกครองภิกษุ สงฆ์แทนพระพุทธเจ้า ซ่ึงจากความปรารถนาน้ีเอง ทาให้ท่านเสื่อมจากฌานโลกีย์๔๖๒ ท่านได้ขอให้ พระพุทธเจ้ามอบความเป็นใหญ่ในสงฆ์ให้ท่าน แต่ก็ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสปฏิเสธไปว่า “เทวทัต แม้แต่ สารีบุตรและโมคคัลลานะเรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ เราจะมอบภิกษุสงฆ์ให้เธอซึ่งเป็นคนต่าช้า บริโภค ปัจจัยดุจกลืนน้าลายได้อย่างไรเล่า”๔๖๓ ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พระเทวทัตเป็นอย่างมาก และถือเป็น จดุ เรม่ิ ต้นทีพ่ ระเทวทตั เร่มิ ผูกอาฆาตในพระพุทธเจ้า พระเทวทัตได้ก่อกรรมหนักขึ้นด้วยการวางแผนปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า กระทาหลายคร้ัง เร่มิ ต้ังแต่จ้างนายขมังธนู กลิ้งศิลาให้ตกทับ ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้เหยียบ แต่ก็ไม่สาเร็จ สุดท้ายก็ทาลาย ๔๖๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๘๑. ๔๖๒ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๓๓/๑๗๔. ๔๖๓ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๓๖/๑๘๑.
๑๕๑ สงฆ์ แยกตน แยกคณะออกจากพระพุทธเจ้า พระพุทธจ้าได้มอบหมายให้พระสารีบุตรและพระมหาโมค คัลลานะไปชี้แจงข้อเท็จจริงให้ภิกษุท่ีหลงผิดได้รับทราบ และกลับใจ นามายังสานักของพระผู้มีพระภาค ดงั เดิม เม่ือกรรมชั่วเร่ิมปรากฏชัด มหาชนก็โจทก์จัน และตาหนิพระเจ้าอชาตศัตรูว่าคบกับคนลามก เห็นปานนี้ได้อย่างไร พระเจ้าอชาตศัตรูสดับคาของมหาชนเช่นน้ัน ก็รับสั่งให้งดบารุงพระเทวทัต ทาให้ พระเทวทัตตกอยใู่ นสถานการณ์ลาบาก เสือ่ มทั้งจากลาภและสกั การะทงั้ ปวง บน้ั ปลายชีวิต พระเทวทัตประสบวบิ ากกรรม อาพาธหนกั เกิดสานกึ ในความผดิ ที่ตนได้กระทา ลงไป ประสงค์ขอให้พระพุทธเจ้าทรงอดโทษ จึงให้ลูกศิษย์หามไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพ่ือขอขมาโทษ แต่ไม่ ทันไดเ้ ข้าเฝ้า ถกู ธรณีสบู ทใ่ี กลป้ ระตพู ระเชตวนั ๔๖๔ ไปบังเกิดในอวเวจมี หานรก เทวธัมมกิ ะ, นิครนถ์ เทวธัมมิก เป็น ๑ ใน ๕ นิครนถ์ที่พระพุทธได้ทรงพยากรณ์ไว้ในพระสูตรที่ว่าด้วยเร่ืองของ นิครนถ์๔๖๕ ว่า ย่อมดารงอยู่ในนรก เหมือนถูกนาไปฝังไว้ เหตุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ได้แก่ ๑) เป็นผ้ฆู า่ สัตว์ ๒) เปน็ ผู้ลักทรพั ย์ ๓) เป็นผูป้ ระพฤตผิ ดิ พรหมจรรย์ ๔) เปน็ ผ้พู ดู เทจ็ และ ๕) เป็นผู้เสพของ มนึ เมาคือสุราและเมรยั อนั เป็นเหตุแหง่ ความประมาท เทวเถระ, พระ พระเทวเถระ เป็น ๑ ในพระเถระท่ีได้รับการระบุไว้ในพระวินัยวา่ เป็นผทู้ รงจาพระวนิ ยั สบื กัน มาในศรลี ังกา ในพระบาลีระบวุ ่า พระเทวเถระผูเ้ ป็นบณั ฑิต๔๖๖ เทวหติ ะ, พราหมณ์ เทวหิตพราหมณ์ ปรากฏในเทวหิตสูตร๔๖๗ ความสังเขปว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ อย่ทู ี่พระเชตวัน ทรงประชวรดว้ ยโรคลม จึงรับส่ังใหพ้ ระอปุ วาณะซ่ึงทาหน้าท่ีอุปัฏฐาก ไปหาน้าร้อน พระ เถระรับพระดารัสแล้ว ก็ครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ แล้วก็ยืน น่งิ อยู่ ณ ทสี่ มควร พราหมณ์เหน็ เขา้ ก็ถามว่าปรารถนาอะไร พระเถระก็ไดแ้ จ้งความประสงค์ให้ทราบ เทวหิตพราหมณ์ทราบความประสงค์แล้ว จึงให้คนถือเอากาน้าร้อน และห่อน้าอ้อยตามไป ถวายพระเถระ พระอปุ วาณะเข้าเฝา้ พระผูม้ พี ระภาคเจ้าถงึ ท่ปี ระทบั แล้ว ให้ทรงสนาน และใช้นาร้อนและ ลายนา้ ออ้ ยถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ทรงหายจากอาการประชวร พราหมณ์ได้เข้าเฝ้า สอบถามพระอาการ จากน้ันจึงกราบทลู ถามถงึ ไทยธรรมทบี่ คุ คลให้แล้ว ณ ที่ไหนมผี ลมาก พระผมู้ ีพระภาคได้ตรัสว่า เป็นพระคาถา สรุปความ ทานที่ให้แล้วในมุนีผู้บรรลุอภิญญาอย่าง แจ่มแจ้ง เห็นสวรรค์และอบาย ท้ังบรรลุความส้ินชาติ๔๖๘ พราหมณ์ได้ฟังพระพุทธภาษิตแล้ว เกิดความ เล่อื มใสย่งิ นกั จงึ ได้ประกาศตนนบั ถือพระรัตนตรัยตลอดชวี ิต ๔๖๔ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๙๘. ๔๖๕ อง.ฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๙๔/๔๐๖. ๔๖๖ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๔๖๗ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๙/๒๘๗. ๔๖๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๙/๒๘๘.
๑๕๒ ในคัมภีรธ์ รรมบท ระบุเรือ่ งราวเทวหิตพราหมณ์ ได้กราบทูลถามว่า บุคคลเช่นไร ทรงเรียกว่า พราหมณ์ ตอ่ ปญั หานี้ พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ได้ตรัสว่า ผู้ระลึกอดีตชาติได้ เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุภาวะ ทส่ี ิน้ สดุ การเกดิ หมดภาระ เพราะรู้ย่งิ เปน็ มุนีอยูจ่ บพรหมจรรย์แลว้ ทรงเรยี กวา่ พราหมณ์๔๖๙ ทุมมุขะ ทุมมุขะ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก ๒ ช่ือ ช่ือแรกปรากฏในจูฬสัจจกสูตร๔๗๐ เป็นนามของ เจ้าลิจฉวีพระองค์หน่ึงทอดพระเนตรเห็นสัจจกะนิครนถ์แพ้โต้วาทะพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้น่ังนิ่ง เก้อ เขิน คอตก กม้ หนา้ ซบเซา หมดปฏภิ าณ จงึ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าเพอ่ื เสนออุปมาถวายว่า สัจจก นคิ รนถ์เวลานี้ ไมต่ ่างอะไรกับปูท่ีถูกพวกเด็กจับวางบนบก คร้ันพอชูก้ามไปทางใด เด็กเหล่านั้นก็ใช้ไม้ทุบ ตจี นก้ามหกั หมดเกลี้ยง ไมส่ ามารถกลบั ลงนา้ ได้อีก ชอื่ ที่ ๒ ปรากฏในขุททกนิกาย ชาดก๔๗๑ เป็นพระนามของพระเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นปัญจาละ ซง่ึ หมดความกังวล ละทิ้งแว่นแคว้น เสดจ็ ออกผนวชในเวลาตอ่ มา ในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายถึงสาเหตุของ การออกผนวชไว้ว่า วันหน่ึง ได้ประทับยืนทอดพระเนตรเห็นโคกถึกตัวหนึ่ง มีความหึงหวง เห็นแก่ตัว ได้ ขวิดโคผู้อีกตัวหนึ่งท่ีระหว่างขา ไส้ของโคที่โดนขวิดนั้นทะลักออกมาจากปากแผล และได้ถึงความสิ้นไป แห่งชวี ติ ในเวลาต่อมา เกิดความสังเวชสลดพระทัยในอานาจของกิเลสในสรรพสัตว์ท้ังหลาย จึงได้น้อมไป ในบรรพชา๔๗๒ โทณะ, พราหมณ์ โทณพราหมณ์ปรากฏชื่อในพระไตรปิฎกหลายแห่งในฐานะเป็นพราหมณ์ผู้หนึ่งท่ีทาหน้าท่ี ห้ามศึกท่ีกาลังจะเกิดขึ้นจากการแย่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ภายหลังพุทธปรินิพพาน และ เปน็ ผูม้ คี วามคุ้นเคย มีโอกาสสนทนากับพระพุทธเจ้าหลายครั้ง การที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกเมืองกุสินารา เป็นท่ีปรินิพพาน เพราะทรงมองเห็นว่า ถ้าพระองค์ปรินิพพานที่เมืองอ่ืน ก็จะเกิดการนองเลือดในเวลา แจกพระธาตุ แต่ทเ่ี มืองกสุ ินาราน้มี ีโทณพราหมณ์ผ้สู ามารถระงับเหตุดังกล่าวได้๔๗๓ ในอรรถกถาทีฆนิกาย มีข้อความระบุถึงโทณพราหมณ์ว่า ในภาคพื้นชมพูทวีป คนท่ีเกิดใน เรือนตระกูลโดยไม่มาก ชื่อว่าไม่เป็นศิษย์ของโทณพราหมณ์น้ันไม่มีเลย๔๗๔ แสดงให้เห็นชื่อเสียงหรือ สถานะทางสังคม ซึ่งถือเป็นมูลเหตุสาคัญที่ทาให้โทณพราหมณ์อยู่ในฐานะเป็นท่ียอมรับกระท่ังสามารถ คล่ีคลายสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกดิ ขึ้นจากการแย่งพระบรมสารีรกิ ธาตุของพระพทุ ธเจา้ ในอรรถกถาอังคตุ ตรนกิ าย จตุกนบิ าต๔๗๕ ระบวุ ่า โทณพราหมณ์ ชานาญในไตรเพท ลุกขึ้นแต่ เช้าตรู่ ทากิจส่วนตัวเสร็จแล้ว นุ่งผ้าค่านับ ๑๐๐ ใช้ของมีค่าราคา ๕๐๐ คล้องด้ายยัญ สวมรองเท้าสาย แดง สอนศิลปะพวกมาณพ ๕๐๐ มมี าณพ ๕๐๐ แวดล้อม ๔๖๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๒๓/๑๖๘. ๔๗๐ ม.ม.(ไทย) ๑๒/๓๖๐/๓๙๗. ๔๗๑ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๙๔/๒๗๒. ๔๗๒ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๓๕๒. ๔๗๓ ท.ี ม.(ไทย) อ.๒/๑/๔๑๖. ๔๗๔ ท.ี ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๔๖๑. ๔๗๕ องฺ.จตกุ ฺก.อ.(ไทย) ๒/๑๓๙.
๑๕๓ โทณพราหมณ์ ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุในวันข้ึน ๕ ค่า เดือน ๗๔๗๖ โดยแบ่งออกเป็น ๘ สว่ น ๆ ละ ๒ ทะนานเท่ากัน ครั้นแบ่งเสร็จแลว้ กไ็ ดข้ อทะนานทใ่ี ช้สาหรบั แบ่ง และนาไปทาเป็นพระสถูป และทาการฉลอง๔๗๗ ในคัมภรี ์อรรถกถายังระบตุ ่อไปอีกวา่ ในช่วงที่เจ้าเมืองต่าง ๆ เผลอ โทณพราหมณ์ได้ ฉวยพระเกี้ยวแก้วเบ้ืองขวาเก็บไว้ในระว่างผ้าโพกก่อนแล้ว จึงได้แบ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนท่ีโทณ พราหมณไ์ ว้ กถ็ กู ท้าวสักกะถือเอา แล้วนาไปประดษิ ฐาน ณ พระจฬุ ามณีเจดีย์ในเทวโลก๔๗๘ ในโทณสูตร๔๗๙ พรรรณนาความไว้ว่า ขณะท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ในช่วงระหว่างเสด็จ ทางไกลระหวา่ งเมอื งอกุ กัฏฐะกับเมืองเสตัพพยะ โทณพราหมณ์ได้สังเกตเห็นรอยพระพุทธบาท ซ่ึงตนเอง ไม่เคยรอยเทา้ ทม่ี ีลกั ษณะอยา่ งนีม้ ากอ่ น จงึ ได้ตดิ ตามสังเกต กระทั่งไปพบพระผู้มีพระภาค จึงได้กราบทูล ถามว่าพระองค์เป็นใคร เป็นเทวดา คนธรรพ์ ยักษ์ หรือว่าเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธคาถาม ทั้งหมด เหตุทรงละกิเลสที่ทาให้พระองค์เป็นเทวดา คนธรรพ์ ยักษ์ หรือว่ามนุษย์หมดแล้ว พระองค์ไม่ แปดเป้ือนด้วยกิเลสใด ๆ ดังน้ันจึงขอให้ทรงจาพระองค์ไว้ว่า ทรงเป็นพระพุทธเจ้า๔๘๐ จากพระสูตรนี้ วิเคราะห์ได้วา่ เป็นจุดเร่มิ ต้นท่โี ทณพราหมณพ์ บพระพทุ ธเจ้า และได้หนั มามาในใจพระพทุ ธศาสนา ในโทณพราหมณ์สูตร๔๘๑ พรรณนาความถึงโทณพราหมณ์ ได้เข้าไปสนทนากับพระผู้มีพระ ภาค พร้อมท้งั กราบทูลเสนอแนะกรณีพระพทุ ธองคไ์ มไ่ หว้ ไม่ลุกรับ ไม่เชื้อเชิญพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ว่าเป็นเร่ืองไม่ดี ขอให้พระองค์ได้ปรับเปล่ียนพฤติกรรมเช่นนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงแก้ข้อปัญหาของโทณ พราหมณ์ด้วยการตรัสถึงพราหมณ์ ๕ ประเภท ประกอบด้วย พราหมณ์เสมอด้วยพรหม เสมอด้วยเทวดา พราหมณ์ประพฤติดี พราหมณ์ท้ังประพฤติดีและชั่ว พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล พร้อมท้ังทรงแจกแจง คุณลักษณะพราหมณ์แตป่ ระเภท จากนน้ั กต็ รสั ถามวา่ โทณพราหมณ์จดั อยู่ในกล่มุ พราหมณ์ประเภทใด โทณพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ถ้าพิจารณาจากคุณลักษณะท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมา แม้แต่ พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล ตนเองก็ยงั ไม่สามารถเปน็ ไดบ้ รบิ ูรณ์เลย ภาษิตของพระองค์ช่างชัดเจน ไพเราะยิ่ง นกั จากนนั้ จงึ ได้ประกาศตนเปน็ อบุ าสกเขา้ ถึงพระรตั นตรยั ตลอดชีวติ ๔๘๒ ธ ธนปาละ, เศรษฐี ธนปาละ เป็นช่ือของเศรษฐี แต่ปรากฏอยู่ในเปตวัตถุ๔๘๓ พรรณนาความถึงสถานะของเปรต ตนเองหนึ่ง ร่างเปลือย มีผิวพรรณและรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ซูบผอม มีร่างกายสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น มี ซ่โี ครงผดุ ขึ้น ความได้พรรณนาถึงสถานของเปรตตนนี้ต่อไปอีกว่า เดิมเป็นเศรษฐีอยู่ในเอรกัจฉะ มีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคา แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์มากมาย แต่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ปิดประตูเรือนแล้วจึง ๔๗๖ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๗๖. ๔๗๗ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๓๓๓. ๔๗๘ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๔๖๓. ๔๗๙ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๖/๕๘. ๔๘๐ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๓๖/๕๙. ๔๘๑ อง.ฺ ปญจก.(ไทย) ๒๒/๑๙๒/๓๑๖. ๔๘๒ อง.ฺ ปญจก.(ไทย) ๒๒/๑๙๒/๓๒๔. ๔๘๓ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๒๒๗/๒๐๔.
๑๕๔ บริโภคอาหาร เปน็ คนกระดา้ ง ด่าพวกให้ทาน ห้ามคนทาบุญ เช่ือว่า ผลแห่งทานไม่มี ไม่ได้ทาความดี ทา แต่ความชั่ว ละจากโลกมนุษย์แล้ว จึงบังเกิดเป็นเปรต มีแต่ความหิวกระหาย ตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี ต้งั แตต่ าย ไมเ่ คยได้กนิ ขา้ วและน้าดื่มเลย๔๘๔ อรรถกถา๔๘๕ อธิบายความเพ่ิมเติมอีกว่า ธนปาลเศรษฐีทากาละแล้วเกิดเป็นเปรตในกันตาร ทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าต้นตาล มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพรึงกลัว มี รูปพรรณ น่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพรึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าว หรือหยาดน้าตลอด ๕๕ ปี มีคอ รมิ ฝปี าก และลิน้ แหง้ ฝาก ถกู ความหิวกระหายครอบงา เท่ียวงุ่นง่านไปทางโนน้ ทางนี้ ธนวดี, พราหมณี นางธนวดีพราหมณี มีช่ือปรากฏในมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค๔๘๖ ในฐานเป็นพระ มารดาผู้ให้กาเนิดพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ส่วนพระบิดาคือพรหมทัตตพราหมณ์ย้อนอดีตกลับไป ในรชั สมัยของพระราชาพระนามวา่ กงิ กี แหง่ เมืองพาราณสี ธนัญชยั ธนัญชัยปรากฏชื่อในพระไตรปิฎกประมวลสรุปได้ ๓ สถาน ได้แก่ ๑) ธนัญชัยอุบาสก ๒) ธนญั ชัยเศรษฐี และ ๓) ธนญั ชัยราชา ธนญั ชยั อบุ าสก ปรากฏชอ่ื ในปุสสพทุ ธวงศ์ ในฐานอบุ าสกผเู้ ปน็ อคั รอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า พระนามว่าปุสสะ ในคัมภีร์ระบุไว้ว่า มีพระสุรักขิตะ และพระเสนเถระเป็นพระอัครสาวก พระสภิยะเป็น พุทธอุปัฏฐาก พระจาลาและพระอุปจาลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา ธนัญชัยอุบาสกและวิสาขอุบาสกเป็น อคั รอุปฏั ฐาก๔๘๗ ธนัญชัยเศรษฐี ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นผู้มีบุญมาก ๕ คน ประกอบด้วย ๑) เมณฑกเศรษฐี ๒) จันทปทุมา ภรรยาของเมณฑกเศรษฐี ๓) ธนัญชัยเศรษฐี บุตรของเมณฑกเศรษฐี ๔) สุมนาเทวี ภรรยาของธนัญชัยเศรษฐี และ ๕) นายปณุ ณะ ทาสของเมณฑกเศรษฐี๔๘๘ ชาติภูมิเป็นชาวภัททิยนคร แคว้นอังคะ มีธิดาคนหน่ึงซึ่งมีบทบาทสาคัญต่อพระพุทธศาสนา มาก นนั่ ก็คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา จากหลักฐานข้อมูลในคัมภีร์อรรถกถาสรุปได้ว่า ครอบครัวของธนัญ ชัยเศรษฐี มีความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา เห็นได้จากเมื่อคร้ังพระพุทธเจ้าเสด็จภัททิยนคร เมณฑก เศรษฐีได้เรียกวิสาขา ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในวัยเด็ก ให้ทาหน้าที่ถวายการต้อนรับพระพุทธเจ้า พร้อมด้วย บริวารเด็กหญิง ๕๐๐ คน ทาสี ๕๐๐ นาง การได้มีโอกาสถวายการต้อนรับพระผู้มีพระภาคครั้งน้ี ทาให้ วสิ าขาได้ฟงั ธรรม และบรรลเุ ปน็ พระโสดาบันต้งั แต่วัยเยาว์ ภายาหลังต่อมา ธนัญชัยเศรษฐี ได้ถูกส่งตัวให้ไปประจาอยู่ที่เมืองสาเกตุ ตามคาร้องขอของ พระเจา้ โกศล ทีม่ ีพระประสงค์ให้พระราชอาณาจกั รของพระองคม์ ีสกุลทม่ี โี ภคสมบตั ิมากอาศัยอยู่ จึงได้ส่ง สาสนไ์ ปถงึ พระเจ้าพิมพิสารเพือ่ ขอพระราชทาน ๔๘๔ ข.ุ เปต.(ไทย) ๒๖/๒๓๖/๒๐๕. ๔๘๕ ขุ.เปต.อ.(ไทย) ๒/๒/๒๑๒. ๔๘๖ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒/๖. ๔๘๗ ข.ุ พุทธฺ .(ไทย) ๓๓/๑๘-๒๑/๖๘๔. ๔๘๘ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๘๗.
๑๕๕ ธนัญชัยราชา ปรากฏในกาฬพาหุชาดก๔๘๙ ความพรรณนาถึงลิงช่ือกาฬพาหุ (ลิงหลอกเจ้า) อรรถกถามีเน้อื ความสงั เขปวา่ ๔๙๐ พระผมู้ ีพระภาคเจ้าไดป้ รารภพระเทวทัตผู้เส่ือมลาภสักการะ จึงได้ตรัส ชาดก ยกอดีตกาลเมื่อครั้งพระเจ้าธนัญชัยครองราชย์สมบัติในเมืองพาราณสี ส่วนพระโพธิสัตว์เป็นวานร เผือกช่ือราธะ และมีน้องผู้หน่ึงช่ือโปฏฐปาทะ ต่อมาท้ัง ๒ ถูกนายพรานจับได้ จึงนาไปถวายพระเจ้าธนัญ ชยั ผ้เู ปน็ พระราชา พระราชารบั สงั่ ใหใ้ สว่ านรทั้งสองไว้ในกรงทองเลี้ยงดูเป็นอยา่ งดี ต่อมา นายพรานได้จับวานรดาใหญ่อีกตัวหน่ึงช่ือกาฬพาหุ จึงได้นามาถวายพระเจ้าแผ่นดิน อีก กาฬพาหุวานรมาทีหลัง จึงมีลาภสักการะมากกว่า ลาภสักการะของวานรเผือกท้ัง ๒ ก็เส่ือมถอยไป แตว่ านรโพธสิ ัตว์ก็ไม่ไดพ้ ูดอะไรเลย เพราะประกอบด้วยลักษณะผู้คงท่ี แต่วานรผู้เป็นน้อง อดรนทนไม่ได้ จึงได้ชวนวานรผู้พี่กลับเข้าป่าดังเดิม แต่ก็ได้รับการทัดทานให้ใจเย็น ๆ เพราะรู้ว่าไม่นาน กาฬพาหุวานร จะแสดงพฤติกรรมไม่สมควร ถูกขบั ไลอ่ อกไปเอง ซ่ึงก็เป็นจริงตามน้ัน เพราะเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น วานร ดาก็แสดงพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมต่อหน้าพระกุมารท้ังหลาย และถูกขบั ไล่ออกไปในที่สุด ธนัญชานิ,พราหมณ์ ธนัญชานิพราหมณ์ ปรากฏชื่อในธนัญชานิสูตร๔๙๑ ซ่ึงเป็นพระสูตรท่ีพรรณนาถึงพราหมณ์ ชื่อธนัญชานเิ ปน็ การเฉพาะ ความในพระสูตรมีดงั น้ี ธนัญชานพิ ราหมณ์ เป็นชาวเมอื งราชคฤห์ เรือนของพราหมณต์ ้ังอยู่ใกล้ประตูเมืองช่ือตัณฑุละ ปาลิ ซ่ึงเป็นหน่ึงในบรรดาประตูเมืองขนาดเล็ก ๖๔ ประตู ประตูใหญ่อีก ๓๒ ประตู ภรรยาคนแรกของ พราหมณ์เปน็ คนมศี รทั ธา ต่อมาไดเ้ สยี ชีวิตลง พราหมณจ์ งึ ไดแ้ ต่งงานใหม่ แตภ่ รรยาใหม่ของเขาเป็นคนไม่ มศี รทั ธา ธนัญชานิพราหมณ์เป็นคนประมาท อาศัยพระราชาเท่ียวเบียดบังประโยชน์ของพราหมณ์ และคหบดีมาเปน็ ประโยชนข์ องตน และอาศัยพราหมณ์ คหบดีเบียดบังเอาประโยชน์ของรัฐ ข่าวทราบไป ถึงพระสารีบุตร ท่านจึงได้ออกเดินทางจากทักขิณาคีรีชนบทจาริกไปยังเมืองราชคฤห์ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพือ่ กลา่ วตักเตือน รงุ่ เช้าวันหนึ่ง พระสารีบุตรไดอ้ อกบณิ ฑบาตในเมอื งราชคฤห์ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาท่ีพราหมณ์ใช้ให้ คนรีดนมโคอยู่นอกเมืองพอดี คร้ันกลับจากบิณฑบาต ได้ทาภัตกิจเสร็จเรียบร้อย จึงได้หาจังหวะเข้าไป พบธนัญชานิพราหมณ์ถึงที่อยู่ พราหมณ์เห็นพระสารีบุตร ได้เชื้อเชิญ และนิมนต์ดื่มนมสด พระสารีบุตร ปฏิเสธ พร้อมกับนัดให้พราหมณ์ไปหาช่วงสายที่โคนต้นไม้แห่งหน่ึง ธนัญชานิพราหมณ์ ได้เข้าไปหาพระ สารีบตุ รตามที่นดั แนะไว้ทุกประการ พระสารีบุตรไดซ้ กั ถามถึงความประพฤตติ ามที่ได้ยินได้ฟังมา ซึ่งพราหมณ์ก็สารภาพตามความ เป็นจรงิ ว่าทีต่ อ้ งทาอย่างนัน้ เพราะตอ้ งเล้ียงดบู ดิ ามารดา เลี้ยงดบู ุตรภรรยา เล้ียงทาสกรรมกร ต้องทากิจ อีกหลายประการแก่พวกมิตร อามาตย์ ญาติสาโลหิต พระสารีบุตรจึงได้ย้อนถามว่า คนท่ีทาความชั่ว เพราะเหตุแห่งบิดามารดา บุตรภรรยา ทาส กรรมกร เป็นต้น เวลาตกนรก จะร้องขอต่อนายนิรยบาลได้ หรอื ไม่ว่า อย่าไดล้ งโทษ อยา่ ฉุดคร่าไปยังนรก ๔๘๙ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๑๓/๑๗๙. ๔๙๐ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๕๗๘. ๔๙๑ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๔๕/๕๕๗.
๑๕๖ ธนัญชานิพราหมณ์ได้ตอบตามความเป็นจริงว่า ไม่ได้ แท้จริงแล้ว แม้จะอ้อนวอนสักปานใด นายนิรยบาลก็ยงั คงฉุดคร่าผู้ทาความช่วั อยูน่ ่นั เอง จะอ้างเหตุเพื่อบิดา มารดา บุตร ภรรยา ทาส กรรมกร หาได้ไม่ หลงั จากสนทนาจนเป็นที่เข้าใจชัดแจ้งแล้ว พระสารีบุตรได้ตักเตือนให้พราหมณ์ได้ตระหนักรู้ ว่า การงานท่ีประกอบด้วยธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลสามารถเลี้ยงบิดามารดา ไม่เป็นบาปกรรม ก็มีอยู่ ทาไมไม่เลือกทาสง่ิ ที่ประเสริฐกวา่ เลา่ ธนัญชานิพราหมณ์ได้ชื่นชมภาษิตของพระสารีบุตร ลุกจากที่น่ังแล้วจากไป ต่อมาไม่นาน พราหมณ์ป่วยหนัก จึงให้คนไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ และให้ไปกราบเรียนพระสารี บุตรให้ทราบ พรอ้ มทั้งขอร้องให้พระสารีบุตรได้ไปอนุเคราะห์ท่ีเรือนอีกครั้ง แม้พระเถระทราบข่าวก็ได้ไป ยงั เรอื นของพราหมณ์ตามคานิมนตท์ ุกประการ เวลานน้ั พราหมณ์ประสบทกุ ขเวทนาอย่างหนัก มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เหมือนถูกขัน ด้วยเชือก พระสารีบุตรจงึ ได้ใชอ้ บุ ายชวนพราหมณ์สนทนา ด้วยการต้ังคาถามว่า ระหว่างกาเนิดเดรัจฉาน กับนรก อันไหนดีกว่า พราหมณ์ก็ตอบไปว่า กาเนิดเดรัจฉานดีกว่า พระเถระได้ถามต่อไปอีกว่า ระหว่าง กาเนิดเดรัจฉานกับเปรตวิสัย อย่างไหนดีกว่า พราหมณ์ตอบว่า เปรตวิสัยดีกว่า พระเถระถามต่อว่า ระหว่างเปรตวิสัยกับมนุษย์ อย่างไหนดีกว่า พราหมณ์ตอบไปอีกว่า มนุษย์ดีกว่า และโดยนัยน้ี พระเถระ ได้ชักจูงจิตของพราหมณไ์ ปถึงการกาเนดิ ในพรหมโลก ด้วยการใหพ้ ราหมณ์อบรมจิตใหอ้ ยู่ในเมตตา กรุณา มุทติ า และอุเบกขา ซง่ึ ตอ่ มา หลังจากพระเถระจากไปไม่นาน พราหมณ์ก็ได้ถึงแก่กรรม และเข้าถึงพรหม โลก ธนัญชานี, พราหมณี นางธนัญชานี เป็นนางพราหมณีของพราหมณ์ภารทวาชโคตร แต่มีความเลื่อมใสอย่างย่ิงใน พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เวลาทากิจใดๆ ก็ตาม ก็มักจะเปล่งวาจานอบน้อมพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจา้ นางจงึ มกั ถกู ตาหนิ ดา่ ทอจากพราหมณบ์ ่อย ๆ ว่า หญิงถ่อย แต่นางก็หาได้ใส่ใจ ไม่ ยังคงกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัยอยู่เนือง ๆ ซึ่งจะย่ิงสร้างความไม่พอใจแก่พราหมณ์ วันหนึ่ง จึงได้ ประกาศตอ่ หนา้ นางพราหมณีว่าจะยกวาทะพระสมณะโคดมให้จงได้ นางพราหมณีท้าทายว่า ในโลกน้ี ท้ัง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ สมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ไม่มีใครยกวาทะพระองค์ได้ ทา่ นไปแลว้ จะรูเ้ อง พราหมณ์ภารทวาชโคตร ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ จึงได้เข้าไปหาพระผู้มีพระภาค เจ้า จากนั้นก็ตง้ั ปัญหาถามพระผมู้ พี ระภาควา่ คนกาจดั อะไรได้จึงอยู่เป็นสุข ไม่เศร้าโศก พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสตอบว่า บุคคลกาจัดความโกรธได้จึงอยู่เป็นสุข ไม่เศร้าโศก พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการ กาจดั ความโกรธซ่งึ มรี ากเป็นพษิ มียอดหวาน๔๙๒ ในคัมภีร์อรรถกถา มีคาอธิบายเพิ่มเติมว่า ธนัญชานี เป็นชื่อสกุล และเป็นสกุลสูง เพราะ พราหมณ์พวกอื่นน้ันเกิดแต่ปากของพรหม แต่สกุลธนัญชานีนั้นทาลายกระหม่อมออกมา๔๙๓ นางเกิดใน ตระกูลสัมมาทิฏฐิ ตง้ั อยใู่ นฐานะเป็นโสดาบัน แต่ได้สามีเป็นมิจฉาทิฏฐิ วันเกิดเหตุที่ทาให้พราหมณ์นั้นไม่ พอใจอย่างรุนแรง เนื่องเพราะพราหมณ์ได้เชิญพราหมณ์ ๕๐๐ คน มาบริโภคในเรือน และได้ขอร้อง ๔๙๒ ส.สคา. (ไทย) ๑๕/๑๘๗/๒๖๔. ๔๙๓ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๙๗.
๑๕๗ พรอ้ มทง้ั ขูจ่ ะฆา่ หากนางพราหมณีเอย่ ช่ือพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ ตอ่ หน้าพวกพราหมณ์เหล่าน้ัน แต่ครน้ั ถงึ เวลาอังคาสพวกพราหมณ์ นางลื่นลงท่ีกองไม้ที่เขาเก็บไว้ไม่เรียบร้อย ทาให้ประสบทุกขเวทนา เวลานั้นนางระลึกถึงพระทศพล จึงได้น้อมจิต เปล่งอุทานออกไป ทาให้พราหมณ์โกรธ และไม่พอใจเป็น อย่างมาก แต่ก็ไมอ่ าจทาอะไรนางพราหมณีได้ ธนยิ กมุ ภการบตุ ร, พระ พระธนิยะ บิดาเป็นนายช่างหม้อ จึงได้ช่ือว่า ธนิยกุมภการบุตร ท่านเป็นต้นเหตุของการ บญั ญัตปิ าราชิกสิกขาบทที่ ๒ เพราะเอาไม้หลวงมาสร้างกฏุ โิ ดยไมไ่ ดร้ บั พระบรมราชานุญาต ในพระวนิ ัยพรรณนารายละเอียดไวว้ า่ เม่อื คราวทพี่ ระธนยิ ะจาพรรษาอยู่ที่ภูเขาอิสิคิลิกับภิกษุ ผเู้ ปน็ สหายกัน คร้นั ออกพรรษาแลว้ เพือ่ นเหล่านัน้ ต่างกร็ อ้ื กุฏิ เก็บหญา้ คาและตัวไม้ไว้แล้วก็หลีกไป ส่วน พระธนิยะยังคงอยตู่ ่อเพยี งรปู เดียว วนั หนึ่งเม่อื ทา่ นไปบิณฑบาต ชาวบ้านได้มาร้ือเอาเอาหญ้าคาและกุฏิท่าน ท่านก็ได้ไปหาหญ้า คาและไมม้ าทากฏุ ิอกี แต่เมอ่ื ท่านเขา้ ไปบิณฑบาตก็ถูกร้ือเอาหญา้ คาและไม้อกี เป็นครัง้ ท่ี ๒ และ ๓ เมือ่ ไม่มีไม้ ท่านจึงเปลี่ยนมาใช้ดินเหนียวทากุฏิแทน โดยรวบรวมเศษไม้ หญ้าคา และข้ีวัวมา ผสมโบกทาเปน็ กุฏแิ ล้วเผาใหส้ กุ กฏุ นิ ัน้ งดงามน่าชม ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาทรงเห็นเข้า ครั้นตรัสถามทราบความแล้ว จึงตาหนิ และ รบั สัง่ ใหท้ ุบกุฏดิ นิ ของท่านเสยี พร้อมกบั บญั ญตั พิ ระวินยั หา้ มทาภิกษทุ ากฏุ ดิ ว้ ยดนิ ล้วน พระธนิยะกลับมาจากบิณฑบาต เห็นภิกษุทาลายกุฏิท่านก็สอบถาม ได้ความว่า เป็นพุทธ อาณตั ิ ท่านก็ไมไ่ ดว้ า่ อะไร แต่ก็ยงั ขวนขวายแสวงหาไมม้ าทากฏุ ิอยูน่ ่นั เอง เมอ่ื ไม่เห็นช่องทางจะหาไม้มาทากุฏิอีก พระธนิยะจึงเข้าไปหาเจ้าพนักงานป่าไม้ท่ีชอบพอกัน พร้อมกับขอบิณฑบาตไม้หลวงโดยอาศัยพระบรมราชานุญาตท่ีเคยตรัสไว้เม่ือคราวพระเจ้าแผ่นดินข้ึน ครองราชย์ เจ้าพนักงานป่าไม้ไม่อาจขัดท่านได้ จึงมอบไม้ไปให้จานวนหน่ึง คร้ันต่อมาเมื่อมีพระราช ประสงค์ต้องการใช้ไม้ซอ่ มแซมพระราชวัง ทาให้พระเจ้าแผ่นดินว่า มีการแอบอ้างพระบรมราชโองการนา ไมไ้ ปใช้ จึงทรงรับส่ังให้มีการสอบสวน และนาคนผิดมาลงโทษ พระธนิยะถูกนาตัวมาสอบสวน ท่านก็ยืนยันความบริสุทธิ์โดยการอ้างพระบรมราชานุญาตที่ พระราชาทรงอนุญาตไว้เม่ือครั้งข้ึนครองราชย์ใหม่ ๆ ประกอบท่ีถือเพศเป็นสมณะ ครองผ้ากาสาวพัสดุ์ อนั เป็นธงชัยแหง่ พระอรหันต์ จึงทาใหไ้ มส่ ามารถลงโทษได้ ประชาชนเมื่อทราบเร่ืองราวท่ีเกิดขึ้น ต่างก็พากันตาหนิพระธนิยะต่าง ๆ นานา พระพุทธเจ้า อาศัยเร่ืองนี้เปน็ เหตุจึงได้ประชมุ สงฆ์ ตรัสสอบสวนข้อเทจ็ จรงิ และทรงบัญญตั ิปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๒ ห้าม มิให้ภิกษุถือเอาส่งิ ของทเ่ี จ้าของไม่ไดใ้ ห้ มีราคาต้งั แต่ ๕ มาสกขึน้ ไป๔๙๔ ธนฏิ ฐกะ,ทาส ธนิฏฐกะ เป็นหนึ่งในชื่อที่ถือกันว่าเป็นชื่อเลว ประกอบด้วยชื่อ อวกัณณกะ, ชวกัณณกะ, ธนฏิ ฐกะ,, สวิฏฐกะ, และกุลวฑั ฒกะ ชอ่ื เหล่าน้ีเปน็ ทเ่ี ขาเย้ยหยัน เหยยี ดหยาม เกลียดชัง ดหู มิ่น ไม่เป็นที่ นับถอื ในทอ้ งถิน่ ๆ นนั้ ๆ จัดเป็นชื่อเลว ๔๙๔ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๘๔/๗๔.
๑๕๘ การกล่าวเสียดสีภิกษุด้วยกันด้วยอาการ ๑๐ อย่าง คือ (๑) ชาติกาหนด (๒) ช่ือ (๓) ตระกูล (๔) หนา้ ที่การงาน (๕) ศิลปวิทยา (๖) ความเจ็บไข้ (๗) รูปลักษณ์ (๘) กิเลส (๙) อาบัติ (๑๐) คาด่า ต้อง อาบัติปาจิตตีย์๔๙๕ ธมั มทนิ นา, ภิกษณุ ี นางธมั มทนิ นาภิกษุณี เป็นผู้มบี ญุ อนั กระทาไว้แล้วตั้งแตค่ รงั้ สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุม มุตตระ คร้งั นัน้ นางไดเ้ ห็นพระสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงประกาศตั้งภิกษุณีรปู หนึง่ ไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศ ในการแสดงธรรม จึงได้ตั้งความปรารถนาในฐานะเช่นนั้น นางเวียนว่ายอยู่ในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ อกี หลายภพหลายชาติ ภพสดุ ท้ายได้มาบังเกดิ ในสมัยแหง่ พระพุทธเจา้ พระนามว่าโคดม คัมภีรอ์ ปทานพรรณนาไวว้ ่า นางธมั มทนิ นาเกิดในตระกูลเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ คร้ันถึงวัยอัน สมควร ได้แต่งงานในสกุลที่ประกอบด้วยธรรม สามีนางช่ือวิสาขเศรษฐี และเป็นสหายของพระเจ้าพิม พิสาร๔๙๖ เป็นผู้มีความรู้ดี ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า สดับธรรมเทศนาแล้วได้บรรลุอนาคามิผล ส่วน นางได้ขออนุญาตสามอี อกบวชเปน็ บรรพชิต ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันตผล๔๙๗ และได้รับแต่งตั้งไว้ ในตาแหนง่ เอตทคั คะผู้เป็นพระธรรมกถึก๔๙๘ นางไดร้ บั การยกยอ่ งจากพระพทุ ธเจา้ ว่าเป็นนักปราชญ์๔๙๙ ความที่นางธัมมทินนาภิกษุณีเป็นผู้เลิศในการแสดงธรรม ในคัมภีร์พระไตรปิฎกจึงมักพบ เรื่องราวท่ีนางได้แสดงธรรมแก่บุคคลต่าง ๆ ท่ีเข้าไปหา เช่น ในจูฬเวทัลลสูตร พรรณนาเรื่องราวของ อุบาสกช่อื วิสาขะ ได้เขา้ ไปนางแล้วถามปัญหาเร่ือง สกั กายะ คอื อะไร ซ่ึงนางก็ได้เฉลยว่า ท่ีเรียกว่า สักกา ยะ พระผู้มพี ระภาคเจ้าหมายเอาความยดึ มนั่ ในขันธ์ท้ัง ๕๕๐๐ คมั ภรี ์อรรถกถาระบุวา่ เมือ่ นางธัมมทินนาเถรีได้บรรลุที่สุดพรหมจรรย์แล้ว ก็มีความดาหริจะ กลับไปจาพรรษาทเ่ี มืองราชคฤหบ์ ้านเกดิ ดว้ ยหวงั จะเปน็ สะพานบญุ ใหก้ บั ญาติ ๆ ของตน จงึ ไดพ้ าภิกษุณี กลุ่มหนึ่งไปสู่พระนคร วิสาขเศรษฐีทราบข่าวการมาของนางก็คิดว่า นางคงกระสันอยากสึก จึงได้เข้าไป ถามปัญหาเรอื่ งสักกายะดังกลา่ วกล่าวขา้ งต้น ธัมมปาลิตะ,พระ พระธัมมปาลิตเถระ เป็นหนึ่งในบรรดาพระเถระท่ีได้รับการจารึกไว้ว่า เป็นผู้เช่ียวชาญด้าน พระวนิ ัย และไดท้ าหน้าที่สบื ทอดพระวินัยมาตราบเท่าถึงปัจจุบัน ในพระวินัยระบุว่า ท่านมีศิษย์ผู้หน่ึงช่ือ พระเขมะ เป็นผู้มีปัญญามาก ทรงจาพระไตรปิฎก ได้รุ่งเรืองอยู่ในเกาะลังกาด้วยปัญญาเหมือนดวง จันทร์๕๐๑ ธัมมกิ ะ,พระ ๔๙๕ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๑๔/๒๐๑. ๔๙๖ ข.ุ เอก.(ไทย) ๑/๒/๒๙. ๔๙๗ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๒๐/๔๗๑. ๔๙๘ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๑๒๒/๔๗๑. ๔๙๙ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๒๓/๔๗๑. ๕๐๐ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๔๖๐/๕๐๐. ๕๐๑ วิ.ปริ. (ไทย) ๘/๓/๖.
๑๕๙ พระธัมมิกะ ในคัมภีร์ระบุว่าเป็นเจ้าอาวาส อยู่ในอาวาส ๗ แห่ง ในชาติภูมิชนบท แต่ด้วย ความเป็นคนปากจัด จึงมักด่า บริภาษ เบียนเบียน ท่ิมแทง เสียดสีพวกภิกษุอาคันตุกะเป็นประจา เป็น เหตุให้ภิกษุเหล่านั้น แม้จะได้รับอุปัฏฐากบารุงจากอุบาสกอุบาสิกาท้ังหลายเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีใคร ปรารถนาจะอยู่ในอาวาส๕๐๒ ทาให้อุบาสก-อุบาสิกาท้ังหลายเกิดความไม่พอใจ และขับไล่พระธัมมิกะออก จากอาวาส พระธมั มกิ ะ เมือ่ ถกู ขับไล่ ก็หนไี ปอยูอ่ าวาสอกี แห่งหนง่ึ แต่ก็ก่อเรื่องลักษณะดังกล่าว และถูก ขบั ไลอ่ อกจากอาวาสถึง ๗ คร้งั คร้ังหลังสุดเกิดความคิดว่า ตนเองถูกขับไล่ออกจากอาวาสถึง ๗ คร้ัง คร้ังนี้ ควรจะไปเข้าเฝ้า พระศาสดา จึงได้ถือบาตรจีวรออกเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์และภูเขาคิชกูฏโดยลาดับ เข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้าถึงท่ีประทับ จากนั้นก็กราบทูลเร่ืองราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง แนะนาให้พระธัมมิกะอย่าด่าตอบบุคคลที่ด่าอยู่ ไม่เสียดสีบุคคลที่เสียดสีอยู่ ไม่ประหารตอบบุคคลผู้ ประหารอยู่ ควรดารงอย่ใู นสมณธรรมอยา่ งนี้๕๐๓ น นกุลปิตา, คหบดี จากหลักฐานในคัมภรี ์สนั นิษฐานได้ว่า นกลุ ปติ าคหบดี เปน็ ชาวเมืองสุงสุมารคีระ แคว้นภัคคะ เพราะเม่ือครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจาพรรษาท่ี ๘ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ได้เคยเสด็จไปยังนิเวศน์ของคหบดี หลายคร้ัง ภรรยาของคหบดีชื่อนางนกุลมาตาคหปตานี โดยท้ังสองได้แต่งงาน ครองรักกันมาเป็นเวลา ยาวนาน และไม่เคยนอกใจกันเลย กระท่ังเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้ายกขึ้นมาปรารภเป็นตัวอย่างว่า ถ้าสามีและภรรยามีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ย่อมมีความ เจรญิ รุ่งเรอื ง มีความผาสุก หากปรารถนาจะได้พบกนั อีกในชาติหน้า กย็ ่อมไดพ้ บกัน๕๐๔ นกุลปิตาคหบดี ปรากฏในหมวดว่าดว้ ยนกุลปติ าคหบดี๕๐๕ พรรณนาถึงคหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้ มพี ระภาคเจ้าขณะประทับอยกู่ รุงสุงสมุ ารคิระ แคว้นภัคคะ เวลาน้ันคหบดีมีอายุมากแล้ว ในคัมภีร์จึงระบุ ว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ชรา สูงอายุ เป็นผู้เฒ่า ล่วงกาลมามาก ผ่านวัยมามาก มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วยประจา” ซ่ึงก็เป็นเหตุผลหน่ึงที่ทาให้ไม่ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตลอดถึงพระภิกษุท้ังหลาย เม่ือได้มีโอกาสเข้าเฝ้าครั้งนี้ คหบดีจึงได้กราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงมีพระดารัสสักอย่างเพ่ือ ประโยชนเ์ กอื้ กูลและความสขุ แกช่ วี ิตในบั้นปลาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่นกุลปิตาคหบดีว่า ร่างกายของเราก็ไม่ต่างอะไรกับไข่ท่ีมีเปลือกหุ้มไว้ ต่อใหป้ ระคับประคองดขี นาดไหน กด็ ไี ด้แค่ช่ัวคร้ังชั่วคราว สาคัญสุดควรวางจิตของตนไว้ว่า เมื่อเรามีกาย กระสบั กระสา่ ยอยู่ จิตจกั ไมก่ ระสับกระสา่ ย๕๐๖ ในนกุลปิตุสูตร อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต๕๐๗ พรรณนาเรื่อง นางนกุลมาตาคหปตานีผู้เป็น ภรรยาได้กล่าวเตือนคหบดีขณะอาพาธหนักว่า อย่าได้ตายท้ังท่ียังมีความห่วงไย เพราะการตายขณะท่ียัง ๕๐๒ องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๕. ๕๐๓ องฺ.ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๙. ๕๐๔ องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๕๕/๙๔. ๕๐๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑/๑. ๕๐๖ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑/๒. ๕๐๗ อง.ฺ ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๑๖/๔๓๖.
๑๖๐ ห่วงไยนั้น เป็นทุกข์ และพระพุทธเจ้าก็ทรงติเตียน การตักเตือนคร้ังนี้ ได้ทาให้นกุลปิตาคหบดีหายจาก อาการอาพาธ หลังจากหายจากอาการอาพาธแล้ว คหบดีก็ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูล เรอื่ งราวท้งั หมดใหท้ รงทราบ นกุลปีตาคหบดี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะว่าเลิศกว่าอุบาสก ทง้ั หลายผ้กู ลา่ วถอ้ ยคาท่ที าให้เกิดความค้นุ เคย๕๐๘ นกุลมาตา, คหปตานี นางนกลุ มาตาคหปตานี เป็นภรรยาของนกุลปติ าคหบดี อาศยั อยใู่ นเมอื งสุงสุมาคีระ แคว้นภัค คะ ในคัมภีรร์ ะบวุ ่า ทง้ั สองครองรกั กันตงั้ แตย่ ังอย่ใู นวัยหนมุ่ สาว กระท่ังแก่ชรา ไม่เคยประพฤตินอกใจกัน ทั้งน้ีด้วยเหตมุ ีธรรม ๔ ประการเสมอกนั คอื ศรทั ธา ศลี จาคะ และปญั ญา เมื่อครั้งนี้นกุลปิตาคหบดีป่วยหนัก นางได้กล่าวเตือนไม่ให้ห่วง เพราะการตายของผู้ที่ยังห่วง อยู่ เปน็ ทกุ ข์ และพระพุทธเจา้ ทรงตเิ ตียน นางได้พูดเตือนไม่ให้สามีห่วงหลายประการ เช่น อย่าห่วงว่าถ้า ตายไปแล้ว นางจะไม่สามารถเล้ียงดูลูก หรือครองเรือนอยู่ได้, อย่าห่วงว่า ภรรยาจะมีสามีใหม่, อย่าห่วง ว่า ภรรยาจะละทิ้งการดแู ลพระพุทธเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย, อยา่ หว่ งว่า ภรรยาจะละทง้ิ ไม่รักษาศีลให้ สมบูรณ์, อยา่ หว่ งว่า ภรรยาจะไม่สามารถทาใจให้สงบได้ เป็นตน้ ๕๐๙ ในนกุลมาตาคหปตานีสูตร ขณะประทับอยู่ ณ เภสกฬิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมาคิระ แคว้น ภัคคะ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ ได้ตรัสธรรม ๘ ประการแก่นางนกุลมาตา เนื้อความพรรณนาเหตุหลังจากตาย ไปแล้ว ได้ไปบังเกิดร่วมกับเทวดาเหล่า มนาปายิกา ธรรม ๘ ประการ ได้แก่ (๑) ตื่นก่อน นอนทีหลังสามี (๒) เคารพคนท่ีเป็นที่เคารพของสามี (๓) ขยันไม่เกียจคร้าน (๔) รู้จักจัดแจงการงานในเรือนสามี (๕) คุ้มครองรักษาทรัพย์ท่ีสามีหามาได้ (๖) เป็นอุบาสิกานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ (๗) มีศีลเว้นจากการ ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นต้น และ (๘) มีจาคะ ไมต่ ระหนีถ่ เี่ หนียว๕๑๐ นางนกุลมาตาคหปตานี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะว่าเลิศกว่า อุบาสิกาทัง้ หลายผกู้ ลา่ วถ้อยคาท่ที าใหเ้ กิดความคนุ้ เคย๕๑๑ นทกี ัสสปะ,ชฎลิ นทีกัสสปะเปน็ ๑ ในชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่งต้องอาศรมอยู่ท่ีตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ประกอบด้วย อุรเุ วลกัสสปะ มีบรวิ าร ๕๐๐ คน นทีกัสสปะ มีบริวาร ๓๐๐ คน และคยากัสสปะ มีบริวาร ๒๐๐ คน ทั้ง ๓ ได้รับการพรรณนาในคัมภีร์ว่า เป็นผู้นา เป็นผู้ฝึก เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธานของชฏิล๕๑๒ ได้ ชื่อว่านทีกัสสปะ เพราะอยู่ใกล้แม่น้า๕๑๓ ในอรรถกถาขยายความเพ่ิมว่า ท่านบวชอยู่ท่ีทางโค้งแม่น้าคง ๕๐๘ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๗/๓๒. ๕๐๙ อง.ฺ ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๑๖/๔๓๖. ๕๑๐ อง.ฺ อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๔๘/๓๒๓. ๕๑๑ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๕/๓๓. ๕๑๒ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๗/๔๗. ๕๑๓ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๘๗/๒๗๗.
๑๖๑ คา๕๑๔ นอกจากนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่มอสีติมหาสาวก คือ เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ซึ่งประกอบด้วยอภินิหารมาก บรรลธุ รรมอนั เลศิ ถึงทีส่ ุดแหง่ สาวกบารมญี าณ๕๑๕ นทีกัสสปะต่อมาได้ออกบวชตามพี่ชาย (อุรุเวลกัสสปะ) ประพฤติพรหมจรรย์ในสานักของ พระพทุ ธเจา้ ไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ และเป็นกาลังสาคญั ในการเผยแผ่พระศาสนา จัดอยู่ในพระอรหันต์ กลุม่ แรกท่ีเดินทางมาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ในวันขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๓ โดยมิได้นัดหมาย เป็นที่รู้กันในปัจจุบันว่า วันจาตุรงคสันนบิ าต หรอื วนั มาฆบูชา นันทะ, พระ พระนันทะตามประวัติเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตรมี ท่านจึง มีสถานะเป็นพระภาดา (น้องชาย) ต่างมารดาของพระพุทธเจ้า ท่านออกผนวชขณะพระญาติกาลัง ประกอบพิธีวิวาหมงคลกับนางชนบทกัลยาณีสากิยานี๕๑๖ เหตุผลเพราะความเกรงใจต่อพระผู้มีพระภาค ครั้นบวชแล้ว ก็ระลึกถึงแต่นางชนบทกัลยาณี ไม่ประสงค์จะประพฤติพรหมจรรย์ ความทราบถึงพระผู้มี พระภาคเจ้า จงึ ไดร้ บั ส่งั ใหภ้ กิ ษุไปเรียกมาเข้าเฝา้ จากนั้นจึงได้ทรงนาไปเท่ยี วสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์ พระนันทะเห็นนางอัปสร ๕๐๐ องค์ กาลังปรนนิบัติท้าวสักกะจอมเทพ ก็อดนึกเปรียบเทียบ กบั นางชนบทกัลยาณไี มไ่ ด้ พระผู้มีพระภาคทราบอัธยาศัยคงเธอ จึงทรงถามว่า นางอัปสรเหล่าน้ี กับนาง ชนบทกัลยาณีใครสวยกว่า น่าดูกว่า พระนันทะก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า นางชนบทกัลยาณีหาก เปรยี บเทียบกับนางอปั สรเหลา่ น้ี กม็ ติ ่างอะไรกับลิงรุ่นถูกไฟไหม้อวัยวะ หูว่ิน จมูกแหว่ง พระผู้มีพระภาค ไดท้ รงตรัสรบั รองวา่ หากเธอตัง้ ใจประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์จะทรงรับรองเพอ่ื ได้นางอปั สร หลงั จากกลบั จากเทวโลกแล้ว พระนันทะก็ต้ังใจประพฤติพรหมจรรย์ ขณะเดียวกันก็ถูกเพื่อน ภิกษุพูดล้อเลียนอยู่เนือง ๆ ว่า พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร ๕๐๐ นาง เป็นเหตุ ให้ท่านเกิดความละอาย ปลีกตัวออกจากหมู่ อยู่แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์๕๑๗ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้มีภาคไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะว่าเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้คุ้ม ครอง ทวารในอนิ ทรีย์ท้ังหลาย๕๑๘ ตามหลักฐานในชน้ั อรรถกถา พระนนั ทะมีรูปโฉมเป็นท่ีต้องตาต้องใจ และน่าจะมีรูปร่างคล้าย กับพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไม่นอ้ ย ต่างเพียงต่ากว่าพระพุทธเจา้ ๔ องคลุ ีเท่านั้น เหตุน้ัน คราวถึงท่านทรงจีวร พระสคุ ต ภิกษุทง้ั หลายเหน็ ทา่ นเดินมาแต่ไกล เกดิ ความเข้าใจผิดคิดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา จึงพา กนั ลุกรับ ครั้นทา่ นเขา้ มาใกล้จึงจาได้ และพากนั ตาหนพิ ระนันทะวา่ ทาไมจึงทรงจีวรเท่าจีวรของพระสุคต ซงึ่ ต่อมาเปน็ สาเหตขุ องการบญั ญตั ิพระวินัย หา้ มภกิ ษทุ าจีวรใหม้ ปี ระมาณเทา่ สคุ ตจีวร (ขนาด ยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คืบสุคต) หรอื ย่งิ กวา่ รูปใดทา ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์๕๑๙ ๕๑๔ ข.ุ อป.อ. (ไทย) ๙/๑/๓๐๘. ๕๑๕ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๑. ๕๑๖ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๒๒/๒๑๑. ๕๑๗ ขุ.อุ.(ไทย) ๒๕/๒๒/๒๑๒. ๕๑๘ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๔๑. ๕๑๙ วิ.มหา.อ.(ไทย) ๒/๘๕๐.
๑๖๒ นันทะ, โคบาล ในปฐมทารุขันโธปมสูตร ได้พรรณนาเก่ียวกับนายนันทโคบาลไว้ว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าแสดง ธรรมเปรียบเทยี บขอนไม้ลอยตามกระแสกับปฏิปทาของภกิ ษุ นายนันทโคบาลซึ่งยืนอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มี พระภาคเจา้ ไดฟ้ ังอุปมาดงั กล่าว เกดิ ความเล่ือมใส จงึ ไดท้ ลู ขอบรรพชาอุปสมบท คร้ันได้อุปสมบทแล้วไม่ นาน ก็หลีกออกจากหมู่ บาเพ็ญสมณธรรม ได้บรรลุพระอรหันต์ กระทาท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์ให้ถึง พรอ้ ม๕๒๐ ความในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท พรรณนาต่างกันเล็กน้อยว่า นายนันทโคบาล เป็นชาวเมือง สาวัตถี เปน็ คนมง่ั คั่ง มีทรพั ย์มาก มสี มบัตมิ าก ด้วยความทไ่ี ม่อยากถกู บีบคน้ั จากพระราชาด้วยเรื่องทรัพย์ สมบัติ จึงไดห้ ลบไปเป็นคนเลย้ี งโคของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี คร้ันต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทรงทอดพระเนตรอุปนิสัยแห่งมรรค จึงได้เสด็จไปโปรด เขาได้ อังคาสพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน คร้ังน้ัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุ ปุพพิกถา ให้นายนันทะตัง้ อยใู่ นโสดาปัตติผลในวันที่ ๗ นายนันทโคบาลตามส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ระหวา่ งเดินทางกลับ ได้ถกู นายพรานผหู้ นึง่ แทงเสยี ชีวิต๕๒๑ ภิกษทุ ง้ั หลายทราบการตายของนายนันทโคบาล ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ การเสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้า หากพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จมา นายนันทโคบาลก็คงไม่ตาย ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสว่า พระองค์จะมาหรือไม่มา นายนันทโคบาลก็ไม่พ้นจาก ความตาย เป็นทน่ี ่าสังเกตว่า ๑. ภกิ ษทุ ัง้ หลายไมไ่ ด้ทลู ถามถงึ บพุ กรรมของนายนันทโคบาล จึงไม่มีรายละเอยี ดในเรอ่ื งน้ี ๒. เนื้อความในคัมภีร์อรรถกถา ต่างจากเน้ือความที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก ตรงท่ีใน พระไตรปิฎกนายนันทโคบาลได้ฟังธรรมเกิดความเล่ือมใส และขอบวช บาเพ็ญสมณธรรมกระท่ังได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ ขณะที่อรรถกถาระบวุ า่ ได้บรรลุโสดาบัน และถูกนายพรานแทงเสียชีวิตระหว่างเดินทาง กลบั จากการสง่ เสด็จพระผู้มีพระภาคเจา้ นันทะ, มารดา นางนันทมารดา เป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของอุตตรา ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย จึงเรียกสร้อย นามว่า นางอุตตรานันทมารดา๕๒๒ นางเป็นธิดาของปุณณเศรษฐี และได้บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกันกับ บิดามารดา ต่อมาได้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ครั้นแต่งงานแล้ว นางไม่ได้โอกาสเพื่อ สมาทานศีลอุโบสถเหมือนอย่างท่ีเคยปฏิบัติ จึงได้ส่งข่าวไปยังบิดามารดา เล่าสภาวะความเป็นอยู่ให้ฟัง พร้อมท้ังขอเงินจานวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ หลังจากบิดามารดาส่งเงินมาให้แล้ว นางก็ไปจ้างหญิงนคร โสเภณีชื่อสิริมา ให้มาทาหน้าท่ีปฏิบัติสามีแทนตน ส่วนตนเองขอปฏิบัติพระภิกษุสงฆ์เป็นระยะเวลา ๑๕ วันที่เหลือก่อนที่จะออกพรรษา ซึ่งกไ็ ดร้ ับอนุญาตจากสามี ๕๒๐ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๑/๒๓๕. ๕๒๑ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๔๔๒. ๕๒๒ องฺ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๒๖๒/๔๔๖.
๑๖๓ ตลอดระยะเวลาท่ีเหลืออยู่ ๑๕ วันก่อนออกพรรษา นางได้มอบหมายให้นางสิริมาปฏิบัติ หน้าท่ีปรนเปรอสามี ส่วนนางได้ปฏิบัติพระภิกษุสงฆ์ พร้อมด้วยบริวารช่วยกันจัดแจงอาหารบิณฑบาต ถวายเปน็ ประจา แตล่ ะวนั คลกุ อยู่แต่ในโรงครวั วันหน่ึงสามีของนางยืนอยู่บนปราสาท เห็นนางกาลังสาละวนอยู่ ก็นึกตาหนิอยู่ในใจว่า นาง ช่างโง่เขลา มีทรัพย์แล้วกลับไม่แสวงหาความสุขให้กับชีวิต ขณะท่ีนางเห็นสามียืนมองอยู่ท่ีหน้าต่างก็นึก ในใจว่า สามีเราโง่เขลา คิดว่าสมบัติเหล่าน้ีจะสามารถเป็นท่ีพึ่งของตนได้ตลอดไป ขณะมองสามีอยู่นางก็ ยิ้มไปด้วย ทาให้นางสิริมาสังเกตเห็น และเกิดความหึงหวง สาคัญผิดคิดว่าตนเป็นใหญ่ในเรือน จึงได้ตัก นา้ มนั เดอื ดตรงไปจะทารา้ ยนางอุตตรา แต่ถูกบรวิ ารของนางอตุ ตราจับเอาไว้ พร้อมทั้งข่มขู่ และเตรียมจะ ลงโทษ นางสริ ิมาสานกึ ผิด ไดข้ อให้นางอุตตราอดโทษให้ โดยบอกว่า ตนเป็นลูกพระพุทธเจ้า หากจะ ให้อดโทษ ต้องให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงอดโทษให้ เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จมายังเรือนของนางอุตตรา นาง สิริมาก็ได้กราบแทบพระบาท ทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงอดโทษให้ พระพุทธเจ้าได้ทรงอดโทษ พร้อมทั้ง แสดงธรรมให้ฟัง สิ้นพระธรรมเทศนา นางสริ ิมาก็ได้บรรลโุ สดาบัน นางอุตตรานันทมารดา ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะว่าเลิศกว่า อุบาสิกาท้งั หลายผูย้ ินดีในฌาน๕๒๓ นันทกะ,พระ พระนันทกะ ปรากฏในนันทโกวาทสูตร๕๒๔ ความว่า พระนันทกะไม่ได้ให้โอวาทภิกษุณี ตามลาดับวาระ ในพระสูตรน้ีพระนันทกะได้รับพุทธานุญาตให้โอวาทสั่งสอนภิกษุณีท้ังหลายติดต่อกัน เป็นเหตุให้ภิกษุณีทั้งหลายได้บรรลุคุณธรรมมีโสดาบันเป็นอย่างต่า ไม่มีทางตกต่า มีความแน่นอนที่จะ สาเรจ็ สมั โพธิวันขา้ งหน้า ในสาฬหสูตร๕๒๕ พรรณนาเรื่องราวพระนันทกะขณะอยู่ท่ีประสาทของวิสาขาคิคารมาตา ใน บุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี แสดงหลักความเชื่อ ๑๐ ประการ แก่สาฬหมิคารนัดดา และนายโรหนะผู้เป็น หลานของเปขณุ ยิ เศรษฐี ในนันทกสูตร๕๒๖ พรรณนาเนื้อความพระนันทกะได้ชี้แจงให้ภิกษุท้ังหลายเห็นชัด ชวนใจให้ อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาในหอฉัน กระท่ังถึงเวลาเย็น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่หอฉัน รอกระทั่งพระนันทกะแสดงธรรมจบ จึงทรงกระแอม แลว้ เคาะท่ีบานประตู พร้อมกับตรัสว่า ธรรมบรรยายที่แสดงแก่ภิกษุยาวจริงนะ แม้เราคอยฟังท่ีซุ้มประตู ด้านนอกจนจบกถา ก็ยังรู้สึกเม่ือยหลัง เม่ือทรงเห็นว่า พระนันทกะรู้สึกกระดากใจ จึงได้ตรัสชมเชยว่า เป็นการดีแลว้ ๕๒๗ ๕๒๓ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒๖๒/๔๕๒. ๕๒๔ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๓๙๘/๔๕๒. ๕๒๕ อง.ฺ ทุก.(ไทย) ๒๐/๖๗/๒๖๔. ๕๒๖ องฺ.นวก.(ไทย) ๒๓/๔/๔๓๔. ๕๒๗ อง.ฺ นวก.(ไทย) ๒๓/๔/๔๓๕.
๑๖๔ อน่ึง พระนันทกะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุ ทงั้ หลายผูก้ ลา่ วสอนนางภิกษณุ ี๕๒๘ นันทกะ, มหาอามาตย์ นันทกมหาอามาตย์ เป็นมหาอามาตย์ของเจ้าลิจฉวี ปรากฏในนันทกลิจฉวิสูตร๕๒๙ ครั้งหน่ึง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน พระผู้มีพระภาคได้ยกธรรม ๔ ประการทเ่ี ป็นเหตุให้บรรลพุ ระโสดาบนั ไม่มีทางตกต่า มคี วามแน่นอนทจี่ ะสาเร็จสัมโพธใิ นวันข้างหน้า ธรรม ๔ ประการ ได้แก่ ๑) มีความเลื่อมใสไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า ๒) มีความเลื่อมใสไม่ หว่ันไหวในพระธรรม ๓) มีความเลื่อมใสไม่หว่ันไหวในพระสงฆ์ ๔) ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้ ชื่อว่าประกอบด้วยอายุท้ังที่เป็นท่ีทิพย์ ท้ังท่ีเป็นของมนุษย์ ประกอบดว้ ยวรรณะท้ังทเี่ ปน็ ทพิ ย์ ท้ังทเ่ี ปน็ ของมนุษย์ ประกอบด้วยสุขท้ังที่เป็นทิพย์ ท้ังที่เป็นของมนุษย์ ประกอบด้วยยศท้งั ท่ีเปน็ ทพิ ย์ ท้งั ทีเ่ ป็นของมนุษย์ นนั ทวด,ี ภิกษณุ ี นันทวดี เป็น ๑ ใน ๔ ภิกษุณีท่ีเป็นพี่น้องกัน ออกบวชอยู่ในสานักของภิกษุณี ประกอบด้วย นางนนั ทาภกิ ษณุ ี นางนนั ทวดภี ิกษณุ ี นางสุนทรีนนั ทาภิกษณุ ี และนางถุลลนันทาภกิ ษณุ ี๕๓๐ นนั ทราช, พระราชา พระเจ้านันทราช ในคัมภีร์อรรถกถาระบุไว้ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองพาราณสีในอดีต กาลเมอื่ ครง้ั มนุษย์มอี ายุขยั ๑๐,๐๐๐ ปี พระราชาองคน์ ี้ทรงเป็นผูม้ บี ญุ ญาธิการ เพราะได้เคยถวายผ้าห่ม ของตนแด่พระปจั เจกพทุ ธเจา้ มาก่อน แม้จะเกิดในตระกลู อามาตย์ แต่ด้วยอานาจแห่งบุญท่ีได้ทามา จึงได้ อภเิ ษกสมรสกับพระราชธดิ าพระเจ้ากรุงพาราณสี และไดค้ รองราชสมบตั ิสืบตอ่ มา พระเจ้านันทราชนี้เอง ได้บาเพ็ญกุศลตลอดรัชกาลของพระองค์ คร้ันต่อมาในกาลแห่ง พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ได้จุติกลับมาบังเกิดเป็นพระมหากัสสปะ เป็นพระมหาสาวกแห่งพระบรม ศาสดา ส่วนพระมเหสกี ไ็ ดก้ ลบั ชาตมิ าเปน็ นางภทั ทกาปลิ านี๕๓๑ นันทา นันทา ปรากฏช่ือในคัมภรี พ์ ระไตรปฎิ กหลายแห่ง และหลายสถานะ ประมวลสรปุ ไดด้ งั นี้ นางนันทา เปน็ อดีตภรรยาของทา่ นนันทเิ สน ถงึ แกก่ รรมแลว้ อุบัติเป็นเปรต เพราะบุพกรรมที่ ทาไว้ในอดีต๕๓๒ คัมภีร์ระบุไว้ว่า นางมีผิวดา รูปร่างน่าเกลียด ผิวพรรณหยาบกร้าน มองดูน่ากลัว ตา เหลอื ง มเี ขี้ยวสีน้าตาลแก่ สาเหตุที่ต้องเป็นเปรตเพราะเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย ไม่เคารพสามี กล่าวคา ชว่ั หยาบกับสามี๕๓๓ ๕๒๘ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๒๙/๒๙. ๕๒๙ ส.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๖/๕๔๖. ๕๓๐ ว.ิ ภกิ ฺขณุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๖/๒. ๕๓๑ ขุ.เปต.อ.(ไทย) ๒/๒/๑๕๑. ๕๓๒ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๑๖๘/๑๙๔. ๕๓๓ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๑๗๑/๑๙๕.
๑๖๕ พระนางนันทา เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ๕๓๔ ในคัมภีร์พรรณนาความงามของพระ นางไว้โดยประการต่าง ๆ เป็นต้นว่า เป็นผู้มีรูปสมบัติอันใคร ๆ ไม่นินทา มีรูปงามดังดวงอาทิตย์ มี รูปลักษณท์ ่ีงดงาม ประเสริฐ งามกวา่ นางยวุ นารีทุกคนในกรงุ กบิลพสั ดุ์ มผี วิ หน้าดงั ดอกบวั พระนางนันทา เป็นพระธิดาของพระเจ้าเขมกะแห่งศากยะ ในกรุงกบิลพัสด์ุ ในคัมภีร์ระบุ วา่ ๕๓๕ เป็นหญงิ ถึงพร้อมดว้ ยรูปงาม น่าชม พวกเจ้าศากยะเกิดวิวาทกันใหญโ่ ตเพราะแย่งตัวพระนาง พระ บดิ าเห็นจะเป็นปญั หาใหญ่โต จึงใหพ้ ระนางบวช คร้นั บวชแล้วก็ไม่กล้าเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ด้วยทราบ ว่า พระผ้มู พี ระภาคทรงติเตียนรปู แตต่ ่อมาพระองค์กท็ รงให้นางเขา้ เฝา้ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งหนึง่ เม่ือนางนันทาเข้าเฝ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงเนรมิตหญิง ๓ คน ด้วยฤทธิ์ คือ (๑) หญิง สาวสวยเหมือนเทพอัปสร (๒) หญิงชรา และ (๓) หญิงตายแล้ว เป็นเหตุให้นางเกิดความสลดใจ เบื่อ หน่ายในภพ ได้อบรมจิตให้เป็นสมาธิ ไม่ประมาท มีจิตไม่เกาะเก่ียว และได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วย ปฏิสมั ภทิ า๕๓๖ นนั ทิเสน นันทิเสนเป็นสามีนางนันทา ภายหลังต่อมานางนันทาทากาละแล้วได้ไปบังเกิดเป็นเปรต คัมภีร์ระบุไว้ว่า นางมีผิวดา รูปร่างน่าเกลียด ผิวพรรณหยาบกร้าน มองดูน่ากลัว ตาเหลือง มีเขี้ยวสี น้าตาลแก่ สาเหตุที่ต้องเป็นเปรตเพราะเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย ไม่เคารพสามี กล่าวคาชั่วหยาบกับ สามี๕๓๗ นันทิเสนทราบความ จึงได้ทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ นางได้รับอานิสงส์จากอุทิศให้ของสามี ทาให้มีผิวพรรณผ่องใส นุ่งห่มด้วยผ้าเนื้อดี มีเคร่ืองประดับงดงามแล้ว จึงได้เข้าไปหาสามี พร้อมกับเล่า ความจรงิ ให้ฟงั วา่ สมบตั ิทไี่ ดท้ ั้งหมดนี้ เพราะผลแห่งทานทส่ี ามีเป็นผูอ้ ทุ ศิ ให้ จากน้ันนางก็ได้ให้พรแก่สามี พร้อมหมู่ญาติวา่ ขอใหเ้ ปน็ ผมู้ อี ายยุ นื เข้าถึงสถานท่ีท่ีไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากธุลี มีความสาราญ ไม่ มีใครตาหนิตเิ ตียนได๕้ ๓๘ นันทิยะ ช่อื นันทิยะ ปรากฏในคมั ภีร์พระไตรปฎิ กหลายแหง่ และมีหลายสถานภาพ ประมวลสรุปได้ ดังน้ี (๑) พระนันทิยะ ปรากฏช่ือร่วมกับพระเถระ ๓ รูปอยู่เนือง ๆ ประกอบด้วย พระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และ พระกิมพิละ ท้ังหมดอาศัยอยู่ร่วมกันที่ปาจีนวังสทายวัน๕๓๙ คัมภีร์พรรณนาความสังเขปว่า พระผู้มีพระ ภาคเจ้าเคยเสด็จไปเย่ียมท้ัง ๓ รูปถึงที่พัก แต่ถูกคนเฝ้าสวนห้าม เพราะความเข้าใจผิด และในท่ีนี้เอง พระผมู้ ีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามวิธกี ารท่ีทาเกดิ ความรกั ความสามัคคี ๕๓๔ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๘๕/๔๘๐. ๕๓๕ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๕๒/๕๔๐. ๕๓๖ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๖๓/๕๔๑. ๕๓๗ ข.ุ เปต.(ไทย) ๒๖/๑๗๑/๑๙๕. ๕๓๘ ข.ุ เปต. (ไทย) ๒๖/๑๘๔/๑๙๗. ๕๓๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๔๖๖/๓๕๖.
๑๖๖ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทรงปลีกออกเมืองโกสัมพี เพราะทรงเอือมระอากับภิกษุ ทะเลาะกัน หลังจากท่ีตรัสถาม และช้ีแจงแก่พระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมพิละแล้ว ก็ทรงปลีก ออกไปอยทู่ ่ปี า่ ปาริไลยกะแต่เพยี งลาพัง๕๔๐ ในจูฬโคสิงคสูตร๕๔๑ พรรณนาความถึงพระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมพิละ อาศัยอยู่ ในปา่ โคสิงคสาลวัน ซึ่งครั้งน้ีเช่นกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้เสด็จมาเย่ียม และถูกคนรักษาป่าห้ามเข้าไป รบกวนพระเถระทั้ง ๓ รปู ในทน่ี ี้ พระผมู้ ีพระภาคก็ได้ตรัสถามถงึ เหตุท่ที าให้ ๓ รูปอยู่ด้วยกันได้ด้วยความ รัก และความสามัคคี พระเถระทั้ง ๓ รูปก็ได้กราบทูลเร่ืองเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตา มโนกรรมทงั้ ตอ่ หนา้ ลบั หลัง (๒) นนั ทยิ ะปริพพาชก ปรากฏในนันทิยสูตร ว่าด้วยเร่ืองนันทิยปริพพาชก๕๔๒ ความโดยสังเขปนันทิยปริพพาชกเข้า เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะทรงประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ได้กราบทูลถามธรรมท่ีเป็นเหตุให้ถึงพระ นิพพาน มนี พิ พานเป็นเบื้องหน้า มีนิพพานเป็นที่สุด พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบโดยยกธรรม ๘ ประการ มีสัมมาทฏิ ฐะเป็นเบอื้ งต้น มสี มั มาสมาธเิ ปน็ ทีส่ ดุ (๓) เจ้าศากยะพระนามวา่ นนั ทยิ ะ ปรากฏในนันทิยสักกสูตร๕๔๓ ความโดยสังเขป เจ้านันทิยะได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะ ประทับอยู่ท่ีนิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ทูลถามองค์เคร่ืองบรรลุโสดา ๔ ประการ พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสตอบโดยยกข้อธรรม ๔ ประการ ประกอบด้วย ๑) ผู้ประกอบด้วยความเล่ือมใสไม่หวั่นไหวใน พระพุทธเจ้า ๒) ผู้ประกอบด้วยความเล่ือมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม ๓) ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่ หวั่นไหวในพระสงฆ์ ๔) ผปู้ ระกอบด้วยศีลท่พี ระอริยชอบใจ ในนันทิยสูตร๕๔๔ พรรณนาความว่า เจ้านันทิยะทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จไปจา พรรษาท่ีกรุงสาวัตถี ตนเองก็มีความประสงค์จะติดตาม ทางานไปด้วย หาโอกาสเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ตามเวลาอนั สมควรไปดว้ ย จงึ ได้ออกติดตามพระผู้มีพระภาคไปท่ีเมืองสาวัตถี เมื่อมีโอกาสก็กราบทูลถาม ถึงธรรมเปน็ เครอื่ งอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แสดงธรรมเป็นเครื่องอยู่แก่เจ้าศากยะพระนามว่านันทิยะว่า ๑) ผู้มี ศรัทธา ประสบความสาเร็จ ผู้ไม่มีศรัทธาไม่ประสบความสาเร็จ ๒) ผู้มีศีลประสบความสาเร็จ ผู้ทุศีลไม่ ประสบความสาเร็จ ๓) ผ้มู ีความเพยี รประสบความสาเร็จ ผู้เกยี จคร้านไม่ประสบความสาเร็จ ๔) ผู้มีสติตั้ง มน่ั ประสบความสาเรจ็ ผู้หลงลมื สติไม่ประสบความสาเร็จ ๕) ผู้มีจิตต้ังม่ันประสบความสาเร็จ ผู้มีจิตไม่ต้ัง มั่นไมป่ ระสบความสาเรจ็ ๖) ผู้มปี ญั ญาประสบความสาเรจ็ ผู้มปี ญั ญาทรามไมป่ ระสบความสาเรจ็ ๕๔๕ (๔) นนั ทิยะอุบาสก ๕๔๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๔๖๗/๓๕๙. ๕๔๑ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๒๕/๓๕๗. ๕๔๒ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐/๑๔. ๕๔๓ ส.ม.(ไทย) (ไทย) ๑๙/๑๐๓๖/๕๕๖. ๕๔๔ องฺ.เอกาทสก.๒๔/๑๓/๔๑๗. ๕๔๕ องฺ.เอกาทสก.(ไทย) ๒๔/๑๓/๔๑๘.
๑๖๗ ปรากฏในเรวตีวิมาน๕๔๖ ความปรากฏแต่เพียงว่า นันทิยะอุบาสก เป็นอดีตสามีของนางเรวดี เมื่อส้ินอายุขัยแล้ว ได้ไปบังเกิดในวิมาน พระผู้มีพระภาคอาศัยเหตุนี้ จึงได้ตรัสอุปมาบุญกุศลที่บุคคลทา แลว้ ย่อมต้อนรบั บุคคลน้นั ผไู้ ปสปู่ รโลก เหมือนญาตมิ ิตรตอ้ นรบั บคุ คลผู้รา้ งแรมไปนานดว้ ยความยนิ ดี นันทิยะอุบาสก เป็นชาวเมืองพาราณสี เป็นคนไม่ตระหน่ี เป็นทานบดี รู้ความประสงค์ของผู้ ขอ ขณะทภี่ รรยาของเขา เปน็ หญิงช่ัวร้าย เป็นคนตระหนี่ มักโกรธ มีบาปธรรม ย่อมไม่ได้เกิดร่วมกับสามี ถกู นาไปยงั คถู นรก นาคเถระ, พระ พระนาคะเถระ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระที่ทรงรจาพระวินัยสืบๆ ต่อกันมาในศรีลังกา ใน คัมภีร์ระบุว่าเป็นผู้สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ท้ัง ๗ ด้วย โดยระบุช่ือพระมหาเถระอีกหลายรูป เช่น พระ อริฏฐะ พระติสสะ พระกาฬสุมนะ พระทีฆเถระ พระทีฆสุมนะ พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ พระติสส เถระ และพระเทวเถระ เป็นต้น๕๔๗ นาคสมาละ,พระ พระนาคสมาละ ปรากฏเป็นพระเถระรูปหนึ่งท่ีได้ทาหน้าท่ีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในช่วงปฐม โพธิกาล ซ่ึงยังไม่มีพระพุทธอุปัฏฐากประจา ครั้งน้ันมีรายนามพระเถระที่ทาหน้าท่ีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ประกอบดว้ ย พระนาคติ ะ พระอปุ วาณะ พระสนุ กั ขัตตะ สามเณรจนุ ทะ และพระเมฆิยะ๕๔๘ ในมหาสีหนาทสูตร ปรากฏช่ือของพระนาคสมาละเถระว่า ท่านได้ยืนถวายงานพัดอยู่เบ้ือง พระปฤษฎางคข์ องพระผู้มีพระภาค เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสธรรมบรรยายชื่อโลมหังสนบรรยายจบ ท่าน เกิดความรูส้ ึกขนลกุ ชูชัน ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงได้กราบทูลถาม และแสดงความช่ืนชมในธรรมบรรยาย น้ัน๕๔๙ ในทวิธาปถสูตร๕๕๐ พระผู้มีพระภาคขณะเสด็จพุทธดาเนินไปแคว้นโกศล มีท่านนาคสมาละ เปน็ ปจั ฉาสมณะ ครน้ั ถงึ ทางสองแพรง่ ท่านได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปทางหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้ามี พระประสงคท์ จี่ ะเสด็จไปอกี ทางหนึง่ ถงึ ๓ ครัง้ เมอื่ เห็นวา่ พระผมู้ พี ระภาคไมเ่ สด็จไปตามทางที่ตนแนะนา ทา่ นกว็ างบาตรและจวี รของพระผู้มพี ระภาคเจ้าไว้ทพี่ ืน้ ดนิ แล้วก็เดินไปตามทางทตี่ นกราบทลู แต่ต้น ท่านนาคสมาละเดินไปได้ไม่นาน ก็ถูกโจรซุ่มอยู่ระหว่างทางรุมทาร้ายได้รับบาดเจ็บ บาตร แตก จีวรฉกี ขาด และได้หวนกลบั มาเฝ้าพระพระพุทธเจา้ และกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระพุทธผู้มี พระภาคทรงทราบเร่อื งแลว้ กเ็ ปลง่ อุทานวา่ บคุ คลผจู้ บเวท ถึงจะเท่ียวไปด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ปะปนกับคน อืน่ รแู้ จง้ ยอ่ มละคนช่ัวไปได้ เหมอื นนกกระเรียนเวน้ นา้ ดื่มแตน่ ้านมฉะน้นั ๕๕๑ อนึ่ง ในนาคสมาลวรรค๕๕๒ ได้พรรณนาถึงอดีตชาติของพระนาคสมาละไว้ประมวลสรุป โดยสงั เขปดังน้ี ๕๔๖ ขุ.วิ.(ไทย) ๒๖/๘๖๑/๑๐๑. ๕๔๗ วิ.ป.(ไทย) ๘/๒/๕. ๕๔๘ ดเู ชิงอรรถ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๓๖๐/๑๕๑,ว.ิ อ.(ไทย) ๑/๑๖/๑๘๑. ๕๔๙ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๑๖๒/๑๖๕. ๕๕๐ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๗/๓๓๘. ๕๕๑ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๗/๓๓๙. ๕๕๒ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๑/๒๑๕.
๑๖๘ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ท่านได้เก็บดอกแคฝอยบูชาพระสถูปท่ีมหาชนสร้างไว้ ที่หนทางใหญ่โดยเอื้อเฟ้ือ ผลแห่งกรรมน้ัน ท่านไม่รู้จักทุคติภูมิเลยตลอด ๓๑ กัป ในกัปที่ ๑๕ ท่านได้ บังเกิดเปน็ เจ้าจักรพรรดิพระนามว่าปุปผิยะ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ในกาลในพระพุทธเจ้าน้ี ท่าน ได้บรรลคุ ณุ วเิ ศษคือปฏิสมั ภทิ า ๔ วิโมกข์ ๘ และอภญิ ญา ๖ นาคทัตตะ, พระ พระนาคทัตตะ ปรากฏในนาคทัตตสูตร๕๕๓ พรรณนาความพระนาคทัตตะอยู่ท่ีราวป่าแห่ง หนง่ึ ในแควน้ โกศล ท่านเขา้ ไปยงั หมู่บา้ นแตเ่ ชา้ ตรู่ กวา่ จะกลับมาก็หลงั เทย่ี ง เทวดาท่ีสิงสถิตอยู่ในป่าน้ันมี ความอนุเคราะห์หวังดีต่อท่าน จึงได้กล่าวตักเตือนด้วยคาถา สรุปความได้ว่า การที่พระนาคทัตตะเข้าไป บ้านแต่เช้า กลับมาตอนเที่ยงวัน เที่ยวไปเกินเวลา คลุกคลีอยู่กับคฤหัสถ์ พลอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา พัวพนั ในตระกลู ทั้งหลาย จะเป็นเหตุให้ทา่ นตกอยใู่ นอานาจของมัจจุ ไม่สามารถทาทส่ี ุดแหง่ ทกุ ขไ์ ด้ พระนาคทัตตะได้ฟงั คาตักเตือนของเทวดาแลว้ กเ็ กิดความสลดใจ คัมภีร์อรรถกถาระบุพฤติกรรมของพระนาคทัตตะเพ่ิมเติมว่า พระนาคทัตตะนอนหลับตลอด คืน ในเวลาใกล้ร่งุ ก็เอาปลายไมก้ วาดปดั กวาดหน่อยหนง่ึ ลา้ งหนา้ แลว้ เขา้ ไปขอข้าวตม้ แต่เชา้ รับเข้าต้มไป โรงฉันด่ืมแล้วก็นอนหลับในที่แห่งหน่ึง เมื่อใกล้เที่ยงก็ลุกข้ึนเอาเครื่องกรองน้าตักน้าล้างตาแล้วก็ไปฉัน อาหารตามความต้องการ ครน้ั เลยเวลาเท่ยี งแล้วกห็ ลีกไป พฤตกิ รรมดงั กลา่ วนี้ เทวดาเหน็ ว่าท่านประมาท จึงได้กลา่ วตกั เตอื น๕๕๔ นาคติ ะ,พระ พระนาคิตะ เป็นหนึ่งในพุทธอุปัฏฐากในช่วงปฐมโพธิกาลซ่ึงยังไม่มีพุทธอุปัฏฐากประจา ใน พระสูตรต่าง ๆ จงึ มีร่องรอยบันทึกเร่ืองราวของพระนาคิตะในฐานะเป็นพุทธอุปัฏฐาก ทาหน้าที่คอยรับใช้ พระพุทธเจา้ ในสถานท่ีตา่ ง ๆ ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี ในมหาลิสตู ร๕๕๕ มีข้อความพรรณนาถึงพราหมณทตู ชาวโกศลและชาวมคธจานวนมากเดินทาง มาธุระ และพักอยู่ที่เมืองเวสาลี ประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ได้เข้าไปหาพระนาคิตะผู้เป็นพุทธ อุปัฏฐากเวลาน้ัน เพ่ือนาความกราบทูลให้ทรงทราบ เพ่ือขอพุทธานุญาตเข้าเฝ้า แต่ได้รับการทัดทานไว้ ด้วยเหตุเวลานั้นพระพุทธเจ้ากาลังประทับปลีกวิเวกอยู่ ทาให้พราหมณทูตเหล่านั้นต้องน่ังรอ ทานอง เดียวกันกับเจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ซ่ึงเสด็จมาขอเข้าเฝ้าถัดจากน้ันไม่นาน กระท่ัง สามเณรสีหะซึ่งเป็นหลานได้เข้าไปทักท้วง และขอให้นาความกราบทูลขอพุทธานุญาตนาพราหมณทูต และเจ้าลจิ ฉวเี หล่านัน้ เข้าเฝ้า ในนาคิตสูตร๕๕๖ พรรณนาเร่ืองราวขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ราวป่าอิจฉานังคละ แควน้ โกศล พวกพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านอิจฉานังคละทราบข่าวการเสด็จมา ต่างก็พากันออกมาเพ่ือ เข้าเฝ้า ก่อให้เกิดเสียงดังที่ซุ้มประตูด้านนอก กระทั่งทรงเรียกพระนาคิตะไปสอบถาม จากนั้นก็ตรัสกับ พระนาคติ ะวา่ พระองคไ์ มต่ ดิ ยศ และยศกไ็ มต่ ิดพระองค์ ๕๕๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๒๗/๓๒๙. ๕๕๔ ส.สคา.(ไทย) ๑/๒/๓๖๘. ๕๕๕ ที.สี.(ไทย) ๙/๓๕๙/๑๕๑. ๕๕๖ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๓๐/๔๑.
๑๖๙ อน่ึง ในคัมภีร์อรรถกถามีเนื้อความพรรณนาถึงรูปร่างลักษณะของพระนาคิตะไว้ว่า “พระ เถระนี้อ้วน ในการท่ีจะลุกหรือน่ังเป็นต้นก็อุ้ยอ้ายอืดอาด เพราะมีร่างกายหนัก จึงดูราวกะว่าไม่ค่อยจะ เคลือ่ นไหวได”้ ๕๕๗ อยา่ งไรก็ตาม พระนาคติ ะกจ็ ัดอยใู่ นกลมุ่ พระอสตี ิมหาสาวก๕๕๘ นารทะ ชื่อ นารทะ ปรากฏในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกหลายแหง่ และมหี ลายสถานภาพ ประมวลสรปุ ได้ (๑) พระนารทะ ดังน้ี พระนารทะพักอยู่ที่กุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร ในพระบาลีพรรณนากิตติศัพท์ของท่านว่า “เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต กล่าวถ้อยคาไพเราะ มีปฏิภาณดี เป็นพระผู้ใหญ่ และเปน็ พระอรหันต์” ๕๕๙ ในโกสัมพิสูตร๕๖๐ มีบันทึกเร่ืองราวการสนทนาธรรมระหว่างพระนารทะกับพระปวิฏฐะ ประเด็นเร่ืองวงจรแหง่ ปฏิจจสมุปบาทแต่ละช่วง ซึ่งพระนารทะก็ได้ตอบตามความเป็นจริงว่า ตนเห็นตาม ความเป็นจริงอย่างนั้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องอาศัยความเช่ือ ความชอบใจ การฟังตามกันมา การคิดตรองตาม เหตุผล หรือการเข้ากนั ได้กบั ทฤษฎีท่ีพนิ จิ ไวแ้ ลว้ วา่ เปน็ อย่างไร ในนารทสูตร๕๖๑ พรรณนาเรื่องราวพระมเหสีของพระเจ้ามุณฑะพระนามว่าภัททาราชเทวี สวรรคต ทาให้พระเจ้ามุณฑะเศร้าโศกพระทัย ไม่เสวยพระกระยาหาร ไม่ทรงประกอบราชกิจ ทรงซบอยู่ ทศ่ี พของพระนางตลอดคนื วัน อามาตย์ผู้ใกล้ชิดเห็นเช่นนั้น เกรงจะเสียราชกิจ จึงได้ไปนิมนต์พระนารทะ มาชว่ ยแสดงธรรมโปรดเพ่ือให้ทรงคลายจากความทกุ ข์ ครง้ั น้ีพระนารทะไดแ้ สดงฐานะ ๕ ประการที่ใคร ๆ ในโลกน้ีไม่พึงได้ กล่าวคือ ๑) ส่ิงที่มีความ แก่เป็นธรรมดา อย่าแก่ ๒) สิ่งท่ีมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้ ๓) ส่ิงท่ีมีความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย ๔) สิ่งที่มีความส้ินไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไป และ ๕) สิ่งท่ีมีความฉิบหายเป็นธรรม อย่าฉิบหาย ได้ถอนความโศกของพระราชา กระทั่งทรงรับส่ังให้ถวายพระเพลิงพระศพพระนางภัททาราชเทวีแล้วทา สถปู ไว้ และตง้ั แต่บดั นนั้ ไป ก็ทรงสนาน แต่งพระองค์ เสวยพระกระยาหาร ประกอบราชกิจเหมือนดังเดิม ทกุ ประการ นอกจากนนั้ ในขทุ ทกนกิ าย เปตวัตถ๕ุ ๖๒ มีบันทึกเร่ืองราวพระนารทะได้สนทนากับเปรต ๓ ตน ว่าได้กรรมใดไว้ จึงได้เกิดเป็นเปรตมีลักษณะดังกล่าว เปรตปากหมูได้เรียนท่านว่า เพราะไม่สารวมวาจา ทาบาปด้วยปาก สว่ นเปรตปากเน่า มหี นอนชอนไช ได้เรียนท่านว่า อดีตเป็นสมณะลามก มีวาจาช่ัวหยาบ ไม่สารวมปาก เปรตผู้พิพากษา ได้เรียนท่านว่า เพราะประพฤติทุจริตด้วยการพูดส่อเสียด พูดเท็จ และ ดว้ ยการอาพราง เมอ่ื ถึงเวลาพูดความจรงิ กล็ ะเหตผุ ลเสยี ๕๖๓ ๕๕๗ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๐๔. ๕๕๘ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๑. ๕๕๙ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๕๐/๘๓. ๕๖๐ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๖๘/๑๓๘. ๕๖๑ อง.ฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๕๐/๘๒. ๕๖๒ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๔/๑๖๘. ๕๖๓ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๕๐๔/๒๔๗.
๑๗๐ (๒) นารทดาบส นารทดาบสปรากฏอยู่ในอินทรยี ชาดก๕๖๔ พรรณนาคาส่งั สอนของสรภังคดาบสต่อนารทดาบส เร่ืองผู้ตกอยู่ในอานาจอินทรีย์เพราะความใคร่ ย่อมบังเกิดในอบาย แม้มีชีวิตอยู่ก็ย่อมประสบทุกข์เป็นอัน มาก และคากล่าวของกาฬเทวิลดาบสต่อนารทดาบสเรื่องการครองเรือนเป็นต้นว่า ผู้ครองเรือนมีความ ขยัน แบ่งปันกันกิน เป็นการดี เมื่อได้ส่ิงที่ต้องการก็ไม่ระเริง เม่ือเสื่อมจากสิ่งท่ีต้องการก็ไม่เดือดร้อน พร้อมกบั ย้าเตือนกบั นารทดาบสว่า ไม่มีอะไรเลวรา้ ยไปกว่าการตกอยใู่ นอานาจแห่งอินทรียท์ ้ังหลาย๕๖๕ (๓) พระพทุ ธเจา้ พระนามว่านารทะ ในนฬาคาริกเถราปทาน๕๖๖ ได้พรรณนาถึงพระฬนาคาริกเถระในอดีตว่า ได้เคยสร้างเรือนไม้ ออ้ มงุ ดว้ ยหญ้า แผว้ ถางทจี่ รงกรมถวายพระพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ ด้วยผลแห่งกรรมน้ัน จึงได้ร่ืนเริง ในเทวโลก ๗๔ ชาติ ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๗ ชาติ และเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับ ชาตไิ มถ่ ้วน ชาติสุดทา้ ยไดอ้ อกบวชในศาสนาของพระพทุ ธเจา้ พระนามว่าโคดม บาเพ็ญเพียร ได้บรรลุพระ อรหนั ต์ เขา้ ถึงทส่ี ิน้ สุดแห่งทกุ ข์ท้ังปวง ในขุททนิกาย พุทธวงศ์ ได้พรรณนาถึงพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ประกอบด้วย พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะ และพระพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ ทั้ง ๓ พระองค์น้ี ทรงเป็นผนู้ า เป็นมุนี ทาทส่ี ดุ แหง่ ความมืดได้ เสดจ็ อบุ ตั ิขึ้นในกัปเดยี วกนั ๕๖๗ (๔) นารทะผูเ้ ป็นพุทธอปุ ัฏฐาก พระนารทะปรากฏในขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ์ว่า เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ๕๖๘ นาฬชิ งั ฆะ, พราหมณ์ นาฬิชังฆพราหมณ์ เปน็ พราหมณ์ในราชสานกั ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ปรากฏช่ือในปิยชาติก สูตรแห่งมัชฌิมนิกาย๕๖๙ พรรณนาความสงสัยของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่มีต่อพระดารัสของพระพุทธเจ้า ประเดน็ เร่ืองความโศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เกิดจากส่ิงท่ีเป็นที่รัก มีจากสิ่งท่ีเป็นท่ีรักจริง หรอื ไม่ เพื่อจะคลายความสงสัยดังกล่าวน้ี พระนางมัลลิกาเทวีจึงรับส่ังให้นาฬิชังฆพราหมณ์ไปเฝ้า พระพทุ ธเจา้ ใหไ้ ปทลู ถามปญั หาข้อสงสยั ของพระเจา้ ปเสนทิโกศลกะพระพทุ ธเจา้ แล้วนามากราบทูลตาม ความเป็นจรงิ นาฬิชังฆพราหมณ์รับพระราชเสาวนีย์แล้วก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลขอพุทธ วนิ ิจฉัยข้อสงสัยของพระเจา้ ปเสนทิโกศล พระพทุ ธเจา้ ได้ตรสั ยืนยันตามความเป็นจริงว่า ความรักเป็นเหตุ นามาซ่ึงความโศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส โดยยกเร่ืองราวต่าง ๆ เช่น หญิงผู้หน่ึงเป็นบ้า ๕๖๔ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๖๐/๒๙๔. ๕๖๕ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๖๕/๒๙๕. ๕๖๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๓๑/๕๒๖. ๕๖๗ ขุ.พุทฺธ.(ไทย) ๓๓/๗/๗๒๒. ๕๖๘ ข.ุ พุทธ.(ไทย) ๓๓/๒๕/๖๕๔. ๕๖๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๕๕/๔๓๖.
๑๗๑ เพราะสามี จิตใจเหม่อลอยเดินตามตรอกซอกซอยเที่ยวตามหาสามีของนางท่ีตายไป ชายคนหน่ึงเป็นบ้า เพราะมารดาตาย เที่ยวเดนิ รอ้ งไหต้ ามหามารดาท่ตี ายไปแล้ว เปน็ ตน้ นาฬิชังฆพราหมณ์ได้ฟังเร่อื งราวทงั้ หมดจากพระผูม้ พี ระภาคเจา้ แลว้ ได้กลับมากราบทูลถวาย รายงานพระนางมัลลิกาเทวี และพระเจ้าปเสนทิโกศลทุกประการ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ระลึกตามคา บอกเล่าของพราหมณ์ได้ทรงเห็นจริงตามน้ันทุกประการ จึงได้ทรงลุกขึ้นจากท่ีประทับ ทรงห่มพระภูษา เฉวยี งบา่ ประนมหตั ถ์ไปทางทิศที่พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ประทบั เปลง่ อทุ านขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ คร้ัง นกิ ฎะ, อุบาสก นิกฎอุบาสก ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรตอนหน่ึง๕๗๐ เน้ือความพรรณนาถึงพระอานนท์ได้ กราบทูลถามพระพุทธเจ้าขณะทรงประทับอยู่ที่นาทิกคามว่า คติของอุบาสกช่ือนิกฏะเป็นอย่างไร มีภพ หนา้ เปน็ อย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า อุบาสกนิกฏะเป็นโอปปาติกะ เพราะสังโยชน์ เบื้องต่า ๕ ประการส้ินไปแลว้ ปรนิ ิพพานในภพน้ัน ไม่หวนกลบั มาจากโลกนนั้ อีก นิครนถน์ าฏบตุ ร,เจ้าลัทธิ นิครนถน์ าฏบตุ ร เป็นหน่ึงในเจ้าลัทธิทั้ง ๖ ที่มีชื่อเสียงในสมัยพุทธกาล มีลูกศิษย์ท่ีเป็นผู้ใหญ่ ในบ้านในเมืองหลายท่าน เช่น สีหเสนาบดี๕๗๑อุบาลีคหบดี๕๗๒ เป็นต้น หลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎก พรรณนาถึงว่า “เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผู้มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ คนจานวน มากยกย่องวาเป็นคนดี มีประสบการณ์มาก บวชมานาน มีชีวิตอยู่หลายรัชสมัย ล่วงกาลผ่านวัยมามาก” ๕๗๓ เหตุท่ีได้ช่ือว่านิครนถ์เพราะมักกล่าวว่า ตนไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด ส่วนคาว่า นาฏบุตร เพราะอดีต เปน็ บุตรของนักฟ้อน๕๗๔ หลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุว่า๕๗๕ นิครนถ์นาฏบุตรนั้นถึงแก่กรรมท่ีเมืองปาวา และ หลงั จากถงึ แกก่ รรมไม่นาน พวกนิครนถก์ ็แตกออกเปน็ ๒ พวก เปน็ เหตุให้พระจุนทะนาเร่ืองนี้ไปกราบทูล พระพทุ ธเจา้ และกราบทูลใหพ้ ระพุทธเจ้าทาสงั คายนาพระธรรมวินัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะได้ไม่ มีปัญหาทะเลาะกันภายหลังของเหลา่ พระสาวก เหมอื นกรณที ี่เกิดขึ้นกับพวกนคิ รนถ์ หลกั คาสอนสาคัญ นิครนถ์นาฏบุตรบัญญัติทัณฑะในการทาความช่ัวไว้ ๓ ประการ ได้แก่ กายทัณฑะ วจีทัณฑะ และมโนทัณฑะ โดยในบรรดาทัณฑะทั้ง ๓ ประการน้ี นาฏบุตรบัญญัติว่ากายทัณฑะมีโทษมากกว่าวจี ทัณฑะ และมโนทณั ฑะ ทัง้ น้เี พราะเหตวุ า่ เม่ือบคุ คลทาความชวั่ กายเท่าน้ันถกู ลงโทษ๕๗๖ ๕๗๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๖/๑๐๑. ๕๗๑ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๙๐/๑๐๘. ๕๗๒ ม.ม.๑๓/๕๖/๕๓. ๕๗๓ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๕๖/๕๐. ๕๗๔ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑๕๖/๑๓๒. ๕๗๕ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๖๔/๑๒๕. ๕๗๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕.
๑๗๒ นอกจากน้ี นิครนถ์ท้ังหลายถือสารวมในวัตร ๔ ประการ คือ ๑) เว้นน้าดิบทุกอย่าง ๒) ประกอบกจิ ทเ่ี ว้นจากบาปทุกอยา่ ง ๓) ลา้ งบาปทกุ อย่าง และ ๔) รบั สัมผสั ทุกอยา่ งโดยไมใ่ ห้เกดิ บาป๕๗๗ นิคมวาสตี ิสสเถระ, พระ พระนิคมวาสีติสสเถระ ชื่อเดิมคือ พระติสสะ แต่เนื่องจากมีพระเถระช่ือน้ีหลายองค์ จึงมี สรอ้ ยนาม เพอื่ ใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งกนั พระติสสเถระรูปนี้ อย่ใู นนิคม เรียกสร้อยนามตามท่ีอยู่ของท่านว่า “นคิ มวาสตี สิ สเถระ” เปน็ ตัวอยา่ งของพระผยู้ ินดใี นความไม่ประมาท มีปกติเห็นภัยในความประมาท๕๗๘ มี เน้ือความพรรณนาไวใ้ นอรรถกถาธรรมบทโดยสงั เขป๕๗๙ ดงั นี้ พระติสสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี และผู้อุปัฏฐากของพระสารีบุตร ตอน ต้ังครรภ์มารดาแพ้ท้อง ปรารถนานิมนต์พระ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเป็นประธานให้น่ังในเรือน ถวาย ปายาสเจอื ดว้ ยนา้ นมล้วน ส่วนตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งท้ายอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาส อันเปน็ เดนของภิกษทุ ้ังหลาย เม่อื ไดญ้ าติ ๆ จดั แจงดาเนนิ การให้ อาการแพท้ องก็สงบ ตลอดระยะเวลาท่ีอยู่ในครรภ์ มารดาได้บาเพ็ญกุศลเนือง ๆ แม้ในเวลาคลอดแล้ว ญาติ ท้ังหลายก็ไดถ้ วายข้าวปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเป็นประธาน และในวัน น้ัน ทารกน้อยได้ถวายผ้ากัมพลที่ติดมือไปแก่พระเถระ พระเถระจึงได้ถามชื่อเด็ก ญาติทั้งหลายก็บอกว่า ชื่อเหมือนพระผู้เปน็ เจา้ พระสารบี ตุ รจงึ ต้งั ชอ่ื ใหว้ า่ ติสสะ ตสิ สะเมอ่ื เจรญิ วยั ได้ ๗ ขวบ ก็ปรารถนาจะบวช จึงได้ขออนุญาตมารดาบวชในสานักพระสารี บุตร มารดาจึงไดน้ าไปถวายพระเถระในเวลาเยน็ วนั หนง่ึ พระเถระไดจ้ ดั แจงใหบ้ รรพชาเป็นสามเณรต้ังแต่ บัดนั้น สามเณรติสสะครั้นบวชแล้ว ได้มีลาภสักการะมาก ด้วยผลทานท่ีตนได้บาเพ็ญมาแล้วในอดีต วันแรกที่ออกบิณฑบาต สามเณรได้บิณฑบาตพันหน่ึง ผ้าสาฎกพันหนึ่ง และได้ถวายบิณฑบาตและผ้า สาฎกเหล่านน้ั แก่ภิกษุสงฆ์ทง้ั หมด ภกิ ษุทั้งหลายจึงขนานนามสามเณรว่า “ปิณฑปาตทายกติสสะ” ถึงฤดู หนาว สามเณรได้อาศัยบารมีของตน ถวายผ้ากัมพลแก่ภิกษุท้ังหลาย ๕๐๐ รูป จึงได้นามเพิ่มอีกว่า “กัมพลทายกติสสะ” คร้ันต่อมาอีก สามเณรเบ่ือหน่ายกับการคลุกคลีในหมู่คณะ จึงได้เรียนกัมมัฏฐานจากสานัก พระศาสดา เดนิ ทางไกล ๑๒๐ โยชน์ อาศยั อบุ าสกผ้หู นึ่ง อยู่ท่ีป่าบาเพ็ญสมณธรรม เวลาผ่านไป ๓ เดือน ก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหันตพ์ ร้อมด้วยปฏสิ มั ภทิ า ได้รบั สมัญญานามใหมเ่ พม่ิ อีกวา่ “วนวาสีตสิ สะ” คร้ันปวารณาออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรพร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายมีพระมหากัสส ปะ พระอนุรุทธะ พระอุบาลีเถระ พระปุณณเถระ เป็นต้น ได้เดินทางไปเย่ียมสามเณรพร้อมด้วยภิกษุ ประมาณ ๕๐๐ รูป สรา้ งความปลาบปล้มื ยินดแี ก่อบุ าสก อุบาสิกาทั้งหลายเป็นอย่างมาก ต่างก็ขวนขวาย บารุงพระภิกษุสงฆ์ท้ังหลาย เน่ืองจากวันน้ันเป็นวันนั้นเป็นวันธรรมสวนะ พระเถระจึงมอบหมายให้ สามเณรแสดงธรรม ๕๗๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๖๓/๖๐. ๕๗๘ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๒/๓๔. ๕๗๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๔๙๐-๕๐๘.
๑๗๓ ทันทีที่พระเถระบอกให้สามเณรแสดงธรรม อุบาสกทั้งหลายก็ลุกขึ้น พร้อมกับพูดว่า ตลอดเวลาท่ีผา่ นมา สามเณรกแ็ สดงธรรม ๒ บทเทา่ นน้ั คอื ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข จงพ้นจากความ ทุกข์ สามเณรหารธู้ รรมอืน่ ไม่ ขอได้โปรดมอบหมายให้พระธรรมกถกึ รูปอื่นแสดงธรรมเถิด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามเณรแม้จะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา แต่ก็ไม่เคย กล่าวธรรมกถาแก่อุปัฏฐากเหล่านั้นเลย คร้ันอุปัชฌาย์มอบหมายให้แสดงธรรม จึงได้ปรารภเหตุผลนามา อธิบายเหตุให้เกิดสุข และเหตุให้พ้นจากทุกข์จากนิกายท้ัง ๕ จาแนกขันธ์ ธาตุ อายตนะ และโพธิปักขิย ธรรมดจุ มหาเมฆตัง้ ขึน้ ใน ๔ ทวปี ยังลูกเห็บให้ตกอยู่ เมื่อสามเณรแสดงธรรมจบ มหาชนได้แตกเป็น ๒ พวก พวกหน่ึงโกรธสามเณร อีกพวกหนึ่ง ยินดีที่ได้ฟังธรรมอันวิจิตรท่ีไม่เคยได้ยินมาก่อนจากสามเณร พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็น อุปนิสัยของอุปัฏฐากเหล่านั้น รุ่งข้ึน จึงได้เสด็จไปเย่ียมสามเณร และแสดงคุณของสามเณรในท่ามกลาง บริษทั เหล่านัน้ โดยนัยเป็นต้นว่า การที่ได้เห็นอสีติมหาสาวก มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นต้น ก็ เพราะอาศยั สามเณร แม้พระองค์เสด็จมาน้ี ก็เพราะอาศัยสามเณร มนุษย์ท้ังหลายได้ยินดังนั้น ท่ีโกรธอยู่ก็มีความยินดี ที่ยินดีแล้วก็ยินดีย่ิงข้ึน ในเวลาจบ อนุโมทนา ชนเปน็ อันมากไดบ้ รรลุอริยผล มีโสดาปัตติผลเป็นตน้ นโิ ครธกปั ปะ,พระ พระนิโครธกัปปเถระ ปรากฏในนิกขันตสูตร วังคีสสังยุต๕๘๐ และอรติสูตร๕๘๑ และเปสลา ติมัญญนาสูตร ความคล้ายกันคือ ระบุว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระวังคีสะ และท่านพานักอยู่ที่อัคคาฬว เจดีย์ เขตเมืองอาฬวี ในวังคสี สูตรระบุว่า ทา่ นปรนิ พิ พานทีอ่ ัคคาฬวเจดยี ์๕๘๒ ชาติกาเนิดเดิมเป็นพราหมณ์ นามเดิมคือ กัปปะ เรียกต่อมาว่า นิโครธกัปปะ เพราะเหตุว่าท่านอาศัยอยู่ที่โคนต้นไทร๕๘๓ ขณะที่อรรถ กถาขุททกนกิ าย ระบุวา่ ทเ่ี รยี กอยา่ งนน้ั เพราะท่านบรรลุพระอรหันตท์ ่ีโคนต้นนิโครธ๕๘๔ ในอรรถกถาระบุว่า วังคีสะประสงค์จะเรียนมนต์จากพระพุทธเจ้า แต่เมื่อทรงวางเง่ือนไขว่า จะไม่ทรงประทานมนต์ให้แก่ผู้ท่ีไม่ได้บวช วังคีสะจึงเรียกลูกศิษย์มาสั่งว่า พระสมณโคดมรู้ศิลปะมากมาย ตนจักบวชในสานกั ของพระสมณโคดมเพื่อเรียนศิลปะท้ังหลาย แต่น้ันจักไม่มีใครรู้ศิลปะมากกว่าตน พวก ท่านอย่าเป็นห่วง จงอยู่กันจนกว่าตนจะกลับมา ดังน้ีก็ส่งลูกศิษย์ไป ส่วนตนเองก็เข้าไปขออุปสมบทใน สานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งน้ัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมอบหมายให้พระนิโครธกัปปะเป็น อปุ ชั ฌายอ์ ุปสมบทให้๕๘๕ นมิ ิ, พระราชา พระเจ้านิมิเป็นพระราชาองค์สุดท้ายแห่งราชบรรพชิตนั้น เป็นผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา เป็นมหาราชผู้ต้ังม่ันในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณ์ และคหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท ๕๘๐ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๐๙/๓๐๓. ๕๘๑ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๑๐/๓๐๔. ๕๘๒ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๓๔๕/๕๘๐. ๕๘๓ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๐๕. ๕๘๔ ขุ.สุ.อ.(ไทย) ๑/๖/๓๑๔. ๕๘๕ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๕๑.
๑๗๔ และทรงรักษาอุโบสถทุกวัน ๑๔ ค่า ๑๕ ค่า และวัน ๘ ค่าแห่งปักษ์๕๘๖ ซ่ึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงใน อดีต และสืบเชือ้ สายของพระเจ้ามฆะเทวะตอ่ มา ๘๔,๐๐๐ พระองค์ โดยทง้ั หมดไดป้ ลงพระเกศาและพระ มสั สุ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์เสด็จออกบวชเปน็ บรรพชติ ตามคัมภีร์ระบุว่า พระเจ้านิมิ ทรงเป็นกษัตริย์ครองเมืองวิเทหะ ทรงเป็นกษัตริย์ท่ีได้รับเชิญ จากท้าวสักกะให้เสด็จไปเยี่ยมชมนรก-สวรรค์ โดยมีมาตลีเทพบุตร ทาหน้าที่เทียมม้าอาชาไนย ๑,๐๐๐ ตัว เบื้องต้นมาตลีเทพบุตรได้แสดงมหานรก ๑๕ ขุม ด้วยอานุภาพของตน จากน้ันจึงนาเสด็จข้ึนไปยัง เทวโลก ทรงได้รับการเช้ือเชิญจากท้าวสักกะให้พระองค์ทรงอภิรมย์อยู่ในหมู่เทพท้ังหลาย แต่ทรงปฏิเสธ เพราะมคี วามประสงคจ์ ะประพฤตธิ รรม พระเจ้านิมิ คร้ันต่อมา เม่ือพระเกศาหงอกปรากฏบนพระเศียร ก็ทรงสละราชสมบัติให้พระ ราชโอรสองค์ใหญ่ ทรงสัง่ สอนให้พระราชโอรสยึดม่ันในแนวทางท่ีพระองค์ และบุรพมหากษัตริย์พระองค์ ก่อนๆ ไดน้ าเนนิ มาแลว้ ส่วนพระองคก์ ็ออกผนวช บาเพ็ญพรหมจรรย์ สวรรคตแลว้ ก็เข้าถึงพรหมโลก๕๘๗ นลิ ยี ะ, นายพราน นายพรานช่ือนิลียะ ปรากฏในมาตุโปสกคิชฌชาดก เป็นชาดกพรรณนาถึงพญาแร้งโพธิสัตว์ เลีย้ งมารดา๕๘๘ ความในอรรถกถา มีเนื้อความสรุปพอสังเขปว่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาแร้ง อาศัยอยู่ท่ี ถา้ คชิ ฌกฏู เลี้ยงดพู ่อแมผ่ แู้ กเ่ ฒา่ ตาเสื่อม ต่อมาได้ติดบ่วง ไม่ได้นึกถึงตนเอง นึกถึงแต่พ่อแม่ตาบอดว่าจัก อยู่อย่างไรถ้าไม่มีตนเอง นายพรานนิลียะเห็นพญาแร้งโพธิสัตว์โอดครวญเพ่ือพ่อแม่ของตนอยู่เช่นน้ัน ก็ เกิดความรกั จงึ ไดป้ ลอ่ ยพญาแร้งไป๕๘๙ นลี วาสี,พระ พระนีลวาสี เป็นหนงึ่ ในพระมหาเถระที่อาศัยอยู่ในกกุ กุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร ในพระบาลี ระบุชื่อหลายรูป ประกอบด้วย พระนีลวาสี พระสาณวาสี พระโคปกะ พระภคุ และพระผลิกสันทานะ เนอื้ หาพรรณนาถึงภกิ ษุ ๓ รูป จาพรรษาอยู่ในเมืองราชคฤห์ เมอื่ ถึงคราวรับกฐิน เกิดปัญหาข้อสงสัยว่าจะ ปฏิบัติอย่างไร จึงได้เดินทางไปถามพระเถระท่ีอาศัยอยู่ในเมืองปาตลีบุตรเหล่านั้น พระเถระเหล่านั้น วินิจฉัยโดยอาศัยแนวพระพุทธวินิจฉัย กล่าวคือ แม้จะถวายเป็นการสงฆ์ แต่จีวรน้ันก็เป็นของพวกเธอ เพยี ง ๓ รปู เทา่ นน้ั ๕๙๐ วรรค ป บ บณั ฑิต, สามเณร ๕๘๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๑๒/๓๗๗. ๕๘๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๑๕/๓๘๑. ๕๘๘ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๒๒/๒๕๘. ๕๘๙ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๒๓๙. ๕๙๐ ว.ิ มหา.(ไทย) ๕/๓๖๓/๒๓๖.
๑๗๕ บัณฑิตสามเณรปรากฏช่ือในขุททกนิกาย ธรรมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปรารภพระคาถา ว่า “คนไขน้า ย่อมไขน้า ช่างศร ย่อมดัดลูกศร ช่างไม้ ย่อมถากไม้ บัณฑิตย่อมฝึกตน” อรรถกถามี รายละเอียดสรปุ ได้ดังน้ี๕๙๑ สามเณรบัณฑิต เกิดในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตร มารดาของท่านแพ้ทองอยากจะ ถวายอาหารแด่พระสารีบุตรพร้อมท้ังพระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป เม่ือได้กระทาตามนั้นแล้วอาการแพ้ ท้องก็หายไป เมื่ออายุ ๗ ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมีพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชา แล้วได้ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตร ระหว่างทางเห็นคนชักน้าจากเหมืองเกิดสงสัย จึงถามว่า \"น้ามีจิตใจ หรือไม\"่ พระเถระตอบว่า \"น้าไม่มีจิตใจ\" สามเณรเกิดความคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้าซ่ึงไม่มีจิตใจไปสู่ท่ี ท่ตี นเองตอ้ งการได้ แต่เหตใุ ดจึงไม่สามารถบังคบั จิตใหอ้ ยใู่ นอานาจได้ สามเณรเดินต่อไปได้เห็นคนกาลังถากไม้ทาเกวียนอยู่ จึงถามว่า \"ไม้น้ันมีจิตใจหรือไม่\" เมื่อ พระเถระตอบว่า \"ไม้ไม่มีจิตใจ\" สามเณรก็เกิดความคิดอีกว่า คนสามารถนาเอาท่อนไม้ท่ีไม่มีจิตใจมาทา เป็นลอ้ ได้ แตท่ าไมไม่สามารถบงั คับจิตใจได้ เดินต่อไปได้เห็นคนกาลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรง จึงถามว่า \"ลูกศรน้ันมีจิตใจหรือไม่\" เม่ือพระเถระตอบว่า \"ลูกศรไม่มีจิตใจ\" สามเณรก็เกิดความคิดต่อไปอีกว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้ แต่ไม่สามารถบังคบั จิตใหอ้ ยู่ในอานาจได้ ทันใดน้ัน สามเณรได้เกิดความคิดท่ีจะปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ขอให้พระเถระนาอาหารมาฝาก ตนด้วย พระเถระไดร้ ับปากและมอบลูกดาลให้พร้อมกับสั่งให้ไปปฏิบัติธรรมในห้องของท่าน สามเณรก็ได้ ทาตามทุกอย่างและก็เรม่ิ บาเพญ็ สมณธรรม เมื่อสามเณรบัณฑิตเริ่มบาเพ็ญสมณธรรม ท้าวสักกะตรัสเรียกท้าวมหาราชท้ัง ๔ ให้ห้ามพระ อาทิตย์ไม่ใหห้ มุน สว่ นพระองค์ได้อารักขาท่ีสายยูเพ่ือไม่ให้เกิดเสียงดัง ระหว่างท่ีสามเณรนั่งบาเพ็ญเพียร อยนู่ ั้น ภายในวดั จึงมีแตค่ วามสงบ จติ ของทา่ นจงึ มอี ารมณ์แนว่ แน่และไดบ้ รรลอุ นาคามผิ ล ฝ่ายพระสารีบุตรเมื่อบิณฑบาตได้อาหารแล้ว ก็หวังจะนาอาหารไปให้สามเณร พระพุทธเจ้า ทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยพระญาณ จึงดาริว่าหากพระองค์ไม่เสด็จไปอารักขา สามเณรบัณฑิตจะ ไมส่ ามารถบรรลพุ ระอรหันต์ได้ จึงเสด็จไปอารักขาท่ีซุ้มประตูวัด เม่ือพระสารีบุตรมาถึงตรัสถามปัญหา ๔ ข้อระหว่างท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถามปัญหากับพระสารีบุตรนั้น สามเณรได้บาเพ็ญสมณธรรม และได้บรรลุ พระอรหตั ผล จากนน้ั จึงตรสั ส่ังให้พระสารบี ตุ รนาอาหารไปใหส้ ามเณร เม่ือสามเณรฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ และนาบาตรไปลา้ ง บรรดาเทพยดาทง้ั หลาย จงึ หยุดการอารกั ขา พระอาทิตย์ ได้เคล่ือนไปเปน็ เวลาบา่ ย ภิกษุท้ังหลายโพนทะนาว่า เวลาล่วงเลยไปบ่ายโมงกว่าแล้ว, ดวงอาทิตย์ก็เพ่ิงเคลื่อนไปบ่าย คล้อย, ขณะท่ีสามเณรฉันเสร็จเด๋ียวนี้เอง, น่ีเรื่องอะไรกันหนอ? พระศาสดาทรงทราบความเป็นไปนั้น แล้วเสด็จมา ตรสั ถามว่าพูดอะไรกนั ภิกษุท้ังหลายได้กราบทูลตามความเป็นจริง พระศาสดาตรัสเสริมว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เวลาคนมีบุญทาสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์ร้ังไว้, สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้ง ไว้, ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถืออารักขาท้ัง ๔ ทิศในป่าใกล้วิหาร, ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาท่ีสายยู , ถึงเราผู้มีความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า ‘เป็นพระพุทธเจ้า’ ก็ไม่ได้เพ่ือจะน่ังอยู่ได้ ยังได้ไปยึด ๕๙๑ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๑๘.
๑๗๖ อารกั ขาเพือ่ บตุ รของเรา ที่ซุ้มประตู จากน้ันจึงได้ตรัสกับภิกษุท้ังหลายเหล่าน้ันว่า พวกบัณฑิตเห็นคนไข น้ากาลังไขน้าไปจากเหมือง ช่างศรกาลังดัดลูกศรให้ตรง และช่างถากกาลังถากไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่าน้ัน ใหเ้ ปน็ อารมณ์ทรมานตนแล้ว ย่อมยดึ เอาพระอรหตั ไว้ได้ทเี ดียว ป ปกธุ กจั จายนะ,ครู ปกุธกัจจายนะ เป็น ๑ ในเจ้าลัทธิท้ัง ๖ สมัยพุทธกาล (ประกอบด้วย ปูรณกัสสปะ, มักขลิโค สาล, อชิตเกสกมั พล, ปกุธกัจจายนะ, สัญชัยเวลัฏฐบุตร, และนิครนถ์นาฏบุตร) ลัทธินี้มีทัศนะว่า สภาวะ ๗ กอง ได้แก่ ธาตุดิน น้า ไฟ ลม สุข ทุกข์ ชีวะ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้บันดาล ไม่มีผู้เนรมิต ไม่มีผู้ให้เนรมิต ยั่งยืน มั่นคงดุจยอดเขา ดุจเสาระเนียด ไม่หวั่นไหว ไม่ผันแปร ไม่กระทบกระทั่งกัน ไม่ก่อให้เกิดสุขหรือ ทุกข์ หรือท้งั สุขและทุกข์แก่กนั ในสภาวะ ๗ กองนี้ ไม่มีผู้ฆ่า ไม่มีผู้ใช้ให้คนอื่นฆ่า ไม่มีผู้ฟัง ไม่มีผู้ใช้ให้คน อ่ืนฟัง ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้ทาให้คนอ่ืนรู้ ใครก็ตามเอาศัสตราคมตัดศีรษะใคร ก็ไม่ชื่อว่าปลงชีวิตใครได้ เพราะ เป็นเพียงศัสตราแทรกผ่านไปในระหว่างสภาวะ ๗ กองเท่านั้น๕๙๒ ทัศนะดังกล่าวน้ีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นัตถิกวาท หมายถึงลทั ธิท่ีถือว่าไมม่ ีเหตุ ไม่มีปัจจัย อน่ึง คาว่า ปกุธะ เป็นชื่อตัว ส่วนคาว่า กัจจายนะ เป็นชื่อโคตร เรียกรวมทั้งชื่อตัวและโคตร ว่า ปกุธกัจจายนะ๕๙๓ ในอรรถกถามัชฌนิกาย มูลปัณณาสก์ให้รายละเอียดเพ่ิมเติมอีกว่า ปกุธกัจจายนะ เปน็ เจา้ ลัทธิหา้ มน้าเย็น แม้จะถา่ ยอจุ จาระกไ็ มใ่ ช้น้า ได้น้าร้อนหรือนา้ ข้าวจงึ ใช้ เขาเดินผา่ นแม่น้า หรือน้า ในทางกค็ ดิ ว่า เราศีลขาดแลว้ กอ่ ทรายทาเปน็ สถูปอธษิ ฐานศลี เดนิ ตอ่ ไป๕๙๔ ปฏาจารา,ภิกษุณี นางปฏาจารา เป็นหญิงผู้มีบุญอันกระทาไว้แล้วแทบบาทพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ปรารถนาตาแหน่งเอตทัคคะ บาเพ็ญกุศลให้ยิ่งยวด แม้ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ นางก็ ได้สร้างบริเวณถวายภิกษุสงฆ์ บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ภพสุดท้ายนางบังเกิดใน ตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์มากในกรุงสาวัตถี เมื่อเข้าสู่วัยสาว เกิดหลงรักบุรุษชาวบ้านนอกคนหน่ึง คัมภีร์ อรรถกถาระบุว่า นางได้แอบลักลอบได้เสียกับลูกจ้างในบ้าน ต่อมาเกรงความผิด จึงได้พากันหนีออกจาก บา้ นไปอยกู่ ินกับบรุ ษุ ผนู้ ั้น๕๙๕ กระท่ังมบี ตุ รดว้ ยกนั ๒ คน อรรถกถาธรรมบทระบุว่า นางเป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ ในกรุงสาวัตถี นางเป็น หญิงมีรูปงาม เมื่อนางมีอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดาต้องการรักษา และป้องกัน จึงให้อยู่บนปราสาท ๗ ชั้น ถึงกระน้ัน นางก็ได้สมคบกับคนรับใช้คนหน่ึง เมื่อบิดามารดายกนางให้กับชายหนุ่มผู้มีชาติเสมอกัน นาง จงึ ได้หนีออกจากบ้านไปอาศยั อยู่ที่หมู่บ้านแห่งหน่ึง ดารงชวี ติ ตามยถากรรม๕๙๖ ตอนนางตั้งครรภ์ นางมีความประสงค์จะไปเยย่ี มบิดามารดา ได้ออกจากเรือนไปโดยไม่ได้บอก สามี ภายหลังสามีได้ออกติดตามทันระหว่างทาง ซง่ึ เป็นช่วงจงั หวะทน่ี างเกิดเจบ็ ครรภ์ใกลค้ ลอด ผนวกกับ ๕๙๒ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๗๔/๕๘. ๕๙๓ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑๕๔/๑๓๒. ๕๙๔ ม.ม.ู อ.(ไทย) ๑/๒/๕๖๙. ๕๙๕ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๔. ๕๙๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๔๘๙.
๑๗๗ ฝนก็ตกอย่างนัก สามีของนางไปแสวงหาเคร่ืองกาบังกายให้ก็ถูกงูกัดตาย นางประสบทุกขเวทนาเพราะ การคลอด หมดท่ีพ่ึง เดินทางกลับบ้านเพียงลาพัง ระหว่างทางพบแม่น้ามีน้าหลาก จึงอุ้มลูกข้ามไปไว้อีก ฝัง่ ให้คนเล็กดื่มนมจนอิ่มแล้วข้ามกลับไปเพ่ือนาลูกอีกคน เย่ียวตัวหนึ่งโฉบลูกคนเล็ก ขณะที่ลูกคนโตถูก กระแสน้าพัดจมหายไป นางได้ประสบความโศกเศร้าเหลือประมาณ จึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองสาวัตถี ต่อมากท็ ราบขา่ วอกี ว่า บดิ ามารดา ตลอดคนในเรือนทั้งหมดประสบอัคคีภัย ถูกไฟคลอกตายหมดทั้งบ้าน ประสบความทกุ ขอ์ ยา่ งใหญห่ ลวง ไมอ่ าจดารงสติไว้ได้ เดนิ บ่นเพ้อไปกระทัง่ ไดพ้ บพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ทรงให้นางกลับสติด้วยพุทธานุภาพ ทรงแสดงพระคาถาโปรดมีนัยเป็นต้น ว่า บุตรไม่มีเพ่ือการต้านทาน แม้บิดาและพวกพ้องก็ไม่มีเพ่ือการต้านทาน เม่ือหมู่สัตว์ถูกมัจจุครอบงา ย่อมไมม่ ีการตา้ นทานในหมู่ญาติท้งั หลาย จบพระคาถา นางได้บรรลุโสดาบนั และทูลขออุปสมบท พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ทรงมอบหมายให้บวชในสานักภิกษุณี คร้ันบวชแล้วไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ เรียนพุทธ วจนะ เปน็ ผชู้ า่ ชองในพระวินัยปฎิ ก อรรถกถาธรรมบทระบุการบรรลุธรรมของนางไว้ว่า วันหนึ่ง นางกาลังเอาหม้อตักน้าล้างเท้า เทนา้ ลง นา้ นัน้ ไหลไปหน่อยหน่งึ แล้วกข็ าด ครั้งที่ ๒ น้าที่นางเทลงได้ไหลไปไกลกว่าน้ัน คร้ังที่ ๓ ท่ีนางเท ลง ได้ไปไกลกว่าน้ันอีก ด้วยอาการอย่างนี้ นางถือเอาน้าเป็นอารมณ์ กาหนดวัยทั้ง ๓ ว่า สัตว์บางเหล่า ตายในปฐมยามกม็ ี เหมอื นน้าเทครั้งแรก มัชฌิมยามก็มี เหมือนน้าเทครั้งท่ี ๒ ปัจฉิมยามก็มี เหมือนน้าเท คร้งั ที่ ๓ พระพทุ ธเจ้าประทับในพระคันธกุฎี ทราบอัธยาศัยนาง จึงได้แผ่พระรัศมปี รากฏต่อหน้านางแสดง พระธรรมเทศนาตามสมควรแก่อุปนิสัยนัน้ ๕๙๗ นางปฏาจาราไดร้ บั การยกย่องจากพระพุทธเจา้ วา่ เลศิ กว่าภกิ ษณุ ีท้ังหลายผู้ทรงวินยั ๕๙๘ อนึ่ง นางปฎาจารา เป็นชื่อท่ีปรากฏภายหลงั เมอ่ื นางเสียสติจากการสญู เสียบุคคลผูเ้ ปน็ ที่รกั นบั ต้งั แตส่ ามี ลกู ชาย บิดา มารดา เป็นต้น นางเดนิ แกผ้ ้า แม้มีคนเอาเส้ือผา้ มาให้ นางก็ฉกี ทิ้ง แมม้ ผี คู้ น ห้อมลอ้ มนางในท่พี บเหน็ นางก็ไม่มีความละอาย คนทั้งหลายจึงขนานนามวา่ ปฏาจารา มคี วามหมายวา่ มอี าจาระอันตกไปแลว้ ๕๙๙ ปภาวดี,พระนาง พระนางปภาวดี เปน็ พระมารดาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค ระบุไว้แต่เพียงว่า พระนางเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอรุณะ ครองราชย์สมบัติอยู่ในเมืองอรุณวดี๖๐๐ รายละเอยี ดนอกจากน้ี ไม่ปรากฏ ปเจตนะ, พระราชา พระเจ้าปเจตนะ ปรากฏพระนามในปเจตนสูตร๖๐๑ พระผู้มีพระภาคยกเร่ืองพระองค์มาเป็น อุทาหรณต์ รัสสอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความพรรณนาโดยสังเขปว่า พระเจ้าปเจตนะ มีพระประสงค์ให้ทารถศึก เพ่อื ใช้ในการรบ ทรงมเี วลา ๖ เดือน จึงได้ไปปรึกษาชา่ ง พร้อมทง้ั แจง้ พระประสงคใ์ ห้ทราบ ๕๙๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๔๙๗. ๕๙๘ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๓๘/๓๐. ๕๙๙ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๗. ๖๐๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๖๐๑ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๒๐/๑๕/๑๕๖.
๑๗๘ นายช่างใช้เวลา ๕ เดือน ๒๔ วัน ทาล้อได้เพียงข้างเดียว พระราชาทราบข่าวก็ร้อนพระทัย เพราะเหลือ ๖ วนั เท่านน้ั ก็จะทรงออกศกึ จงึ ไดเ้ ร่งนายช่างทาล้ออีกข้างให้เสร็จ นางช่างก็ได้รับสนองพระ ราชโองการกระท่งั แลว้ เสรจ็ ภายใน ๖ วัน แล้วนาไปถวายพระเจา้ ปเจตนะ พระเจ้าปเจตนะทอดพระเนตรเห็นล้อก็ทรงประหลาดพระทัย ด้วยไม่สามารถแยกออกได้ว่า ระหว่างลอ้ ท่ใี ช้ระยะเวลา ๕ เดือน ๒๔ วัน กับล้อท่ีใช้ระยะเวลาทาเพียง ๖ วัน ต่างกันอย่างไร จึงได้ตรัส ถามนายช่างถึงความแตกต่างของล้อคู่ดังกล่าว เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง นายช่างได้ทดสอบ เพ่ือทอดพระเนตร ด้วยการหมุนล้อท่ีสร้างเสร็จภายใน ๖ วัน ล้อน้ันเม่ือนายช่างหมุนก็หมุนไปได้เท่าท่ี กาลงั นายชา่ งหมนุ สุดกาลังก็เวียนล้มลงท่ีพื้นดิน ส่วนล้อที่ใช้เวลา ๕ เดือน ๒๔ วัน เมื่อนายช่างออกแรง หมุน ก็หมนุ ไปตามปกติ เม่ือสดุ กาลงั ทห่ี มนุ ก็ตั้งอย่ไู ด้ไมล่ ้มลงเหมือนตงั้ อยู่ในเพลา “ขอเดชะ กง กา และดุมของลอ้ ขา้ งที่ทาสาเร็จโดยใช้เวลา ๕ เดือน ๒๔ วัน ไม่คด ไม่มีปุ่มปม ไม่มีแก่นและกระพี้ที่มียาง เพราะกง กา และดุม ไม่คด ไม่มีปุ่มปม ไม่มีแก่นและกระพี้ที่มียาง ล้อนั้นเมื่อ ข้าพระองค์หมนุ จึงหมนุ ไปไดเ้ ท่าท่ขี ้าพระองค์หมนุ แล้วตัง้ อยู่ไดเ้ หมือนอยใู่ นเพลา” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรุปพระภิกษุหรือภิกษุณีผู้ละความคดของกาย โทษของกาย และ ละมลทินของกาย ละความคดของวาจา โทษของวาจา และมลทินของวาจา ละความคดของใจ และละ มลทนิ ของใจ ชอ่ื วา่ ดารงมั่นอยใู่ นธรรมวนิ ยั นี้ เหมือนล้อขา้ งทส่ี าเรจ็ โดยใช้เวลา ๕ เดอื น ๒๔ วัน จากน้ันก็ ทรงส่ังสอนให้ภกิ ษุท้งั หลายละความคด โทษ และมลทินของกาย วาจา และใจ ปติปูชกิ า, นาง นางปติปูชิกา พบในปติปูชิกาวัตถุ ขุททกนิกาย ธรรมบท๖๐๒ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภ พระคาถาวา่ “มฤตยูยอ่ มทาคนทมี่ ีจติ ใจตดิ ขอ้ งอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ผู้มัวแต่เลือกเก็บดอกไม้อยู่ ผู้ไม่อ่ิมใน กามท้ังหลายใหต้ กอยู่ในอานาจ” ความในอรรถกถา มพี รรณนารายละเอยี ดเพิม่ เตมิ ดังนี้ มาลาภารีเทพบุตร ในสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยนางอัปสรพันหน่ึง เข้าไปสู่สวน. เทพธดิ า ๕๐๐ ขนึ้ ไปบนต้นไมแ้ ล้วเขย่าให้ดอกรว่ ง ส่วนเทพธิดา ๕๐๐ พากันเก็บเอาดอกไม้ที่ตกแล้ว แล้ว ประดับเทพบุตร ขณะน้ันเทพธิดาองค์หน่ึง จุติบนกิ่งไม้นั่นแล. สรีระดับไป ดุจเปลวประทีป นางถือ ปฏิสนธใิ นตระกลู หน่งึ ในกรงุ สาวตั ถี จาเดมิ แตเ่ กดิ มา นางระลึกชาตไิ ด้ว่า \"เราเป็นภริยาของมาลาภารีเทพบุตร\" มีปรารถนาท่ีจะ ไดเ้ กดิ เฉพาะในสานักสามี แมเ้ มอื่ ถึงวัยอันควร ได้แต่งงานมีสามีแล้วก็ตาม แต่เวลาถวายสลากภัต ปักขิก ภัต และวัสสาวาสิกภัต เป็นต้นแล้ว ก็ยังกล่าวว่า \"ขอส่วนบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ได้บังเกิดในสานักสามี\" กระทงั่ กลายเปน็ ท่ีเล่าขานของภกิ ษุทั้งหลายว่า หญิงผนู้ ้ี ปรารถนาแตส่ ามี นางอาศยั อยู่บนโลกมนษุ ย์กระทั่งมีบุตร ๔ คน ต่อมาได้ถึงแก่กรรมด้วยอาพาธบางอย่าง และ ก็ได้ไปบงั เกิดในสานกั ของมาลาภารีเทพบตุ รตามท่ปี รารภนาทกุ ประการ ซง่ึ เวลานนั้ เทพบุตรและเทพธิดา เหล่าน้ันยังบันเทงิ อยูใ่ นอทุ ยาน เทพบตุ รเหน็ นางเข้าก็แปลกใจจงึ ไดส้ อบถามวา่ หายไปไหนมา นางปติปูชกิ าได้เล่าเรอ่ื งทง้ั หมดให้ฟังตั้งแต่ต้น เทพบุตรได้ฟังเช่นน้ันก็สงสัย จึงได้สอบถามถึง อายุขัยของมนุษย์ เมื่อทราบว่า มนุษย์มีอายุขัยประมาณ ๑๐๐ ปี ก็สอบถามว่า มนุษย์มีอายุน้อยขนาดนี้ ดารงชีวิตอยู่อย่างไรบ้าง นางได้เล่าตามความเป็นจริงว่า มนุษย์แม้จะมีอายุน้อย แต่ก็มัวเมา ประมาท ปล่อยเวลาใหล้ ว่ งไปอย่างเปลา่ ประโยชน์ประหนึง่ ว่าจะไม่ตาย ๖๐๒ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๔๘/๔๒.
๑๗๙ ปธานกัมมกิ ติสสะ,พระ พระปธานกัมมิกติสสะ ปรากฏในคัมภีร์ธรรมบท ขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน โดยทรงยกข้ึนปรารภพระคาถาว่า “คนท่ีไม่ขยันในเวลาท่ีควรขยัน ท้ังท่ียังหนุ่มสาว มีกาลัง แต่กลับเกียจ คร้าน มีความคิดใฝ่ต่า ปราศจากความเพียร เกียรจคร้านมาก ย่อมไม่ประสบทางด้วยปัญญา” ๖๐๓ ความ คมั ภรี ์อรรถกถา๖๐๔ มีรายละเอียดเพิม่ เตมิ ว่า ครงั้ หน่งึ มีชายหนมุ่ ๕๐๐ คน ในกรงุ สาวัตถี ไดร้ ับการอุปสมบทจากพระศาสดา หลังจากท่ีได้ เรยี นพระกมั มฏั ฐานจากพระศาสดาแล้ว ได้เขา้ ป่า มงุ่ หนา้ ปฏบิ ตั ิธรรมจนไดบ้ รรลุเป็นพระอรหันต์ กลับมา ถวายบงั คมพระศาสดา ได้รับการต้อนรับจากพระศาสดา และทรงแสดงความยินดดี ว้ ย ฝ่ายพระปธานกัมมิกติสสเถระ อยากได้รับการต้อนรับ และการชื่นชมจากพระศาสดาบ้าง จึง เร่ิมทาความเพียรอย่างหนัก จงกรมตลอดท้ังคืนยันรุ่ง กระท่ังเป็นลมล้มลง ขาหักคาแผ่นหินที่ใช้จงกรม นั่นเอง พระภิกษุรูปอ่ืนที่เป็นพระอรหันต์ ได้ยินเสียงร้อง ก็พากันเข้ามาช่วยเหลือ ทาให้พลาดโอกาสใน การไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านอุบาสกคนหนึ่ง พระศาสดาทรงทราบเร่ืองเข้า ได้ตรัสว่า ภิกษุนั่น ทา อันตรายลาภของพวกเธอในบัดนี้เท่าน้ันก็หาไม่ แม้ในกาลก่อนเธอก็ทาลายลาภของพวกเธอเหมือนกัน จากนนั้ ทรงนาเรอื่ งวรณุ ชาดมาตรสั ใหฟ้ ัง แลว้ ตรสั วา่ ภกิ ษุท้ังหลาย บุคคลใด ไม่ควรทาความขยัน ในกาล ควรขยัน เป็นผู้มีความดาริอันจมแล้ว เป็นผู้เกียจคร้าน บุคคลนั้น ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษต่าง ๆ มีฌาน เปน็ ตน้ ปธานกิ ติสสะ, พระ พระปธานิกติสสเถระ ได้รับการปรารภข้ึนจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะทรงประทับอยู่ที่ พระเชตวัน ด้วยประสงค์จะตรัสสอนภิกษุท้ังหลายว่า บุคคลพร่าสอนผู้อื่นอย่างไร ก็พึงทาตนอย่างน้ัน ผู้ ฝึกตนดีแล้ว จึงควรฝึกผู้อื่น เพราะตนน่ันแลฝึกได้ยากย่ิง๖๐๕ ในคัมภีร์อรรถกถา๖๐๖ มีพรรณนาเน้ือความ สงั เขปดังน้ี พระปธานิกติสสเถระน้ันเรียนพระกัมมัฏฐานในสานักของพระศาสดาแล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปไปจาพรรษาในป่า กล่าวสอนว่า พวกท่านเรียนพระกัมมัฏฐานในสานักของพระพุทธเจ้าผู้ทรง พระชนมอ์ ยู่ จงเปน็ ผูไ้ ม่ประมาท ทาสมณธรรมเถิด ดงั นแี้ ลว้ สว่ นตนเองก็หลบไปนอน เหล่าภิกษุท้ังหลายจงกรมในปฐมยามแล้ว เข้าไปสู่วิหารในมัชฌิมยาม พระเถระนั้นนอนอิ่ม แล้ว ได้ไปสานักของภิกษุเหล่านั้น แล้วก็ตาหนิว่า จะพากันมาหลับมานอนหรือ จากนั้นก็ไล่ให้ภิกษุ เหล่าน้ันออกไปบาเพ็ญสมณธรรม ส่วนตนเองกห็ ลบไปพักผ่อนอกี ภิกษุเหล่าน้ันก็ออกไปเดินจงกรมกระท่ังมัชฌิมยามผ่านไป คร้ันถึงปัจฉิมยามก็เข้าไปสู่วิหาร เพ่ือพักผ่อน แต่พักผ่อนได้สักพักหน่ึง ก็ถูกพระปธานิกติสสเถระมาปลุกให้ออกไปบาเพ็ญสมณธรรมอีก เป็นอยู่อย่างน้ี ไม่เป็นอันหลับอันนอน และไม่เป็นอันปฏิบัติสมณธรรม ได้รับความลาบาก ไม่สามารถยัง คุณวเิ ศษใด ๆ ใหเ้ กิดข้นึ ได้ ๖๐๓ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๐๘/๑๑๙. ๖๐๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๓๗๖. ๖๐๕ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๙/๘๒. ๖๐๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๓๓.
๑๘๐ วันหนงึ่ ได้ปรึกษา และวางแผนดูพฤติกรรมของอาจารย์ เพราะมีความสงสัยว่า ทาไมอาจารย์ ถึงมคี วามขยนั หมัน่ เพียรถึงเพยี งน้ี ครั้นเห็นพฤติกรรมของอาจารย์แล้วก็พากันตาหนิ เม่ือออกพรรษาแล้ว ก็พากนั ไปเฝา้ พระศาสดา กราบทลู เร่ืองราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า \"ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุ นี้ได้ทาอันตรายแก่พวกเธอไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่าน้ัน, แม้ในกาลก่อน ภิกษุนั้นก็ได้ทาอันตรายแก่พวกเธอ เหมือนกนั \" จากนนั้ กต็ รสั เรือ่ งไกข่ ันไม่ตรงเวลาใหภ้ ิกษทุ ้งั หลายฟัง ปนาทะ, พระราชา พระเจา้ ปนาทะ ปรากฏในภัททชิเถรคาถา ขุททกนิกาย เถรคาถา๖๐๗ พรรณนาถึงพระภัททชิ เถระสรรเสริญปราสาททองที่ตนเคยครอบครองในอดีตชาติว่า พระราชาทรงพระนามว่าปนาทะ มี ประสาททองกว้างและสูงประมาณ ๑๖ โยชน์ ชนท้ังหลายกล่าวว่าสูงประมาณ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีช้ันพัน ช้ัน ร้อยยอด สะพรั่งไปด้วยธง พราวไปด้วยแก้วสีเขียว ในปราสาทนั้นมีนักฟ้อนหกพัน แบ่งเป็น ๗ กลุ่ม พากันฟอ้ นราอยู่ ในอรรถกถาขยายความเพ่ิมเติมดงั น้ี พระราชาพระองค์นี้มีพระชนม์อยู่ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ บางครั้งก็ เรียกว่าพระเจ้ามหาปนาทะ เพราะมีพระราชานุภาพมาก และเพราะเป็นผู้ประกอบด้วยกิตติศัพท์อัน เกรยี งไกร๖๐๘ ปเสนทิโกศล,พระราชา พระเจา้ ปเสนทิโกศล เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามหาโกศลแห่งเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มี พระภคินีนามว่า เวเทหิ ซ่ึงต่อมาได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เม่ือ เจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลา กับเจ้าชายผู้เป็นพระสหายอีก ๒ พระองค์ คือ เจ้าชายมหาลิ เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี และเจ้าชายพันธุละ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ เมื่อศึกษาศิลปวิทยาสาเร็จแล้วก็ เสด็จกลบั มา และได้แสดงศิลปวิทยาให้พระประยูรญาติได้ชมกันท่ัวหน้า พระเจ้ามหาโกศลผู้เป็นพระราช บิดาจึงมอบราชบัลลงั กใ์ หใ้ นเวลาตอ่ มา พระเจ้าปเสนทิโกศลเดิมนับถือนิครนถ์ และเช่ือถือในการบูชายัญของพราหมณ์ ต่อมาเกิด กรณีพระสุบินนิมิตร้าย ทาให้พระองค์สั่งเตรียมฆ่าสัตว์อย่างละ ๗๐๐ ตัวบูชายัญ เพ่ือแก้เหตุตาม คาแนะนาของพราหมณ์ปโุ รหติ ท้งั หลาย พระนางมัลลกิ าได้อาศัยเหตุดังกล่าวน้ี ทรงใช้อุบายทาให้พระเจ้า ปเสนทิโกศลได้พบพระพุทธเจ้า และเป็นจุดเปล่ียนทาให้พระองค์ทรงหันมานับถือพระรัตนตรัย และ กลายเปน็ กาลังสาคัญของพระพุทธศาสนาต้ังแตบ่ ดั นน้ั เปน็ ต้นมา บทบาทของพระเจ้าปเสนทิโกศลต่อพระพุทธศาสนา พบอยู่โดยทั่วไปในคัมภีร์พระไตรปิฎก ประมวลมาพอเปน็ ตัวอย่างดังน้ี ๑. ดา้ นการบัญญัติพระวนิ ัย พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงห่วงใยอาจาระของสงฆ์ เมื่อเห็นว่าสิ่ง ใดไม่งาม ก็จะหาโอกาสกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ เพ่ือทรงแก้ไขปัญหา ท้ังโดยตรงและ โดยอ้อม ดังตัวอยา่ ง ๖๐๗ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๑๖๓/๓๕๗. ๖๐๘ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๐๘.
๑๘๑ ๑.๑ ในหสั สธมั มสิกขาบท๖๐๙ ภิกษุสัตตรสวัคคีย์เล่นน้าในแม่น้าอจิรวดี พระเจ้าปเสนทิโกศล ประทับอยู่บนปราสาทกับพระนางมัลลิกาเทวี ไดท้ อดพระเนตรเห็น ทรงเห็นวา่ เป็นกิริยาท่ีไม่งาม เห็นควร กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ เมื่อภิกษุเหล่านั้นขึ้นจากน้าแล้ว รับสั่งให้นิมนต์มา แล้วถวาย น้าอ้อยฝากนาไปทูลถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทาให้ทรงทราบเร่ืองราวท้ังหมด และได้ทรงยกเรื่องนี้ข้ึน เปน็ เหตุ บญั ญตั ิสิกขาบทว่า ภิกษตุ อ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะเลน่ น้า๖๑๐ ๑.๒ พระอานนท์ได้รับมอบหมายจากพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ไปสอนธรรมในพระตาหนัก วัน หน่งึ พระเจา้ ปเสนทิโกศลประทับอยู่ในห้องบรรทมกับพระนางมัลลิกาเทวี พระนางทอดพระเนตรเห็นแต่ ไกล จึงรีบลุกข้ึน พระภูษาท่ีทรงเล่ือนหลุด พระอานนท์เห็นก็หันหลังกลับ ไปถึงอารามแล้วแจ้งเรื่อง ท้ังหมดให้ภิกษุท้ังหลายทราบ ทาให้ภิกษุท้ังหลายตาหนิพระอานนท์และนาเรื่องไปกราบทูลให้พระผู้มี พระภาคเจา้ ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคยกเรอื่ งนเี้ ป็นเหตุ ตรัสตาหนิพระอานนท์ พร้อมกับทรงแสดงโทษของการเข้า เขตพระราชฐานชั้นใน จากนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้เข้าไปยังเขตพระ ตาหนักทีบ่ รรทมของพระราชาโดยไม่ไดแ้ จ้งให้ทรงทราบล่วงหน้า๖๑๑ ๑.๓ ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ พระชายาของเจ้าลิจฉวีประพฤตินอกใจสามี ต่อมาเจ้าลิจฉวี ท่านน้ันได้ขออานาจในท่ีประชุมเพื่อจัดการลงโทษกับนาง ฝ่ายพระชายาน้ันทราบเร่ืองก็เก็บข้าวของมีค่า หนีไปเมืองสาวัตถี และได้ไปขอบวชในสานักของภิกษุณี เจ้าลิจฉวีตามสืบจนรู้ความเป็นไปทั้งหมด จึงได้ นาเร่ืองไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลเพื่อขอพระราชานุญาตจับนางไปดาเนินคดี แต่ไม่ได้รับอนุญาต เพราะทรงเห็นว่า ถ้านางได้บวชแล้ว ใคร ๆ ก็ทาอะไรไม่ได้ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ขอใหน้ างไดป้ ระพฤติพรหมจรรย์เพื่อทาท่ีสดุ แห่งทุกข์เถดิ เจ้าลิจฉวีไม่พอใจ จึงตาหนิ ประณาม โพนทะนาว่า ทาไมพวกภิกษุณีจึงบวชให้สตรีผู้เป็นโจร ภิกษุณีท้ังหลายได้ยินก็นาเร่ืองไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ยกเร่ืองนี้ เป็นเหตุ ทรงบัญญัติห้ามภิกษุณีบวชให้แก่สตรีผู้เป็นโจร ซ่ึงเป็นท่ีรู้กันว่าต้องโทษประหาร เว้นแต่สตรีท่ี สมควร๖๑๒ ๑.๔ ในปตั ตวรรค สิกขาบทท่ี ๑๑ สมัยนั้นเป็นฤดูหนาว ภิกษุณีถุลลนันทา ได้กล่าวธรรมกถา ถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเลื่อมใส จึงตรัสกับภิกษุณีถุลลนันทาว่า “แม่เจ้าปรารถนาสิ่งใดก็โปรดได้ บอกเถดิ ” นางได้ทลู ขอพระราชทานผา้ กัมพล พระเจา้ ปเสนทิโกศลก็ได้พระราชทานผ้ากัมพลผืนที่ทรงนั้น แก่นางภกิ ษุณีถลุ ลนันทา ต่อมานางได้ถูกตาหนิจากชาวบ้านว่าเป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ ภิกษุณีท้ังหลาย ได้ยินก็กล่าวตาหนิ และนาเร่ืองกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคยกเรื่องนี้เป็นเหตุ ได้ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามภิกษุณีขอผ้าห่มหนา และมีราคาเกิน ๑๖ กหาปณะ ถ้าเกินกว่าน้ี ปรับอาบัติ นสิ สัคคยิ ปาจิตตยี ์๖๑๓ ๑.๕ ในปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ สมัยนั้นเป็นฤดูร้อน นางภิกษุณีถุลลนันทา ได้รับพรจาก พระเจ้าปเสนทิโกศลทานองเดียวกัน แต่คร้ังน้ี นางได้ขอพระราชทานเครื่องทรงที่เป็นผ้าเปลือกไม้ และก็ ๖๐๙ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๓๓๕/๔๗๐. ๖๑๐ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๓๓๖/๔๗๑. ๖๑๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๔๙๘/๕๙๐. ๖๑๒ วิ.ภกิ ฺขณุ ี.(ไทย) ๓/๖๘๓/๓๑. ๖๑๓ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณี.(ไทย) ๓/๗๘๔/๑๑๙.
๑๘๒ ได้รับพระราชทาน ครั้งนี้ก็ได้รับการตาหนิ ถูกยกเป็นต้นเหตุของการบัญญัติสิกขาบท ห้ามนางภิกษุณีขอ ผา้ ห่มบางมรี าคาเกนิ ๘ กหาปณะครง่ึ ถ้าเกินกวา่ น้ันต้องอาบตั นิ ิสสคั คิยปาจติ ตยี ์๖๑๔ ๑.๖ ในปฏิสสวทุกกฏาปัตติ ว่าด้วยการต้องอาบัติทุกกฎเพราะรับคา พระอุปนันทศากยบุตร รับคากับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าจะจาพรรษาที่อาวาสแห่งหน่ึง แต่เธอรับคาแล้วไม่ปฏิบัติตาม กลับไปจา พรรษาอีกอาวาสหนึ่ง ทาให้พระเจ้าปเสนทิโกศลตาหนิ และเป็นที่มาของการบัญญัติพระวินัยเรื่องภิกษุ ต้องอาบัตทิ ุกกฎเพราะรบั คาแล้วไม่ปฏิบตั ิตาม๖๑๕ ๒. ทรงศึกษา ปฏิบัติ และอปุ ถัมภบ์ ารงุ พระพุทธศาสนา พระเจ้าปเสนทิโกศล มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้บาเพ็ญพระราชกรณียกิจ หลายประการท่ีเกื้อกูลต่อพระพุทธศาสนา ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ทรงปฏิบัติพระองค์ในฐานะ เป็นพุทธมามกะตลอดพระชนม์ชพี ดงั ตัวอย่างทปี่ รากฏในคมั ภรี ต์ อ่ ไปนี้ ๒.๑ ในพาหิติกสูตร พรรณนาถึงพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงแสดงความเล่ือมใสภาษิตของพระ อานนท์ ถึงกับทรงพระราชทานผ้าทอจากต่างแคว้นเพ่ือเป็นการบูชาธรรม๖๑๖ แม้ในพระวินัยปิฎก ก็พบ เร่ืองราวพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จสนทนาธรรมกับนางภิกษุณีถุลลนันทา๖๑๗ ทรงกราบทูลขอให้พระผู้มี พระภาคเจา้ ส่งพระภกิ ษไุ ปแสดงธรรมท่พี ระราชวงั เปน็ ประจา๖๑๘ ๒.๒ ครั้งหน่ึงทรงยกทัพไปเพื่อจัดการกับองคุลิมาล ซึ่งก่อกวนชาวบ้านให้ได้รับความ เดือดร้อน เข่น ฆ่ามนุษย์แล้วตัดเอานิ้วร้อยเป็นพวงมาลัยสวมไว้ ระหว่างทางทรงแวะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคเจา้ กราบทลู เร่อื งราวขององคุลิมาลให้ทรงทราบ เสมือนประหนึ่งเตือนให้ทรงระมัดระวังในการเสด็จ ตามที่ต่าง ๆ เพราะองคุลิมาลฆ่าคนไม่เลือก แต่เม่ือพระผู้มีพระภาคได้แสดงองคุลิมาล ซึ่งอยู่ในเพศ บรรพชติ สาเร็จกจิ ในพระศาสนาแล้ว กท็ รงอนุโมทนา ไมท่ รงเอาโทษอาญาแผน่ ดินอกี ต่อไป๖๑๙ ๒.๓ ในธรรมเจติยสูตร พรรณนาการเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ที่นิคม ของเจ้าศากยะชื่อเมทฬุปะ แคว้นสักกะ คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า เพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงแสดงความเคารพนบนอบถึงเพียงน้ี ทรงให้เหตุผลว่า เป็นเพราะคล้อยตาม ธรรมทพี่ ระผมู้ ีพระภาคตรสั ไว้ดีแลว้ สงฆส์ าวกของพระองค์ก็ปฏบิ ตั ิดแี ลว้ ๖๒๐ อนึ่ง พระนางมัลลิกา ผู้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้บรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุยัง น้อย มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพระราชสวามี ดังจะเห็นภายหลัง ต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลได้หันมานับถือ ทรงถวายความอุปถัมภ์ ดูแลพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ อย่างดี พระองคเ์ องเสดจ็ เข้าเฝา้ เพือ่ กราบทลู ถามปัญหาธรรมและฟังพระพุทธโอวาทอย่เู สมอ อย่างไรก็ตาม ต่อมาภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการเป็นญาติทางสายโลหิตกับ พระพุทธเจ้า จึงได้ส่งทูตไปของเจ้าหญิงเชื้อสายศากยะมาเป็นพระชายา แต่ถูกพวกเจ้าศากยะหลอก ๖๑๔ วิ.ภิกฺขุณี.(ไทย) ๓/๗๘๙/๑๒๓. ๖๑๕ ว.ิ มหา.(ไทย) ๔/๒๐๖/๓๒๓. ๖๑๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๖๒/๔๔๘. ๖๑๗ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณี. (ไทย) ๓/๗๘๓/๑๑๘. ๖๑๘ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๔๙๕/๕๘๗. ๖๑๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๕๐/๔๒๕. ๖๒๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๕๗/๔๕๒.
๑๘๓ พระราชทานนางวาสภขัตติยาซึ่งเกิดในท้องของนางทาสี๖๒๑ และกลายเป็นปัญหาบาดหมางระหว่าง ประเทศ นาไปสู่สงครามล้างโคตรในหมศู่ ากยะในเวลาตอ่ มา แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลเอง ภายหลังก็ถูกทีฆการายนอามาตย์กับพระเจ้าวิฑูฑภะยึดอานาจ ขณะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เมทฬุปนิคม ดินแดนของพวกศากยะนั่นเอง เม่ือออกจากพระคันธกุฏิ แล้ว จึงทรงบ่ายพระพักตร์ไปกรุงราชคฤห์เพ่ือขอกาลังสนับสนุนจากพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นพระราช นัดดา แต่เน่ืองด้วยทรงพระชราและทรงเหน็ดเหน่ือยในการเดินทาง จึงสิ้นพระชนม์อยู่นอกประตูเมือง ราชคฤห์ในราตรที ่เี สด็จไปถึงนน่ั เอง ปวฏิ ฐะ,พระ พระปวิฏฐะ ปรากฏในช่ือในโกสมั พิสตู ร๖๒๒ ความวา่ สมัยหน่ึงท่านพระปวิฏฐะ กับสหธรรมิก ประกอบด้วยพระมุสิละ พระนารทะ และพระอานนท์ พักอยู่ท่ีโฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ท้ังหมดนั่ง ปจุ ฉา-วิสชั นาธรรมวา่ ด้วยความรู้เก่ียวกบั ปฏิจจสมุปบาท โดยพระปวฏิ ฐะเป็นฝ่ายถาม พระมุสิละเป็นฝ่าย ตอบ จุดประสงค์ของการถามตอบเหมือนต้องการเช็คภูมิธรรม ดังจะเห็นได้จากเม่ือถามไปโดย ลาดับเก่ียวกับการมีความรู้เฉพาะในปฏิจจสมุปบาทแล้ว พระมุสิละก็ยืนยันว่าตนมีความรู้ จากน้ัน พระปวฏิ ฐะก็สรปุ ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านมุสิละก็เป็นพระอรหันตขีณาสพละสิ?” เมื่อพระมุสิละไม่ตอบ ท่าน นารทะกข็ อใหพ้ ระปวฏิ ฐะถามตนบา้ ง จากนั้นพระปวิฏฐะกถ็ ามพระนารทะโดยนัยเดยี วกัน ในคมั ภีรอ์ รรถกถา ไมไ่ ดพ้ รรณนาประวัตใิ ด ๆ อ่ืนนอกเหนือจากน้ี ปาฏลิยะ,ผใู้ หญ่บ้าน ปาฏลิยะ ปรากฏช่ือในปาฏลิยสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๖๒๓ พรรณนาเร่ืองราวเม่ือคร้ังพระผู้มี พระภาคประทับอยทู่ นี่ คิ มของชาวาโกฬิยะ แคว้นโกฬิยะ โดยครั้งนั้นผู้ใหญ่บ้านชื่อปาฏลิยะ ได้เข้าเฝ้าทูล ถามเรอ่ื งทเ่ี คยไดย้ นิ ได้ฟงั มาว่า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ รมู้ ารยา ข้อเทจ็ จริงเป็นประการใด พระผู้มพี ระภาคเจา้ ทรงยืนยันว่า พระองค์รู้จักมารยา ผลของมารยา และข้อปฏิบัติท่ีเป็นเหตุ ให้บุคคลผู้มีมารยาหลังจากตายไปแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก จากนั้นทรงแจกแจง อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ พร้อมท้งั ทิฐิของศาสดาต่าง ๆ ว่ามขี อ้ บกพร่องอยา่ งไร ปาเฐยยะ,ภกิ ษุ ปาเฐยยะ เปน็ ช่อื เมอื ง แต่ใชเ้ รียกภกิ ษกุ ลมุ่ หนึง่ จานวน ๓๐ รูปวา่ ภกิ ษชุ าวเมอื งปาเฐยยะ อนึ่ง ภิกษุกลุ่มนี้เดินทางมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าช่วงก่อนเข้าพรรษา แต่ไม่สามารถเข้าเฝ้า ได้ทัน ด้วยเหลือระยะทางอีก ๖ โยชน์ จึงต้องอธิษฐานอยู่จาพรรษาที่เมืองสาเกต ครั้นออกพรรษาแล้ว จึงพากนั เดนิ ทางมาเฝ้าพระผู้มพี ระภาคเจ้าทงั้ ๆ ท่ีฝนยังตกชุกอยู่ ทาให้เข้าเฝ้าท้ังที่เปียกปอน เพราะไม่มี จวี รผลัดเปลยี่ น ๖๒๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๒๕. ๖๒๒ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๖๘/๑๓๘. ๖๒๓ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๖๕/๔๓๐.
๑๘๔ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงยกเรื่องภิกษุชาวเมืองปาเฐยยะ ๓๐ รูปน้ีเป็นเหตุ บัญญัติให้ภิกษุผู้อยู่ จาพรรษาแล้วกรานกฐินได้ และเม่ือได้กรานกฐินแล้ว จะได้อานิสงส์ ๕ ประการ คือ ๑) เท่ียวไปโดยไม่ ต้องบอกลา ๒) ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสารับ ๓) ฉันคณโภชนะได้ ๔) ทรงอติเรกจีวรได้ตามความ ต้องการ และ ๕) ได้จีวรที่เกดิ ขึน้ ในทนี่ ั้น๖๒๔ ปาราสริ ิยะ,พราหมณ์ ปาราสริ ิยพราหมณ์ ปรากฏในอินทรยิ ภาวนาสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๖๒๕ ปรารภเร่ืองราวขณะท่ี พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนไผ่ กัชชังคลานิคมว่า มีอุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ได้เข้าเฝ้า เพ่ือสนทนาแลกเปล่ียนเร่ืองการเจริญอินทรีย์ โดยพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ปาราสิริยพราหมณ์ สอนเรอื่ งการเจรญิ อินทรียอ์ ย่างไรบ้าง อุตตรมาณพศิษย์ของปาราสิริยพราหมณ์กราบทูลว่า อาจารย์ของตนสอนอย่าให้ดูรูป อย่าให้ ฟังเสียง ดังนี้เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามว่า ถ้าสอนอย่างน้ันก็แสดงว่า ศิษย์ของปาราสิริย พราหมณ์เป็นคนตาบอด หูหนวก เพราะคนตาบอดย่อมไม่เห็นรูปทางตา คนหูหนวกก็ไม่ได้ยินเสียงทางหู อุตตรมาณพถกู ย้อนถามอย่างนีก้ ็ไมส่ ามารถแก้ปัญหาได้ นงั่ กม้ หน้า คอตก ซบเซา หมดปฏิภาณ พระผู้มีพระภาคอาศัยเร่ืองน้ีเป็นเหตุ จึงได้ทรงแสดงการเจริญอินทรีย์ในธรรมวินัยของ พระองค์ หลักการสาคัญคือ เมื่อเห็นรูปทาง ฟังเสียง ลิ้มรส ถูกต้องผัสสะ เป็นต้น หากเกิดความชอบใจ ไมช่ อบใจ กใ็ ห้กาหนดรู้ว่าชอบใจ ไม่ชอบใจ กาหนดรู้เหตุ ปัจจัยปรุงแต่งท่ีทาให้เกิดความชอบใจ ไม่ชอบ ใจ กระทง่ั อุเบกขาเกดิ ขน้ึ และดารงมั่น ความชอบใจ ไม่ชอบใจดับไป ปัจจนกี สาตพราหมณ์ ปัจจนีกสาตพราหมณ์ ปรากฏในปัจจนีกสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๖๒๖ ความพรรณนาโดยสังเขป ดังน้ี เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวัน เขตกรุงสาวัตถี พราหมณ์ชื่อปัจจนีกสาตะ ได้เข้าเฝ้าโดยมีวัตถุประสงค์ว่า ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสคาใด ๆ ตนก็จะคัดค้านคานั้น ๆ คร้ังน้ันพระผู้มีพระ ภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง พราหมณ์ก็เดินตาม พร้อมท้ังขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมณ ธรรมอย่างใดอยา่ งหน่งึ พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความประสงค์ของพราหมณ์ตั้งแต่ต้น จึงตรัสไปว่า คนท่ีตั้งใจจะ คัดคา้ น มจี ติ เศรา้ หมอง มากไปด้วยความแขง่ ดี ไมร่ ู้ชัดคาสุภาษิต ส่วนบุคคลใดกาจัดความแข่งดี ความไม่ มีจติ เลือ่ มใส และถอนความอาฆาตออกแล้วฟงั อยู่ บคุ คลนัน้ จงึ จะรคู้ าสภุ าษติ ได้ ปัจจนีกสาตพราหมณ์ได้ฟังพระดารัสเช่นนั้น ก็เกิดความเลื่อมใส แสดงตนเป็นอุบาสก เข้าถึง พระรตั นตรัยตลอดชวี ิต ปญั คคจี วัย์,ภกิ ษุ ๖๒๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๕/๓๐๖/๑๔๖. ๖๒๕ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๔๕๓/๕๐๔. ๖๒๖ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๐๒/๒๙๓.
๑๘๕ ปญั จวัคคีย์ เปน็ ชื่อกลุ่มภิกษุ ๕ รปู ประกอบไปด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ทั้งหมดเป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ และได้ออกบวชติดตามปรนนิบัติ พระพทุ ธเจา้ ด้วยประสงค์ว่า เมอ่ื ไดต้ รัสรเู้ ป็นพระพทุ ธเจา้ แล้ว จะได้ตรสั รู้ตามด้วย โดยเฉพาะโกณฑัญญะ ไดร้ บั เชิญเปน็ ๑ ในพราหมณ์ ๘ คน เพอื่ ทานายลักษณะของพระกุมาร และก็ได้พยากรณ์ไว้เพียงนัยเดียว ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ จะต้องออกบวช และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ด้วยความเชื่อมั่น ดงั กล่าว เมอื่ ทราบข่าวการเสด็จออกผนวช จงึ ได้ชวนเพือ่ นออกบวชตามดว้ ย เมื่อพระพุทธเจ้าตรสั รแู้ ล้ว ก็ทรงดาหรวิ า่ จะแสดงธรรมแกใ่ ครกอ่ น ใครจะสามารถรู้ธรรมน้ีได้ ฉบบั พลนั เบ้ืองต้นเห็นอาฬารดาบส และอุทกดาบส ผูเ้ ปน็ อาจารย์ แต่ท้ังสองได้ทากาละไปในระยะไล่เลี่ย กนั คือ อาฬารดาบสทากาละไปได้ ๗ วนั ส่วนอทุ กดาบสทากาละไปได้ ๑ วนั ก่อนการตรสั รู้๖๒๗ จึงทรงดาริ ถึงปัญจวคั คีย์ ซ่งึ ขณะน้ันไดป้ ลีกตนออกไปอยทู่ ี่ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน เขตกรงุ พาราณสี แรกเร่ิม ปัญจวัคคีย์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็ได้ตั้งกติกาไว้ว่า “สมณโคดมเลิก บาเพ็ญทุกกรกิริยา คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมากแล้ว พวกเราจะไม่ลุกรับ ไม่กราบ ไหว้ ไม่พึงรับบาตรและจีวร แต่จัดอาสนะไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนาก็จักประทับนั่ง” แต่คร้ันเสด็จมาถึง ปญั จวัคคยี ์ไมอ่ าจต้ังอยู่ในกติกาได้ ต่างลุกรับ รูปหนงึ่ รบั บาตร รูปหน่ึงปอู าสนะ รู้หนึ่งจัดหาน้าล้างเท้า รูป หนึง่ จัดตั่งรองพระบาท รูปหน่ึงนากระเบ้ืองเช็ดพระบาทไปวาง แต่ก็ยังร้องเรียกพระผู้มีพระภาคโดยออก พระนาม และใชค้ าว่า อาวโุ ส พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้าม พร้อมกับเตือนว่า พระองค์ได้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว ขอให้ปัญจ วัคคีย์เง่ียโสตสดับอมตธรรม เบื้องต้น ปัญจวัคคีย์หาได้เช่ือฟังไม่ แต่คร้ันทรงเตือนให้ระลึกว่า เคยได้ยิน พระองค์ตรัสแบบน้ีก่อนหน้านี้หรือไม่ ปัญจวัคคีย์ระลึกได้ว่า ไม่เคยได้ยินพระองค์ตรัสอย่างนี้มาก่อน จึง ไดย้ นิ ยอม จากนน้ั จงึ ทรงแสดงธรรมจกั รกัปปวัตนสูตร พรรณนาถึงที่สุดโต่งสองทางท่ีบรรพชิตไม่ควรเสพ และมัชฌิมาปฏปิ ทา สิ้นกระแสพระธรรมเทศนา โกณฑัญญะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ขออุปสมบทในพระธรรม วินัย และกลายเป็นปฐมสาวก เหตุการณ์ดังกล่าว ตรงกับข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ ปัจจุบันเรียกวันดังกล่าวนี้ ว่า วันอาสาฬหบูชา ถัดจากนั้นอีกปัญจวัคคีย์ท่ีเหลือก็ได้บรรลุธรรมตามลาดับคือ วัปปะกับภัททิยะ ได้ บรรลุในวนั ถดั มา และมหานามะกับอัสสชไิ ด้บรรลใุ นวันถดั มาอีก๖๒๘ เมื่อได้บรรลุโสดาบันหมดแล้ว ต่อแต่ นั้นได้ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดภิกษุปัญจวัคคีย์กระท่ังได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ คร้ังนั้นมีพระ อรหนั ต์เกดิ ขึ้นในโลก ๖ รปู ๖๒๙ อนึ่ง คัมภีร์อรรถกถาให้รายละเอียดการบรรลุธรรมของปัญจวัคคีย์ท่ีเหลือ ๔ รูป ไว้ดังนี้ วัน แรม ๑ คา่ เดอื น ๘ วปั ปะไดด้ วงตาเห็นธรรม, วันแรม ๒ ค่า เดอื น ๘ ภัททิยะได้ดวงตาเห็นธรรม, วันแรม ๓ ค่า เดือน ๘ มหานามะ ได้ดวงตาเหน็ ธรรม, และวนั แรม ๔ คา่ เดือน ๘ อัสสชิ ได้ดวงตาเห็นธรรม คร้ัน ถึงวันแรม ๕ คา่ ปญั จวคั คียท์ ้ังหมดกไ็ ดบ้ รรลุพระอรหนั ต์๖๓๐ ๖๒๗ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๑๐/๑๕. ๖๒๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๔/๑๙/๒๖. ๖๒๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๔/๓๑. ๖๓๐ วิ.ม.(ไทย) อ.๔/๑/๖๑.
๑๘๖ ปญั จกังคะ,ช่างไม้ นายปัญจังคะ เป็นช่างไม้ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า เหตุที่ช่ือปัญจังคะ เพราะนายช่างไม้ผู้นี้มีเครื่องมือในการประกอบอาชีพช่างไม้ของตนเองที่สาคัญอยู่ ๕ ชิ้น ได้แก่ มีด ขวาน สิ่ว ค้อน กระปุกเส้นด้ายบรรทัด๖๓๑ ในคัมภีร์ระบุไว้ว่า นายปัญจกังคะนี้เป็นสาวก ของพระพุทธเจา้ นุ่งขาวหม่ ขาว อาศัยอยู่ในเมอื งสาวตั ถี๖๓๒ เปน็ หวั หน้าชา่ งไม้๖๓๓ ในพหุเวทนิยสูตร๖๓๔ และในปัญจกังคสูตร๖๓๕ พรรณนาเร่ืองราวนายปัญจกังคะได้เข้าไปหา พระอุทายี สอบถามปัญหาเร่ืองเวทนา พระอุทายีบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสเวทนา ๓ ขณะท่ีนายปัญจกัง คะบอกวา่ พระพุทธเจา้ ตรสั เวทนา ๒ เทา่ น้นั สว่ นอทุกขมสุขเวทนาน้ัน ทรงตรัสไว้ที่สุขเวทนา แต่เป็นสุข ท่ีสงบประณตี ทาใหเ้ กดิ การโต้เถยี ง และไมม่ ีใครสามารถใหใ้ ครยินยอมได้ อานนท์ได้ยนิ คาสนทนาของนายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะกับพระอุทายีก็นาเร่ืองไปกราบทูลพระผู้ มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงแสดงรับรองว่า พระองค์ตรัสเวทนา ๒ ก็มี เวทนา ๓ ก็มี เวทนา ๕ ก็มี เวทนา ๖ ก็มี เวทนา ๑๘ ก็มี เวทนา ๓๖ ก็มี และบางคร้ังตรัสเวทนา ๑๐๘ ก็มี คนท่ีไม่ ฉลาดในปริยายต่าง ๆ จึงทะเลาะกนั ววิ าทกัน ใช้หอกคือปากท่ิมแทงกนั อยู่๖๓๖ ในสมณมณุ ฑิกสตู ร๖๓๗ พรรณนาเรอื่ งราวนายปญั จกังคะได้แวะเข้าไปหาอัคคาหมานะปริพพา ชกท่ีเอกศาลา อารามของพระนางมัลลิกาเทวี ก่อนท่ีจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้สนทนาถึงลัทธิความเช่ือ ของปรพิ พาชกทเ่ี ชอื่ ว่า ๑) คนทีไ่ มท่ าความช่ัวทางกาย ๒) ไม่กล่าวชัว่ ทางวาจา ๓) ไมด่ าหริช่ัว และ ๔) ไม่ ประกอบอาชีพชั่ว ถือเป็นผู้มีกุศลเพียบพร้อม มีกุศลยอดเย่ียม เป็นสมณะผู้บรรลุธรรมช้ันสูงที่ควรบรรลุ นายปญั จกังคะได้นาความเชื่อนีไ้ ปกราบทลู ถามวา่ ทรงเห็นอยา่ งไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าวัดกนั เพยี งเท่าน้ี เด็กทารกเกิดใหม่ก็เข้าข่ายเป็นผู้มีกุศลเพียบพร้อม มี กุศลยอดเย่ียม เป็นสมณะผู้บรรลุธรรมชั้นสูงที่ควรบรรลุ เพราะเด็กเกิดใหม่ยังไม่ได้ทากรรมชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ไม่ตอ้ งกล่าวถึงการประกอบอาชีพ ในอนุรทุ ธสูตร๖๓๘ พรรณนาเร่ืองราวนายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ ได้ให้คนไปนิมนต์พระอนุรุทธะ พรอ้ มภกิ ษุอีก ๓ รูป มาฉนั ภัตตาหารในบ้าน จากน้ันก็ได้สอบถามเร่ืองเจโตวิมุตติอันหาประมาณมิได้ กับ เจโตวิมุตติท่ีเป็นมหัคคตะว่ามีคามแตกต่างกันอย่างไร โดยเบื้องต้นนายช่างไม้บอกว่า มีอรรถอันเดียวกัน แตต่ ่างกนั โดยพยญั ชนะเทา่ น้นั ขณะทีพ่ ระอนุรุทธะแสดงว่า มอี รรถตา่ งกัน และมพี ยัญชนะตา่ งกนั จากหลักฐานในคัมภีร์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า นายปัญจกังคะ เป็นสาวกมีภูมิธรรม แม้ใน คัมภีร์จะไม่มีระบุว่าได้บรรลุธรรมข้ันใด แต่จากการสนทนาโต้ตอบกับพระสาวกองค์สาคัญๆ ก็สามารถ ยืนยันได้ เฉพาะอย่างย่ิง การสนทนากับพระอนุรุทธะในเร่ืองของความแตกต่างระหว่างเจโตวิมุตติท่ีหา ประมาณมไิ ด้ กบั เจโตวมิ ุตติทเี่ ป็นมหคั คตะ ซ่ึงถือเป็นสภาวจิตชน้ั สงู ๖๓๑ ส.สฬา.อ.(ไทย) ๓/๒๖๗/๑๔๑. ๖๓๒ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๖๐/๓๐๘. ๖๓๓ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๒๒๑. ๖๓๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๘/๙๐. ๖๓๕ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๗/๒๙๓. ๖๓๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๙/๙๑. ๖๓๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๖๐/๓๐๗. ๖๓๘ ม.อปุ ริ.(ไทย) ๑๔/๒๒๙/๒๖๘.
๑๘๗ ปัณฑรสโคตร, ฤาษี ปัณฑรสโคตร เป็นชื่อของฤาษี ปรากฏอยู่ในปุสสเถรคาถา๖๓๙ ความระบุไว้ว่า ฤาษี ปณั ฑรสโตร ได้พบเห็นภิกษุมากรูป ผู้น่าเล่ือมใส อบรมตน สารวมดีแล้ว ได้สอบถามพระปุสสเถระว่า ใน กาลภายหนา้ ภิกษทุ ้งั หลายในพระศาสนาน้ี จะมคี วามพอใจอย่างไร มคี วามประสงค์อย่างไร มีอากัปกิริยา อย่างไร พระปุสสเถระไดก้ ลา่ วพยากรณ์ไว้แก่ฤาษวี า่ ภายภาคหน้า ภิกษุสว่ นมาก จะเป็นผู้มักโกรธ ผูก โกรธ ลบหล่คู ุณทา่ น หวั ด้ือ โออ้ วด ริษยา และมีวาทะขดั แยง้ กนั มีความสาคัญในสัทธรรมที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ว่า รู้ ว่าเห็น มีความคิดในธรรมที่ลึกซึ้งว่าต้ืน เป็นคนเบา ไม่หนักแน่นในธรรม ไม่เคารพกันและกัน ภาย ภาคหน้า โทษเป็นอันมากจะเกิดข้ึนในสัตว์โลก ภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ความคิด จะทาธรรมของพระสัมมาสัม พุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วน้ีให้มัวหมอง ท้ังจะเสื่อมจากคุณธรรม กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ มีพวกมาก ปากจัด ไม่ยอมรับฟัง ฝ่ายพวกที่มีคุณธรรม พูดในท่ามกลางสงฆ์ตามความเป็นจริง ละอายใจ ไม่ต้องการ ผลประโยชนจ์ ักมีพวกน้อย ในกาลภายหน้า ภิกษุทั้งหลายจะมีปัญญาทราม พากันยินดี เงิน ทอง ไร่นา สวน แพะ แกะ และคนใชช้ ายหญิง จะเป็นคนอนั ธพาล ชอบมงุ่ แตต่ เิ ตยี น ไม่ต้ังมั่นในศีล ถือตัวจัด โหดร้าย เท่ียวไป ชอบ ก่อการทะเลาะวิวาท มจี ิตใจฟุง้ ซ่าน นุง่ แต่จวี รสเี ขียว เท่ียวทาตัวดังพระอริยะ เปน็ ตน้ กลา่ วโดยสรุป พระปสุ สเถระ ได้แสดงภัยอยา่ งใหญ่หลวงทย่ี ังไม่มาถึง จะมาถึงในกาลข้างหน้า คือหลังจากตตยิ สังคายนาผ่านไปแล้ว๖๔๐ ปัณฑุก,ภกิ ษุ พระปณั ฑกุ ะ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ รูป รูปหน่ึงอยู่ในกลุ่มของพระฉัพพวัคคีย์ เป็น ชาวเมืองสาวัตถี ส่วนอกี รปู หนงึ่ เปน็ ภิกษผุ ้เู ป็นสหายของพระกปลิ ะ อยใู่ กลเ้ มืองโกสมั พี วันหน่ึงพระปัณฑุกะไปธุระบางอย่างในเมืองโกสัมพี ระหว่างทางข้ามแม่น้า เปลวมันข้นที่ หลุดจากมือของพวกคนฆ่าหมูลอยมาติดที่เท้า เธอจึงเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่าจะให้คืนแก่เจ้าของ พวกเจ้าของ เขา้ ใจผิด จึงกลา่ วหาพระปณั ฑุกะวา่ “ไมเ่ ปน็ พระ” หญงิ เล้ียงโคคนหนึ่งพบท่านข้ามน้าจึงได้ชวนท่านเสพ เมถุน ท่านคดิ ว่า แมต้ ามปกติเรากไ็ ม่เปน็ พระอยูแ่ ลว้ จึงเสพเมถนุ ธรรมกบั หญงิ เลีย้ งโค เมื่อเดินทางถึงกรุงโกสัมพี ก็ได้เล่าเร่ืองน้ันให้ภิกษุท้ังหลายฟัง พวกภิกษุจึงนาเร่ืองนี้ไป กราบทูลพระผ้มู ีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุน้ันไม่ต้องอาบัติ ปาราชิก เพราะถือเอาสิ่งของทีเ่ จา้ ของไมไ่ ด้ให้ แต่ต้องอาบัตปิ าราชกิ เพราะเสพเมถนุ ธรรม”๖๔๑ ปัพพตดาบส, ปัพพตดาบส เป็นอดีตชาติของพระอนุรุทธะ ปรากฏในขุททนิกาย ชาดก๖๔๒ ความในคัมภีร์ อรรถกถา มีรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ดังน้ี ๖๓๙ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๙๔๙/๔๙๖. ๖๔๐ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๙๗๗/๔๙๙. ๖๔๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑๖๐/๑๓๓. ๖๔๒ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๙๓/๖๑๑.
๑๘๘ ปัพพตดาบส เป็น ๑ ใน ๗ ของอันเตวาสิกฤาษีโชติปาละผู้เป็นพระโพธิสัตว์ กล่าวคือ ๑) สาลิสสระ ๒) เมณฑิสสระ ๓) ปัพพตะ ๔) กาลเทวละ๕) กีสวัจฉะ ๖) อนุลิสสะ และ ๗) นารทะ ทั้งหมด ตั้งอาศมอยู่ในปฏิฏฐวัน ต่อมาเม่ือบริวารมีมาก โชติปาลฤาษีผู้เป็นอาจารย์จึงส่ังศิษย์เหล่านั้นแยกย้ายไป ตั้งอาศรมอยู่ตามสถานท่ีต่างๆ รวมถึงปัพพตดาบสด้วย โดยในส่วนของปัพพตดาบสให้ไปอาศัยอยู่ในอัญ ชนบรรพต ความเกยี่ วกบั ปพั พตดาบสในคมั ภรี ์อรรถกถามีเพยี งเท่านี้ ปิลนิ ทวัจฉะ, พระ พระปิลินทวัจฉะ เกิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร เจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเลือ่ มใส ได้ทูลขออปุ สมบทในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจบาเพ็ญสมณธรรม ไม่นาน กไ็ ด้บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ ทา่ นได้รับการยกย่องจากพระพทุ ธเจ้าไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะด้านเป็นที่รักของ เทวดา๖๔๓ ท่านปิลินทวัจฉะ เม่อื เจรจากับภกิ ษกุ ต็ าม คฤหัสถ์ก็ตาม มักใช้วาจาว่า “คนถ่อย” ทั้งน้ีเพราะ ท่านเกดิ ในตระกูลพราหมณ์ และเสพคนุ้ กับคานีต้ ดิ ตอ่ กนั มา ๕๐๐ ชาติ๖๔๔ แต่ถึงจะปากไม่ดี จิตใจหาเป็น เช่นนั้นไม่ ตรงกันข้าม ท่านเป็นพระที่ไม่มีมายา ไม่มีมานะ ส้ินราคะ โทสะ โมหะแล้ว ท้ังยังมีวาจา ศกั ด์ิสิทธิ์ เปน็ ทีเ่ คารพศรัทธาทัง้ เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย คราวหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารเสด็จเข้าไปหาท่าน เห็นท่านกาลังทาความสะอาดเง่ือมเขา มี ความประสงคอ์ ยากจะช่วย จึงได้เอ่ยพระดารัสว่าจะพระราชทานคนวัดมาให้ แต่ตรัสแล้วก็ลืม ด้วยมีราช กิจมาก ครั้นนึกได้ก็ล่วงไป ๕๐๐ วัน พระองค์จึงได้พระราชทานคนวัดไป ๕๐๐ คน และคนวัดเหล่าน้ี ได้ ตง้ั เปน็ หมู่บ้านหนง่ึ มหี น้าทีบ่ ารุงดูแลพระปิลนิ ทวจั ฉะ๖๔๕ พระปลิ นิ ทวัจฉะเป็นพระท่ีมีวาจาศกั ดส์ิ ิทธิ์ คราวหน่งึ ในหมู่บ้านมีงาน ผู้คนต่างประดับประดา ไปเท่ียวงาน เด็กหญิงคนหน่ึงในหมู่บ้านอุปัฏฐากไม่มีเครื่องประดับ ท่านบิณฑบาตผ่านไปเห็นเข้า จึงได้ หยิบเสวียนหญา้ แล้วให้ไปสวมท่ศี ีรษะเดก็ เสวยี นหญ้าได้กลายเป็นทองคา ครั้นเด็กหญิงสวมเข้าไปในงาน ก็ทาใหค้ นเขา้ ใจผิด หาว่าเป็นขโมย จงึ ถกู ทางการจับไปขังคกุ พระปิลินทวัจฉะ ทราบเร่ือง จึงได้เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ สอบถามความเป็นไปกับพระ เจ้าพิมพิสาร คร้ันทราบเหตุแล้ว ท่านจึงอธิษฐานให้พระราชวังเป็นทองคา แล้วก็ถามพระเจ้าพิมพิสารว่า ทองคาเหล่าน้มี าจากไหน พระเจ้าพมิ พิสารเข้าใจเร่ืองราวท้ังหมดว่าเกิดข้ึนจากอานุภาพของพระเถระ จึง รับส่งั ใหป้ ลอ่ ยเด็กหญิงนั้นไป๖๔๖ ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต มีเร่ืองเล่าถึงวาจาศักด์ิสิทธ์ิไว้ว่า วันหน่ึงท่านเดินไป บณิ ฑบาตในเมอื งราชคฤห์ ระหวา่ งทางเห็นเด็กหนมุ่ คนหน่ึงถอื ดปี ลีมาเต็มถาม จึงถามว่า “ได้อะไรเจ้าคน ถอ่ ย” เดก็ หน่มุ คนนน้ั คิดว่า เราได้ยินถ้อยคาไม่เป็นมงคลแต่เช้า จึงตอบกลับด้วยวาจาท่ีไม่ไพเราะว่า “ได้ ขห้ี นู” พระเถระจงึ ตอบกลบั ว่า “เจ้าถ่อย มันตอ้ งเปน็ อย่างนน้ั ” ๖๔๓ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๕/๒๘. ๖๔๔ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๒๖/๒๒๐. ๖๔๕ วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๗๐/๖๕. ๖๔๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๖๒๑/๑๔๑,ว.ิ ม.๕/๒๗๑/๖๗.
๑๘๙ เม่ือพระเถระคล้อยหลังไป ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูตามคาของพระเถระ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็ก หนุ่มกลับไปท่ีเกวียน ดีปลีทั้งหมดกลายเป็นข้ีหนูตามไปด้วย จึงคิดว่า เร่ืองน้ีต้องเป็นมาจากพระเถระ แน่นอน แต่ด้วยความไมร่ ู้จะแกไ้ ขอย่างไรก็ได้แตเ่ ดนิ ไปเดินมาด้วยความกล้มุ ใจ คนในตระกูลอุปัฏฐากคนหน่ึงของพระเถระคนหนึ่งมาพบกับเด็กหนุ่มนี้เข้า ถามทราบความ จึงได้บอกอบุ ายว่า ไมต่ ้องห่วง วันพรุง่ น้ีทา่ นมาบิณฑบาต เจอทา่ นอีก ถา้ ทา่ นถามกใ็ หต้ อบว่าเป็นดีปลี ทุก อยา่ งกก็ ลับคืนมา เด็กหนมุ่ ไดป้ ฏิบัติตาม ขีน้ กทงั้ หมดกก็ ลายเป็นดปี ลเี หมอื นเดมิ ๖๔๗ คราวหน่งึ ตระกูลอุปฏั ฐากของทา่ นถูกโจรปล้น และจบั เดก็ ๒ คนไป ทา่ นได้อาศยั ฤทธ์ิช่วยนา เด็กกลับบ้านอยา่ งปลอดภัย ทาใหช้ าวบ้านเกดิ ความเลื่อมใส๖๔๘ ปโิ ลติกตสิ สเถระ,พระ พระปิโลติกติสสเถระ ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๖๔๙ และอรรถกถาจารย์ได้ขยายความ เพมิ่ เตม๖๕๐ มเี น้ือหาพอสังเขปว่า พระเถระรูปน้ีเดิมเป็นเด็กกาพร้า นุ่งผ้าเก่า เที่ยวขอทาน พระอานนท์ เถระเห็นเข้าเกดิ ความเวทนาสงสาร จงึ ชักชวนให้มาบวชเป็นสามเณร โดยท่านเป็นผู้บวชให้ หลังจากบวช เสรจ็ แลว้ พระอานนท์ได้เอาผ้านุ่งและกระเบื้องขอทานของสามเณรไปแขวนไว้ท่ีกิ่งไม้ต้นหน่ึง เพราะเห็น วา่ ไมส่ ามารถใช้การไดแ้ ลว้ ภายหลังต่อมาสามเณรมีอายุครบบวช ได้รับการอุปสมบท ปรากฏนามว่า ปิโลติกติสสะ ท่าน ฉนั อาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทาใหร้ ่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ มีความรู้สึกทางเพศขึ้นมา ไม่ต้องการอยู่ในสมณ เพศอีกต่อไป จงึ ไปทตี่ ้นไมท้ ่ีพระอานนท์แขวนผ้านงุ่ เก่าไว้ เอามือลูบคลาผ้านุ่งเก่า ทาผ้าน้ันให้เป็นอารมณ์ กัมมัฏฐาน เตือนตนด้วยตนว่า เจ้าผู้ไม่มีหิริ หมดยางอาย เจ้ายังปรารถนาเพื่อจะละทิ้งผ้านุ่งห่มดี ๆ กลับไปนุง่ ท่อนผ้าเก่าน้ี มมี ือถือกระเบือ้ งเที่ยวขอทานอีกหรือ เมื่อท่านโอวาทตนอยู่ จิตก็ผ่องใส ท่านจึงเก็บผ้านุ่งเก่าแขวนไว้ตามเดิมแล้วก็กลับวัด และ เม่ือใดท่านปรารถนาจะลาสิกขาข้ึนมาอีก ท่านก็จะไปท่ีต้นไม้ เอามือลูบคลาผ้านุ่ง กล่าวสอนตนเอง เหมอื นนยั ขา้ งต้น ท่านไป ๆ มา ๆ อย่างน้ีหลายคร้ัง เมื่อถูกเพื่อนภิกษุด้วยกันถามว่าไปไหน ก็ตอบว่า ไป สานักของอาจารย์ กระทง่ั สุดทา้ ยท่านไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ จึงเลิกไปทางน้ันอีก ต่อมาเพ่ือนภิกษุเกิดความ สงสัย เพราะไม่เห็นท่านไปทางน้ันอีก จึงได้ถามว่า ไม่ไปสานักอาจารย์อีกแล้วหรือ พระเถระตอบว่า แต่ ก่อนตนยงั ความเก่ยี วข้องในอาจารย์ จึงไป แต่บดั นี้ ตนได้ตัดความเกยี่ วขอ้ งได้แล้ว จึงไมไ่ ป ภิกษุท้ังหลายได้ยินเช่นน้ัน จึงนาเร่ืองไปกราบทูลพระศาสดา กล่าวหาว่า พระปิโลติกติสสะ อวดอ้างตนว่าบรรลุพระอรหันต์ พระศาสดาได้ตรัสรับรองการบรรลุพระอรหัตตผลของพระปิโลติกติสส เถระอย่างน้นั ปิงคลโกจฉะ, พราหมณ์ ๖๔๗ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๒๔๙. ๖๔๘ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑๕๙/๑๓๒. ๖๔๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๔๓/๗๖. ๖๕๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๘๐.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: