๑๙๐ พราหมณ์ปิงคลโกจฉะ ปรากฏชอื่ ในจฬู สาโรปมสูตร๖๕๑ ความว่า พราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้ มพี ระภาคเจา้ ขณะประทบั อยทู่ พ่ี ระเชตวัน เขตกรุงสาวัตถี กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเกี่ยวกับครูท้ัง ๖ ว่าเป็นผู้รจู้ ริงตามทีป่ ฏญิ ญาหรือไมอ่ ยา่ งไร พระผ้มู ีพระภาคเจ้าได้ตรัสห้ามว่าอย่าไปสนใจ ให้ตั้งใจฟังส่ิงที่ พระองค์จะตรสั จะดีกวา่ เม่ือปิงคลโกจฉพราหมณ์ทูลสนองรับพระดารัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสอุปมาเรื่องคน แสวงหาแก่นไม้ แต่ไปคว้าเอากระพ้ีบ้าง เปลือกบ้าง สะเก็ดบ้าง ก่ิงบ้าง ใบบ้าง เม่ือเป็นเช่นน้ัน ก็ไม่ สามารถยังประโยชน์ให้สาเร็จตามท่ีปรารถนา เปรียบเทียบกับคนบางคนออกบวชจากเรือนเป็นบรรพชิต แสวงหาแกน่ ของพรหมจรรย์ แต่ก็ไปคว้าเอากิ่งและใบพรหมจรรย์บ้าง (ลาภสักการะ) สะเก็ดพรหมจรรย์ บ้าง (ความสมบูรณ์แห่งศีล) เปลือกพรหมจรรย์บ้าง (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) กะพี้พรหมจรรย์บ้าง (ญาณทสั สนะ) ละท้งิ ส่วนท่ีเป็นแกน่ ของพรหมจรรย์ (ความส้ินไปแห่งอาสวะ) ปิงคลโกจฉพราหมณ์ได้ฟังพระดารัสน้ีแล้ว กล่าวช่ืนชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าแจ่ม แจ้ง ชัดเจน ไพเราะย่ิงนัก เกิดความเลื่อมใส แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตัง้ แตบ่ ดั นั้น ปิงคิยะ, พระ พระปิงคิยะ เกิดในครอบครัวพราหมณ์ ในเมืองสาวัตถี เป็น ๑ ใน ศิษย์ ๑๖ คน ของ พราหมณ์พาวรี ประกอบด้วย อชิตะ ติสสเมตเตยยะ ปุณณกะ เมตตคู โธตกะ อุปสีวะ นันทะ เหมกะ โตเทยยะ กปั ปะ ชตกุ ณั ณิ ภัทราวุธ อุทัย โปสาละ โมฆราช และปิงคิยะ๖๕๒ ท้ังหมดเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ มชี ่ือปรากฏแกช่ าวโลกท่วั ไป เปน็ ผบู้ าเพ็ญฌาน ยินดีในฌาน๖๕๓ ทุกคนเกล้าชฎา และครอง (นุ่งห่ม) หนัง เสือ๖๕๔ เคยรับราชการในราชสานักของพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่ต่อมาเกิดความเบ่ือหน่าย จึงได้ลาออก จากราชการบวชเป็นชฎิล ตั้งสานักอยู่ท่ีริมฝั่งแม่น้าโคธาวรี ระหว่างดินแดนเมืองอัสสกะและเมืองอาฬห กะต่อกัน ภายหลังต่อมาทั้งหมดได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้สละเพศชฏิลบวชในพระพุทธศาสนา ทง้ั หมด ปงิ คิยมาณพ ได้รับการมอบหมายจากอาจารย์ให้ไปทูลถามปัญหากะพระพุทธเจ้า โดยในส่วน ของปิงคิยมาณพ ได้กราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติและชราในโลกน้ี พระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสแก่ปิงคิยมาณพว่า (๑) “ชนท้ังหลายเห็นชนอ่ืนๆ เดือนร้อนอยู่เพราะรูปท้ังหลาย แลว้ ยังประมาทเจบ็ ปวดอยูเ่ พราะรปู ทง้ั หลาย ปิงคิยะ เพราะฉะน้ัน เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท ละรูปเสียให้ ได้ เพ่ือจะไม่เกิดอีกต่อไป” ๖๕๕ (๒) “เธอจงเพ่งพิจารณาหมู่มนุษย์ผู้ถูกตัณหาครอบงาจิต เกิดความเร่า ร้อน ถูกชราครอบงาแล้ว ปิงคิยะ เพราะฉะน้ัน เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท ละตัณหาเสียให้ได้ เพ่ือจะไม่เกิด อกี ต่อไป”๖๕๖ ๖๕๑ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๘. ๖๕๒ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๑๕/๗๔๐. ๖๕๓ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๑๖/๗๔๐. ๖๕๔ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๑๗/๗๔๑. ๖๕๕ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๑๒๘/๗๗๓. ๖๕๖ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๑๓๐/๗๗๔.
๑๙๑ ปิงคิยมาณพ นับเป็นศิษย์เพียงคนเดียวท่ีไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ทันทีท่ีได้รับการ พยากรณ์ปญั หาจากพระพุทธเจ้า เนอื่ งจากจติ ฟงุ้ ซา่ นนึกถงึ อาจารย์ คงได้บรรลุแต่โสดาบัน แต่ต่อมาได้ฟัง ธรรมจากพระพทุ ธเจ้าอกี ครั้ง ก็ได้บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ ปงิ คิยานี ปงิ คิยานี ในคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก ปรากฏ ๒ สถานะ ๑) ปิงคิยานพี ราหมณ์ และ ๒) พระนาง ปงิ คิยานี ผเู้ ปน็ พระมเหสขี องพระเจา้ พรหมทัต ๑. ปงิ คิยานีพราหมณ์ ปิงคิยานีพรามหณ์ เป็นพราหมณ์ผู้เป็นอริยสาวก บรรลุอนาคามิผล พราหมณ์ผู้ทากิจวัตร ประจาวันโดยการนาของหอม ระเบียบ ดอกไม้ไปบูชาพระพุทธเจ้าเป็นประจา๖๕๗ ในการณปาลีสูตร๖๕๘ พรรณนาเร่ืองราวการสนทนาระหวา่ งปงิ คยิ านพี ราหมณ์กบั การณปาลพี ราหมณ์ความสังเขปว่า การณปาลีพราหมณ์เห็นปิงคิยานีพราหมณ์กลับมาจากสานักของพระผู้มีพระภาคก็สอบถาม ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทรงเป็นบัณฑิตไหม ? ปิงคิยานีพราหมณ์ตอบว่า ตนไม่อาจยืนยันอย่างนั้นได้ หรอก เพราะปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พ้นวิสัยที่ตนจะไปตัดสิน การณปาลีพราหมณ์ถามต่อไป ว่า ทาไมปิงคิยานพี ราหมณ์จึงสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้านัก พราหมณ์ก็ตอบไปอีกว่า ตนไม่จาเป็นต้อง สรรเสริญพระผมู้ ีพระภาค เพราะชาวโลกสรรเสริญยกยอ่ งพระองคเ์ หนอื เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอยู่แล้ว เมื่อการณปาลีพราหมณ์ถามต่อไปว่า ทาไมจึงเล่ือมใสพระพุทธเจ้า ปิงคิยานีพราหมณ์ได้แจกแจงเหตุผล เปน็ ข้อ ๆ สรปุ เปน็ ขอ้ ๆ ดงั นี้ ๑. บุคคลได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะไม่ปรารถนาลัทธิสมณะอื่น ๆ อีกต่อไปเปรียบ เหมือนบุรษุ ไดล้ มิ้ รสอันเลิศแลว้ ย่อมไม่ปรารถนารสทเ่ี ลวอ่นื ๒. บุคคลไดฟ้ งั ธรรมของพระพทุ ธเจ้าแลว้ ยอ่ มได้ความพอใจ ความเลื่อมใส ๓. บุคคลได้ฟังธรรมของพระพทุ ธเจ้าแล้ว ย่อมไดป้ ราโมทย์ โสมนัส ๔. บุคคลได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมสามารถดับโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปา ยาสะได้ ๕. บุคคลได้ฟงั ธรรมของพระพทุ ธเจ้าแลว้ ย่อมดับความเร่าร้อนทง้ั ปวงได้ พราหมณ์ปิงคิยานีกล่าวจบ ก็ประครองอัญชลีไปทางท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ เปล่ง อุทานแสดงความนอบนอ้ ม ๓ ครง้ั วา่ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ แปลความ ว่า “ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจ้าพระองคน์ ัน้ ๖๕๙ ๒. พระนางปิงคิยานี พระนางปิงคยิ านี ปรากฏในกณุ ฑลิกชาดก๖๖๐ ระบุว่าเปน็ อคั รมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต แต่ พระนางเป็นผู้มักมากในกาม จึงได้แอบเป็นชู้กับคนเล้ียงม้า ทาให้พระนางไม่ได้พบคนเล้ียงม้า และไม่ได้ ครองตาแหนง่ อัครมเหสอี ีกต่อไป ๖๕๗ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) อ.๓/๑๙๔/๗๕. ๖๕๘ อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๙๔/๓๓๐. ๖๕๙ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๑๙๔/๓๓๒. ๖๖๐ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๖๔/๑๙๐.
๑๙๒ ปิณโฑลภารทวาชะ,พระ พระปิณโฑลภารทวาชะ ปรากฏหลายแห่งท้ังในพระวินัย และพระสูตร ในพระวินัยเช่น จูฬ วรรคแห่งพระวินัยปิฎก ว่าด้วยเร่ืองบาตรไม้จันทน์๖๖๑ ในพระสูตร เช่นในภารทวาชสูตรแห่งสังยุตต นิกาย๖๖๒ ปิณโฑลภารทวาชสูตร๖๖๓ และเอตทัคควรรค แห่งอังคุตตรนิกาย๖๖๔ ความพรรณนาไว้พอ สังเขปดังตอ่ ไปนี้ ในขุททกวัตถุ พรรณนาเร่ืองราวเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ได้ไม้จันทน์มา และปรารถนาจะ ทดสอบว่ามีพระอรหันต์จริงหรือไม่ จึงส่ังให้นาไม้จันทน์ไปทาเป็นบาตร แล้วแขวนไว้ที่ไม้ผูกต่อๆ แล้วก็ ประกาศวา่ ถา้ รูปใดเป็นพระอรหันต์มีฤทธ์ิก็ให้เหาะไปเอา หลายวันผ่านไป มีแต่ผู้แสดงตนจะเหาะไปเอา แต่ไม่ได้เหาะไปเอาจริง ทาให้เศรษฐีหมดความหวังท่ีจะได้เห็นพระอรหันต์ พระมหาโมคคัลลานะ บิณฑบาตผา่ นมาทราบเรื่องราว จึงได้มอบหมายให้พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงฤทธิ์เหาะไปเอาบาตรลง มา กระท่งั กลายเป็นเรอ่ื งบานปลาย เพราะมหาชนทม่ี าทหี ลัง ปรารถนาจะจะเหน็ พระเถระแสดงฤทธ์ิ ต่าง ก็พากันอ้อนวอนให้ท่านแสดงฤทธ์ิให้ดูอีกคร้ัง พร้อมท้ังติดตามท่านไป ส่งเสียงอึกกะทึกครึกโครมถึงพระ กรรณพระผ้มู พี ระภาคเจา้ คร้นั ทรงทราบเรอ่ื งราวความเป็นไปแลว้ ก็ทรงยกเป็นเหตุบัญญัติพระวินัย ห้าม พระแสดงฤทธิ์อวดคฤหัสถ์ รูปใดแสดงตอ้ งอาบัตทิ ุกกฎ๖๖๕ ในภารทวาชสูตร พระเจ้าอุเทนได้เสด็จเข้าไปหาพระปิณโฑลภารทวาชะ ขณะพักอยู่ท่ีโฆสิตา ราม เขตกรุงโกสัมพี ตรัสถามถึงสาเหตุท่ีทาให้คนหนุ่มยอมละทิ้งกามทั้งหลายออกบวชประพฤติ พรหมจรรยต์ ลอดชีวติ และปฏิบตั ิอยู่ไดน้ าน พระปิณโฑลภารทวาชะ ได้ยกพระดารัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายในการวาง จิตต่อสตรีให้ถูกต้อง กล่าวคือ ตั้งจิตในสตรีอายุคราวมารดาว่าเป็นมารดา ตั้งจิตในสตรีอายุคราวพ่ี น้องสาวว่าเปน็ พีส่ าวน้องสาว ตัง้ จติ ในสตรอี ายคุ ราวลูกสาวว่าเป็นลูกสาว เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะถวายพระพรเช่นน้ัน พระเจ้าอุเทนก็ตรัสถามต่อว่า จิตใจของ คนเราโลเล เอาแน่นอนไม่ได้ บางคร้ังก็เกิดความปรารถนาในสตรีคราวมารดา คราวพ่ีสาวน้องสาว หรือ แม่แต่คราวลูก จะทาอย่างไร ถ้าความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น ท่านได้ถวายพระพรว่า พระพุทธเจ้าตรัสให้ พิจารณาร่างกายต้ังแต่เบื้องบนกระท่ังถึงปลายเท้าว่าเป็นของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ พร้อมกับตรัส สอนให้สารวมในอินทรีย์ท้งั หลาย ในปิณโฑลภารทวาชสตู ร ไดพ้ รรณนาถึงเรอ่ื งราวพระปิณโฑลภารทวาชะ ขณะพานักอยู่ท่ีโฆสิ ตารามเชน่ กนั วา่ ทา่ นไดพ้ ยากรณพ์ ระอรหันต์ ภกิ ษทุ ้ังหลายได้นาเร่ืองไปกราบทูลใหพ้ ระศาสดาทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรับรองการพยากรณ์ พร้อมท้ังยกเหตุ ๓ ประการ ท่ีทาให้พระปิณโฑลภารทวาชะ พยากรณ์พระอรหันต์ คือเพราะทา่ นอบรม กระทาให้มากแลว้ ในสัทธินทรยี ์ สมาธนิ ทรีย์ และปญั ญนิ ทรยี ์ ส่วนในเอตทัคควรรค พรรณนาถึงพระพุทธเจ้าได้ต้ังพระปิณโฑลภารทวาชะไว้ในตาแหน่ง สาวกผเู้ ลิศในการบันลอื สหี นาท ๖๖๑ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๒๕๒/๑๖. ๖๖๒ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๒. ๖๖๓ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๕๑๙/๓๓๑. ๖๖๔ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๑๙๕/๒๖. ๖๖๕ วิ.จู.(ไทย) ๗/๒๕๒/๑๙.
๑๙๓ ในอรรถกถาองั คุตตรนิกาย๖๖๖ ได้พรรณนาประวตั ิของพระปณิ โฑลภารทวาชะไวด้ งั นี้ พระปิณโฑลภารทวาชะ ได้บาเพ็ญบารมีไว้ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ โดย คราวน้ันได้บังเกิดในกาเนิดสีหะ อยู่ท่ีเชิงเขา พระพุทธเจ้ามองเห็นอุปนิสัย จึงได้เสด็จไปที่ถ้าท่ีอยู่ขณะที่ สีหะน้ันออกล่าเหย่ือ ครั้นกลับมาเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งท่ีปากถ้าก็คิดว่า บุรุษนี้เป็นใคร จึงไม่เกรง กลวั มาน่งั ขัดสมาธิในท่อี ยขู่ องตนได้เพยี งนี้ คงจะไม่เป็นคนธรรมดาเป็นแน่แท้ เกิดความเล่ือมใส จึงได้นา ดอกไม้ในป่ามาลาดเป็นอาสนะดอกไม้ถวาย พร้อมทั้งยืนทาความเคารพกระท่ังถึงรุ่งเช้า คร้ันถึงรุ่งเช้าก็ เอาดอกไม้เก่าออก นาดอกไมใ้ หมม่ าเปล่ียน ทาเชน่ น้ีครบ ๗ วัน ครั้นครบ ๗ วัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จเหาะไปท่ีอ่ืน ต้ังแต่บัดนั้น สีหะก็เกิดความทุกข์เพราะ ไมไ่ ด้เห็นพระพทุ ธเจา้ อกี สดุ ทา้ ยตรอมใจตาย และได้มาบังเกดิ ในตระกูลพราหมณ์มหาศาลในกรุงหงสาวดี เจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า บาเพ็ญทานตลอด ๗ วัน ทากาละจากอัตตภาพนั้นเวียนว่าย ตายเกิดอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ใน เมืองราชคฤห์ ศึกษาจบไตรเพท มีมาณพ ๕๐๐ คน เป็นบริวาร ต่อมาได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม เกิด ศรทั ธาออกบวช บาเพญ็ วิปสั สนา ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อน่งึ ในอรรถกถาขทุ ทนกิ าย อทุ าน๖๖๗ ระบวุ า่ เหตุท่ที ่านไดช้ ื่อว่า ปิณโฑละ เพราะบวชเสาะ แสวงหาก้อนข้าว ช่ือเดิมของท่านเรียกตามโคตรว่า ภารทวาชะ แต่เพราะท่านเห็นลาภสักการะเป็นอัน มากเกิดขึ้นแก่สงฆ์ จึงออกบวช ในคัมภีร์ระบุไว้อีกว่า ท่านเป็นสาเหตุที่ทาให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ ภิกษใุ ช้ถลกบาตร ทงั้ นีเ้ พือ่ ปอ้ งกันการสกึ กร่อนของบาตร เน้ือความพรรณนาถึงพระปิณโฑลภารทวาชะในคัมภีร์อ่ืน ๆ ส่วนใหญ่มีเนื้อหาซ้ากับท่ีกล่าว มาแลว้ จึงงด ไม่นามากล่าวซา้ อีก ปนุ ัพพสกุ ะ, พระ พระปุนัพพสุกะเป็นเพ่ือนกับพระอัสสชิ ท่านพานักประจาอยู่ในนิคมชื่อฎีกาคีรี ชื่อเสียงของ ท่านท่ีปรากฏในคัมภีร์ มักเป็นด้านลบ ท่านจัดอยู่ในกลุ่มภิกษุฉัพพวัคคีย์ และได้จับคู่กับพระอัสสชิไปอยู่ ไปอยทู่ ี่กฏิ าคีรีชนบท เมืองนมี้ ี ๒ ฤดู ปหี นึ่งทานาได้ ๓ ครงั้ ท่านไปสร้างสานักใกล้ ๆ เมือง ปลูกไม้ดอกไม้ ผล สงเคราะห์ชาวเมืองด้วยไม้ดอกไม้ผลเหล่านั้น ให้กุลบุตรของตระกูลบวช ขยายบริษัทจนใหญ่โต ขณะเดียวกันก็ก่ออธิกรณ์ข้ึนหลายครั้ง เป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทหลายสิกขาบท (ดู ฉพั พวัคคีย์,ภิกษ)ุ ปรุ าณะ,พระ พระปุราณะ ปรากฏช่ือในจูฬวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๖๖๘ เนื้อความปรากฏว่า เม่ือพระมหา เถระมีพระมหากัสสปะได้ทาสังคายนาคร้ังท่ี ๑ เสร็จแล้ว พระปุราณะเท่ียวจาริกอยู่ในทักขิณาคีรีชนบท พร้อมดว้ ยสงฆห์ มู่ใหญ่ ๕๐๐ รปู ได้เข้าไปหาพระเถระเหล่าน้ันท่ีเมืองราชคฤห์ คร้ันสนทนากันพอสมควร แล้ว พระมหาเถระก็ได้แจ้งให้ท่านทราบว่า พระเถระทั้งหลายได้ทาสังคายพระธรรมวินัยเสร็จแล้ว ขอให้ พระปรุ าณะรับทราบมตทิ สี่ งั คายนาแลว้ น้ัน ๖๖๖ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑/๑/๓๒๒. ๖๖๗ ขุ.อุ.อ.(ไทย) ๑/๓/๔๔๒. ๖๖๘ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๔๔/๓๘๕.
๑๙๔ พระปุราณะได้กล่าวกับพระเถระเหล่านั้นว่า การที่พระเถระทั้งหลายทาสังคายนาพระธรรม วินัยก็เปน็ การดีแล้ว ส่วนตนจะทรงจาตามที่ได้ยินเฉพาะพระพักตร์ ตามที่ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้ มีพระภาคเจ้าเท่านั้น การกล่าวเช่นนี้ของพระปุราณะ เท่ากับเป็นการปฏิเสธ ไม่ยอมรับการทาสังคายนา ครั้งท่ี ๑ ท่ีกระทาโดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ในปัญจสติกขันธกะจึงได้ระบุชัดเจนว่า “ท่าน ปรุ าณะเดินทางมาจากทักขิณาคริ ีชนบท ไม่ยอมรับผลการสังคายนา” ๖๖๙ ปุกกุสบณั ฑิต ปุกกุสบัณฑิต ปรากฏในทสัณณกชาดก แห่งขุททกนิกาย๖๗๐ เนื้อความพรรณนาถึงพระราชา ตรัสถามปัญหากับอายุรบัณฑิต ปุกกุสบัณฑิต และเสนกบัณฑิตเก่ียวกับเร่ืองท่ีทาได้ยาก โดยทรงเร่ิมจาก การตั้งโจทย์ว่า ดาบทสัณณกะที่คมกริบ แต่ชายผู้นี้กลืนเข้าไปในทางกลางมหาชนท่ีดูอยู่ เหตุท่ียากกว่านี้ มอี ีกไหม อายุรบัณฑิต กราบทูลว่า มี จากน้ันก็กราบทูลว่า การพูดว่า ให้ ยากกว่าการกลืนดาบ ปุกกุส บณั ฑติ กราบทูลว่า การท่ผี ูใ้ ดให้แล้วไม่ติดใจ ยากกวา่ สว่ นเสนกบัณฑิตได้กราบทูลว่า ทานไม่ว่าน้อยหรือ มาก กค็ วรให้ แต่เม่ือแล้ว ไมเ่ ดือดร้อนภายหลงั การกระทาของผู้นั้นยากกว่า ในปญั จปัณฑิตชาดก ปุกกุสบัณฑิต ถูกพระราชาตรัสถามว่า เรื่องท่ีควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควร สรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็นความลับของเรา ควรเปิดเผยแก่ใครดี ได้กราบทูลตามทัศนะของตนว่า ควรเปิดเผย แก่พี่ชายคนโต คนกลาง หรือแก่น้องชายผู้มีศีลต้ังมั่น มีตนม่ันคง๖๗๑ ในขณะท่ีบัณฑิตท่ีเหลือก็ได้เสนอ แตกต่างกันออกไป บางท่านเสนอว่า ความลับนั้นควรปกปิดไว้ ไม่ควรเปิดเผย บ้างก็ว่า ควรเปิดเผยแก่ มารดาบดิ า บา้ งกว็ า่ ควรเปิดเผยแกเ่ พ่อื น คัมภีร์อรรถกถามีเน้ือความพรรณนาถึงปุกกุสบัณฑิตเพิ่มเติมว่า ท่านเป็นอามาตย์รับราชการ ในราชสานกั ของพระเจ้ามัทวะ วันหนึ่ง พระเจ้ามัทวะได้มอบพระราชเทวีให้แก่บุตรของปุโรหิตให้อภิรมย์ ๗ วัน ต่อมาทั้ง ๒ ได้หนีไปอยู่ทีอื่น ไม่สามารถตามตัวพบ ทาให้พระราชาเกิดความเศร้าโศกอย่างหนัก เสนกบัณฑิตจึงออกอุบายให้มีการแสดงกลืนกินดาบต่อหน้าพระที่นั่ง เม่ือทรงเห็นการแสดงก็จะตรัสถาม วา่ นอกเหนอื จากน้แี ล้ว มีการแสดงอะไรท่ยี ากกวา่ นี้บา้ ง เหล่าบัณฑิตในราชสานักจึงได้กราบทูลเร่ืองทท่ี าได้ยากท่สี ดุ ดังกล่าวข้างต้น ทาให้พระราชาได้ ทรงฉุกคิดสง่ิ ท่ีพระองคไ์ ด้กระทาลงไป กลา่ วคอื พระองค์ได้เคยตรัสว่าให้แล้ว แต่ก็ยังทรงตามเศร้าโศกอยู่ อีก ทาให้พระราชาคลายความเศรา้ โศกในทส่ี ุด ปกุ กสุ าติ ปุกกุสาติ ออกจากเรอื นบวชอุทิศเฉพาะพระผูม้ ีพระภาคเจา้ โดยที่ยงั ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้ามา ก่อน วันหน่ึงท่านเดินทางรอนแรมไปถึงเมืองราชคฤห์ ได้เข้าไปขอพักท่ีบ้านนายช่างหม้อ ขณะที่พระผู้มี พระภาคเจ้าก็เสด็จมาท่ีเมืองราชคฤห์ และได้เข้าไปขอพักท่ีบ้านนายช่างหม้อเหมือนกัน แต่หลังปุกกุสาติ เล็กน้อย นายช่างหม้อจึงบอกเลี่ยงไปว่า ถ้าบรรพชติ รูปกอ่ นอนญุ าต กเ็ ชิญพกั ตามสบาย ๖๖๙ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๔๕/๓๙๑. ๖๗๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๓๙/๒๖๑. ๖๗๑ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๓๑๙/๕๒๕.
๑๙๕ อน่งึ ในอรรถกถาทีฆนิกาย ระบุว่า ปุกกุสาติน้ันเกิดในราชสกุลในกรุงตักกสิลา เป็นพระราชา พระนามว่า ปกุ กสุ าติ ต่อมาออกบวชอุทิศพระผ้มู ีพระภาคเจ้า๖๗๒ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ จงึ ไดเ้ ข้าไปภายในศาลา และก็ไดก้ ล่าวขออนญุ าตปุกกุสาติขอพักอยู่สักคืน หนึ่ง ซ่ึงปุกกุสาติก็อนุญาต เพราะศาลากว้างใหญ่ เม่ือได้รับอนุญาตแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ได้ลาดสัดทัด หญ้า แล้วประทับน่ังสมาธิ ตั้งพระวรกายตรง ดารงพระสติไว้เฉพาะหน้า ประทับนั่งจนล่วงเลยราตรีไป มาก แมป้ ุกกสุ าตกิ น็ ่ังจนลว่ งเลยราตรีไปมากเหมอื นกนั ในคมั ภีรอ์ รรถกถาระบุวา่ พระผมู้ ีพระภาคไดเ้ สด็จตลอดระยะทาง ๔๕ โยชน์ไปเมืองราชคฤห์ คร้ังน้ี มีพระประสงคจ์ ะโปรดปุกกุสาตเิ ปน็ การเฉพาะ๖๗๓ ดว้ ยเหตนุ ้ี จึงทรงแวะท่ีบา้ นนายช่างหม้อ พระผู้มีพระภาคเห็นกิริยาของปุกกุสาติก็ทรงเล่ือมใส จึงได้ตรัสถามว่า บวชอุทิศใคร ใครเป็น ศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร๖๗๔ ปุกกุสาติได้ตอบไปว่า ตนบวชอุทิศพระสมณโคดม บตุ ร กิตตศิ ัพท์ของพระองคง์ ามขจรไปอย่างน้วี า่ พระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบ ได้โดยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ท่ีควรฝึกได้ เป็น ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย ข้าพเจ้าชอบใจธรรมของพระผ้มู ีพระภาคพระองคน์ ้ัน พระผู้มีพระภาคได้สดับเช่นนั้นก็ตรัสถามต่อไปอีกว่า พระผู้มีพระภาคนั้นประทับอยู่ที่ไหน ท่านเคยเห็นพระองค์ไหม ถ้าเห็นจะรู้จักพระองค์ไหม ปุกกุสาติตอบว่า ตอนนี้รู้แต่เพียงว่า พระองค์ ประทบั อยทู่ กี่ รุงสาวัตถี ยงั ไม่เคยเห็นพระองค์ หรอื ถึงเหน็ ก็คงไมร่ ้จู ัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบว่า ปุกกุสาติบวชอุทิศพระองค์ จึงได้บอกให้ต้ังใจฟังให้ดี จะแสดง ธรรมให้ฟัง จากนั้นก็ทรงแจกแจงเร่ืองธาตุโดยนัยต่าง ๆ นับตังแต่ ธาตุท่ีเป็นแดนเกิดผัสสะทั้ง ๖, ธาตุมี ปฐวีธาตุเป็นต้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมจบ ปุกกุสาติก็ทราบทันทีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนคือ พระพทุ ธเจ้า จงึ ได้ลกุ ข้ึนจากอาสนะ ห่มผา้ เฉวยี งบา่ หมอบกราบแทบพระบาท พร้อมทั้งขอให้ทรงอดโทษ ต่อกริ ยิ าทแี่ สดงออกไป จากนั้นจึงทูลขออุปสมบท แต่เนื่องจากเธอยังไม่มีบาตร จีวร จึงตรัสบอกให้ไปหา บาตรจีวรมากอ่ น ปุกกุสาติได้แสวงหาบาตรและจีวรอยู่ เธอได้ถูกแม่โคขวิดตาย เม่ือเร่ืองทราบถึงพระผู้มีพระ ภาคเจ้า ก็ตรัสรับรองว่า ปุกกุสาติได้เป็นพระอนาคามี ละสังโยชน์เบื้องต่าท้ัง ๕ ได้แล้ว เป็นโอปปาติกะ จะนพิ พานในโลกนน้ั ไมห่ วนกลบั มาโลกนอี้ ีก อนง่ึ ในสังยตุ ตนกิ ายระบวุ ่า ท่านไปบงั เกดิ ในพรหมโลกชัน้ อวิหา๖๗๕ ปญุ ญลกั ขณา,นาง นางปุญญลกั ขณา ปรากฏในสิริชาดก๖๗๖ ปรารภเร่ืองสมบัติย่อมเกิดขึ้นแก่คนมีบุญ คนมีบุญ จะมีศิลปะหรือไม่มีศิลปะก็ตามที ขวนขวายทรัพย์ใดไว้ ย่อมได้ใช้สอยทรัพย์น้ัน เหมือนนางปุญญลักขณา เทวเี กดิ ขนึ้ แก่อนาถปณิ ฑกิ เศรษฐีผู้ทาแต่บญุ ไว้แล้ว ๖๗๒ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๔๐๒. ๖๗๓ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๕๒๖. ๖๗๔ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๓๔๒/๔๐๒. ๖๗๕ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๐๕/๑๑๔. ๖๗๖ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๐๒/๑๔๓.
๑๙๖ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสเร่ืองน้ีด้วยทรงปรารภเร่ืองพราหมณ์โจรลักสิริ ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี โดยทาท่านาเครื่องบรรณาการไปให้ จากนั้นก็เอ่ยปาก โดยขณะเอ่ยปากขอก็ สงั เกตว่าสิรอิ ยทู่ ่ีไหนกจ็ ะขอสิง่ นน้ั เร่มิ ตัง้ แตเ่ อย่ ปากขอไก่ ขอแกว้ มณี ขอไม้เจว็ด สุดท้ายเม่ือสิริเลยไปอยู่ บนศีรษะของนางปุญญลักขณา ผู้เป็นภรรยาเอกของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ก็ไม่อาจเอ่ยปากขอได้อีก จึง สารภาพตามความเปน็ จรงิ จากน้นั ก็หลีกไป๖๗๗ ปณุ ณะ ปณุ ณะมีปรากฏในคัมภรี ์หลายคน ประมวลสรปุ ได้ดงั นี้ ๑. นายปณุ ณะผูป้ ระพฤติโควัตร นายปุณณะผู้น้ี ในคัมภีร์เรียกว่า นายปุณณะ โกลิยบุตร หรือบุตรของชาวโกลิยะช่ือปุณณะผู้ ประพฤติโควัตร๖๗๘ คาวา่ โควัตร หมายถึง ประพฤติเลียนแบบโค คือ ผูกเขา ผูกหางเที่ยวไปกับฝูงโค ได้ เข้าเฝ้าพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พรอ้ มกบั ชเี ปลือยชื่อเสนิยะผู้ประพฤติกุกกรุ วตั ร (ประพฤติเลียนแบบสุนัข หรือ กริ ิยาอาการเหมอื นสนุ ัขทุกอย่าง เชน่ เวลาจะนงั่ กจ็ ะตะกุยแล้วจึงน่ัง) เมื่อไปถึงนายปุณณะก็ได้ถามพระผู้ มีพระภาคว่า ชีเปลือยชื่อเสนิยะ ผู้ประพฤติกุกกุรวัตรน้ีทาสิ่งท่ีทาได้ยาก กินอาหารท่ีเขากองไว้ที่พ้ืน สมาทานกกุ กรุ วตั รทุกอย่างสมบูรณแ์ บบมานาน คติของเขาจะเป็นอย่างไร พระผมู้ ีพระภาคไดต้ รสั หา้ มนายปุณณะถึง ๓ คร้ัง แต่เม่ือเห็นว่ายังย้าถามอยู่อย่างน้ัน จึงตรัส ว่า คนที่บาเพ็ญกุกกุรวัตร ตายแล้วก็ย่อมไปบังเกิดในหมู่สุนัข แม้เขาบาเพ็ญด้วยคิดว่า ตายไปแล้ว จะได้ บังเกิดในหมู่เทวดา คติของเขาก็มีเพียง ๒ อย่างเท่าน้ัน คือ (๑) ประพฤติได้สมบูรณ์ ก็ไปบังเกิดเป็น เดรัจฉาน (๒) ประพฤตบิ กพรอ่ ง กไ็ ปยังเกดิ ในนรก สิ้นพระดารัสของพระพุทธเจ้า ชีเปลือยชื่อเสนิยะถึงกับร้องไห้น้าตานองหน้า จากนั้นจึงได้ กราบทูลถามว่า นายปุณณะประพฤติโควัตรอย่างสมบูรณ์มาเป็นระยะเวลานาน คติข้างหน้าของเขาจะ เป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามโดยนัยดังกล่าวข้างต้น แต่เมื่อเสนิยะยืนยันต้องการคาตอบ ก็ ทรงตรสั คติ ๒ ประการ คอื (๑) ประพฤติได้สมบูรณ์ก็ได้เป็นเกิดเป็นโค (๒) ประพฤติบกพร่อง ก็ไปเกิดใน นรก ส้ินพระดารัส นายปุณณะก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นเพราะเสียใจ หากใจท่ีได้ยินพระ ดารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ตรัสอย่างตรงไปตรงมา ทาให้ตนสามารถตัดสินใจเลิกประพฤติโควัตรได้ เดด็ ขาด พระผมู้ พี ระภาคเห็นอัธยาศัยของนายปุณณะ และชีเปลือยช่ือเสนิยะแล้ว จึงได้แสดงกรรม ๔ ประการ คอื (๑) กรรมดา มวี ิบากดา หมายเอาการกระทาที่ประกอบด้วยการเบียดเบียนท้ังทางกาย วาจา และใจ (๒) กรรมขาวมีวิบากขาว หมายเอา การกระทาท่ีไม่ประกอบด้วยความเบียดเบียนท้ังทางกาย วาจา และใจ หมายเอา การกระทาที่ประกอบทั้งการเบียดเบียน และไม่เบียดเบียนคละเคล้ากันไป (๓) กรรมท้ังดาและขาว มีวิบากท้ังดาและขาว (๔) กรรมทั้งไม่ดา ไม่ขาว มีวิบากทั้งไม่ดา และไม่ขาว หมาย เอาการกระทาทม่ี งุ่ ละท้ังกรรมทม่ี วี บิ ากดา และกรรมที่มวี บิ ากขาว เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสภาษิตจบแล้ว นายปุณณะ ได้แสดงตนขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต ส่วนนายเสนิยะ ไดก้ ราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยกกรณีนี้ ๖๗๗ ขุ.ชา.(ไทย) อ.๓/๔/๒๗๕. ๖๗๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๗๘/๗๕.
๑๙๗ เป็นตัวอย่าง ทรงวางเง่ือนไขว่า ผู้เคยเป็นอัญเดียรถีย์มาก่อน หากประสงค์จะอุปสมบทในพระธรรมวินัย ของพระองค์ ต้องอยูป่ รวิ าส ๔ เดอื น๖๗๙ ๒. พระปณุ ณ ผเู้ ปน็ บุตรนางมันตานี พระปุณณะ เป็นบุตรของนางมันตานี๖๘๐ และพราหมณ์มหาศาลในบ้านโทณวัตถุ เมือง กบลิ พสั ด์ุ ซ่งึ เปน็ บ้านเดยี วกับพระอญั ญาโกณฑัญญะ ความที่ทา่ นเป็นบุตรของนางมันตานี คนทั้งหลายจึง เรียกท่านว่า พระปุณณมันตานีบุตร๖๘๑ และท่านมีศักดิ์เป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ ออกบวช เพราะการชักชวนของพระอัญญาโกณฑัญญะ นับเนื่องในพระอสีตมหาสาวก ๘๐ เป็นพระมหาเถระองค์ หน่ึงท่ีได้บาเพ็ญบารมีมาแล้วตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ๖๘๒ คร้ังนั้นท่านเกิดในสกุล พราหมณ์ แตต่ อ่ มามองเหน็ ไตรเพทเหมือนต้นกล้วย ข้างนอกเกลี้ยงเกลา แต่หาแก่นสารไม่ได้ การถือไตร เพทเท่ียวไป เหมือนการบริโภคแกลบ๖๘๓ จึงได้ออกบวชเป็นฤาษี ต่อมาได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าพระ นามว่าปทมุ ตุ ตระ และได้ทาสกั การะใหญ่ พร้อมท้ังปรารถนาความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นธรรม กถกึ ในรถวินีตสูตร๖๘๔ พรรณนาเน้ือความพระปุณณมัตตานีบุตร ได้รับยกย่องจากเพื่อน พรหมจารีต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาว่า เป็นผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่ (๑) มัก นอ้ ย (๒) สนั โดษ (๓) ชอบสงดั (๔) ไม่คลกุ คลดี ้วยหมคู่ ณะ (๕) ปรารภความเพยี ร (๖) บริบูรณ์ด้วยศีล (๗) บริบูรณ์ด้วยสมาธิ (๘) บริบูรณ์ด้วยปัญญา (๙) บริบูรณ์ด้วยวิมุตติ และ (๑๐) บริบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณ ทศั นะ เป็นเหตุใหพ้ ระสารีบตุ รมีความปรารถนาอยา่ งยิง่ ที่จะไดส้ นทนาธรรมกบั ท่านสกั ครั้ง ตอ่ มาเม่ือพระปณุ ณมันตานบี ุตรได้เขา้ เฝา้ พระผูม้ ีพระภาค ภายหลังเข้าเฝ้าแล้ว ท่านก็ปลีกตัว พักกลางวัน ณ ป่าอันธวัน พระสารีบุตรได้ทราบข่าวจากภิกษุรูปหนึ่ง จึงได้ถือผ้านิสีนทะ เดินตามพระ ปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร และพักกลางวนั ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่งเหมือนกัน ถึงเวลาเย็นจึงได้ออกจากท่ีพักเข้าไป หาพระปุณณมันตานีบุตร คร้ันได้สนทนาปราศรัยเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว ก็ได้ปรารภ เปา้ หมายแห่งพรหมจรรยต์ ามลาดบั วิสทุ ธิ ๗ ประการ จากบทสนทนา แสดงให้เห็นว่า พระสารีบุตรได้พยายามถามถึงการประพฤติพรหมจรรย์ของ พระปณุ ณมนั ตานบี ุตรวา่ เพอ่ื สลี วสิ ทุ ธิ, จิตตวิสทุ ธิ, ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ, กังขาวติ รณวสิ ุทธิ, มคั คามัคคญาณทัสสนวิ สทุ ธิ, ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ, ญาณทัสสนวิสุทธิ ใช่หรือไม่ แต่ท่านได้ปฏิเสธทั้งหมด แล้วกล่าวสรุปว่า ตนประพฤตพิ รหมจรรย์เพอ่ื อนปุ าทเิ สสนิพพาน พระปุณณมันตานีบุตรได้แสดงให้พระสารีบุตรเห็นว่า ท้ังสีลวิสุทธิก็ดี จิตตวิสุทธิ เป็นต้นก็ดี ไม่ใช่อนุปาทิเสสนิพพาน หากแต่เพียงเพียงปฏิปทาท่ีจะนาไปสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เปรียบเหมือนรถ ๗ ผลดั ที่พระเจา้ ปเสนทโิ กศลทใชเ้ สด็จพระราชดาเนินจากเมืองสาวัตถีไปเมืองสาเกตุ (ม.มู.๑๒/๒๕๙/๒๘๑) จากการสนทนาดงั กลา่ วน้ี ทาใหพ้ ระสารีบุตรกล่าวช่ืนชมพระปุณณมันตานีบุตรที่สามารถวิสัชนาข้อธรรม ไดอ้ ยา่ งลึกซึ้ง ถือเป็นลาภของท่านท่ีได้สนทนาด้วย และด้วยการสนทนาครั้งนี้เอง ทาให้พระปุณณมันตานี ๖๗๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๒/๘๒. ๖๘๐ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๔๕๔/๗๐. ๖๘๑ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๖๐/๒๘๓. ๖๘๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๔๒๕/๖๗. ๖๘๓ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑/๑/๓๒๖. ๖๘๔ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๓.
๑๙๘ บุตรทราบเป็นคร้ังแรกว่า ผู้ท่ีตนสนทนาด้วยน้ีเป็นพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวก ท่านจึงกล่าวช่ืนชมพระ สารบี ตุ รโดยนัยทีพ่ ระสารีบตุ รได้กลา่ วชน่ื ชมทา่ นนั่นเอง ในอานันทสูตร๖๘๕ พระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว กล่าวช่ืนชมพระปุณณมันตานีบุตร วา่ พระปณุ ณมันตานบี ตุ รนนั้ เป็นผูม้ ีอุปการะมาก เพราะเป็นผู้กล่าวสอนธรรมโดยประการต่าง ๆ สุดท้าย ก็สรปุ ว่า ท่ีไดบ้ รรลุธรรมก็เพราะไดฟ้ งั ธรรมจากพระปุณณมนั ตานบี ตุ ร พระปุณณมันตานีบุตร ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะว่า เลิศกว่า ภกิ ษทุ ั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก๖๘๖ ส่วนบน้ั ปลายชวี ิตของท่านวา่ ปรินพิ พานที่ไหน อย่างไร ไม่มรี ะบุไว้ ๓. พระปุณณะ ผ้อู าศัยอยใู่ นสนุ าปรนั ตชนบท พระปุณณะผู้น้ี คือผู้ที่อาสาพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่สุนาปรันตชนบท เพื่อทาหน้าท่ีเผยแผ่พระ ธรรมคาสั่งสอนให้แพร่หลาย ในปุณโณวาทสูตร๖๘๗ และปุณณสูตร๖๘๘ พรรณนารายละเอียดไว้ลักษณะ เดยี วกนั สรุปความได้ดังตอ่ ไปนี้ พระปุณณะได้เข้าไปกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคประทานโอวาท ก่อนท่ีจะปลีกตัวไป บาเพ็ญเพียรท่ีสุนาปรันตชนบท พระผู้มีภาคเจ้าได้ประทานโอวาท ให้พระปุณณะสารวมระมัดระวังไม่ให้ เกิดความเพลิดเพลิน เชยชม ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เพราะความเพลิดเพลิน จะเปน็ เหตุให้เกิดทุกข์ เมือ่ ดบั ความเพลิดเพลินได้ ความทุกขจ์ ึงดับ หลงั จากประทานโอวาทแกพ่ ระปณุ ณะแล้ว ทรงปรารภข้ึนว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะเป็น คนดุร้าย หยาบคาย ถ้ามนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทด่า บริภาษ เธอจะคิดอย่างไร พระปุณณะกราบทูลว่า ก็ยังดีกว่าเขาประหารด้วยฝ่ามือ ทรงถามต่อไปอีกว่า ถ้าเขาประหารด้วยฝ่ามือละ จะคิดอย่างไร พระ ปุณณะกราบทูลว่า ดีกวา่ เขาประหารด้วยก้อนดิน “ถ้าเขาประหารด้วยก้อนดนิ ละ” กราบทลู วา่ “ดีกวา่ เขาประหารดว้ ยท่อนไม้” “ถา้ เขาประหารด้วยท่อนไมล้ ะ” กราบทูลวา่ “ดกี ว่ากวา่ เขาประหารดว้ ยศัสตรา” “ถา้ เขาประหารด้วยศสั ตราละ” กราบทูลวา่ “ดกี ว่าเขาปลงชีวิตดว้ ยศัสตรา” “ถ้าเขาปลงชีวิตด้วยศัสตราละ” พระปุณณะได้กราบทูลว่า “พระสาวกของพระผู้มีพระภาค บางรูป อึดอดั ระอา รงั เกยี จอยู่ด้วยร่างกาย และชีวิต แสวงหาศัสตราปลงชีวิตมีอยู่ โชคดีท่ีข้าพระองค์ได้ ศัสตราเคร่ืองปลงชีวติ โดยไม่ต้องแสวงหาเลย” เมื่อพระปุณณะกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยลาดับเช่นน้ี พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคาชม เชยว่า ถ้าประกอบดว้ ยความข่มใจ และความสงบใจเช่นน้ี เธอก็สามารถอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้ จากนั้น กท็ รงส่งพระปณุ ณะไป พระปุณณะอาศัยอยู่ในสุนาปรันตชนบท ระหว่างพรรษานั้นเอง ท่านสามารทาให้ชาวสุนา ปรันตชนบทผูด้ รุ ้ายแสดงตนเปน็ อุบาสก ๕๐๐ แสดงตนเป็นอุบาสิกา ๕๐๐ และในระหว่างพรรษานั้นเอง ท่านได้บรรลวุ ิชชา ๓ ตอ่ มาก็ไดป้ รนิ ิพพาน๖๘๙ ๖๘๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๓/๑๔๒. ๖๘๖ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๓๘๑. ๖๘๗ ม.อปุ ริ.(ไทย) ๑๔/๓๙๕/๔๔๗. ๖๘๘ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๘๘/๘๔. ๖๘๙ ม.อุปร.ิ (ไทย) ๑๔/๓๙๗/๔๕๑.
๑๙๙ ปณุ ณก, มาณพ ปุณณกะมาณพ เป็น ๑ ใน ๑๖ ของศิษย์พราหมณ์พาวรี ท่ีได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้ไป ถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย อชิตะ ติสสเมตเตยยะ ปุณณกะ เมตตคู โธตกะ อุปสีวะ นนั ทะ เหมกะ โตเทยยะ กปั ปะ ชตุกัณณิ ภัทราวุธ อทุ ยั โปสาละ โมฆราช และปงิ คิยะ๖๙๐ ปุณณกมาณพ ได้กราบทูลถามปัญหาต่อพระผู้มีพระภาคว่า พราหมณ์จานวนมากในโลกนี้ อาศัยอะไร จึงพากันบชู ายญั แก่เทวดาทงั้ หลาย ต่อปัญหานี้พระผู้มพี ระภาคเจา้ พยากรณ์ว่า เพราะอาศัยชรา จงึ พากันบูชายัญ ปุณณกมาณพ ได้ทูลถามต่อไปอีกว่า เมื่อบูชาแล้ว คนเหล่านั้นสามารถข้ามพ้นชาติ และชรา บ้างไหม? ทรงตอบว่า ไม่ได้ เพราะพราหมณ์เหล่านั้นยังกาหนัดยินดีในภพ จากน้ันปุณณกะจึงกราบทูล ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตทุ ที่ าให้สามารถขา้ มพน้ ชาติ และชรา พระผูม้ พี ระภาคเจ้าตรัสวา่ “บคุ คลใดไมม่ คี วามหว่นั ไหวในโลกไหนๆ เพราะทราบชัดฝั่งนี้และ ฝ่ังโน้นในโลก (หมายถึง อัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อ่ืน) บุคคลนั้นเป็นผู้สงบ ปราศจากควัน (หมายถึง ความชว่ั ทางกาย วาจา และใจ) ไม่มที ุกข์ ไม่มคี วามหวงั ชื่อวา่ ขา้ มชาติและชราได้แลว้ ” ๖๙๑ ปุณณกมาณพ ภายหลังต่อมา ได้ฟังคาพยากรณ์ปัญหาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้บรรลุ เป็นพระอรหนั ต์ ได้บวชในพระธรรมวินัยของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ปณุ ณกิ า,ภกิ ษุณี ปุณณิกาภิกษุณี ปรากฏในปุณณิกาเถริยาปทาน๖๙๒ ความสังเขปว่า นางได้เป็นผู้มีบุญอัน กระทาไว้แต่ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีปัญญารักษาตน สารวมอินทรีย์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความท่ีนางเป็นคนมีมานะจัด ภพสุดท้ายนางได้บังเกิดในเรือนแห่งนาง กมุ ภทาสีของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี สาเหตุที่ชื่อว่า ปุณณา เพราะตอนคลอดน้ัน จานวนทาสี ครบ ๑๐๐ พอดี นางจงึ ได้รับสิทธพิ ิเศษ ไมต่ อ้ งเป็นทาสี วันหนี่งนางได้ไปตักน้า เห็นโสตถิยพราหมณ์หนาวสั่นอยู่ในน้า เพราะประสงค์จะชาระบาป นางจึงได้แสดงเหตุและผล ทาให้พราหมณเ์ กดิ ความสลดใจ ออกบวช และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในท่ีสุด ส่วนนางเอง ต่อมาได้ขอพรจากอนาถปิณฑิกเศรษฐีบวชเป็นภิกษุณี บาเพ็ญเพียรไไม่นานก็ได้บรรลุ อรหัตผล เป็นผู้ชานาญในฤทธ์ิ ในทิพพโสต และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ส้ินอาสวะท้ัง ปวง ไม่มีภพใหมอ่ กี ต่อไป๖๙๓ ปุณณิยะ,พระ พระปุณณิยะ ปรากฏในปุณณิยสูตร อังคุตตรนิกาย๖๙๔ และในอังคุตตรนิกาย๖๙๕ ความ สังเขปว่า พระปุณณิยะ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลเหตุปัจจัยที่เป็นเหตุให้พระธรรม เทศนาของพระตถาคตเจา้ แจม่ แจ้งในบางคราว แต่ในบางคราวไม่แจม่ แจง้ ๖๙๐ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๑๓/๗๔๐. ๖๙๑ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๕๕/๗๕๐. ๖๙๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๘๔/๕๔๕. ๖๙๓ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๙๗/๕๔๖. ๖๙๔ อง.ฺ อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๘๒/๔๐๖. ๖๙๕ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๓๙๗/๔๕๑.
๒๐๐ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แสดงแก่พระปุณณิยะ เป็นลาดับว่า ผู้มีศรัทธาและเข้าไปหา เม่ือน้ัน พระธรรมเทศนาแจม่ แจ้ง เม่ือมีศรัทธา เข้าไปหาแล้ว ให้เข้าไปนั่งใกล้ เข้าไปน่ังใกล้แล้ว ให้สอบถาม เมื่อ สอบถามแล้ว ใหเ้ ง่ยี โสตฟงั ธรรม เมอ่ื เงีย่ โสตฟงั ธรรมแล้ว ให้ทรงจาไวใ้ ห้ดี เมื่อทรงจาไวด้ ีแลว้ ให้พิจารณา เนอื้ ความแหง่ ธรรมท่ีทรงจาไว้ เม่ือพิจารณาเนื้อความท่ีทรงจาไว้แล้ว ให้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เน่ือ นนั้ ธรรมเทศนาของพระตถาคตจงึ จะแจ่มแจง้ ปตู ิคตั ตตสิ สเถระ, พระติสสเถระรูปน้ี เป็นโรคเร้ือรัง ร่างกายของท่านเน่าเปื่อย ไม่มีผู้ดูแลรักษา กระทั่งสมเด็จ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เสดจ็ ไปอนุเคราะหเ์ ปน็ การส่วนพระองค์ พร้อมทั้งตรัสเตือนสติด้วยพระคาถาว่า อีก ไม่นาน รา่ งกายนีจ้ ักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ไม่มีประโยชน์๖๙๖ ความ พรรณนาไว้ในอรรถกถาธรรมบท๖๙๗ โดยสงั เขป ดังน้ี พระติสสะ เดมิ เป็นชาวเมอื งสาวตั ถี ไม่ปรากฏช่ือบิดามารดา คมั ภีร์พรรณนาไว้แต่เพียงว่า วัน หนึ่งได้ฟังธรรมกถาจากสานักของพระศาสดา ถวายชีวิตบวชในพระศาสนา แต่ต่อมาเกิดโรคพุพอง ร่างกายเต็มไปด้วยน้าเหลือง ลุกลามไปถึงกระดูก ไม่สามารถลุกไปไหนได้ นุ่งผ้านุ่งและผ้าห่มเป้ือนด้วย หนองและเลอื ด แม้มีสทั ธวิ ิหารกิ กไ็ ม่สามารถดแู ลปฏิบัติได้ ตา่ งทิง้ ให้ท่านนอนรอความตายอยู่เพียงลาพัง เปน็ ทเ่ี วทนา พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ด้วยพระญาณอันเป็นทิพย์ มีพระ ประสงคจ์ ะอนเุ คราะห์ จึงไดเ้ สดจ็ ไปยังสานกั ของพระเถระ ครัน้ เสดจ็ ไปถงึ แล้วก็ทรงจัดแจงล้างหม้อ ใส่น้า ยกต้ังบนเตา ประทับยืนรอให้น้าร้อน คร้ันทรงทราบว่าน้าร้อนแล้ว ก็เสด็จไปจับปลายเตียงที่พระติสสะ นอน ภิกษุทง้ั หลายเห็นเชน่ นน้ั จึงไดเ้ ข้าไป กราบทูลขอใหท้ รงหลีกไป จะช่วยกันจัดแจงเอง พระศาสดารับส่งั ให้นารางมา เทนา้ ร้อนใส่แล้ว รับสงั่ ใหภ้ ิกษุเหลา่ นั้นเปล้ืองผ้าห่ม ให้ขยาด้วย น้าร้อน แล้วให้ผ่ึงแดด ทรงประทับยืนอยู่ในท่ีใกล้ ทรงรดสรีระพระติสสะด้วยน้าอุ่น ทรงถูสรีระของเธอ ให้เธออาบน้าแล้ว เมื่อผา้ แหง้ แลว้ กท็ รงช่วยให้เธอนุ่งห่ม ให้นอนบนเตียง เมื่อเห็นว่าเธอมีจิตเป็นอารมณ์ หนึ่ง ได้ทรงตรัสเตือนสติว่า ร่างกายนี้ เม่ือวิญญาณไปปราศแล้ว หาอุปการะมิได้ จักนอนบนแผ่นดิน เหมือนทอ่ นไม้ ในเวลาจบเทศนา พระปูติคัตตติสสะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาพร้อมทั้ง ปรนิ ิพพาน พระศาสดาโปรดใหท้ าสรีรกิจของท่าน ทรงเกบ็ อฐั ิ แลว้ โปรดใหท้ าเจดยี ์บรรจไุ ว้ หลังจากทาสรีรกิจ บรรจุอัฐิพระติสสเถระเสร็จแล้ว ก็ทรงคลายข้อสงสัยของภิกษุว่า ทาไม รา่ งกายของพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์จึงเป็นเช่นนี้ โดยทรงยกบุพกรรมที่ได้เคยทา ไว้สมัยเป็นนายพรานนก ได้เคยจับนกหักกระดูกแข้ง กระดูกปีกไม่ให้บินได้ กองเอาไว้ รุ่งขึ้นก็เอาไปขาย บ้าง กนิ บา้ ง ดารงชีวิตอย่ดู ว้ ยอาการอยา่ งน้ี วันหนึ่งได้เห็นพระขีณาสพรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาต เกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายอาหาร บิณฑบาต แล้วไหว้พระเถรด้วยเบญจางคประดิษฐ์ พร้อมทั้งเปล่งวาจาว่า ขอให้ได้เข้าถึงธรรมท่ีพระ คุณทา่ นถึงแล้ว พระเถระไดอ้ นโุ มทนาขอให้เปน็ เชน่ น้ัน ๖๙๖ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๑/๓๘. ๖๙๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๓๐๐-๓๐๔.
๒๐๑ ด้วยบุพกรรมที่เคยจับนก และกุศลที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาต เกิดในชาติน้ี จึงมีโรคเกิดข้ึนท่ี สรีระเป็นที่รงั เกยี จ และวาระสุดทา้ ยชวี ิต กไ็ ด้บรรลพุ ระอรหนั ต์ ปูรณกัสสปะ ปรู ณกสั สปะ เปน็ ๑ ในครูท้ัง ๖ ที่มีช่ือเสียง ประกอบไปด้วย ปูรณะ กัสสปะ, มักขลิ โคศาล, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ, สัญชัย เวลัฏฐบุตร และ นิครนถ์ นาฏบุตร ทั้งหมดได้รับการยกย่อง วา่ เป็น เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มชี ื่อเสยี ง มยี ศ เปน็ เจา้ ลัทธิ ชนเป็นอนั มากสมมติว่าเป็นคนดี๖๙๘ ปูรณกัสสปะ เดิมเป็นทาสในตระกูลหนึ่ง ตอนกาเนิดมา เขาเป็นทาสที่ ๙๙ คนพอดี ถือเป็น เลขมงคล จึงชื่อว่า ปูรณะ เขาจึงกลายเป็นทาสที่เป็นมงคล ได้รับสิทธิพิเศษเหนือทาสคนอื่น ๆ กล่าวคือ จะทาดี หรือทาชั่ว ยังไม่ทา หรือทาไม่เสร็จ ก็ไม่มีใครว่าอะไร ต่อมาเกิดความคิดว่า จะอยู่ท่ีนี่ทาไม จึงได้ หนีไป แตโ่ ชครา้ ยถกู โจรแยง่ ผา้ นุ่งไป จึงเดินเปลอื ยกายไปยังหมู่บ้านแหง่ หนึ่ง มนษุ ย์ทั้งหลายเห็นเข้า เข้าใจว่าเป็นสมณะ เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มักน้อย เกิดความเล่ือมใส จึงถือเอาอาหารคาวหวานไปถวาย ทาให้เขาเกิดความคิดว่า เพราะความท่ีตนไม่ได้นุ่งผ้า ลาภสักการะจึง เกิดเป็นอันมาก ตั้งแต่น้ันมา จึงไม่นุ่งผ้า ถือเอาการเปลือยกายน่ันแหละเป็นบรรพชา แม้คนอื่น ๆ ประมาณ ๕๐๐ คน ก็พากันเล่อื มใส และบวชตาม อาศัยอยู่ในสานกั ของปูรณกัสสปะนั้น๖๙๙ สานักของปูรณกัสสปะ ประกาศลัทธิ อกิริยวาทะ คือว่าที่ถือว่า ทาแต่ไม่เป็นอันทา หมายความวา่ การกระทาทุกอย่างท่ีทาลงไปไมม่ ผี ลอะไรตอ่ วิญญาณ เพราะวิญญาณน้ันไร้กัมมันต์ เป็นสิ่ง ทเ่ี ทยี่ งแทถ้ าวร ไม่มีการเปล่ยี นแปลง รา่ งกายเท่านน้ั เป็นเจา้ ของพฤติกรรม วิญญาณไม่เกี่ยวข้องกับดีหรือ กรรมชั่วท่ีร่างกายทา แต่ร่างกายเป็นส่ิงท่ีไร้เจตนา ดังนั้น เม่ือร่างกายทาส่ิงใด ๆ ลงไป จึงไม่จัดเป็นบุญ หรอื บาปแต่อย่างใด ทุกส่ิงทุกอย่างที่กระทาลงไปจึงไม่มีผลอะไร เม่ือให้ทานก็ไม่จัดเป็นบุญ เม่ือฆ่าสัตว์ก็ ไมจ่ ดั เป็นบาป “มหาบพิตร เมื่อบุคคลทาเอง ใช้ให้ผู้อื่นทา ตัดเอง ใช้ให้ผู้อ่ืนตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อ่ืน เบยี ดเบยี น ทาใหเ้ ศร้าโศกเอง ใชใ้ ห้ผู้อน่ื ทาให้เศรา้ โศก ทาใหล้ าบากเอง ใช้ให้ผู้อื่นทาให้ลาบาก ดิ้นรนเอง ใชใ้ หผ้ ู้อ่นื ทาใหด้ ้ินรน ฆ่าสตั ว์ ถือเอาสิง่ ของทเี่ จา้ ของเขาไม่ไดใ้ ห้ ตัดชอ่ งยอ่ งเบา ปล้น ทาโจรกรรมในบ้าน หลงั เดียว ดกั ซ่มุ ทท่ี างเปลยี่ ว เป็นชู้ พูดเทจ็ ผทู้ า (เชน่ น้ัน) ก็ไม่จัดว่าทาบาป แม้หากบุคคลใช้จักรมีคมดุจ มีดโกนสังหารเหล่าสัตว์ในปฐพีน้ีให้เป็นดุจลานตากเนื้อ ให้เป็นกองเนื้อเดียวกัน เขาย่อมไม่มีบาปท่ีเกิด จากกรรมนน้ั ไมม่ บี าปมาถงึ เขา แม้หากบุคคลไปฝ่งั ขวาแม่น้าคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่น ตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อ่ืนเบียดเบียน เขาย่อมไม่มีบาปท่ีเกิดจากกรรมน้ัน ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หาก บุคคลไปฝ่ังซา้ ยแม่นา้ คงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้บูชา เขาย่อมไม่มีบุญที่เกิดจากกรรมนั้น ไม่มีบุญมาถึงเขา ไมม่ บี ญุ ทีเ่ กิดจากการให้ทาน จากการฝึกอนิ ทรีย์ จากการสารวม จากการพดู คาสตั ย์๗๐๐ ในอรรถกถาสังยุตตนิกาย ระบุถึงครูทั้ง ๖ ว่า เกิดก่อน แสดงธรรมคือมิจฉาทิฏฐิท่ีมีมลทิน เหมือนกระจายหนาม และราดยาพิษไปท่ัวชมพูทวีป๗๐๑ ขณะท่ีครูท้ัง ๖ ต่างก็ปฏิญาณตนว่าเป็นพระ ๖๙๘ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๑๒/๓๔๘. ๖๙๙ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๕๓. ๗๐๐ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๖๖/๕๓. ๗๐๑ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๒๐.
๒๐๒ อรหนั ต์ในโลก๗๐๒ และมีมหาชนทั้งหลายเชื่อเช่นนั้น เช่น คร้ังหน่ึงมีทุพภิกขภัยเกิดขึ้นในเมืองเวสาลี ก็มี คนเสนอให้เชิญครทู ง้ั ๖ มา เพราะเพียงแตค่ รทู ั้ง ๖ มา ภยั ก็จะสงบไป๗๐๓ ปสุ สเทวะ,พระ พระปสุ สเทวะ เป็น ๑ ในพระมหาเถระผู้ทรงพระวนิ ัย และนาสืบพระวนิ ัยมาในศรีลงั กา ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก๗๐๔ ระบุช่ือพระมหาเถระ ประกอบด้วย พระอุบาลี พระทาสกะ พระ โสณกะ พระสิคควะ พระโมคคัลลีบุตร รวม ๕ รูป นาพระวินัยสืบ ๆ กันมาในชมพูทวีป จากนั้นก็มี พระ มหินทะ พระอิฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัททบัณฑิต เดินทางมาจากชมพูทวีปมาเกาะ สิงหล สอนพระวนิ ยั ปิฎกในเกาะตามพปัณณิ สอนนกิ าย ๕ และปกรณ์ ๗ จากน้ันก็มีพระอริฏฐะ พระติสสทัตตบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระทีฆเถระ และพระทีฆสุมน บัณฑิต ถัดจากนั้นก็มีพระกาฬสุมน พระนาคเถระ พระพุทธรักขิตะ พระติสสเถระ พระเทวเถระ ถัด จากนั้นมีพระสุมนะ พระจูฬนาคะ พระธัมมปาลิตะ พระเขมะ พระอุปติสสะ กระทั่งมาถึงพระปุสสเทวะ ถดั จากนัน้ ก็มพี ระสุมนะ พระมหาปทุมะ พระมหาสีวะ พระอุบาลี พระมหานาคะ พระอภัย ฯลฯ ต่างก็นา พระวนิ ยั สืบๆ ตอ่ กนั มาในเกาะตามพปณั ณิ เปขณุ ิยเศรษฐี เปขุณิยเศรษฐี ปรากฏช่ือในสาฬหสูตร๗๐๕ เน้ือความในพระสูตรไม่ได้กล่าวถึงเศรษฐีโดยตรง หากแตก่ ล่าวถึงนายโรหณะ และนายสาฬหะ นายโรหณะนี้เป็นหลานของเปขุณิยเศรษฐี ส่วนนายสาฬหะ เปน็ หลานของมคิ ารเศรษฐี ทั้งสองเป็นเพื่อนกนั นายโรหณะผู้เป็นหลานของเปขุณิยเศรษฐีและนายสาฬหะผู้เป็นหลานของมิคารเศรษฐี ได้ ชวนกันเข้าไปหาพระนันทกะเถระท่ีปราสาทของนางวิสาขา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี คร้ังน้ัน พระนันทกะได้กล่าวถึงหลักความเช่ือ ๑๐ ประการ เป็นต้นว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา, อย่า ปลงใจเชอื่ ด้วยการถอื สบื ๆ กันมา ฯลฯ ซง่ึ พระผู้มพี ระภาคเจ้าเคยแสดงไวใ้ นเกสปตุ ตสตู ร เปสการธดิ า เปสการธดิ า เป็นธิดาของช่างหูก พระผู้มีพระภาคตรัสถึงนางด้วยปรารภพระคาถาว่า “โลกนี้ มืดมน คนในโลกนี้น้อยนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนนักจักได้ไปสวรรค์ เหมือนนกติดข่าย น้อยตัวนักที่จะพ้น จากขา่ ย”๗๐๖ ความในอรรถกถา๗๐๗ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี นางเปสการธิดา ไดเ้ คยฟังมรณานสุ สตกิ ถาจากพระพุทธเจา้ เม่ือครั้งเสด็จเมืองอาฬวี ตั้งแต่น้ัน มา นางก็เจริญมรณสติตลอดระยะเวลา ๓ ปี ขณะท่ีพระผู้มีพระภาค หลังจากแสดงธรรมคร้ังแล้ว ก็เสด็จ กลบั พระเชตวัน ไม่ไดพ้ บนางเปสการธดิ าอีกเลยตลอดระยะเวลา ๓ ปี ๗๐๒ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๒๘๙. ๗๐๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๑๔๖. ๗๐๔ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๗๐๕ อง.ฺ ทกุ .(ไทย) ๒๐/๖๗/๒๖๔. ๗๐๖ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๔/๘๗. ๗๐๗ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๒/๑๖๑.
๒๐๓ ตอ่ มา พระศาสดาทรงตรวจดูโลก เห็นนางเข้าไปในภายในข่ายคือพระญาณ ทรงใคร่ครวญก็ ทราบว่า นางกุมาริกานี้เจริญมรณสติตลอดระยะเวลา ๓ ปี เวลาน้ีถ้าเราไปที่น้ันแล้ว ถามปัญหา ๔ ข้อ นางกุมารกิ านน้ั จกั ต้ังอยู่ในโสดาปตั ตผิ ล เม่ือทรงเห็นดังน้ันแล้ว จึงได้พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป เสด็จออก จากพระเชตวนั ไปสู่อคั คาฬววิหารโดยลาดบั ฝ่ายชาวเมืองอาฬวีทราบข่าวพระศาสดาเสด็จมา ก็พากันไปเข้าเฝ้า แม้ธิดาช่างหูกทราบข่าว การเสดจ็ มาของพระศาสดา มีใจยนิ ดวี ่า พระบิดาของเราเสดจ็ มาแล้ว บัดน้ี เราจักได้เห็น และฟังธรรมอัน เป็นโอวาทของพระองค์ จึงเตรียมตัวจะออกไป แต่ก็ถูกบิดาสั่งให้กรอด้ายได้ให้เร่งด่วน ทาให้นางจาต้อง นั่งกรอได้ให้บิดากระท่งั เสร็จ จงึ ไดอ้ อกไป ฝ่ายชาวชาวเมืองอาฬวีอังคาสพระศาสดาแล้ว ได้รับบาตร ยืนอยู่เพื่อต้องการอนุโมทนา แต่ พระศาสดาประทับน่ิง ไม่ตรัสคาใด ๆ ด้วยทรงดาริว่า \"เราอาศัยกุลธิดาใดมาแล้วสิ้นทาง ๓๐ โยชน์ กุลธดิ านั้นไมม่ ีโอกาสแมใ้ นวนั น้ี เมือ่ กุลธดิ านั้นได้โอกาส เราจกั ทาอนโุ มทนา.\" แม้นางกุมาริกา กรอด้ายแล้วใส่ในกระเช้าแล้ว ก็เร่งเดินไปทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ไปถึง แล้วถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ในท่ีสุดบริษัท แม้พระศาสดาทอดพระเนตรนางแล้วก็ตรัสถามว่า กุมาริกา เธอมาจากไหน ? นางตอบว่า ไม่ทราบ เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า แล้วจะไปไหน นางก็ตอบอีกว่า ไม่ ทราบ พระศาสดาตรัสถามต่อไปอีกว่า เธอไม่ทราบหรือ นางก็ตอบว่า ทราบ คร้ันพระศาสดาย้อนถามว่า เธอทราบใช่ไหม นางกลับตอบว่า ไม่ทราบ ทาให้บริษัทท้ังหมดแสดงอาการไม่พอใจ และตาหนินางว่าไม่ เคารพพระศาสดา พระศาสดารับส่ังให้มหาชนเงียบเสียง จากน้ันก็ทรงให้ธิดาช่างหูกขยายความ นางได้ขยาย ความว่า ที่กราบทูลครั้งแรกว่า ไม่ทราบ เพราะพระประสงค์ท่ีถามนั้น ทรงต้องการทราบว่า ก่อนจะมาสู่ โลกนี้ เธอมาจากไหน ละจากอัตภาพนี้แล้ว จะไปไหนก็ไม่ทราบอีก จึงตอบคาถามถัดมาว่า ไม่ทราบ ส่วน ท่ีย้าตรัสถามว่า ไม่ทราบหรือ แล้วตอบว่าทราบ ก็เพราะว่านางทราบว่า นางจะต้องตายอย่างแน่นอน และทตี่ อบวา่ ไม่ทราบในคาถามสุดท้าย ก็เพราะนางไมท่ ราบว่าจะตายวนั ไหน เวลาไหน ส้ินคากราบทลู ของนางเปสการธิดา พระผ้มู พี ระภาคเจ้าได้ตรัสสาธุการแก่นาง พร้อมกับเตือน บริษัทวา่ ดว่ นตาหนนิ างทั้ง ๆ ท่ไี ม่ทราบความจริง เปรียบเหมือนคนตาบอด จากน้ันจึงทรงตรัสพระคาถา ความวา่ “โลกน้ีมืดมน คนในโลกน้ีน้อยนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนนักจักได้ไปสวรรค์ เหมือนนกติดข่าย น้อย ตวั นกั ที่จะพ้นจากข่าย” จบพระคาถา นางเปสการธิดา ได้บรรลุโสดาปัตติผล แต่นางก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในวันนั้น นัน่ เอง ทาใหบ้ ิดาของนางเสยี ใจมาก ถึงกบั ออกบวช และไดบ้ รรลุเปน็ พระอรหันตใ์ นทส่ี ดุ เปสสะ, บตุ รนายควาญช้าง นายเปสสะ เป็นบตุ รนายควาญช้าง ปรากฏในกนั ทรกสูตร แห่งมัชฌิมนกิ าย๗๐๘ความสงั เขปว่า นายเปสสะ และปริพาชกชื่อกันทรกะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขณะประทับอยู่ท่ีใกล้สระโบกขรณี ช่ือคัคครา เขตกรุงจาปา พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ กันทรกปริพพาชกเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งเงียบอยู่ก็กราบทูล พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า น่าอัศจรรย์ย่ิงนัก เพียงแค่นี้ก็ทราบแล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะนาให้ภิกษุสงฆ์ ปฏบิ ัตชิ อบอย่างยิง่ ๗๐๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑/๑.
๒๐๔ พระพทุ ธเจ้าทรงรับรองคาของกันทรกปริพพาชก จากนั้นก็ทรงแสดงสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเป็นเหตุ ให้ภกิ ษุท้ังหลายมีปกติสงบ มีความเป็นอยู่สงบ มีปัญญา มีความเป็นอยู่ด้วยปัญญา มีสติต้ังมั่นดีแล้ว เม่ือ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนั้น นายเปสสะก็รับรองว่า สติปัฏฐาน ๔ นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เป็นไปเพือ่ ความหมดจดแหง่ สัตว์ทง้ั หลาย แม้ตนเองเป็นคฤหัสถ์นุ่งขาวห่มขาว ก็ยังมีจิตต้ังม่ันดีแล้วในสติ ปฏั ฐาน ๔ โปกขรสาติ, พราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ถือเป็น ๑ ในพราหมณ์มหาศาลผู้มีช่ือเสียงในสมัยพุทธกาล เป็นผู้ทรง ไตรเพท มศี ิษยท์ ม่ี ีชอื่ เสียงหลายคน เชน่ วาเสฏฐมาณพ อัมพฏั ฐมาณพ เป็นต้น ภายหลังต่อมาได้เห็นมหา ปรุ สิ ลกั ษณะทั้ง ๓๒ ประการ และได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจา้ เกดิ ความเลื่อมใส ได้สละลัทธิของตนมานับ ถือพระพุทธศาสนา โปกขรสาติพราหมณ์ ได้ครองเมืองอุกกัฏฐะ ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานเป็นการปูน บาเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย๗๐๙ และอยู่ในฐานะเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าปเสนทิโกศล โปกขรสาติ พราหมณ์ นับเป็น ๑ ใน พราหมณ์ท่ีถูกระบุว่ามีอายุ ๑๒๐ ปี (ประกอบด้วย พระมหากัสสปะ, พระ อานนท,์ พระนางปชาบดีโคตรม,ี พราหมณ์โปกขรสาติ, พราหมณพ์ รหมายุ พราหมณ์เสละ, พราหมณ์พาว รี) เรื่องราวของโปกขรสาติพราหมณ์ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง ประมวลเฉพาะที่ สาคญั ๆ ไดด้ งั นี้ ในอัมพัฏฐสูตร๗๑๐ พราหมณ์โปกขรสาติได้ฟังคากล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาคโดยประการ ต่าง ๆ ประสงค์จะทราบขอ้ เท็จจรงิ จึงเรียกอมั พัฏฐมาณพผู้เป็นศิษย์ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพ่ือตรวจสอบ ว่า คากล่าวสรรเสริญดังกล่าวน้ันเป็นจริงหรือไม่อย่างไร โดยบอกอุบายว่า เมื่อเข้าไปเฝ้าแล้ว ให้สังเกต ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ พระผู้มีพระภาคทรงความประสงค์นั้น จึงได้ทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้ เขามองเห็นพระคุยหฐานซ่ึงเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง ๒ ข้างกลับไป กลับมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง ๒ ข้างกลับไปกลับมา จนอัมพัฏฐมาณพคลายสงสัย และกราบทูลลา กลบั ไปรายงานโปกขรสาตผิ ้เู ป็นอาจารย์ให้ทราบ ภายหลงั ตอ่ มา โปรกขสาติกไ็ ด้เขา้ เฝา้ และตรวจสอบลกั ษณะมหาบรุ ษุ ๓๒ ประการ จนเป็นที่ แน่ชัดแล้ว ก็กราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารในเรือน พระพุทธเจ้ารับนิมนต์ และต่อมาไดท้ รงแสดงอนุปพุ พิกถา และอริยสัจ ๔ แก่โปกขรสาติพราหมณ์ กระท่ังได้ดวงตาเห็นธรรม๗๑๑ ในอรรถกถาระบุว่า พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค จึง เสด็จไปส้ินหนทาง ๔๕ โยชน์ เพ่ือประโยชน์แกโ่ ปกขรสาติพราหมณ์ พร้อมด้วยบรวิ าร ๕๐๐ คน๗๑๒ ในเตวิชชสูตร๗๑๓ พรรณนาเร่ืองราววาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพ เดินเล่นและสนทนา กันเรือ่ งทางและมิใช่ทาง ฝ่ายวาเสฏฐมาณพพรรณนาว่า ทางที่โปกขรสาติบอกไว้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็น ๗๐๙ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๒๕๕/๘๗. ๗๑๐ ที.สี.(ไทย) ๙/๒๕๔/๘๗. ๗๑๑ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๙๘/๑๐๙. ๗๑๒ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๕๒๖. ๗๑๓ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๕๑๘/๒๓๐.
๒๐๕ ทางนาออก นาผู้เดินตามไปสู่ความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหมได้ ขณะท่ีภารทวาชมาณพเห็นว่า ทางท่ีตารุกข พราหมณ์ผ้เู ป็นอาจารย์ของตนบอกเทา่ นนั้ เป็นทางตรง ทางนาไปสูความเป็นผู้ร่วมกับพรหมได้ ทั้งสองไม่ สามารถยงั กนั และกนั ใหย้ นิ ยอมได้ จึงได้ตกลงเขา้ เฝา้ ให้พระพทุ ธเจา้ เป็นผูต้ ัดสนิ พระผู้มีพระภาคได้แสดงให้เห็นว่า ลัทธิของพราหมณ์ท้ังหลายเลื่อนลอย เพราะพราหมณ์ เหล่านั้นท้ังหมด ไม่มีผู้ใดเลยท่ีเคยเห็นพรหม แต่กลับแสดงทางเพื่อความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม เปรียบ เหมือนชายปรารภถึงหญิงที่ตนรัก แต่หญิงนั้นตนกลับไม่เคยเห็น หรือเปรียบเหมือนบุรุษทาบันใดข้ึน ปราสาท แตป่ ราสาทน้นั ตนไม่ได้เห็นมากอ่ น โปฐิลเถระ,พระ พระโปฐิลเถระ ปรากฏในขุททนิกาย ธรรมบท๗๑๔ พระผู้มีพระภาคเจ้ายกข้ึนมาเพื่อแสดง พระคาถาว่า “ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบ ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ บัณฑิตรู้ ทาง ๒ แพร่งแห่งความเจริญและความเสื่อมน้ันแล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการท่ีปัญญาจะเจริญข้ึน” ความ ในอรรถกถา๗๑๕ มีดังตอ่ ไปน้ี พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ ภิกษุ ๕๐๐ รูป แต่ตนไม่ไดป้ ฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ่ รรม ไม่สามารถยงั คณุ สักว่าโสดาบันให้บังเกิดข้ึน พระผู้ มพี ระภาค เม่ือมีพระประสงค์จะให้เธอสงั เวชใจ จงึ ตรสั เรยี กด้วยวาทะ โปฐิละ แปลว่า คมั ภีร์เปล่า ทา่ นเกดิ ความละอายด้วยวาทะดังกล่าวนั้น จึงเข้าป่าบาเพ็ญสมณธรรม โดยไปขอร้องให้ภิกษุ ผู้อยู่ป่า ๓๐ รูปสอนพระกัมมัฏฐานให้ แต่ไม่มีใครสอน ด้วยพระโปฐิละน้ันได้เคยส่ังสอนธรรมภิกษุ เหลา่ น้ันมากอ่ น และภิกษุเหล่าน้ันล้วนเปน็ พระอรหันต์ มีความประสงค์จะขจัดทิฐิมานะของพระเถระ จึง ได้บอกปฏิเสธ และแนะนาให้ไปหารูปอื่นต่อเรื่อยๆ กระทั่งถึงลาดับสามเณร สุดท้ายจึงได้สามเณรเป็น ผสู้ อนกมั มัฏฐานให้ โดยกอ่ นรบั หน้าทีส่ อน สามเณรไดส้ ่งั ให้พระเถระลงสระท้ัง ๆ ที่ยังห่มจีวรอยู่ เม่ือเห็น วา่ พระเถระปฏบิ ัติตาม จงึ ได้รับภาระ พระโปฐิละ ด้วยความเป็นพหุสูต เพียงแค่สามเณรพูดว่า ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหน่ึง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง ในช่องเหล่าน้ัน เหี้ยเข้าไปภายในโดยช่องๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องท้ัง ๕ ทีเ่ หลอื ทัง้ หมด ทาลายช่องท่ี ๖ แล้ว ก็จะสามารถจับเอาโดยช่องท่ีมันเข้าไปนั่นเอง, ในบรรดาทวารท้ัง หกกเ็ ชน่ กนั ท่านจงปิดทวารท้งั ๕ อยา่ งทีเ่ หลือนัน้ แล้ว จงเริ่มต้งั กรรมนี้ไวใ้ นมโนทวาร พระโปฐิละเขา้ ใจคาของสามเณรอย่างแจ่มแจ้ง เร่ิมบาเพ็ญสมณธรรม ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุ พระอรหันต์ โปตลบิ ุตร, ปริพพาชก โปตลบิ ุตรปรพิ พาชก ปรากฏในมหากมั มวิภงั คสูตร แห่งมชั ฌิมนกิ าย๗๑๖ ความพรรณนาไว้ว่า โปตลิบุตรปริพพาชก ได้เข้าไปหาพระสมิทธิถึงท่ีอยู่ จากน้ันก็ได้ถามว่า ตนเองได้ฟังต่อหน้าพระพักตร์ว่า กายกรรมไมจ่ รงิ วจกี รรมไม่จริง มโนกรรมเท่าน้ันจริง และว่า สมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไร ๆ ก็มอี ยู่ ๗๑๔ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๒๘๒/๑๒๐. ๗๑๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๓๘๔. ๗๑๖ ม.อุปร.ิ (ไทย) ๑๔/๒๙๘/๓๕๗.
๒๐๖ พระสมิทธิ ยืนยัน พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เคยตรัสอย่างนั้น พระองค์ไม่เคยตรัสอย่างนั้น แน่นอน ทาให้โปตลิบุตรปริพพาชกอดช่ืนชมพระสมิทธิไม่ได้ เพราะแม้จะบวชได้เพียง ๓ พรรษา ก็ยัง ปกป้องพระผู้มีพระภาคอย่างขันแข็ง ถึงกับกล่าวชื่นชมว่า ภิกษุบวชใหม่ยังปกป้องพระพุทธเจ้าถึงเพียงน้ี ถา้ เปน็ พระเถระ ตนจะกลา่ วอะไรได้ โปตลยิ ะ, คหบดี คหบดีช่ือโปตลิยะ มาในโปตลิยสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๗๑๗ ความสังเขปว่า โปตลิยะได้เข้าไป เฝา้ พระผมู้ ีพระภาค แต่ถกู พระผพู้ ระภาคตรสั เรียกวา่ “คหบดี” ถึง ๓ คร้ัง ก็แสดงความไม่พอใจ จึงกราบ ทูลว่า ไมส่ มควรเรยี กตนอยา่ งนัน้ เพราะตนสละทรัพยส์ ินเงนิ ทองทกุ อย่างแลว้ ตัดขาดโวหารทกุ อย่างแล้ว พระผ้มู พี ระภาคตรัสการตดั ขาดโวหารในอริยวินัย ๘ ประการ ได้แก่ การเว้นขาดจากการฆ่า สตั ว์, ลกั ทรัพย์, พดู เทจ็ , พูดส่อเสียด, ละความโลภ, ความกาหนดยินดี, การนินทาการประทุษร้าย, ความ โกรธแค้ และละท้ิงความดูหมิ่น ต่อแต่น้ันได้ตรัสวิธีตัดขาดจากโวหารในอริยวินัยแก่โปตลิยะ เร่ิมต้ังแต่ แสดงโทษของกาม ๗ ประการ เม่ือเห็นโทษของกามแล้ว ย่อมมีอุเบกขาในอารมณ์ต่าง ๆ อุเบกขาท่ีเจริญ ให้มั่นคงแล้ว ย่อมมีอารมณเ์ ดียว เมอื่ มีอารมณ์เดยี วแล้ว ย่อมละความยึดถือในโลกามสิ ทงั้ ปวง โปตลยิ คหบดไี ด้ฟงั พระดารัสแล้ว เกิดความเล่ือมใส ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชวี ิต ในโปตลิยสูตรอีกพระสูตรหน่ีง๗๑๘ พรรณนาถึงโปตลิยปริพพาชก ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้า โดยในครั้งนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงบุคคล ๔ จาพวกแก่โปตลิยปริพพาชก ได้แก่ (๑) คนที่กล่าวติ เตียนผู้ควรตเิ ตยี นตามความเปน็ จรงิ เหมาะแกก่ าล แต่ไมก่ ล่าวสรรเสริญผูค้ วรสรรเสริญตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล (๒) คนทก่ี ล่าวสรรเสริญผ้คู วรสรรเสริญตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล แต่ไม่กล่าวติเตียน ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล (๓) คนท่ีไม่กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล และไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล (๔) คนท่ีกล่าวติ เตียนผูค้ วรตเิ ตียนตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง เหมาะแก่กาล โปตลิยะได้ฟังพระดารัส เกิดความเล่ือมใส ได้ขอแสดงตนเป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัย ตลอดชวี ติ โปฏฐปาท, ปริพพาชก โปฏฐปาทปริพพาชก ถือเป็นเจ้าลัทธิอีกลัทธิหนึ่งท่ีมีชื่อเสียง มีบริษัทหมู่ใหญ่ พิจารณาจาก หลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎก พบว่า เคยนาคณะไปที่ศาลาโต้ลัทธิเพื่อประกาศลัทธิของตน จานวน ๓,๐๐๐ รปู ๗๑๙ ในโปฏฐปาทสูตร๗๒๐ พรรณนาเรื่องราวของโปฏฐปาทปริพพาชก ได้สนทนาเร่ืองอภิสัญญา นโิ รธ กับพระพทุ ธเจ้าทพ่ี ระราชอทุ ยานของพระนางมลั ลกิ า โดยได้กราบทูลถามเรื่องอภิสัญญานิโรธตามที่ ไดเ้ คยได้ยินไดฟ้ งั มาจากสมณพราหมณ์ท้ังหลาย ข้อเท็จจรงิ เปน็ อย่างไร พระผู้มีพระภาคเหน็ อย่างไร ๗๑๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๑/๓๕. ๗๑๘ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๐๐/๑๕๐. ๗๑๙ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๔๐๖/๑๗๕. ๗๒๐ ที.สี.(ไทย) ๙/๔๐๖/๑๗๕.
๒๐๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยกเอาทัศนะของสมณพราหมณ์เหล่าน้ันมาช้ีให้เห็นของบกพร่อง เช่น ทัศนะทวี่ ่า สัญญาไมม่ ีเหตุไม่มีปจั จัย เกิดดบั ไปเอง ทัศนะนผ้ี ิดต้ังแต่ต้น เพราะสัญญาของคนมีเหตุมีปัจจัย เป็นต้น ทาให้โปฏฐปาทปริพพาชกเข้าใจแจ่มแจ้ง ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึงที่ ระลกึ ตลอดชีวติ ๗๒๑ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า โปฏฐปาทะ เดิมเป็นพราหมณ์มหาศาล เห็นโทษในกามท้ังหลาย แล้ว ละกองโภคทรพั ยจ์ านวน ๔๐ โกฏิ บวชเปน็ คณาจารย์ของเดยี รถีย์ทง้ั หลาย เปน็ ชาติบัณฑติ ๗๒๒ โปริสาท,ดาบส โปริสาทดาบส ปรากฏในขุททกนิกาย ชาดก๗๒๓ ความในอรรถกถาชาดก๗๒๔ พรรณนา รายละเอียดไว้ว่า พระมเหสีของพระเจ้าอุตตรปัญจาลราช ในกบิลรัฐ ประสูติพระโอรส แต่ได้ถูกยักษิณีท่ี เป็นคู่เวรกันแต่ชาติปางก่อนจับกินถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า โปริสาท ก็ถูกนาง ยกั ษิณตี ามจับไปอีก แตค่ รัง้ น้ี นางยกั ษิณีกลับได้ความรักเหมือนลูก จึงไม่ได้กินพระโอรส แต่ได้นาไปเลี้ยง ดูในป่ากระท่ังเติบใหญ่ กินเน้ือมนุษย์เป็นอาหาร กลายเป็นคร่ึงคนครึ่งยักษ์ และเข้าใจว่านางยักษิณีเป็น มารดา โดยนางยักษิณีได้มอบรากไม้วิเศษให้ ด้วยอานุภาพรากไม้นั้น ทาให้โปริสาทราชกุมารหายตัวได้ เที่ยวจับมนุษย์กินเป็นอาหาร ขณะที่นางยักษิณีได้ปรนนิบัติท้าวเวสสุวัณมหาราชอยู่ระยะหน่ึง ก็ได้ทา กาลกริ ยิ า ต่อมาพระมเหสีของพระเจ้าอุตตรปัญจาลราช ได้ประสูติพระราชโอรสอีกเป็นครั้งท่ี ๔ ได้รับ การถวายพระนามว่า ชัยทิสกุมาร คร้ังนี้พระราชโอรสปลอดภัยจากเงื้อมมือนางยักษิณี เมื่อทรงเจริญวัย แล้ว ได้ศึกษาศลิ ปวิทยา ต่อมาไดค้ รองราชย์สบื สันตตวิ งศต์ ่อจากพระเจ้าอุตตรปญั จาละ คราวนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสีของพระเจ้าชัยทิส และได้รับการ ถวายพระนามว่า อลีนสัตตุกุมาร เม่ือเจริญวัยแล้วได้ศึกษาศิลปวิทยา สาเร็จการศึกษาแล้ว ได้รับการ สถาปนาไวใ้ นตาแหน่งอุปราช ฝา่ ยโปริสาท เม่ือนางยกั ษิณีตายแล้ว ก็ได้ทารากไม้วิเศษหาย ทาให้ไม่สามารถหายตัวได้ ต้อง เทยี่ วจับมนุษย์กินเป็นอาหาร ทาให้ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อน ร้องทุกข์ต่อพระราชาเพ่ือขอให้จัดการ กับโปริสาท แต่โปริสาทก็หนีฝ่าวงล้อมเข้าป่าไปได้ และต้ังแต่น้ันมาก็ไม่กลับเข้ามาถ่ินมนุษย์อีก อาศัยอยู่ ในป่า คอยจบั ผ้คู นทเ่ี ดนิ ทางฆ่ากินในป่า วนั หนง่ึ พระราชาพร้อมเสนา ได้ออกล่ากวาง พระราชาได้พลัดหลงไปในถ่ินของยักษ์ และถูก โปริสาทจับไว้ พรอ้ มเตรียมถูกนาไปฆ่าเป็นอาหาร พระราชาได้ร้องขอชีวิตไว้เป็นการช่ัวคราวก่อน เพราะ พระองค์ได้สัญญากับพราหมณ์ผู้หนึ่งไว้ว่า จะมอบทรัพย์ให้ ขอให้ได้กลับไปดาเนินการแล้วจะกลับมาให้ กนิ เป็นอาหารทกุ ประการ โปรสิ าทจงึ ได้ปลอ่ ยพระราชาไป ฝ่ายพระราชาเม่ือกลับไปแล้ว ก็จัดแจงมอบทรัพย์ให้แก่พราหมณ์ จากนั้นก็ทรงเรียกพระราช โอรสมา และมอบราชสมบัติให้ ทาให้พระราชโอรสเกิดข้อสงสัย สอบถามได้ความจริง จึงอาสาไปให้โปริ สาทกนิ แทน ซึ่งก็ไดร้ บั อนญุ าต ๗๒๑ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๔๒/๑๙๖. ๗๒๒ ท.ี สี.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๗๙. ๗๒๓ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๙๕/๕๕๓. ๗๒๔ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๗/๓๔๘.
๒๐๘ อลีนสัตตุกุมาร เม่ือไปถึงป่าตามท่ีพระราชบิดาตรัสบอกเส้นทางแล้ว ได้สนทนากับโปริสาท อยา่ งไมส่ ะทกสะทา้ น พรอ้ มกับบอกวา่ ยนิ ดีตายแทนพระราชบิดา แม้โปริสาทสั่งให้ก่อไฟ ต้มน้า ก็ไม่ได้มี ความหว่ันไหวแม้แต่น้อย ทาให้โปริสาทรู้สึกเกรงขาม เพราะไม่เคยเห็นคนอาจหาญเช่นนี้มาก่อน จึงได้ สอบถามวา่ ทาไมไมก่ ลัวตาย อลีนสัตตุกุมารได้บอกความแก่โปริสาทว่า ตนระลึกไม่ได้ครั้งหนึ่งว่า ได้เคยกระทาความช่ัว ใดๆ ไว้ ไม่ว่าจะทั้งในที่ลับ และในที่แจ้ง จึงไม่ได้วิตกกังวลว่า ชาติหน้าจะเป็นอย่างไร วันนี้จึงพร้อมที่จะ ตายโดยมิต้องวติ กกังวล เมอ่ื โปริสาทไดส้ นทนากับอลีนสุตตุกุมารอยู่อย่างนั้น ได้เกิดความเลื่อมใส จึงได้ปล่อยอลีนสัต ตุกมุ ารไป ขณะท่ีอลีนสัตตกุ ุมาร ได้พิจารณาถึงลักษณะต่าง ๆ ของโปริสารทแล้ว คิดว่า บุคคลผู้น้ีคงไม่ใช่ อ่ืนไกล จะต้องเป็นพระเชษฐาของพระราชบิดา จึงได้ทาการพิสูจน์จนทราบความจริง และได้เชิญกลับ พระราชวงั โปริสารทได้ตอบปฏิเสธ และต่อมาก็ได้บวชเป็นดาบสอยู่ในป่าแห่งนั้น ฝ่ายชัยทิสราชา เมื่อ ทราบความจริงจากพระราชโอรสที่ได้รบั การปล่อยตัวมา ก็ได้รับส่ังให้ดูแลคุ้มครอง และถวายการอุปถัมภ์ โปริสารทดาบสตามสมควรแกฐ่ านะ โปสาลมาณพ โปสาลมาณพ เป็น ๑ ใน ๑๖ ของศิษย์พราหมณ์พาวรี ท่ีได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้ไป ถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย อชิตะ ติสสเมตเตยยะ ปุณณกะ เมตตคู โธตกะ อุปสีวะ นนั ทะ เหมกะ โตเทยยะ กปั ปะ ชตุกัณณิ ภัทราวธุ อุทัย โปสาละ โมฆราช และปิงคยิ ะ๗๒๕ โปสาลมาณพ ไดท้ ูลถามปญั หากับพระผูม้ ีพระภาคว่า ญาณของบุคคลผู้ไม่มีรูปสัญญา ผู้ละรูป กายไดท้ ้ังหมด ผู้พิจารณาท้งั ภายในและภายนอกเหน็ วา่ ไม่มีอะไร บุคคลผู้เชน่ นัน้ ควรแนะนาอย่างไร๗๒๖ ตอ่ ปัญหาน้ี พระผมู้ ีพระภาคเจ้าได้ตรสั ตอบว่า พระองค์รู้วิญญาณฐิติทั้งหมด รู้จักบุคคลนั้นผู้ ดารงอยู่ น้อมไปแล้ว ผู้มีอากิญจักญญายตนสมาบัติน้ันเป็นท่ีมุ่งหมาย บุคคลนั้นรู้กัมมาภิสังขารว่า เป็น เหตเุ กดิ แหง่ อากญิ จญั ญายนสมาบัติ รู้อรูปราคะว่า มีความเพลิดเพลินเป็นเคร่ืองผูกไว้ ครั้นรู้กรรมอย่างนี้ แล้ว ออกจากสมาบัติน้ัน เห็นแจ้งธรรมที่เกิดในสมาบัตินั้น ญาณน้ีของพราหมณ์ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็น ญาณอนั แทจ้ ริง๗๒๗ โปสาลมาณพได้ฟังพยากรณ์ปัญหาจบ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และได้ขออุปสมบทพร้อม ดว้ ยมาณพทเ่ี หลอื ผ ผลคณั ฑภิกษุ ผลคัณฑภิกษุ เป็น ๑ ใน ๗ รูป ท่ีฆฏิการเทพบุตรกราบทูลรายงานต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็นผู้บังเกิดในพรหมโลกชั้นอวิหา เพราะหลุดพ้น ส้ินราคะและโทสะแล้ว ข้ามตัณหาท่ีซ่านไปในโลกได้ ๗๒๕ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๑๓/๗๔๐. ๗๒๖ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๑๑๒๐/๗๗๑. ๗๒๗ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๑๒๒/๗๗๑.
๒๐๙ แลว้ ประกอบด้วย พระอุปกะ, พระผลคัณฑะ, พระปุกกุสาติ, พระภัททิยะ, พระขันฑเทวะ, พระพหุทันตี, และพระสิงคิยะ๗๒๘ ผลกิ สันทานะ,พระ พระผลิกสันทานะ เป็น ๑ ในบรรดาเถระที่พักอาศัยอยู่ในกุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตร ประกอบด้วย พระนีลวาสีเถระ พระสาณวาสีเถระ พระโคปกเถระ พระภคุเถระ และพระผลิกสันทาน เถระ๗๒๙ พระเถระเหล่าน้ี ได้ทาหน้าท่ีตอบปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับพระวินัยของภิกษุ ๓ รูป ซึ่งจา พรรษาอยู่ในกรุงราชคฤห์ เน่ืองชาวบ้านได้ถวายจีวรโดยระบุว่า “ขอถวายแด่สงฆ์” แต่เธอมีเพียง ๓ รูป ยังไม่ใช่สงฆ์ จะปฏิบัติอย่างไร พระเถระเหล่านั้นได้ตอบข้อสงสัยว่า จีวรเหล่านั้นเป็นของภิกษุ ๓ รูป เทา่ นั้นจนถึงคราวเดาะกฐนิ ผคั คุนะ,พระ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า พระผัคคุนะน้ี บางคร้ังก็เรียกว่า โมลิยผัคคุนะ เพราะเมื่อสมัยท่าน เป็นฆราวาส ท่านไว้มวยผม (เมาลี) ใหญ่มาก คนส่วนใหญ่จึงรู้จักท่านตามลักษณะนั้น๗๓๐ ช่ือของท่าน ปรากฏในพระสตู รต่าง ๆ ประมวลสรปุ ได้ดงั น้ี ในผคั คนุ ปญั หาสตู ร แหง่ สังยตุ ตนิกาย๗๓๑ เนื้อหาในพระสตู รพรรณนาถึงพระผัคคุนะ ได้กราบ ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เกี่ยวกับการบัญญัติพระพุทธเจ้าในอดีต ซึ่งปรินิพพานแล้ว โดย จักษุก็ตาม ชิวหา หรือโดยมโน จักษุ ชิวหา หรือมโนน้ันมีอยู่หรือ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า จักษุ ชิวหา หรือมโนท่ีบัญญตั ใิ นอดีตน้นั ไมม่ ี ในกกจูปมสูตร๗๓๒ พรรณนาเร่ืองราวของพระโมลิยผัคคุนะคลุกคลีกับภิกษุณีเกินเวลา ถ้ามี ภกิ ษุบางรูปตาหนิภิกษุณีเหล่าน้ันต่อหน้าพระโมลิยผัคคุนะ ท่านก็แสดงอาการโกรธ ไม่พอใจ ก่ออธิกรณ์ ข้ึน หรือถ้าแม้นมีภิกษุบางรูปไปตาหนิพระโมลิยผัคคุนต่อหน้านางภิกษุณี นางภิกษุณีเหล่านั้นก็โกรธ ไม่ พอใจ ถึงขนั้ ก่ออธิกรณ์ขน้ึ ภกิ ษุรปู หนงี่ จงึ นาเรอ่ื งนเี้ ข้าไปกราบทลู ให้พระผู้มพี ระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกพระโมลิยผัคคุนะไปตรัสถาม ทราบความแล้ว ก็ทรงตรัสเตือน และสอนใหพ้ ระโมลิยผัคคนุ ะฝึกระงับความโกรธด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นต้นว่า ให้ทาใจให้หนักแน่นเหมือน แผ่นดิน, ทาใจให้วา่ งเหมอื นอากาศ, ทาใจใหเ้ ยน็ เหมอื นนา้ เปน็ ต้น ในโมลยิ ผัคคุนสูตร๗๓๓ พรรณนาเรือ่ งราวพระผู้มีพระภาคขณะประทับอยู่ท่ีกรุงสาวัตถี ได้ทรง ปรารภเร่ืองอาหาร ๔ อย่าง ได้แก่ (๑) กวฬิงการาหาร (๒) ผัสสาหาร (๓) มโนสัญเจตนาหาร และ (๔) วิญญาณาหาร ซ่ึงอาหารทั้ง ๔ อย่างน้ี เป็นไปเพ่ือการดารงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้บังเกิดแล้ว หรือเพ่ือ อนเุ คราะห์หมูส่ ตั วผ์ ู้แสวงหาท่ีเกิด ๗๒๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔,ส.สคา. ๑๕/๑๐๕/๑๑๔. ๗๒๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๖๓/๒๓๖. ๗๓๐ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๒/๒๖๖. ๗๓๑ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๘๓/๗๖. ๗๓๒ ม.ม.(ไทย) ๑๒/๒๒๒/๒๓๓. ๗๓๓ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๑๒/๑๙.
๒๑๐ พระโมลิยผัคคุนะได้ยินพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนั้นก็ยกประเด็นเกี่ยวกับอาหารมาทูลถาม เชน่ เมอื่ ตรัสเกยี่ วกับผสั สาหาร ก็ถามวา่ ใครเลา่ ย่อมถกู ต้อง เมือ่ ตรสั เกี่ยวกับวิญญาณาหาร ก็ถามว่า ใคร ย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร หรือเม่ือตรัสเกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร ก็ถามว่า ใครย่อมเสวยอารมณ์ เป็น ต้น ซ่ึงพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ได้ตรสั เตอื นวา่ เป็นคาถามท่ีไม่สมควรถาม ทั้งน้ีทรงให้เหตุผลว่า เวลาพระองค์ ตรัสเร่ืองผัสสาหาร พระองค์ไม่ได้ใช้คาว่า “ย่อมถูกต้อง” แต่ทรงใช้คาว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา เวลาตรัสเร่ืองวิญญาณาหาร พระองค์ไม่ได้ใช้คาว่า “กลืนกิน” แต่ทรงใช้คาว่า วิญญาณาหารเป็น ปัจจยั เพื่อใหเ้ กดิ ภพใหม่ เปน็ ต้น อน่ึงในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า พระโมลิยผัคคุนะน้ี เป็นคนว่ายากสอนยาก แม้ภิกษุ หรือ พระพุทธเจ้าตกั เตอื นก็ไม่เช่ือฟัง เธอขดั ข้องใจ สุดท้ายก็ลาสกิ ขาไปในท่ีสุด๗๓๔ พ พหุปุตติกา, เถรี พหุปุตติกาเถรี ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท พระผู้มีพระภาคปรารภตรัสพระคาถาว่า ผู้ เห็นธรรมอันสูงสุดแม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่าผู้ไม่เห็นธรรมสูงสุดที่มีชีวิตอยู่ต้ัง ๑๐๐ ปี๗๓๕ ในอรรถกถาขุททกนกิ าย ธรรมบท๗๓๖ มเี น้อื ความพรรณนาเพม่ิ เติมดงั นี้ หญิงหม้าย สามตี ายผูห้ นง่ึ ในเมืองสาวัตถี นางมีลูก ๑๔ คน เป็นชาย ๗ หญิง ๗ ต่อมาบรรดา ลูกเหล่าน้ี ต่างก็ร้องขอให้มารดาแบ่งสมบัติให้ มารดาทนรบเร้าไม่ได้ก็เลยจัดแจงแบ่งทรัพย์ให้เท่า ๆ กัน โดยไมเ่ หลอื สว่ นของตนไวเ้ ลยดว้ ยคดิ ว่า ลกู ๆ คงจะดแู ล แตห่ าเป็นเช่นนั้นไม่ นางอาศัยอยู่กับลูกคนโต ก็ ถูกลกู สะใภ้พูดเปรย ๆ ทานองว่า แม่อยู่แต่ในบ้านนี้เสมือนประหนึ่งว่า ทรัพย์สมบัติได้มอบให้เฉพาะบ้าน น้ี นางได้ยินเช่นน้ันก็น้อยเนื้อต่าใจ ออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับลูกคนรอง แต่คร้ันอยู่ได้ ๒-๓ วัน ก็ถูกสะใภ้ของลูกคนรองพูดในลักษณะดังกล่าวให้ได้ยินอีก สุดท้ายนางเอือมระอา จึงหนีไปบวชเป็น ภกิ ษณุ ี ปรากฏนามวา่ พหปุ ตุ ติกาเถรี พหุปุตติกาเถรีบวชแล้วไม่นาน ต้ังใจบาเพ็ญสมณธรรม กลางคืนได้จับเสาต้นหน่ึงภายใต้ ปราสาท เดินเวียนเสานั้นกระทาสมณธรรม พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผลของนาง จึงไดเ้ ปลง่ รศั มเี หมือนประทับอยูต่ รงหนา้ ตรสั ชมเชยว่า ความเปน็ อยู่แมค้ รู่เดียวของผู้เห็นธรรมท่ีพระองค์ แสดง ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เข้าถึงหรือไม่เห็นธรรมท่ีพระองค์แสดง จากนั้นจึงตรัส คาถาดงั กลา่ วข้างต้น จบพระคาถา นางไดบ้ รรลุเปน็ พระอรหนั ต์พร้อมด้วยปฏสิ มั ภิทา พาหยิ ะ พระพาหิยะในคมั ภีร์พระไตรปิฎกมี ๓ รูป ๑. พระพาหยิ ะผไู้ ม่ประมาท ๗๓๔ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๑๗๔. ๗๓๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๑๕/๖๖. ๗๓๖ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๖๕๕.
๒๑๑ พาหิยะ มาในพาหยิ สตู ร๗๓๗ ความว่า พระพาหิยะได้เข้าพระผู้พระภาคถงึ ทีป่ ระทบั ทูลขอให้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ แสดงธรรมเพื่อเปน็ แนวทางสาหรับการหลีกเรน้ ผูเ้ ดยี ว ไมป่ ระมาท มีความเพยี ร อุทิศ กายและใจอยู่ พระผู้มพี ระภาคเจ้าได้แสดงอนจิ จลกั ษณะ ทุกขลกั ษณะ และอนัตตลักษณะ เพ่ือเป็นแนวทาง ให้เกิดความเบ่ือหน่าย คลายกาหนัด พระพาหิยะช่ืนชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกข้ึนถวายอภิวาท กระทาประทักษณิ แลว้ หลีกไป อยแู่ ต่เพยี งผเู้ ดียว ไมป่ ระมาท ไม่นานก็ได้บรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ ในพาหิยสูตร แห่งสังยุตติกาย๗๓๘ ความคล้ายกับในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ต่างตรงท่ี พระสตู รนี้ พระพุทธเจ้าได้แนะนาให้พระพาหิยะทาเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมกล่าวคือศีลให้หมดจดก่อน ต่อ แต่นั้นจึงให้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ประการ ๒) พระพาหิยะผู้เป็นสทั ธิวิหาริกของพระอนรุ ุทธะ พระพาหิยะรูปน้ี ปรากฏในสังฆเภทกสตู ร๗๓๙ ระบุว่าเป็นสัทธิวิหาริกของพระอนุรุทธะ เป็นผู้ ม่งุ ทาลายสงฆ์ เปน็ เหตุใหพ้ ระผ้มู ีพระภาคตรสั เตือนให้พระอนุรุทธะรีบจัดการชาระอธิกรณ์ ต่อแต่น้ันทรง ตรัสเหตุ ๔ ประการทท่ี าให้ภิกษผุ ู้เลวทรามทาลายสงฆ์ ได้แก่ ๑) เป็นคนทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด มคี วามประพฤตินา่ รงั เกียจ มกี ารงานปกปิด ไม่ใช่สมณะแตป่ ฏิญญาวา่ เปน็ สมณะ ๒) เป็นมิจฉาทิฏฐิ ๓) มี มิจฉาอาชวี ะ และ ๔) ปรารถนาลาภสกั การะและชือ่ เสียง ๓) พระพาหยิ ะผู้นงุ่ ผา้ เปลอื กไม้ พระพาหิยะผ้นู ้ี เกดิ ในภารกุ จั ฉนคร๗๔๐ เปน็ ผ้มู ีบุญอันกระทาไว้แต่ชาติปางก่อน และตั้งความ ปรารถนาขอให้ได้ตรสั ร้ธู รรมฉบับพลันในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ๗๔๑ ในสมัยแห่ง พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ได้เดินทางด้วยเรือ แต่เกิดอับปาง ว่ายน้าข้ึนฝ่ังโดยปราศจากผ้านุ่งห่ม จึง อาศัยเปลือกไม้เป็นเคร่ืองปกปิด อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ มหาชนสาคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงบูชาด้วย สักการะตา่ ง ๆ แม้พาหยิ ะกส็ าคญั ตนวา่ เปน็ พระอรหันตเ์ ช่นกัน เทวดาท่ีเคยเป็นเพื่อนกันมาชาติปางก่อน ประสงค์จะสงเคราะห์ จึงไดก้ ล่าวตักเตอื น และแนะนาใหเ้ ขา้ เฝา้ พระผู้มีพระภาค พาหิยะจงึ ไดเ้ ดนิ ทางไปเขา้ เฝา้ เพือ่ ขอฟงั ธรรมจากพระพุทธเจา้ แต่ขณะน้ัน พระองค์ทรงเท่ียว จาริกไปเพื่อบิณฑบาตจึงได้ตรัสห้าม แต่ก็ถูกร้องขอจากพาหิยะถึง ๓ คร้ัง เม่ือทรงเห็นว่า พาหิยะจะมี อันตรายแก่ชีวิต จึงได้ทรงแสดงธรรมโปรด สิ้นพระดารัส พาหิยะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระผมู้ พี ระภาคจากไปไม่นาน พาหิยะก็ถกู โคแมล่ กู อ่อนขวดิ เสียชวี ิต พระผู้มีพระภาคเสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็น จึงรับสั่งให้ภิกษุท้ังหลายทาการ ฌาปนกิจสรรี ะของพาหยิ ะ จากนั้นทรงรับส่งั ให้ทาสถูปประดิษฐานอัฐขิ องพระพาหยิ ะไว้๗๔๒ พรหมทัต, มาณพ ๗๓๗ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๘๙/๘๘. ๗๓๘ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๘๑/๒๓๖. ๗๓๙ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๒๔๓/๓๕๙. ๗๔๐ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๙๐/๒๖๓. ๗๔๑ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๗๘/๒๖๒. ๗๔๒ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๓-๑๘๗.
๒๑๒ พรหมทัตมาณพ เป็นศิษย์ของสุปปิยปริพพาชก ในพรหมชาลสูตร๗๔๓ พรรณนาไว้ว่า ทั้ง ๒ แม้จะเป็นอาจารย์และศิษย์กัน แต่ก็มีทัศนคติต่อพระพุทธเจ้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พรหมทัตมาณพผู้ ศิษย์กล่าวยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขณะที่สุปปิยปริพพาชกผู้เป็นอาจารย์ กล่าวติเตียนพระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดระยะทางจากเมืองราชคฤห์กับเมืองนาลันทา เป็นท่ีประหลาดใจแก่ภิกษุ ทั้งหลาย ถงึ กับยกเร่อื งน้กี ราบทลู พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ยกเร่ืองน้ีเป็นมูลเหตุ ได้ตรัสวิธีปฏิบัติเมื่อมีคนติเตียนหรือยกย่องพระ รัตนตรัย เป็นต้นว่า (๑) ถ้าเขาติเตียน ก็ไม่ควรผูกอาฆาต แค้นเคือง ขุ่นใจ เพราะจะเป็นเหตุให้ประสบ อันตราย แต่ควรช้ีแจงให้เขาเห็นชัดว่า เร่ืองนั้นไม่จริง (๒) ถ้าเขายกย่อง สรรเสริญ ก็ไม่ควรรื่นเริงยินดี เพราะจะเป็นเหตใุ ห้ประสบอันตราย แตค่ วรยืนยันใหเ้ ขารู้ชดั ว่า อะไรเป็นเรือ่ งจรงิ อะไรถูกต้อง อะไรมีอยู่ และปรากฏในพวกเรา ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า พรหมทัตมาณพมีความเห็นว่า อาจารย์ของตนแตะต้องสิ่งท่ีไม่ควร แตะต้อง เหยียบส่ิงที่ไม่ควรเหยียบ กล่าวติเตียนพระรัตนตรัยซ่ึงควรสรรเสริญเท่านั้น การกระทาของ อาจารย์จะเป็นเหตุนามาซ่ึงความพินาศ เหมือนคนกลืนไฟ เหมือนคนเอามือลูบคมดาบ เหมือนเอากาป้ัน ทาลายภูเขา เหมือนคนเล่นอยู่บนแถวซี่เลื่อย หรือเหมือนคนเอามือจับช้างซับมันดุร้าย เม่ือจะคัดค้านคา ของอาจารย์ จงึ ได้กล่าวสรรเสรญิ พระรตั นตรัยโดยอเนกประการ๗๔๔ พรหมทัต,พระราชา พระเจ้าพรหมทัต เป็นสามานยนาม คือเป็นพระนามเรียกกษัตริย์หรือพระราชาในอดีตซ่ึง ปกครองเมืองพาราณสี แคว้นกาสี และมักปรากฏต้นเรื่องชาดกต่าง ๆ ว่า “ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้า พรหมทัตครองราชยส์ มบัตใิ นพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ไดบ้ งั เกดิ ........” อนึ่ง ในอุพพรีเปติวัตถุ ระบุพระเจ้าพรหมทัตผู้ครองราชสมบัติในแคว้นปัญจาละว่ามีจานวน มากถึง ๘๖,๐๐๐ พระองค๗์ ๔๕ พรหมาย,ุ พราหมณ์ พรหมายุพราหมณ์ เป็นชาวเมืองมิถิลา ในคัมภีร์ระบุว่า เป็นผู้มีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี รู้จบไตร เพท พร้อมท้ังนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ชานาญในตัวบทและ ไวยากรณ์ ชานาญในโลกายตศาสตร์ และลักษณะมหาบุรุษ๗๔๖ เป็นผู้เลิศกว่าพราหมณ์ และคหบดี ทั้งหลายในเมืองมถิ ิลา ไมว่ ่าจะโดยโภคะ มนตร์ อายุ และยศ๗๔๗ ในพรหมายุสูตร พรรณนาเร่ืองราวพรหมายุพราหมณ์ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ ตรวจสอบมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ครั้นเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใส ได้แสดงความเคารพพระผู้มี พระภาคเจ้าจนเป็นที่อัศจรรย์ของบริษัท เพราะไม่คิดว่า พราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงเช่นนี้จะแสดงความเคารพ พระพุทธเจา้ ๗๔๓ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑/๑. ๗๔๔ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๓๓. ๗๔๕ ข.ุ เปต.(ไทย) ๒๖/๓๗๔/๒๒๖. ๗๔๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๘๓/๔๗๑. ๗๔๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๙๐/๔๘๓.
๒๑๓ ในพระสูตรเดียวกันนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุพราหมณ์ เม่ือทรงเห็น ว่าพราหมณ์มีจิตควรแก่การบรรลุธรรม จึงประกาศสามุกกังสิกเทศนา คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค จบพระธรรมเทศนา พราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม๗๔๘ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะตลอดชีวิต จากน้ันได้ นมิ นตพ์ ระพุทธเจา้ และพระสาวกเพ่ือรับอาหารบณิ ฑบาตในนิเวศนข์ องตน พราหมณ์ได้ถวายอาหารอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า พร้อมภิกษุสงฆ์ ตลอดระยะเวลา ๗ วัน ครั้นล่วง ๗ วนั แล้ว พระผู้มีพระภาคเจา้ ได้เสด็จจาริกไปในแคว้นวิเทหะ และเมือ่ พระผู้มพี ระภาคเสด็จจาก ไปแล้วไมน่ านนกั พรหมายพุ ราหมณ์ก็ทากาลกริ ยิ า พหุทนั ต,ี ภกิ ษุ พหุทนั ตีภิกษุ เป็น ๑ ในภกิ ษุ ๗ รูป ที่ฆฏิการเทพบุตรกราบทูลถวายรายงานพระผู้มีพระภาค เจ้าว่า ละจากอัตภาพนี้แล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกช้ันอวิหา เพราะหลุดพ้น สิ้นราคะ และโทสะแล้ว ข้ามพ้นตัณหาทซี่ ่านไปในโลภไดแ้ ลว้ ประกอบด้วย ท่านอุปกะ ท่านผลคัณฑะ ท่านปุกกุสาติ ท่านภัททิยะ ท่านขณั ฑเทวะ ทา่ นพหุทนั ตี และทา่ นสิงคิยะ๗๔๙ พกั กุละ,พระ พระพักกุละ เป็นพระมหาเถระผู้มีพรรษามากรูปหน่ึง ในมัชฌิมนิกาย ระบุถึงปริพาชกช่ือ อเจลกสั สปะ ผเู้ ป็นสหายเก่าได้เขา้ ไปหาพระพักกลุ ะ พร้อมกับสอบถามว่า บวชมานานเท่าไรแล้ว พระพัก กุละตอบว่า ตนบวชมาได้ ๘๐ พรรษาแลว้ ๗๕๐ ในพักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร๗๕๑ ได้ระบุถึงส่ิงมหัศจรรย์เกี่ยวกับพระพักกุละไว้โดยประการ ต่าง ๆ เช่น (๑) ตลอดระยะเวลาที่บวชมา ๘๐ พรรษา ไม่รู้สึกว่าเคยมีกามสัญญาเกิดข้ึน (๒) ตลอด ระยะเวลาท่ีบวชมา ๘๐ พรรษา ไม่เคยรู้สึกว่ามีพยาบาทสัญญา วิหิงสาสัญญาเคยเกิดขึ้น (๓) ไม่เคยรู้สึก ยินดีคหบดีจีวร (๔) ไม่รู้สึกยินดีกับกิจนิมนต์ (๕) ไม่รู้จักฉันยาโดยท่ีสุดแม้เท่าช้ินสมอ (๖) ตลอด ระยะเวลาที่บวช ๘๐ พรรษา ไม่เคยจาพรรษาในเสนาสนะใกล้บ้าน (๗) ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้น ๗ วันเท่าน้ัน วนั ท่ี ๘ ก็ได้บรรลอุ รหตั ผล เปน็ ตน้ พระพักกุละได้เล่าถึงอัจฉริยธรรมของตนแก่อเจลกัสสปะแล้ว ทาให้อเจลกัสสปะเกิดความ เล่ือมใส และขอบวชในพระธรรมวินัย คร้ันบวชแล้วไม่นาน เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและ ใจอยู่ ไม่นานนกั กไ็ ดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ พระพักกุละ เม่ือถึงเวลาปรินิพพาน ท่านได้เดินเคาะประตูวิหารทุก ๆ หลังท่ีมีพระภิกษุอยู่ พร้อมกับบอกให้ออกไปรวมกัน วันนี้เป็นวันท่ีตนจะปรินิพพาน เมื่อภิกษุออกมารวมกันแล้ว ท่านได้นั่ง ปรนิ พิ พานทา่ มกลางภิกษุสงฆ์ ซ่งึ ถือเปน็ เร่อื งอศั จรรย์ไมเ่ คยปรากฏมาก่อน๗๕๒ ๗๔๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๙๕/๔๘๘. ๗๔๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔. ๗๕๐ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๒๐๙/๒๔๒. ๗๕๑ ม.อปุ ริ.(ไทย) ๑๔/๒๐๙/๒๔๒. ๗๕๒ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๒๑๓/๒๔๖.
๒๑๔ พระพักกุละ ได้รับการยกย่องจากพระผู้มีพระภาคว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายผู้มีอาพาธ น้อย๗๕๓ ข้อนี้เป็นอานิสงส์ท่ีท่านได้เคยพยาบาลพระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีขณะทรงอาพาธคราว เสดจ็ หาท่ีหลีกเรน้ ๗๕๔ พนั ธมุ ด,ี พระนาง พระนางพันธุมดี เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นพระมเหสีของพระ เจ้าพันธุมา กษตั รยิ ์แห่งเมอื งพันธมุ ดี๗๕๕ มชี วี ติ อยู่นบั จากกัปน้ถี อยหลังไป ๙๑ กัป๗๕๖ พันธมุ า,พระเจา้ พระเจา้ พนั ธมุ า เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี มีพระมเหสีพระนามว่าพระ นางพันธุมดี ทรงเปน็ กษัตริยแ์ ห่งเมอื งพันธมุ ดี๗๕๗ มีชีวติ อยนู่ ับจากกัปน้ถี อยหลงั ไป ๙๑ กัป๗๕๘ พิลงั คกิ ะ,พระ พระพิลงั คกิ ะ เดมิ เป็นพราหมณภ์ ารทวาชโคตร วันหนึง่ ทราบข่าวว่า พราหมณ์ภารทวาชโคตร ออกบวชเป็นบรรพชิตในสานักของพระพุทธเจ้า โกรธ ไม่พอใจ จึงได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้าถึงสานัก เพื่อ ต่อว่า แต่พระผู้มีพระภาคทราบความคิด จึงได้ปรารภพระคาถาขึ้นว่า ผู้ใดประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ ประทุษร้าย ซ่ึงเป็นผู้บริสุทธ์ิ ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน บาปย่อมกลับมาถึงบุคคลน้ันซึ่งเป็นคนพาลอย่างแน่ แท้ เปรียบเหมือนผงธุลีท่ลี ะเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลม๗๕๙ พลิ าระ, เศรษฐี พิลาระเศรษฐี มาในพิลารโกสิยชาดก๗๖๐ เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า “เศรษฐีตีนแมว” พระผู้มีพระ ภาคตรัสชาดกเรื่องน้ีปรารภภิกษุรูปหน่ึงท่ีมีอัธยาศัยในการให้ทานเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เล่ืองลือในหมู่ ภิกษุทั้งหลายว่า เดิมทีเดียวภิกษุรูปน้ี ชาติก่อนมีความตระหนี่อย่างยิ่ง แม้แต่หยดน้ามันเดียวก็ไม่ยอมให้ ใคร แต่ถูกพระองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นท้าวสักกะทรมาน กระทั่งเปลี่ยนอัธยาศัยเป็นผู้ให้ต้ังแต่บัด นนั้ จากน้ันกท็ รงแสดงชาดกความสังเขปดงั ต่อไปน้ี พลิ าระเศรษฐี เป็นบุตรคนที่ ๖ ของเศรษฐชี าวเมอื งพาราณสี เม่อื บดิ าสิ้นชวี ติ แลว้ ได้รับมรดก สบื ทอดมา แต่ว่าเป็นคนไม่มีศรัทธา มีจิตกระด้าง ไม่รักการให้ทาน ส่ังร้ือโรงทานที่บิดาสร้างเอาไว้ ยาจก เข็ญใจท่เี คยมารบั ทานกส็ ่ังใหไ้ ล่ทุบตี ประกาศงดให้ทานทง้ั หมดตงั้ แตบ่ ดั นนั้ ทา้ วสักกะ ซง่ึ อดตี กค็ อื บดิ าของพลิ าระเศรษฐี ไดต้ รวจดูสมบัติของตน เห็นพฤติกรรมของพิลา ระเศรษฐีบุตรชายคนท่ี ๖ ได้ทาลายวงศ์ท่ีเคยสืบทอดกันมา เกิดความสังเวชใจ จึงได้ชวนเทพบุตรอีก ๔ องค์ลงมาทรมาน ทาให้พิลาระเศรษฐีกลับใจ เร่ิมตั้งแต่แปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้าไปบิณฑบาตที่เรือน ๗๕๓ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๒๖/๒๙. ๗๕๔ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๓๙๒/๖๓๕. ๗๕๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๗๕๖ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๖/๑๐. ๗๕๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๗๕๘ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๖/๑๐. ๗๕๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๐/๒๗๐. ๗๖๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๒๕/๓๔๓.
๒๑๕ ของเศรษฐีแล้วถูกเศรษฐีไล่ แต่อาศัยการเจรจาท่ีไพเราะ ทาให้เศรษฐีเชิญขึ้นนั่งบนเรือน จากนั้นก็ให้ นาเอาเข้าเปลือก ข้าวสารมาถวาย พราหมณ์ไม่รับ เศรษฐีจึงให้คนเอาอาหารโคมาถวาย พราหมณ์ท้ัง ๕ กนิ ข้าวสาหรบั โคแล้วแกล้งทาเปน็ ข้าวตดิ คอตายตอ่ หนา้ เศรษฐี พิลาระเศรษฐีกลัวความผิด จงึ ใหค้ นใชน้ าขา้ วสาหรบั โคไปทง้ิ แลว้ ใหค้ ดข้าวทมี่ ีรสโอชามาใหม่ แล้วก็เอาไปตั้งไว้ข้างๆ พราหมณ์ จากน้ันก็ออกไปโพนทะนาหน้าบ้านว่า พราหมณ์พวกน้ีละโมบ กิน อาหารไม่รจู้ ักประมาณ จงึ ตดิ คอตาย จากน้นั จงึ ให้ประชุมบริษัทชี้แจงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท้ังหมด ตนไม่ มีความผิดแต่อยา่ งใด ขณะที่พราหมณ์กาลังพูดอยู่ในท่ามกลางมหาชนน่ันเอง พราหมณ์ท้ัง ๕ ก็ลุกข้ึน พร้อมกับ ชแ้ี จงข้อเทจ็ จริงให้ทราบทั้งหมด ทาให้พิลาระเศรษฐีไดร้ บั การตาหนจิ ากมหาชนเป็นอย่างมาก พราหมณ์ผู้ เป็นหัวหน้าจึงได้แสดงให้มหาชนได้เห็นว่าตนเป็นท้าวสักกะ และพราหมณ์ที่เหลือก็เป็นเทพบุตร ผู้เป็น บุตร ๔ คน จากน้ันก็ประกาศว่า ทรัพย์สมบัติท้ังหมดน้ันเป็นของตน แต่พิลาระเศรษฐีนี้ตระหน่ี เผาโรง ทาน ทาลายสิ่งทบ่ี รรพชนไดท้ ามาเสียสนิ้ เม่ือความจริงประจักษ์ชัดเช่นน้ี พิลารเศรษฐีก็สลดใจ ประคองอัญชลี ให้ปฏิญญาแก่ท้าว สกั กะจกั เดนิ ตามรอยท่บี ดิ าไดเ้ คยปฏิบัติมาแล้วทุกประการ๗๖๑ พมิ พิสาร, พระราชา กษตั ริย์ปกครองแควน้ มคธ มีเมืองหลวงชือ่ ราชคฤห์ นบั เป็นกษตั ริยท์ มี่ ีความศรัทธาเลื่อมใสใน พระพทุ ธศาสนามาก เม่อื ครั้งพระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ได้ทูลขอพรกับพระพุทธเจ้า ว่า หากได้บรรลธุ รรมแลว้ ขอให้มาแสดงธรรมโปรดพระองคด์ ว้ ย ภายหลังเมือ่ พระพุทธเจา้ ตรัสร้แู ลว้ กเ็ สด็จพระดาเนินไปเมอื งราชคฤห์ และได้แสดงอนุปุพพิก ถา ๕ ประการ (ทานกถา,สีลกถา, สัคคกถา, กามาทีนวกถา,เนขัมมานิสังสกถา) โปรดพระเจ้าพิมพิสาร พรอ้ มด้วยบริวาร ๑๒ นหตุ (๑ นหุต=๑๐,๐๐๐ คน) จบพระธรรมเทศนา พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ นหุต บรรลโุ สดาบนั ส่วนอกี ๑ นหตุ ตัง้ อยใู่ นพระรัตนตรยั ตลอดชีวติ พระเจ้าพมิ พิสารเมื่อครั้งเป็นพระกุมาร มคี วามปรารถนา ๕ ประการ ได้แก่ ๑) ปรารถนาราช สมบัติ ๒) ปรารถนาให้พระพุทธเจ้ามาสู่แว่นแคว้นของพระองค์ ๓) ปรารถนาน่ังใกล้พระพุทธเจ้า ๔) ปรารถนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่พระองค์ และ ๕) ปรารถนารู้ท่ัวถึงธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง แล้ว๗๖๒ เม่ือความปรารถนาสาเร็จตามพระประสงค์แล้ว ทรงนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ไปฉนั ในพระราชนิเวศน์ และไดท้ รงถวายสวนเวฬวุ ันเปน็ วดั แหง่ แรกในพระพุทธศาสนา พระเจา้ พิมพสิ ารถอื เป็นพระราชาทที่ รงทศพิธราชธรรมอย่างมั่นคง ทรงให้ความอุปถัมภ์บารุง พระพุทธศาสนา เม่ือว่างจากราชกิจ ก็มักจะเสด็จพระราชดาเนินไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ ทรงให้ สิทธิพิเศษหลายประการแก่พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถึงกับทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตร เหล่าใดได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ใคร ๆ จะทาอะไรมิได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรสั ไว้ดีแล้ว๗๖๓ ๗๖๑ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๙๑๖-๙๓๐. ๗๖๒ วิ.ม.(ไทย) ๔/๕๗/๖๘. ๗๖๓ วิ.ม.(ไทย) ๔/๙๒/๑๔๘.
๒๑๖ นอกจากน้ี พระองค์ยังเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยหลายสิกขาบท เช่น สกิ ขาบทห้ามบรรพชาอุปสมบทแก่ผู้เป็นราชภัฎ (ข้าราชการ) ท่ียังไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายบ้านเมือง ,๗๖๔ สิกขาบทห้ามบรรพชาอุปสมบทแก่โจรผู้มีหมายจับจากแผ่นดิน ,๗๖๕ ต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ ประชุมฟังธรรมในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่าแห่งปักษ์๗๖๖,ต้นบัญญัติอนุญาตให้มีคนวัดรับใช้ พระสงฆ๗์ ๖๗ เปน็ ตน้ พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นโรคริดสีดวงทวาร ต่อมาได้รับการรักษาจากหมอชีวกโกมารภัจจ์ จน หายเป็นปกติด้วยยาเพียงหยิกเล็บเดียว๗๖๘ ความสามารถของหมอชีวกในครั้งนี้ ทาให้พระเจ้าพิมพิสาร โปรดปรานมาก และไดท้ รงต้งั ไว้ในฐานะเปน็ หมอหลวงประจาราชสานกั ชีวิตในบ้ันปลายของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ถูกพระราชโอรสคือพระเจ้าอชาตศัตรูยึดราชสมบัติ และจับไปขังคุกทรมาน กระทงั่ เสด็จสวรรคตในคุก พระเจ้าพิมพิสาร ยังถือเป็นบุคคลต้นเหตุท่ีทาให้เกิดประเพณีทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเปต ชนทั้งหลาย๗๖๙ ปัจจุบัน เรียกวันดังกล่าวว่า วันสารท เป็นวันท่ีมีการทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ ล่วงลบั ไปแลว้ เปน็ กรณีพเิ ศษ นยิ มกระทากันในวนั แรม ๑๕ คา่ เดือน ๑๐ ของทกุ ปี พีชกะ,กุมาร พีชกกุมาร เป็นลูกของพระสุทินกับภรรยาเก่า มีเร่ืองเล่าว่า พระสุทินผู้เป็นบิดาของพีชกะ กุมารได้รับการขอร้องจากมารดาให้ทิ้งทายาทไว้สืบสกุลหากไม่ต้องการลาสิกขา ท่านจึงยอมมี เพศสัมพันธ์กับภรรยาเก่า ต่อมาภรรยาได้ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเรียกช่ือว่า พีชกะ ภายหลังท้ังพีช กะกมุ าร และมารดาของพชี กะกมุ ารก็ได้ออกบวช และได้บรรลพุ ระอรหันต์ทงั้ คู่๗๗๐ พุทธรักขติ ะ,พระ พระพุทธรักขติ ะในคัมภีร์พระพุทธศาสนาปรากฏ ๒ รูป ได้แก่ ๑. พระพทุ ธรักขิต ผทู้ รงจาพระวินัย พระพุทธรักขติ รูปนี้ ปรากฏในพระวินัยปฎิ ก๗๗๑ ในฐานผู้ทรงพระวนิ ัย และนาพระวนิ ยั สบื ต่อ ๆ กันมาในเกาะตามพปณั ณิ มีพระอริฏฐะ พระติสสทตั ตะ พระกาฬสุมนะ พระทีฆะ พระนาคะเถระ พระ พุทธรกั ขิต พระตสิ สเถระ และพระเทวเถระ เปน็ ตน้ ๒. พระพทุ ธรกั ขติ พระพุทธรักขิตะ เป็น ๑ ใน ๓ ชื่อที่ดีที่เป็นมูลเหตุแห่งการบัญญัติพระวินัยห้ามด่า สบ ประมาท เปรียบเปรยด้วยช่ือท่ีดี ประกอบด้วย พระพุทธรักขิตะ พระธรรมรักขิตะ และพระสังฆรักขิตะ ๗๖๔ วิ.ม. (ไทย) ๔/๙๐/๑๔๖. ๗๖๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๙๓/๑๔๘. ๗๖๖ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๘. ๗๖๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๗๐/๖๔. ๗๖๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๓๑/๑๘๖. ๗๖๙ ขุ.ข.ุ (ไทย) ๒๕/๑/๑๕,ข.ุ ข.ุ อ.(ไทย) ๑/๑/๒๙๕. ๗๗๐ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๓๖/๒๕. ๗๗๑ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๒/๒๖.
๒๑๗ และดา่ เปรยี บเปรยด้วยชอื่ ที่เลว ประกอบดว้ ย พระอวกัณณกะ พระชวกัณณกะ พระสวิฏฐะ พระกุลวัฑฒ กะ โดยปรบั โทษปาจติ ตียท์ กุ ๆ คาพดู บา้ ง๗๗๒ ปรับอาบตั กิ ุกกฎทุก ๆ คาพดู บ้าง๗๗๓ ข้อวินัยดังกล่าว ต่อมาถือเป็นมารยาททางสังคมท่ัวไปด้วย โดยเฉพาะสังคมไทย การด่า สบ ประมาท หรือเปรียบเปรย ไม่ว่าจะเอาดีเปรียบเปรยชั่ว เอาช่ัวเปรียบเปรยดี ดีเปรียบเปรยดี หรือช่ัว เปรียบเปรยช่ัว โดยการปรารภถึงตระกูล การงาน ศิลปวิทยา ความเจ็บไข้ รูปลักษณ์ กิเลส อาบัติ คาด่า หยาบ คาด่าสุภาพ กาเนิด ชาติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถือเป็นเรื่องท่ีไม่สมควร และควรหลีกเลี่ยงทั้งสิ้น เพราะเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ความทะเลาะหรอื บาดหมาง เพลฏั ฐกัจจานะ, พราหมณ์ เพลฏั ฐกจั จานพราหมณ์ มาในเพลัฏฐกจั จานวตั ถุแห่งเภสชั ชขันธกะ๗๗๔ ความสงั เขปดงั นี้ ขณะที่พราหมณ์เพลัฏฐกัจจานะเดินทางไกลจากกรุงราชคฤห์ไปยังอันธกวินทชนบท พร้อม ดว้ ยคาราวานเกวยี น ๕๐๐ เลม่ บรรทกุ น้าออ้ ยงบเตม็ เกวียน ระหว่างน้นั ไดม้ ีโอกาสพบพระพุทธเจ้าพร้อม ด้วยภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป จึงได้แจ้งความประสงค์ขอถวายน้าอ้อยงบแก่ภิกษุรูปละ ๑ หม้อ แต่พระผู้มีพระ ภาคไดร้ ับสั่งให้พราหมณถ์ วายเพียง ๑ หม้อเทา่ น้ัน เม่ือพราหมณ์นาน้าอ้อยงบมาแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งให้นาไปถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ครั้น ถวายแล้ว น้าอ้อยงบเหลือเป็นจานวนมาก จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทาอย่างไรต่อ พระผู้มีพระภาครับส่ัง ให้ถวายแก่ภิกษุตามความต้องการ และแม้พราหมณ์จะถวายภิกษุตามความต้องการแล้ว น้าอ้อยงบก็ยัง คงเหลืออีก จึงทรงรับส่ังให้นาไปคนกินเดน พราหมณ์นาไปให้คนกินเดนแล้ว น้าอ้อยงบก็ยังเหลืออีกเป็น จานวนมาก สุดท้าย พระผู้มีพระภาครับส่ังให้พราหมณ์นาไปเททิ้ง เม่ือพราหมณ์นาน้าอ้อยงบไปเททิ้ง นา้ ออ้ ยงบนนั้ ไดเ้ ดือดส่งเสยี งดงั ฉีๆ่ พน่ ไอควันขึ้นเหมือนผาลเหล็กท่ีรอ้ นโชนทง้ั วนั ถกู จ่มุ ด้วยน้า ทาให้เขา เกดิ ขนลุกชชู นั เขา้ ไปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเห็นว่าพราหมณ์มีจิตอ่อนควรแก่พระธรรมเทศนาแล้ว จึงได้ตรัสอนุปุพพิก กถา และอริยสัจ ๔ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีได้เกิดข้ึนแก่พราหมณ์ พราหมณ์หมดความสงสัยในพระ รัตนตรยั ไดแ้ สดงตนเปน็ อุบาสกนับถอื พระรตั นตรัยตลอดชีวิต เพลฏั ฐสสี เถระ,พระ พระเพลัฏฐสสี เถระ ในวินยั ปิฎก มหาวรรค๗๗๕ ระบุว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระอานนท์ และ ท่านอาพาธเป็นโรคฝีดาษ จีวรติดกายเพราะน้าเหลือง พวกภิกษุต่างก็ใช้น้าชุบผ้าเหล่าน้ันแล้วค่อย ๆ ดึง ออกมา พระผู้มีพระภาคทราบเร่ือง จึงทรงอนุญาตให้ใช้มูลโค ดินเหนียว กากน้าย้อม ตาเป็นผงสาหรับ ภกิ ษุผูเ้ ป็นหิด ตมุ่ พพุ อง ฝีดาษ หรือมีกลิ่นตัวแรง อนึ่ง อาการอาพาธของพระเพลัฏฐสีสเถระ ยังเป็นมูลเหตุให้พระพุทธเจ้าอนุญาตผ้าปิดฝีแก่ ภิกษุที่อาพาธเปน็ หดิ ตุ่มพุพอง หรอื ฝดี าษ๗๗๖ ๗๗๒ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๗/๒๐๖. ๗๗๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๗/๒๑๔. ๗๗๔ วิ.มหา.(ไทย) ๕/๒๘๔/๙๓. ๗๗๕ วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๖๔/๔๘. ๗๗๖ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๕๔/๒๒๘.
๒๑๘ โพธิราชกมุ าร โพธิราชกุมาร ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอุเทนกับพระนางวา สลุ ทตั ตา พระธิดาของพระเจา้ จันฑปัชโชต โดยทง้ั ๒ พระองค์ได้ลักลอบเสียกันในระหว่างที่พระเจ้าอุเทน ถกู จบั อยูใ่ นดินแดนของพระเจ้าจันฑปชั โชต๗๗๗ ในอรรถกถาชาดก๗๗๘ ระบุว่า ขณะประทับอยู่ที่สุงสุมารคีรี โพธิราชกุมารรับสั่งให้ช่างไม้สร้าง ปราสาทช่ือโกกนุท ครั้นสรา้ งเสรจ็ แลว้ ก็จบั นายชา่ งควกั ลกู ตาท้งั สองออก เพราะไมป่ ระสงค์จะให้นางช่าง สรา้ งปราสาทเช่นน้ีในท่ีอ่ืนอีก ภิกษุท้ังหลายทราบเรื่อง ต่างก็ตาหนิว่าช่ังกักขฬะ หยาบช้าสาหัสนัก พระ ศาสดาจึงได้ตรัสถึงบุพกรรมของโพธิราชกุมารว่า ในอดีตกาลก็เป็นคนกักขฬะ หยาบช้าแบบน้ีเหมือนกัน จากน้ันจึงทรงเล่าความที่โพธิราชกุมาควักพระเนตรกษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์ ให้ปลงพระชนม์ ทาพลีกรรม ดว้ ยเนอื้ กษัตรยิ น์ ั้น อรรถกถาธรรมบท๗๗๙ มีข้อความแปลกกันเล็กน้อยคือ สัญชีวกผู้เป็นพระสหายของโพธิราช กมุ ารทราบเรื่องเข้า จงึ ได้นาความไปบอกนายช่าง นายช่างทราบข่าวน้ัน จึงได้วางแผนทานกครุฑหนีออก จากปราสาท ไปลงที่หิมวันตประเทศ สร้างเมืองข้ึนเมืองหน่ึง สถาปนาตนเองเป็นพระราชาพระนามว่า กฏั ฐวาหนะ ในพระไตรปิฎก มีหลายคัมภีร์พรรณนาถึงโพธิราชกุมาร เช่น จูฬวรรค๗๘๐ มัชฌิมนิกาย๗๘๑, ขุททกนิกาย เป็นต้น เนื้อความสอดคล้องกัน กล่าวคือ พรรณนาถึงโพธิราชกุมาร สร้างปราสาทใหม่ ประสงค์จะนิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสาวกมาฉันเพ่ือเป็นมงคล จึงสั่งให้สัญชิกาบุตรไปกราบทูลนิมนต์ เม่อื ทราบว่าพระพุทธเจา้ รบั นิมนตแ์ ลว้ กจ็ ดั แจงตระเตรยี มการ นอกเหนอื จากการนิมนต์พระพุทธเจ้า และพระภกิ ษสุ งฆ์มาฉนั เพือ่ เป็นมงคลในคร้ังน้ีแล้ว โพธิ ราชกุมารยังมีวัตถุประสงค์อ่ืนแฝง กล่าวคือ ต้องการเสี่ยงทายด้วย จึงได้สั่งให้คนปูลาดผ้าขาววางไว้ตรง บันใด จากนนั้ ก็กราบทลู ขอใหพ้ ระพทุ ธเจ้าทรงเหยียบเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่แม้โพธิราชกุมารจะกราบ ทูลนมิ นต์ถึง ๓ ครงั้ พระพุทธเจ้ากท็ รงดษุ ณีภาพ กระท่ังพระอานนท์สั่งให้โพธริ าชกุมารนาผา้ ขาวทปี่ ูออก ในอรรถกถาระบุวา่ ๗๘๒ สาเหตทุ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ไม่ยอมเหยยี บผา้ ขาวทโี่ พธิราชกุมารปูไว้ ด้วยท้าว เธอมคี วามคดิ ว่า ผู้ที่ทาการสักการะพระพุทธเจ้าท้ังหลาย จะได้สิ่งท่ีปรารถนาสมใจ จึงตั้งความปรารถนา วา่ ถ้าพระองค์จะไดบ้ ุตร ขอพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงทรงเหยียบผา้ และโพธิราชกุมารจะไม่มีบุตร เพราะมี มูลเหตทุ ่ีได้ทาบาปกรรมไว้แต่ชาตปิ างกอ่ น อนึ่ง ในคัมภีร์ยังมีบันทึกไว้อีกว่า หลังจากพระพุทธเจ้าทาภัตกิจเสร็จแล้ว โพธิราชกุมาได้ กราบทลู วา่ พระองคม์ คี วามเห็นวา่ บคุ คลจะไม่ประสบความสขุ ดว้ ยความสุข แต่บุคคลจะประสบความสุข ด้วยความทุกข์เท่าน้นั ซึง่ ต่อทศั นะนี้ พระผู้มพี ระภาคเจา้ ได้ตรสั ว่า แต่ก่อนการตรัสรู้ พระองค์ก็มีความคิด อยา่ งนี้ จึงไดบ้ าเพญ็ ทกุ กรกริ ิยามปี ระการต่าง ๆ แตห่ ลังจากที่ได้พิสูจน์แล้ว จึงเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงได้ทรง ละทุกกรกิริยา หันมาบาเพ็ญเพียรทางจติ กระท่งั ไดบ้ รรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณในทสี่ ดุ ๗๗๗ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๑๓๘. ๗๗๘ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๗๒๒. ๗๗๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๘๘. ๗๘๐ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๒๖๘/๔๙. ๗๘๑ ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๒๔/๓๙๒. ๗๘๒ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๒๗.
๒๑๙ ในโพธิราชกุมารสูตร๗๘๓ มีเน้ือความต่างออกไปว่า สัญชิกาบุตร กับโพธิราชกุมารสนทนากัน โดยสัญชิกาบุตรกล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า และปรารภถึงโพธิราชกุมารว่า ไม่ได้ถึงพระพุทธเจ้า เปน็ สรณะ โพธิราชกุมารได้ตรัสทักท้วง พร้อมกับบอกว่า ตนเองน้ันถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะต้ังแต่อยู่ใน ครรภ์มารดา จากนนั้ ทรงเลา่ เร่ืองว่า พระมารดาเมือ่ ยังทรงพระครรภ์ ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อม กบั กราบทูลวา่ ลกู ทอี่ ยู่ในครรภ์หม่อมฉนั จะเปน็ ชายก็ตาม หญิงก็ตาม เขาย่อมถึงพระผู้มีพระภาค พร้อม ทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ว่าเปน็ สรณะ ครั้นที่ ๒ เมื่อคลอดมาแล้ว แม่นมเคยนาเข้าเฝ้าถึงท่ีประทับ และ กราบทูลอีกวา่ โพธิราชกุมารน้ี ยอ่ มถงึ พระผมู้ พี ระภาค พร้อมทงั้ พระธรรม และพระสงฆเ์ ปน็ สรณะ โพชฌา, อบุ าสกิ า นางโพชฌาอุบาสิกา ปรากฏในโพชฌาสูตร๗๘๔ ความพรรณนาไว้ว่า นางได้เข้าพระผู้มีพระ ภาค ณ วัดพระเชตวัน และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตรัสอานิสงส์ของการถือศีลอุโบสถว่ามีผลมาก มี อานิสงสม์ าก มคี วามรุง่ เรืองมาก แผไ่ พศาลมาก เพราะไดช้ ่อื ดาเนนิ ตามปฏปิ ทาแห่งพระอรหันต์ทัง้ หลาย อนึง่ ในพระสตู รน้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงเปรียบเทียบว่า การได้ครอบครองราชสมบัติ ยังมีค่าไม่ถึง เสี้ยวที่ ๑๖ แห่งอโุ บสถท่ปี ระกอบด้วยองค์ ๘ ข้อนีเ้ ปน็ เพราะราชสมบตั ิเม่ือนาไปเปรียบเทียบกับสุขที่เป็น ทิพย์ ถือว่าเป็นของเลก็ นอ้ ย จากน้ันจึงทรงแจกแจงให้เห็นอายุขัยของเทวดาชั้นต่าง ๆ เพื่อเทียบเคียงให้ เห็นว่า สมบัติท่ีได้ครอบครองในโลกของมนุษย์น้ันเล็กน้อย มีระยะส้ัน เช่น ๕๐ ปีของมนุษย์ เทียบได้แค่ วันและคืนหน่ึงของเทวดาช้ันจาตุมหาราชเท่านั้น และหากเทียบกับเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ต้องใช้ ระยะเวลาถงึ ๑,๖๐๐ ปีของมนุษย์ จึงจะเทา่ กบั วันและคนื หนง่ึ ภ ภฏะอบุ าสก ภฏะอุบาสก เป็น ๑ ในผู้ที่ดับชีพในนาทิกคาม และได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นโอปปาติกะ เพราะสงั โยชน์เบ้ืองต่า ๕ ประการสิ้นไป ปรินิพพานในภพน้ัน ไม่หวนกลับมาจากโลกน้ัน อกี ๗๘๕ โดยความกค็ ือตายขณะทไ่ี ดบ้ รรลุเปน็ อนาคามี อน่ึง กลุ่มอุบาสกในนาทิกคามท่ีได้บรรลุเป็นพระอนาคามีระบุมีจานวน ๕๐ คน เป็น สกทาคามี ๙๖ คน เป็นโสดาบัน ๕๑๐ คน ภฏะอุบาสก จดั อย่ใู นกลุม่ ๕๐ คน ภรตะ ปรากฏชอื่ ๒ คร้ังในคัมภีร์พระไตรปิฎก ช่ือแรกปรากฏในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองโรรุกะ รัฐโสวีรานะ๗๘๖ เป็น ๑ ใน ๗ มหาราชในชมพูทวีป๗๘๗ ประกอบด้วย พระเจ้าสัตตภู พระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าเวสสภู พระเจ้าภรตะ พระเจ้าเรณุ พระเจ้าธตรฐแหง่ กรุงจาปา และพระเจา้ ธตรฐแหง่ กรงุ พาราณสี ๗๘๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๔๖/๔๒๐. ๗๘๔ อง.ฺ อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๔๕/๓๑๔. ๗๘๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๗/๑๐๒. ๗๘๖ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๑๐/๒๔๒. ๗๘๗ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๕๘.
๒๒๐ ชือ่ ท่ี ๒ ปรากฏในฐานะเป็นนายพรานชอื่ ภรตะ เปน็ ชาวแคว้นพาหิกะ๗๘๘ นายพรานผู้น้ีเคยจับ ลิงมาถวายพระเจ้าพรหมทัต ต่อมาลิงตัวนี้ พร้อมกับสัตว์อีก ๘ อย่างในพระราชวัง เกิดร้องในระยะเวลา ไล่เล่ียกัน ทาให้พระราชาประหลาดใจ และเกิดความหวาดกลัว จึงไปถามพราหมณ์ และพราหมณ์ก็ได้ พยากรณ์ว่า กาลงั จะมีภัย พร้อมกับกราบทูลให้ทรงแก้ไขดว้ ยการบชู ายัญดว้ ยสัตวอ์ ย่างละ ๔ ชนดิ ภคุ ช่อื ภคุ ปรากฏในคัมภีร์ ๒ สถานะ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ภคุ, ฤาษี ฤาษภี คุ เปน็ หน่ึงในฤาษีท่ถี อื เป็นบรู พาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลาย ในคัมภีร์ระบุไว้หลายท่าน เช่น ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารัทวา ชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ๗๘๙ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ผูกมนตร์ บอกมนตร์แก่พวกพราหมณ์ผู้ได้ ไตรเพท ๒. ภคุ, พระ พระภคุ เป็น ๑ ใน ๖ เจ้าศากยะที่บวชตามพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย พระภัททิยะ, พระอนุ รทุ ธะ, พระอานนท,์ พระภคะ, พระกมิ พลิ ะ, พระเทวทตั , รวมเปน็ ๗ กับทง้ั พระอบุ าลี ผ้เู ป็นชา่ งกลั บก๗๙๐ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก พบเรื่องราวเก่ียวกับพระภคุแต่เพียงว่า ท่านชอบปลีกวิเวกอยู่ตามที่ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพาลกโลณการกคาม๗๙๑ วัดกุกกุฏาราม๗๙๒ และพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จแวะไปเย่ียม ถามถึงอัตภาพความเป็นอยู่ ภัคควะ,ปริพพาชก ภคั ควะ หรือภัคควโคตรปริพาชก ในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค๗๙๓ พบบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับภัคควปริพาชก ปรารภ เร่ืองสุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร ได้บอกคืน หรือเลิกนับถือพระพุทธเจ้า ว่าข้อเท็จจริงเป็นประการใด พระพทุ ธเจา้ ทรงยืนยันว่า เป็นความจริง แตก่ ม็ คี วามจรงิ ยิง่ ไปกวา่ นั้นคอื พระองคไ์ มเ่ คยบอกให้สุนักขัตตะ มาเคารพนบั ถือพระองค์ ทงั้ สุนักขตั ตะก็ไม่เคยพูดกบั พระองค์ว่า จักเคารพนบั ถือพระผมู้ พี ระภาค ภัคควะ, นายชา่ งหมอ้ นายชา่ งหม้อช่ือภัคควะ ปรากฏในธาตุวิภังคสูตร๗๙๔ รายละเอียดระบุว่า พระผู้มีพระภาคเม่ือ คร้ังเสด็จจาริกในแคว้นมคธ ได้เสด็จเข้าไปหา และขอพักแรมในศาลาของนายช่างหม้อผู้นี้ ท้ังน้ี มีพระ ประสงค์จะโปรดกุลบุตรช่อื ปกุ กสุ าติ ซง่ึ ไดอ้ อกบวชจากเรือนอุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคทั้ง ๆ ท่ียังไม่เคย เหน็ พระพุทธเจา้ มาก่อน ๗๘๘ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๕/๒๘๗. ๗๘๙ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๘๕/๑๐๔. ๗๙๐ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๓๑/๑๗๐. ๗๙๑ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๔๔๔/๒๓๑. ๗๙๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๑๖๔/๑๗๖. ๗๙๓ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓/๒. ๗๙๔ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๓๔๒/๔๐๑.
๒๒๑ ภญั ญปรพิ าชก ภัญญปรพิ าชก เปน็ ๑ ในปรพิ ชาชกท่ีถอื ลัทธเิ หตุกวาทะ อกริ ิยวาทะ และนัตถกิ ะวาทะ อาศัย อยู่ในอุกกลชนบท๗๙๕ ถือหลักการสาคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) หลักภาษา ๒) หลักการตั้งชื่อ และ ๓) หลกั การบญั ญตั วิ า่ ไม่ควรติเตียน ไม่ควรคัดค้าน เพราะจะเป็นเหตุให้ถูกนินทา ใส่โทษ และถูกคัดค้าน๗๙๖ ความในบาลปี รากฎเพยี งเทา่ นี้ ภทั ทะ,พระ ในภัททเถรคาถา๗๙๗ พระภัททะได้กล่าวถึงประวัติของตนไว้ว่า ท่านเป็นลูกคนเดียว เป็นท่ีรัก ของบิดามารดาอย่างมาก เพราะก่อนหน้าท่ีทา่ นจะเกิด มารดาบดิ าไดป้ ระพฤติวัตร และบวงสรวงมากมาย คร้ันเกิดมา เจริญวัยได้พอสมควรแล้ว มารดาบิดาก็นาไปถวายพระพุทธเจ้าเพื่อไว้เป็นคนรับใช้ พระผู้มี พระภาคไดร้ ับสั่งใหพ้ ระอานนทบ์ วชให้ รับสั่งแล้วก็เสด็จเข้ากุฏิ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดง สามเณรก็เริ่ม วิปัสสนา จิตหลุดพ้นจากอาสวะท้ังปวง จึงได้รับอุปสมบทด้วยวิธีพิเศษจากพระพุทธเจ้า ขณะที่มีอายุได้ เพียง ๗ ขวบ พระภัททะ ปรากฏในปฐมกุกกุฏารามสูตร๗๙๘ ความพรรณนาถึงการสนทนาธรรมกับพระ อานนท์ ณ กุกกุฏาคาม เขตเมืองปาฏลีบุตร เน้ือหาสนทนา เร่ิมต้นด้วยการต้ังคาถามของพระภัททะว่า อะไรคือ อพรหมจรรย์ พระอานนท์ตอบว่า มิจฉามรรคมีองค์ ๘ มีมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ เป็นต้น มี สัมมาสมาธิ เป็นทส่ี ุด เรยี กว่า อพรหมจรรย์ สว่ นในทตุ ิยกุกกุฏารามสตู ร๗๙๙ พระภทั ทะได้ถามพระอานนทว์ า่ อะไรคือพรหมจรรย์ ท่ีสุดแห่ง พรหมจรรย์ เป็นอย่างไร ต่อปัญหาน้ี พระอานนท์ตอบว่า คาว่า พรหมจรรย์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ส่วนท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์ ได้แก่ธรรมท่ีเป็นท่ีส้ินไปแห่งราคะ โทสะ และโมหะ ในตตยิ กกุ กฎุ ารามสตู ร๘๐๐ พระภัททะได้ถามพระอานนท์ว่า พรหมจรรย์ พรหมจารี และที่สุด แห่งพรหมจรรย์ เป็นอย่างไร ต่อปัญหาน้ี พระอานนท์ตอบว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า พรหมจรรย์ บุคคลท่ีประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า พรหมจารี ส่วนธรรมเป็นท่ีสิ้นราคะ โทสะ และโมหะ เรยี กวา่ ท่สี ดุ แหง่ พรหมจรรย์ ในสลี สตู ร๘๐๑ พระภทั ทะ ได้ถามพระอานนท์ว่า พระพุทธเจ้าตรัสศีลท่ีเป็นกุศลท้ังหลายเอาไว้ มพี ระประสงค์อะไร ต่อปัญหานี้ พระอานนท์ตอบว่า พระพุทธเจ้าตรัสมีพระประสงค์เพื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ ประการเท่านนั้ ๗๙๕ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๐/๔๙. ๗๙๖ อภ.ิ กถา.(ไทย) ๓๗/๒๙๖/๒๑๕. ๗๙๗ ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/๔๗๓/๔๒๐. ๗๙๘ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๘/๒๑. ๗๙๙ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๘/๒๒. ๘๐๐ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๒๐/๒๒. ๘๐๑ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๘๗/๒๔๕.
๒๒๒ ในจิรัฏฐิติสูตร๘๐๒ พระภัททะได้ถามพระอานนท์ถึงเหตุที่ทาให้พระสัทธรรมดารงอยู่ได้นาน และอยู่ไดไ้ มน่ าน ต่อปัญหาน้ี พระอานนท์ตอบว่า ถ้าบุคคลเจริญ หรือกระทาให้มากในสติปัฏฐาน ๔ พระ สทั ธรรมกต็ ง้ั อยไู่ ดน้ าน ถา้ ไม่ใสใ่ จ ไม่ทาให้มาก กต็ ้ังอยไู่ ดไ้ มน่ าน ในปรหิ านสตู ร๘๐๓ พระภัททะไดถ้ ามพระอานนท์ถึงเหตุที่ทาให้พระสัทธรรมเสื่อม ไม่เส่ือม ต่อ ปัญหานี้ พระอานนทต์ อบว่า เพราะสติปฏั ฐาน ๔ ประการที่บคุ คลไม่เจริญ ไมท่ าให้มากแล้ว พระสัทธรรม จึงเส่อื ม ถา้ เจรญิ ทาให้มากแล้ว พระสัทธรรมจงึ ไมเ่ สอื่ ม ภัททกาปิลาน,ี ภกิ ษุณี ในภัททกาปลิ านีเถริยาปทาน๘๐๔ ระบุวา่ นางภัททกาปลิ านี เปน็ ธดิ าของกบลิ พราหมณ์ มารดา ชื่อสุจิมตี ในมัททชนบท นครสากละ เมื่อเติบใหญ่ บิดามารดาให้แต่งงานกับปิปผลิมาณพ ชายผู้มีสกุล เสมอกนั แต่ทัง้ ๒ เปน็ ผู้เคยมีบารมีทาร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน และในชาตินี้ บารมีได้เต็มเปี่ยมแล้ว จึง ไดอ้ อกบวชพรอ้ มกนั นางภัททกาปิลานีได้บาเพ็ญพรตของปริพพาชกเป็นระยะเวลา ๕ ปี ต่อมาได้บวชใน สานกั ของพระนางปชาบดีโคตมี ไมน่ านนกั กไ็ ด้บรรลุอรหตั ผล ส่วนปิปผลิมาณพได้บวชในสานักของพระผู้ มีพระภาค ปรากฏชื่อต่อมาวา่ พระมหากัสสปะ ในขุททกนิกาย เถรีคาถา๘๐๕ ระบุว่า “เราท้ัง ๒ (หมายถึง นางภัททกาปิลานีกับปิปผลิมาณพ หรอื พระมหากสั สปะ-ผวู้ จิ ยั ) เห็นโทษทางโลก แล้วออกบวช ฝึกฝนตน สน้ิ อาสวะ เปน็ ผู้เย็น ดับสนทิ แล้ว” ในภิกขุณีวิภังค์ระบุว่า นางภัททกาปิลานี “เป็นพหูสูต เป็นนักพูด แกล้วกล้า สามารถกล่าว ธรรมมกี ถา ท้ังได้รับการสรรเสริญว่ามีคุณสมบัติย่ิงกว่า”๘๐๖ คาว่า มีคุณสมบัติยิ่งกว่า อรรถกถาหมายเอา ท่านบวชจากตระกูลใหญ่หรือประเสริฐกว่า และประเสริฐกว่าโดยคุณทั้งหลาย๘๐๗ และด้วยคุณสมบัติ ดังกล่าวนี้เอง ครั้งหนึ่งเมื่อนางภัททกาปิลานีซ่ึงพักจาพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตุ แต่มีความประสงค์จะ เดินทางไปเมืองสาวัตถี และขอพักท่ีสานักนางภิกษุณีถัลลนันทา คนทั้งหลายทราบข่าวก็มาหานางภัทท กาปิลานีเถรีก่อนแล้วจึงเข้าไปหานางภิกษุณีถุลลนันทา ทาให้นางโกรธ ไม่พอใจ และไล่นางภัททกาปิ ลานอี อกจากสานัก๘๐๘ นางภัททกาปิลานี น่าจะมอี นั เตวาสินีทอ่ี ยใู่ นการดแู ลมากพอสมควร จะเห็นได้จากหลักฐานใน คมั ภีร์พระไตรปฎิ ก พบเรือ่ งราวเหลา่ อนั เตวาสินเิ หล่านั้นกอ่ ปัญหาอยู่เนือง ๆ เช่น ในสังฆาทิเสสสิกขาบท ท่ี ๓ อันเตวาสินีของนางทะเลากับภิกษุณีท้ังหลายแล้วหนีเข้าบ้านคนเดียวโดยไม่บอกใคร เป็นที่มาของ การบัญญัตสิ ิกขาบทห้ามภิกษณุ ีเข้าละแวกบา้ นคนเดยี ว๘๐๙ ในอนั ธกาวรรค อันเตวาสินีของนางยืนสนทนา กับชายสองตอ่ สองในท่ีมืด เป็นมูลเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุณียืนเคียงคู่ หรือสนทนา สองต่อสองกับชายในเวลามืดค่า๘๑๐ อันเตวาสินีของนางภัททกาปิลานี ยังเป็นมูลเหตุการณ์บัญญิตห้าม ๘๐๒ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๘๘/๒๔๖ ๘๐๓ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๘๙/๒๔๗. ๘๐๔ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๓๐๐/๔๔๔. ๘๐๕ ข.ุ เถรี.(ไทย) ๒๖/๖๖/๕๖๖. ๘๐๖ วิ.ภกิ ฺขุณี.(ไทย) ๓/๙๔๑/๒๑๗. ๘๐๗ ว.ิ อ.(ไทย) ๒/๙๔๑/๕๐๕. ๘๐๘ วิ.ภิกฺขุณ.ี (ไทย) ๓/๙๕๐/๒๒๒. ๘๐๙ วิ.ภกิ ขฺ ณุ ี. (ไทย) ๓/๖๘๗/๓๖. ๘๑๐ ว.ิ ภิกฺขณุ ี.(ไทย) ๓/๘๓๙/๑๕๖.
๒๒๓ ภิกษณุ ยี ืนกับชายในทกี่ าบงั สองต่อสอง๘๑๑ เป็นมูลเหตุห้ามภิกษุณียืนเคียงคู่หรือยืนสนทนากันสองต่อสอง กับชายในทแี่ จง้ ๘๑๒ เป็นมลู เหตุห้ามการโพนทนาทีเ่ กดิ จากความเขา้ ใจผดิ ๘๑๓ ภัททช,ิ พระ ในภทั ทชิเถราปทาน๘๑๔ ระบวุ ่า พระภัททชิ ไดเ้ คยบาเพ็ญบารมีมาต้ังแต่สมัยพระพุทธเจ้าพระ นามวา่ ปทุมตุ ตระ โดยครง้ั นั้นท่านละกาม ออกบวชเปน็ ดาบส ไดถ้ วายภกิ ษาหาร และเหง้าบัวแก่พระพุทะ เจ้า ได้รับการอนุโมทนาจากพระพุทธเจ้าให้ได้รับความสุขอันไพบูลย์ ต่อมาขณะถือเหง้าบัวกลับอาศรม ระลกึ ถงึ ทานของตน เกดิ พายุ ฝนตก ฟา้ ผ่าลงทศี่ ีรษะตายแล้วก็ไปบังเกดิ ในสวรรคช์ น้ั ดุสิต ท่องเที่ยวอยู่ใน เทวโลกหลายแสนกปั ไม่รู้จกั ทุคตเิ ลย ดว้ ยอานิสงสแ์ ห่งการถวายเหงา้ บวั น้ัน ในอรรถกถามีรายละเอียดเพ่ิมเติมว่า ในพุทธุปบาทน้ี ท่านเป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฎิในภัททิยนคร ประกอบด้วยอิสริยสมบัติ โภคสมบัติ และบริวารสมบัติ เหมือนพระ โพธิสัตว์ในภพสุดท้าย ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ณ ชาติยาวัน บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๆ ท่ียัง ประดับประดาด้วยอาภรณท์ ั้งปวง๘๑๕ เม่ือภัททชิบรรลุพระอรหันต์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เรียกภัททิยเศรษฐีมาตรัสว่า ภัททชิ บุตรชายได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว การบวชของภัททชิกุมารเท่าน้ันสมควร ถ้าไม่บวชจักต้องปรินิพพาน เศรษฐที ราบเช่นนั้น จึงอนญุ าตให้บวช ทั้งน้ีด้วยประสงค์ไม่ต้องการให้บุตรปรินิพพาน ด้วยยังอยู่ในวัยอัน ไมส่ มควร ความที่ท่านบวชไม่นาน ทาให้ภิกษุผู้เป็นปุถุชนท้ังหลายไม่เข้าใจพฤติกรรมของท่าน คร้ังหนึ่ง ณ บ้านโกฏิคาม ขณะรอพระพุทธเจ้าตรัสอนุโมทนา ท่านได้ออกนอกบ้าน และเข้านิโรธสมาบัติรออยู่ ท่าเรอื โดยอธษิ ฐานวา่ จะออกจากนโิ รธสมาบัตกิ ต็ ่อเม่อื พระพุทธเจา้ เสดจ็ มาถงึ แลว้ เทา่ นัน้ ดังนั้นเม่ือพระ มหาเถระทั้งหลายมาถึงกอ่ น ทา่ นจึงไม่ออกจากสมาบตั ิ ทาใหภ้ กิ ษผุ ู้เป็นปุถุชนเหล่านั้นตาหนิว่าไม่ยอมลุก รับ พระผู้มีพระภาคทราบเหตุน้ัน เม่ือจะประกาศอานุภาพของพระภัททชิ จึงตรัสเรียกพระภัททชิให้ลง เรอื ลาเดียวกับพระองค์ จากนนั้ ก็บอกให้แสดงรัตนปราสาททเี่ คยครอบครองมา พระภทั ทชริ ับพระดารัสแลว้ ไดเ้ หาะขึ้นไปในอากาศ จากน้ันก็ใช้หัวแม่เท้ายกรัตนปราสาทขึ้น แสดง ญาตทิ ั้งหลายเกดิ เป็นปลา เต่า กบด้วยความโลภในปราสาท เมอ่ื ปราสาทถูกยกขึ้น ได้ตกลงไป พระ ผมู้ ีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสว่า ญาติท้ังหลายจะลาบาก พระภัททชิจึงปล่อยปราสาท ลงตามเดมิ ในภัททชสิ ูตร๘๑๖ พรรณนาเร่อื งราวพระภัททชิสนทนาธรรมกับพระอานนท์เกี่ยวกับเรื่องสิ่งท่ี เลิศ นับตั้งแตก่ ารเห็นที่เลิศ การได้ยินที่เลิศ ความสุขที่เลิศ สัญญาที่เลิศ ภพที่เลิศ เป็นต้น ซึ่งต่อปัญหานี้ พระอานนท์เฉลยว่า การเห็นตามความเป็นจริง เลิศกว่าการเห็นทั้งหลาย ผู้ได้ยินตามความเป็นจริง เลิศ ๘๑๑ วิ.ภิกขฺ ณุ ี. (ไทย) ๓/๘๔๓/๑๕๙. ๘๑๒ ว.ิ ภกิ ขฺ ณุ .ี (ไทย) ๓/๘๔๗/๑๖๒. ๘๑๓ วิ.ภกิ ขฺ ณุ .ี (ไทย) ๓/๘๗๐/๑๗๗. ๘๑๔ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๙๘/๓๕๐. ๘๑๕ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๐๔. ๘๑๖ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๗๐/๒๘๕.
๒๒๔ กวา่ การได้ยินทงั้ หลาย ความสุขจากการส้ินไปแห่งอาสวะ เลิศกว่าความสุขท้ังหลาย บุคคลผู้มีสัญญาตาม ความเป็นจรงิ เลศิ กว่าสญั ญาทั้งหลาย และความเปน็ อยูข่ องผมู้ ีอาสวะสิ้นแลว้ เลศิ กว่าภพท้ังหลาย ภทั ทวัคคยี ์,พระ ภัททวัคคยี ์ เป็นชือ่ เรยี กกลุ่มสหายกัน ๓๐ คน ซึ่งได้พบพระพุทธเจ้าขณะเสด็จจาริกจากเมือง พาราณสีไปยังตาบลอุรุเวลาเสนานิคม๘๑๗ ท้ังหมดกาลังตามหญิงแพศยาผู้หนึ่ง ซึ่งนามาบาเรอในป่าฝ้าย แตน่ างไดข้ โมยของหนี จึงไดพ้ ากนั ออกติดตาม พระพทุ ธเจ้าแนะนาใหเ้ ลกิ ตามหาผหู้ ญงิ แล้วหันมาตามหา ตัวเองจะดีกว่า จากนั้นจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา จบพระเทศนา ภัททวัคคีย์ท้ัง ๓๐ คน บรรลุเป็นพระ โสดาบัน และขอบวช พระพุทธเจ้าได้ทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง ถือเป็นกลุ่มหนึ่งในบรรดาพระภิกษุ ๑,๓๔๑ รูป ท่ีได้รับการบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา๘๑๘ และถือเป็นภิกษุกลุ่มแรกที่ถูกส่งไปประกาศ ศาสนา ภัททบณั ฑติ ,พระ พระภัททบัณฑิต เปน็ หนง่ึ ในพระเถระท่ีได้รับการระบุถึงในฐานเป็นผู้ทรงจาพระวินัยสืบๆ กัน มาในเกาะตามพปัณณิ ในคัมภีร์ระบุว่า ท่านเดินทางมาจากชมพูทวีป ซ่ึงประกอบด้วย พระมหินทะ พระ อัฏฏิยะ พระอัตติยะ พระสัมพละ และพระภัททบัณฑิต๘๑๙ ทั้งหมดทาหน้าที่สอนพระวินัยปิฎก นิกาย ๕ และปกรณ์ ๗ ภทั ทากจั จานา, เถรี ภัททากัจจานา เป็นพระนามเรียกอีกพระนามหนึ่งของพระนางยโสธรา หรือพิมพา ผู้เป็น พระธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะกับพระนางอมิตาเทวี ประสูติในโกลิยวงศ์ ถือเป็น ๑ ในสหชาติทั้ง ๗ ประกอบด้วย พระนางภัททากัจจานา พระอานนท์ พระฉันนะ พระกาฬุทายี ม้ากัณฑกะ ต้นศรีมหาโพธิ์ และขมุ ทรพั ย์ทง้ั ๔ เหตุที่ได้พระนามวา่ ภัททากัจจานา เพราะเป็นผู้มีผวิ พรรณดงั ทองคาชนั้ ดีทส่ี ดุ ๘๒๐ คร้ันเจริญวัยได้ ๑๖ พรรษาแล้ว พระนางได้อภิเศกกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาได้ประสูติ พระโอรสพระนามวา่ ราหลุ กุมาร ในวันท่ีพระราหุลกุมารประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะได้ออกผนวช คร้ันตรัสรู้ แล้ว ไดเ้ สด็จสงเคราะห์โลก มาถึงเมืองกบลิ พัสด์ุโดยลาดับ เมอ่ื พระเจ้าสุทโธทนะปรินิพพานแล้ว พระนาง ปชาบดีโคตมี พร้อมดว้ ยหญงิ บรวิ าร ๕๐๐ ได้ขอบรรพชาในสานักของพระศาสดา พระนางก็ได้ขอบวชใน สานักของพระเถรีนั้น จาเดิมแต่นางบวชแล้ว ได้ปรากฏชื่อว่า ภัททากัจจานาเถรี ต่อมาเจริญวิปัสสนาไม่ นานก็บรรลพุ ระอรหันต์ เปน็ ผชู้ ่าชองในอภิญญาท้ังหลาย๘๒๑ นางภทั ทากจั จานาภิกษณุ ี ไดร้ บั การยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีท้ังหลาย ผู้บรรลุอภิญญา๘๒๒ นางนับเป็น ๑ ใน ๔ ของพระสาวกและสาวิกาของพระพุทธเจ้าท่ีบรรลุอภิญญาใหญ่ ๘๑๗ วิ.ม.(ไทย) ๔/๓๖/๔๕. ๘๑๘ วิ.ม.(ไทย) ๑/๑/๗๗๐. ๘๑๙ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๘๒๐ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑/๒/๔๘. ๘๒๑ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๔๙. ๘๒๒ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๔๕/๓๑.
๒๒๕ ประกอบด้วยพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระพากุล และพระนางภัททากัจจานาเถรี คัมภีร์ระบุ ตอ่ ไปอีกว่า พระพุทธเจา้ พระองคห์ นึง่ ๆ จะมผี ู้บรรลุอภญิ ญาใหญไ่ ด้เพยี ง ๔ ทา่ นเท่านัน้ ๘๒๓ พระภัททากัจจานาเถรีปรินิพพานในพรรษาท่ี ๔๓ ขณะมีพระชนมายุได้ ๗๘ พรรษา ก่อนที่ พระนางจะนิพพาน พระนางได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อขอขมาในการล่วงเกินพระผู้มีพระภาคเจ้า ท้งั ทางกาย วาจา ใจ ในครั้งเม่อื ใชช้ ีวติ ครู่ ว่ มกันหลายกัปในกาลก่อน ภัททากุณฑลเกสา,ภกิ ษณุ ี พระภัททากุณฑลเกสาเถรี มีประวัติพรรณนาไว้โดยย่อในภัททากุณฑลเกสาเถรีคาถา๘๒๔ ว่า “เมือ่ กอ่ นเราถอนผม อมขฟ้ี ัน มผี ้าผืนเดียว เทีย่ วไป สาคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ และเห็นในสิ่งท่ีมีโทษ ว่าไม่มีโทษ เราจากที่พักกลางวันบนภูเขาคิชกูฏ ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลส แวดล้อมด้วยหมู่ ภกิ ษุ จึงคุกเข่าถวายบังคม ทาอญั ชลีเบ้ืองพระพกั ตร์ พระองค์ได้ตรัสว่า มาเถิดภัททา พระดารัสนั้น ทาให้ เราได้อปุ สมบท เม่อื กอ่ น เราบรโิ ภคกอ้ นข้าวของชาวแว่นแคว้นอย่างเป็นหน้ี จาริกไปทั่วแคว้นอังคะ มคธ วชั ชี กาสี และโกศล ตง้ั แต่พบพระศาสดา เราบริโภคกอ้ นข้าวของชาวแว่นแคว้นอย่างไม่เป็นหน้ีมา ๕๐ ปี แลว้ ” อนึ่งประวัติท่ีพรรณนาดังกล่าวนี้ ถือเป็นช่วงชีวิตที่นางได้ออกบวชในสานักปริพพาชก ซึ่งมี วัตรปฏิบัติอย่างนั้น โดยเฉพาะการปลงผม ใช้วิถีถอนด้วยด้วยก้านแปรงตาล เม่ือผมออกมาใหม่ ผมของ นางมีลกั ษณะเปน็ ปมๆ จงึ ไดส้ ร้อยนามว่า กณุ ฑลเกสา ในอรรถกถาเอกนิบาต๘๒๕ มีเน้ือหาพรรณนาเพ่ิมเติมว่า นางธิดาของเศรษฐีในเมืองราชคฤห์ แต่ตอ่ มาไดห้ ลงรักโจรผู้มีอาญาแผ่นดิน เดือดร้อนถึงเศรษฐีผู้เป็นบิดาต้องนาทรัพย์ ๑ พันกหาปณะไปติด สินบนเจา้ พนักงาน พาตัวออกมาจดั แจงแตง่ ตัวมอบใหแ้ กธ่ ดิ า สมความประสงค์ของนางทกุ ประการ ภายหลังต่อมาโจรออกอุบายลวงนางภัททาไปฆ่าชิงทรัพย์ แต่นางก็ใช้อุบายฆ่าสามีโจรตาย และนางไม่กล้ากลับเรือนด้วยเกรงถูกบิดาลงโทษ จึงได้หนีออกไปบวชเป็นปริพพชิกา นางได้เรียนลัทธิ อาจารยจ์ นชา่ ชองแล้ว กอ็ อกโตว้ าทะตามหัวเมืองต่าง ๆ กระทั่งมาเจอพระสารีบุตร และแพ้ประลองตอบ ปญั หาพระเถระ นางหมอบกราบ ขอถึงพระสารีบุตรเป็นสรณะ พระสารีบุตรแนะนาให้ถึงพระศาสดาเป็น สรณะ จากน้ันจึงนาไปยังสานักพระศาสดา นางได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้วก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พรอ้ มด้วยปฏิสัมภิทา จึงทลู ขอบรรพชา พระศาสดารบั สั่งใหน้ างบรรพชาอปุ สมบท ภัททากุณฑลเกสาเถรี ไดร้ ับการยกย่องจากพระศาสดาวา่ เปน็ เลศิ กว่าภิกษุณีทงั้ หลายผรู้ ู้แจง้ ได้เร็ว๘๒๖ เพราะนางไดฟ้ ังธรรมจากพระศาสดาดว้ ยพระคาถาเพยี ง ๘ บทเทา่ นน้ั กไ็ ดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ ภทั ทาลิ, พระ พระภัททาลิ เปน็ ภิกษุต้นบญั ญัติสิกขาบทหา้ มบริโภคอาหารในวกิ าล ในภทั ทาลสิ ตู ร๘๒๗ พระผู้มพี ระภาคมพี ระดารสั ให้ภกิ ษุฉนั มื้อเดยี ว เพราะการฉันมื้อเดียวทาให้ มีอาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มีพลานามัยสมบูรณ์ อยู่สาราญ เวลานั้นพระภัททาลิได้ขอผ่อนผันว่า ตน ๘๒๓ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑/๒/๘๔. ๘๒๔ ข.ุ เถรี.(ไทย) ๒๖/๑๐๗/๕๗๓. ๘๒๕ องฺ.เอก.(ไทย) ๑/๒/๓๘. ๘๒๖ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๔๓/๓๐. ๘๒๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๓๔/๑๕๐.
๒๒๖ ไมส่ ามารถฉนั มอ้ื เดียวได้ เพราะจะทาให้กระวนกระวาย และมีความเดือดร้อน พระผู้มีพระภาคจึงผ่อนผัน ให้รับนิมนต์ ณ ท่ีใดแล้ว ฉันส่วนหน่ึง แล้วนาอีกส่วนมาฉันได้ ถึงขนาดนี้พระภัททาลิก็ยังต่อรองว่ายังไม่ สามารถทาได้ ทาให้พระผู้มีพระภาคตาหนิ พร้อมทั้งบัญญัติสิกขาบทห้ามฉันของเคี้ยวของบริโภคในเวลา วกิ าล๘๒๘ พระภัททาลิเม่ือถูกตาหนิ จึงไม่สามารถเผชิญหน้าพระผู้มีพระภาคตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ต่อมาเธอสานึกผิด ได้เข้าไปกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าอดโทษ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเตือน พระภัททาลิโดยประการตา่ ง ๆ จากนัน้ ไดท้ รงอดโทษให้ เพราะทรงเห็นว่า การเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทาคืนตามธรรม พร้อมทั้งสารวมระวงั ต่อนนั้ ถือเปน็ ความเจรญิ ในอริยวนิ ัย๘๒๙ ภัททยิ ะ พระภัททิยะปรากฏ ๓ รูป ๑. พระภัททิยะ ๑ ในพระปัญจวคั คีย์ พระภัททิยะ เป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ท้ัง ๕ ประกอบด้วย พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ท้ังหมดออกบวชติดตามปรนนิบัติพระพุทธเจ้าเม่ือครั้งออก ผนวชใหม่ ๆ ด้วยหวังว่า เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะได้มีส่วนแห่งธรรมท่ีพระพุทธเจ้า ตรสั รู้แล้ว เมื่อพระพทุ ธเจ้าไดต้ รสั รู้แล้ว จึงได้เสดจ็ ไปแสดงธรรมโปรด กระท่ังไดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ใน ปัญคคีจวยั ์,ภกิ ษุ ๒. พระภัททยิ ะ ๑ ในเจา้ ศากยะที่ออกบวชตามพระพทุ ธเจา้ พระภัททิยะ เป็นพระโอรสของพระนางกาฬิโคธา๘๓๐ ซ่ึงเป็นเจ้าหญิงแห่งศากยะ ทรงดารง อสิ ริยยศเป็นพระราชาของเจ้าศากยะท้ังหลาย ต่อมาถูกเจ้าอนุรุทธะชวนออกบวช จึงสละราชสมบัติออก บวชพร้อมกับเจ้าชายอีก ๕ พระองค์ ประกอบด้วย พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ และพระเทวทัต ท่านบวชแล้วไม่นาน คือภายในพรรษานั้นน่ันเอง ท่านได้บาเพ็ญวิปัสสนาจนได้บรรลุ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖๘๓๑ สมาทานธุดงค์ ๑๓ ประการ๘๓๒ และได้รับการยกย่องจาก พระพทุ ธเจ้าว่าเลศิ กวา่ ภิกษทุ ง้ั หลายผู้เกิดในตระกูลสงู ท้ังน้ดี ว้ ยเหตผุ ลว่าท่านเป็นกษัตริย์ออกผนวช และ ตลอดระยะเวลา ๕๐๐ ชาตทิ ่ีผ่านมา ท่านก็ดารงสถานะเปน็ กษตั ริย์มาตลอด๘๓๓ พระภัททิยะเป็นผู้มีปกติเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ ทาให้เพื่อนพรหมจารี ท้งั หลายเข้าใจผิดคิดว่า ทา่ นหวนระลึกถึงสุขในราชสมบัติ จงึ ได้นาเรื่องไปกราบทลู พระพุทธเจ้า จึงมีรับส่ัง ให้เข้าเฝ้าเพื่อสอบสวน เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ พระภัททิยะได้กราบทูลตามความเป็นจริงว่า สมัยเม่ือ ทา่ นเปน็ พระราชา ไดร้ บั การอารักขาคุ้มครองอย่างดีทั้งภายในวัง ท้ังภายนอกวัง แต่ก็ยังมีความกลัว และ รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เวลาน้ี ไม่ว่าจะไปไหน อยู่ที่ไหน แม้จะเพียงลาพัง ก็ไม่กลัวหวาดหวั่น ไม่สะดุ้งตกใจ ๘๒๘ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๓๓๘. ๘๒๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๓๗/๑๕๔. ๘๓๐ ข.ุ อุ.(ไทย) ๒๕/๒๐/๒๐๖. ๘๓๑ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๖๙/๑๗๖. ๘๓๒ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๘๔๒/๔๘๐. ๘๓๓ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๑๖.
๒๒๗ แต่อย่างใดเลย มีความโปร่งเบากายอย่างย่ิง ครองชีวิตด้วยปัจจัยที่ผู้อ่ืนให้ มีจิตอิสระดุจมฤค ท่านเห็น ประโยชน์อย่างน้ี จงึ มกั จะเปล่งอทุ านเนอื ง ๆ ว่า สุขหนอ สุขหนอ๘๓๔ ๓. เจา้ ภทั ทิยะ ผู้เป็นเจ้าลจิ ฉวี ในภัททิยสูตร๘๓๕ พรรณนาถึงเจ้าภัททิยะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหา เขตกรุงเวสาลี กราบทูลถามถึงข้อเท็จจริงที่มีคนเล่าลือว่า พระพุทธเจ้ารู้มายาท่ีทาให้พวกสาวกเดียรถีย์ กลับใจ ข้อเท็จจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนเจ้าภัททิยะว่า อย่าปลงใจเชื่อเพราะการฟัง ตามกันมา ถือสืบๆ กันมา เล่าลือกันมา อ้างตาราหรือคัมภีร์ เป็นต้น จากนั้นก็ทรงช้ีแจงว่า แท้จริงแล้ว มนตท์ ี่ทาใหเ้ ดียรถยี ก์ ลับใจน้นั เป็นเพราะพระองคแ์ สดงให้เหน็ ตามความเปน็ จริงด้วยปัญญาโดยไม่ต้องเชื่อ พระองค์อีกต่อไป หาใชม่ นตรอ์ ื่นไม่ ภทั รา,ภกิ ษุณี นางภัทราเถรี ปรากฏในภัทราเถรีคาถา พระเถรีกล่าวเตือนตนเองว่า “ภัทรา เธอบวชแล้ว ด้วยศรัทธา จงยินดีในธรรมท่ีดีงาม เจริญกุศลธรรมเพ่ือบรรลุธรรมที่ยอดเย่ียม ซ่ึงปลอดโปร่งจากโยคะ กเิ ลสเถิด” ๘๓๖ คัมภีร์อรรถกถาระบุว่า๘๓๗ พระภัทราเถรี เป็นชาวกบิลพัสดุ์ เป็นสนมของพระโพธิสัตว์ ออก บวชพร้อมกับพระนางปชาบดโี คตมี บรรลุพระอรหันต์ด้วยคาถาเกิดจากโอภาส ท่ีปรากฏช่ือว่าบวชพร้อม กนั ได้แก่ นางติสสาเถรี พระธีราเถรี พระวีราเถรี พระมิตตาเถรี พระภัทราเถรี และนางอปุ สมาเถรี ภทั ราวธุ ,มาณพ ภัทราวุธ เป็นหนึ่งในมาณพ ๑๖ คนผู้เป็นศิษย์พราหมณ์พาวรี ได้เข้าไปถามปัญหากะพระผู้มี พระภาคโดยขอให้พระองค์ตรัสธรรมท่ีพระองค์ทรงทราบชัดแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า นรชน ทั้งหลายควรทาลายเคร่ืองยึดม่ันทั้งปวง ท้ังช้ันสูง ช้ันต่า และช้ันกลาง เพราะสัตว์ท้ังหลายเข้าไปยึดถือ ขันธ์ใด ๆ ในโลก มารย่อมตดิ ตามสัตวเ์ พราะยดึ ส่ิงทยี่ ดึ ถือนน้ั นนั่ แล๘๓๘ หลงั จากพระพทุ ธเจา้ วิสชั นาปญั หาครบทั้ง ๑๖ หมวดแลว้ มาณพทั้ง ๑๕ คน เวน้ ปิงคยิ มาณพ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ โดยปิงคิยมาณพซึ่งทูลถามปัญหาคนสุดท้ายขณะฟังวิสัชนาอยู่มัวแต่ฟุ้งซ่าน คิดถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็นลุงของตน ว่าเสียดายที่ลุงไม่ได้มาฟังพระธรรมเทศนาที่แจ่มแจ้งเช่นนี้ ปิงคิย มาณพจงึ ได้บรรลุธรรมแคพ่ ระโสดาบัน หลังจากท้ัง ๑๖ คนบวชแล้ว ได้กลับไปแจ้งคาตอบแก่พราหมณ์พาวรีๆ ได้บรรลุเป็นพระ อนาคามบี ุคคล ส่วนทา่ นพระปงิ คิยะภายหลังได้ฟงั ธรรมจากพระพทุ ธเจ้าจงึ ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ ๘๓๔ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๓๒/๑๗๓. ๘๓๕ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๑๙๓/๒๘๓. ๘๓๖ ขุ.เถรี.(ไทย) ๒๖/๙/๕๕๔. ๘๓๗ ขุ.เถร.ี อ.(ไทย) ๒/๔/๒๑ ๘๓๘ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๑๒๙/๓๐.
๒๒๘ อน่ึง มาณพ ๑๖ คน ผู้เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ประกอบด้วย อชิตะ ติสสเมตยยะ ปุณณ กะ เมตตคู โธตกะ อุปสีวะ นันทะ เหมกะ โตเทยยะ กัปปะ ชตุกัณณิ ภัทราวุธ อุทัย โปสาละ โมฆราช และปงิ คิยะ๘๓๙ ภัลลิกะ,พอ่ คา้ ภัลลิกะ เป็น ๑ ในพาณิช ๒ คน ที่ร่วมเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ซึ่งได้พบพระพุทธเจ้า หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว ถือเป็นผู้ได้เข้าถึงพระรัตนะ ๒ (เทววาจิกอุบาสก) เป็นคนแรกในโลก๘๔๐ ร่วมกับ สหายอีกคนหนึ่งของเขาคือตปุสสะ คัมภีร์ระบุไว้ว่า พาณิช ๒ คนน้ี เดินทางไกลมาจากอุกกลชนบท๘๔๑ ไดน้ าขา้ วตผู งและขา้ วตกู ้อนปรุงด้วยนา้ ผงึ้ เขา้ ไปถวายพระผูม้ ีพระภาค ภารทวาชะ ภารทวาชะ เป็นชื่อโคตร และถือเป็นตระกูลพราหมณ์มหาศาลตระกูลหน่ึง จากหลักฐานใน คมั ภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนา พบพราหมณ์ในตระกูลนี้ออกบวชหลายท่าน ท่ีระบุชื่อก็มี ที่ไม่ระบุชื่อ คือระบุ แต่โคตรกม็ ี เช่น ๑. พระพิลังคกิ ภารทวาชะ พระพิลังคิกภารทวาชะ ปรากฏในพิลังคิกสูตร๘๔๒ ความพรรณนาไว้ว่า พิลังคิกพราหมณ์ ทราบข่าวว่าพราหมณ์ภารทวาชโคตรออกบวชในสานักของพระพุทธเจ้า ก็แสดงอาการโกรธ ไม่พอใจ จึง เขา้ ไปเฝ้าถงึ ท่ีประทับแล้วยืนอยู่ ณ ทีส่ มควรขา้ งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทราบความดาหริของเธอ จึงตรัสเตือนว่า ผู้ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย บาป ย่อมมาถึงบุคคลนั้น เหมือนโปรยธุลีทวนลม พิลังคิกภารทวาชะได้ยินเกิดความเล่ือมใส ขอบรรพชา อปุ สมบทในสานักของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ และต่อมากไ็ ดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหันต์ ๒. พระสรุ ินทรกิ ภารทวาชะ พระสรุ นิ ทรกิ ภารทวาชะ ปรากฏในสรุ นิ ทริกสูตร๘๔๓ มีรายละเอียดระบุว่า เป็นพราหมณ์บูชา ไฟ วนั หนง่ึ บชู าไฟอยู่ที่ฝงั่ แมน่ ้าสุนทริกา คร้ันบชู าแลว้ ก็เหลียวดูทิศท้ัง ๔ โดยรอบ มีความคิดว่า ใครหนอ ควรบริโภคข้าวปายาสเหลือจากการบูชานี้ ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าประทับน่ังคลุมพระวรกายตลอดพระ เศียรอยู่ท่ีโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ก็ถือข้าวปายาสท่ีเหลือจากการบูชาไป พร้อมกับร้องเรียกว่า สมณะโล้น ๆ จากนน้ั ก็ถามถงึ ชาติตระกลู ของพระพุทธเจา้ พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า อย่าถามถงึ ชาติเลย ให้ถามถึงความประพฤติดีกว่า เพราะบุคคลแม้เกิดใน ตระกูลต่าก็เป็นมุนีได้ ผู้กีดกันอกุศลธรรมได้ด้วยหิริ ฝึกตนด้วยสัจจะ ประกอบด้วยทมะ ถึงที่สุดเวท อยู่ จบพรหมจรรย์แล้ว ผู้ใดได้บูชามุนีเช่นน้ี ช่ือว่าบูชาพระทักขิไณยบุคคล พราหมณ์ได้ยินเช่นนั้น จึงน้อม อาหาร เชื้อเชิญให้พระพุทธเจ้าบริโภค แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่รับอาหารท่ี ๘๓๙ ขุ.จู.(ไทย) ๓๐/๑๔๙/๓๖. ๘๔๐ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๔๘/๓๑. ๘๔๑ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๖/๙. ๘๔๒ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๐/๒๖๙. ๘๔๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๕.
๒๒๙ ได้มาเพราะการกล่าวคาถา เมื่อพราหมณ์กราบทูลว่า จะให้ทาอย่างไร จึงทรงแนะนาให้นาไปทิ้ง ณ ท่ี ปราศจากของเขยี ว หรือทิง้ ใหจ้ มลงในนา้ ทีไ่ ม่มีตัวสตั ว์ พราหมณ์ก็ปฏบิ ตั ิตาม ขณะทีพ่ ราหมณ์นาข้าวปายาสจากการบูชาไปเทลงในน้า เกิดมีเสียงดังเหมือนเอาของร้อนจัด จุ่มลงในน้า พร้อมท้ังเกิดควันคลุ้ง ทาให้พราหมณ์ประหลาดใจขนลุกชูชัน ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคอีก ครง้ั พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเตือนพราหมณ์ว่า “ท่านกาลังเผาไหม้อยู่ อย่าสาคัญว่าบริสุทธ์ิ” จากนั้นได้แสดงธรรมโปรดพราหมณ์ ทาให้พราหมณ์เกิดความเลื่อมใส ในคัมภีร์ระบุว่า พระสุนทริกภาร ทวาชะไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์รปู หนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย๘๔๔ ๓. พระปิณโฑลภารทวาชะ พระปิณโฑลภารทวาชะ ปรากฏหลายแห่งทั้งในพระวินัย และพระสูตร ในพระวินัยเช่น จูฬ วรรคแห่งพระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องบาตรไม้จันทน์๘๔๕ ในพระสูตรเช่น ในภารทวาชสูตรแห่งสังยุตต นกิ าย๘๔๖ ปิณโฑลภารทวาชสูตร๘๔๗ และเอตทคั ควรรค แหง่ อังคตุ ตรนกิ าย๘๔๘ ดูรายละเอียดใน พระปณิ โฑลภารทวาชะ ๔. พระภารทวาชะ ปรากฏในธนัญชานิสูตร ระบุว่าแต่เดิมเป็นพราหมณ์ ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ อาศยั นางธนัญชานี ผู้เป็นภรรยาและเป็นพุทธสาวิกา จึงได้มีโอกาสเข้าเฝ้า และฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเล่ือมใส ขอบวชในสานักของพระพุทธเจ้า คร้ันบวชแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่คนเดียว ไม่ ประมาท มคี วามเพียร อุทศิ กายและใจอยู่ ไม่นานกไ็ ด้บรรลเุ ป็นพระอรหันต์๘๔๙ ๕. สามเณรภารทวาชะ ปรากฏในอัคคัญญสูตร ทีฆนิกาย๘๕๐ ความพรรณนาไว้ว่า สามเณรภารทวาชะ หวังความเป็น ภกิ ษุ จงึ อยู่อบรมในสานักของภิกษุทั้งหลาย วันหน่ึงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรมอยู่ในที่ร่มเงาของ ปราสาทของนางวสิ าขาในปุพพาราม จึงได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเพ่ือฟังธรรม โดยการชักชวนของสามเณรช่ือวา เสฏฐะ จากบทสนทนาในพระสูตรนี้ ทาให้ทราบว่า สามเณรภารทวาชะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ มี ความเล่อื มใสในพระพทุ ธศาสนา เมือ่ ออกบวชจึงถูกพวกพราหมณ์ด่าด้วยถ้อยคาเหยียดหยาม เพราะพวก พราหมณถ์ อื วา่ วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะที่ประเสริฐสุด วรรณะอ่ืนเลว พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธ์ิ ผู้มิใช่ พราหมณไ์ ม่บริสทุ ธิ์ เพราะพราหมณเ์ กดิ จากพรหม เป็นทายาทของพรหม ภารทวาชะละวรรณะประเสริฐ สุด เข้าไปอย่ใู นวรรณะท่เี ลวทราม คอื สมณะโลน้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า จริง ๆ แล้ว พวกพราหมณ์ลืม “กาพืด” พราหมณ์ทุกคนคลอดมา จากช่องคลอดของนางพราหมณี แต่กลับบอกว่าเกิดจากพรหม เป็นการกล่าวตู่ พูดเท็จ จากน้ันจึงทรง ๘๔๔ ส.สฬา. (ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๘. ๘๔๕ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๕๒/๑๖. ๘๔๖ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๒. ๘๔๗ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๕๑๙/๓๓๑. ๘๔๘ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๑๙๕/๒๖. ๘๔๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๘๗/๒๖๕. ๘๕๐ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๑๑/๘๓.
๒๓๐ แสดงความบริสุทธิ์แห่งวรรณะท้ัง ๔ ว่า โดยท่ีสุดแล้วขึ้นอยู่กับการกระทา ธรรมเท่าน้ันประเสริฐท่ีสุดใน หมู่ชนทง้ั ในโลกนีแ้ ละโลกหน้า๘๕๑ ภารทวาชะ,ฤาษี ฤาษภี ารทวาชะ เป็น ๑ ในบรรดาฤาษีผู้เปน็ บูรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ ประกอบด้วย ฤาษี อัฏฐกะ ฤาษวี ามกะ ฤาษวี ามเทวะ ฤาษเี วสสามติ ตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวา เสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ทั้งหมดเป็นผู้แต่งมนต์ สอนมนต์ท่ีพวกพราหมณ์ในเวลานี้สวด สอนซ่ึงบท มนต์เก่าท่ีท่านสวด สอนรวบรวมไว้ สอนได้ถูกต้องตามที่ท่านสอนไว้ บอกได้ถูกต้องตามที่ท่านบอกไว้ ฤาษีเหล่าน้ันเปน็ ผไู้ มฉ่ นั อาหารในราตรี งดฉนั ในเวลาวิกาล๘๕๒ ภิยโยสะ,พระ พระภยิ โยสะ ในคมั ภรี ์ระบุวา่ เป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ คู่กับ พระอุตตระ๘๕๓ พระโกนาคมนะพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ในภัทรกัป เกิดในชนเผ่าโรหิตัสสะ ประมาณอายุ ของมนษุ ย์ในภัทรกัปนี้ได้ ๓๐,๐๐๐ ปี ภุมมชกะ, พระ พระภุมมชกะ จดั อยู่ในกลุ่มภกิ ษุฉัพพวัคคีย์ ทั้งสองกอ่ อธิกรณ์ในหมู่สงฆ์ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ ท่ัวไปในคัมภีร์พระวินัยปิฎก พระภุมมชกะจับคู่กับพระเมตติยะ ได้สร้างสานักอยู่ใกล้ ๆ เมืองราชคฤห์ ปลกู ผลไม้ต่าง ๆ สงเคราะห์ชาวเมอื งด้วยผลไม้เหล่านัน้ ให้พวกเด็กหนุม่ ของตระกูลบวช ขยายบริษัทจนมี กาลังใหญ่ และได้ก่ออธิกรณ์ในหมสู่ งฆข์ น้ึ หลายคร้งั (ดฉู พั พวัคคีย์) ภมู ชิ ะ,พระ พระภูมิชะ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่าเป็นพระเจ้าลุงของชยเสนราชกุมาร๘๕๔ ในภูมิชสูตร๘๕๕ มีเนอ้ื ความระบถุ งึ พระภูมิชะ ไดเ้ ขา้ ไปในพระราชวงั ของชยเสนราชกมุ าร ชยเสนราชกุมารได้เข้าไปถามข้อสงสัยประเด็นที่มีสมณพราหมณ์พวกหน่ึงแสดงทัศนะเก่ียว การตั้งหรือไม่ตั้งความปรารถนาไม่มผี ลตอ่ การบรรลมุ รรคผล เร่ืองนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีความเห็นว่า อย่างไร พระภูมิชะได้ออกตัวว่า ตนไม่ได้สดับมาต่อหน้าพระพักตร์ แต่ประเด็นนี้ เป็นไปได้ที่ พระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ว่า จะตั้งความปรารถนาหรือไม่ต้ังความปรารถนา ไม่ใช่ประเด็นสาคัญ ประเด็น สาคัญอยู่ที่การประพฤติพรหมจรรย์โดยอุบายแยบคายหรือไม่ต่างหาก ถ้าประพฤติพรหมจรรย์โดยอุบาย แยบคาย จะต้องหรือไมต่ ้งั ความปรารถนา กส็ ามารถบรรลธุ รรมได้ หลังจากพระภูมิชะถวายวิสัชชนา และ กระทาภัตกิจเปน็ ทีเ่ รียบร้อยแล้ว กก็ ลบั ไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ เพ่ือฟังคาวินิจฉัย พระผู้ มพี ระภาคได้ตรสั รบั รองคาพูดของทา่ นวา่ ชอบแลว้ ๘๕๑ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๑๖/๘๗. ๘๕๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๐๐/๑๓๐. ๘๕๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๙/๔. ๘๕๔ ม.อุ.อ.(ไทย) ๓/๒/๑๐๙. ๘๕๕ ม.อปุ ริ.(ไทย) ๑๔/๒๒๓/๒๕๖.
๒๓๑ ในภูมิชสูตร สังยุตตนิกาย๘๕๖ พรรณนาถึงพระภูมิชะได้เข้าไปถามปัญหากะพระสารีบุตร ประเด็นเร่ืองทัศนะเกี่ยวความสุขและความทุกข์ ซึ่งมีสมณพราหมณ์บางพวกกล่าวไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตนเอง กระทา อีกพวกบอกว่าผู้อื่นเป็นผู้กระทา บางพวกบอกว่า ทั้งตนเองและผู้อื่นกระทา บางพวกก็บอกว่า ไม่ใช่ท้ังตนเองและผู้อ่ืนกระทา ข้อนี้ พระศาสดามีทัศนะว่าอย่างไร ต่อปัญหานี้ พระสารีบุตรยกเร่ือง ปฏิจจสมุปบาทมาขยายความ วา่ โดยสรุปคอื สขุ ทุกข์ อาศยั เหตปุ ัจจยั เกิดข้ึน ม มฆเทวะ, พระราชา พระเจ้ามฆเทวะ เป็นพระราชาปกครองเมืองมิถิลา ประวัติของพระองค์ได้ถูกนามาปรารภ เม่ือคร้งั พระผูม้ พี ระภาคประทับอยู่ที่อัมพวันของพระเจ้ามฆเทวะ ระหว่างน้ัน ทรงระลึกถึงเหตุในอดีต จึง แย้มพระสรวล พระอานนท์เห็นจึงกราบทูลถามสาเหตุของการแย้มพระสรวล จึงได้ตรัสตอบว่า สถานที่ ตรงน้ี ก็เคยมีพระราชาพระนามว่ามฆเทวะปกครองเช่นกัน พระองค์ทรงเป็นพระราชาผู้ทรงธรรม เป็น ธรรมราชา เปน็ มหาราชผู้ต้ังมน่ั ในธรรม ทรงประพฤติธรรมในพราหมณ์และคหบดี ในชาวนิคมและชนบท ทรงรกั ษาศลี อโุ บสถทกุ วนั ธรรมสวนะ เคยรับส่ังกับชา่ งกัลบกประจาพระองค์ว่า หากเห็นผมหงอกบนพระ เศียรเมื่อไรให้บอกพระองค์ เมื่อพระเกสาหงอก นายช่างก็กราบทูลตามความเป็นจริง พระองค์ยกเร่ืองน้ี เป็นเหตุ สละราชสมบตั อิ อกผนวช พร้อมกบั สงั่ พระราชโอรสให้ถือปฏบิ ัติอยา่ งน้ตี อ่ ๆ กันไป๘๕๗ พระเจ้ามฆเทวะ จึงถือเสมือนเป็นพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมในอุดมคติ ที่ได้รับการ ปรารภถึงบ่อยคร้ัง มหกะ มหกะ ปรากฏในพระไตรปิฎก ๒ ฐานะ ดงั น้ี ๑. สามเณรมหกะ สามเณรมหกะ ปรากฏในกัณฏกวัตถุแห่งวินัยปิฎก๘๕๘ และถือเป็นต้นบัญญัติสิกขาบทห้าม พระภิกษุมีสามเณรอุปัฏฐาก ๒ รูป รูปใดมี ปรับอาบัติทุกกฎ มูลเหตุมาจากการที่สามเณรมหกะและ สามเณรกัณฏกะ ซ่ึงเป็นอุปัฏฐากของพระอุปนันทศากยบุตร ชอบรังแกกันและกัน เป็นเหตุให้ภิกษุ ทง้ั หลายตเิ ตียน ความทราบถงึ พระศาสดา จึงทรงบัญญตั สิ ิกขาบทไว้ ๒. พระมหกะ พระมหกะ ปรากฏในมหกปาฏิหาริยสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๘๕๙ ความพรรณนาถึงพระมหกะ และภิกษุผู้เป็นพระเถระหลายรูปอยู่ท่ีอัมพาฏกวัน เขตเมืองมัจฉิกาสันฑ์ คร้ังน้ันจิตตคหบดีได้เข้าไปหา พระเถระ และนิมนต์รบั ภตั ตาหารท่ีโรงวัว พระเถระท้ังหลายกร็ บั นิมนต์โดยดษุ ณภี าพ ครัน้ ถึงเวลาเชา้ พระเถระเหล่านั้นก็ไปยังเรือนของคหบดี โดยมีพระมหกะซ่ึงเป็นผู้ใหม่กว่าทุก รปู ในหมูภ่ กิ ษุนน้ั หลงั จากทาภัตกิจเสร็จแล้ว พระเถระท้ังหลายก็เดินทางกลับ โดยมีคหบดีเดินตาม เวลา นัน้ อากาศรอ้ นจัด พระมหกะกเ็ ลยปรารภว่า ถ้ามีลมเย็นๆ พัดมา ฝนโปรยลงมาหน่อย ๆ ก็คงดี พระเถระ ๘๕๖ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๒๕/๔๘. ๘๕๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๐๘/๓๗๒. ๘๕๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๐๑/๑๕๖. ๘๕๙ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๔๖/๓๗๘.
๒๓๒ ท้ังหลายก็เห็นด้วย พระมหกะจึงบันดาให้ลมพัด และฝนตกปรอยๆ ทาให้จิตตคหบดีซ่ึงเดินตามหลังแอบ คิดไปวา่ ขนาดพระใหม่ยังมอี านภุ าพขนาดนี้ วนั ตอ่ มาจติ ตคหบดีได้เข้าไปหาพระมหกะ พร้อมท้ังขอให้ท่านแสดงฤทธ์ิให้ดูอีก พระมหกะจึง ใหค้ หบดีเอาผ้าปูที่ระเบียง จากน้ันกใ็ หเ้ กลย่ี ฟ่อนหญา้ ไว้ ตอ่ แต่นั้นท่านก็เข้าไปยังวิหาร ปิดประตู บันดาล ใหเ้ ปลวไฟลอดออกจากช่องลูกดาล ไหม้กองหญ้า แต่ไม่ให้ไหม้ผ้าห่ม ทาคหบดีตกใจรีบสลัดผ้าห่ม ยืนขน ลุกอยูข่ ้าง ๆ จิตตคหบดีเห็นเช่นน้ันก็เกิดความเล่ือมใส และนิมนต์ท่านอยู่ที่อัมพาฏกวัน และปวารณาจะ บารุงดูแลด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยบริขาร พระมหกะได้ยินเช่นนั้นก็บอกว่า “โยม พดู ด”ี วันต่อมาท่านกเ็ ก็บงาเสนาสนะออกจากเมืองมจั ฉกิ าสัณฑ์ และไมก่ ลบั มาอกี เลย มณีจฬู กะ,ผูใ้ หญ่บา้ น นายมณีจฬู กะ ในคัมภรี ์๘๖๐ ระบวุ ่าเป็นผใู้ หญบ่ า้ น วันหน่ึงมีการประชุมในราชบริษัท ภายใน พระราชวัง เกิดมีปัญหาขึ้นในสมาคมนั้นว่า “เงินและทองสมควรแก่พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร หรือ พระสมณะเช้อื สายศากยบตุ รยนิ ดีทองและเงินได้หรือ พวกพระสมณะเช้ือสายศากยบุตรรับทองและเงินได้ หรอื ” นายมณีจูฬกะนั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ก็ได้กล่าวชี้แจงให้บริษัทเข้าใจว่า “ทองและเงินไม่ สมควรแก่พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน ไม่รับทอง และเงิน ปล่อยวางแก้วมณีและทอง ปราศจากทองและเงนิ ” เมอ่ื ช้ีแจงให้ราชบริษัทเข้าใจเช่นน้ันแล้ว ก็ได้ เข้าไปกราบทูลรายงานให้พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบ พระผูม้ ีพระภาคได้ตรัสรบั รองการชี้แจงของนายมณจี ฬู กะวา่ ช้ีแจงตามความเป็นจริง ไม่ช่ือว่า กล่าวต่พู ระพทุ ธพจน์ จากน้นั จึงตรสั กบั ผู้ใหญบ่ า้ นมณจี ูฬกะว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ทองและเงินควรแก่รูปใด แม้ กามคณุ ๕ กค็ วรแก่ผนู้ ้ัน กามคุณ ๕ ควรแก่รูปใด ท่านพึงทรงจาผู้นั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่มีสมณธรรม ไม่ มธี รรมของเชือ้ สายศากยบตุ ร” มธรุ ะ, พระราชา พระเจา้ มธรุ ะ ปรากฏในมธุรสูตร แหง่ มชั ฌมิ นิกาย๘๖๑ ความระบุถึงพระเจ้ามธุระ แห่งเมืองมธุ รา ได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัจจายนะ ณ ป่าคุนธาวัน เขตกรุงมธุรา เม่ือเสด็จไปถึงได้ถือโอกาสสนทนา ธรรมเก่ียวกับวาทะที่พราหมณ์ท้ังหลายประกาศว่า วรรณะพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐท่ีสุด ท่านพระ มหากจั จายนะมคี วามเหน็ ว่าอย่างไร พระมหากัจจายนะได้แสดงให้พระเจ้ามธุระเห็นตามความเป็นจริงว่า วาทะที่กล่าวอ้างน้ัน “เป็นเพียงคาโฆษณาในโลกเท่านั้น” ว่าตามความเป็นจริงแล้ว กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทรก็ตาม ตา่ งก็ประเสรฐิ เพราะการกระทา หากทาความชวั่ ด้วยกาย วาจา และใจ ยอ่ มบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเหมอื นกนั หมด กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศทู รก็ตาม กระทาการตัดช่องย่องเบา ปล้นเรือน ดักจี้ ในทางเปลย่ี ว เปน็ ชู้ ถา้ ราชบุรุษจับได้ ย่อมได้ช่ือว่าเป็น “นักโทษ”และก็จะต้องได้รับโทษเหมือนกัน ไม่มี ข้อยกเวน้ ๘๖๐ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๔๘/๓๙๗. ๘๖๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๑๗/๓๘๒.
๒๓๓ พระเจ้ามธุระเม่ือพระมหากัจจายนะถวายพระพรอย่างน้ัน ทรงเล่ือมใส แสดงพระองค์เป็น อบุ าสก นบั ถอื พระรตั นตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ิตตง้ั แตบ่ ดั นน้ั ในคมั ภรี ์ระบุอีกว่า เดิมทเี ดยี วนั้นพระเจ้ามธุระขอถงึ พระมหากัจจายนะเป็นสรณะ แต่ถูกห้าม ไว้ พร้อมท้ังไดร้ บั การแนะนาว่าให้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เพราะพระองค์เป็นศาสดา ตนเป็นเพียงพระ สาวกเท่านน้ั พระเจา้ มธุระไดท้ รงปฏบิ ตั ติ าม พรอ้ มกบั แสดงพระประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ กไ็ ดร้ บั ทราบจากพระมหากัจจายนะว่า เวลาน้ี พระองค์ปรินิพพานแล้ว ท่านจึงแสดงพระองค์เป็นอุบาสก ถอื พระพุทธเจา้ แม้ปรินิพพานแล้ว ว่าเปน็ สรณะ พร้อมทง้ั พระธรรม และพระสงฆ์ มหาวิชติ ราช, พระราชา พระเจ้ามหาวิชิตราช ปรากฏในกูฏทันตสูตร แห่งทีฆนิกาย๘๖๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้น มาเป็นตัวอย่างแสดงแก่กูฏทันตะพราหมณ์ ซึ่งได้เข้าเฝ้า ณ สวนอัมพลิฏฐิกา ที่เฝ้าเข้าเพื่อกราบทูลถาม เรือ่ งยญั สมบตั ิ ๓ ประการ มีองคป์ ระกอบ ๑๖ เพื่อเป็นแนวทางประการที่พระองค์จะทาการบูชายัญ โดย ทรงยกตัวอยา่ งกรณยี ญั ของพระเจา้ มหาวชิ ิตราชในอดตี ยัญสมบัติ ๓ ประการ ของพระเจ้ามหาวิชิตราช ได้แก่ ๑) การพระราชทานพันธ์ุพืชและ อาหารให้แกพ่ ลเมอื งผขู้ ะมักเขม้นในเกษตรกรรมและการเล้ียงปศุสัตว์ ๒) พระราชทานต้นทุนแก่พลเมือง ผู้ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรม และ ๓) พระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการที่ขยันขันแข็งใน บ้านเมอื ง พระเจ้ามหาวชิ ิตราช ทรงบูชายัญด้วยอาการ ๑๖ อย่าง เป็นต้นว่า ๑) ทรงเชิญเจ้าผู้ปกครอง เมืองท่ีอยู่ในนิคมและในชนบทมาปรึกษา ๒) ทรงเชิญอามาตย์ราชบริพารท่ีอยู่ในนิคมและในชนบทมา ปรึกษา ๓) ทรงเชิญพราหมณ์มหาศาลท่ีอยู่ในนิคมและในชนบทมาปรึกษา ๔) ทรงเชิญคหบดีผู้ม่ังคั่งใน นคิ มและชนบทมาปรึกษา ๕) ทรงเป็นกษัตริย์ท่ีบริสุทธิ์โดยพระชาติกาเนิดทั้งฝ่ายพระชนกและชนนี เป็น ต้น และที่สาคญั นนั้ ในการบูชายัญไม่มีการฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สกุ ร และสตั ว์นานาชนิด ดรู ายละเอียดเพมิ่ เตมิ ใน กฏู ทนั ตพราหมณ์ มักขลโิ คสาล, เจา้ ลัทธิ มกั ขลิโคสาลเป็นบุตรทาสคนหนึ่ง เพราะความที่เกิดในโรงวัว จึงได้นามว่า โคสาล วันหนึ่งถูก นายให้อมุ้ หม้อน้าไปตามถนนที่มีเปลือกตม ถูกนายกาชับว่า อย่าลื่นนะ แต่ด้วยความประมาทก็ล่ืนหกล้ม เพราะความกลวั ถูกลงโทษจงึ ว่งิ หนี นายฉุดชายผา้ ไว้ เขาท้งิ ผ้า แลว้ ก็หนีไป๘๖๓ มักขลโิ คสาล เป็น ๑ ในเจ้าลัทธิ หรือที่เรียกว่า ครูท้ัง ๖ ประกอบด้วย ปูรณกัสสปะ มักขลิโค สาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร ในคัมภีร์ระบุว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้า คณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผู้มีช่ือเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ คนจานวนมากยกย่องว่าเป็นคนดี๘๖๔ ท้ังหมดอา้ งตนว่าเปน็ พระอรหันตใ์ นโลก๘๖๕ ๘๖๒ ที.สี. (ไทย) ๙/๓๒๓/๑๒๕. ๘๖๓ มงั คล.(ไทย) ๑/๖๔. ๘๖๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๓๘/๒๘๑. ๘๖๕ วิ.จ.ู อ.(ไทย) ๗/๒/๑๓.
๒๓๔ มักขลิโคสาลมีทิฏฐิว่า “สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพ่ือความบริสุทธ์ิแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ บริสุทธ์ิเอง ไม่มี การกระทาของตนเอง ไม่มีการกระทาของผู้อื่น ไม่มีการกระทาของบุรุษ ไม่มีกาลัง ไม่มีความเพียร ไม่มี เรี่ยวแรงของบรุ ุษ ไม่มคี วามบากบ่ันของบรุ ษุ สัตวท์ ้ังปวง ปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง ชีวะท้ังปวง ล้วนไม่ มอี านาจ ไมม่ กี าลงั ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบ ตามความเป็น เอง”๘๖๖ เหตุผลท่ีมักขลิโคสาลมีทิฏฐิเช่นน้ัน เพราะเขามีความเชื่อว่า “ทุกๆ ร้อยปี คนนาน้าหยดหน่ึง ไปจากสระใหญป่ ระมาณเท่าน้ี ดว้ ยปลายหญา้ คา ทาสระน้านนั้ ใหไ้ มม่ นี ้า ๗ ครัง้ เปน็ มหากัปหน่ึง มหากัป เหน็ ปานนี้สิ้นไป ๘ ลา้ น ๘ แสนครัง้ ท้งั คนโงแ่ ละคนฉลาดย่อมสิน้ ทกุ ข์ได้” ๘๖๗ ลทั ธินีเ้ รียกอีกอย่างหนึง่ ว่า อเหตกุ วาท หรอื อเหตุกทิฏฐิ มฏั ฐกุณฑล,ี มาณพ มฏั ฐกณุ ฑลีมาณพ ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๘๖๘ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระคาถา วา่ “ธรรมทัง้ หลายมีใจเปน็ หัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สาเร็จด้วยใจ ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดีหรือหรือทาดีตามไป ด้วย เพราะความดีน้ัน สุขย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะน้ัน” ความสังเขปในอรรถ กถา๘๖๙ ดงั ตอ่ ไปน้ี มัฏฐกณุ ฑลี เปน็ บุตรของอทนิ นปุพพกเศรษฐี สาเหตุที่ช่ือมัฏฐกุณฑลี เพราะใส่ตุ้มหูเกล้ียง ๆ ทต่ี ีโดยฝีมือเศรษฐีผู้เปน็ บิดา ด้วยเหตุผลเพยี งว่า บิดาไม่กล้าจา้ งช่างทองตีให้ ด้วยกลัวเสียเงินค่าจ้าง และ เหตุทชี่ ่อื วา่ อทินนปุพพกเศรษฐี เหตุเพราะเปน็ คนตระหน่ีถ่ีเหนยี ว ไม่เคยหยบิ ย่นื อะไรๆ ใหแ้ ก่ใคร มฏั ฐกณุ ฑลี ครั้นเติบใหญ่วัย ๑๖ ขวบปี เกิดเป็นโรคผอมเหลือง แต่เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็ไม่กล้า พาไปหาหมอเพราะกลัวเสียทรัพย์ ได้แต่ไปสอบถามอาการจากหมอคนน้ันบ้าง คนน้ีบ้าง จากนั้นก็ไปหา ยาปรุงให้บุตรรับประทานด้วยตนเอง กระทั่งโรคกาเริบหนัก จึงไปหาหมอมารักษา แต่พอหมอมาถึง ตรวจดูอาการ ก็บอกลา ด้วยรูว้ ่า ยงั ไงก็ไมร่ อด เศรษฐีรู้ว่ามัฏฐกุณฑลีจะไม่รอดแล้ว ก็เลยให้หามไปนอน นอกชานเรือน ด้วยเกรงว่า ถ้าไว้ในเรือน คนมาเย่ียมดูอาการก็จะเห็นทรัพย์สินเงินทอง มัฏฐกุณฑลีจึง ได้มานอนรอความตายอยูน่ อกระเบยี ง วันน้ัน พระศาสดาตรวจดูความเป็นไปของโลก เห็นเหตุดังกล่าว จึงอาศัยพระเมตตา เสด็จ บิณฑบาตผ่านเรือนเศรษฐี ประทับยืนเปล่งพระรัศมีไปกระทบฝาผนังบ้าน ส่งสัญญาณให้มัฏฐกุณฑลีซ่ึง นอนหันหนา้ เขา้ หาฝาผนังบา้ นให้รู้สึกตัว มัฏฐกณุ ฑลีเห็นพระรัศมีสะท้อนกระทบสายตา ก็เกิดความสงสัย พลิกตัวกลับมา เห็นพระผู้มี พระภาคประทับยนื อยหู่ น้าบา้ น เกิดความเล่ือมใส จึงได้น้อมจิตคารวะ ด้วยเวลานั้น ไม่มีแม้แต่แรงยกมือ จึงได้แต่ส่งใจไป พระผู้มีพระภาคทราบว่าเธอมีจิตอ่อนแล้ว ก็เสด็จจากไป ไม่นานนักก็ได้กระทากาละ ไป บงั เกิดบนสรวงสวรรคด์ ว้ ยจิตท่เี ลอื่ มใสนน้ั ๘๖๖ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๒๙๖. ๘๖๗ ที.สี.อ.(ไทย)๑/๑/๓๘๕. ๘๖๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒/๒๔. ๘๖๙ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๕.
๒๓๕ ฝ่ายบิดา เม่ือมัฏฐกุณฑลีจากไปแล้ว ก็ได้ให้คนนาศพไปเผาที่ป่าช้า เผาศพแล้ว ตัวก็ยังเศร้า โศก ไปป่าชา้ ทกุ ๆ วนั น่ังครา่ ครวญรอ้ งไหถ้ งึ บตุ รท่ีตายไปแล้ว หลายวันเข้า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็ลงมา เตือนให้สานึก พร้อมท้ังประกาศให้เห็นถึงพุทธานุภาพแห่งความเลื่อมใส ทาให้เศรษฐีคลางแคลงใจ และ นาไปสกู่ ารเขา้ เฝา้ เพอ่ื กราบทลู ถามขอ้ เท็จจริง แต่ก็ถูกพระพุทธเจ้าย้อนว่า ทาไมต้องสงสัย ข้อเท็จจริงทุก อย่างบุตรชายบอกชัดเจนแลว้ มิใช่หรือ ในโอกาสนี้พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมโปรดอทินนปุพพกเศรษฐี ในกาลที่สิ้นสุดแห่งพระ เทศนา มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้บรรลุโสดาบัน ขณะท่ีอทินนปุพพกเศรษฐีเกิดความเล่ือมใสใน พระพทุ ธศาสนา ตั้งแตน่ ั้นมาก็กลับใจกลายเปน็ เศรษฐีใจบุญ หว่านสมบตั ิไวใ้ นพระพทุ ธศาสนาเป็นจานวน มาก มัททรปู ,ี พระราชธิดา พระนางมัททรูปี ในอัมพฏั ฐสูตร๘๗๐ ระบุว่าเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราช ต่อมาถูก ฤาษีกัณหะมาสู่ขอ เบ้ืองต้นพระองค์ทรงกริ้วมาก เพราะฐานะของฤาษีกัณหะน้ันไม่คู่ควรแก่พระธิดา จึง ทรงข้ึนศรธนูเพ่ือยิงฤาษี แต่ไม่สามารถปล่อยลูกธนูได้ ทั้งไม่สามารถวางธนูลง ด้วยอานุภาพของฤาษี สดุ ท้ายจงึ ต้องยกพระธดิ าใหฤ้ าษี ตอ่ มา อาศยั การอยรู่ ่วมกนั จึงไดใ้ ห้กาเนดิ อัมพัฏฐมาณพ และถือเป็นต้น ตระกลู อัมพัฏฐะ มันตานี,นาง นางมันตานี ปรากฏชื่อแต่เพียงว่าเป็นมารดาของพระปุณณะ๘๗๑ ด้วยเหตุดังกล่าวน้ี พระ ปุณณะ ต่อมาจึงมีสร้อยนามเรียกว่า พระปุณณมันตานีบุตร มีความหมายว่า พระปุณณะผู้เป็นบุตรของ นางมนั ตานี ธรรมเนียมอินเดียสมัยพุทธกาล นิยมเรียกชื่อลูกโดยการอ้างชื่อแม่ เช่น สารีบุตร หมายถึง บุตรของนางสารี มนั ตานีบตุ ร หมายถึง บุตรของนางมนั ตานี โมคคลั ลบี ตุ ร หมายถึง บุตรของนางโมคคัลลี เป็นต้น มัลละ,เจา้ เจา้ มัลละ เป็นสามานยนาม ในคมั ภรี ์พระไตรปิฎกพบเจ้ามัลละที่ระบุช่ือท่ีระบุช่ือเป็นจาเพาะ ก็มี เชน่ เจ้ามลั ละพระนามวา่ โรชะ๘๗๒, เจา้ มลั ละพระนามว่าปกุ กุสะ๘๗๓ เป็นต้น ในโรชมัลลวัตถุ๘๗๔ ระบุว่า เจ้ามัลละพระนามว่าโรชะเป็นสหายพระอานนท์ เมื่อพระผู้มีพระ ภาคเสดจ็ กรุงกสุ ินารา ไดถ้ วายการต้อนรับ ครั้นเสร็จแล้วก็เข้าไปหาพระอานนท์ และได้รับการชื่นชมจาก พระอานนทว์ า่ ต้อนรับพระผู้มีพระภาคได้สมพระเกียรติ แต่เจ้าโรชะปฏิเสธ ท่ีทาไปเพราะพวกญาติได้ทา กติกาว่า ใครไม่ต้อนรับพระผู้มีพระภาค จะถูกปรับสินไหม ๕๐๐ กหาปณะ ที่ทาไปเพราะกลัวถูกปรับ ๘๗๐ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๒๗๓/๙๕. ๘๗๑ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๔๕๔/๗๐. ๘๗๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๐๑/๑๓๓. ๘๗๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๒/๑๔๑. ๘๗๔ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๐๑/๑๓๓.
๒๓๖ สินไหม พระอานนท์ได้ยินอย่างน้ันก็แสดงความไม่พอใจ ได้เข้าเฝ้า และกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรง ทราบ พระผู้มีพระภาคได้แผเ่ มตตาจติ ไปทีเ่ จ้าโรชะ จากนัน้ กเ็ สด็จเขา้ ไปในพระวิหาร เจ้าโรชะได้พอรับกระแสพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ก็กระวนกระวาย ปรารถนา จะเขา้ เฝ้าพระผูม้ ีพระภาค เม่ือได้รบั คาแนะนาจากภิกษทุ ั้งหลายว่า พระองค์ประทับอยู่ในพระวิหาร จึงได้ เข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคได้แสดงอนุปุพพิกถา เมื่อเห็นว่าเจ้าโรชะมีจิตอ่อนโยนแล้ว ก็ทรงประกาศสามุก กังสิกธรรม จบพระธรรมเทศนา เจ้าโรชะตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล หมดความเคลือบแคลงสงสัยในพระ รัตนตรยั ตง้ั แตบ่ ัดนน้ั ในมหาปรินิพพานสูตร๘๗๕ เจ้ามัลละพระนามว่าปุกกุสะ ซ่ึงเป็นนับถืออาฬารดาบส ได้เข้าเฝ้า พระผมู้ ีพระภาค กล่าวช่นื ชมอาฬารดาบสวา่ เป็นผู้สารวมระมัดระวงั เป็นอย่างย่ิง แม้เกวียน ๕๐๐ เล่มเดิน ผา่ นไปกไ็ มไ่ ด้เหน็ ไม่ไดย้ นิ เสียง ท้งั ท่มี ีสญั ญา และไมไ่ ดห้ ลบั พระผู้มพี ระภาคจึงตรสั ตอบวา่ ระหว่างทาแบบน้ันกับการท่ีคนยังมีสัญญา เมื่อฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้ารอ้ ง ก็ไมเ่ ห็น ไม่ไดย้ นิ อันไหนทาได้ยากกวา่ เม่ือเจ้าปุกกุสะกราบทูลว่า อย่างหลังทาได้ยากกว่า พระผู้ มีพระภาคจึงตรัสเล่าเร่ืองที่พระองค์อยู่ที่โรงกระเด่ืองในเขตเมืองอาตุมา ฝ้าผ่าใกล้โรงกระเดื่อง พระองค์ ไม่ได้ยนิ เสียงฟ้าผ่า ไมเ่ ห็นฟ้าแลบ เจ้าปุกกุสะ เมื่อได้ยินพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนั้น ก็รู้สึกอัศจรรย์ ได้กล่าวช่ืนชมพระผู้มีพระ ภาค และแสดงตนเปน็ ผู้นบั ถือพระรัตนตรยั ตลอดชีวติ เจ้ามัลละ ถือว่ามีบทบาทสาคัญในคราวพุทธปรินิพพาน เพราะเมื่อพระผู้มีพระภาคได้เลือก เมืองกุสินาราเป็นที่ปรินิพพาน และเมืองกุสินาราน้ีก็อยู่ในความปกครองของเจ้ามัลละท้ังหลาย เหตุน้ัน เมื่อหลังจากตัดสินพระทัยปลงมายุสังขารแล้ว ก็รับส่ังให้พระอานนท์แจ้งข่าวถึงเจ้ามัลละท้ังหลายทรง ทราบเพ่อื เตรียมการ เมอ่ื พระองค์เสดจ็ มาถงึ เมืองกุสินารา ก็ได้รับการต้อนรับจากเจ้ามัลละทั้งหลาย เจ้า มัลละทั้งหลายได้จัดแจงตามรับสั่งในเรื่องการจัดการพระบรมศพ และการณ์ต่าง ๆ อย่างสมพระเกียรติ ทุกประการ มลั ลกิ า, พระเทวี ๑. พระนางมัลลิกาเทวี อัครมเหสขี องพระเจ้าปเสนทโิ กศล พระนางมลั ลกิ า เดมิ เป็นธิดาของนายมาลาการ ในพระนครสาวัตถี มีรูปโฉมเลอเลิศ มีปัญญา มาก๘๗๖ มหี นา้ ทอี่ อกไปเกบ็ ดอกไมใ้ นสวนเพ่ือนามาใหบ้ ิดาทาพวงมาลัย หรือไม่ก็จัดดอกไปให้เป็นระเบียบ เพื่อไว้ขายเป็นประจา นอกจากนี้นางยังได้เคยถวายดอกไม้ และได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า กระทั่งได้บรรลุโสดาปัตตผิ ลต้งั แตอ่ ายยุ ังน้อย คัมภีร์อรรถกถาระบไุ วว้ ่า เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๑๖ พรรษา วันหนึ่ง พระนางมัลลิกาถือขนมจาก ตลาด เข้าไปรับประทานในสวนดอกไม้ ระหว่างทางได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า มีภิกษุเป็นบริวารกาลัง แสวงหาอาหาร เกิดความเลื่อมใส ได้ถวายขนมน้ันแด่พระผู้มีพระภาค ด้วยอานิสงค์ของการถวายขนมใน ครั้งนั้น จึงได้รับการพยากรณ์จากพระศาสดาว่า พระนางมัลลิกาได้ถวายอาหารแก่พระองค์เป็นคนแรก วันน้ีนางจักได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซ่ึงก็เป็นไปตามนั้น วันน้ันพระเจ้าปเสนทิกศลทรง ปราชยั ต่อพระเจ้าอชาตศตั รู ทรงล่าถอยกลับมาสู่พระนคร ด้วยความล้าพระวรกาย จึงเสด็จเข้าไปยังสวน ๘๗๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๒/๑๔๑. ๘๗๖ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๔๒๐.
๒๓๗ ดอกไม้เพื่อพักและรอคอยหมู่ทหาร พระนางมัลลิกาเห็นจึงได้ถวายการดูแลรักษา ทาให้ทรงทราบซื้ง พระทัย จึงโปรดให้รับนางเข้าสู่เมือง และสถาปนาไว้ในตาแหน่งพระอัครมเหสี๘๗๗ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ระบุว่า พระนางมลั ลกิ าทรงมพี ระธิดากับพระเจา้ ปเสนทโิ กศล ๑ พระองค๘์ ๗๘ พระนามว่า วชิรีกุมาร๘๗๙ ครั้งหนึ่ง ขณะประทับอยู่บนปราสาท พระเจ้าปเสนทิโกศล มีความประสงค์จะทดสอบพระ นางมลั ลิกาเทวี ว่าทรงรักพระองคม์ ากน้อยแค่ไหน ไดต้ รัสถามวา่ ใครเป็นที่รกั ของพระนาง หรือมีคนที่พระ นางรักย่ิงกว่าตัวบ้างไหม พระนางก็ตอบตามความเป็นจริงว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นท่ีรักของนาง แต่ คนทพี่ ระนางรักย่งิ กวา่ ตวั พระนางเองนั้นไม่มี ด้วยไมต่ อ้ งการเสแสร้ง ตรัสเพียงเพอื่ เอาพระทยั เพื่อแสดงให้ทรงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาหรือธรรมชาติของมนุษย์ นางจึงตรัสย้อนถามพระเจ้า ปเสนทิโกศลด้วยคาถามเดียวกัน ซึ่งก็ได้รับคาตอบแบบเดียวกันคือ ไม่มีใครรักคนอื่นมากกว่าตัวเอง หลังจากได้คาตอบแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลคาถามและคาตอบท่ี พระองค์และพระนางมัลลิกาเทวีได้สนทนามา พระผู้มีพระภาคทรงสดับดังนั้น ก็ตรัสยืนยันเช่นเดียวกัน ค้นหาตลอดทว่ั ทุกทิศแล้ว ไม่พบใครซึ่งเป็นที่รกั ยง่ิ กวา่ ตน๘๘๐ พระนางมัลลิกาเทวีนับว่ามีบทบาทสาคัญหลายประการ และได้รับการบันทึกไว้ในคัมภีร์ พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในระดับบาลี และอรรถกถา เช่น ทรงมีส่วนสาคัญในการเปล่ียนพระทัยของ พระเจ้าปเสนทิโกศลให้ทรงหันไปนับถือพระพุทธศาสนา ให้ทรงเลิกทาการบูชายัญตามคาแนะนาขนอง ปโุ รหิต และทรงทาอสทสิ ทาน เปน็ ตน้ ครั้งหน่ึง พระเจ้าปเสนทิโกศลมีนิมิตประหลาดเกิดข้ึนในพระราชวัง และได้รับการพยากรณ์ จากปุโรหิตว่าเปน็ นมิ ิตรา้ ย ให้ทาการบูชายญั จงึ จะช่วยแกเ้ คราะห์ดงั กล่าว พระองค์รับส่ังให้ตระเตรียมพิธี บูชาย่ิงใหญ่ มีการฆ่าสัตว์อย่างละ ๕๐๐ ตัว พระนางมัลลิกาทรงทัดทานมิให้พระองค์ทาบาป และได้ แนะนาให้พระองค์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอรับคาแนะนาซ่ึงพระองค์ก็ ทรงทาตาม และยกเลิกพิธีบูชา ยญั กระทั่งพระเจา้ ปเสนทโิ กศลยกเลิกพธิ บี ูชายญั ๘๘๑ เม่ือพระเจ้าปเสนทิโกศลแข่งกับชาวเมืองทาบุญกัน ประชาชนมักจะทาทานอันประณีตและ มโหฬาร พระเจ้าปเสนทิโกศลจนพระทัยไม่รู้จะทาประการใด จึงจะทาให้ทานของพระองค์มโหฬารและ แปลกใหม่กว่าประชาชน จึงขอรับคาแนะนาจากพระนางมัลลิกา ซึ่งพระนางมัลลิกาก็แนะนาให้พระองค์ ทรงทา “อสทิสทาน” ด้วยการเสริมใช้พระธิดากษัตริย์ต่าง ๆ มาช่วยในการถวายทานครั้งนี้๘๘๒ ซ่ึงทาให้ ไดเ้ ปรยี บชาวเมอื ง ชนะการแข่งขนั ในท่ีสดุ นบั ว่าเป็นความเฉลียวฉลาดอันเกิดจากสติปัญญาของพระนาง มัลลิกาอยา่ งแทจ้ ริง๘๘๓ นอกจากน้ี ยังทรงให้ความสาคัญ และส่งเสริมลัทธิศาสนา เห็นได้จากทรงรับสั่งให้สร้าง สถานท่ีโต้ลัทธิเพ่ือเป็นแหล่งเผยแพร่ศาสนาสาหรับเจ้าลัทธิต่าง ๆ ไว้ที่มุมเมือง ทรงให้ปลูกต้นมะพลับ ๘๗๗ ส.สคา.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๓๗. ๘๗๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๒๗/๑๕๐. ๘๗๙ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๑๗๖. ๘๘๐ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๓๖. ๘๘๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๑๖๐. ๘๘๒ ท.ี ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๔๗. ๘๘๓ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๒๖๓.
๒๓๘ เป็นแถวล้อมรอบศาลา เรียกต่อมาว่า มัลลิกายาราม หรืออารามของพระนางมัลลิกา๘๘๔ หลักฐานจาก คัมภีร์ระบุถึงการโต้วาทะในศาลาโต้ลัทธินี้บ่อยคร้ัง แม้พระพุทธเจ้า ตลอดพระสงฆ์สาวกก็เคยใช้สถานที่ แห่งนี้ในการโต้วาทะกับปริพาชก หรือนิครนถ์ต่าง ๆ บ่อยคร้ัง ตัวพระนางเองก็มีความสนพระทัยใน การศึกษาพระธรรม ถึงกับกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคส่งพระสาวกมาสอนธรรมในพระราชวังเป็น ประจา๘๘๕ จากหลกั ฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พระนางมัลลิกาเทวี น่าจะมีความสนิทสนมกับพระผู้มี พระภาคเจ้าพอสมควร ดังจะเห็นได้จากคร้ังหน่ึง พระเจ้าปเสนโกศลวิวาทโต้เถียงเรื่องสิริ บ้างก็ว่าเรื่องที่ บรรทม ถงึ กับทรงกร้วิ ไม่สนพระทยั พระนางอยู่หลายวนั เหตุการณ์คร้ังน้ีได้ทราบถึงพระกรรณของพระผู้มี พระภาค พระองค์ได้เสด็จมาที่พระราชนิเวศน์ และทรงทาทีถามหานางพระนางมัลลิกาเทวี พระเจ้า ปเสนทิโกศลก็กราบทลู ไปว่าจะทรงสนพระทัยไปทาไม แต่เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ แลว้ ท้งั สองพระองคก์ ก็ ลับปรองดองดังเดิม๘๘๖ อนึ่ง จากหลักฐานในคัมภีร์ระบุว่า พระนางมัลลิกาเทวีทิวงคตก่อนพระเจ้าปเสนทิโกศล๘๘๗ อรรถกถาธรรมบทระบุว่า พระนางได้เคยทาสันถวะกับสุนัขทรงเล้ียง เม่ือทิวงคตจึงไปบังเกิดในนรกเป็น ระยะเวลา ๗ วนั ๘๘๘ ครบ ๗ วัน จึงไดไ้ ปบังเกดิ ในสวรรค์ชัน้ ดสุ ติ ๒. นางมัลลกิ า,ภรรยาของพนั ธุลเสนาบดี พระนางมัลลิกา เป็นธิดาเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินารา เมือเจริญวัย ได้แต่งงานกับพันธุล เสนาบดี แตไ่ ม่มบี ุตรดว้ ยกนั ทาใหพ้ นั ธุลเสนาบดีผิดหวงั และส่งพระนางกลับคืนตระกูล แต่ก่อนกลับพระ นางได้เข้าไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้า และได้รับการทัดทานจากพระพุทธเจ้าว่า ไม่ต้องกลับ ฝ่ายพันธุล เสนาบดีเมื่อพระนางมัลลิกาบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงให้พระนางกลับคืนก็ไม่กล้าคัดค้าน เพราะคิดว่า พระพุทธเจ้าคงจะทรงมองเห็นการณ์ไกล ซึ่งก็เป็นจริง เพราะต่อมา นางมัลลิกาก็ตั้งครรภ์ และคลอด บุตรชายแฝด ๓๒ คน ท้ังหมดเป็นผู้แกล้วกล้า ถึงพร้อมด้วยกาลัง สาเร็จศิลปะวิทยาทั้งปวง คนหนึ่งๆ มี บริวารพันหน่งึ ๘๘๙ ภายหลังต่อมามีคนยุยงว่าพันธุลเสนาบดีพร้อมด้วยบุตร ๓๒ คนจะก่อการกบฏ พระราชาจึง วางแผนออกไปนอกเมือง แล้วจับพันธุลเสนาบดี พร้อมด้วยบุตร ๓๒ คน ประหารชีวิตทั้งหมด นาง มัลลิกาทราบข่าวเรื่องนี้ ขณะอังคารพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แต่ก็ไม่ได้แพร่งพรายให้คน อนื่ ทราบ กระทง่ั มีคนงานยกกับข้าวมา และทาภาชนะตกแตกต่อหน้าพระพกั ตร์ พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่า อย่าคิดมาก เพราะของมีอันแตกไปเป็นธรรมดา นางจึงแก้หนังสือออกจากชายพก แล้วกราบทูลว่า สามี กบั บุตร ๓๒ คนถูกฆา่ ตายทั้งหมดยงั ไมค่ ดิ จะไปคิดอะไรกับภาชนะแตกเพียงแค่นี้๘๙๐ ๘๘๔ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/๒/๑๘๐. ๘๘๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๕๖. ๘๘๖ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๔๑๔. ๘๘๗ องฺ.ปญจก.อ.(ไทย)๓/๑๑๔. ๘๘๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๖๘. ๘๘๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๐. ๘๙๐ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๒๐๔.
๒๓๙ นางมัลลิกาคร้ันพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับวิหารแล้ว ก็ให้เรียกสะไภ้ท้ัง ๓๒ คนมาแล้วก็ส่ัง สอนวา่ สามขี องพวกเธอทั้งหมดไม่มีความผิด ได้ผลกรรมแต่ชาติปางก่อน อย่าเศร้าโศกไปเลย และก็อย่า ทาการผูกแคน้ ใจเจ็บต่อพระราชา ฝ่ายพระราชาเมอ่ื ทราบความจรงิ จากสายลับทส่ี ่งไป ก็เกดิ ความเศร้าโศกพระทัย ได้เสด็จไปยัง เรือนของนางมัลลิกา ให้นางมัลลิกาและหญิงสะใภ้อดโทษ และได้พระราชทานพรแก่นางมัลลิกา นางได้ ขอพรให้นางและสะใภ้ทั้ง ๓๒ กลับคืนสู่ตระกูล เมื่อพระราชารับแล้ว นางก็ส่งสะใภ้กลับเรือนตระกูล ทั้งหมด ส่วนนางกก็ ลับเรอื นตระกลู ของตนในเมอื งกสุ ินารา๘๙๑ มหากาล, พระ พระมหากาลเถระ ปรากฏในขุททกนกิ าย ธรรมบท๘๙๒ ปรารภพระคาถาว่า “มารย่อมครอบงา บุคคลผู้พิจารณาเห็นความงาม ไม่สารวมอินทรีย์ ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เกียจคร้าน มีความเพียร ยอ่ หย่อนเหมือนพายพุ ดั ต้นไมท้ ไี่ ม่ม่ันคงใหห้ ักโค่นลงได้ ในอรรถกถา๘๙๓ มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี พระมหากาลเถระ เดิมเป็นกุฎุมพีชาวเสตัพพยนคร มีพ่ีน้องร่วมท้องกัน ๓ คน ประกอบด้วย จุลกาล มัชฌิมกาล และมหากาล ท้งั หมดมีอาชีพค้าขายต่างเมือง จุลกาลและมหากาลทาหน้าที่นาส่ิงของ มา สว่ นมัชฌิมกาล ทาหน้าทีข่ ายสนิ ค้าทีน่ ามา อยู่มาวันหนึ่งมหากาลบรรทุกสินค้าไปท่ีเมืองสาวัตถี พักเกวียนระหว่างเมืองสาวัตถีกับพระ เชตวัน ได้เห็นมหาชนไปฟังธรรมเวลาเย็น จึงถือโอกาสน้องชายเฝ้าคาราวานเกวียน ส่วนตนก็ไปฟังธรรม กบั ชาวเมอื ง เม่อื ไปถงึ ก็นงั่ ทีส่ ุดบริษัท พระพุทธเจ้าทราบอัธยาศัยของมหากาล จึงได้ตรัสอนุปุพพิกถา สิ้นกระแสพระเทศนา เกิด ความเลือ่ มใส จงึ กลับมาลาน้องชายขอบวช แม้จะถูกทัดทานจากน้องชายแล้วก็ตาม แต่ก็ยังยืนยันเจตนา กระทงั่ ได้บวชในท่ีสดุ ขณะทีจ่ ลุ กาลกไ็ ปบวชเช่นกัน แตม่ วี ัตถุประสงค์เพยี งเพอื่ จะชวนพ่ชี ายสึก พระมหากาลบวชแล้ว ไดเ้ รียนกมั มัฏฐานในสานกั ของพระผู้มีพระภาคเจ้า บาเพ็ญวิปัสสนาใน ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้อาศัยหญิงเฝ้าป่าช้าถวายความอุปถัมภ์ ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วย ปฏสิ ัมภิทาทง้ั หลาย ขณะทพ่ี ระจุลกาลนอ้ งชาย ถูกภรรยาวางแผนจบั สกึ ในทส่ี ุด ฝ่ายภรรยาของพระมหากาล เห็นภรรยาของพระจุลกาลทาเช่นนั้น ก็วางแผนจะจับพระมหา กาลสึกบ้าง วันหน่ึงเมื่อพระมหากาลกระทาภัตกิจในบ้าน พระศาสดามอบให้กระทาอนุโมทนา ท่านจึง ต้องกลับทีหลัง นางได้โอกาสจึงล้อมเพ่ือจะเปลื้องผ้าพระเถระออก แต่พระมหากาลล่วงรู้เหตุก่อน จึงได้ เหาะหนีกลับพระเชตวนั มหากาล, อุบาสก มหากาลอุบาสก มาขทุ ทกนิกาย ธรรมบท๘๙๔ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระคาถาว่า “บาป ท่ีตนเองทา เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมทาลายคนมีปัญญาทราม เหมือนเพชรท่ีเกิดจากหินทาลาย แก้วมณี” ความในอรรถกถา๘๙๕ มรี ายละเอียดพอสงั เขปดงั ตอ่ ไปน้ี ๘๙๑ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๓. ๘๙๒ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๗/๒๖. ๘๙๓ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๖๔. ๘๙๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๖๑/๘๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: