๔๐ ท่ีสุดอย่างท่ี ๑ น้ี คือ สิ่งท้ังปวงมีอยู่ ท่ีสุดอย่างที่ ๒ นี้ คือ ส่ิงทั้งปวง ไม่มีอยู่ ตถาคต ไม่เข้าไปใกล้ท่ีสุดทั้ง ๒ อย่างนี้ ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลางว่า ‘เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสงั ขารเป็นปัจจัย วญิ ญาณจึงมี ฯลฯ ความเกิดข้นึ แห่งกองทุกขท์ ัง้ มวลน้ี มีได้ดว้ ยประการฉะน้ี ในฉันนสูตรแห่งสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค๓๘ ก็ปรากฏเร่ืองราวของพระอานนท์ได้สนทนา กับพระฉันนะ ถึงเรื่องราวท่ีพระกัจจานโคตรเข้าไปถามถึงความหมายของสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิกับ พระผ้มู พี ระภาค ซ่ึงมีเนอื้ หาโดยนัยเดียวกบั ทแี่ สดงไว้แล้วข้างต้น กัจจายนะ,พระ พระกัจจายนะ หรือเรียกอีกชื่อหน่ึงว่าพระมหากัจจายนะ ในมหากัจจายนเถราปทาน๓๙ มี เนื้อความพรรณนาถึงอดีตชาติของท่านไว้ว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระอุบัติขึ้นในโลก ท่านเป็นดาบสอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ ครั้งหนึ่งออกจากป่าเข้าเมืองทางอากาศ ได้เห็นพระชินเจ้า จึงได้เข้า เฝา้ และได้ฟงั ธรรม ไดฟ้ ังคาสรรเสริญของพระชินเจ้าผู้กาลังสรรเสริญพระสาวกองค์หน่ึงผู้มีความสามารถ ในการแสดงธรรมโดยย่อให้พิสดาร จึงได้นาดอกไม้มาบูชา และกระทาความปรารถนาเช่นนั้นบ้าง ด้วย อานภุ าพแห่งการบูชาน้นั ทา่ นเวียนวา่ ยตายเกิดในตระกูลกษัตริย์ และพราหมณ์อยู่ในชาติ ชาติสุดท้ายได้ เกิดเป็นพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าจันทปัชโชติในกรุงอุชเชนี บิดาของท่านคือติปีติวัจฉะ มารดาชื่อจัน ทนปทมุ า ส่วนทา่ นไดน้ ามว่า กัจจายนะ เพราะมีผิวพรรณสวยงาม๔๐ อน่งึ ในอรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท๔๑ ระบุวา่ พระมหากจั จายนะ ทา่ นจะมีรูปร่างสง่างาม เป็นที่ชอบใจไม่เฉพาะแก่หญิงท้ังหลายเท่านั้น แม้บุรุษเพศ เห็นท่านแล้วก็ยังเกิดความกาหนัด ด้วยเหตุนี้ บุตรเศรษฐชี าวเมืองโสเรยยะ เห็นท่านเข้า เกิดความกาหนัด คิดไปว่า พระเถระน่าจะเป็นภรรยาตน หรือ ภรรยาตนได้ผิวพรรณเหมือนพระเถระก็คงดี เพียงแค่คิด ทาให้บุตรเศรษฐีน้ันกลับเพศเป็นหญิง และด้วย ความละอาย จงึ หนอี อกจากบา้ น ไปอยู่ต่างเมือง ได้มาสามีอยู่กินกระท่ังมีลูกด้วยกัน ๒ คน จึงได้มีโอกาส พบพระเถระ และขอขมาโทษ จนได้กลับเพศเปน็ ชายตามเดมิ ประวัติการออกบวชของท่าน มีพรรณนาไว้ว่า ท่านถูกพระเจ้าจันทปัชโชติส่งไปสืบข่าวการ อุบัติข้ึนของพระพุทธเจ้า ได้พบพระพุทธเจ้า และฟังธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้กราบทูลลา อปุ สมบท ความท่ที ่านเปน็ ผแู้ ตกฉานนัยแหง่ อุเทศต่าง ๆ สามารถแสดงธรรมท่ีพระพุทธเจ้าแสดงแล้วโดย ย่อให้พิสดารได้ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งในตาแหน่งเอตทัคคะอธิบายธรรมโดยย่อให้พิสดาร และด้วย คุณสมบัตินี้เอง ท่านจึงเป็นกาลังสาคัญของพระพุทธศาสนา จะเห็นได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์ อรรถกถา มีเรื่องราวภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ตลอดปริพาชกเข้าไปถามปัญหา หรือขอให้ท่านอธิบายพระ พุทธพจนท์ ่ีแสดงไว้ในโอกาสตา่ ง ๆ ตัวอย่าง ในมหากัจจายนสูตร๔๒ มีเนื้อความพรรณนาไว้ว่า ท่านพระมหากัจจายนะเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแลว้ พรรณนาถงึ อานุภาพของพระพทุ ธเจ้าวา่ นา่ อศั จรรย์ ไม่เคยมีมาก่อน เพราะพระพุทธเจ้าน้ันทรงรู้ ๓๘ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๐/๑๗๓. ๓๙ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑/๒๓๗. ๔๐ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๑/๒๔๐. ๔๑ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑/๔๔๕. ๔๒ อง.ฺ ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๒๖/๔๕๙.
๔๑ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง รู้วิธีบรรลุช่องว่างในโอกาสอันแคบ (หมายถึงหลุด พ้นจากกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส) คืออนุสติ ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ, สงั ฆานุสสติ, ศีลานสุ สติ, จาคานุสสติ, และเทวตานสุ สติ ในมาคันทิยสุตตนิเทส๔๓ หาลินทกานิคหบดีได้เข้าไปถามปัญหาธรรมท่ีพระพุทธเจ้าแสดงไว้ โดยย่อกะพระมหากัจจายนะว่า “บุคคลละที่อาศัยแล้ว ไม่เท่ียวซ่านไปหาท่ีอาศัย มุนีไม่ทาความเย่ือใย ในกาม วา่ งจากกามท้ังหลาย ไม่มุ่งหมายอัตภาพต่อไป ไม่พึงกล่าวถ้อยคาขัดแย้งกัน” มีความพิสดารว่า อย่างไร พระมหากัจจายนะได้ขยายความให้พิสาดารว่า รูปธาตุเป็นต้น เป็นท่ีอาศัยแห่งวิญญาณ วิญญาณที่ผูกพันไว้ด้วยราคะในรูปธาตุ ตรัสเรียกว่า การเท่ียวซ่านไปหาท่ีอาศัย, ความพอใจ ความ กาหนัด ความเพลิดเพลนิ ความทะยานอยาก อุบายและความยึดมั่น อันเป็นเหตุท่ีใจเข้าไปตั้งม่ันถือม่ัน และนอนเนื่องแห่งรูปธาตุ พระตถาคต ทรงละไดเ้ ด็ดขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลท่ีถูกตัดราก ถอนโคนไปแลว้ เหลือแตพ่ นื้ ท่ี ทาใหไ้ ม่มี เกดิ ขน้ึ ตอ่ ไปไมไ่ ด้ ฉะนน้ั บัณฑติ จึงเรียกพระตถาคตว่า “ผู้ไม่ ทรงเทย่ี วซา่ นไปหาท่ีอาศัย” ดงั นี้เปน็ ตน้ ในโลหิจจสูตร๔๔ พรรณนาเรื่องราวของมาณพผู้หาฟืนซ่ึงเป็นศิษย์ของโลหิจจพราหมณ์ จานวนมาก ได้เข้าไปหาพระมหากัจจายนะ ขณะท่ีท่านพักอยู่ที่กุฏิป่า เขตเมืองมักกรกฏะ แคว้นอวันตี คร้ันไปถึงแลว้ ตา่ งกไ็ ม่แสดงอาการเคารพ ซ้าพูดดูถูกเหยียดหยามว่าพวกสมณะโล้นเป็นคนรับใช้ วรรณะ ต่า เกิดจากบาทมหาพรหม พระมหากัจจายนะได้ออกมาห้ามปรามให้สงบเสียง จากนั้นก็ได้แสดงสาร ธรรมต่าง ๆ มีนัยเป็นต้นว่า เป็นพราหมณ์ก็ควรระลึกถึงธรรมด้ังเดิมของคน ควรคุ้มครอง รักษาตนให้ดี ไมใ่ ห้ความโกรธครอบงา ยินดีในธรรมและฌาน ไม่ประพฤติผิดในสัตว์ทั้งหลาย เพียงแค่การสมาทานวัตร ไม่กิน นอนบนพ้ืนดิน อาบน้าเวลาเช้า นุ่งหนังสือท่ีหยาบ ไม่ชาระฟัน แต่ไม่คุ้มครองทวาร ก็ย่อมไร้ผล เหมือนกับเปน็ การหลอกลวงผูอ้ ืน่ เปน็ อยู่ มาณพเหล่าน้ัน ได้ยินพระมหากัจจายนะพูดเช่นนั้นก็ไม่พอใจ ได้กลับไปรายงานให้อาจารย์ ของตนทราบว่าถูกพระเถระขอ้ นขอด ค้านมนตร์ของพราหมณ์ ทาให้โลหิจจพราหมณ์พลอยโกรธเคือง ไม่ พอใจตามไปด้วย จากน้ันก็พาไปสอบถามเอาเรื่อง พระมหากัจจายนะก็ได้เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง พราหมณ์จึงได้ซักถามเรอ่ื งการไมค่ ุ้มครองทวาร พระมหากัจจายนะได้แสดงความหมายว่า การไม่คุ้มครองทวาร ก็คือการไม่คุ้มครองตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ ปลอ่ ยให้เกดิ การยนิ ดี ยนิ ร้ายเมื่ออารมณ์มากระทบทางทวารต่าง ๆ ทาให้เกิดความ ยึดมั่นถือมนั่ สว่ นผคู้ มุ้ ครองทวารดแี ล้ว เมื่ออารมณ์มากระทบก็ไม่หว่ันไหว บาปธรรมทั้งหลายไม่สามารถ เกดิ ขึน้ ได้ จบพระสูตร พราหมณ์เกิดความเล่ือมใส ได้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมท้ังพระธรรม และ พระสงฆเ์ ป็นสรณะ เปน็ ทีพ่ ึง่ ตลอดชวี ิต ในกาลีสูตร๔๕ พรรณนาถึงอุบาสิกาช่ือกาลี เข้าไปหาพระมหากัจจายนะ ขณะท่ีท่านพักอยู่ที่ ปวัตตบรรพต เขตกรุงกุรรฆระ แคว้นอวันตีชนบท ได้ขอร้องให้ช่วยอธิบายพระพุทธพจน์เรื่องการบรรลุ ประโยชนท์ ่ีเปน็ เหตใุ ห้เกดิ ความสงบใจ ชนะมารและเสนาได้ ๔๓ ข.ุ มหา.(ไทย) ๒๙/๗๙/๒๓๓. ๔๔ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๐. ๔๕ อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๒๖/๕๗.
๔๒ พระมหากจั จายนะไดแ้ สดงธรรมโดยนยั เป็นต้นว่า การบรรลุประโยชนช์ ัน้ ยอด กค็ ือสมาบัติที่มี ปฐวกี สิน อาโปกสิน วาโยกสิน เป็นต้น เปน็ อารมณ์แล้ว ไดเ้ หน็ เบื้องตน้ (สมุทัย) โทษ (ทุกขสัจ) ธรรมเป็น เคร่ืองสลัดออก (นิโรธสัจ) และมัคคามัคคญาณทัสสนะ (มัคคสัจ) ย่อมบรรลุประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาค ตรัสได้ ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า พระมหากัจจายนะ มีชีวิตอยู่ภายหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว ดัง ข้อความวา่ “เมือ่ พระผู้มีพระภาคเสดจ็ ปรนิ พิ พานแล้ว พร้อมด้วยการแบ่งพระบรมธาตุแล้ว สถาปนาพระ สถูปสาหรับพระศาสดาไว้ในท่ีนั้นๆ เมื่อพระสาวกท่ีได้คัดเลือกเพื่อสังคายนาพระธรรม มีพระมหากัสสป เถระเป็นประมุข อยู่ในที่นั้นๆ กับบริษัทของตนๆ ด้วยเห็นแก่เวไนยสัตว์ จนถึงวันเข้าพรรษา ท่านพระ มหากจั จายนะอยูใ่ นเขตปา่ แหง่ หนีง่ ในปจั จนั ตชนบท”๔๖ พระมหากัจจายนะ มีบทบาทสาคัญในการกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าผ่อนผันการปฏิบัติตาม สิกขาบทบางประการ เนอ่ื งมาจากบริบท หรือสภาพแวดล้อมทต่ี ่างกัน เช่น ขอให้พระพุทธเจ้าทรงผ่อนผัน การอนุญาตให้สงฆ์ปัญจวรรคประกอบสังฆกรรมให้อุปสมบทกุลบุตรในปัจจันตชนบทได้ การอยู่ประจา การลาดแผ่นหนงั การสวมรองเทา้ การไมอ่ ยปู่ ราศจากจวี ร๔๗ เปน็ ตน้ หลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ไม่พบว่าท่านปรินิพานท่ีไหน อย่างไร ทราบแต่เพยี งนยั วา่ ทา่ นนิพพานหลังพุทธปรนิ พิ พาน ดงั ไดก้ ล่าวแล้วขา้ งตน้ กณั ฑรายนะ, พราหมณ์ กณั ฑรายนพราหมณ์ ปรากฏช่ืออยู่ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต๔๘ เนื้อความพรรณนาไว้ ว่า กัณฑารายนพราหมณ์ได้เข้าไปหาพระมหากัจจานะซ่ึงพักอยู่ที่ป่าคุนทาวัน เขตเมืองมธุรา ตาหนิพระ มหากจั จานะว่าเปน็ ไมม่ สี มั มาคารวะ ไมร่ ้จู ักต้อนรบั พราหมณผ์ ูเ้ ป็นผู้ใหญ่ ซงึ่ เป็นการไม่สมควรเลย พระมหากัจจานะจงึ กลา่ วตอบแกพ่ ราหมณ์ว่า ภมู ิสาหรับคนแก่ และคนหนุ่มพระพุทธเจ้าตรัส ไว้แล้วว่า บุคคลแม้จะมีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี ถ้ายังบริโภคกามอยู่ อยู่ท่ามกลางกาม ถูกความ ร้อนเพราะกามแผดเผา ถูกกามวิตกกัดกิน ยังเป็นผู้ขวนขวายแสงหากาม เขาย่อมถึงการนับว่าเป็นหนุ่ม ไม่ใช่ผู้ใหญ่แท้ ส่วนผู้แม้เป็นเด็ก มีผมดาสนิท ยังหนุ่มแน่น อยู่ในปฐมวัย หากแต่ไม่บริโภคกาม ไม่อยู่ ท่ามกลางกาม ไม่ถูกกามแผดเผาให้เร่าร้อน ไม่ถูกกามวิตกกัดกิน ไม่ขวนขวายเพื่อแสวงหากาม เขาย่อม ถงึ การนบั ว่าเป็นบัณฑติ เปน็ ผูใ้ หญ่แท้ เมื่อพระมหากัจจานะกล่าวจบ กัณฑรายนพราหมณ์ได้ลุกจากที่นั่ง ห่มเฉวียงบ่าข้างหน่ึง กราบลงท่ีเท้าของภิกษหุ นุ่ม ๑๐๐ รูป ด้วยเศียรเกล้า พร้อมกับกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ใหญ่ ตง้ั อยู่ในภมู ิของผใู้ หญ่ แตข่ า้ พเจ้าเป็นเดก็ ตงั้ อยใู่ นภมู ิของเด็ก จากนนั้ กก็ ล่าวช่ืนชมภาษิตของพระมหากัจ จานะว่าไพเราะยิ่งนัก จากนั้นไดแ้ สดงตนเป็นอุบาสกนับถือพระรตั นตรัยตลอดชีวิต กณั ฏกะ, สามเณร สามเณรกัณฏกะ เป็นสามเณรอุปัฏฐากของพระอุปนันทศากยะ คู่กับสามเณรมหกะ ท้ังสอง รูปชอบรังแกกัน และมักก่ออธิกรณ์ข้ึน เป็นสาเหตุให้ได้รับติเตียน และมีเรื่องถูกนาไปกราบทูลให้ ๔๖ ขุ.วิ.อ.(ไทย) ๒/๑/๕๐๓. ๔๗ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๑๓๓. ๔๘ องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๙/๘๕.
๔๓ พระพุทธเจ้าทรงทราบบ่อยคร้ัง เป็นต้นเหตุแห่งการบัญญัติพระวินัยหลายสิกขาบท เช่น ข้อบัญญัติห้าม ภิกษมุ ีสามเณรอุปัฏฐากเกิน ๒ รูป รูปใดมีต้องอาบัติทุกกฎ๔๙ ข้อบัญญัติให้ทานาสนะ ๓ อย่างคือ สังวาส นาสนะ ได้แก่ ไม่ให้ร่วมกิจกรรม, ลิงคนาสนะ ได้แก่ ให้สึก, และทัณฑกรรม ได้แก่ การลงโทษ อย่างใด อย่างหน่ึงแก่สามเณรผู้ละเมิดทาความผิด ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ (๑) ฆ่าสัตว์ (๒) ถือเอา สิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ (๓) ประพฤติกรรมท่ีไม่ใช่พรหมจรรย์ (๔) พูดเท็จ (๕) ดื่มน้าเมา (๖) ติเตียน พระพุทธเจ้า (๗) ติเตียนพระธรรม (๘) ติเตียนพระสงฆ์ (๙) มีความเห็นผิด และ (๑๐) ประทุษร้ายนาง ภิกษณุ ๕ี ๐ กณั ฏก,ี ภิกษุณี กัณฏกี เป็นช่ือของนางภิกษุณีรูปหน่ึง ปรากฏในมหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๕๑ ความเนื่อง ด้วยสามเณรกัณฏกะ ได้ประทุษร้ายนาง เป็นสาเหตุให้พระพุทธเจ้าวางบัญญัติให้ภิกษุทานาสนะ ได้แก่ การลงโทษสามเณรผปู้ ระกอบด้วยความผดิ ๑๐ ประการ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ (ดู กณั ฏกะ,สามเณร) กัณหะ,นาย กัณหะ เป็นบุตรของนางทิสา หญิงรับใช้ของพระเจ้าโอกกากราช คัมภีร์ทีฆนิกายพรรณนาไว้ ว่า นายกัณหะตัวดาเหมือนปิศาจ คร้ันคลอดออกจากครรภ์มารดาก็พูดเลย และประโยคแรกท่ีนายกันหะ พดู กค็ อื “แม่จงล้างฉนั แมจ่ งใหฉ้ นั อาบ จงปลดเปลือ้ งฉนั จากสงิ่ โสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่” ๕๒ นายกัณหะนต้ี ่อมาได้กลายเป็นบรรพบรุ ุษของพวกกณั หายนะ ต่อมานายกัณหะไดไ้ ปบวชเป็นฤาษี เรียนมนต์ชื่อพรหมมันตระ เป็นผู้มีช่ือเสียง จึงได้เดินทาง ไปขอนางมัททรูปี ซ่ึงเป็นพระธิดาของพระเจ้าโอกกากราช เป็นเหตุให้พระเจ้าโอกกากราชทรงพิโรธมาก ด้วยรู้ว่ากัณหะฤาษีน้ันเป็นบุตรของทาสคนรับใช้ จึงได้ด่าด้วยความกริ้ว พร้อมกับหยิบพระแสงศรเตรียม ยิงกัณหฤาษี แต่ไม่สามารถแผลงศร และไม่อาจลดศรลงได้ ทรงยืนหวาดหว่ันด้วยความกลัว อามาตย์ ทั้งหลายจงึ ได้เขา้ ไปหาฤาษีกณั หะแลว้ ถามอุบายเพือ่ จะไดช้ ว่ ยเปลื้องทกุ ข์ของพระราชา กัณหะฤาษีได้บอกอุบายไปว่า ถ้าพระราชาแผลงศรลงต่า แผ่นดินก็จะทรุดท่ัวพระราชอาณา เขต ถา้ แผลงขึน้ สงู ฝนก็จะไม่ตกเปน็ ระยะเวลา ๗ ปี เพื่อความปลอดภยั ของบา้ นเมือง ให้พระราชาวางศร บนไว้ที่พระราชกุมารองค์ใหญ่ พระราชาได้ทาตามคาแนะนาของกัณหะฤาษีทุกประการ จากน้ันจึงทรง มอบพระนางมัททรปู ีแกก่ ัณหะฤาษีไป๕๓ ในกัณหะชาดก มเี รือ่ งเล่าวา่ ทา้ วสักกะไม่พอใจกณั หะฤาษี จึงได้กล่าวคาถาว่า “ชายผู้น้ีผิวดา หนอ บริโภคอาหารสีดา อยู่ในภมู ิประเทศสดี า เราไม่ชอบใจเลย” ฤาษีกัณหะได้ยินเช่นน้ันจึงกล่าวตอบว่า “ผิวไม่นับเป็นคนดา เพราะพราหมณ์มีความดีเป็นแก่นภายใน ผู้มีกรรมช่ัวนั่นแหละ เป็นคนดาแท้”๕๔ ท้าวสักกะไดส้ ดบั เชน่ นั้นชอบใจ จงึ ให้พรแก่ฤาษีกัณหะ ท่านจึงได้ขอพร ๔ ประการ ดังน้ี (๑) อย่าให้เป็น ๔๙ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๑๐๑/๑๕๖. ๕๐ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๑๐๘/๑๗๒. ๕๑ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๑๐๘/๑๗๒. ๕๒ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๖๗/๙๓. ๕๓ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๗๔/๙๖. ๕๔ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๒/๓๒๒.
๔๔ คนมคี วามโกรธ (๒) อยา่ ให้เปน็ คนมีโทสะ (๓) อย่าให้เป็นคนมีความโลภ (๔) อย่าให้มีความเสน่หา โดยให้ เหตุผลว่า เพราะมองเหน็ ภัยของความโกรธ โทสะ โลภะ และความเสนห่ า กนั ทรกะ, ปรพิ พาชก กนั ทรกปริพพาชก ปรากฏเร่อื งราวอยู่กนั ทรกสูตรแหง่ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ความวา่ พรอ้ มดว้ ยบตุ รควาญช้างชื่อเปสสะ ได้เขา้ ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีชือ่ วา่ คัคครา เขตเมอื งจาปา กันทรกปริพพาชกได้สนทนากับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร มองดูเหล่า ภิกษุสงฆ์ผู้น่ังสงบนิ่งอยู่ จึงกราบทูลว่า น่าอัศจรรย์ เพียงแค่น้ีก็พระองค์ก็ได้ชื่อว่าแนะนาให้ภิกษุสงฆ์ ปฏบิ ตั ิขอบแลว้ แมพ้ ระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจ้าในอดีต กไ็ ด้ทรงแนะนาให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติชอบได้ถึงเพียง นี้๕๕ จากนัน้ กท็ รงยืนยนั วา่ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคน้ันเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลาดับแล้ว และในภิกษุเหล่าน้ี มีจานวน มากอีกเชน่ กันทย่ี งั เปน็ พระเสขะ มีปกติสงบ มีความเป็นอยู่สงบ มีปัญญา มีความเป็นอยู่ด้วยปัญญา มีจิต ตงั้ มัน่ ดแี ลว้ ในสติปฏั ฐาน ๔ นี้๕๖ อน่ึง ในอรรถกถาปปัญจสูทนี ได้อธิบายความหมายที่มาของช่ือ กันทรกะว่า เพราะเป็นปริพ พาชกผนู้ ุง่ ผ้า๕๗ กัปปะ, ดาบส กัปปดาบสมีช่ือปรากฏอยู่ในเกสวชาดกแห่งขุททกนิกาย ชาดก๕๘ เนื้อความปรากฏแต่เพียง ว่า เกสวดาบสไดล้ ะพระเจ้ากรงุ พาราณสีผ้เู ปน็ จอมมนุษย์ ผู้ยังความสาเร็จท้ังให้สมประสงค์ได้ แต่กลับมา ยินดีในอาศรมของกัปปดาบส เหตุผลเพียงเพราะถ้อยคาอันเป็นสุภาษิต และความคุ้นเคยท่ีมีต่อกัปป ดาบสน้นั นา่ ยนิ ดกี วา่ อรรถกถาชาดก ขยายความเพ่ิมเติมว่า ในอดีตกาลเม่ือพระเจ้าพรหมทัตตครองกรุงพาราณสี พระโพธิสตั วเ์ กดิ ในตระกลู พราหมณ์ มารดาบดิ าต้ังชอื่ ว่า กัปปกมุ าร คร้ันเจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาศิลปวิทยา ท่ีเมืองตกั กสิลา ตอ่ มาไดบ้ วชเป็นฤาษี คร้งั นนั้ เกสวดาบสห้อมล้อมดว้ ยดาบส ๕๐๐ รปู เป็นครูของคณะอยู่ในหิมวันตประเทศ กัปป ดาบสได้เข้าไปเป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่แห่งอันเตวาสิก ๕๐๐ รูปเหล่าน้ัน ทาให้พระโพธิสัตว์มีความคุ้นเคย กบั เกสวดาบสเป็นอย่างยง่ิ ต่อมาเกสวดาบสมีความประสงค์จะเสพรสเปร้ียวและรสเค็ม จึงได้พาบริวารไป ยังเมืองพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในพระนครเพื่อภิกขาจาร พระราชา ทอดเห็นหมู่ดาบสเหล่าน้ัน ก็นิมนต์มาฉันในพระราชนิเวศน์ คร้ันล่วงถึงกาลฤดูฝน เกสวดาบสก็ทูลลา พระราชา ๕๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑/๒. ๕๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒/๓. ๕๗ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๑๘. ๕๘ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๘๑/๑๙๔.
๔๕ พระราชาได้ตรัสกับเกสวดาบสว่า ท่านชราภาพมากแล้ว ขอให้ส่งแต่ดาบสหนุ่มกลับไปเถิด ส่วนท่านพักอยู่ในพระราชนิเวศน์ พระองค์จะเป็นผดู้ ูแลอุปัฏฐากเอง เกสวดาบสรับว่าดีแล้ว จึงส่งดาบสท่ี เหลือทงั้ หมดกลบั ไปยงั หมิ วันตประเทศ ตนเองผูเ้ ดียวเท่านั้นยับยั้งอยู่ในพระราชอทุ ยาน เมื่อกัปปดาบส และดาบสที่เหลอื กลับไปหมดแล้วไมน่ าน เกสวดาบสก็เกิดความราคาญใจ ใคร่ จะเหน็ กัปปดาบสแต่ก็ไม่ได้เห็น ทาให้นอนไม่หลับ อาหารท่ีฉันไปก็ย่อยไม่ดี ทาให้เกิดอาพาธ ได้รับความ ทุกขเวทนาอย่างหนกั แม้พระราชาจะสง่ หมอหลวงมาดูแลรักษาอย่างดี อาการก็หาทุเลาไม่ เกสวดาบสจึง ทูลถามว่า มหาบพิตรปรารถนาให้อาตมภาพตาย หรือปรารถนาให้หายจากโรค พระราชาตรัสตอบว่า ปรารถนาใหห้ ายจากโรคซทิ า่ นผู้เจริญ เกสวดาบสจึงทูลวา่ ถา้ อย่างน้นั ขอให้พระองค์ส่งอาตมภาพกลับไป ยังหิมวันตประเทศ พระราชาตรัสว่า ดีละ ดังน้ีแล้ว ก็รับให้นารทอามาตย์ พร้อมด้วยนายพรานผู้ชานาญ ทาง นาเกสวดาบสกลบั ไปยังหิมวนั ตประเทศ เกสวดาบสไดพ้ บกัปปดาบสแล้ว โรคทางใจก็สงบ ความกระสันราคาญก็ระงับ เมื่อกัปปดาบส นาขา้ วยาคูท่ีหุงด้วยข้าวฟ่าง ผสมลูกเดือย พร้อมด้วยผักท่ีราดด้วยน้าเปล่า ไม่เค็ม ไม่ได้อบแก่เกสวดาบส โรคของเกสวดาบสก็ระงับ ซ่ึงเป็นทม่ี าของภาษิตทีว่ า่ ความคุ้นเคย เปน็ รสอยา่ งยิ่ง๕๙ กปั ปะ, มาณพ กัปปมาณพ ปรากฏในกัปปมาณวกปัญหาแห่งขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต และปรากฏในจูฬนิเทศ เนื้อความคล้ายกัน ความสังเขปว่า กัปปมาณพได้ทูลถามให้พระพุทธเจ้าตรัสบอกท่ีพ่ึงให้แก่สรรพสัตว์ ท้งั หลายผู้อยู่ท่ามกลางสระคอื สงั สารวัฏ ผู้ถกู ชราและมจั จุราชครอบงา๖๐ พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ปัญหา วา่ นอกจากนิพพานแล้ว ไม่มที พ่ี งึ่ อื่นสาหรบั สรรพสัตว์ท้ังหลาย นิพพานเป็นท่ีสิ้นไปแห่งชราและมัจจุ ชน เหลา่ ใดมีสติรนู้ ิพพานนั้นแลว้ เหน็ ธรรม ดบั กิเลสได้แล้ว ชนเหลา่ นนั้ จึงจะไม่เป็นไปตามอานาจของมาร ไม่ ไปบารงุ มาร๖๑ กปั ปิตกะ, ภกิ ษุ พระกัปปิตกะ ปรากฏในภิกขุณีวิภังค์แห่งพระวินัยปิฎก มีเนื้อความสังเขปว่า พระกัปปิตกะ เป็นอุปัชฌาย์ของพระอุบาลี พักอาศัยอยู่ในป่าช้า วันหน่ึงภิกษุณีผู้เป็นฝักใฝ่ของภิกษุณีฉัพพัคคีย์รูปหน่ึง มรณภาพ พวกภกิ ษุณีฉพั พัคคยี ์จึงนาศพไปเผา ก่อสถูปไว้ในที่ไม่ไกลที่อยู่ของพระกัปปิตกะนั้นแล้วร่าไห้ที่ สถปู น้ันเนอื ง ๆ พระกปั ปติ กะราคาญเสยี งรา่ ไห้นัน่ จึงไดไ้ ปทาลายสถปู นัน้ จนแหลกละเอียด พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้ปรึกษากันว่า พระกัปปิตกะได้ทาลายสถูปแม่เจ้าของพวกเรา มาเถิด พวกเราจะฆ่าพระกัปปิตกะเสีย ภิกษุณีรูปหนึ่งทราบความนั้น จึงได้นาความลับไปบอกพระอุบาลี พระ อุบาลีได้นาเรื่องนั้นไปบอกแก่พระอุปัชฌาย์ของตน พระกัปปิตกะจึงหนีออกจากกุฏิไปซ่อนตัวอยู่ที่อ่ืน ฝ่ายภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้พากันไปที่กุฏิของพระกัปปิตกะ ช่วยกันเอาก้อนหินและก้อนดินขว้างปาทับที่อยู่ ของพระกปั ปิตกะ จากนนั้ ก็จากไปด้วยคดิ วา่ พระกัปปิตกะมรณภาพแล้ว ๕๙ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๖๘๖. ๖๐ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๐๙๙/๗๖๕. ๖๑ ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๑๑๐๑/๗๖๕.
๔๖ ครั้นเวลารุ่งเช้า พระกัปปิตกะก็เดินออกรับบิณฑบาตท่ีเมืองเวสาลีแต่เช้าตรู่ พวกภิกษุณี ฉัพพคั คยี เ์ หน็ เขา้ ก็คดิ ว่า พระกัปปิตกะยังมีชีวิตอยู่ ใครเป็นคนนาความลับไปบอก ครั้นสืบความได้ว่าเป็น พระอุบาลี จงึ ไดด้ ่าพระอบุ าลีด้วยประการต่าง ๆ ภิกษณุ ผี ้มู ักน้อยทราบเชน่ นัน้ จงึ พากนั ตาหนภิ ิกษณุ ีฉัพพคั คยี ์ว่าทาไมด่าพระอุบาลีเช่นนั้น จึง ได้นาเรื่องไปบอกแก่ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุท้ังหลายได้นาเรื่องนั้นไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึง ตรัสให้เรียกประชุม และทรงทาการสอบสอน ได้ความแล้วจึงทรงตาหนิภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จากน้ันจึงทรง บญั ญัตพิ ระวนิ ัย หา้ มภิกษณุ ีดา่ ภกิ ษุ รปู ใดด่าตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์๖๒ กปั ปนิ ะ,พระ ในมหากัปปินนเถราปทาน๖๓ พรรณนาถึงประวัติของท่านความสังเขปว่า ในอดีตชาติเป็นผู้ พิพากษาในเมืองหงสาวดี ได้ฟังธรรมจากสานักของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เห็นพระพุทธเจ้า ตั้งพระสาวกองค์หน่ึงไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ เกิดความเลื่อมใส จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก ไปฉันในเรือน และได้กระทาความปรารถนาในตาแหน่งเช่นน้ันบ้าง คร้ันละจากอัตภาพนั้นก็ไปบังเกิดใน ตระกลู ช่างทอหูก ในหมู่บ้านใกล้กรงุ พาราณสี ไดท้ าการบารุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ คร้ันละจาก อัตภาพน้ันก็บังเกิดเป็นพระราชาในกุกกฎบุรี, อรรถกถาระบุพระราชอาณาเขตของพระนครประมาณได้ ๓๐๐ โยชน์๖๔, ประกอบด้วยอิสริยยศใหญ่ มีความสุขในราชสมบัติ ได้ฟังข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติข้ึนแล้ว ในโลก สละราชสมบัติ ออกผนวชพร้อมด้วยเสนาใหญ่ ข้ามแม่น้ามหาจันทา, คัมภีร์อรรถกาสังยุตตนิกาย ว่า ข้ามแม่น้าคงคาก่อน จากน้ันก็ข้ามแม่น้าสายที่ ๒ และสายท่ีสามจึงข้ามแม่น้าจันทภาคา๖๕ ขณะที่ อรรถกถาธรรมบทว่าแมน่ า้ สายแรกชือ่ อารวปจั ฉานที สายที่ ๒ ช่ือนีลวาหนานที และสายท่ี ๓ ชื่อจันทภา คานท๖ี ๖ดว้ ยพลังอานาจแห่งการระลึกถึงคุณพระรตั นตรัย ได้เขา้ เฝ้าพระผู้มีพระภาคซึ่งเสด็จมาต้อนรับริม ฝ่ังแม่น้าจันทภาคาสิ้นระยะทาง ๑๒๐๖๗ ได้ฟังธรรม และได้ดวงตาเห็นธรรม คร้ันแล้วได้ทูลขออุปสมบท ในศาสนาของพระผู้มีภาคเจ้า ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ (คัมภีร์อรรถกถาระบุว่าได้สาเร็จ พระอรหันต์พร้อมด้วยบริวาร และทูลขออุปสมบทในวันน้ัน จากน้ันก็พาเหาะไปพระเชตวัน) และด้วย ผลานิสงส์ท่ีได้บาเพ็ญไว้ในอดีต ท่านก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะว่า เลิศกว่า ภิกษุท้ังหลายผูใ้ หโ้ อวาทแกภ่ ิกษุ ก่อนหน้าที่จะได้รับแต่งต้ังในตาแหน่งเอตทัคคะ ท่านเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่ได้สั่งสอนศิษย์ ตามสมควรแก่ธรรม กระทั่งถูกร้อนเรียน พระผู้มีพระภาคทราบความแล้ว จึงตรัสเรียกมาสอบถาม ได้ ความจริงอย่างนั้น จึงทรงตักเตือนพระมหากัปปินะว่าอย่างทาอย่างน้ัน ต้ังแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้แสดง ธรรมแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย พระมหากัปปินะรับสนองพระดารัสแล้ว ได้สั่งสอนอันเตวาสิกให้บรรลุพระ ๖๒ ว.ิ ภกิ ขณุ ี. (ไทย) ๓/๑๐๒๙/๒๖๙. ๖๓ ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๖๖/๒๔๖. ๖๔ ส.นิ.อ.(ไทย) ๒/๗๘๔. ๖๕ ส.น.ิ อ.(ไทย) ๒/๗๘๗. ๖๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๐๙. ๖๗ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๕๒๖.
๔๗ อรหัตผลในวันน้ันนั่นเอง เม่ือเธอพาอันเตวาสิกมาเฝ้าพระพระพุทธเจ้า จึงได้รับการแต่งตั้งในตาแหน่ง เอตทัคคะ๖๘ เรือ่ งราวของพระมหากปั ปนิ ะ ปรากฏอกี หลายแหง่ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ซ่ึงล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงปฏิปทา และคุณลักษณะพิเศษที่พระพุทธเจ้ายกย่อง นามาแสดงพอเป็น ตัวอยา่ งประกอบพอสงั เขปดงั นี้ ในมหากัปปินสูตร แห่งสังยุตตนิกาย นิทานวรรค๖๙ ได้พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงรูปร่าง สัณฐานของพระมหากัปปินะไว้ว่า “ขาว โปร่ง จมูกโด่ง” และตรัสถึงคุณสมบัติอีกว่า “มีฤทธานุภาพ สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้าก็เข้าได้โดยง่าย เธอกระทาให้แจ้งประโยชน์อันยอดเย่ียมอันเป็นท่ีสุดแห่ง พรหมจรรย์ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันยอด เย่ยี ม” ในมหากัปปินวัตถุ แห่งวินัยปิฎก มหาวรรค๗๐ ได้พรรณนาถึงพระมหากัปปินะปลีกวิเวกอยู่ ทม่ี ทั ทกุจฉิมฤคทายวัน และมคี วามคดิ วา่ ตนเองอยู่จบพรหมจรรย์ เป็นผู้บริสุทธิ์ดว้ ยความบริสุทธ์ิอย่างย่ิง แล้ว ยังจะต้องทาอุโบสถสังฆกรรมอยู่อีกหรือ พระผู้มีพระภาคได้ทราบความดาหริน้ัน จึงหายพระองค์ไป ปรากฏต่อหน้าพระมหากัปปินะเพื่อคลายทิฐิดังกล่าวน้ัน โดยตรัสว่า “ถ้าเธอไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับ ถือ ไม่บูชาอุโบสถแล้ว ใครเล่าจักสักการะ เคารพ นับถือ บูชา” จากน้ันก็ทรงแนะนาให้พระมหากัปปินะ ไปรว่ มทาอุโบสถสงั ฆกรรม ในมหากัปปินสูตร แห่งสังยุตตนิกาย มหาวรรค๗๑ พรรณนาเรื่องราวของพระมหากัปปินะ อยู่ที่เมอื งสาวตั ถี ไดน้ ัง่ สมาธใิ นท่ีไม่ไกลจากพระพทุ ธเจา้ พระพุทธเจ้าเห็นท่านน่ังตัวตรง ดารงสติม่ัน กาย ไมห่ วั่นไหว จึงเรยี กภกิ ษมุ าถามว่า เหน็ พระมหากปั ปินะน่ังตัวตรง กายไม่เอนไหวนั่นไหม ภิกษุเหล่าน้ันก็ กราบทลู ว่า ทกุ ครง้ั ท่เี ห็นพระมหากัปปนิ ะน่ัง ไมว่ ่าจะในท่ีไหน ก็จะเป็นอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัส เสริมว่า “การทก่ี ายไม่ไหวหรือเอนเอยี ง หรอื การที่จิตไม่ไหวหรือดิ้นรน เพราะสมาธิใดที่ภิกษุเจริญอยู่ ทา ใหม้ ากแล้ว สมาธนิ นั้ ภิกษไุ ดต้ ามปรารถนา ไดโ้ ดยไม่ยาก ไดโ้ ดยไมล่ าบาก” พระมหากัปปินะ เมื่อบวชแล้ว ทาเวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน อยู่โคนต้นไม้ก็ดี อยู่ เรือนว่างก็ดี มักเปล่งอุทานว่า สุขหนอ สุขหนอ (อโห สุข, อโห สุข) ทาให้เหล่าภิกษุเข้าใจผิดคิดว่าท่าน ปรารภสุขในราชสมบัติ จึงได้นาเรื่องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า “กัปปินะบุตรเรา ปรารภสุขในมรรค สขุ ในผล ๗๒ กัสสปะ, พระพทุ ธเจ้า เปน็ อดีตพระพุทธเจ้า อุบัติข้ึนในตระกูลพราหมณ์ในภัทรกัปเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าพระ นามว่ากกสุ นั ธะ และโกนาคมนะ ๖๘ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๙๐. ๖๙ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๔๕/๓๓๘. ๗๐ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๑๓๗/๒๑๔. ๗๑ ส.มหา.(ไทย) ๑๙/๙๘๓/๔๕๙. ๗๒ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๘๙.
๔๘ ในพทุ ธวงศ๗์ ๓ ระบวุ า่ ทรงมพี ระวรกายสูง ๒๐ ศอก อบุ ตั ิในโลกท่มี ีมนุษยม์ อี ายขุ ยั ๒๐,๐๐๐ ปี มีพระติสสะเถระและพระภารทวาชะเป็นอัครสาวก มีพระสรรพมิตตะเป็นพุทธอุปัฏฐาก มีพระอนุลาเถรี และอุรุเวลาเถรีเป็นอคั รสาวกิ า ทรงตรสั รภู้ ายใตต้ ้นไทร ในอรรถกถาทีฆนกิ าย มหาวรรค พรรณนาและลาดับการอุบตั ิขึน้ ของพระพุทธเจ้าในอดีต ดังน้ี พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกรทรง อบุ ัติแล้วในกปั เดียว ในสว่ นทเี่ หนอื ขึน้ ไปของพระพุทธเจ้าเหล่าน้ัน ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปถึงหนึ่ง อสงไขยทีเดียว ในท่ีสุดอสงไขยกัป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะพระองค์เดียวเท่าน้ัน ทรงอุบัติ ขึ้นในกัปหน่ึง แม้จากน้ันก็ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหน่ึงอสงไขย ในท่ีสุดอสงไขยกัป พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระสุมงั คละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ ทรงอุบัติข้ึนในกัปหน่ึง แม้จากน้ันก็ ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหน่ึงอสงไขย ในที่สุดอสงไขยกัป ต่อไปอีก อสงไขยย่ิงด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะทรงอุบัติข้ึนในกัปหน่ึง แม้ จากนั้นก็ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย ในท่ีสุดอสงไขยกัป ต่อไปอีกแสนกัป พระผู้มีพระ ภาคพระนามว่า พระปทุมุตตระ พระองค์เดียวเท่านั้น ทรงอุบัติข้ึนในกัปหน่ึง ต่อจากน้ีไปอีกสามหมื่น กปั พระพทุ ธเจา้ สองพระองค์คือ พระสุเมธะ พระสุชาตะทรงอุบัติขึ้นในกัปหน่ึง ในส่วนที่เหนือออกไป จากนั้น ต่อไปอีก ๑๘,๐๐๐ กัป พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมม ทสั สี ทรงอุบตั ขิ ้นึ ในกปั หนึง่ ต่อจากน้นั ไป ๙๘ กปั พระพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ทรงอุบัติขึ้น ใน กัปหนึ่ง ตอ่ จากน้นั ไป ๙๒ กัปพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระติสสะ พระปุสสะ ทรงอุบัติขึ้นในกัป หนึ่ง ต่อจากน้ันไป ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสีทรงอุบัติขึ้น ต่อจากนั้น ๓๑ กัป พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสิขี พระเวสสภู ทรงอุบัติขึ้น ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คอื พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัติ ขนึ้ พระเมตเตยยะจักทรงอุบัตขิ ้นึ ภายหลัง๗๔ พระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์ รวมกับพระพุทธเจ้าของ เราในปจั จบุ นั เป็น ๒๘ พระองค์ กสั สปะ,พระกุมาร ในกุมารกัสสปเถรานุปทาน พระกุมารกัสสปะ ได้เล่าประวัติของตนเองไว้ว่า ท่านเกิดใน ตระกูลเศรษฐี มารดาของท่านตั้งครรภ์ และบวชเป็นบรรพชิต ภิกษุณีทั้งหลายรู้ว่านางมีครรภ์ก็นาไปให้ พระเทวทัตตัดสิน พระเทวทัตตัดสินว่านางละเมิดศีล จึงให้ลาสิกขาเสีย แต่นางไม่ยินยอม จึงได้ร้องขอ ความเปน็ ธรรม กระท่งั พระพุทธเจา้ ได้ทรงตัง้ คณะกรรมการชาระคดีใหม่ ผลสรุปได้ว่า นางมีครรภ์มาก่อน บวช จงึ ไดร้ ับอนุญาตใหอ้ ยู่ในสานักของนางภกิ ษณุ กี ระทัง่ คลอด ครั้นคลอดแล้ว ก็ได้รับการอนุบาลเลี้ยงดู จากพระเจ้าโกศล เพอ่ื ไม่ให้ซา้ กบั ชอ่ื พระมหาเถระนามว่ากสั สปะ ท่านจึงมีสร้อยนามเพิ่มว่า กุมารกัสสปะ ส่วนพระมหาเถระนามว่ากัสสปะมีสร้อยนามว่า พระมหากัสสปะ๗๕ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะ ฟังธรรมจากพระพุทธเจา้ ดว้ ยอุปมากายนีเ้ ป็นเช่นจอมปลวก ๗๓ ข.ุ พุทธฺ .(ไทย) ๓๓/๓๘/๗๑๖. ๗๔ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๗๔. ๗๕ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๑๗๓/๒๖๑.
๔๙ พระกุมารกัสสปะ เป็นปฐมเหตุของการบัญญัติให้นับอายุ ๒๐ ปี รวมท้ังอยู่ในครรภ์มารดา ดว้ ยเป็นอายุครบอุปสมบท๗๖ โดยเกณฑใ์ นการนบั น้นั ใหเ้ ริ่มตงั้ แต่จุตจิ ิตเกดิ ในครรภค์ รัง้ แรก๗๗ พระกุมารกัสสปะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุ ท้งั หลาย ผู้แสดงธรรมได้วจิ ติ ร๗๘ ตาแหนง่ น้ีได้มาเพราะเหตุว่า ทา่ นไดแ้ สดงธรรมทรมานพระเจ้าปายาสิ๗๙ กสั สปโคตร,พระ พระกัสสปโคตร คมั ภีร์ระบุไว้แตเ่ พียงวา่ อยู่ประจาในอาวาส วาสภคาม ส่วนประวัตเิ กีย่ วกบั ชาติภมู ิ การศึกษาไม่พบ อย่างไรก็ตามในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา มีเร่ืองราวพรรณนาถึงท่านหลาย ลกั ษณะ นามากล่าวโดยสังเขปได้ดังตอ่ ไปนี้ ในกสั สปโคตตภิกขวุ ัตถุ มหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๘๐ พรรณนาไว้ว่า พระกัสสปโคตร คิดหา อุบายทาอย่างไรจะทาให้ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักจะมา ท่ีมาแล้วจะอยู่เป็นสุข และอาวาสจะเจริญงอกงาม ไพบูลย์ได้ เห็นภิกษุจาริกมาแต่ไกล ก็จัดแจงต้อนรับเป็นอย่างดี ภิกษุอาคันตุกะต่างประทับใจ มีความ ประสงค์จะอยู่ในวาสภคามนนั่ เอง พระกัสสปโคตร เม่ือเห็นว่าอาคันตุกะเหล่านั้นไม่ลาบากแล้ว ท้ังทางบิณฑบาตก็ชานาญ คล่องแคล่วแล้ว ถ้าจะต้องจัดแจงทุกอย่างเหมือนอย่างก่อนก็จะเป็นการลาบาก รบกวนชาวบ้านบ่อย ๆ ทั้งการออกปากขอก็ย่อมไม่เป็นที่รัก ทางท่ีควรงดการจัดแจงเหมือนดังแต่ก่อน ดังนี้แล้วก็เลิกจัดแจง ข้าวต้ม และของเคีย้ ว เป็นต้น ฝ่ายภิกษุอาคันตุกะเหล่าน้ัน ได้พาปรึกษากันว่า แต่ก่อนนี้ภิกษุผู้อยู่ประจาได้จัดแจงน้าสรง ข้าวต้ม ของเค้ยี ว ภตั ตาหารให้ แต่บดั น้ีไมไ่ ดจ้ ดั แจงแลว้ ภกิ ษุผู้อยู่ประจาน้ีไม่ดีเสียแล้ว เอาเถอะ พวกเรา พึงลงอกุ เขปนียกรรม ดงั น้ีแล้ว ก็พากันลงอุเขปนียกรรมแกพ่ ระกัสสปโคตรนน้ั พระกสั สปโคตรเม่อื ถูกภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะลงอกุ เขปนยี กรรมเช่นนั้น ก็สงสัยว่า ภิกษุอาคันตุกะทา ถูกต้องหรือไม่ จึงได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซ่ึงขณะน้ันทรงประทับอยู่ท่ีเมืองจาปา ครั้นไปถึงแล้วก็ ถวายอภิวาท และนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามความเป็นอยู่ตามธรรม เนียม พระกัสสปโคตรได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ เมื่อทรงทราบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้ ตรัสวินิจฉัยว่า สิ่งท่ีทาน้ันไม่เป็นอาบัติ เธอจึงไม่มีอาบัติ อุกเขปนียกรรมท่ีทาถือเป็นการกระทาท่ีไม่ชอบ ด้วยพระวินัย ไม่ถูกต้อง ไม่ควรแก่เหตุ เธอจงกลับไป และอยู่ในวาสภคามน่ันแหละ เธอทราบความจริง เช่นนัน้ ก็ถวายบังคมพระผู้มพี ระภาค และกลับไปยังวาสภคามดงั เดิม ฝ่ายภิกษุอาคันตุกะ เห็นพระกัสสปโคตรกลับมาก็พากันกังวลใจอยู่ว่า พวกตนทาสิ่งที่ไม่ ถูกต้อง ลงอุกเขปนียกรรมภิกษผุ ูบ้ ริสุทธ์ิ ไม่ต้องอาบตั เิ พราะเร่อื งท่ีไมส่ มควร ไมส่ มควรแกเ่ หตุ ดังน้ีแล้วจึง ๗๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๒๔/๑๙๑. ๗๗ ว.ิ ม.อ.(ไทย) ๔/๑/๓๕๕. ๗๘ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๗/๒๘. ๗๙ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๑๗๔/๒๖๑. ๘๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๘๐/๒๖๐.
๕๐ ตกลงใจร่วมกันไปแสดงโทษที่ล่วงเกินในสานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า คร้ันปรึกษากันแล้วก็ออกเดิน ทางเขา้ เฝ้าพระผ้มู พี ระภาคเจา้ แสดงโทษทลี่ ว่ งเกินพระกสั สปโคตรตอ่ พระพักตร์ ในกัสสปโคตรสตู ร๘๑ ไดพ้ รรณนาถงึ พระกัสสปโคตรอาศยั อย่ทู ร่ี าวป่าแห่งหน่ึง ในแคว้นโกศล ท่านได้ทาการแสดงธรรมโปรดนายพรานเน้ือคนหนึ่ง เทวดาเห็นพฤติกรรมของท่านและของนายพราน แล้วก็สลดใจ จงึ ได้เข้าไปเตอื นด้วยความหวังดีว่า นายพรานมีปัญญาน้อย ไม่รู้อะไรควร ไม่ควร ถึงสอนไป กไ็ ม่เข้าใจ เหมือนคนตาบอด เอาประทปี ไปใหถ้ ึง ๑๐ ดวง เขาก็คงมองไม่เห็นแสงสวา่ งอยูด่ ี ในคัมภีร์อรรถกถาได้ขยายความเพ่ิมเติมว่า พระเถระมัวแต่สาละวนจะสั่งสอนให้นายพราน เลิกทาปาณาติบาต ขณะที่นายพรานใจคิดแต่เร่ืองที่จะล่าสัตว์ แม้จะฟังเทศนาของพระเถระ แต่ก็ฟังด้วย ความเกรงใจ หาได้ใส่ใจนาไปปฏิบัติไม่ เทวดามองเห็นว่า การกระทาเช่นน้ัน ทาให้นายพรานก็เสีย ประโยชน์ ทัง้ ตวั พระเถระก็เสียประโยชน์ จึงไดไ้ ปกลา่ วตกั เตือน๘๒ ในปังกธาสูตร๘๓ มีพรรณนาถึงพระกัสสปโคตรความตอนหนึ่งว่า พระกัสสปโคตรได้ฟังพระ ดารสั ของพระผูม้ พี ระภาคตรัสสั่งสอนภกิ ษุทง้ั หลาย กม็ ีความรู้สึกขัดใจ ไม่ยินดีว่า พระพุทธเจ้าช่ังขัดเกลา ยิง่ นกั แตค่ รนั้ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปแล้วก็เกดิ ความเดอื ดรอ้ น ไม่สบายใจท่ีคิดเช่นน้ัน จึงได้ออกเดินทางไป เฝ้าพระผู้พระภาค และกราบทูลให้ทรงอดโทษให้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตักเตือนเธอว่า ถ้าภิกษุผู้เป็นพระ เถระ มัชฌิมะ นวกะไม่ใคร่ต่อการศึกษา ไม่สรรเสริญต่อการศึกษา ไม่ชักชวนภิกษุให้ได้รับการศึกษา พระองค์ก็จะไม่ทรงสรรเสริญภิกษุผู้เช่นน้ัน เม่ือไม่สรรเสริญ ภิกษุเหล่าอ่ืนก็จะไม่จะคบหา ข้อนี้ย่อม เปน็ ไปเพื่อมิใชป่ ระโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพ่ือทุกข์ตลอดกาลนาน กากะ,ทาส นายกากะ เป็นทาสของพระเจ้าปัชโชต ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีเร่ืองเล่าแต่เพียงว่า อาศัยเกิด กบั อมนุษย์ เดนิ ทางได้วันละ ๖๐ โยชน์๘๔ ด้วยความท่ีมีฝีเท้าเร็ว นายกากะผู้นี้จึงได้รับคาสั่งให้ไปตามตัว หมอชีวกโกมารภัจมาลงโทษ ฐานลวงใช้เนยใสประกอบเป็นตัวยาให้พระเจ้าปัชโชตเสวย ท้ังน้ีเพราะทรง เกลียดเนยใสมาก อย่างไรก็ตามแม้นายกากะจะสามารถตามหมอชีวกโกมารภัจทัน แต่ก็ถูกหมอชีวกใช้ อุบายหลอกให้ทานผลมะขามป้อมซ่ึงวางยาไว้ ทาให้ท้องร่วงอย่างหนัก ไม่สามารถติดตามหมอชีวกต่อไป ได้ กากวด,ี พระนาง พระนางกากวดี ปรากฏในกากวดีชาดก๘๕ ความในคมั ภรี ์อรรถกถาพรรณนาไว้ดงั น้ี พระนางเป็นมเหสีของพระโพธิสตั วผ์ คู้ รองราชย์อยู่ในเมืองพาราณสี พระนางมีพระโฉมงดงาม ดุจเทพอัปสร พญาครุฑตนหนง่ึ แปลงเพศมาเลน่ สกากับพระราชา เกดิ มจี ิตปฏิพัทธ์กับพระนาง จึงพาพระ นางไปสุบรรณภพ แล้วก็ร่วมอภิรมย์กับพระนางนั้น พระราชาเม่ือไม่พบเห็นพระเทวี ก็รับสั่งให้คนธรรพ์ ชื่อนฏกุเวรออกสืบตามหา คนธรรพ์ได้ต้ังข้อสงสัยกับพญาครุฑ จึงได้คอยสะกดรอย โดยไปแอบนอนซุ่ม ๘๑ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๒๓/๓๒๕. ๘๒ ส.สคา.อ. (ไทย) ๑/๒/๓๕๙. ๘๓ อง.ฺ ทกุ .(ไทย) ๒๐/๙๒/๓๒๐. ๘๔ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๓๔/๑๙๒. ๘๕ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๐๕/๑๗๘.
๕๑ อยู่ที่ดงตะไคร้น้าในสระแห่งหน่ึง ในเวลาท่ีครุฑไปจากสระน้านั้น ก็อาศัยเกาะปีกติดตามไปท่ีสุบรรณภพ ด้วย แล้วออกจากปีกมาทาการเคล้าคลึงด้วยสิเนหากับพระเทวี เมื่อกระทาการเสร็จแล้วก็อาศัยเกาะปีก พญาครุฑกลบั มาอกี ต่อมาพญาครุฑทราบความ จึงได้กล่าวตาหนิตนเองว่าตัวโตเสียเปล่า แต่ไม่มีสมอง เพราะ ตนเองแท้ ๆ ทนี่ าคนธรรพไ์ ปเลน่ ช้ถู ึงสบุ รรณภพ และเพราะตนแท้ ๆ ที่เป็นผ้นู าคนธรรพก์ ลับมา ต้ังแต่บัด นั้นเปน็ ตน้ มา พญาครฑุ กน็ าพระนางกากวดกี ลับมาคืนพระราชา และไมม่ าเลน่ สกาอกี เลย๘๖ กาณา, นาง นางกาณาเป็นบุตรีของอุบาสิกาผู้หน่ึงในเมืองสาวัตถี คร้ันเจริญวัยแล้ว ก็ได้แต่งงานกับชาย หนุ่มผู้หน่ึงในหมู่บ้าน นางเป็นต้นเหตุของการบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร เกิน กว่านนั้ ปรบั อาบตั ิปาจติ ตีย์ ครน้ั เมื่อรบั เกนิ ๓ บาตรแล้ว ออกจากเรือนตระกูลน้ันไป ต้องบอกแก่ภิกษุอื่น ใหท้ ราบว่า หา้ มไปรับในตระกลู นน้ั อีก ถา้ ไม่บอกตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ๘๗ คัมภีร์อรรถกถาได้พรรณนาถึงรูปร่างหน้าตาของนางกาณาไว้ว่า “รูปงามน่าชม...พวกชนใดๆ เห็นนาง พวกชนนั้นๆ กลายเป็นคนตาบอด เพราะความกาหนด คือเป็นผู้มืดเพราะราคะ เพราะเหตุนั้น นางจึงได้ปรากฏชือ่ วา่ กาณา เพราะกระทาชนเหล่าน้ันใหเ้ ปน็ ผบู้ อด๘๘ ความในคัมภีร์พรรณนาไว้ว่า นางกาณาได้กลับไปบ้านมารดาด้วยธุระบางอย่าง ฝ่ายสามีของ นางได้ส่งข่าวมาบอกให้กลับบ้าน มารดาของนางกาณาคิดว่า ถ้าจะปล่อยให้ลูกสาวกลับบ้านมือเปล่า คง ไม่เหมาะ จึงบอกให้นางกาณาคอยก่อน จากน้ันนางจึงได้ทอดขนมเป็นของฝาก แต่พอขนมสุก ได้มีภิกษุ รูปหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านมา มารดาของนางกาณาจึงให้เอาขนมน้ันถวายภิกษุ ฝ่ายภิกษุรูปนั้น คร้ันรับ บิณฑบาตขนมท่ีบ้านมารดานางกาณาแล้วก็กลับไปบอกภิกษุอีกรูปหน่ึง และภิกษุรูปนั้นก็ไปบอกต่ออีก ทาใหม้ ารดาของนางกาณาตอ้ งสาละวนอย่กู ับการทาขนมถวายภิกษุ และไม่มีขนมเหลือไว้สาหรับฝากตาม ความตงั้ ใจเดิม ฝ่ายสามีของนางกาณาเมื่อเห็นว่านางยังไม่กลับ ก็ส่งข่าวมาบอกให้นางกลับบ้านเป็นครั้งที่ ๒ แม้มารดาของนางก็บอกให้นางยับยั้งก่อน เพราะคิดว่า จะปล่อยให้ลูกสาวกลับไปโดยไม่มีของฝากไม่ สมควร จงึ ได้ทาขนม ครน้ั ทาเสร็จ ได้มีภิกษุรูปหนี่งมาบิณฑบาตเหมือนคราวก่อน คร้ันรับบิณฑบาตแล้ว ก็กลบั ไปบอกตอ่ ๆ กัน จนขนมที่จะฝากหมด สามีเห็นว่านางกาณายังไม่กลับบ้าน ก็ส่งข่าวไปเป็นครั้งท่ี ๓ แต่คร้ังนี้ได้ฝากบอกว่า หากไม่ กลับมา จะนาหญิงอ่ืนมาเป็นภรรยา ฝ่ายมารดาของนางกาณาก็ทาขนมฝากเตรียมให้ลูกสาว แม้ครั้งท่ี ๓ กม็ ีภกิ ษุมาบิณฑบิ าต นางก็นาขนมนั้นถวาย ภิกษุแม้น้ี รับบิณฑบาตแล้วก็กลับไปบอกต่อ ๆ กันอีก ทาให้ นางกาณาล่าช้า และไม่ไดข้ นมไปฝาก และคร้ังนี้ ทาให้สามีของนางนาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาตามที่ขู่ไว้แต่ ตน้ นางเสยี ใจมาก จงึ ได้แต่ยืนร้องไห้ อนงึ่ ในคัมภรี ์อรรถกถาธรรมบทระบุว่า๘๙ มารดาของนางกาณาถวายขนมติดต่อกันถึง ๔ รูป ทาให้นางกาณาไม่พอใจ ถึงกับด่าภิกษุว่า “การครองเรือนของเรา อันภิกษุเหล่านี้ให้ฉิบหายแล้ว” ทาให้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายไมอ่ าจเดนิ บณิ ฑบาตในถนนนั้นได้อกี ๘๖ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๕๖๔. ๘๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๒๓๒/๓๙๐. ๘๘ ว.ิ มหา.อ.(ไทย) ๒/๒๙๔. ๘๙ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๔๓.
๕๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบเร่ืองน้ัน จึงได้เสด็จไปที่เรือนของมารดานางกาณา ประทับน่ังบน อาสนะทีเ่ ข้าจดั ไวแ้ ล้ว ได้ทรงช้ีแจงให้มารดาของนางกาณาเห็นชัด ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้ อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้แช่มช่ืนด้วยธรรมีกถา แล้วลุกจากอาสนะเสด็จไป๙๐ อรรถกถา อธิบายความว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงปรับความเข้าใจกับนางกาณาว่า พระสาวกของพระองค์น้ันไม่ได้ ถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้ ถือเอาเฉพาะส่ิงที่เขาถวายแล้วเท่าน้ัน จึงไม่มีความผิด นางจึงขอให้ พระพทุ ธเจ้าอดโทษ จากน้ันพระพุทธเจ้าจงึ ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้นางกาณาฟังกระทั่งได้บรรลุโสดาบัน แม้พระราชาทราบขา่ ว กท็ รงตง้ั นางกาณาไวใ้ นตาแหนง่ ธิดา และทรงประกาศหาผู้ที่จะสามารถเลี้ยงดูนาง นางจึงได้รบั เลย้ี งดจู ากอามาตย์ผใู้ หญ่ทา่ นหนง่ึ ๙๑ ส่วนคัมภีร์อรรถกถาวินัยปิฎกขยายความว่า นางกาณาได้ฟังธรรมท่ีพระพุทธเจ้าแสดงแก่ มารดา ไดบ้ รรลโุ สดาบัน แม้สามขี องนาง ทราบข่าววา่ พระพุทธเจ้าเสด็จไปเรือนของมารดาของนางกาณา กน็ านางกาณามาต้ังไวใ้ นตาแหนง่ เดิม๙๒ อนึ่ง เรื่องราวของนางกาณายังปรากฏในอรรถกถาพัพพุชาดก๙๓ เน้ือความอย่างเดียวกัน จึง ละไว้ ไมน่ ามากล่าวอีก กาติยาน,ี นาง พระไตรปฎิ กฉบบั ภาษาบาลี ในกัจจานีชาดก ใช้ทั้งคาว่า กาติยานิ และ กจฺจานิ พระไตรปิฎก ฉบบั ภาษาไทยจึงใชท้ ั้งคาวา่ กาตยิ านี และกจั จานี ตามไปด้วย สะกดแตกต่างกัน แต่เป็นคนเดียวกัน ในอรรถกถาชาดก๙๔ ได้พรรณนาถึงนางกาติยานิว่า เดิมทีเดียวนางอาศัยอยู่กับบุตร ต่อมา นางเห็นว่า บุตรชายได้ปฏิบัติด้วยความกตัญญู ปรารถนาสงเคราะห์ให้บุตรชายให้มีคู่ครอง จึงได้นาหญิง สาวคนหนึ่งมามอบให้แก่ลูกชาย ต่อมานางได้ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ไล่ออกจากเรือน เมื่อนางออกจาก เรือน ลูกสะใภ้ก็ต้ังครรภ์คลอดบุตรชาย ยิ่งเป็นช่องทางให้หญิงสะใภ้ได้ที ถึงกับพูดว่า ต้ังแต่แม่ออกจาก เรือน ดิฉนั กต็ ัง้ ครรภค์ ลอดบตุ ร แสดงวา่ แมเ่ ป็นหญิงกาลกิณี ฝา่ ยนางกาติยานี ทราบข่าวว่าหญิงสะใภ้ตั้งครรภ์คลอดบุตร ก็คิดว่า ธรรมดาผู้ท่ีโบยตีมารดา แล้วขบั ออกจากเรือนไมค่ วรได้บตุ ร ไม่ควรเป็นอยสู่ บาย ธรรมะคงจะตายไปแล้ว จึงคิดจะถวายมตกภัตแด่ ธรรม วนั หนงึ่ ได้ถอื เอางา แปง้ ขา้ วสาร ถาดสารบั หนึ่ง และทัพพีไปปา่ ชา้ เอาศรีษะมนุษย์มาทาเตา ก่อไฟ ขน้ึ แล้ว ลงนา้ สระหัว บว้ นปากเสร็จแล้วก็มาทเี่ ตา สยายผมแลว้ กเ็ ริ่มซาวข้าว ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวสักกะ เห็นเหตุการณ์น้ันก็ดาหริว่า เราจักแสดง อานภุ าพของตน และสงเคราะหห์ ญงิ ชราน้ี จึงไดแ้ ปลงเพศเปน็ พราหมณท์ าทเี ดินไปตามทางที่นางกาลังทา พิธีอยู่ พร้อมกับเอ่ยถามว่า คุณแม่ ธรรมดาเขาไม่หุงข้าวกันในป่าช้า แต่แม่เอาข้าวสุกคลุกงาหุงอยู่ในป่า ช้าน้ีเพ่ืออะไรกัน นางกาติยานีได้ยินดังน้ันก็กล่าวตอบว่า ไม่ได้หุงบริโภคเอง หากแต่ธรรมคือความอ่อน นอ้ มต่อผู้ใหญ่ และสุจรติ ธรรม ๓ ประการ ได้ตายแลว้ จากโลกนี้ บัดนี้ ดิฉันจึงทามตกภัตแด่ธรรมนั้น ท้าว สกั กะได้ขอให้นางทบทวน และคิดให้ดีก่อน เหตุไฉนจึงว่าธรรมนตี้ ายไปแล้ว ๙๐ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๒๓๐/๓๘๘. ๙๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๓๔๖. ๙๒ ว.ิ มหา.(ไทย) อ.๒/๒๙๕. ๙๓ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๒/๕๔๑. ๙๔ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๔๕๗.
๕๓ นางกาตยิ านไี ด้เล่าเรือ่ งราวของตนให้ฟังว่า ตนถูกบุตรชายและและสะใภ้ไล่ออกจากเรือน แต่ คนท่ีทาบาปกรรมเช่นน้ีก็ยังมีความสุข แต่เดิมนางเป็นหมัน ครั้นไล่ดิฉันออกจากเรือนแล้ว นางกลับได้ บุตรชาย และตอนน้ีนางเป็นใหญ่ในเรือน ขณะท่ีดิฉันถูกทอดท้ิง ไม่มีที่พ่ึง อยู่คนเดียว ท้าวสักกะได้ยิน เช่นนนั้ กแ็ สดงตนเป็นท้าวสกั กะ และมาทีน่ ่กี ็เพื่อประโยชน์แก่นาง พร้อมกับกล่าวว่า ธรรมะยังไม่ตาย เอา เถอะ ถา้ แม่ปรารถนาจะให้คนทาช่ัวได้รับกรรม ฉันก็จะจัดการให้ ฉันจะทาให้หญิงสะใภ้พร้อมบุตรพินาศ ยอ่ ยยบั เดีย๋ วน้ี นางกาติยานีได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ นึกตาหนิตนเองที่พลั้งปากพูดไป จึงได้ขอร้องท้าวสักกะว่า อย่าทาเช่นน้ัน นางไม่ต้องการให้หญิงสะใภ้และหลานพินาศย่อยยับ แต่ต้องการให้บุตร สะใภ้ และหลาน อยู่ร่วมกนั ด้วยความสุข ท้าวสักกะได้ยินเช่นน้ันก็แสดงความชื่นชมนางกาติยานีว่า ถึงแม้จะถูกปฏิบัติด้วย ความไม่เป็นธรรม แต่นางก็ยังมีเมตตา ไม่ท้งิ ธรรม จงึ ใหพ้ รตามท่ีนางขอ จากนั้นก็กล่าวปลอบโยนว่า อย่า วิตกไปเลย บุตรชายและสะใภ้จะมาขอโทษ และนานางกลับไปบ้าน ปฏิบัติต่อนางด้วยความไม่ประมาท ดังเดมิ จากนนั้ พระองคก์ ับเสดจ็ กลบั วิมาน ภายหลังท้าวสักกะเสด็จกลับไม่นาน บุตรและสะใภ้ก็ระลึกถึงคุณมารดา สานึกผิด ได้ออก ติดตามมาพบที่ป่าช้า ขอให้มารดายกโทษให้ จากกนั้นก็นากลับไปยังเรือน ได้ทาการบารุงมารดาด้วย ความไม่ประมาท กาปทิกะ,มาณพ กาปทิกมาณพ เป็น ๑ ในคณะของจังกีพราหมณ์ที่เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขณะ เสด็จถึงบ้านพราหมณ์ชื่อโอปาสาทะ และทรงพักอยู่ท่ีป่าสาละช่ือเทพวัน ทางทิศเหนือหมู่บ้าน เวลานั้น กาปทิกมาณพมีอายุได้ ๑๖ ปี เรียนจบไตรเพท พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และ ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ผูเ้ ข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชานาญในคมั ภรี ์โลกายตศาสตร์ และลกั ษณะมหาบรุ ษุ คัมภีร์พรรณนาไว้ว่า ขณะที่พราหมณ์ผู้ใหญ่กาลังสนทนากับพระผู้มีพระภาคเจ้า กาปทิก มาณพได้พูดแทรก กระทั่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือน กังกีพราหมณ์จึงได้กล่าวเชิงแนะนาว่า พระองค์อย่า ทรงห้ามกาปทิกมาณพน้ีเลย เขาเป็นคนมีสกุล เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิต เจรจาถ้อยคาไพเพราะ และ สามารถโต้ตอบกับสมณโคดมได้ ฝ่ายกาปทิกมาณพ เห็นว่าพระพุทธเจ้าสนพระทัยตนเอง จึงคิดในใจว่า ถ้าพระพุทธเจ้าสบตา เมื่อไหร่ จะถามปัญหากับพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงความดาริน้ัน จึงได้สบพระเนตรกับมาณพ ลาดับนั้น มาณพจึงได้ทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า ในมนต์อันเป็นของเก่าของพราหมณ์ที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน มขี อ้ ตกลงชดั เจนว่า นเ้ี ท่าน้นั จริง อยา่ งอืน่ ไมจ่ ริง ในเรอื่ งนี้ พระองค์ตรัสอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ย้อนตรัสถามกาปทิกมาณพว่า บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย พราหมณ์ท่ีกล่าวว่า เรารู้ว่านี้เท่าน้ันจริง อย่างอื่นไม่จริง มีอยู่หรือ มาณพได้ทูลว่า ไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสถามโดยนัยน้ีถึง ๗ ช่ัวอาจารย์ของมาณพท่ียืนยันว่าตนรู้ว่าน้ีเท่านั้นจริง อย่างอ่ืนไม่จริงว่า มีอยู่หรือไม่ ซ่ึงก็ได้รับการยืนยัน จากมาณพเช่นเดิมว่า ไม่มี พระผู้มีพระภาคจึงตรัสอุปมาเหมือนคนตาบอดเกาะหลังเรียงแถว คนหัวแถว กลางแถว ปลายแถว ตา่ งก็มองไมเ่ ห็นกนั และกัน แสดงว่าความเชื่อของพราหมณก์ ็หามลู ไม่ได้ กาปทิกมาณพ เหมือนจะไม่ยอมรับข้อสรุปของพระพุทธเจ้า จึงได้กล่าวตอบว่า นี่ไม่ใช่แค่เล่า เรียนมาด้วยความเชื่ออย่างเดียว แต่เล่าเรียนมาด้วยการฟังตามกันมาด้วย พระพุทธเจ้าได้ตรัสย้อนอีกว่า แต่ก่อนท่านอ้างถึงความเช่ือ บัดนี้กลับอ้างถึงการได้ฟังตามกันมา แต่อย่างไรก็ตาม มีเรื่อง ๕ อย่างท่ีเมื่อ วา่ โดยที่สดุ แลว้ มีบทสรุปแค่ ๒ อย่าง น่ันคือ ความเช่ือ ความชอบใจ การฟังตามกันมา คิดเอาตามอาการ
๕๔ และความเข้ากันได้กับที่คิดไว้ บทสรุป ๒ ประการได้แก่ ไม่ (๑) จริง ก็ (๒) เท็จ เช่น สิ่งที่เชื่อตามกันมา อย่างดี แต่สิ่งน้ันว่างเปล่า เป็นเท็จก็มี ส่ิงที่เราไม่เช่ือ ส่ิงน้ันกลับเป็นจริงก็มี คนฉลาดเมื่อจะตามรักษา สจั จะ จึงไมค่ วรตกลงใจขอ้ นนั้ อย่างเดด็ ขาดว่า นเ้ี ท่านั้นจริง อยา่ งอื่นไม่จรงิ กามภ,ู พระ พระกามภู มีปรากฏหลายแห่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก ๓ พระสูตร ได้แก่ กามภูสูตร๙๕ ปฐม กามภูสูตร๙๖ และทุตยิ กามภูสูตร๙๗ รายละเอยี ดประวัตสิ ่วนตัวของท่านพบในคมั ภีร์อรรถกถาแต่เพียงว่า “ขาว บอบบาง จมูกโด่ง” ๙๘ สว่ นในพระสตู รท่อี ้างถึง มีเน้อื หาเกีย่ วกับทา่ นสรุปได้ดงั นี้ ในกามภูสูตร ขณะพานักอยู่ที่โฆสิตาราม เขตโกสัมพี ท่านได้เข้าไปหาพระอานนท์ แล้วถาม ปัญหาในหมวดอายตนะว่า ตาเก่ียวข้องกับรูป รูปเก่ียวข้องกับตา หูเกี่ยวข้องกับเสียง เสียงเกี่ยวข้องกับหู หรือ เป็นต้น ในกรณีนี้ พระอานนท์ตอบว่า ตาไม่ได้เก่ียวข้องกับรูป รูปไม่ได้เก่ียวข้องกับตา เสียงไม่ได้ เก่ียวข้องกับหู หูไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสียง แต่เพราะอาศัยตาและรูปทั้งสองน้ัน ฉันทราคะจึงเกิดข้ึน ตาและ รูปจึงเกี่ยวข้องกับฉันทราคะนั้น แม้ในเสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ก็นัยเดียวกัน ท่านอุปมา เหมือนโคดากับโคขาว ผูกเชือกเส้นเดียวกัน จะบอกว่าโคดาเน่ืองด้วยโคขาว หรือโคขาวเนื่องด้วยโคดาก็ ไมถ่ กู ท่ีถูกตอ้ งพดู วา่ โคทงั้ สองถูกผูกด้วยเชือกเส้นเดยี วกัน หรอื เชือกนั้นเนือ่ งดว้ ยโคทั้งสอง ในปฐมกามภูสูตร พรรณนาไว้ว่า พระกามภู ขณะพานักอยู่ท่ีอัมพาฏกวัน เขตเมืองมัจฉิกา สัณฑ์ ได้ถามปัญหากับจิตตคหบดีว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า เธอจงดูรถท่ีมีส่วนประกอบไม่มีโทษ มี หลังคาขาว เพลาเดียว ไม่มีทุกข์ แล่นไปถึงท่ีหมาย ตัดกระแส ไม่มีเครื่องผูก ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร จิตตคหบดีน่ังสงบนิ่งครู่หน่ึงแล้วจึงตอบว่า ส่วนประกอบไม่มีโทษ หมายถึง ศีล, หลังคาขาว หมายถึง วิมุตติ, เพลาเดียว หมายถึง สติ, แล่นไป หมายถึงการก้าวไปและการถอยกลับ ส่วนรถ หมายถึง ร่างกาย อันประกอบด้วยธาตุ ๔ อาศัยบิดามารดาเป็นผู้ให้กาเนิด อาศัยอาหาร มีอันแตกกระจายไปเป็นธรรมดา ราคะ โทสะ โมหะ เปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื ละไดแ้ ล้วจึงชื่อว่าไม่มีทกุ ข์ ส่วนในทุติยกามภูสูตร พรรณนาถึงจิตตคหบดี ได้ถามปัญหาพระกามภู ๓ ประเด็น ประเด็น แรกว่า สังขารมีเท่าไร ประเด็นแรกน้ีท่านตอบ มี ๓ ประการ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร ประเดน็ ท่สี อง สงั ขารเปน็ อย่างไร ท่านตอบวา่ ลมหายใจเข้าออกเป็นกายสังขาร วิตก วิจาร เป็นวจีสังขาร เวทนา สัญญา เปน็ จติ ตสังขาร และประเดน็ ท่ีสาม เพราะเหตไุ รลมหายใจเข้าออกจึงชื่อว่ากายสังขาร วิตก วิจารจึงช่ือว่าวจีสังขาร และสัญญา เวทนา จึงชื่อว่าจิตตสังขาร ประเด็นนี้ท่านตอบว่า ลมหายใจเข้าออก เป็นไปในกาย เนื่องด้วยกาย จึงชื่อว่ากายสังขาร คนตรึกตรองแล้วจึงเปล่งวาจา วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจี สังขาร สญั ญา เวทนาเป็นไปทางจิต เนอ่ื งด้วยจิต ดังนั้นจงึ ชอื่ ว่า จิตตสงั ขาร จิตตคหบดี ได้ถามปัญหากับพระกามภูในเชิงปฏิบัติอีกหลายคาถาม สังเกตคาถามจะลึกลง ตามลาดับ ๆ เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติมีได้อย่างไร เม่ือภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ สังขาร ใดดับก่อน คนตายกับคนเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแตกต่างกันอย่างไร การออกจากสัญญาเวทยิต ๙๕ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๒๓๓/๒๒๗. ๙๖ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๔๗/๓๘๐. ๙๗ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๑. ๙๘ ส.สฬา.อ.(ไทย) ๔/๒/๑๔๘.
๕๕ นิโรธมไี ด้อยา่ งไร เมอื่ ภิกษุออกจากสญั ญาเวทยติ นิโรธ สังขารใดเกิดก่อน อะไรมีอุปการะแก่สัญญาเวทยิต นโิ รธ เปน็ ตน้ การฬิมภะ, อุบาสก การฬมิ ภะ เป็นช่ืออุบาสกท่านหนึ่ง ปรากฏในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรคแต่เพียงว่า เขาอยู่ใน กลุม่ อุบาสกทา่ นหนงึ่ ทไี่ ด้รับการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า ภายหลังมรณกรรม เป็นโอปปาติกะ เพราะ ละสังโยชน์เบ้ืองต่า ๕ ประการได้ จักปรินิพพาน ไม่หวนกลับมาบนโลกนี้อีก๙๙ อุบาสก และอุบาสิกาท่ี ไดร้ ับการพยากรณใ์ นลักษณะน้ี ที่สาคัญ ๆ เช่น นางสุชาดา ภิกษุณีนันทา สุทัตตอุบาสก กกุธอุบาสก สัน ตฏุ ฐอุบาสก เปน็ ต้น การนั ทยิ ะ, พราหมณ์ การันทิยพราหมณ์ ปรากฏในการนั ทิยชาดก ในคัมภีร์ขุททนกาย ชาดก๑๐๐ ได้บาเพ็ญเพยี รใน ฐานะเป็นพระโพธสิ ัตว์ พยายามสอนอาจารย์ของตนดว้ ยการนากอ้ นหิน และก้อนดนิ ไปท้ิงลงในตามซอก เขาตา่ ง ๆ ในปา่ จดุ ประสงคเ์ พอื่ ต้องการเตือนการกระทาที่เหลอื วิสัยของอาจารย์ เน้ือความในคัมภีรอ์ รรถกถา๑๐๑ ขยายความเพ่ิมเติมดงั นี้ การันทิยะ เกดิ ในตระกูลพราหมณ์ เจรญิ วยั แลว้ ได้เปน็ อาจารยท์ ิสาปาโมกข์ในเมืองตกั กสลิ า กาลเถระ อาจารยข์ องท่านให้ศีลคนท่ีพบเห็นไปท่ัว โดยไม่คานึงว่า เขาเต็มใจหรือไม่เต็มใจ คนที่ไม่เต็มใจ ก็รับพอเป็นพิธี ครั้นรับแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจนาไปปฏิบัติ อันเตวาสิกของท่านได้มาเรียนให้ทราบว่า ควรให้ เฉพาะคนท่ีขอเท่านั้น ใครไม่ขอก็ไม่ควรให้ อาจารย์ได้อย่างน้ันก็ไม่สบายใจ แต่ก็ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิม ต่อมาได้มีกิจนิมนต์พราหมณ์ในบ้าน อาจารย์ได้มอบหมายให้การันทิยพราหมณ์เป็นหัวหน้าไป การันทิย พราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าท่ีแทนอาจารย์เสร็จแล้ว ระหว่างทางก็หาอุบายจะทาให้อาจารย์ให้ศีลเฉพาะคนท่ี ขอเท่าน้ัน ขณะท่ีแวะพัก ก็ได้เดินไปที่ซอกเขา เอาก้อนหินโยนลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ถูกถามก็ไม่พูด อะไร กระทงั่ ศษิ ยท์ ัง้ หลายได้นาเร่ืองนัน้ ไปเรียนอาจารย์ เม่ืออาจารย์มาถึง ได้เข้าไปเจรจาถามว่า ทาไมทาอย่างน้ัน ก็ได้รับคาตอบว่า ประสงค์จะทา แผน่ ดนิ ให้เรียบเสมอกันทั้งหมด อาจารยไ์ ดย้ ินอย่างนน้ั จึงกล่าวสอนวา่ การันทยิ ะ คน ๆ เดียว ไม่สามารถ ทาให้แผน่ ดินกวา้ งใหญ่ขนาดน้ันเสมอกันหมดได้หรอก ถึงพยายามก็คงตายเปล่า การันทิยพราหมณ์ได้ยิน อาจารย์พูดอย่างน้ันก็ย้อนกลับไปว่า คน ๆ เดียวไม่สามารถทาให้แผ่นดินกว้างใหญ่เสมอเป็นอันเดียวกัน ได้ฉันใด ท่านคนๆ เดียว ก็ไม่สามารถทาให้ทิฏฐิของคนเป็นอย่างเดียวกันได้ อาจารย์ได้ยินการันทิยะพูด อยา่ งนัน้ ก็คิดได้ จงึ กลา่ วชมเชยการนั ทยิ พราหมณ์ และเลกิ พฤติกรรมทเี่ คยทามาตั้งแตบ่ ัดนั้น กาลิงคะ,พระราชา กาลิงคะ เป็นแคว้น ๆ หนึ่ง มีเมืองหลวงชื่อทันตปุระ พระราชาผู้ปกครองแคว้นจึงได้รับการ ถวายพระนามว่า กาลิงคะราชา ตามไปด้วย ทานองเดียวกับที่ต่างชาติเรียกพระเจ้าแผ่นดินของไทย สมัยกอ่ นวา่ พระเจา้ กรงุ สยาม ๙๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๖/๑๐๒. ๑๐๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๓๔/๒๐๕. ๑๐๑ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๗๕๑.
๕๖ หลักฐานช้ันบาลี มีเอ่ยถึงพระนามพระเจ้ากาลิงคะพระองค์เดียว คือ พระเจ้ากรัณฑกะ๑๐๒ นอกนั้นใชค้ าว่า พระเจ้ากาลิงคะทั้งหมด ในกาลงิ คโพธชิ าดก ได้พรรณนาถึงพระเจ้ากาลิงคะว่า ทรงทศพิธราชธรรม ได้ทรงกระทาการ บูชาสถานที่เคยเป็นท่ีตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอดีต ด้วยดอกไม้ ๖ หมื่นเล่มเกวียนทุกวัน๑๐๓ ตอนท้าย อรรถกถาชาดกเรื่องน้ีได้ขมวดสรุปไว้ว่า พระเจ้ากาลิงคะพระองค์นี้ ได้กลับชาติมาเป็นพระอานนท์๑๐๔ ขณะทเ่ี วสสันตรชาดก ระบุว่า พราหมณ์ชชู กกเ็ ปน็ ชาวแควน้ กาลงิ คะด้วยเช่นกนั ๑๐๕ ในอรรถกถาธรรมบท มีพรรณนาถึงเรื่องราวคร้ังหน่ึงเกิดฝนแล้งในแคว้นกาลิงคะ พระเจ้ากา ลิงคะได้ส่งทูตไปขอช้างมงคลจากเมืองอินทปัตต์ แคว้นกุรุ แต่ฝนก็ยังไม่ตก ต่อเมื่อส่งทูตไปขอจารึกกุรุ ธรรม (ศลี ๕) มาสมาทานและปฏบิ ัติแล้ว ฝนจงึ ตกตอ้ งตามฤดูกาล๑๐๖ ในอรรถกถาขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ได้พรรณนาถึงพระเจ้ากาลิงคะพระองค์หน่ึง ล่วงเกิน บรรพชิตผสู้ ารวม ผ้ไู ม่ประทษุ รา้ ย ด้วยผลแห่งกรรมนัน้ ทาให้พระองค์ถูกสุนขั รุมกดั ๑๐๗ กาลี, สาวใช้ นางกาลเี ปน็ หญงิ รบั ใช้นางเวเทหิกา ในเมืองสาวัตถี นางเวเทหิกาได้รับการยกย่องว่าเป็นคน เรียบร้อย เจียมตน ใจเย็น ขณะท่ีนางกาลีก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงาน ดี๑๐๘ อยมู่ าวันหน่งึ นางกาลีประสงคจ์ ะทดลองนายหญิงของตนว่าเป็นอย่างท่ีเล่าลือหรือไม่ จึงทาที นอนต่ืนสาย นางเวเทหิกาเห็นสาวใช้ต่ืนสายกเ็ กดิ ความไมพ่ อใจ จึงได้ตวาดใส่ว่า อชี าติชั่ว เป็นอะไร ทาไม นอนตน่ื สาย เมือ่ นางกาลีกล่าวว่าไม่ได้เป็นอะไร ก็ตวาดใส่อีกว่า ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทาไมนอนต่ืนสาย พูด พลางแสดงอาการโกรธ ไม่พอใจ นางเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่า นายหญิงของเรามีความโกรธ เพียงแต่ไม่ แสดงออกเท่านั้น เพ่ือจะทดสอบให้ย่ิงข้ึนไป วันต่อมานางก็แกล้งนอนต่ืนสายอีก นางเวเทหิกาย่ิงแสดง อาการโกรธหนักกวา่ เดิม นางกาลีเห็นดังน้ันกค็ ดิ ว่า ทน่ี ายหญิงของเราไม่โกรธเป็นเพราะเราจัดแจงการงานดี ไม่ใช่นาง ไม่มีความโกรธ ทางทีดีเราจะทดลองให้ยิ่งกว่าแต่ก่อน วันหลังต่อมาจึงแกล้งต่ืนสายยิ่งกว่าทุกวัน คราวน้ี นางเวเทหกิ าแสดงอาการโกรธหนักยิง่ กว่าเดิม ถงึ ขนาดลืมตัวคว้าล่ิมประตูฟาดไปท่ีศีรษะของนางกาลีจน เลือดอาบ ตั้งแต่บัดน้ันเป็นต้นมา กิตติศัพท์ความโหดร้ายของนางเวเทหิกาก็ปรากฏไปทั่วว่าเป็นคนดุร้าย ไมเ่ จียมตัว ใจร้อน พระพุทธเจ้ายกเรื่องนางกาลีมาเล่าให้ภิกษุท้ังหลายฟัง เพ่ือเตือนภิกษุท้ังหลายว่า บางรูปก็มี นิสัยเหมือนนางเวเทหิกา คือทาตัวเป็นคนเรียบร้อย สารวม เจียมตน ใจเย็น แต่ก็เพียงแค่ตราบเท่ายังไม่ ถูกกระทบด้วยถ้อยคาที่ไม่เป็นที่พอใจเท่านั้น จากนั้นจึงทรงแนะนาอุบายระงับความโกรธ ๕ ประการ ๑๐๒ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๙๔/๒๗๒. ๑๐๓ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๖๗/๔๐๗. ๑๐๔ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๖/๒๗๙. ๑๐๕ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๘/๑๙๑๔/๔๘๔. ๑๐๖ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๔/๓๔๙. ๑๐๗ ข.ุ อติ .ิ อ. (ไทย) ๑/๔/๔๙๓. ๑๐๘ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๒๒๖/๒๓๗.
๕๗ ได้แก่ (๑) รู้จักเลือกพูดในเวลาอันเหมาะ (๒) พูดแต่เร่ืองจริง ไม่พูดเร่ืองไม่จริง (๓) พูดแต่คาอ่อนหวาน ไม่พูดคาหยาบคาย (๔) เลือกพูดแต่คาท่ีมีประโยชน์ ไม่พูดคาที่ไม่มีประโยชน์ และ (๕) พูดด้วยจิตเมตตา ไม่พูดดว้ ยโทสะ กาลี,อุบาสิกา กาลีอุบาสิกา มาในกาลีสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย๑๐๙ เนื้อความพรรณนาถึงอุบาสิกาช่ือกาลีว่า เป็นชาวเมืองกุรรฆระ ได้เข้าไปขอให้พระมหากัจจายนะอธิบายขยายเน้ือความในกุมารีปัญหาว่า “การ บรรลุประโยชนเ์ ปน็ ความสงบแห่งหทยั เราชนะเสนาที่มีรูปเป็นที่รักเป็นที่ช่ืนใจแล้ว เป็นผู้เดียวเพ่งอยู่ ได้ ตรสั รู้ความรู้โดยลาดับ เพราะฉะน้ัน เราจึงไม่ตอ้ งอ้างบุคคลเป็นพยาน การอ้างอิงใคร ๆ เป็นพยานจึงไม่มี สาหรบั เรา” ข้อนีค้ วามพสิ ดารเป็นอยา่ งไร อนึ่ง ประโยชน์ในท่ีน้ี พระมหากัจจายนะได้ขยายความว่า หมายเอาการเจริญสมาบัติมีปฐวี กสิณเป็นอารมณ์แล้วเห็นเบ้ืองต้น โทษ ธรรมเครื่องสลัดออก มัคคามัคคญาณทัสสนะ ซึ่งเหล่านี้จะเป็น ปัจจยั แหง่ การบรรลุประโยชน์คอื ความเป็นอรหัตตผล กาสี, พระราชา พระเจ้ากาสี เป็นพระนามเรียกพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองแคว้นกาสี บางแห่งระบุพระนาม ตรง ๆ เช่น พระเจ้ากรุงกาสีพระนามวา่ กิกี๑๑๐ พระเจ้ากาสี ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง เป็นทั้งบุคคลร่วมสมัยพุทธกาล และ ก่อนพทุ ธกาลอนั ไกลพ้น ในฐานะเปน็ บุคคลรว่ มสมัย มพี รรณนาไวใ้ นที่ต่าง ๆ เช่น ในหมวดทวี่ า่ ด้วยการทรงอนุญาตผ้า กาพล พระเจา้ กาสีไดเ้ คยทรงผา้ กัมพลไปพระราชทานแก่หมอชีวกโกมารภัจ แต่หมอชีวกได้นาไปถวายแด่ พระพุทธเจ้า เพื่อต้องการสงเคราะห์หมอชีวกโกมารภัจ พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลายรับผ้า กัมพลได๑้ ๑๑ ในฆฏกิ ารสตู ร พรรณนาเรอ่ื งราวของพระเจ้ากกิ ีได้เสดจ็ ทรงเย่ียมพระพทุ ธเจ้าพระนามว่ากัสส ปะ พร้อมกันนั้นก็ได้กราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยหมู่พระภิกษุสงฆ์ ฉันภัตตาหารในพระราชวัง ครนั้ แล้วก็กราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้ประทับจาพรรษาในแว่นแคว้นของพระองค์ แต่ได้รับการปฏิเสธ จากพระพุทธองค์ เนื่องจากมีผู้นิมนต์ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ทาให้พระเจ้ากิกีทรงเสียพระทัย และผิดหวัง เม่ือทูลถามว่า พระพุทธองค์รับนิมนต์ใครไว้ ก็ทรงได้รับคาตอบว่า พระพุทธเจ้าได้รับนิมนต์จากนายช่าง หม้อไว้แล้ว เม่ือจะทรงเตือนสติพระราชาพระนามว่ากิกี จึงได้ทรงสรรเสริญคุณของนายช่างหม้อโดย ประการตา่ ง ๆ เสมือนประหน่ึงจะสอนให้พระราชารู้จักวางพระทัยให้ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นทุกข์เหมือนกับ นายชา่ งหม้อ ๑๐๙ อ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๒๖/๕๗. ๑๑๐ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๕/๔๕๘. ๑๑๑ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๓๘/๒๐๐.
๕๘ กาฬกณั ณี, นาย กาฬกณั ณี เป็นสหายของอนาถาปิณฑิกะ ปรากฏในกาฬกัณณิชาดก๑๑๒ ความในอรรถกถา มี พรรณนาไว้ดงั น้ี กาฬกัณณีเปน็ สหายรว่ มเล่นฝ่นุ กบั อนาถปณิ ฑกิ ะ เรยี นในสานกั อาจารย์เดยี วกัน แต่ต่อมาเกิด ประสพเคราะห์กรรม ต้องลาบากยากไร้ ไม่อาจเล้ียงชีวิตได้ จึงได้ไปยังเรือนของอนาถปิณฑิกะเพื่อขอ พ่ึงพาอาศัย ท่านเศรษฐีได้ปลอบโยน พร้อมทั้งอุปการะให้ข้าว ให้น้า มอบเสบียงของตนให้ไปทุกคร้ัง แม้ กาฬกัณณี เมื่อมาสู่เรือนของอนาถปิณฑิกะ ก็ได้ทากิจทุกอย่าง กระท่ังคนในเรือนต้องห้ามปรามว่าหยุด เถอะกาฬกัณณี นงั่ เถอะกาฬกัณณี กนิ เถอะกาฬกณั ณี ต่อมาหมู่มิตรของอนาถปิณฑิกะกลุ่มหน่ึง ได้เข้ามาหาเศรษฐี พร้อมกับกล่าวเชิงห้ามปราม เศรษฐวี า่ อยา่ ไวใ้ จกาฬกัณณีใหม้ ากนกั หรอื ทานองว่า เลี้ยงคน ๆ น้ไี วท้ าไม ชอ่ื ก็ไมเ่ ป็นมงคล ท่านเศรษฐี ได้ฟังกห็ าได้ใสใ่ จไม่ ยงั คงเคารพและให้เกยี รตกิ าฬกัณณเี หมือนเดิม คราวหน่ึง เม่ือเศรษฐีไม่อยู่บ้าน ได้มอบให้กาฬกิณณีผู้น้ีเป็นผู้ดูแลรักษาเรือนแทน โจรทราบ ข่าวจึงพากันวางแผนปล้นเรือนเศรษฐี ต่างถืออาวุธมาล้อมบ้านไว้ ฝ่ายกาฬกิณณีได้เตรียมตัวไม่ประมาท อยู่แล้ว เม่ือรู้ว่าโจรมาล้อมบ้าน เพื่อจะปลุกคนในเรือน ก็สั่งให้เป่าสังข์ ตีกลอง ทาเหมือนมีมหรสพใหญ่ พวกโจรได้ยินเสียงอึกทึกในบ้านก็คิดว่า ใครบอกว่าในเรือนเศรษฐีไม่มีใครอยู่ การข่าวของเราล้มเหลว ดังน้แี ล้วก็พากนั ทิง้ กอ้ นหนิ และไม้พลองเป็นต้นจากไป รุ่งเช้าคนของเศรษฐีมาเห็นก้อนหินและไม้พลองถูกทิ้งไว้อย่างน้ัน ก็พากันสลดใจคิดว่า ถ้า ไมไ่ ดค้ นรักษาเรือนผูม้ ีความร้อู ย่างนายกาฬกิณณีเช่นนี้ ปานน้ีเรือนนของเศรษฐีคงเสียหาย ถูกโจรปล้นไป หมดเป็นแน่ เพราะอาศัยมิตรผู้มั่งค่ังผู้น้ี ความเจริญจึงบังเกิดมีแก่เศรษฐี พากันกล่าวสรรเสริญนายกาฬ กณิ ณโี ดยประการต่าง ๆ และเม่ือเศรษฐีกลับมา ก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ เศรษฐีจึงได้กล่าวเตือน บริวารของตนวา่ ถ้าเราไล่เขาออกจากเรือนเหมือนท่ีพวกท่านแนะนาแต่ต้นแล้ว วันน้ีทรัพย์สินของเราจะ ไม่มเี หลือเลย ช่ือไม่เปน็ ประมาณ จิตท่เี กอื้ กูลกนั ตา่ งหาก เปน็ ประมาณ๑๑๓ กาฬิโคธา, พระนาง กาฬโิ คธา เปน็ พระนามของพระนางศากิยาณพี ระองค์หนึ่ง ปรากฎในกาฬิโคธสูตรแหงสังยุตต นิกาย มหาวรรค๑๑๔ ความสังเขปว่า คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระ นางกาฬโิ คธา พระนางทราบข่าวจึงได้เสด็จออกมาต้อนรับ ถวายอภิวาทแล้ว ได้น่ัง ณ ที่สมควรส่วนข้าง หนึง่ พระพุทธเจ้าไดต้ รสั กบั พระนางวา่ โคธา อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ เป็นโสดาบัน ไม่มี ทางตกตา่ มคี วามแน่นอนทีจ่ ะสาเร็จโพธญิ าณภายภาคหน้า องค์ ๔ ประการ ได้แก่ (๑) มีความเลื่อมใสไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า (๒) มีความเล่ือมใสไม่ หวั่นไหวในพระธรรม (๓) มีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ และ (๔) ปราศจากความตระหน่ีอันเป็น มลทิน มจี าคะ ยนิ ดใี นการสละ ควรแกก่ ารขอ ยนิ ดใี นการให้ ๑๑๒ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๘๓/๓๔. ๑๑๓ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๒/๒๘๕. ๑๑๔ ส.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๐๓๕/๕๕๕.
๕๙ พระนางกาฬิโคธา ได้สดับพระดารัสของพระพุทธเจ้าเช่นน้ัน ก็กราบทูลว่า คุณสมบัติท้ัง ๔ ประการนั้น พระนางก็มีพร้อมทุกประการ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรรเสริญว่า เป็นลาภของเธอ เธอได้ดีแล้ว โสดาปัตตผิ ลเธอก็ทาใหแ้ จง้ แล้ว กาฬเขมกะ,ศากยะ กาฬเขมกะ ปรากฏในมหาสุญญตสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ความในคัมภีร์ พรรณนาไว้แต่เพียงว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในนิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ วันหน่ึง เสดจ็ ออกบิณฑบาต เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปที่วิหารของกาฬเขมกศากยะ เพื่อทรง พักผอ่ นในเวลากลางวัน เวลาน้ันเสนาสนะในวิหารของกาฬเขมกะมีมาก และมีภิกษุอยู่มาก พระพุทธเจ้า ทรงทราบจึงทรงปรารภว่า การคลุกคลีด้วยหมู่คณะนั้นไม่ดี เพราะได้เนกขัมมสุข ปวิเวกสุข อุปสมสุข สัมโพธิสุขโดยยาก ส่วนผู้หลีกออกจากหมู่คณะ ยินดีในการอยู่แต่เพียงผู้เดียว ย่อมสามารถบรรลุเจโต วิมุตติ หรือโลกุตตรมรรคได้๑๑๕ ในคัมภรี อ์ รรถกถาอธิบายความเพิ่มเติมวา่ วิหารของกาฬเขมกศากยะนั้น ได้รับการสร้างไว้ใน นิโครธารามนั่นเอง ซงึ่ ในคมั ภรี ร์ ะบุไว้ว่า นอกจากวหิ ารของกาฬเขมกศากยะแลว้ ยังมีวิหารของฆฏายศาก ยะ เวลาน้ันในวิหารมีภิกษุอยู่รวมกันถึง ๑๐ รูป ซ่ึงไม่เคยมีมาก่อน จึงทรงปรารภเพื่อเตือนสติภิกษุ ท้ังหลายว่า ไม่ควรคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่คณะเช่นน้ัน ทรงยกตัวอย่างว่า ตอนพระองค์อยู่กับปัญจวัคคีย์ก็ไม่ สามารถตรสั รู้ได๑้ ๑๖ อนงึ่ กาฬเขมกศากยะ ไดช้ อื่ อย่างน้ันเพราะเหตุว่า เปน็ ผมู้ ีผิวดา๑๑๗ กาฬเทวลิ , ฤาษี กาฬเทวิลฤาษี ปรากฏในอนิ ทรยิ ชาดก แห่งขุททกนกิ าย๑๑๘ ในคัมภีร์อรรถกถาให้ข้อมูลเสริม ว่า กาฬเทวิลดาบสน้ัน เป็น ๑ ใน ๗ ศิษย์ช้ันหัวหน้าของโชติปาลฤาษี ซึ่งประกอบด้วย (๑) สาลิสสรฤาษี ตั้งสานักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้าสาโตทกา สุรัฏฐชนบท มีบริวารฤาษีหลายพันองค์ (๒) เมณฑิสสรฤาษี ต้ังสานัก อยทู่ ี่ตาบลกลัมพมลู กะ ในแคว้นของพระเจ้าปโชตกราช มีบริวารหลายพันองค์ (๓) บรรพตติสสรฤาษี ตั้ง สานักอยู่ท่ีอฏวีชนบท มีบริวารหลายพันองค์ (๔) กาฬเทวิลฤาษี ต้ังสานักอยู่ท่ีโขดศิลาแห่งหน่ึง ณ ทักษิณาชนบท แคว้นอวันตี มีฤาษีหลายพันเป็นบริวาร (๕) กิสวัจฉฤาษี อาศัยนครกุมภวดีของพระเจ้า ทัณฑกี อยู่องค์เดียวในพระราชอุทยาน (๖) อนุสิสสดาบส เป็นอุปัฏฐากอยู่กับโชติปาลฤาษีผู้เป็นโพธิสัตว์ (๗) นารทฤาษี เป็นน้องชายของกาฬเทวิลฤาษี อยู่ท่ีถ้าแห่งหน่ึง ภายในภูเขาอัญชนคีรี ในมัชฌิมประเทศ แต่องค์เดียว ท่ีไมไ่ กลจากอัญชนครี ี มนี ิคมตงั้ อยู่ และระหวา่ งภูเขาอัญชนครี ิและนิคมนั้น มีแม่น้าใหญ่ พวก มนุษยม์ ักมาชุมชมุ ท่แี มน่ า้ แห่งนั้น พวกนางวรรณทาสีรูปงามท้ังหลาย เมื่อจะเล้าโลมผู้ชายก็มักจะมาน่ังที่ รมิ ฝงั่ แม่นา้ นน้ั นารทฤาษีเห็นเข้า เกิดมีจิตปฏิพัทธ์กับนางวรรณทาสีคนหน่ึง เสื่อมจากฌาน ซูบผอมด้วย อานาจกเิ ลส นอนอดอาหารเป็นเวลา ๗ วัน ๑๑๕ ม.อปุ ร.ิ (ไทย) ๑๔/๑๘๕/๒๒๓. ๑๑๖ ม.อุปริ.อ.(ไทย) ๓/๒/๓๐. ๑๑๗ ม.อุปร.ิ อ.(ไทย) ๓/๒/๒๖. ๑๑๘ ข.ชา.(ไทย) ๒๗/๖๐/๒๙๔.
๖๐ กาฬเทวิลฤาษีทราบเรื่อง จึงเหาะมาหานารทฤาษี เพ่ือเยียวยา แต่ก็ถูกนารทฤาษีพูดจาข่ม ด้วยมุสาวาท กาฬเทวิลฤาษีไม่ละความพยายาม จึงได้นาดาบสอีก ๓ องค์ ประกอบด้วย สาลิสสรฤาษี เมณฑิสสรฤาษี บรรพติสสรฤาษี มาเพื่อเกล้ียกล่อม แต่ก็ยังถูกนารทฤาษีพูดข่มด้วยมุสาวาท กาฬเทวิล ฤาษีจึงได้เหาะไปเชิญสรภังคฤาษีมา สรภังคฤาษีมาเห็นก็รู้ว่า นารทฤาษีตกอยู่ในอานาจอินทรีย์ จึงได้ กล่าวเตอื นว่า ผตู้ กอยูใ่ นอานาจอนิ ทรยี เ์ ช่นน้นั เม่ือตายไปกจ็ กั บังเกิดในนรก แม้มชี วี ติ อย่กู ซ็ บู ซดี นารทฤาษีได้กล่าวโต้แย้งว่า การเสพกามนั้นเป็นความสุข ไฉนท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า เป็น ความทุกข์เล่า สรภังคฤาษีได้กล่าวตอบว่า ทุกข์เกิดในลาดับแห่งสุข สุขเกิดในลาดับแห่งทุกข์ คาว่า ทุกข์ เกดิ ในลาดบั แห่งสุข หมายความวา่ ทุกข์ในนรกย่อมเกิดย่อมเกิดในลาดับแห่งกามสุข ส่วนสุขเกิดในลาดับ แห่งทกุ ข์ หมายความว่า สุขอันเป็นทิพย์ สุขมนุษย์ และสุขคือพระนิพพาน เกิดในลาดับแห่งความลาบาก เช่น ตอ้ งรกั ษาศีล ต้องเจริญวปิ สั สนา ตอ้ งอดทน อดกล้ัน จึงจะสามารถพน้ ทุกข์ได้ ฝ่ายกาฬเทวิลฤาษี ก็ได้กล่าวสั่งสอนนารทฤาษีผู้เป็นน้องชายโดยประการต่าง ๆ เป็นต้นว่า ความขยันของคหบดีผู้ครองเรือนดีช้ัน ๑, การแบ่งปันโภคทรัพย์ให้แก่สมณพราหมณ์ผู้ต้ังอยู่ในธรรมแล้ว บริโภคด้วยตน ดีช้ันท่ี ๒, เม่ือได้ประโยชน์แล้วก็ไม่ระเริงใจด้วยความมัวเมา ดีชั้นท่ี ๓, เมื่อเวลาเสื่อม ประโยชน์ ไม่มีความลาบากใจ ดีชั้นท่ี ๔๑๑๙ ต่อแต่น้ันสรภังคฤาษีได้เรียกนารทฤาษีมา พร้อมกับเตือน โดยประการต่าง ๆ อกี ทาใหน้ ารทฤาษีเกิดความสลดใจ กลับทาบริกรรมกสินให้ฌานบังเกิดขึ้นดังเดิม สร ภงั คฤาษไี มย่ อมให้นารทฤาษีอย่ใู นท่นี น้ั อีกต่อไป จึงไดน้ ากลับอาศรมของตน กาฬสมุ นะ,พระ พระกาฬสุมนะ ปรากฏชอ่ื ในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาในฐานะเป็น ๑ ในพระเถระผู้ทาหน้าท่ีเป็น ทรงจาพระวินัยปิฎกสืบต่อกันมาตั้งต้นแต่พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ และพระโมค คัลลีบตุ ร ในชมพทู วปี , พระมหินทะ พระอัฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัททบัณฑิต เดินทาง จากชมพูทวีปมาท่ีเกาะตามปัณณิ, ต่อมาถึงรุ่นพระอริฏฐะ พระติสสทัตตบัณฑิต พระกาฬสุมนะ พระทีฆ เถระ พระทฆี สมุ นบัณฑติ เปน็ ตน้ ในพระบาลี หลักฐานเก่ียวข้องกับพระกาฬสุมนะ ปรากฏแต่เพียงว่า ผู้เชียวชาญ๑๒๐ ซึ่งใน บริบทน้ีคงหมายถึงผู้เชี่ยวชาญในพระวินัย ส่วนในคัมภีร์อรรถกถา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่เพียงว่า เป็นผู้ องอาจ๑๒๑ ข้อมลู อ่ืนนอกเหนือจากน้ี ไม่ปรากฏ กาฬุทาย,ี พระ พระกาฬุทายี เป็นสาวกชั้นผู้ใหญ่ และได้รับเอตทัคคะผู้ยังสกุลให้เล่ือมใส๑๒๒ เพราะท่านมี บทบาทสาคญั ในการทาใหต้ ระกลู ศากยะมีความเลื่อมใสศรทั ธา และออกบวชตามพระพุทธเจ้าเป็นจานวน มาก ในกาฬุทายเี ถราปทาน๑๒๓ พระกาฬุทายี ไดเ้ ล่าประวัติของตนประมวลมาพอสังเขปดังน้ี ๑๑๙ ข.ุ ชา.(ไทย) อ.๓/๕/๕๖๔. ๑๒๐ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๗/๑๓. ๑๒๑ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๒๕/๒๙. ๑๒๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๔๘/๑๕๖. ๑๒๓ ท.ี ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๙๒.
๖๑ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระกาฬุทายี ได้เคยถวายดอกบัว ดอกมะลิ ซ้อน และถวายภตั ตาหารแดพ่ ระพุทธเจ้า จากนน้ั จึงไดร้ ับการพยากรณจ์ ากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุต ตระว่า จักได้ครองเทวสมบัติ ๑๘ ชาติ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑๕ ชาติ พระเจ้าแผ่นดิน ๕๐๐ ชาติ ชาติ สุดท้ายจักได้ออกบวช เป็นสาวกของพระพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม และจักได้รับการสถาปนาใน ตาแหน่งอนั เลิศ ในคมั ภรี อ์ รรถกถามปี ระวัตพิ รรณนาเพิ่มเติมดังน้ี พระกาฬทุ ายี ถือเป็น ๑ ในสหชาติ (เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า) ทั้ง ๗ ประกอบด้วย พระมารดา ของราหุล พระอานนท์ พระฉันนะ ม้ากัณฐกะ หม้อขุมทรัพย์ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ และพระกาฬุทายี๑๒๔ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สตตสหชาต เพราะเกิดวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์๑๒๕ อรรถกถาขุททกนิกาย เถร คาถาระบุสหชาตติ ่างออกไปดังนี้ พระมารดาของราหุล ขุมทรัพย์ท้ัง ๔ ช้างตระกูลอาโรหนิยะ ม้ากัณฐกะ นายฉันนะ และกาฬุทาย๑ี ๒๖ อรรถกถาอังคุตตรนิกาย พรรณนาท่ีมาของชื่ออุทายีว่า เป็นเพราะวันท่ีเขาถือกาเนิดมาน้ัน ชาวเมืองกาลังมีจิตใจฟูขึ้น และเขามีผิวดานิดหน่อย จึงได้ชื่อว่า กาฬุทายี ขณะที่อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถาระบุว่า ชาวเมอื งกาลงั มีจิตใจรน่ื เริงเบิกบาน พระกาฬุทายี ก่อนหน้าที่จะอุปสมบท ได้รับราชการเป็นอามาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อ พระพุทธเจ้าออกผนวช ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้รับบัญชาจากพระเจ้าสุทโธทนะให้ไป ทูลเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับเมืองกบิลพัสดุ์ กาฬุทายีอามาตย์รับพระบัญชา แต่ก็ขอพระราชานุญาต ลาบวชด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็ออกจากเมืองไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรม บรรลุ พระอรหันตพ์ รอ้ มด้วยปฏสิ มั ภิทาแลว้ กไ็ ดก้ ราบทลู ให้พระพุทธเจา้ เสดจ็ โปรดพุทธบดิ า ระหว่างเสด็จกลับเมืองกบิลพัสดุ์ พระกาฬุทายี ได้เหาะไปแจ้งข่าวให้พระเจ้าสุทโธทนะทรง ทราบ ทาให้พระเจ้าสุทโธทนะ และชาวเมืองกบิลพัสดุ์เกิดความเล่ือมใสท้ัง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นพระศาสดา เลย๑๒๗ อรรถกถาธรรมบทระบุว่า พระกาฬุทายี ได้กราบทูลพระศาสดาเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์โดยบท ประพันธ์ประกอบด้วย ๖๐ คาถา พรรณนาหนทาง นาเสด็จพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ สองหมืน่ องคล์ ้วนพระขณี าสพ๑๒๘ ในกาฬุทายีเถรคาถา๑๒๙ ปรากฏคาถาพรรณนาหนทาง เน้ือความข้ึนต้นคาถาแรกว่า “ข้าแต่ พระองคผ์ ู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้มีดอกและใบสีแดงดังถ่านเพลิง ผลัดใบเก่าท้ิง ผลิดอกออกผลหมู่ไม้เหล่าน้ัน สวา่ งไสวดงั เปลวเพลงิ ข้าแต่พระมหาวีระ ผู้มีส่วนแห่งอรรถรสเป็นต้นเวลาน้ีเป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์ หม่พู ระญาต”ิ ๑๒๔ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๖๑. ๑๒๕ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๓๒๒. ๑๒๖ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๖๔. ๑๒๗ วิ.ม.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๐๙. ๑๒๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๕๕. ๑๒๙ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๕๒๗/๔๓๒.
๖๒ กิก,ี พระราชา พระเจา้ กิกี เป็นกษตั ริย์ปกครองแคว้นกาสี ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในฆฏิการ สูตร มีเน้ือความพรรณนาไว้ว่า พระเจ้ากิกี มีพระประสงค์จะถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพุทธเจ้าพระนาม ว่ากสั สปะ จึงได้กราบทูลอาราธานา ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้ารับนิมนต์ และเสด็จไปฉันภัตตาหารที่พระราช นิเวศน์เสร็จแล้ว ก็ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจาพรรษาที่เมืองพาราณสี เพ่ือ พระองค์จะไดอ้ ปุ ฏั ฐากบารุงให้ยิ่ง ๆ ข้ึน แต่ถูกพระพุทธเจ้าปฏิเสธ เนื่องจากทรงรับนิมนต์ช่างหม้อชื่อฆฏิ การะท่นี ิคมเวคฬงั คะไว้กอ่ นแล้ว ทาให้พระเจา้ กกิ ีทรงรสู้ กึ เสยี พระทัย อย่างไรก็ตาม เพ่ือจะทาทรงผ่อนคลายความเสียพระทัยของพระเจ้ากิกี และเพื่อทาคุณของ ชา่ งหม้อให้ปรากฏ พระพทุ ธเจ้าจงึ ได้ตรสั สรรเสรญิ คุณของช่างหม้อเปน็ อเนกประการ เป็นต้นว่า ฆฏิการะ ปราศจากความเศร้าโศกเสียใจ เพราะถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ เว้นขาดจาก ปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เป็นต้น นอกจากน้ัน พระพุทธเจ้ายัง พรรณนาถึงความท่ีฆฏกิ าระมีความคุ้นเคยกบั องค์เป็นอยา่ งยิง่ เช่นคร้ังหนึ่งหลังคากุฏิพระพุทธเจ้ารั่ว ทรง รับส่งั ให้ไปรอ้ื เอาหลังคาเรอื นขณะที่นายฆฏกิ าระไม่อยู่ และถึงกระนั้น นายฆฏิการะก็ไม่แสดงอาการโกรธ เคอื ง กลับแสดงความยนิ ดี และถือเปน็ ลาภอันประเสริฐ พระเจ้ากิกีได้ทรงสดับพระดารัสของพระพุทธเจ้าเช่นนั้น ก็ทรงละความเสียใจ พลอย อนุโมทนายินดกี ับช่างหมอ้ พรอ้ มกันนัน้ ก็ไดท้ รงส่งเสบียง ข้าวสาร เครื่องแกงไปพระราชทานแก่นายช่าง หม้อเป็นจานวนมาก แต่ฆฏิการะก็ขอพระราชทานให้เป็นของหลวงคืนด้วยเห็นว่า พระราชานั้นมีราชกิจ มาก๑๓๐ กงิ ก,ี พระราชา พระเจ้ากิงกี เป็นพระราชาปกครองเมืองพาราณสี ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสส ปะ๑๓๑ เนอ้ื ความในพระบาลปี รากฏเพียงเทา่ นี้ แมค้ วามในอรรถกถา ก็ไม่มีรายละเอยี ดเกีย่ วกบั พระองค์ กมิ พลิ ะ, พระ พระกิมพิละ เป็น ๑ ใน ๖ เจ้าศากยะที่ออกผนวชตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกัน ประกอบดว้ ย พระภัททยิ ะ พระอนุรทุ ธะ พระอานนท์ พระภคุ พระกิมพิละ และพระเทวทัต นับ ๗ กับทั้ง พระอุบาลีผู้เคยเป็นชา่ งกัลบก๑๓๒ ในกิมพิลสูตร พระกิมพิละได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ที่ป่าไผ่ เขตเมืองกิมิ ลา พรอ้ มกันนไี้ ดท้ ลู ถามถึงสาเหตุท่ีทาให้พระสัทธรรมต้ังอยู่ได้ไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สาเหตุท่ีจะทา ให้พระสัทธรรมอยู่ไม่ได้นานเพราะ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา (๑) อยู่ อย่างไม่เคารพยาเกรงในพระศาสดา (๒) อยู่อย่างไม่มีความเคารพยาเกรงในพระธรรม (๓) อยู่อย่างไม่มี ความเคารพยาเกรงในสงฆ์ (๔) อยู่อย่างไม่มีความเคารพยาเกรงในสิกขา (๕) อยู่อย่างไม่มีความเคารพยา เกรงกันและกัน๑๓๓ ๑๓๐ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๙๒/๓๔๘. ๑๓๑ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๖. ๑๓๒ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๓๑/๑๗๐. ๑๓๓ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๐๑/๓๔๓.
๖๓ อน่ึง สาวกของพระพุทธเจ้าจาแนกเป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย พระอัครสาวก พระมหาสาวก และปกตสิ าวก๑๓๔ พระกมิ พิละจัดอยใู่ นกลุ่มพระอคั รสาวก อยา่ งไรกต็ าม ชอื่ เสียงของพระกิมพิละไม่ค่อย ปรากฏมากนัก ทงั้ ในบาลี และอรรถกถา กิมิละ, พระ พระกิมิละปรากฏในพระสูตรว่า พร้อมด้วยพระอนุรุทธะ พระนันทิยะ พักอยู่ท่ีป่าโคสิงคสาล วัน วันหน่ึง พระผู้มีพระภาคได้เสด็จไปเยี่ยม คนผู้รักษาป่าเห็นพระองค์เสด็จพระดาเนินบริเวณนั้น ด้วย ความทค่ี นรักษาป่าไม่รู้จักพระพุทธเจ้า จึงได้ร้องห้ามว่าอย่าเข้ามารบกวนพระเถระ ๓ รูป ซ่ึงกาลังพักอยู่ ท่ปี ่าแห่งนี้ พระอนุรุทธะไดย้ ินเข้าจึงได้เข้าไปเตือนว่า พระองค์เป็นศาสดาของพวกเรา จากนั้นจึงได้รีบไป บอกพระนันทยิ ะ และพระกิมิละเพ่อื ถวายการต้อนรบั พระผูม้ ีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอบถามความเป็นอยู่ของพระสาวกทั้ง ๓ รูป พระเถระ ๓ รูปก็กราบทูล ทูลวา่ ข้าพระองคท์ ้ังหลายยงั พร้อมเพรียงกนั ช่นื ชมกนั ไม่วิวาทกัน เปน็ เหมอื นน้านมกับน้า มองกันด้วย นัยน์ตาที่เป่ียมด้วยความรักอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอปฏิบัติอย่างไร ทุกรูปก็กราบทูลใน ลักษณะเดียวกันว่า ต่างก็ตั้งอยู่ในเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ท้ังต่อหน้าและลับ หลัง เก็บความนึกคิดของตน ปฏิบัติตามความนึกคิดของท่านเหล่าน้ัน กายของข้าพระองค์ต่างกันก็จริง แตค่ วามนกึ คิดดูเปน็ เหมอื นอันเดียวกัน๑๓๕ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามพระกิมิละ และพระอนุรุทธะ พระนันทิยะต่อไปอีกว่า เป็นผู้ไม่ ประมาท มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายและใจอยู่หรือ เม่อื ทรงได้รับคาตอบวา่ ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกาย และใจอยู่ ก็ทรงถามต่อไปอีกว่า ทาอย่างไร พระอนุรุทธะกราบทูลว่า ในบรรดาข้าพระองค์ท้ังหลาย รูป ใดกลับจากบิณฑบาตก่อน รูปนั้นก็ปูลาดอาสนะ ต้ังน้าฉัน ตั้งถาดสารับไว้ ส่วนผู้กลับทีหลัง ก็เก็บกวาด ถา้ เหลอื วิสัย ก็กวักมือเรียกองคท์ ี่ ๒ ช่วย โดยไม่ต้องใช้วาจา และทุก ๆ ๕ วัน ก็จะนั่งสนทนาธรรมตลอด คืนยันรุ่ง๑๓๖ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อว่า พวกเธอเป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกาย และใจอยู่อย่างนี้ ได้บรรลุคุณวเิ ศษอะไรบา้ งหรอื ไม่ ? พระอนุรุทธะ ได้ทาหน้าที่กราบทูลความก้าวหน้าใน การปฏบิ ัตจิ นไดบ้ รรลคุ ุณวิเศษ ซึง่ ไมม่ ธี รรมใดย่ิงไปกว่านีอ้ กี แลว้ ในพระสูตรพรรณนาไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับที่ประทับแล้ว เหล่ายักษ์ ภูมิ เทวดา เทวดาช้ันจาตุมหาราช และเทวดาชน้ั อ่นื ๆ กเ็ ข้าไปเฝ้า และกราบทูลตามลาดับ ๆ ว่า เป็นลาภอัน ประเสริฐของชาววัชชีท่ีพระพุทธเจ้า พระอนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมิละได้มาพักอยู่ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรับรองว่า การปฏิบัติดีของพระสงฆ์นั้นเป็นไปเพ่ือประโยชน์สุขแก่มหาชน ดูตัวอย่างแต่พระ อนุรุทธะ พระนันทิยะ และพระกิมิละ เพียงครู่เดียวเกียรติคุณก็กระฉ่อนไปในหมู่มนุษย์ และเทวดา ทง้ั หลาย๑๓๗ ในกิมลิ สูตร๑๓๘ ขณะทรงประทับอยู่ที่ป่าไผ่ เขตเมืองกิมิลา พระพุทธเจ้าได้รับสั่งให้เรียกพระ กิมลิ ะมาแล้วตรัสถามเร่ืองการเจริญอาณาปานสติว่าทาอย่างไรจึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ทรงตรัสย้า ๑๓๔ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๐. ๑๓๕ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๒๖/๓๕๘. ๑๓๖ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๒๗/๓๕๙. ๑๓๗ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๓๑/๓๖๕. ๑๓๘ ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๘๖/๔๖๕.
๖๔ ถามถึง ๓ คร้ัง แตพ่ ระกิมลิ ะก็ยังน่ิงเฉย เป็นเหตุให้พระอานนท์ได้ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วท่ีพระพุทธเจ้าจะได้ ตรสั สอนวธิ ีการเจรญิ อาณาปานสติ เพอ่ื ประโยชน์เกื้อกูลแก่บริษทั ทัง้ หลาย ในกมิ ิลสตู รอีกพระสูตรหนึ่ง๑๓๙ ปรากฏเรื่องราวคล้าย ๆ กับกิมพิลสูตร กล่าวคือ พระกิมิละ ได้เข้าเฝา้ พระพุทธเจา้ และได้กราบทลู ถึงสาเหตุที่ทาให้พระศาสนาดารงอยู่ได้ไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สาเหตุท่ีจะทาให้พระสัทธรรมอยู่ไม่ได้นานเพราะ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา (๑) อยู่อย่างไม่เคารพยาเกรงในพระศาสดา (๒) อยู่อย่างไม่มีความเคารพยาเกรงในพระธรรม (๓) อยู่อยา่ งไมม่ คี วามเคารพยาเกรงในสงฆ์ (๔) อยู่อย่างไมม่ คี วามเคารพยาเกรงในสกิ ขา (๕) อยู่อย่างไม่มี ความเคารพยาเกรงในสมาธิ (๖) อยู่อย่างไม่มีความยาเกรงในความไม่ประมาท และ (๗) อยู่อย่างไม่มี ความยาเกรงในการปฏิสนั ถาร กมิ มิละ,พระ พระกิมมิละปรากฏชื่อในพระไตรปิฎก ๒ แห่ง แห่งแรก ในทุติยทารุกขันโธปมสูตร แห่งสัง ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค๑๔๐ แหง่ ท่ี ๒ ใน กมิ มลิ สตู รองั คตุ ตรนกิ าย ฉกั กนิบาต๑๔๑ พระสูตรแรกพรรณนาไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะประทับอยู่ท่ีฝ่ังแม่น้าคงคา เขตเมืองกิ มมิละ ได้ทอดพระเนตรเห็นขอนไม้ใหญ่กาลังลอยตามกระแสน้า จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าเห็นหรือไม่ ภกิ ษทุ ้ังหลายรับพระดารสั ว่า เหน็ พระเจา้ ขา้ ในชว่ งระหว่างนัน้ พระกมิ มลิ ะได้กราบทูลถามปัญหากะพระ ผมู้ ีพระภาคเจ้าว่า อะไรคอื ความเน่าภายใน พระผู้มีพระภาคเจา้ ได้ตรัสว่า ภิกษุตั้งอาบัติอย่างใดอย่างหน่ึง แลว้ การออกจากอาบัติเชน่ นน้ั ยงั ไมป่ รากฏ นเ้ี รียกว่า “เนา่ ภายใน” ส่วนพระสูตรที่ ๒ พรรณนาเนือ้ ความพระกิมมิละได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะทรงประทับอยู่ท่ี ปา่ ไผ่ เขตเมอื งกิมมลิ า และได้กราบทลู ถามถงึ ปัญหาท่ีทาให้พระสัทธรรมต้ังอยู่ไม่ได้นาน พระผู้มีพระภาค เจา้ ได้ตรัสวา่ สาเหตุทีท่ าให้พระสัทธรรมต้ังอยู่ไม่ได้นานเพราะ ในอนาคต ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในพระธรรมวินัยนี้ (๑) อยู่อย่างไม่มีความเคารพ ไม่มีความยาเกรงในพระศาสดา (๒) อยู่อย่างไม่มีความ เคารพ ไมม่ คี วามยาเกรงในพระธรรม (๓) อยู่อย่างไม่มีความเคารพ ไม่มีความยาเกรงในสงฆ์ (๔) อยู่อย่าง ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยาเกรงในสิกขา (๕) อยู่อย่างไม่มีความเคารพ ไม่มีความยาเกรงในความไม่ ประมาท และ (๖) อยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเคารพ ไมม่ คี วามยาเกรงในปฏิสันถาร ต่อคาทูลถามถึงสาเหตุแห่งการดารงอยู่นานแห่งพระสัทธรรม พระพุทธเจ้าได้แสดงแก่พระ กิมมิละโดยนัยตรงกันข้ามดงั กล่าวขา้ งต้น กุมารกสั สปะ, พระ พระกุมารกัสสปะเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า และนับเน่ืองในกลุ่มอสีติมหาสาวกองค์ สาคัญในสมยั พุทธกาล๑๔๒ บดิ าและมารดาไมป่ รากฏชอ่ื ทราบแต่เพยี งวา่ เป็นชาวเมอื งสาวัตถี มารดาของท่านศรัทธาจะ บวชตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่บิดาและมารดาไม่อนุญาต หลังจากแต่งงานแล้วขออนุญาตสามีออก ๑๓๙ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๕๙/๑๑๔. ๑๔๐ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๒๔๒/๒๔๕. ๑๔๑ องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๔๐/๔๙๑. ๑๔๒ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๑.
๖๕ บวช เม่ือสามอี นุญาตใหบ้ วชแล้ว นางจึงบวชเป็นภิกษุณีโดยไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ คร้ันอยู่มาครรภ์ได้ใหญ่ข้ึน ภิกษณุ ีท้งั หลายรังเกยี จเธอ จึงนาไปให้พระเทวทัตตัดสิน พระเทวทัตตัดสินว่า เธอศีลขาด แม้เธอจะช้ีแจง เหตุผลอย่างไรก็ไม่ยอมรับฟัง ภิกษุณีท้ังหลายจึงพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ทรงมอบหมาย ให้พระอุบาลีเถระตัดสิน พระอุบาลีเถระเชิญตระกูลใหญ่ๆ ชาวสาวัตถี และนางวิสาขามาพิสูจน์ได้ความ จริงว่า นางตั้งครรภม์ ากอ่ นบวช ศลี ของนางบรสิ ทุ ธ์ิ นางจงึ ไดอ้ ยู่ในสมณเพศกระทงั่ คลอดกมุ ารกสั สปะ วนั หนึง่ พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปในอาราม ได้ยินเสียงทารกร้อง สอบถามได้ความ จึงได้นา พระกุมารมาเล้ียงดูในวัง กัสสปะ เม่ือเติบใหญ่ ท่านได้ทราบความว่า มารดาของท่านบวชเป็นภิกษุณี ท่านได้คลอดในสานักนางภิกษุณี และถูกนามาเล้ียงในราชสานัก เกิดความสลดใจ จึงได้กราบทูลพระเจ้า ปเสนทิโกศลขอบรรพชา เมื่อได้บรรพชาแล้ว ช่ือของท่านไปพ้องกับพระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าจึงเติม สร้อยนามท่านวา่ กุมารกสั สปะ๑๔๓ ตงั้ แตบ่ ดั นนั้ เปน็ ตน้ มา พระกุมารกัสสปะเป็นต้นบัญญัติพุทธานุญาตให้นับอายุอุปสมบท ๒๐ ปีบริบูรณ์รวมทั้งอยู่ใน ครรภ์มารดาดว้ ย๑๔๔ ในปายาสิสูตร๑๔๕ มีเรอ่ื งราวพรรณนาถึงพระเจ้าปายาสิ ซึ่งมีทิฐิว่า โลกอ่ืนไม่มี ผลวิบากกรรม ท่ีทาดีและช่ัวก็ไม่มี ทราบข่าวว่าพระกุมารกัสสปะ พร้อมด้วยหมู่สงฆ์ ๕๐๐ รูป พักอยู่ท่ีป่าสีเสียด จึงได้ เข้าไปถามปัญหาเก่ียวกับทิฐิดังกล่าว พระกุมารกัสสปะเร่ิมซักถามพระเจ้าปายาสิด้วยคาถามง่าย ๆ เชิง ประจกั ษ์ก่อนว่า ดวงจันทรแ์ ละดวงอาทิตย์ท่ีมองเห็นนี้มีในโลกนี้ หรือมีในโลกอื่น เม่ือพระเจ้าปายาสิตรัส ตอบวา่ มีในโลกอืน่ กย็ อ้ นถามวา่ เมอ่ื มีในโลกอื่น ทาไมพระองค์จึงตรัสว่า โลกอน่ื ไม่มี เม่ือพระกุมารกัสสปะถามถึงเหตุผล พระเจ้าปายาสิได้ยืนยันเหตุผลว่า ที่ทรงยืนยันว่าโลกอื่น ไมม่ กี ็เพราะทรงเคยส่ังมติ ร อามาตย์ ญาตสิ าโลหติ ของพระองคผ์ ูเ้ คยฆา่ สัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดคาหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ตายไป ถ้าไปเกิดในอบาย นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น ก็ขอให้กลับมา บอก จะได้พสิ ูจน์คาสอนของพวกสมณพราหมณท์ งั้ หลาย แต่จวบจนบดั น้ี ไม่เคยเห็นมิตร อามาตย์ ญาติที่ ตายไปแลว้ คนไหนเลยกลับมาบอก แลว้ จะให้เชอ่ื ว่าโลกอนื่ มี วิบากกรรมทที่ าดีและชว่ั มีจรงิ ได้อย่างไร พระกุมารกัสสปะได้ชี้แจงโดยการเปรียบเทียบว่า นักโทษทาความผิดร้ายแรง ถูกจับได้ และ ได้รับการพิพากษาลงโทษประหารชีวิต เมื่อถูกราชบุรุษนาไปสู่แดนประหาร เตรียมจะประหารชีวิตแล้ว ถา้ เขาขอร้องพระองค์ว่า อย่าเพ่ิงประหาร ขอกลับไปบอกญาติพ่ีน้องก่อน ถามว่าพระองค์จะอนุญาตไหม คาตอบคือไม่อนุญาต ซึ่งก็ทานองเดียวกัน แม้คนท่ีทาความดี ข้ึนสวรรค์ เหตุที่เขาไม่กลับมาบอกก็ เปรียบเสมือนคนท่ีจมอยู่ในหลุมอุจจาระ เมื่อพ้นจากหลุมแล้ว ได้อาบน้าสะอาด แต่งตัวด้วยอาภรณ์ งดงาม ผ้นู ้นั ยงั จะปรารถนาทล่ี งไปอยูใ่ นหลมุ อุจจาระอีกหรือไม่ แมจ้ ะได้รบั การชี้แจงอยา่ งน้ี พระเจา้ ปายาสิก็ยงั คงตรสั บอกว่า ไม่เช่ือ ทาให้พระกุมารกัสสปะ ต้องยกอุปมาอีกหลายประการมาชี้แจง นับตั้งแต่อุปมาเรื่องอายุของเทวดากับมนุษย์ไม่เท่ากัน อุปมาคน ตาบอดมาแต่กาเนิด อุปมาเหมือนหญงิ มีครรภต์ อ้ งการพสิ จู น์วา่ ลกู ในครรภเ์ ป็นบุตรหรือธิดาด้วยการใช้มีด ผ่าท้องออกมาดู อุปมาด้วยการหลับแล้วฝัน เป็นต้น ท้ังปวงเพียงเพื่อทดสอบสติปัญญาของพระเถระ เท่านั้น ความจริงแล้ว พระเจ้าปายาสิทรงพอพระทัยเชื่อในเหตุผลท่ีพระกุมารกัสสปะยกมาแต่แรกแล้ว ๑๔๓ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๙๑. ๑๔๔ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๑๒๔/๑๙๑. ๑๔๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๔๐๖/๓๔๑.
๖๖ ดังนั้นเมื่อเห็นปฏิภาณของพระเถระท่ีได้พยายามชี้แจงต่าง ๆ นานา ก็ทรงเลื่อมใส และได้แสดงตนเป็นผู้ นบั ถอื พระรตั นตรยั ตลอดชวี ติ ในวมั มิกสตู ร๑๔๖ ขณะท่ีพระกมุ ารกสั สปะพกั อย่ทู ่ีป่าอันธวัน เทวดาผู้เคยเป็นสหาย ปรารถนา ใหพ้ ระกมุ ารกสั สปะบรรลุพระอรหนั ต์ จงึ ได้เขา้ ไปฝากปัญหา ๑๕ ข้อ ให้พระกุมารกัสสปะเข้าไปกราบทูล ถามพระพุทธเจ้า โดยผกู เป็นอปุ มาเกยี่ วกับจอมปลวกมีลกั ษณะกลางคืนเปน็ ควัน กลางวันเป็นไฟ อาจารย์ ใชใ้ ห้ศษิ ยข์ ดุ ดพู บล่ิมสลัก อ่งึ ทางสองแพร่ง หม้อกรองน้า เต่า เขยี งหน่ั เน้ือ ช้ินเนื้อ และนาค ซึ่งได้รับการ พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า จอมปลวกเปรียบได้กับร่างกาย กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นไฟเปรียบได้ กับการขบคิดเรื่องราวต่างในกลางคืน ตอนกลางวันก็ทางานต่อ เป็นต้น พระกุมารกัสสปะได้เรียนปัญหา ธรรมจากพระผมู้ พี ระภาคไมน่ าน บาเพ็ญวปิ สั สนา กไ็ ดบ้ รรลุเป็นพระอรหันต์๑๔๗ พระกุมารกัสสปะ ได้รับการยกย่องจากพระพทุ ธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะผู้แสดงธรรมได้อย่าง วิจติ ร๑๔๘ กกุ กฏุ มติ ตะ, นายพราน นายกุกกุฏมิต มีอาชีพเป็นนายพราน ปรากฏช่ืออยู่ในคัมภีร์ขุททกนิกาย ธรรมบท พรรณนา ความประกอบพระคาถาว่า “หากที่ฝ่ามือไม่มีแผล บุคคลก็ใช้ฝ่ามือนายาพิษไปได้ เพราะยาพิษจะไม่ซึม เขา้ ไปยงั ฝา่ มอื ท่ีไมม่ แี ผล เหมอื นบาปไม่มีแก่ผไู้ มท่ าบาป ฉะนัน้ ”๑๔๙ อรรถกถา๑๕๐ มีเนื้อความพรรณนาเพิ่มเติมว่า วันหนึ่งขณะที่นายกุกกุฏมิตกาลังออกไปขาย เนือ้ ในเมอื ง ธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ผู้หน่ึงเห็นเข้า เกิดมีจิตปฏิพัทธ์ จึงให้คนใช้นาเครื่องบรรณาการไป มอบให้ พร้อมกับให้สอบถามเวลาออกเดินทาง ครั้นทราบเวลาแล้ว นางก็ถือเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่งกายด้วย เสอ้ื ผ้าเกา่ ปลอมตวั ออกไปพร้อมกับนางทาสีทั้งหลาย จากน้ันก็ไปยืนดักรอที่หนทางมาของนายพรานนั้น ครนั้ เห็นคาราวานเกวียนของนายพรานออกมา นางก็เดินตามไป เมื่อถูกนายพรานห้าม นางก็ได้แจ้งความ ประสงค์ให้ทราบ นายพรานกกุ กฏุ มิตทราบว่านางมาเพ่ือตน ก็อุ้มนางข้ึนเกวียน นากลับไปยังบ้าน และได้ยกไว้ ในฐานะภรรยา ฝ่ายมารดาทราบว่าธิดาหายตัวไปก็ให้คนติดตาม แม้หลายวันผ่านไปก็ไม่พบจึงเข้าใจว่า ธิดาเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้แต่ทาบุญอุทิศให้ผู้ตาย แม้ธิดาของเศรษฐีอาศัยอยู่กับนายพรานคลอดบุตร ๗ คน โดยลาดับ คร้ันเมื่อบุตรเติบใหญ่แล้ว ก็ได้จัดหาภรรยาให้ อาศัยอยู่ในเรือน มีความสุขตามอัตภาพ เรือ่ ยมา ภายหลังวันหน่ึง พระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ของ นายพรานกุกกุฏมิตพร้อมบุตร-สะไภ้ จึงได้เสด็จไปยังท่ีดักบ่วง พร้อมกับแสดงรอยพระบาทไว้บริเวณน้ัน แลว้ กเ็ สด็จไปประทับอยทู่ ่ีใต้ร่มไม้แหง่ หน่งึ ในที่ไม่ไกล ๑๔๖ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๒๔๙/๒๖๗. ๑๔๗ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๙๑. ๑๔๘ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๙๓. ๑๔๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๔/๗๐. ๑๕๐ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๓/๓๖.
๖๗ นายพรานกุกกุฏมิตถือธนูออกไปตรวจบ่วงแต่เช้าตรู่ ไม่เห็นสัตว์แม้ตัวเดียวติดบ่วง ครั้นเห็น รอยพระบาทกส็ งสัยวา่ คงจะมีใครมาปล่อยสัตว์ติดบ่วงของตนไป ตรวจดูบริเวณรอบๆ ก็เห็นพระผู้มีพระ ภาคประทับนง่ั อยู่กเ็ ข้าใจวา่ คงจะเปน็ สมณะรูปนี้แหละ เกิดความโกรธ จงึ ได้ข้ึนคันศรเตรยี มยงิ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นายพรานเหน่ียวลูกศรได้ แต่ไม่อนุญาตให้ปล่อยลูกศรด้วยพุทธานุ ภาพ นายพรานจึงยืนเหน่ียวลูกศรไว้อย่างนั้น ไม่อาจปล่อยลูกศรออกไปได้ สีข้างทั้ง ๒ เหมือนจะแตก นา้ ลายไหลออกจากปาก เหนอ่ื ยลา้ ได้แต่ยืนถอื ลูกศรเหนยี่ วอยอู่ ยา่ งนัน้ ไม่อาจแม้จะวางลง ฝ่ายภรรยาเหน็ สามหี ายไปนาน เกรงว่าจะเกิดอันตรายก็ส่งบุตรตามไปดู บุตรทั้ง ๗ ไปถึงเห็น บิดายืนเหนี่ยวลูกศรใส่พระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้น ก็เข้าใจผิดคิดว่า เป็นศัตรูของบิดา จึงได้พากันเหนี่ยว ลูกศรเตรียมยิงเช่นกัน แต่ทั้งหมดกไ็ ม่สามารถปล่อยลูกศรออกไปได้ คงยืนเหนี่ยวลูกศรอยู่อย่างนั้น ได้รับ ทุกขเวทนาเหมือนบิดา คร้ันเม่ือบุตรท้ัง ๗ ยังชักช้าอยู่ ก็เกิดความสงสัย จึงพร้อมด้วยสะใภ้ท้ัง ๗ ออก จากเรือนตามไปยงั ทีด่ กั บว่ ง พอเห็นสามีและบุตรทั้งหมดเหน่ียวลูกศรใส่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น นางก็ตกใจ ร้องปรามขึ้นด้วยเสยี งอนั ดงั วา่ อย่าทารา้ ยคณุ พ่อเรา ๆ นายพรานกกุ กฏุ มิต พร้อมด้วยบุตรได้ยินเช่นน้ันก็ตกใจ คิดว่าเป็นพ่อตา จึงพากันท้ิงธนู ครั้น ทราบความจริงแล้ว จึงกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงอดโทษ คร้ันเมื่อทรงอดโทษให้แล้ว ก็พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่นายพราน พร้อมบุตร-สะใภ้ กระท่ังได้บรรลุโสดาบัน วางอาชญาในสัตว์ทั้ง ปวงตั้งแตบ่ ัดนัน้ เปน็ ตน้ มา กุณฑธานะ, พระ พระกุณฑธานะ ปรากฏในกณุ ฑธานวรรคแหง่ ขทุ ทกนิกาย อปทาน๑๕๑ ในอรรถกถาธรรมบท ปรากฏชอื่ ว่า โกณฑธานเถระ๑๕๒ เนอื้ ความอยา่ งเดียวกัน พระกุณฑธานะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี เดิมช่ือว่า ธานะ เจริญวัย ได้เรียน คมั ภรี พ์ ระเวท ๓ ตอ่ มาไดฟ้ งั ธรรมจากพระพทุ ธเจา้ ในเวลาแก่เฒ่า เกดิ ความเลื่อมใส ไดบ้ วชในพระศาสนา นับตั้งแต่ได้เข้ามาบวชแล้ว รูปหญิงผู้หนึ่งได้ปรากฏติดตามท่านไปทุกแห่ง กระทั่งพระภิกษุสามเณรเกิด ความเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ ท่านเป็นพระทุศีล กระท่ังกลายเป็นเร่ืองใหญ่โต มีการฟ้องร้องให้ขับไล่ท่านออกจาก วัด๑๕๓ สดุ ทา้ ยจงึ ไดม้ ีการสอบสวนต่อหนา้ พระพักตรเ์ รื่องจึงยตุ ิ อรรถกถาได้พรรณนาบุพกรรมของท่านเพิ่มว่า ในอดีตชาติท่านบังเกิดในศาสนาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ได้ถวายกล้วยหวีใหญ่แก่พระพุทธเจ้าผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ด้วย อานิสงส์แห่งกรรมน้ัน ได้เสวยเทวราชสมบัติในหมู่เทพ ๑๑ คร้ัง เป็นเจ้าจักรพรรดิ ๒๔ ครั้ง คร้ันสมัย พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้บังเกิดเป็นภุมเทวดา ได้แกล้งภิกษุผู้เป็นสหาย ๒ รูปให้แตกกันด้วย เพศแห่งสตรี ทาให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเพ่ือนทุศีล ละเมิดพรหมจรรย์ จึงไม่ยอมทาอุโบสถร่วม ครั้น เหน็ ว่าเร่อื งจะบานปลาย ท่านจึงเข้าไปสารภาพ ขอให้อดโทษ พระเถระได้อดโทษให้ และได้กลับคืนดีกัน ดังเดิม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ภุมเทวดาก็ไม่พ้นจากอบายตลอด ๑ พุทธันดร ด้วยเศษวิบากกรรมที่เหลือ ๑๕๑ ขุ.อป. (ไทย) ๒๔/๑/๑๕๐. ๑๕๒ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๔๙. ๑๕๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๕๑.
๖๘ ท่านจึงได้รับวิบากกรรม ปรากฏตัวท่ีไหน มักมีรูปสตรีอยู่ข้าง ๆ ทาให้คนเข้าใจผิด และเกิดความรังเกียจ ภิกษสุ ามเณรพากันเย้ยหยนั ท่านทานองเปน็ พระเหี้ย (ช่วั ) ทา่ นจึงปรากฏนามวา่ กณุ ฑธานะ๑๕๔ อนึ่ง พระกุณฑธานะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศในทางจับสลากได้ก่อน ใครๆ๑๕๕ ทั้งนีเ้ พราะเหตวุ ่า เมื่อมีสลากเกิดข้ึนในหมสู่ งฆ์ ท่านมกั จะจับฉลากได้เป็นคนแรก กุณฑลิยะ,ปรพิ พาชก กุณฑลิยปริพพาชก ปรากฏชื่อในกุณฑลิยสูตร แห่งสังยุตตนิกาย มหาวรรค๑๕๖ ความ พรรณนาไว้ว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอัญชนวัน เมืองสาเกต กุณฑลิยปริพพาชกได้เข้าเฝ้า ทูลถามปัญหาว่า พวกสมณพราหมณ์ส่วนใหญ่ถือการโต้วาทะและการเปลื้องวาทะเป็นอานิสงส์ แล้ว พระองค์มีอะไรเป็นอานสิ งส์ พระพทุ ธเจา้ ได้ตรสั ตอบว่า ตถาคตมวี ชิ ชาและวมิ ตุ ตเิ ป็นผลานสิ งส์ กุณฑลิยปริพพาชกกราบทูลถามต่อว่า ทาอย่างไรจึงจะทาให้วิชชาและวิมุตติสมบูรณ์ พระพทุ ธเจ้าได้วิสัชนาว่า โพชฌงค์ ๗ ท่ีบุคคลเจริญแล้ว ย่อมทาวิชชาและวิมุตติให้สมบูรณ์ ต่อคาถามว่า ทาอย่างไรโพชฌงค์จึงจะเจริญ ทรงวิสัชนาว่า สติปัฏฐาน ๔ ท่ีบุคคลเจริญแล้ว ย่อมทาให้โพชฌงค์เจริญ ต่อคาถามว่า ทาอย่างไรสติปัฏฐาน ๔ จึงจะเจริญ ทรงวิสัชนาว่า สุจริต ๓ ท่ีบุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว ย่อมทาให้สติปัฏฐาน ๔ เจริญ ต่อคาถามว่า ทาอย่างไรสุจริต ๓ จึงเจริญ ทรงวิสัชนาว่า อินทรียสังวรท่ี บคุ คลเจรญิ ทาให้มากแลว้ ยอ่ มทาให้สจุ รติ เจริญ หลังจากตรัสตอบคาถามกุณฑลิยปริพพาชกเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายวิธีการเจริญ องคธ์ รรมแตล่ ะขอ้ ๆ นับตั้งแต่การเจริญอินทรียสังวร สุจริต ๓ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ โดยลาดับ ส้ิน ภาษติ ของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า กณุ ฑลยิ ปริพพาชกเกิดความเล่ือมใส กล่าวชื่นชมภาษิต ประกาศตนเข้าถึง พระรตั นตรัยตลอดชวี ติ กณุ ฑลเกส,ี นาง นางกุณฑลเกสี มาในขทุ ทนกิ าย ธรรมบท๑๕๗ และขุททนกิ าย อปทาน๑๕๘ พรรณนาในรูปร้อย กรอง คมั ภีรแ์ รกปรารภบทธรรมทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ นาง ส่วนคมั ภีรท์ ี่ ๒ กล่าวถึงอดีตชีวติ ประวัติ ในอรรถกถาธรรมบท๑๕๙ มีเนื้อความพรรณนาประวัตโิ ดยสงั เขปดังนี้ กณุ ฑลเกสี เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ มีอายุ ๑๖ ปี รูปสวย เป็นท่ีทัศนาแก่ผู้พบเห็น บิดามารดาให้อยู่บนปราสาทช้ัน ๗ มีทาสีเพียงคนเดียวเท่าน้ันท่ีได้รับอนุญาตให้เป็นผู้บารุงดูแล วันหนึ่ง ราชบุรุษจับโจรผู้ร้ายได้ ใช้เชือกมัดมือไพล่หลัง แห่ประจานรอบเมือง ก่อนเตรียมนาไปประหารชีวิตบน ตะแลงแกง นางกณุ ฑลเกสีชะโงกดูทางหน้าต่าง เห็นหน้าโจรเข้า เกิดมีจิตปฏิพัทธ์อย่างแรงกล้า ได้เข้าไป หาบิดาผเู้ ป็นเศรษฐีพร้อมกับบอกว่า ปรารถนาจะได้โจรผู้นี้เป็นสามี แม้จะถูกบิดาและมารดาห้าม ก็อ้อน วอนครง้ั แล้วครง้ั เลา่ ยื่นคาขาดว่า หากไม่ได้จะขอตาย บิดาเห็นว่า ทาอย่างไรธิดาก็ไม่ยอม ก็เลยส่งคนไป ๑๕๔ ขุ.อป.อ.(ไทย) ๒/๖๙. ๑๕๕ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๑๒/๒๑๑/๒๘. ๑๕๖ ส.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๘๗/๑๒๐. ๑๕๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๐๒/๖๒. ๑๕๘ ขุ.อป.(ไทย) ๒๕/๑๖๑/๔๕๖. ๑๕๙ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๖๐๘.
๖๙ พร้อมห่อกหาปณะด้วยคาพูดว่า จงให้โจรน้ันแก่ฉัน แล้วเอากหาปณะนี้ไป ราชบุรุษรับคาแล้ว มอบโจร ให้แก่เศรษฐี และฆ่าบุรุษอื่นแทน ส่งรายงานไปยังราชสานักว่า ได้ประหารชีวิตโจรแล้ว ฝ่ายเศรษฐีก็ได้ มอบโจรนนั้ ให้แกธ่ ดิ า บาเรอโจรนน้ั ด้วยประการต่าง ๆ ดว้ ยหวงั จะใหย้ นิ ดี คร้นั ต่อมา ๓ วัน โจรกว็ างแผนฆ่าชงิ ทรพั ยห์ นีไป จึงไดท้ าอุบายแกลง้ เปน็ ไม่สบาย นอนอยู่บน เตียง เมื่อนางกุณฑลเกสีสอบถาม ก็แกล้งเล่าความเท็จว่า รู้สึกไม่สบายใจ ได้เคยบนบานต่อหน้าสิ่ง ศักด์ิสิทธ์ิบนเขาลกู หนง่ึ ว่า ถ้าพน้ โทษตาย จะมาเซน่ สังเวย บดั นี้ พน้ จากโทษน้ันแล้ว ยังไม่ได้กระทาตามท่ี เอย่ ปากไว้ จงึ มคี วามทกุ ข์ใจ นางกุณฑลเกสีได้ยนิ เชน่ นน้ั กร็ ับปากจะดาเนินการให้ตามประสงค์ และขอให้ กาหนดวนั เวลา จะไดเ้ ตรยี มการ ครั้นไดเ้ วลานัดหมาย โจรไดข้ อให้นางกณุ ฑลเกสีประดับประดาด้วยอาภรณ์ และสิ่งของท่ีมีค่า จากนั้นกอ็ อกเดินทางไปยงั ภเู ขาลกู หนงึ่ พอมาถึงเชงิ เขา ก็ได้ออกอุบายให้บริวารท้ังหมดอยู่ข้างล่าง จะไป บนเขาเฉพาะตนกบั นางกุณฑลเกสีเท่าน้นั แมน้ างกไ็ มไ่ ด้ขดั ใจ ได้ดาเนินการตามถ้อยคาทุกประการ พอถึง ยอดเขาก็บอกให้สามีทาพลีกรรม โจรไม่ได้ต้องการทาพลีกรรม ได้บอกความประสงค์ว่า แท้จริงแล้ว ต้องการลวงนางมาฆา่ แลว้ ชิงเอาทรัพยส์ มบตั ิไป แม้นางจะอ้อนวอนอย่างไรกห็ ายนิ ยอมไม่ นางกุณฑลเกสีเห็นเช่นนั้นก็เกิดสลดใจ พลางคิดว่า ปัญญาเขาไม่ได้มีไว้แกงกินเม่ือไหร่ จึงได้ วางแผนด้วยการขอร้องว่า ไหน ๆ จะตายแล้ว ก็ขอให้ได้มีโอกาสไหว้ลาเป็นคร้ังสุดท้าย เมื่อโจรอนุญาต แล้ว นางกท็ าประทักษณิ ๓ ครั้ง ไหวใ้ นทศิ ทั้ง ๔ แลว้ กท็ าทา่ ทางร่ายรา สวมกอด ครั้นได้จังหวะก็ผลักโจร ตกลงเหวตาย เมื่อโจรตายแล้ว นางก็คิดว่า หากกลับเรือนก็จะถูกตาหนิลงโทษ จึงได้ตัดสินใจไปบวชใน สานกั ของปรพิ พาชิกา เรียนเอาลทั ธิของคณาจารย์ ไดก้ ลายเป็นนักโต้วาทะท่สี าคัญ เช่ือเสียงปรากฏเป็นที่ เกรงขาม ไมม่ ีใครสามารถโต้วาทะกับนางได้ นางได้เดินทางจาริกไปตามเมืองต่าง ๆ เพ่ือหาคู่ปรับวาทะที่ คู่ควร โดยใช้กงิ่ ไม้หวา้ ปกั ไวเ้ ป็นสญั ลักษณ์ หากใครปรารถนาจะโตว้ าทะกับนางก็ใหเ้ หยียบกงิ่ หว้านั้น หาก กิ่งไมเ้ หี่ยวแล้วไม่มใี ครเหยยี บ นางกจ็ ะท่ีอ่ืน วันหนึ่ง พระสารีบุตรเดินบิณฑบาตแล้ว ออกจากเมืองมา เห็นเด็กยืนล้อมกิ่งหว้า ถามทราบ ความแล้ว จึงส่ังให้เด็กเหยียบก่ิงหว้าน้ัน จากน้ันจึงได้แสดงตัวขอโต้วาทะด้วย นางกุณฑลเกสีได้ขอเป็น ฝ่ายถามคาถามก่อน นางถามวาทะ ๑,๐๐๐ กับพระเถระ แม้พระเถระก็แก้ปัญหาที่นางถามแล้ว ๆ เมื่อ เห็นวา่ หมดปัญหาแล้ว พระสารบี ตุ รจงึ ไดข้ อถามคาถามบ้าง นางกณุ ฑลเกสไี มอ่ าจตอบถามแรกของพระเถระที่ว่า “อะไรช่ือว่าเป็นหนึ่ง” ได้ จึงได้ขอเรียน ด้วย แต่พระเถระก็ปฏิเสธ โดยบอกไปว่า จะสอนให้ก็เฉพาะผู้ที่ถือบวชอย่างท่านเท่าน้ัน และด้วยความ ประสงค์จะเรียนมนต์ นางจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบท ครั้นต่อมา ๒-๓ วัน นางก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พรอ้ มด้วยปฏิสัมภิทา กทุ ทาละ,ครู ครกู ุททาละ เป็น ๑ ในครทู ั้ง ๗ ท่ีพระพุทธเจ้าปรารภถงึ ไดแ้ ก่ ครูสเุ นตต์, ครูมูคปักขะ, ครูอร เนมิ, ครูกุททาละ, ครูหัตถิปาละ, ครูโชติปาละ, และครูอรกะ โดยครูท้ัง ๗ นี้ถือเป็นเจ้าลัทธิที่ปราศจาก ความกาหนัดในกามทั้งหลาย และมีลูกศิษย์หลายร้อยคน ในคัมภีร์ระบุว่า ใครมีจิตประกอบด้วยโทสะ ด่า บริภาษครูทั้ง ๗ นี้ ยอ่ มประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม ทรงเปรียบเทียบต่อไปอีกว่า คนที่ มจี ติ ประกอบด้วยโทสะ ดา่ บรภิ าษอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญมากกว่าการ ดา่ บริภาษครูทง้ั ๗ ขอ้ นี้เปน็ เพราะเทา่ กบั เปน็ การขุดโคน่ คุณความดขี องตนท้งั หมด
๗๐ พระพุทธเจ้ายกอุทาหรณ์เร่ืองนี้ขึ้นมาเพื่อเตือนให้ภิกษุระมัดระวังไม่ให้มีจิตประทุษร้ายใน เพ่อื นพรหมจารีท้ังหลาย๑๖๐ อนึ่ง ในอังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต มีคาถาพรรณนาถึงคุณธรรมของครูท้ัง ๗ ไว้ว่า เป็นผู้หมด กลนิ่ สาบ (ความโกรธ) ม่งุ มน่ั ในกรุณา ล่วงพ้นกามสังโยชน์ คลายกามราคะเสียได้ เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก ท้งั ลกู ศษิ ยก์ ม็ ีคุณสมบัติเดียวกบั อาจารย์๑๖๑ กมุ ภโฆสก,นาย นายกุมภโฆสก ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท พระพุทธเจ้าปรารภถึงเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ประกอบพระคาถาวา่ “ยศ ย่อมเจริญย่อมเจริญแก่บุคคลท่ีมีความขยันหมั่นเพียร มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญกอ่ นทา สารวม ดารงชวี ิตโดยธรรม และไมป่ ระมาท”๑๖๒ ในอรรถกถาธรรมบท๑๖๓ มีเน้ือความพรรณนาไว้ว่า กุมภโฆสก เกิดในตระกูลเศรษฐีชาวเมือง ราชคฤห์ แต่ต่อมาเกิดโรคระบาด จึงได้หนีไปอยู่เมืองอื่น โดยก่อนไป บิดามารดาได้ส่ังเสียว่า หากมีชีวิต อยู่ก็ใหก้ ลบั มา และขุดเอาทรัพย์ ๔๐ โกฏทิ ่ฝี ังเอาไว้เลีย้ งชวี ติ กุมภโฆสกหนีออกจากบ้านไปอาศัยท่ีภูเขาแห่งหน่ึงเป็นระยะเวลา ๑๒ ปี ครั้นเม่ือโรคสงบแล้ว เขาจึงกลับมาบ้านอีกคร้ัง แต่มาในสภาพท่ีไม่มีใครจาเขาได้อีกต่อไป เพราะมีผม และหนวดรุงรังผิดจาก เดิม เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ตรวจดูทรัพย์สมบัติตามเคร่ืองหมายท่ีทาเอาไว้ เม่ือเห็นว่าอยู่ครบก็คิดว่า เวลานี้ไม่มีใครจาเราได้ ถ้าหากขุดเอาทรัพย์สมบัตินี้มาท้ังหมด ก็อาจมีคนเข้าใจผิด หาเร่ืองเอาได้ คิด ดังนั้นก็เปลี่ยนความตั้งใจ ได้ไปสมัครเป็นคนงานรับจ้างในเรือนของคหบดีท่านหนึ่ง โดยทาหน้าที่ปลุก คนงานใหล้ ุกขน้ึ ทางาน เช้าวันหน่ึง พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับเสียงของกุมพโฆสกก็ตรัสข้ึนว่า น่ีเป็นเสียงของคนมี ทรัพย์มาก นางสนมคนหนึ่งได้ยินพระดารัสเช่นน้ันก็คิดว่า ในหลวงคงจะไม่ตรัสเหลวไหล จึงให้คนไปสืบ ได้ความแต่เพียงว่า เป็นคนกาพร้า ทางานรับจ้างเลี้ยงชีวิต แต่พระเจ้าพิมพิสารก็หาทรงเชื่อไม่ โดย ๒-๓ วนั เมือ่ ได้ยนิ เสยี งของกุมพโฆสกอีก กต็ รสั ยา้ เหมือนเดิม นางสนมได้ยินพระดารัสของพระเจ้าพิมพิสารเช่นนั้นก็คิดว่า เราให้คนไปสืบ ได้ความ และทูลให้ ทรงทราบไปแล้ว แต่วันนี้ยังตรัสเหมือนเดิม ไม่ทรงเชื่อตามที่กราบทูล ข้อนี้ต้องมีเหตุ คิดดังนั้นจึงขอ พระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พาธิดาไปสืบขอ้ เท็จจริง และนาทรัพย์ที่มีอยู่ท้ังหมดของกุมพโฆสก มาพระราชทานให้จงได้ พระเจ้าพิมพิสารได้พระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะเพ่ือดาเนินการตาม ประสงค์ นางสนมรบั พระราชทานทรพั ย์แล้ว ให้ธิดานุ่งผา้ เก่าผนื หนง่ึ ออกจากพระราชมณเฑียรพร้อมธิดา น้ัน ทาทีเหมือนคนเดินทางไกล ได้เข้าไปยังถนนซึ่งกุมภโฆสกอาศัยอยู่ อ้อนวอนขอพักแรม ๑ คืน แม้ถูก ห้าม กร็ บเรา้ อยู่บอ่ ย ๆ กระทัง่ ไดพ้ กั แมก้ ุมภโฆสกจะไม่ค่อยพอใจนักก็ตาม วันรุ่งขึ้น เม่ือกุมภโฆสกจะเข้าป่า นางก็เข้าไปขอให้กุมภโฆสกมอบค่าอาหาร โดยอาสาจ ะ ทากบั ข้าวให้ คร้ันถกู หา้ ม ก็รบเรา้ กระท่ังสาเรจ็ เมอื่ ไดท้ รัพย์มาแล้วก็แอบเก็บไว้ นากหาปณะส่วนท่ีได้รับ ๑๖๐ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๑๕/๗๓/๑๖๗. ๑๖๑ อง.ฺ ฉกกฺ .(ไทย) ๑๔/๕๔/๕๓๑. ๑๖๒ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๔/๓๒. ๑๖๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๑๙.
๗๑ พระราชทานมาจัดแจงอาหาร นางได้จัดแจงอาหารเป็นอย่างดี เม่ือเห็นว่ากุมภโฆสกพอใจแล้วก็บอกว่า ยงั เหนอื่ ยล้าอยู่ ขอพกั อกี สัก ๒ วนั นางสนมได้ดาเนนิ การตามแผนทุกประการ ท้ายท่ีสุดสามารถจัดการให้ลูกสาวแต่งงานกับกุมภโฆ สก และนาทรพั ย์ทีก่ ุมภโฆสกขดุ มาแต่ละคร้ังไปทูลเกล้าถวายพระเจา้ พมิ พสิ ารทอดพระเนตร และโปรดให้ มีรับส่ังเรียกกุมภโฆสกเข้าเฝ้า จึงมีพระราชโองการให้พวกราชบุรุษไปถนนที่กุมภโฆสกอาศัยอยู่ และให้ คุมตัวกมุ ภโฆสกมา เม่ือกุมภโฆสกเดินทางมาถึงราชสานักแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็ตรัสถามถึงทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ว่า ทาไมไม่นามาใช้สอย กุมภโฆสกได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่เคยมีทรัพย์ ตนเองเป็นคนกาพร้า รับจ้างเล้ียง ชวี ติ ไปวัน ๆ พระเจ้าพมิ พิสารจึงนากหาปณะที่นางสนมใช้อุบายนามาแสดงให้เขาดู กุมภโฆสกเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกสงสัยว่า กหาปณะของตนมาอยู่ในพระหัตถ์ของพระราชาได้ อย่างไร หันไปมองรอบๆ ก็เห็นนางสนมพร้อมบุตรสาวยืนอยู่ท่ีริมประตู ก็ยอมจานน เมื่อถูกตรัสถามว่า ทาไมทาอย่างนี้ ก็กราบทูลไปตามความเป็นจริงต้ังแต่ต้น พร้อมกราบทูลว่า ถ้าได้พระองค์เป็นท่ีพึ่งก็จะ เป็นการดี พระเจ้าพิมพิสารได้สดับเช่นนั้นก็ทรงรับเป็นที่พึ่ง ทรงรังส่ังให้ราชบุรุษนาเกวียนหลายเล่มไป บรรทุกทรัพย์สมบัติท่ีมีอยู่ทั้ง ๔๐ โกฏิมากองท่ีพระลานหลวง ทรงต้ังกุมภโฆสกไว้ในตาแหน่งเศรษฐี พระราชทานบุตรของนางสนมให้เป็นภรรยา คร้ันจัดแจงทุกอย่างแล้วก็เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับกราบทูลเร่ืองราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ทรงชมเชยการดาเนินชีวิตของกุมภโสกว่า เป็นผู้มีความ ขยันหมั่นเพียร มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทา สารวม ดารงชีวิตอยู่โดยธรรม และไม่ ประมาท๑๖๔ กุลวฑั ฒกะ,นาย กลุ วัฑฒกะ ปรากฏในพระวนิ ยั ปิฎก ไม่มีรายละเอียดเก่ียวกับประวัติส่วนตัวแต่ใด ๆ ในคัมภีร์ พรรณนาไว้แต่เพียงว่า เป็น ๑ ใน ๕ ช่ือเลว ประกอบด้วย อวกัณณกะ, ชวกัณณกะ, ธนิฏฐกะ, สวิฏฐกะ, และกุลวัฑฒกะ๑๖๕ อรรถกถาขยายความวา่ ทั้งหมดเป็นช่ือของทาส ถือเป็นคนช้ันต่า๑๖๖ ถ้าภิกษุใดนาช่ือ ทง้ั ๕ ช่อื เหล่านไ้ี ปกล่าวเสียดสีอุปสัมบันด้วยหวังจะด่า สบประมาท ทาให้เก้อเขินอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้อง ปรบั อาบัตปิ าจิตตียบ์ า้ ง๑๖๗ ต้องอาบตั ิทุกกฎบ้าง๑๖๘ จากหลกั ฐานที่อา้ ง อนุมานได้ว่า กลุ วฑั ฒกะ น่าจะมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของคนท่ัวไป และ พฤติกรรมน่ารังเกียจน้ี เป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย ชื่อน้ีจึงเป็นสัญลักษณ์ของ “คนเลว” การนาช่ือมาเปรียบ เปรยกบั ภกิ ษรุ ปู ใดรูปหนง่ึ จงึ เปน็ การไมบ่ ังควร ถงึ กาหนดโทษทางพระวินัยเอาไว้เช่นนนั้ กฏู ทันตะ,พราหมณ์ ๑๖๔ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒๒๗. ๑๖๕ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒. ๑๖๖ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑๕/๒๕๗. ๑๖๗ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๑๗/๒๐๖. ๑๖๘ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๒๗/๒๑๔.
๗๒ กูฏทันตพราหมณ์ ปรากฏในกูฏทันตสูตรแห่งทีฆนิกาย สีลขันธวรรค๑๖๙ ความพรรณนาไว้ว่า กูฏทนั ตพราหมณ์ ปกครองอยทู่ ีบ่ า้ นขาณมุ ตั ตะ ซง่ึ มีประชากรและสตั วเ์ ล้ยี งมากมาย มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์ ถือเป็นหม่บู ้านทพ่ี ระเจา้ พิมพิสารปูนบาเหนจ็ ให้เปน็ กรณีพิเศษ วนั หนงึ่ กฏู ทนั ตพราหมณ์ส่ังให้คนเตรียมบูชามหายัญด้วยโคเพศผู้ ลูกโคเพศผู้ โคตัวเมีย แพะ และแกะ อย่างละ ๗๐๐ ตัว โดยท้ังหมดถูกนาไปผูกไว้ที่หลักเตรียมฆ่าเพ่ือบูชายัญ ซ่ึงเวลาน้ัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาพักแรมอยู่ท่ีสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้หมู่บ้านขาณุมัตตะ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ชาวบ้านทราบขา่ วจึงไดพ้ ากนั ไปเฝา้ เปน็ จานวนมาก ขณะนั้นกูฏทันตพราหมณ์พักผ่อนอยู่ปราสาทชั้นบน มองเห็นมหาชนกาลังเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ประสงค์จะไปด้วย จึงให้ชลอการประกอบ พิธีกรรมไว้ก่อน ลึก ๆ คือต้องการทูลถามวิธีการบูชายัญท่ีจะทาให้อานิสงส์มาก เพราะกูฏทันตพราหมณ์ เองกท็ ราบมาก่อนว่า พระพุทธเจ้ามีความรู้เรอื่ งยัญพธิ ี ๑๖ ประการเปน็ อยา่ งดี ขณะท่ตี นเองไมร่ ู้ พราหมณ์ในหมูบ่ า้ นขาณมุ ัตตะ ทราบข่าวว่า กูฏทันตพราหมณ์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็พากัน คัดค้าน ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่า กูฏทันตพราหมณ์นั้นเป็นพราหมณ์ช้ันผู้ใหญ่ มีช่ือเสียง มีคนเคารพ นับถือมาก มีชาติตระกูลบริสุทธ์ิทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ขณะที่พระพุทธเจ้ายังเป็นนักบวชหนุ่ม ควรท่ี พระพุทธเจา้ จะเขา้ มาหากูฏทนั ตพราหมณ์มากกว่า กูฏทันตพราหมณ์ได้ยินเช่นน้ันก็คัดค้าน ไม่เห็นด้วย และได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าโดย ประการต่าง ๆ พระพุทธเจ้าอยู่ในฐานะประเสริฐกว่า ไม่ว่าจะโดยพระชาติ โดยศีล โดยวิชชา และจรณะ พระองค์ทรงเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดังนั้น ตนน่ันแหละควรเป็นผู้ไปเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคเจ้า เมื่อกูฏทันตพราหมณ์ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูลถามถึงวิธีการบูชายัญท่ีจะ ผลานิสงส์มาก ในเรื่องน้ี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นแนวทางไว้ โดยยกเร่ืองราวการบูชายัญของพระ เจ้ามหาวิชิตราชในอดีต ๓ ประการ ประกอบด้วย ๑) การพระราชทานพันธ์ุพืชและอาหารแก่พลเมือง ผู้ขะมักขะเม้นในเกษตรกรรมและการเลี้ยงปศุสัตว์ ๒) การพระราชทานต้นทุนแก่พลเมืองผู้ขะมักขะเม้น ในพาณิชยกรรม ๓) การพระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการท่ีขยันขันแข็ง เม่ือทาเช่นนี้ พลเมืองก็จะขยันขันแข็งในหน้าท่ีของตน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ส่งผลให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ทรง กระทาการบูชายัญโดยไมต่ อ้ งเบียดเบยี นบุคคลอ่ืน สัตวอ์ ่นื ให้เดอื ดร้อน แม้ผู้รับวัตถุสิ่งของในพิธีบูชายัญก็ ให้เชิญเฉพาะผู้ประกอบด้วยศีลอันเป็นท่ีรัก ยิ่งเป็นพระอริยบุคคลผู้หมดกิเลสแล้ว ยิ่งทาให้ยัญน้ันมี ผลานสิ งส์อยา่ งย่งิ เกวัฏฏะ,ปุโรหติ เกวัฏฏปุโรหิต ปรากฏในคัมภีร์ขุททกนิกาย ชาดก ความโดยสังเขปว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดใน นิมิตต่าง ๆ รู้สาเนียงของสัตว์ท้ังปวง เช่ียวชาญในคัมภีร์พระเวท เช่ียวชาญในลางบอกเหตุ ในความฝัน ชานาญในการหาฤกษ์หายาม ในการเคลื่อนพลและการเข้าประชิด สามารถรู้โทษและคุณในภาคพื้นดิน และอากาศ ฉลาดในคลองแห่งนักษัตร๑๗๐ (ขุ.ชา.๒๗/๒๔๔/๕๗๕) ส่วนในคัมภีร์อรรถกถา ไม่มีเนื้อหา พรรณนานอกเหนือจากนี้ ๑๖๙ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๓๒๓/๑๒๕. ๑๗๐ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๓๒๓/๑๒๕.
๗๓ เกวฏั ฏะ,บตุ รคหบดี เกวัฏฏะ เป็นบุตรคหบดีท่านหน่ึงในเมืองนาลันทา ความพรรณนาไว้ในเกวัฏฏสูตรแห่งทีฆ นิกาย สีลขันธวรรค๑๗๑ มีเนื้อความโดยสังเขปว่า เกวัฏฏคหบดีบุตร ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขณะ ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เขตเมืองนาลันทา ทูลเสนอแนะให้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ พระภิกษรุ ปู หน่ึงแสดงปาฏหิ าริยเ์ พอ่ื ยังศรัทธาชาวเมอื งให้เจริญย่งิ ๆ เกวฏั ฏะ ได้กราบทูลอย่างน้ีถึงคร้ังที่ ๓ ก็ได้รับการปฏิเสธจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยืนยัน วา่ พระองค์แสดงธรรม มิได้มีจุดประสงค์เพื่อให้ภิกษุสงฆ์อวดอุตตริมนุสสธรรมแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวห่มขาว และทรงยืนยันว่า พระองค์น้ันรู้แจ้งในปาฏิหาริย์ ๓ ประการ ได้แก่ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปฏิหาริย์ และอนุสานียปาฏหิ ารยิ ์ แต่ทรงมองเห็นโทษ จึงไม่ทรงอนญุ าตใหพ้ ระภกิ ษแุ สดงปฏิหาริย์ เกสวะ, ดาบส เกสวดาบส มาในเกสวชาดก แห่งขุททกนิกาย๑๗๒ ปรารภบทธรรมที่ว่า รสทั้งหลายมี ความคุ้นเคยเปน็ อยา่ งยงิ่ อรรถกถาชาดก ขยายความเพ่ิมเติมว่า ในอดีตกาลเม่ือพระเจ้าพรหมทัตตครองกรุงพาราณสี เกสวดาบสหอ้ มลอ้ มดว้ ยดาบส ๕๐๐ รปู เป็นครูของคณะอยู่ในหิมวันตประเทศ มีอันเตวาสิกสาคัญผู้หน่ึง ได้แก่กัปปดาบส ทาให้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างย่ิง ต่อมาเกสวดาบสมีความประสงค์จะเสพรสเปรี้ยวและ รสเค็ม จึงไดพ้ าบรวิ ารไปยงั เมืองพาราณสี พักอย่ใู นพระราชอทุ ยา รงุ่ เชา้ ก็เข้าไปบิณฑบาตในพระนครเพื่อ ภิกขาจาร พระราชาทอดเห็นหมู่ดาบสเหล่าน้ัน ก็นิมนต์มาฉันในพระราชนิเวศน์ คร้ันล่วงถึงกาลฤดูฝน เกสวดาบสก็ทูลลาพระราชา พระราชาได้ตรัสกับเกสวดาบสว่า ท่านชราภาพมากแล้ว ส่งแต่ดาบสหนุ่มกลับไปเถิด ส่วน ท่านพักอยู่ในพระราชนิเวศน์ พระองค์จะเป็นผู้ดูแลอุปัฏฐากเอง เกสวดาบสรับว่าดีแล้ว จึงส่งดาบสท่ี เหลอื ทั้งหมดกลบั ไปยังหมิ วันตประเทศ ตนเองผเู้ ดียวเทา่ นัน้ ยบั ยั้งอยู่ เม่อื กัปปดาบส และดาบสท่ีเหลือกลบั ไปหมดแล้วไมน่ าน เกสวดาบสก็เกดิ ความราคาญใจ ใคร่ จะเห็นกปั ปดาบสแต่ก็ไม่ได้เห็น ทาให้นอนไม่หลับ อาหารท่ีฉันไปก็ย่อยไม่ดี ทาให้เกิดอาพาธ ได้รับความ ทุกขเวทนาอย่างหนัก แม้พระราชาจะส่งหมอหลวงมาดแู ลรักษาอย่างดี อาการก็หาทุเลาไม่ เกสวดาบสจึง ทูลถามว่า มหาบพิตรปรารถนาให้ข้าพระองค์ตาย หรือปรารถนาให้หายจากโรค พระราชาตรัสตอบว่า ปรารถนาให้หายจากโรคซทิ า่ นผูเ้ จริญ เกสวดาบสจงึ ทลู วา่ ถา้ อยา่ งนั้น ขอใหพ้ ระองค์ส่งอาตมภาพกลับไป ยังหิมวันตประเทศ พระราชาตรัสว่า ดีละ ดังน้ีแล้วก็รับให้นารทอามาตย์ พร้อมด้วยนายพรานผู้ชานาญ ทาง นาเกสวดาบสกลับไปยังหมิ วันตประเทศ เกสวดาบสไดพ้ บกัปปดาบสแล้ว โรคทางใจก็สงบ ความกระสันราคาญก็ระงับ เมื่อกัปปดาบส นาข้าวยาคทู ีห่ งุ ดว้ ยข้าวฟา่ ง ผสมลูกเดือย พร้อมด้วยผักที่ราดด้วยน้าเปล่า ไม่เค็ม ไม่ได้อบแก่เกสวดาบส โรคของเกสวดาบสกร็ ะงับ จงึ เปน็ ทีม่ าของภาษิตทวี่ ่า ความค้นุ เคย เป็นรสอย่างยง่ิ ๑๗๓ ๑๗๑ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๔๘๑/๒๑๓. ๑๗๒ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๘๑/๑๙๓. ๑๗๓ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๖๘๖.
๗๔ โกกะ, นายพราน นายโกกะเป็นพรานล่าเน้ือ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรารภเพ่ือประกอบพระคาถาว่า “ผู้ใด ประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน บาปย่อมกลับมาถึงบุคคลนั้น ซึ่ง เป็นคนพาลอย่างแน่แท้ ดจุ ผงธุลีอันละเอียดทบี่ คุ คลซดั ไปทวนลม ฉะนัน้ ” ๑๗๔ ความในคัมภีร์อรรถถา๑๗๕ สรปุ พอสังเขปไดด้ งั นี้ ได้ยนิ ว่า เชา้ วนั หนึง่ นายโกกะถือธนู มีสนุ ัขห้อมล้อมออกไปป่า พบภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตร รูปหน่ึง กาลังเที่ยวบิณฑบาตในระหว่างทาง โกรธแล้ว พลางคิดว่า \"เราพบคนกาลกรรณี วันน้ีจักไม่ได้สิ่ง อะไรเลย\" ดังนี้ จึงหลีกไป ฝ่ายพระเถระเท่ียวบิณฑบาตในหมู่บ้าน ทาภัตกิจแล้วจึงกลับไปสู่วิหาร อีก ฝ่ายนายพรานนอกนี้ เที่ยวไปในป่าไม่ได้อะไรๆ เมื่อกลับมาก็พบพระเถระอีก จึงคิดว่า วันน้ี เราพบ คนกาลกรรณีนี้อีกแล้ว ไปป่าจึงไม่ได้อะไรๆ บัดนี้ เธอได้มาเผชิญหน้าของเราแม้อีก เราจักให้สุนัข ทั้งหลายกัดพระรูปน้ันเสีย ดงั นีแ้ ล้ว จึงใหส้ ญั ญาปลอ่ ยสนุ ัขไปรุมกดั พระเถระ พระเถระรีบข้ึนต้นไม้ต้นหน่ึงโดยเร็ว นั่งในท่ีสูงช่ัวบุรุษหน่ึง สุนัขท้ังหลายก็พากันล้อมต้นไม้ ไว้ นายโกกะไปแล้วร้องบอกว่า \"แม้ข้ึนต้นไม้ก็ไม่มีทางพ้น\" ดังนี้แล้ว จึงแทงพื้นเท้าของพระเถระด้วย ปลายลูกศร พระเถระได้แต่อ้อนวอนว่าอย่าทาอย่างนั้น แต่นายโกกะก็ไม่คานึงถึง กลับแทงกระหน่าใหญ่ พระเถระ เมื่อพื้นเท้าข้างหน่ึงถูกแทงอยู่ จึงยกเท้านั้นข้ึน หย่อนเท้าที่ ๒ ลง แม้เมื่อเท้าท่ี ๒ น้ันถูกแทง อยู่ จงึ ยกเท้านัน้ ขน้ึ เสยี , ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักไม่สามารถจะคุมสติไว้ได้ กระท่ังจีวรหลุดจากตัว ตกลงมาคลมุ นายโกกะต้ังแตศ่ รี ษะทีเดียว เหล่าสุนขั กรูเข้าไปในระหว่างจีวร ด้วยสาคัญว่า \"พระเถระตกลงมา\" ดังน้ีแล้ว ก็รุมกันกัดกิน เจ้าของของตน กระทั่งเหลือแต่กระดูก คร้ันแล้วก็ออกมาจากระหว่างจีวรได้ยืนอยู่ ณ ภายนอก ทีนั้น พระเถระจงึ หักก่งิ ไม้แห้งก่ิงหนงึ่ ขวา้ งสนุ ัขเหล่านั้น เหล่าสุนัขเห็นพระเถระแล้ว รู้ว่าได้กัดกินเจ้าตัวเอง จึง หนีเข้าป่า เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่ว่า “ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส เพียงดังเนิน บาปย่อมกลับมาถึงบุคคลน้ัน ซ่ึงเป็นคนพาลอย่างแน่แท้ ดุจผงธุลีอันละเอียดท่ีบุคคลซัดไป ทวนลม” ดังกลา่ วแลว้ ข้างตน้ โกกนทา, พระธดิ า พระนางโกกนทา ปรากฏในปฐมปัชชุนนธีตุสูตรแห่งสังยุตตนิกาย สคาถวรรค๑๗๖ ความ พรรณนาไว้ว่า พระนางเป็นธิดาของพระเจ้าปัชชุนนะ มีวรรณะงดงาม ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะทรงประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี ได้กล่าวคาถาในสานักพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า “ชนเหล่าใดมีปัญญาทราม เท่ียวติเตียนธรรมอันประเสริฐ ชนเหล่าน้ันย่อมบังเกิดในนรกชื่อโรรุวะอัน ทารณุ เสวยทุกข์ตลอดกาลนาน ชนเหล่าใดมีความอดทน และมีความสงบ เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ ชน เหล่านน้ั ละร่างกายอันเป็นของมนษุ ย์แลว้ จกั บังเกดิ เปน็ เทวดาโดยสมบูรณ์” ในทุติยปัชชุนนธีตุสูตรแห่งสังยุตตนิกาย มีเนื้อความพรรณนาคล้ายกัน พระนางได้เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าขณะทรงประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลีเช่นกัน และได้กล่าว คาถาในสานักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ธรรมมีประมาณเท่าใดท่ีหม่อมฉันศึกษาแล้วด้วยใจ หม่อมฉันจัก ๑๗๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๕/๗๐. ๑๗๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒/๒๙. ๑๗๖ ส.ส.(ไทย) ๑๕/๓๙/๕๔.
๗๕ กล่าวอรรถแห่งธรรมประมาณเท่านั้นโดยย่อ บุคคลไม่ควรทากรรมช่ัวอะไร ๆ ทางกาย ทางวาจา หรือ ทางใจในโลกทั้งปวง บุคคลมีสติสัมปชัญญะ ละกามท้ังหลายได้แล้ว ไม่พึงประสบทุกข์ ซึ่งประกอบด้วย สงิ่ ทไ่ี มเ่ ป็นประโยชน์” ๑๗๗ โกกาลกิ ะ, ภิกษุ โกกาลิกะภิกษุ เป็นภิกษุร่วมคิดกับพระเทวทัตในการทาลายสงฆ์ และมีผู้ร่วมก่อการอีก ๓ ทา่ น ไดแ้ ก่ พระกฏโมรกตสิ สกะ,พระขนั ฑเทวีบุตร, และพระสมุทททัต ตามประวัติพรรณนาไว้ว่า ท่านเป็นบุตรของโกกาลิกเศรษฐี ในนครโกกาลิกะ รัฐโกกาลิกะ บวชอยใู่ นวหิ ารทีบ่ ดิ าสร้างเอาไว้ และเป็นศิษยข์ องพระเทวทัต๑๗๘ เม่ือแรกเร่ิมดาเนินการ พระเทวทัตได้ไปชวน พระโกกาลิกะได้ถามกลับไปว่า พระพุทธเจ้ามี ฤทธานุภาพมากอย่างน้ัน เราจะทาอย่างไรจึงจะประสบผลสาเร็จ พระเทวทัตจึงเอ่ยถึงวัตถุ ๕ ประการ ว่า จะเปน็ เง่ือนไขสาคัญเพื่อดึงภิกษุผู้มีความเห็นคล้ายกันออกมาจากสานักของพระพุทธเจ้า๑๗๙ ซึ่งก็ใช้ได้ผล เพราะหลังจากน้ันไม่นาน ก็มีภิกษุจานวน ๕๐๐ รูป คล้อยตาม และแยกตัวออกมาจากสานักของ พระพุทธเจ้ามาอยู่กับพระเทวทัตต เหตุการณ์คร้ังน้ี พระพุทธเจ้าได้ส่งพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปแก้ไข สถานการณ์ พาพระภิกษุเหลา่ นนั้ กลับคืนมาทั้งหมด ทาให้พระเทวทตั ถึงกับกระอักเลือด๑๘๐ ในโกกาลิกสูตร พรรณนาไว้ว่า พระโกกาลิกะนี้เคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมท้ังกราบทูล พฤติกรรมของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะว่า เป็นผู้มีความปรารถนาชั่ว ตกอยู่ในอานาจของ ความปรารถนาช่ัว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนว่าอย่างกล่าวเช่นน้ัน ขอให้พระโกกาลิกะทาความเล่ือมใสใน พระสารบี ุตรและพระโมคคัลลานะเถิด แตพ่ ระโกกาลกะกห็ าได้ฟงั คาเตือนไม่ ในคัมภีร์เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากกล่าวหาพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ท่านก็ อาพาธ มีตุ่มเล็ก ๆ ผุดเต็มตัว จากนั้นตุ่มเหล่านั้นก็ค่อยโตข้ึนจนกระท่ังแตกออก ทาให้ทั้งตัวเต็มไปด้วย หนองและเลอื ด ต่อมาท่านก็มรณภาพด้วยอาพาธน้ันไปเกดิ ในปทมุ นรก๑๘๑ โกกฏุ ฐะ,พระ พระโกกุฏฐะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นพี่น้องกับพระเมฏฐะ ซึ่งท้ัง ๒ รูป เป็นต้นเหตุของ การบัญญัติห้ามยกพระพุทธพจน์เป็นภาษาสันสกฤต ความในพระสูตรมีพรรณนาไว้ว่า ทั้งสองได้เข้าเฝ้า พระผมู้ พี ระภาค กราบทูลขอให้พระพุทธเจ้ากาหนดใหพ้ ระภิกษุยกพระพุทธพจน์เป็นภาษาสันสกฤตอย่าง เดียวเท่าน้ัน โดยให้เหตุผลว่า ภิกษุท้ังหลายบวชมาจากตระกูลที่แตกต่างกัน อาจจะทาให้พระพุทธพจน์ ผิดเพ้ยี นไปดว้ ยภาษาของตน ๆ จึงควรกาหนดให้ยกเป็นภาษาสันสกฤตเพียงภาษาเดียว พระพุทธเจ้าทรง ตาหนิ พรอ้ มกับบัญญัติสิกขาบทหา้ มภกิ ษุยกพระพุทธพจน์เป็นภาษาสันสกฤต รูปใดละเมิดปรับอาบัติทุก กฎ๑๘๒ ๑๗๗ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๔๐/๕๖. ๑๗๘ อง.ฺ ทสก.อ.(ไทย) ๕/๒๘๒. ๑๗๙ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๔๐๙/๔๔๑. ๑๘๐ วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๔๕/๒๐๗. ๑๘๑ ส.ส.(ไทย) ๑๕/๑๘๑/๒๔๘, อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๘๙/๒๐๐, ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๖๖๒/๖๕๕. ๑๘๒ วิ.จูฬ.(ไทย) ๗/๒๘๕/๗๑.
๗๖ โกฏฐิตะ,พระ พระโกฏฐิตะ เป็นบุตรของอัสสลายนพราหมณ์และจันทวดีพราหมณีในเมืองสาวัตถี เรียนจบ ไตรเพท เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกตามบ้านและนิคม มาถึงหมู่บ้านที่อัสสลายนพราหมณ์อาศัยอยู่ ได้ ทรมานพราหมณจ์ นคลายทิฏฐิมานะ และหันมานบั ถอื พระรัตนตรัยตลอดชีวติ แม้โกฏฐิตะเมื่อเห็นบิดาหัน มานับถือพระรตั นตรยั กห็ นั มานบั ถือตาม คร้ันได้ฟงั ธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดความเล่ือมใส ได้ขอ บรรพชาอปุ สมบท โดยมพี ระสารีบตุ รเปน็ อปุ ชั ฌาย์ พระมหาโมคคลั ลานะเป็นอาจารย์ ได้บรรลุธรรมขณะ เปล่ยี นผา้ นงุ่ ห่มอยา่ งคฤหัสถ์มาเปน็ ผ้ากาสาวะ นอกจากน้ีพระโกฏฐิตะยังเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงอีก รูปหนงึ่ ในบรรดาสาวกของพระพุทธเจา้ ๑๘๓ เร่ืองราวของพระโกฏฐิตะ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง เช่น ในโกฏฐิตสูตร พรรณนา ถึงพระสารีบุตรได้ถามปัญหากะพระโกฏฐิตะว่า อวิชชาเป็นอย่างไร ทาไมคนจึงตกอยู่ในอวิชชา พระโกฏ ฐิตะตอบว่า เพราะไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงในคุณ โทษ และเครื่องสลัดออกจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เรียกว่า อวิชชา๑๘๔ ในสีลวันตสูตร พรรณนาความท่านเข้าไปหาพระสารีบุตร ได้ เรียนถามปัญหาว่า ภิกษุผ้มู ศี ลี ควรมนสกิ ารธรรมใด ได้รับคาตอบว่า ควรมนสิการอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ โดย ความเป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดุจหัวฝี ดุจลูกศร เป็นของลาบาก เป็นอาพาธ เป็นอย่างอ่ืน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นอนัตตา๑๘๕ เป็นต้น ความส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการสนทนา หรือ ถาม-ตอบปัญหากับพระสารีบุตร บางปัญหา เป็นปัญหาสาคัญที่ถกเถียงกันมากในสมัยพุทธกาล เช่น ปัญหาเรื่องการตายแล้วเกิด หรอื ว่าตายแลว้ สญู ๑๘๖ เปน็ ต้น พระโกฏฐิตะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้แตกฉานใน ปฏิสมั ภทิ า๑๘๗ โกณฑธานเถระ,พระ ดู พระกณุ ฑธานเถระ พระโกณธานเถระปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท พระพุทธเจ้าปรารภถึงเพื่อตรัสพระคาถา สง่ั สอนใจความวา่ ไมค่ วรกล่าวคาหยาบต่อใคร ๆ การโต้เถียงกนั เป็นทุกข์ นามาซึ่งการทาร้ายโต้ตอบ ควร ทาตนให้นิ่งเหมือนกังสดาลท่ีตัดขอบปากออกแล้ว จึงจะสามารถบรรลุนิพพานได้ การโต้เถียงก็จะหมด ไป๑๘๘ ความในอรรถกถาธรรมบท พรรณนาเพ่ิมเติม สรุปใจความโดยสงั เขปดงั ต่อไปนี้ ท่านเกดิ ในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวตั ถี เดิมชื่อว่า ธานมาณพ เมือ่ เจริญเติบโตแล้ว ได้ เข้าศกึ ษาวิทยาตามธรรมเนยี มของพวกพราหมณ์จนจบไตรเพท ตอ่ มาได้รับการบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ต้ังแต่วันท่ีท่านได้อุปสมบท ก็ปรากฏว่า มีมหาชนได้พบเห็นรูปหญิงสาวรูปหน่ึงเท่ียวติดตามไปข้างหลังของท่าน แต่ตัวท่านเองมองไม่เห็นรูปน้ัน ๑๘๓ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๑๔๔/๑๘๓. ๑๘๔ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๓๒๘/๒๒๗. ๑๘๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑๒๒/๒๑๕. ๑๘๖ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๑๓/๔๘๐. ๑๘๗ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๘/๒๘. ๑๘๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๓๓/๗๓.
๗๗ คร้ันท่านเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ชาวบ้านได้ถวายภิกษาแก่ท่านสองส่วนแล้วพูดว่า ส่วนน้ีถวายท่าน สาหรบั สว่ นนใ้ี ห้หญงิ สาวสหายของท่าน ตัง้ แต่นั้นมาพวกมนษุ ยจ์ ึงพากันเรยี กท่านว่า โกณฑธานะ ภกิ ษผุ ูไ้ มร่ คู้ วามจรงิ เมือ่ เห็นอาการเชน่ น้ันก็เกดิ ความรงั เกียจ กลัวความเสียหายจะเกิดแก่พวก ตนดว้ ย จงึ แจง้ ใหอ้ นาถปณิ ฑิกเศรษฐีขบั ไล่ทา่ นออกจากวัดไปเสยี เมื่ออนาถปิณฑิกเศรษฐีไม่ขับ ก็บอกแก่ นางวิสาขา แม้นางวิสาขาก็ไม่ขับไล่เช่นกัน พวกภิกษุเหล่านั้นจึงถวายพระพรให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรง ทราบ และดาเนนิ การขบั ไล่ทา่ นออกไปเสียจากแว่นแควน้ พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบเรื่อง จึงเสด็จไปสู่พระวิหารด้วยพระองค์เองทรงพิสูจน์จนทราบว่า หญิงสาวท่ีมองเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่าน้ัน ไม่ใช่คน จึงเกิดความเลื่อมใส รับส่ังให้ท่านเข้าไป บิณฑบาตในพระราชวัง และบารุงด้วยปัจจัยสี่ พวกภิกษุเห็นดังนั้นก็กลับติเตียนทั้งพระราชาและพระ โกณฑธานะ พระโกณฑธานะโกรธจึงกล่าวโต้ตอบพวกภิกษุเหล่าน้ันบ้าง ความทราบถึงพระบรมศาสดา พระองค์จึงทรงตาหนิแล้ว ทรงห้ามมิให้พวกภิกษุกล่าวตอบโต้กันและกัน และทรงแสดงเร่ืองรูปของหญิง สาวน้นั ให้พวกภกิ ษไุ ดท้ ราบความจริง แล้วได้แสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนด้วยคาถาสองคาถาดังได้กล่าว แล้วข้างต้น ในเวลาจบเทศนาท่านพระโกณฑธานะตั้งอยู่ในโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอน ตั้งใจ บาเพ็ญความเพยี รจนได้บรรลุพระอรหัตตผล๑๘๙ ต่อมาพระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายผู้จับสลากเป็นปฐม๑๙๐ คร้ันท่านพระโกณฑธานเถระมีชวี ติ อยู่อยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วกด็ ับขนั ธปรินิพพาน โกณฑัญญะ,พระ พระโกณฑัญญะ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล เกิดท่ี บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจาก กรุงกบิลพัสดุ์ การศึกษา เรียนจบไตรเพท และรู้ตาราทานายลักษณะ เป็น ๑ ในพราหมณ์ ๘ คนที่ได้รับ เชญิ มาทานายลักษณะ โดยท่านไดท้ านายเพยี งคติเดียวคือ พระกุมารจะออกผนวช และได้เป็นศาสดาเอก ในโลก ขณะที่พราหมณ์ ๗ คนท่ีเหลือมีทานายเพ่ิมอีกคติหน่ึงคือ ถ้าอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้า จกั รพรรดิ ต่อมาเม่ือทราบพระราชกุมารเสด็จออกผนวชและบาเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ จึงได้ชักชวน พราหมณ์อีก ๔ คน คือ ๑) วัปปะ ๒) ภัททิยะ ๓) มหานามะ และ ๔) อัสสชิ ซึ่งเป็นบุตรของพราหมณ์ใน จานวน ๑๐๘ คน ที่ได้รับเชิญไปเลี้ยงอาหารในพระราชพิธีทานายพระลักษณะ รวมเป็น ๕ คนด้วยกัน เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ ได้ออกบวชติดตามรับใช้ใกล้ชิดด้วยคิดว่า ถ้าพระองค์ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว จะได้ เทศนาส่งั สอนตนให้ไดบ้ รรลธุ รรมนนั้ บ้าง ความโดยละเอียดมาในปัญจวัคคียกถาแห่งวินัยปิฎก มหาวรรค (วิ.มหา. ๔/๑๐/๑๕) ความ สงั เขปดังต่อไปนี้ ภายหลังทรงเลิกบาเพ็ญทุกกรกิริยา หันมาบาเพ็ญเพียรทางจิต โกณฑัญญะหมดความ เล่ือมใสเพราะเข้าใจว่า กลับมาเป็นคนมักมาก จึงได้ชวนเพื่อนหนีไปอยู่ท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวง เมืองพาราณสี ท้ิงพระพุทธเจ้าไว้ลาพังเพียงพระองค์เดียว ครั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัม พทุ ธเจา้ แลว้ ทรงตัดสินพระทัยทจี่ ะแสดงพระธรรมเทศนา อันดับแรกทรงคิดถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร ๑๘๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๗๖. ๑๙๐ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๐๖.
๗๘ และอุทกดาบส รามบุตร แต่ท่านทั้งสองได้ถึงแก่กรรมแล้ว จึงทรงคิดถึงปัญจวัคคีย์ จึงได้เสด็จไปยังป่า อิสิปตนมฤคทายวนั เพื่อแสดงธรรมโปรด ฝ่ายปัญจวัคคีย์ คร้ันเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกล คิดว่าคงจะมาหาคนอุปัฏฐาก จึงนัด หมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ต้อนรับ ไม่รับบาตรและจีวรของพระองค์แต่ได้ปูอาสนะเอาไว้ แต่พอพระพุทธ องค์เสด็จไปถงึ กลับลืมกติกาท่ีได้ทากันไว้ เพราะความเคารพท่ีเคยมีต่อพระองค์ ทั้งหมดได้ลุกข้ึนต้อนรับ และทาสามีจิกรรม เหมือนท่ีเคยปฏิบัติมา แต่ยังสนทนากับพระองค์ด้วยถ้อยคาอันไม่เคารพโดยการออก พระนาม และใช้คาว่า อาวุโส พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้ใช้คาพูดอย่างน้ัน และตรัสบอกว่า พระองค์ได้ บรรลุอมตธรรมแล้ว ขอให้ปัญจวัคคีย์ทั้งหลายตั้งใจฟัง และปฏิบัติตามท่ีพระองค์สอน ไม่ช้าจะได้บรรลุ อมตธรรมนน้ั ปญั จวคั คียไ์ ด้ปฏเิ สธพระพทุ ธองค์ถงึ ๓ ครง้ั ว่า พระองคเ์ ลกิ ความเพยี รแล้วจะบรรลุอมตธรรม ได้อย่างไร พระพุทธองค์จึงได้ทรงเตือนสติพวกเขาว่า เม่ือก่อนน้ีท่านท้ังหลายเคยได้ฟังคาท่ีเราพูดนี้บ้าง ไหม ทาให้พวกเขาระลึกได้ว่า พระวาจาเช่นนี้ พระองค์ไม่เคยตรัสมาก่อนเลย จึงยอมฟังพระธรรมเทศนา พระพุทธองคจ์ ึงไดท้ รงแสดงพระธรรมเทศนา ชื่อ ธัมมจักกปั ปวัตนสูตรอนั เปน็ ปฐมเทศนาแกพ่ วกเขา ในเวลาจบพระธรรมเทศนา โกณฑัญญะเกิดธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมว่า “ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมี ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิงน้ันท้ังหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา”๑๙๑ ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล เพราะ เกิดธรรมจักษุน้ี พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ๆ ท่านจึงได้ช่ือว่า อญั ญาโกณฑัญญะ ตง้ั แต่บัดน้ัน๑๙๒ เม่อื โกณฑญั ญะได้เหน็ ธรรม บรรลธุ รรม รธู้ รรมหมดความสงสัยในคาสอนของพระศาสดาแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสานักของ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจง ประพฤตพิ รหมจรรย์ เพอ่ื ทาทส่ี ดุ ทกุ ข์โดยชอบเถิด การอปุ สมบทอย่างนี้เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่าน ได้เปน็ ภกิ ษุรปู แรกในพระพทุ ธศาสนา ครั้นพระพุทธองค์ทรงส่ังสอนปัญจวัคคีย์อีก ๔ ท่านให้ได้ดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุโสดาบัน แลว้ ทรงประทานอุปสมบทด้วยเอหภิ กิ ขุอุปสัมปทาเช่นเดียวกนั วนั หน่งึ ตรสั เรียกทง้ั ๕ รูปมาตรัสสอนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นอนัตตาไม่ใช่เป็นอัตตา เพราะถ้า เป็น อัตตา แล้วไซร้ ก็จะไม่เปน็ ไปเพื่ออาพาธ (เจ็บป่วย) และต้องได้ตามปรารถนาว่า ขอจงเป็นอย่างนี้ จงอย่า เปน็ อยา่ งนน้ั แตเ่ พราะทัง้ ๕ นน้ั เปน็ อนตั ตา ใคร ๆ จงึ ไมไ่ ดต้ ามปรารถนาของตนว่า ขอจงเป็นอย่างนี้ จง อย่าเป็นอย่างน้ัน ทั้ง ๕ รูปได้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ทุกชนิดไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ส่ิงนั้น และส่ิงนั้นก็ไม่ใช่ตัวของเรา จึงเบื่อหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เม่ือหน่ายย่อมหมดกาหนัด ครั้นหมดกาหนัด ย่อมหลุดพ้น สิ้นพระธรรม เทศนา ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ รูปจึงไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล พระธรรมเทสนาน้ีช่อื อนัตตลักขณสูตร๑๙๓ พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นกาลังสาคัญรูปหน่ึงในการช่วยประกาศพระศาสนา เพราะท่าน เปน็ หนึง่ ในบรรดาพระอรหันต์ ๖๐ รูป ท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนาคร้ังแรกด้วย ๑๙๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๔/๑๖/๒๔. ๑๙๒ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๑๗/๒๕. ๑๙๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๔/๒๐/๒๗.
๗๙ พระพทุ ธดารัสวา่ ดูกอ่ นภกิ ษุทั้งหลาย เธอทงั้ หลายจงเทยี่ วจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความ สุขแก่ มหาชน เพือ่ อนเุ คราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพอ่ื เก้ือกูล เพ่อื ความสขุ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย๑๙๔ ผลงานท่สี าคัญของท่านคือ ทาให้นายปุณณะ บุตรของนางมันตานี ผู้เป็นหลานชายได้บวชใน พระพทุ ธศาสนา๑๙๕ ซึง่ ต่อมาได้เป็นกาลงั สาคัญในการช่วยประกาศพระศาสนา มีกุลบุตรบวชในสานักของ ท่านจานวนมาก พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เลิศกว่าภิกษุท้ังหลาย ผู้ รัตตัญญู๑๙๖ อรรถกถาขยายความว่า หมายถึง รู้ราตรีนาน คือบวช รู้แจ้งธรรม และเป็นพระขีณาสพ ก่อนพระสาวกทงั้ หลาย๑๙๗ อนึ่ง ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอัญญาโกณฑัญญะได้เห็นพระ ศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหน่ึงไว้ในตาแหน่งเลิศกว่าภิกษุท้ังหลาย ผู้รัตตัญญูรู้แจ้งธรรมก่อนใคร ๆ จึง ปรารถนาฐานันดรน้ัน แล้วได้ทาบุญมีทาน เป็นต้น พระปทุมุตตรศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนาของ เขาจะสาเร็จแนน่ อน จึงได้พยากรณ์วิบากสมบัติของเขา จนมาถึงศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระ นามว่า วิปัสสี เขาไดเ้ กดิ เปน็ กุฏุมพี ช่ือว่า มหากาล ได้ถวายทานอันเลิศ ๙ ครั้ง ด้วยบุญญาธิการดังกล่าว จึงได้รับเอตทคั คะน้จี ากพระบรมศาสดา พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ช่วยพระบรมศาสดาประกาศพระศาสนาอยู่ระยะหน่ึง บ้ันปลาย ชีวิต ไดท้ ูลลาเขา้ ไปอยูใ่ นป่าหิมวันต์ จาพรรษาอยูท่ ่ฝี ง่ั สระฉัททนั ต์ ๑๒ พรรษา เมื่อกาลจะปรินิพพานใกล้ เข้ามา จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ขอให้ทรงอนุญาตการปรินิพพาน แล้วกลับไปยังที่น้ัน ปรินิพพานด้วยอนุ ปาทิเสสนิพพานธาตุ โกนาคมนะ, พระพทุ ธเจา้ เป็นอดีตพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในตระกูลพราหมณ์ในภัทรกัป พระบิดาทรงพระนามว่ายัญญ ทัตตพราหมณ์ พระมารดาทรงพระนามว่าอุตตรา อุบัติข้ึนในเมืองโสภวดี มีพระราชาทรงพระนามว่า โสภะ๑๙๘ เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หน่ึงที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงว่า พรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์นี้ต้งั อย่นู าน ไดแ้ ก่ พระกกสุ นั ธะ และพระโกนาคมนะ เพราะพระพุทธเจ้าท้ังสองพระองค์นี้ไม่วาง พระทัยในการส่ังสอน ทรงหมั่นตรวจสอบวาระจิตของภิกษุท้ังหลาย ท้ังทรงบัญญัติพระวินัย แสดงพระ ปาฏโิ มกขอ์ ย่างม่ันคง๑๙๙ ในคัมภีร์พุทธวงศ์ ได้พรรณนาไว้อีกว่า ทรงครองเรือนอยู่ ๓,๐๐๐ ปี มีพระมเหสีชื่อรุจิคัตตา มีพระโอรสช่ือสัตถวาหะ ครั้นต่อมาทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ ได้เสด็จออกผนวช บาเพ็ญสมณธรรม ๖ เดือน ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใต้ต้นมะเดื่อ มีพระภิยโยสเถระและพระอุตตรเถรเป็นพระอัคร สาวก มีพระโสตถชิ ะเปน็ พุทธอปุ ฏั ฐาก พระวรกายสงู ๓๐ ศอก อายุขยั ๓๐,๐๐๐ ปี๒๐๐ ๑๙๔ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๑๙๕ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๓๐. ๑๙๖ องฺ.เอกก. ๒๐/๑๘๘/๒๕. ๑๙๗ อง.ฺ เอกก.อ.(ไทย) ๑/๑๘๘/๑๒๒. ๑๙๘ ขุ.พทุ ธ.(ไทย) ๓๓/๑๗/๗๐๙. ๑๙๙ วิ.ม.(ไทย) ๑/๑๘/๑๐. ๒๐๐ ขุ.พุทธฺ .(ไทย) ๒๒/๒๖/๗๑๐.
๘๐ โกมารยิ บุตร, ฤาษโี พธิสตั ว์ โกมารยิ บตุ ร มาในโกมาริยชาดก แหง่ ขทุ ทกนกิ าย ชาดก๒๐๑ สาเหตุทตี่ รสั ชาดกเรื่องน้ี มาจาก การเล่นคึกคะนองของภิกษุกลุ่มหน่ึง ความในอรรถกถา๒๐๒ พรรณนาไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับบน ปราสาทชน้ั บน ภกิ ษุเหล่านนั้ นั่งอยู่บนปราสาทชน้ั บาท ต่างนาเรอื่ งทตี่ นเหน็ หรอื ได้ยนิ มาแลว้ มาเล่าตลก คะนอง หวั เราะเฮฮา พระผูม้ พี ระภาคทรงได้ยิน มีพระประสงค์จะให้ภิกษุเหล่าน้ันสลดใจ จึงรับสั่งให้พระ มหาโมคคลั ลานะไปจัดการ พระมหาโมคคลั ลานะเหาะข้นึ ไปบนยอดปราสาท เอาปลายน้ิวแม้เท้ากระทุ้งยอดปราสาท ทา ใหป้ ราสาทส่นั สะเทอื นเหมือนแผ่นดนิ ไหว ภิกษเุ หล่านั้นมีความเกรงกลัว จึงได้ออกมายืนอยู่นอกปราสาท ทาให้เป็นที่โจทย์ขานถึงพฤติกรรมการเล่นตลกคะนองของ อาศัยเหตุดังกล่าว พระผู้มีพระภาคจึงตรัส ชาดก ปรารภพระโพธสิ ตั ว์เมือ่ คร้ังเสวยพระชาตเิ ป็นโกมารยิ บุตร ได้ออกบวชเป็นฤาษีบาเพ็ญภาวนาอยู่ใน ปา่ หมิ วนั ตประเทศ ครั้งน้ันพวกดาบสมักคะนองพวกหนึ่งอาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศน้ัน ดาบสเหล่านั้น วัน ๆ ไม่ได้บาเพ็ญภาวนา สาละวนอยู่กับการหาผลไม้ ได้มาก็เคี้ยวกิน หัวเราะ สนุกสนาน ในสานักของดาบส เหล่านน้ั มีลิงตวั หนึ่ง แมล้ ิงน้นั ก็เลน่ คึกคะนองเหมอื นอยา่ งดาบสเหลา่ นน้ั วันหน่ึง ดาบสเหล่านั้นได้เข้าเมืองเพ่ือเสพรสเปร้ียวและรสเค็ม พระโพธิสัตว์จึงได้มาอาศัยท่ี ดาบสเหล่าน้ันเคยอยู่ ลิงเห็นพระโพธิสัตว์ก็แสดงอาการคึกคะนองเหมือนแสดงแก่ดาบสเหล่านั้น พระ โพธิสัตว์เห็นเช่นน้ันก็ดีดน้ิว ให้โอวาทแก่ลิงว่า ธรรมดาผู้อยู่ในสานักบรรพชิต ควรสารวมระมัดระวัง อาจาระ สารวมกาย วาจา ขวนขวายในการบาเพ็ญภาวนา ตั้งแต่นั้นมา ลิงก็ได้อยู่ในโอวาทของพระ โพธสิ ัตว์ โกมาริยบุตรฤาษีโพธิสัตว์ พักแรมอยู่พอสมควรแล้วก็จากไป ต่อมาดาบสผู้คึกคะนองได้ กลับมายังท่ีน้ัน ลิงเห็นไม่ได้แสดงอาการเคารพเหมือนอย่างก่อน ดาบสเหล่าน้ันสงสัย จึงได้ถามว่า ทาไม ไม่ทาเหมือนอย่างแต่ก่อน ลิงได้เล่าความจริงทั้งหมดตั้งต้นแต่โกมาริยบุตรได้มาพักแรมท่ีน่ี ได้สั่งสอน มารยาทที่ดงี าม ให้ต้งั อย่ใู นฌาน ดาบสเหล่าน้ันได้ยินลิงกล่าวเช่นน้ันก็เอ่ยข้ึนเชิงตาหนิ และเหยียดหยามว่า คนหว่านพืชบน ก้อนศิลา ต่อให้ฝนตกลงมา พืชก็ไม่เจริญงอกงาม ความหมดจดแห่งฌานถึงเจ้าจะฟังมา เจ้าก็ยังไกลจาก ภมู ฌิ านมากนัก พระผู้มีพระภาคเจ้า คร้ันแสดงชาดกจบ ก็ประมวลสรุปว่า ดาบสผู้คึกคะนองในคร้ังนั้นก็คือ ภิกษผุ ู้คึกคะนองเหล่านี้ ส่วนโกมารยิ บุตร กค็ ือพระองค์เอง๒๐๓ โกรัพพยะ, พระเจ้า พระเจ้าโกรัพพยะ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง พระไตรปิฎก และอรรถกถา ภาษาไทยบางแห่งเขียนว่า โกรัพยะ ก็มี เน้ือหาในคัมภีร์มีทั้งท่ีเป็นบุคคลร่วมสมัยพุทธกาล และโพ้นสมัย ๒๐๑ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๔๙๖/๑๒๕. ๒๐๒ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๓๕๙. ๒๐๓ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๓๖๓.
๘๑ เช่น พระเจ้าโกรัพพยะผเู้ ป็นบดิ าของพระโพธิสัตว์ ครองเมืองอินทปัตถ์ แคว้นกุรุ ในอรรถกถามหาสุตโสม จรยิ า๒๐๔ พระเจา้ โกรัพพยะผู้เคยเป็นอดีตชาตขิ องพระอานนท์ ในอรรถกถาธูมการชิ าดก๒๐๕ ประวัตพิ ระเจา้ โกรัพพยะท่เี ปน็ บคุ คลรว่ มสมัยพุทธกาล ไม่มีรายละเอียดเก่ียวกับพระองค์มาก นัก พระราชประวัติในรัฏฐปาลสูตร๒๐๖ ปรากฏแต่เพียงว่า พระองค์มีความประสงค์จะพักผ่อนที่พระราช อุทยานมิคจีระ จึงรับส่ังให้นายมิควะไปทาความสะอาด นายมิควะหลังจากทาความสะอาดเสร็จแล้วก็ได้ กลับมากราบทูลรายงานให้ทรงทราบ ว่าพระราชอุทยานสะอาดเรียบร้อยแล้ว และเวลานี้พระรัฏฐบาล ไดม้ าพักแรมในพระราชอุทยาน พระเจ้าโกรพั พยะทรงรู้จักพระรัฏฐบาลเป็นการส่วนพระองค์ และเคยตรัสชื่นชมเนือง ๆ เม่ือ ทราบวา่ ทา่ นออกบวช และมาพกั แรมท่ีพระราชอทุ ยานเชน่ น้ัน จึงรับส่ังให้ตระเตรียมของเคี้ยวของบริโภค จากนั้นจึงเสด็จไปยังพระราชอุทยาน เมื่อเสด็จไปถึงแล้วก็ทรงรับสั่งให้ลาดเครื่องลาด นิมนต์ให้พระรัฏฐ บาลนั่ง แต่พระรัฏฐบาลก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนเองนั่งที่เหมาะสมแล้ว จากนั้นก็เชื้อเชิญให้พระเจ้า โกรัพพยะประทบั นั่งตามพระราชอัธยาศยั พระเจา้ โกรัพพยะครั้นประทับนั่งแลว้ ก็ตรสั กับพระรัฏฐบาลว่า โดยปกติ คนที่ออกบวช เท่าที่ ทรงทราบมักจะมาจากสาเหตุ ๑) มีอายมุ าก ทามาหากินลาบากแล้ว ๒) เจ็บไข้ได้ป่วย ทามาหากินลาบาก แลว้ ๓) เสือ่ มจากทรัพย์สมบัติ และ ๔) เส่ือมจากญาติพี่น้อง ไม่มีใครดูแล ส่วนพระคุณเจ้า ยังหนุ่มแน่น สุขภาพก็ยังแข็งแรง ทั้งเกิดในตระกูลคหบดีมีทรัพย์มาก แม้ญาติพี่น้องก็มีมาก แต่เหตุไฉนจึงได้สละกอง โภคทรพั ยเ์ หล่าน้นั ออกบวช พระรฏั ฐบาลไดถ้ วายพระพรไปว่า สาเหตุที่ได้ออกบวช เป็นเพราะได้ฟังธรรมุเทส ๔ ประการ จากพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ได้แก่ ๑) โลกถกู ชรานาไป ไม่ยัง่ ยนื ๒) โลกไม่มีผตู้ า้ นทาน ไม่เป็นอิสระ ๓) โลกน้ี ไม่มีอะไรเป็นของตน จาต้องสละสิ่งนั้นไป และ ๔) โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่ง ตณั หา๒๐๗ พระเจ้าโกรัพพยะทรงสดับธรรมุเทส ๔ ประการแล้ว ก็ทรงซักถามรายละเอียดแต่ละข้อ ๆ กระท่ังเป็นที่พอพระทัยแล้วก็ช่ืนชม และทรงอนุโมทนากับพระรัฏฐบาล ทั้งทรงสรรเสริญพระรัตนตรัย สมควรแก่เวลาก็เสดจ็ พระราชดาเนินกลบั โกลติ ะ, มาณพ โกลติ ะ เป็นชือ่ ของพระมหาโมคคลั ลานะ (ดรู ายละเอยี ดในพระมหาโมคคลั ลานะ) โกสยิ ะ,พราหมณ์ โกสยิ พราหมณ์มาในสาลิเกทารชาดกแหง่ ขทุ ทกนิกาย ชาดก๒๐๘ คัมภรอ์ รรถกถามเี น้ือความ พรรณนาโดยสงั เขปดังต่อไปน้ี๒๐๙ ๒๐๔ ขุ.จรยิ า. (ไทย) ๙/๓/๕๐๘. ๒๐๕ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๕/๓/๔๐๘. ๒๐๖ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๓/๓๖๐. ๒๐๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๐๕/๓๖๔. ๒๐๘ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๗/๔๒๕. ๒๐๙ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๖/๓๕๒.
๘๒ ในอดีตกาลเม่ือพร ะเจ้ ากรุงมคธ รอง ราช สมบัติในพระน ครราช คฤห์ ทางทิ ศ ตะวันออกเฉียงเหนือพระนครมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งช่ือสาลินทิยะ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านน้ัน เป็นไร่ของโกสิยพราหมณ์ เนอื้ ทีป่ ระมาณ ๑,๐๐๐ กรสี หว่านข้าวสาลเี อาไว้ และมอบหมายให้คนเฝ้าดูแล ประจาคนละ ๕๐ กรีสบ้าง ๖๐ กรีสบ้าง โดยปลูกกระท่อมไว้ให้ในที่น้ัน ๆ ทาหน้าที่เฝ้าดูแลท้ังกลางวัน และกลางคนื ทางทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื ของไร่ มีป่างิว้ อยูท่ ีภ่ ูเขามยี อดราบแห่งหน่ึง นกแขกเต้าหลายร้อย ตวั อาศัยอยู่ทปี่ า่ งิว้ นัน้ พระโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นลูกพญานกแขกเต้าในฝูงนกแขกเต้านั้น เมื่อเติบใหญ่มีรูปร่างงดงาม มีกาลังมาก เม่ือบิดาแก่เฒ่า ได้มอบความเป็นใหญ่ให้พระโพธิสัตว์น้ัน คร้ันเมื่อถึงเวลาออกหาเหยื่อ พระ โพธิสตั ว์ใหบ้ ิดาผแู้ ก่เฒา่ พกั อยู่ทปี่ า่ ตนพร้อมด้วยบริวารกอ็ อกหาเหยื่อ เม่อื กินเสร็จแล้วก็จะคาบเหย่ือมา ป้อนบดิ าเป็นประจา คนเฝา้ ไร่สังเกตเห็นเชน่ นัน้ จงึ ไดน้ าความไปแจง้ โกสิยพราหมณว์ ่า มีฝูงนกแขกเต้าจานวนมาก มากินข้าวสาลีเสยี หาย ซ้ามีนกแขกเตา้ ตวั หนงึ่ กินด้วยตัวเองยังไม่พอ ยังคาบเมล็ดข้าวสาลีเต็มปากบินไป อกี ดว้ ย สร้างความเสียหาย ยากท่ีจะป้องกัน โกสิยพราหมณไ์ ดย้ นิ เชน่ นนั้ จงึ ส่งั ให้คนงานทาแรว้ ดกั วันน้ันนกแขกเต้าโพธิสัตว์ทราบว่าเท้าตนเองถูกบ่วง แต่ก็ไม่ได้เอะอะโวยวายให้ลูกฝูงทราบ ให้นกแขกเต้าทุกตัวกินอิ่มแล้ว ก็ทาสัญญาณ ๓ คร้ังให้รู้ว่าตนติดบ่วงแล้ว นกแขกเต้าที่เหลือได้บินหนี ทัง้ หมด พญานกแขกเต้าโพธิสัตว์ได้ราพึงในใจว่า บรรดานกแขกเต้า ไม่มีแม้ตัวเดียวท่ีหันกลับมาเหลียวดู เรา คงจะเป็นบาปเป็นกรรมของเรา คนเฝ้าสวนได้ยินเสียงเอะอะของนกแขกเต้าท่ีกาลังบินข้ึน และพญานกแขกเต้าท่ีกาลังด้ิน เพราะติดบ่วง ก็รบี มาดู เห็นพญานกแขกเต้าโพธิสัตว์นอนติดบ่วงอยู่ จึงได้จับ และปลดบ่วง นาไปมอบให้ โกสยิ พราหมณ์ โกสิยพราหมณเ์ หน็ นกแขกเต้าโพธิสัตว์แล้วก็เกิดความเมตตา จึงได้ถามว่า ทาไมจิกกินข้าวใน ไร่แล้วยังไม่พอ ยังจะคาบเต็มปากเอาไปอีก เจ้าเป็นศัตรู หรือมีเวรต่อเราหรืออย่างไร ? นกแขกเต้า โพธิสัตว์ได้ยินเช่นน้ันก็ตอบว่า ไม่ได้เป็นศัตรูหรือมีเวรกับท่านหรอก แต่เอาไปใช้หนี้เก่า ให้เขากู้หนี้ใหม่ และฝังขุมทรพั ยไ์ วท้ ี่ปา่ งิว้ น้ัน โกสิยพราหมณไ์ ด้ยนิ เชน่ นนั้ กส็ งสัย จงึ ได้ถามความหมาย นกแขกเต้าได้ช้ีแจงว่า ท่ีบอกว่านาไปใช้หน้ีเก่าน้ัน หมายความว่า เอาไปเล้ียงดูบิดามารดาท่ี แกช่ ราแลว้ เอาไปให้เขาก้หู นี้ใหม่ หมายความว่า ลูกน้อยของตน ปีกยังไม่ขึ้น ไม่สามารถหาอาหารเองได้ จึงต้องเลี้ยงดู ส่วนฝังขุมทรัพย์ไว้ หมายความว่า ท่ีป่าง้ิวมีนกทุพพลภาพ มีปีกร่วง ไม่สามารถช่วยเหลือ ตัวเองได้ ข้าพเจ้าปรารถนาบุญ จงึ ไดน้ าไปให้แก่นกเหล่านนั้ โกสิยพราหมณ์ได้ยินเช่นนั้น เกิดความเล่ือมใส จึงได้มอบไร่สาลี ๑,๐๐๐ กรีส ให้แก่นกแขก เต้าโพธิสัตว์พร้อมบริวาร แต่พระโพธิสัตว์ได้มอบคืนท้ังหมด รับไว้เพียง ๘ กรีสเท่าน้ัน โกสิยพราหมณ์ได้ ทาหลักจารกึ ปกั เขตไว้ บูชาพระโพธสิ ัตวแ์ ล้วก็ปลอ่ ยไป นกแขกเต้าโพธิสัตว์ได้กลับมาที่ป่าง้ิว แจ้งเร่ืองราวท้ังหมดให้บิดามารดาทราบ ดารงชีวิตอยู่ ตามอัตภาพตราบจนส้นิ อายุขัย
๘๓ โกสยิ ะ, เศรษฐี โกสิยเศรษฐี ปรากฏในขทุ ทกนิกาย ธรรมบท๒๑๐ พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพระคาถาธรรมบท ว่า “ภมรไม่ทาลายดอก สี และกล่ิน ดูดแต่น้าหวานไป ฉันใด มุนี พึงเที่ยวไปในหมู่บ้านฉะนั้น” ความใน อรรถกถา๒๑๑ พรรณนาไวโ้ ดยสงั เขปดังน้ี โกสิยเศรษฐี อาศัยอยู่ที่ตาบลสักกระ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แต่เป็นคน ตระหน่ีมาก ไม่เคยให้อะไรแก่ใคร ๆ โดยที่สุดแม้น้ามันหยดเดียว เขาไม่ทั้งบริโภคเอง และไม่ยังทรัพย์ สมบตั ทิ มี่ อี ยใู่ ห้เกิดประโยชนแ์ กค่ นเหลา่ อื่น วันหนึ่ง เขากลับมาจากการบารุงพระราชาในราชสานัก ระหว่างทางได้เห็นชาวบ้านผู้หนึ่ง กาลังทอดขนมเบ้ือง คร้ันกลับมาเรือนก็ไม่กล้าบอกใคร ด้วยเกรงว่า เมื่อคนอื่นรู้ ก็จะพากันอยากกินกับ ตน และต้องสิ้นเปลืองเงินทองหาถั่ว งา ข้าวสาร เนยใส และน้าอ้อย จึงได้แต่ข่มความอยากเอาไว้ เมื่อ เวลาผา่ นไปก็ซูบผอม กระน้นั กย็ ังไมก่ ลา้ บอกใหใ้ ครทราบ เข้าไปในหอ้ งนอนทุกข์อยู่ ภรรยาทราบข่าว จึงเข้าไปลูบหลังแล้วถามว่า ไม่สบายหรือ ก็ได้รับคาตอบว่า ไม่ใช่ คร้ัน สอบถามไปมา ก็ได้ความว่า สามีอยากทานขนมเบื้อง ภรรยาถึงกับย้อนถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะไม่ คิดว่า เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ จะทาให้สามีถึงกับนอนขดบนเตียงอยู่หลายวัน เม่ือทราบความจริงแล้ว ภรรยาก็ปรารภข้ึนวา่ ไม่ตอ้ งห่วง แคข่ นมเบ้ือง จะทาเล้ยี งหมดท้ังหมบู่ ้าน โกสิยเศรษฐีได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจ จึงพูดขัดไปว่า ทาไมต้องเลี้ยงพวกนั้นด้วย เขาทางาน ของเขา เขาก็ควรกินของเขา ภรรยาได้ยินก็ผ่อนเสียงลงว่า ถ้าอย่างน้ัน จะทาให้พอกินเฉพาะในซอย เดียวกัน เศรษฐีได้ยินก็พูดขัดอีกว่า รวยนักหรือ ? ภรรยาได้ยินก็เอ่ยข้ึนอีกว่า ถ้าเช่นน้ันก็เอาแค่เฉพาะ บ้านใกล้ ๆ เศรษฐีได้ยินก็พูดข้ึนอีกว่า เขารู้หรอกว่าเธอเป็นคนใจกว้าง สรุปไม่ว่าภรรยาจะพยายามลด จานวนลง เศรษฐกี ย็ งั คงไมพ่ อใจ สดุ ทา้ ยจึงเหลอื แค่ทาใหเ้ ศรษฐีรับประทานคนเดียว เมื่อได้ข้อยุติเช่นน้ัน ในวันทาขนมเบื้อง เศรษฐีก็ส่ังทาสีนาอุปกรณ์ไปทาขนมเบื้องที่ปราสาทช้ัน ๗ จากน้ันก็ไล่ลงปราสาท ทัง้ หมด ปดิ ประตู ลงกลอน เหลือไว้เพียงตนกับภรรยาเท่านั้น ฝ่ายภรรยาก็เตรียมจัดแจงทอดขนมเบื้องให้ เศรษฐี ในวันท่ีภรรยาเศรษฐีทาขนมเบื้อง พระพุทธเจ้าได้ตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ เห็นเศรษฐี และภรรยาอยู่ในข่ายแห่งพระญาณ จึงได้มอบหมายให้พระมหาโมคคัลลานะไปทรมานเศรษฐีให้ส้ินพยศ นาขนมเบื้องมาถวายพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปท่ีวัด พระมหาโมคคัลลานะรับพระดารัสแล้ว ก็เหาะไป ปรากฏอยทู่ ่ีช่องหน้าตา่ งปราสาทช้นั ๗ โกสิยเศรษฐีเหน็ เชน่ นนั้ ก็ไม่พอใจ พดู ประชดไปว่า ต่อให้ท่านเดินจงกรมไปมาบนอากาศ ท่าน กจ็ ะไมไ่ ดอ้ ะไร พระเถระได้เดนิ จงกรมไปมาอยู่ เศรษฐเี หน็ กพ็ ูดไปอีกว่า ต่อให้นั่งบนบัลลังก์ก็จะไม่ได้อะไร เหมือนกัน พระเถระก็น่ังบนบัลลังก์ เศรษฐีเห็นก็พูดต่อไปอีกว่า ต่อให้มายืนบนธรณีหน้าต่างก็จะไม่ได้ อะไร พระเถระก็ทาอย่างนั้น เมื่อเศรษฐีพูดต่อไปว่า ต่อให้บังหวนควัน ก็จะไม่ได้อะไร พระเถระก็ บังหวนควัน เศรษฐีไม่กล้าพูดต่อว่า ต่อให้ทาไฟให้โพลงก็จะไม่ได้อะไร เพราะกลัวไฟไหม้เรือน ถูกควัน เสียดแทงนัยน์ตา ได้รับความทุกข์ทรมาน คิดว่า หากพระเถระไม่ได้อะไร ก็คงไม่หยุด จึงบอกให้ภรรยา ทอดขนมเบอ้ื งถวายพระเถระช้ินเล็ก ๆ สักช้ิน แป้งท่ีนางหยิบใส่กระทะแม้นิดเดียว ได้กลายเป็นแผ่นขนม เบอ้ื งใหญ่ เศรษฐสี งสยั จึงตักใส่เอง แผ่นขนมเบ้ืองกลายเป็นใหญ่กว่าเดิม เมื่อโกสิยเศรษฐีจึงสั่งให้ภรรยา ๒๑๐ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๔๙/๔๒. ๒๑๑ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๔๙.
๘๔ หยิบแผ่นเล็ก ๆ ถวายพระเถระ ขนมเบื้องก็ติดเป็นแผ่นเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แม้จะ ชว่ ยกันดงึ ก็ไม่เป็นผลสาเรจ็ เศรษฐีหมดความอดทน ได้พูดกับภรรยา ถวายพระเถระไปท้ังหมดเถิด เราไม่ ต้องการขนมเบ้ืองแล้ว ภรรยาจึงได้นาขนมเบ้ืองถวายพระเถระ พระเถระได้แสดงธรรมให้เศรษฐี และ ภรรยาฟงั ทาให้เศรษฐีเกิดความเลอ่ื มใส ไดน้ มิ นตใ์ หพ้ ระเถระเข้าไปนั่งฉันในบ้าน พระเถระได้บอกเศรษฐี ไปว่า เวลานี้ พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป รออยู่ท่ีพระเชตวัน ให้นาขนมเบื้องไปถวาย พระองค์เถิด พระมหาโมคคลั ลานะได้นาเศรษฐี พร้อมดว้ ยภรรยา ไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ด้วยกาลังแห่ง ฤทธ์ิ ได้ถวายขนมเบ้ืองแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปในโรงฉัน พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทาภตั กจิ เสรจ็ แลว้ ก็ไดแ้ สดงธรรมใหเ้ ศรษฐแี ละภรรยาฟัง กระทั่งได้สาเร็จเป็นพระโสดาบัน สละ ความตระหนี่ ยังทรพั ยใ์ หเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อพระพทุ ธศาสนาตงั้ แต่นัน้ เป็นตน้ มา โกสยิ ายน,ี นาง นางโกสิยายนี ปรากฏในราธชาดก ขุททกนิกาย๒๑๒ อรรถกถาพรรณนาความในคัมภีร์ปรารภ พระภิกษุรูปหนึ่งกระสันอยากสึก เพราะถูกภรรยาเก่าเล้าโลมให้สึก จึงทรงตรัสสอนให้เข้าใจถึงธรรมชาติ ของหญิง จากน้ันก็ยกอดีตชาติของภิกษุนั้นเม่ือยังเสวยชาติเป็นพราหมณ์พ่อค้า มีภรรยาโกสิยายนี ซ่ึงแม้ จะทาการปอ้ งกัน แต่ไมส่ ามารถปอ้ งกันไมน่ างประพฤตินอกใจได้๒๑๓ ความสงั เขปดงั นี้ นางโกสิยายนี เป็นภรรยาของพราหมณ์พ่อค้าผู้หน่ึง นางเป็นคนช่ัว ไม่มีมารยาท ประพฤติ นอกใจสามี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นนกแขกเต้าช่ือโปฏฐปาทะ อาศัยอยู่ในเรือนของพราหมณ์ น้ันกับนกผู้น้องชายช่ือราธะ เม่ือพราหมณ์ออกเดินทางไปค้าขายต่างถ่ิน ได้ฝากฝังให้นกแขกเต้าทั้งสอง คอยดูแล และตักเตอื นนางพราหมณีหากเห็นนางประพฤติไม่ดี เม่อื พราหมณอ์ อกไปนอกบ้านแล้ว นางพราหมณโี กสิยายนีก็ประพฤตนิ อกใจ นาผู้ชายเข้าบ้าน ไม่เวน้ แต่ละวัน นกราธะเหน็ พฤติกรรมเช่นนั้นก็ปรึกษากับนกโปฏฐปาทผู้เป็นพ่ีว่า ควรจะได้ตักเตือนตาม คาของพราหมณ์ แต่นกโปฏฐปาทผู้เป็นพี่ได้กล่าวห้ามไว้ ด้วยเห็นว่าไม่เหมาะ และจะเป็นอันตราย จึงได้ ปลอ่ ยเลยตามเลย รอจนกระท่ังพราหมณก์ ลับมา จึงไดเ้ ลา่ ความจรงิ ให้ฟงั ทง้ั หมด คร้นั เล่าความจรงิ ใหพ้ ราหมณฟ์ ังหมดแลว้ นกแขกเตา้ โพธสิ ตั ว์กับน้องก็อาลาจากไป ด้วยเกรง จะไม่ปลอดภัยสาหรบั ชวี ติ ข ขทริ วนยิ เรวตะ,พระ พระขทิรวนิยเรวตะ ชื่อเดิมคือ เรวตะ เป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ กับนางสารีพราหมณี มี ศักด์ิเปน็ น้องรว่ มอทุ รกบั พระสารีบตุ ร๒๑๔ ได้ช่ือว่าขทิรวนิยเรวตะ เพราะท่านอาศัยอยู่ในป่าสะแกมีหนาม ขาว (ขทระ แปลวา่ ไมต้ ะเคียนก็มี) และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะว่าเลิศกว่า ภิกษุทัง้ หลายผู้อยู่ปา่ เป็นวัตร๒๑๕ ๒๑๒ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๔๕/๕๙. ๒๑๓ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๒/๕๗๘. ๒๑๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๘๕. ๒๑๕ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๐๓/๒๗.
๘๕ อรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบทพรรณนาไว้ว่า นับต้ังแต่พระสารีบุตรพาน้องชาย และน้อง หญิงไปบวช เหลอื เพยี งเรวตะผเู้ ดยี ว นางสารีพราหมณีกไ็ ม่ค่อยวางใจ เกรงวา่ พระสารีบุตรจะพาน้องชาย คนสุดท้องไปบวชอีก จึงได้จับแต่งงานตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ วันส่งตัวบ้านเจ้าสาว ญาติได้ทาพิธี และอวยพร ทานองใหถ้ ือไมเ้ ทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชรเหมือนคุณยาย เรวตะก็ถามว่า คนไหนเป็นยาย ญาติก็ชี้ไป ทห่ี ญิงชราวยั ๑๒๐ ปี ซึ่งเปน็ ยายของเจา้ สาว เกิดความเบือ่ หน่าย นึกถึงพระสารีบตุ รผเู้ ป็นพ่ีชายว่า คงจะ เห็นเหตุน้ีกระมังจึงได้ออกบวช จึงได้ออกอุบายหนีไปบวชกับพระกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในป่าซ่ึงเป็นสัทธิวิหาริก ของพระสารีบุตรผู้เป็นพ่ีชาย หลังจากบวชแล้ว ก็เกรงว่าญาติ ๆ จะตามค้นหาพบ จึงได้เรียนกัมมัฏฐาน จากพระเถระในป่านนั้ แลว้ ก็ปลีกตวั ไปอยูท่ ีป่ ่าสะแก ห่างออกไป ๓๐ โยชน์ สามเณรเรวตะได้ทาความเพียร และภายในพรรษานั้นเองก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระสารีบุตร เม่ือทราบว่าน้องชายออกบวชแล้ว ก็มีความประสงค์จะไปเยี่ยม แต่ได้ถูก พระผู้มีพระภาคเจ้ายับยั้งไว้ เพราะมีพระประสงค์จะเยี่ยมเช่นกัน ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงได้ เสดจ็ ออกไปเยย่ี มสามเณรเรวตะ พรอ้ มด้วยภกิ ษุ ๕๐๐ รปู สามเณรเรวตะ ทราบข่าวพระผู้มีพระภาคจะเสด็จมาเย่ียม ก็เนรมิตพระคันธกุฎีสาหรับพระผู้ มพี ระภาคเจ้า เนรมิตเรือนยอดที่จงกรม ที่พักกลางวัน และท่ีพักกลางคืนรับรองสาหรับเหล่าภิกษุ ๕๐๐ รปู พระศาสดาไดป้ ระทับอยู่ที่ป่าสะแกสิ้นระยะเวลากึ่งเดือน บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูป ภิกษุแก่ ๒ รูป ในเวลาที่พระศาสดาเสด็จเข้าสู่ป่าไม้สะแก ก็เกิด ความคดิ ว่า เรวตะสรา้ งส่ิงกอ่ สร้างมากมายอย่างน้ี จะมีเวลาบาเพ็ญสมณธรรมที่ไหน ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ มาก็เป็นเพราะทรงเห็นว่าเปน็ น้องพระสารีบุตร มเิ ช่นน้ันก็คงไม่เสด็จมา พระศาสดาทราบความดาหริของ ภิกษุ ๒ รูป ในเวลาเดินทางกลับ จึงทรงอธิฐานให้เธอท้ังสองลืมสัมภาระ เพ่ือจะได้กลับไปเห็นสภาพป่า หลังจากท่ีสามเณรเรวตะคลายฤทธิ์แล้ว ส่วนภิกษุ ๒ รูป เม่ือกลับเข้ามาอีกคร้ัง ก็พบแต่ป่าไม้สะแก และ เห็นสัมภาระของตนหอ้ ยอยบู่ นก่ิงไม้ หลังจากออกจากที่พักของสามเณรเรวตะแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พาภิกษุท้ังออกเดินทาง ส้ินระยะทางอีกก่ึงเดือนก็เสด็จถึงบุพพาราม อารามที่นางวิสาขาสร้างถวาย ทรงประทับอยู่ในบุพพาราม นน้ั โดยไดร้ บั การอปุ ถมั ภบ์ ารุงจากนางวิสาขาเปน็ อยา่ งดี นางวิสาขาครน้ั ไดส้ อบถามถงึ ทีอ่ ยู่ของเรวตะ กลุ่มหน่ึงก็บอกว่า ท่ีอยู่ของเรวตะน้ันมีแต่หนาม เหมอื นที่อยู่ของเปรต ขณะท่ภี กิ ษุอกี กลุ่มหน่งึ บอกวา่ ที่ของเรวตะเหมือนทิพยวิมาน ท่ีตกแต่งด้วยฤทธ์ิ ไม่ อาจพรรณนาได้ เกิดความสงสัย จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกคร้ัง เพราะปรารภเรื่องนี้เป็น เหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรุปว่า พระอรหันต์อยู่ในสถานท่ีใด จะเป็นบ้าน ป่า ที่ลุ่ม ที่ดอนก็ตาม ท่ี นั่นย่อมเป็นรมณยี สถาน๒๑๖ อน่งึ ในมหาโคสิงคสตู ร มีปรารภเร่ืองทัศนะของพระมหาเถระที่มีต่อป่าโคสิงควันในยามราตรี จันทร์กระจ่างเช่นน้ีงามเหมือนอะไร ? พระเรวตะได้แสดงทัศนะไว้ว่า “งามเหมือนภิกษุผู้หลีกเร้น หม่ัน ประกอบความเพยี รเคร่ืองระงับจติ ไม่เหินหา่ งจากฌาน ประกอบดว้ ยวปิ ัสสนา เพิม่ พนู เรอื นวา่ งอยู่๒๑๗ ๒๑๖ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๕๙๐. ๒๑๗ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๓๔/๓๖๘.
๘๖ ขณั ฑเทวะ, พระ พระขันฑเทวะ ปรากฏเพียงแห่งเดียวในฆฏิการสูตร แห่งสังยุตตนิกาย สคาถวรรค พระคาถา พรรณนาถงึ พระขนั ฑเทวะว่าเป็น ๑ ในบรรดาพระเถระท่ีรับการพยากรณ์ว่า หลังจากละอัตภาพนี้ไปแล้ว ได้ก้าวล่วงโภคะอันเป็นทพิ ย์๒๑๘ รายนามพระเถระท่กี ลา่ วถงึ ในคาถานปี้ ระกอบด้วย ท่านอุปกะ, ท่านผลคัณฑะ, ท่านปุกกุสาติ , ท่านภทั ทิยะ, ท่านขัณฑเทวะ, ท่านพหทุ นั ตี, และทา่ นสงิ คยิ ะ ขัณฑเทวบี ุตร, ภิกษุ เป็น ๑ ในพระภิกษุทีอ่ ยใู่ นฝักฝ่ายของพระเทวทัต ประกอบด้วย พระโกกาลิกะ, พระกฏโมรก ติสสกะ,พระขันฑเทวบี ตุ ร, และพระสมทุ ททัต หลักฐานช้ันบาลี และอรรถกถา ช่ือของท่านปรากฏอยู่ในฐานะผู้ร่วมก่อการทาสังฆเภท แต่ ไม่ได้ระบบุ ทบาทใด ๆ เป็นการเฉพาะไว้ ขชุ ชตุ ตรา, นาง นางขุชชตุ ตรา เปน็ ลูกสาวของหญิงแม่นมในเรือนโฆสกเศรษฐี ในกรุงโกสัมพี เป็นหญิงพิการ หลังค่อม ต่อมาเมื่อโฆสกเศรษฐีได้ยกนางสามาวดีผู้เป็นหญิงกาพร้าให้อยู่ในฐานะเป็นธิดาของตนแล้ว ได้ มอบหญงิ ๕๐๐ คนให้เป็นบริวารของนางด้วย และนางขุชชุตตราก็ได้เป็นบริวารของนางด้วยเช่นกัน เมื่อ นางสามาวดีไดร้ ับการอภิเษกเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งเมืองโกสัมภี หญิงบริวารทั้งหมดก็ได้ติดตาม เข้าไปรับใช้นางในพระราชนิเวศน์ด้วย และพระเจ้าอุเทนได้พระราชทานทรัพย์ ๘ กหาปณะ แก่นางขุช ชุตตราเพ่ือจัดซื้อดอกไม้ให้แก่นางสามาวดีทุกวัน นางขุชชุตตรา รับกหาปณะแล้วก็ไปยังเรือนของนาย มาลาการ รับดอกไมม้ าบารุงนางสามาวดเี ปน็ ประจา วันหน่ึงนายมาลาการมีภารกิจเลี้ยงพระ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน จึงได้ร้องขอให้นางขุช ชุตตราช่วยจัดแจงการงานของตนก่อนแล้วค่อยเอาดอกไม้ไป ทาให้นางได้มีโอกาสฟังธรรมจาก พระพทุ ธเจา้ และไดบ้ รรลโุ สดาบนั วันอนื่ ๆ นางขุชชุตตราไดท้ รัพยม์ า ๘ กหาปณะ แต่ซ้ือดอกไม้เพียง ๔ กหาปณะเท่านั้น ส่วน อีก ๔ กหาปณะ นางก็แอบเก็บไว้ แต่วันน้ี นางบรรลุโสดาบัน เกิดความละอาย ไม่ละเมิดศีลอีกต่อไป ได้ ซ้ือดอกไม้ท้ัง ๘ กหาปณะ นาส่งมอบให้นางสามาวดี ทาให้นางสามาวดีเกิดความแปลกใจ จึงได้สอบถาม ว่า พระราชาเพิ่มค่าดอกไม้ให้หรืออย่างไร นางขุชชุตตราได้แจ้งตามความเป็นจริงว่า วันก่อนๆ ตนได้โกง เงนิ คา่ ดอกไมไ้ ปวันละ ๔ กหาปณะ แต่วนั นีไ้ ดฟ้ งั ธรรมจากพระศาสดาแล้วบรรลธุ รรม นางสามาวดี ได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้ตาหนินางขุชชุตตราแต่อย่างใด แต่กลับสนใจอยากจะได้ฟัง ธรรมเหมือนอย่างท่ีนางขุชชุตตราได้ฟัง จึงขอร้องให้นางแสดงธรรมให้แก่ตนฟังบ้าง นางขุชชุตตราจึงขอ อนุญาตนางสามาวดีอาบน้าก่อน หลังจากอาบน้าเสร็จแล้ว นางสามาวดีก็ได้ประทานผ้าสาฎกเนื้อเกล้ียง ๒ ผืน ใหน้ างน่งุ ผืนหน่ึง ห่มผืนหน่ึง ให้นั่งบนอาสนะ ให้นาพัดอันหนึ่ง นั่งบนอาสน จับพัดอันวิจิตร เรียก มาตุคาม ๕๐๐ คนมาแล้ว แสดงธรรมแก่หญิงเหล่าน้ัน โดยทานองท่ีพระศาสดาแสดงแล้ว หญิงแม้ เหล่านั้นก็ได้บรรลุโสดาบัน หญิงแม้ทั้งปวงเหล่าน้ันไหว้นางขุชชุตตราแล้ว ก็กล่าวว่า จาเดิมแต่นี้ ท่าน อย่าได้ทาการงานรับใช้อีกต่อไป จงดารงอยู่ในฐานะแห่งมารดา และอาจารย์ ไปยังสานักของพระศาสดา ๒๑๘ส.สคา. (ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔.
๘๗ ฟังธรรมที่พระศาสดาแสดงแล้ว จงนามากล่าวแก่พวกเรา นางขุชชุตตราได้ทาปฏิบัติอย่างนั้น ต่อมาได้ กลายเปน็ ผู้เช่ียวชาญพระไตรปิฎก ต่อมาพระศาสดาได้ทรงต้ังนางขุชชุตตราไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าบรรดาอุบาสิกา ทัง้ หลายผ้เู ปน็ ธรรมกถึก๒๑๙ อนึ่ง หญิง ๕๐๐ เหล่าน้ัน เม่ือได้บรรลุโสดาบันแล้ว ก็ปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระศาสดา จึงได้ ขอรอ้ งให้นางขุชชตุ ตราพาเข้าเฝ้า แตน่ างขชุ ชตุ ตราเกรงวา่ จะมีภัยแกต่ น จึงไม่สามารถสนองเจตนาได้ ทา ได้เพียงแค่แนะนาให้เจาะฝาห้องให้พอนาของหอม และระเบียบดอกไม้ถวายพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จพระ ดาเนนิ ผา่ นเท่าน้ัน ซ่ึงต่อมาเหตุการณ์ดังกล่าวก็กลายเป็นช่องทางให้นางมาคันทิยากล่าวให้ร้ายนางสามา วดตี ่อพระเจา้ อุเทนวา่ ประพฤตนิ อกใจ และกลายเป็นเร่อื งบานปลายกระท่ังเป็นท่ีมาของการลอบวางเพลิง ฆา่ นางสามาวดีพร้อมดว้ ยบริวารทง้ั ๕๐๐ ในเวลาตอ่ มา ในอรรถกถาธรรมบทยังระบุต่อไปอีกว่า สาเหตุท่ีนางขุชชุตตราเกิดเป็นหญิงหลังค่อม เพราะ ในอดีตชาติเคยล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าหลังค่อมองค์หน่ึง และที่ต้องมาเกิดเป็นหญิงรับใช้ เพราะ อดีตชาติเคยใช้นางภิกษุณีผู้เป็นพระอรหันต์ให้หยิงของให้ และในส่วนที่นางได้บรรลุธรรม ทรง พระไตรปิฎก มีปัญญามาก เพราะบุพกรรมท่ีได้เคยถวายวลัยรองบาตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ หนึ่ง๒๒๐ เขมา, ภกิ ษณุ ี พระเขมาภิกษุณีบังเกิดในราชสกุล ตระกูลกษัตริย์ พระบิดา พระนามว่า พระเจ้ามัททราช กรุงสาคละ แควน้ มัททะ มีพระนาม ว่า พระนางเขมา ทรงมีวรรณะดั่งทอง มพี ระฉวีเสมือนทอง พระนางเจริญวัยเป็นราชกุมารีแล้ว ก็ไปเป็นพระเทวีของพระเจ้าพิมพิสาร ครั้งเมื่อพระ ศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันก็ยังเป็นผู้มัวเมาในพระรูปพระโฉม ทรงเกรงว่าพระศาสดาจะทรงแสดง โทษในรปู จงึ ไมเ่ สดจ็ ไปเฝ้าพระศาสดา. พระราชาโปรดสั่งให้ผู้คนทั้งหลายเท่ียวประกาศพรรณนาพระเวฬุวัน ทาให้พระเทวีทรงเกิด ความคิดท่ีจะไปชมพระวิหาร พระนางไม่ปรารถนาพบพระพุทธเจ้า แต่ก็ได้ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาจนได้ พระศาสดาทรงเห็นพระเทวีนั้นกาลังเสด็จมา ทรงเนรมิตหญิงคล้ายนางเทพอัปสรด้วยฤทธิ์ ทาให้ถือพัด ใบตาลถวายงานพัด และนิมิตให้เห็นหญิงน้ัน ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยว ล้มกล้ิงลงพร้อมกับพัดใบตาล พระนางพิจารณาตามแล้ว ตงั้ อยูใ่ นโสดาปัตติผล หลังจากนนั้ ทรงขอให้พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุญาตแล้ว ทรงผนวชได้ ๗ เดือนแล้วบรรลุพระ อรหัต เป็นผ้ชู านาญในฤทธิใ์ นทิพโสตธาตแุ ละเจโตปริยญาณ รชู้ ัดปพุ เพนวิ าสญาณชาระทิพจกั ษุให้บริสุทธิ์ มอี าสวะทง้ั ปวงหมดสน้ิ แล้ว บัดนภ้ี พใหม่ไมม่ อี กี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาพระเถรี ไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเพราะเป็นผู้มีปัญญา มากกว่า และเปน็ อัครสาวกเบือ้ งขวา คาสัง่ สอนของพระศาสดา. ๒๑๙ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๑๙๙. ๒๒๐ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๑๔.
๘๘ ขุชชโสภติ ะ, พระ พระขุชชโสภิตเถระ ในคัมภีร์ระบุไว้แต่เพียงว่าเป็นชาวเมืองปาฏลีบุตร เป็นผู้กล่าวธรรมได้ อย่างวิจิตร และเป็นพหุสูต๒๒๑ ในอรรถกถาขยายความอีกว่า อดีตชาติท่านเกิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เกิดความเลื่อมใส จึงได้กล่าวชมเชยด้วยคาถา ๑๐ คาถา ด้วย อานสิ งส์แหง่ กรรมนัน้ ได้เวียนวา่ ยตายเกิดในเทวโลกและมนุษยโลก ครั้นพระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นแล้ว ได้บงั เกดิ ในตระกลู พราหมณ์ ในเมอื งปาฏลบี ุตร มีนามวา่ โสภิตะ ด้วยความที่หลังค่อมเล็กน้อย จึงได้นาม ว่า ขุชชโสภิตะ คร้ันเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานาแล้ว ได้บวชในสานักของพระอานนท์ ได้บรรลุอภิญญา ๖๒๒๒ ความในอรรถกถายงั พรรณนาตอ่ ไปอกี วา่ เม่ือคราวทาสังคายนาครง้ั ท่ี ๑ พระขุชชโสภิตเถระ ได้รับบัญชาจากสงฆ์ไดไ้ ปนิมนตพ์ ระอานนท์เถระเข้าร่วมประชุมสังคายนา ท่านได้ดาดินลงไปโผล่ขึ้นเบ้ือง หน้าพระอานนท์เถระ กราบเรียนใหท้ ่านทราบแลว้ กล็ ว่ งหน้ามาโผล่ทถี่ ้าสตั ตบรรณคหู า๒๒๓ เขมะ เขมะ ปรากฏชื่อหลายแห่งในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีชีวิตอยู่ก่อนพุทธกาลก็มี ร่วมสมัย พุทธกาลก็มี หลงั พทุ ธกาลกม็ ี ก่อนพุทธกาล ปรากฏชอื่ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดิน พระนามว่าพระเจ้าเขมะ ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระกกุสันธะ ครองราชย์อยู่ในเมืองเขมวดี๒๒๔ ในพุทธวงศ์ระบุว่า พระเจ้าเขมะพระองค์น้ี ก็คือ พระพทุ ธเจา้ ของเราในปจั จุบันนเี้ อง๒๒๕ ร่วมสมัยพทุ ธกาล ปรากฏช่ือในเขมสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระเขมะและพระสุมนะ พักอยู่ท่ีป่า อันธวัน เขตเมืองสาวัตถี ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรารภธรรมกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้เป็น พระขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์โดยลาดับ แล้ว สนิ้ ภวสังโยชน์ เพราะรชู้ อบด้วยตนเองแล้ว ยอ่ มไม่มีความคิดว่า ผู้ท่ีประเสริฐกว่าเรามีอยู่ ผู้เสมอเรา มีอยู่ หรอื ผทู้ ีด่ ้อยกว่าเรามีอยู่๒๒๖ คร้ันกราบทูลอย่างนั้น ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทางพอพระทัยแล้ว ลุก ข้นึ จากอาสนะ อภวิ าท กระทาประทกั ษณิ แล้วหลกี ไป ครั้นพระเขมะหลีกไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยกตัวอย่างมาปรารภกับภิกษุท้ังหลายว่า กุลบุตร ท้งั หลายพยากรณ์พระอรหัตผลอยา่ งนี้ กลา่ วแต่เน้ือความ และไม่น้อมตนเข้าไปหา ส่วนโมฆบุรุษบางพวก ในธรรมวินัยนี้ เหมือนจะเริงร่ากล่าวคาพยากรณ์พระอรหัตผลอยู่ เขาเหล่าน้ันย่อมถึงความคับแค้นใจ ภายหลัง๒๒๗ ๒๒๑ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๒๓๔/๓๗๖. ๒๒๒ข.ุ เถร.อ.(ไทย)๒/๓/๒/๒๕๘. ๒๒๓ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๒๖๐. ๒๒๔ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๒๒๕ข.ุ พทุ ฺธ.(ไทย) ๓๓/๘/๗๐๒. ๒๒๖องฺ.ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๔๙/๕๑๗. ๒๒๗ อง.ฺ ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๔๙/๕๑๘.
๘๙ หลงั พุทธกาล ปรากฏชื่อในคัมภีร์ปริวารระบุเป็นศิษย์ของพระธรรมปาละ เป็นผู้มีปัญญามาก ทรงจา พระไตรปิฎก ช่อื เสียงของทา่ นรงุ่ เรือง ปรากฏอยู่ในเกาะลังกา๒๒๘ ท่านได้ชื่อว่าเป็นพระมหาเถระรูปหน่ึง ทที่ รงจาพระไตรปิฎกในสายพระวินยั ซ่งึ สืบทอดมาตง้ั พระอุบาลี เขมกะ,พระ พระเขมกะ ปรากฏในเขมกสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวรรค๒๒๙ ความสังเขปว่า พระเขมกะ อาพาธหนกั อยู่ทพ่ี ทรกิ าราม พระเถระผ้อู าศัยอยู่ในโฆสติ าราม เขตเมืองโกสัมพีทราบข่าว จึงได้มอบหมาย ให้พระทาสกะไปเยี่ยมถามอาการในตอนเย็นวันหน่ึง ครั้นทราบอาการแล้ว พระเถระก็มอบหมายให้พระ ทาสกะไปถามปัญหาเร่ืองอุปาทานขันธ์ท้ัง ๕ ว่าได้พิจารณาเห็นอัตตา หรือส่ิงท่ีเน่ืองด้วยอัตตาอะไรบ้าง เมื่อได้รับคาตอบว่า พระเขมกะไม่ได้พิจารณาเห็นอัตตา หรือสิ่งท่ีเนื่องด้วยอัตตาอะไรๆ ในอุปาทานขันธ์ ทั้ง ๕ ประการน้ี พระทาสกะกก็ ลบั ไปเรียนพระเถระทงั้ หลายอีก พระเถระท้ังหลายก็ส่งพระทาสกะไปถามพระเขมกะอีกว่า หากพระเขมกะไม่พิจารณาเห็น อัตตา หรอื ส่งิ ที่เนื่องด้วยอัตตาอะไรๆ ในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการน้ีเลย ถ้าเช่นน้ัน พระเขมกะก็เป็นพระ อรหันตขีณาสพ พระทาสกะได้กลับไปถามพระเขมกะตามคาของพระเถระทั้งหลาย พระเขมกะก็ตอบว่า ตนเองไมไ่ ด้เปน็ พระอรหนั ต์ขณี าสพ แต่ตนเองเข้าใจว่า “เรามี” ในอปุ าทานขันธ์ ๕ ประการ และตนเองก็ ไม่ได้พจิ ารณาเห็นวา่ “เราเป็นอย่างน้ี” ความในพระบาลีพรรณนาวา่ พระทาสกะ ได้กลับไปกลับมาหลายครั้ง กระทั่งพระเขมกะห้าม ว่า ไม่ตอ้ งกลบั ไปกลบั มาอีกแล้ว ตนจะไปหาพระเถระทั้งหลายเอง กล่าวเชน่ นั้นแล้ว ก็ให้พระทาสกะหยิบ ไม้เท้าให้ จากนั้นก็ยันไม้เท้าเดินไปหาพระเถระทั้งหลายถึงที่อยู่ คร้ันไปถึงแล้วก็สนทนาปราศรัย คร้ัน สนทนาปราศรัยพอสมควรแล้ว พระเถระท้ังหลายก็ถามพระเขมกะว่า ท่ีพูดว่า “เรามี” นั้นคืออย่างไร ที่ พดู ว่า “เรามรี ปู ”, “เรามีนอกจากรูป”คอื อย่างไร พระเขมกะปฏิเสธว่าไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่มีความเข้าใจว่า “เรามี” ในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ เปรียบเหมือนกล่ินดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก ถ้ามีคนพูดว่า กลิ่นของใบ กลิ่นของสี กลิ่น ของเกสร ย่อมเป็นการไมถ่ ูกต้อง ทีถ่ ูกต้องตอ้ งตอบว่า กลน่ิ ของดอก อน่ึง เมื่อพระเขมกะกล่าวภาษิตน้ีอยู่ จิตของพระเถระประมาณ ๖๐ รูป และตัวท่านเองก็ได้ หลดุ พน้ จากอาสวะ เขมา, ภิกษณุ ี พระนางเขมา ชาตภิ มู เิ กิดในราชสกลุ กรุงสาคละ แคว้นมัททะ พระประยูรญาติถวายพระนาม ว่า เขมา เพราะต้ังแต่พระนางประสูติมา พระนครมีแต่ความเกษมสาราญ๒๓๐ ขณะที่คัมภีร์อรรถกถาให้ เหตุผลว่า เพราะเป็นผู้มีผิวพรรณเล่ือมเรื่อดังสีน้าทอง๒๓๑ ครั้นเจริญพระชันษาแล้วก็ได้อภิเษกเป็นมเหสี ของพระเจา้ พมิ พิสาร ๒๒๘ ว.ิ ปร.ิ (ไทย) ๘/๓/๖. ๒๒๙ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๙/๑๖๖. ๒๓๐ ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๓๒๕/๔๓๐. ๒๓๑ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๙.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: