๓๙๐ อรุณะ, พระเจ้า พระเจ้าอรุณะ ปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๕๗๐ ความระบุว่า ทรงเป็นพระบิดาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี มีพระมเหสีพระนามว่าพระนางปภาวดี ครองกรุงอรุณวดีราชธานี ในอรรถ กถาไม่มีรายละเอียดใดๆ เพมิ่ เตมิ อภยะ, พระ พระอภัย ปรากฏในคัมภีร์ปริวาร แห่งพระวินัยปิฎก๑๕๗๑ ความระบุว่า เป็นผู้มีปัญญา ฉลาด ในพระไตรปิฎกทงั้ หมด และเป็นผู้รักษาพระศาสนาต่อกันมาอยู่ในชมพูทวีป ร่วมกับพระเถระอีกหลายรูป เชน่ พระสมุ นะ พระมหาปทุมะ พระมหาสีวะ พระอุบาลี พระมหานาคะ พระตสิ สเถระ เปน็ ตน้ อธมิ ุตตเถระ, พระ พระอธิมุตตเถระ ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์ ในเมืองสาวัตถี อรรถกถาขุททกนิกาย๑๕๗๒ ระบุ มารดาของท่านเปน็ นอ้ งสาวของพระสงั กิจจเถระ ในอรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน๑๕๗๓ ระบุว่า ท่ีได้ชื่อว่า อธมิ ุตตะ เพราะท่านเกดิ ในเรอื นตระกูลทม่ี ีความเลอื่ มในพระศาสนา และเพราะท่านเองก็ตง้ั อยู่ในศรทั ธา อธิมุตตะ ครั้นบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้เรียนจบในวิชชาของพราหมณ์ทั้งหลาย พิจารณาไมเห็น สาระในวิชชาเหล่าน้ัน แสวงหาทางสิ้นทุกข์และสิ้นภพ เห็นพุทธานุภาพในคราวรับพระวิหารเชตวัน ได้มี จติ ศรทั ธา บวชในสานักของพระศาสดา เรม่ิ ตง้ั วปิ ัสสนา ไม่นานกไ็ ดบ้ รรลุพระอรหันต์๑๕๗๔ อน่ึง ในคัมภีร์อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา๑๕๗๕ ระบุว่า ท่านบวชในสานักของหลวงลุง บาเพ็ญวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน ได้บรรลุเปน็ พระอรหนั ตต์ ้งั แตย่ งั เป็นสามเณร ครั้นล่วงวัยผ่านไปอายุครบบวช จงึ ไปหามารดาเพ่อื แจ้งขา่ ว แต่ถูกโจรจับไปฆา่ ทาพลกี รรม ในอรรถกถาออธิมุตตเถรคาถา๑๕๗๖ ระบุวา่ ท่านถูกโจรจับตัวไปเพ่อื ฆ่าบวงสรวง แต่มิได้แสดง ความกลัวให้ปรากฏ กลับมีสีหน้าผ่องใส ทาให้หัวหน้าโจรเกิดความอัศจรรย์ เพราะโดยปกติแล้ว คนเมื่อ รตู้ วั วา่ จะถูกนาไปฆา่ กม็ ักจะแสดงอาการด้ินรน ร้องฟูมฟายต่าง ๆ นานา จึงได้ถามท่านอธิมุตตะว่าทาไม แสดงอาการอยา่ งน้นั บ้าง ท่านอธมิ ตุ ตะตอบวา่ ทกุ ข์ทางใจย่อมไม่เกิดข้ึนแก่ผู้ไม่มีความห่วงใยในชีวิต ภาระทุกอย่างตน วางหมดแล้ว พรหมจรรย์ก็ประพฤติดีแล้ว ถึงฝ่ังแห่งภพ ไม่มีความยึดมั่นถือม่ัน ทากิจเสร็จแล้ว หมดอา สวะ ย่อมยินดีเพราะเหตุความสิ้นอายุ เหมือนบุคคลพ้นแล้วจากการถูกประหาร ไม่มีความต้องการอะไร ในโลกทั้งปวงอีกแล้ว ดังนน้ั จงึ ไม่เศรา้ โศกในเวลาตาย พวกโจรไดย้ ินท่านอธมิ ตุ ตะกล่าวอย่างนัน้ เกิดความเล่ือมใส บางพวกได้ขอบวชตาม บางพวก ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ๑๕๗๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๕๗๑ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๖. ๑๕๗๒ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๒/๔/๔. ๑๕๗๓ ข.ุ อป.(ไทย) ๘/๒/๑๕๕. ๑๕๗๔ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๕๑๑. ๑๕๗๕ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๔. ๑๕๗๖ ข.ุ เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๔/๕.
๓๙๑ อภภิ ู,พระ พระอภภิ ู เป็นคูอ่ ัครสาวกของพระพทุ ธเจา้ พระนามว่าสขิ ี ร่วมกับพระสัมภวเถระ๑๕๗๗ ความในคมั ภรี ์ปรากฏเพียงเทา่ นี้ อวกัณณกะ, ทาส อวกัณณกะ ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติใด ๆ ในคัมภีร์พรรณนาไว้แต่เพียงว่า เป็น ๑ ใน ๕ ชื่อเลว ประกอบด้วย อวกัณณกะ, ชวกณั ณกะ, ธนิฏฐกะ, สวิฏฐกะ, และกลุ วฑั ฒกะ๑๕๗๘ อรรถกถาขยายความว่า ทั้งหมดเป็นช่ือของทาส ถือเป็นคนชั้นต่า๑๕๗๙ ถ้าภิกษุใดนาชื่อท้ัง ๕ ช่ือเหล่าน้ีไปกล่าวเสียดสีอุปสัมบันด้วยหวังจะด่า สบประมาท ทาให้เก้อเขินอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องปรับ อาบตั ปิ าจิตตยี ์บา้ ง๑๕๘๐ ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฎบ้าง๑๕๘๑ จากหลกั ฐานท่ีอา้ ง อนุมานได้ว่า อวกัณณกะ น่าจะมีพฤตกิ รรมท่ีน่ารังเกียจของคนทั่วไป และ พฤติกรรมน่ารังเกียจนี้ เป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย ชื่อน้ีจึงเป็นสัญลักษณ์ของ “คนเลว” การนาชื่อมาเปรียบ เปรยกับภกิ ษุรปู ใดรปู หนึง่ จึงเปน็ การไมบ่ ังควร ถึงกาหนดโทษทางพระวินยั เอาไวเ้ ชน่ นั้น อภัย, ราชกุมาร อภัยราชกมุ ารเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ พิมพิสาร๑๕๘๒ ความทเ่ี ป็นผมู้ ีแววฉลาดแต่เยาว์วัย พวกนิครนถ์ท้ังหลายจึงวางแผนสอนลัทธิต่าง ๆ ให้พระกุมาร กระทั้งพระกุมารเล่ือมใส และมีความ ชานาญในการโต้ะวาทะ ต่อมาได้อาสาเป็นตัวแทนของนิครนถ์โต้วาทะกับพระพุทเจ้า โดยก่อนไปได้ วางแผนนาเด็กน้อยไปด้วย เผ่ือว่า หากฝ่ายตนเพล่ียงพล้าก็จะหยิกเด็กให้ร้อง และใช้เป็นข้ออ้างในการที่ จะไมอ่ ยู่โตว้ าทะต่อ ในอภัยราชกุมารสูตร๑๕๘๓ ระบุปัญหาท่ีอภัยราชกุมารถามพระพุทธเจ้า ลักษณะปัญหามี เง่ือนไขว่า “มีบ้างไหมท่ีพระพุทธเจ้าตรัสวาจาอันไม่เป็นท่ีรัก ไม่เป็นท่ีชอบใจของคนอ่ืน” ซ่ึงถ้า พระพทุ ธเจ้าตรสั ตอบว่า “เคย” อภยั ราชกมุ ารกเ็ ตรียมข่มว่า พระพุทธเจ้าก็ทาอะไรไม่แตกต่างจากปุถุชน ท่ัวไป แต่ถ้าตรัสตอบวา่ “ไม่เคย” อภยั ราชกุมารกจ็ ะยกพระดารสั ท่ีพระพุทธเจ้าตรัส และพระดารัสน้ี ทา ให้พระเทวทัตโกรธ ไมพ่ อใจ ผกู อาฆาตพระพุทธเจ้าตราบเท่าถงึ ปัจจบุ ัน ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคไม่ตรัสตอบตามเงื่อนไขท่ีอภัยราชกุมารทูลถาม หากแต่ทรง แยกแยะวา่ วาจาแบบไหนองคต์ รัส วาจาไหนพระองค์ไมต่ รัส โดยกาหนดเป็นเกณฑ๑์ ๕๘๔ ไวด้ งั นี้ ๑. วาจาใดไมจ่ ริง ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ และไมเ่ ป็นที่รกั ไม่เปน็ ท่ชี อบใจ วาจานน้ั ไมต่ รสั ๒. วาจาใดจริง ไม่กอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ วาจาน้ันไม่ ตรสั ๑๕๗๗ ข.ุ อป.(ไทย) ๒๕/๒๐/๖๙๔. ๑๕๗๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒. ๑๕๗๙ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑๕/๒๕๗. ๑๕๘๐ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๑๗/๒๐๖. ๑๕๘๑ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๒๗/๒๑๔. ๑๕๘๒ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๒๐๘. ๑๕๘๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๓/๘๔. ๑๕๘๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๖/๘๘.
๓๙๒ ๓. วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ ทรงเลือก เวลาตรัส ๔. วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจาน้ันเป็นท่ีรัก เป็นที่ชอบใจ วาจาน้ันไม่ ตรัส ๕. วาจาใดจรงิ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานน้ั เปน็ ท่รี ัก เป็นทช่ี อบใจ วาจานั้นไมต่ รัส ๖. วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ วาจานั้นเป็นท่ีเป็นรัก เป็นที่ชอบใจ ทรงเลือกเวลา ตรัส เม่อื พระพทุ ธเจ้าพยากรณป์ ัญหาอย่างนี้ อภยั ราชกุมารเกดิ ความเลอ่ื มใส ช่ืนชมภาษิตของพระ ผูม้ พี ระภาควา่ ชัดเจน ไพเราะยิง่ นกั เหมอื นหงายของที่คว่า เปิดของท่ีปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตาม ประทปี ในท่มี ืด จากน้นั ไดแ้ สดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะตลอด ชีวติ ๑๕๘๕ ในอรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบท๑๕๘๖ ระบุว่า คราวหน่ึงอภัยราชกุมารไปรบมีชัย ทาให้ พระเจ้าพิมพิสารโปรดปราน ยกราชสมบัติให้ครอบครองเป็นเวลา ๗ วัน ช่วงดังกล่าว ทาให้พระองค์ได้ เสพสาราญเต็มที่ แตก่ ม็ เี หตุทที่ าใหพ้ ระองค์ต้องประสบความทุกข์อย่างหนัก ด้วยเหตุหญิงนักฟ้อนคนหนึ่ง เกิดตายกระทันหันขณะกาลังฟ้อนโชว์ต่อหน้าพระที่นั่ง เพื่อจะระงับความโศกดังกล่าว จึงได้ไปเฝ้าพระ ศาสดา พระผู้มีพระภาคไดแ้ สดงอบุ ายระงับความโศกเศรา้ ทรงช้ีให้พระราชกุมารได้ความจริงของโลก และตรสั เป็นพระคาถาวา่ “ทา่ นทง้ั หลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ ท่ีพวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้ หาข้องอยไู่ ม”่ ๑๕๘๗ ทรงแจกแจงพระธรรมเทศนาโดยละเอียด สิน้ พระธรรมเทศนา อภัยราชกุมารได้บรรลุ โสดาบนั บท๑๕๘๘ อนิตถคิ ันธะ, กมุ าร อนติ ถคิ ันธกุมาร ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๕๘๙ ปรารภพระคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความโศกเกดิ จากกาม ภยั เกดิ จากกาม ผ้พู น้ จากกามไดเ้ ดด็ ขาด ยอ่ มไม่มีความโศกและภยั จากท่ไี หนเลย ความในอรรถกถาธรรมบท๑๕๙๐ มีเน้อื ความสรุปพอสังเขปดงั นี้ อนิตถิคันธกุมาร เป็นสัตว์ที่จุติจากพรหมโลก เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ในกรุงสาวัตถี ต้ังแต่ เกิดมาเขา้ ใกลผ้ ูห้ ญิงไมไ่ ด้ ถกู ผู้หญงิ ถูกต้องตัวก็จะร้องไห้ พอเติบใหญ่มารดาบิดาได้หม้ันหมายหญิงผู้หน่ึง แต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน เมื่อถูกรบเร้าบ่อยๆ จึงให้เรียกช่างมาปั้นรูปหญิงมีรูปงามย่ิง จากนั้นก็ ส่งไปให้มารดาบิดา พร้อมกับบอกว่า ถ้าได้หญิงมีลักษณะเช่นน้ี จึงจะแต่งงาน ในใจก็คิดว่า อย่างไรเสียก็ คงหาไม่ได้ แต่ผิดคาด มารดาได้ส่ังให้คนเสาะแสวงหาหญิงผู้มีรูปลักษณะดังกล่าวจบพบ และหมายหม้ัน พร้อมท้ังกาหนดเวลาแต่ง ๑๕๘๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๗/๘๙. ๑๕๘๖ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๒๓๘. ๑๕๘๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๑/๘๖. ๑๕๘๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๒๓๙. ๑๕๘๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๑๕/๙๙. ๑๕๙๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๔๐๔.
๓๙๓ ฝ่ายพระกุมาร ทราบข่าวว่า มารดาสามารถหาหญิงทีม่ ลี กั ษณะดังกล่าวได้ ก็ดีใจ ปรารถนาจะ เห็นนางย่ิงนัก จึงได้เร่งเร้าให้มารดารีบดาเนินการนานางมาสู่เรือนเพ่ือเข้าพิธีแต่ง มารดาบิดาก็ได้ ดาเนินการตามประสงค์ แต่ในระหว่างทางนางเกิดโรคปัจจุบันทันด่วน ตายเสียในระหว่างทางนั่นเอง ทา ให้อนิตถิคันธกุมารเสยี ใจเปน็ อย่างมาก พระผู้มีพระภาค ทรงเห็นอุปนิสัยของกุมาร จึงได้เสด็จไปยังเรือน เมื่อทรงรับอังคาสแล้ว ก็ ตรสั ถามหาอนติ ถคิ ันธกมุ าร และรบั สงั่ ใหเ้ รยี กมาพอ จากนั้นก็ทรงแสดงธรรมใจความดังนัยแห่งพระคาถา ขา้ งต้น จบพระคาถา อนัตถิคันธกุมารไดบ้ รรลโุ สดาบัน อรเนมิ,ครู ครูอรเนมิ ถอื เปน็ ๑ ใน ๖ ของเจ้าลัทธิผู้มีชื่อเสียงในสมัยพุทธกาล ประกอบด้วย ครูสุเนตตะ ครูมูคปักขะ ครอู รเนมิ ครูกุททาลกะ ครูหตั ถปิ าละ และครูโชตปิ าละ ทั้งหมดมีสาวกหลายร้อยคน และถือ เป็นครูผ้ปู ราศจากความกาหนัดในกามท้ังหลาย แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายเพ่ือความเป็นผู้เกิดในพรหม โลก ทั้งได้รับการยืนยันจากพระผู้มีพระภาคว่า ผู้ใดเล่ือมใสคาสอน ปฏิบัติตามครูเหล่านี้ ก็จะเป็นเหตุให้ เกิดในพรหมโลก๑๕๙๑ อรฏิ ฐะ,พระ พระอริฏฐะ บรรพบุรุษเป็นพรานฆ่าแร้ง๑๕๙๒ รายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวปรากฏแต่เพียง วา่ เป็นภิกษุรปู หน่ึงในพระพุทธศาสนา ตอ่ มาได้เกิดความคิดว่า ตนได้รู้ท่ัวถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคว่า แท้จรงิ แลว้ สง่ิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสวา่ ธรรมก่ออนั ตราย กห็ าสามารถกอ่ อันตรายแกผ่ ู้ปฏิบตั ิไม่ ท่ีมาของความคิดเช่นนี้ เน่ืองจากท่านเห็นว่า ฆราวาสผู้ครองเรือนยังเกี่ยวข้องอยู่ในกามคุณ บางพวกยังเป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามีก็มี หรือเป็นอนาคามีก็มี ก็แล้วทาไมภิกษุเกี่ยวข้องอยู่ในกามคุณ จะบรรลุคุณวิเศษเหล่าน้ีไม่ได้ การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้าในเร่ืองการเสพเมถุนจึงไม่เป็นการ ถกู ตอ้ ง และไม่เป็นอันตรายกิ ธรรม คือไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ การบรรลมุ รรคผล ภกิ ษุท้งั หลายทราบว่าทา่ นมคี วามเหน็ เชน่ นั้น ตา่ งก็ตกั เตือนว่า ความเห็นอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ให้ ละความเห็นอยา่ งน้ันเสีย พระพุทธเจ้าไมไ่ ดต้ รัสอยา่ งนน้ั พระพุทธเจา้ ทรงตาหนิกามไว้โดยประการต่าง ๆ แต่พระอริฏฐะหาได้เชื่อฟังไม่ ยังคงยืนยันว่าความเห็นของตนถูกต้อง เมื่อเห็นว่าพระอริฏฐะไม่เชื่อฟัง ภิกษทุ ง้ั หลายจงึ นาเรื่องไปกราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ พระศาสดาได้คร้ันทรงทราบแล้ว ก็รับสั่งให้เรียกพระอริฏฐะเข้าเฝ้า พร้อมกับตาหนิโดย ประการต่างๆ ขอให้ละความเห็นดังกล่าวเสีย เพราะผู้มีความเห็นอย่างน้ัน เท่ากับเป็นการตู่พระองค์ด้วย ถ้อยคาอันเปน็ เทจ็ พระองค์ไมเ่ คยตรัสอยา่ งนั้น จากนัน้ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ภิกษุกล่าวตู่พระพุทธพจน์ ด้วยถ้อยคาอันเป็นเท็จ หากเพ่ือนภิกษุกล่าวตักเตือน ๓ ครั้งแล้วยังไม่ละความเห็นน้ัน ต้องอาบัต ปาจิตตยี ์๑๕๙๓ ๑๕๙๑ อง.ฺ ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๙. ๑๕๙๒ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๔๑๗/๕๒๕. ๑๕๙๓ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๔๑๘/๕๒๘.
๓๙๔ อริยะ,นายพรานเบ็ด นายพรานเบ็ดช่ืออริยะ ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๕๙๔ พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพระ คาถาวา่ บคุ คลไมช่ อื่ วา่ อริยะ เพราะยังเบียดเบียนสัตวอ์ ยู่ แต่ชือ่ ว่าอรยิ ะ เพราะไมเ่ บยี ดเบียนสตั วท์ ้งั ปวง ความในอรรถกถา๑๕๙๕ มีรายละเอยี ดพอสังเขปดงั นี้ พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของนายพรานเบ็ดช่ืออริยะ จึงได้เสด็จ เข้าไปบิณฑบาตในบ้านใกล้ประตูทิศอุดรเมืองสาวัตถี ระหว่างทางได้เสด็จผ่านนายพรานเบ็ด จึงได้ทรง หยดุ และประทับยนื พรอ้ มกบั ถามชอ่ื พระสาวกทีต่ ามเสดจ็ ไปด้วยทีละรูปๆ นายพรานเบด็ เหน็ พระพุทธเจา้ ตรสั ถามช่ือสาวก ก็นึกอยากใหพ้ ระพุทธเจ้าตรัสถามช่ือตนบ้าง พระพุทธเจ้าทราบความในใจ จึงได้ตรัสถามช่ือนายพรานเบ็ดบ้าง นายพรานเบ็ดดีใจ รีบกราบทูลว่า ตน ชอ่ื อริยะ พระผ้มู พี ระภาคตรสั ตอบไปวา่ ผู้ท่ียังเบียนเบียนสัตว์อื่นอยู่ จะชื่ออริยะไม่ได้ คนที่ไม่ตั้งอยู่ใน ความเบียดเบียนเท่าน้ัน จึงจะสมควรเรียกว่า อริยะ จากนั้นจึงทรงตรัสพระคาถาดังกล่าวข้างต้น จบพระ คาถา นายพรานเบด็ ต้งั อยูใ่ นโสดาปตั ติผล อสติ าภู,พระนาง พระนางอสติ าภู ปรากฏในขทุ ทกนกิ าย ชาดก๑๕๙๖ ความในอรรถกถา๑๕๙๗ มรี ายละเอียดพอ สังเขปดังต่อไปน้ี ในอดีตกาล เมือ่ พระเจา้ พรหมทตั ครองเมืองพาราณสี เกดิ ทรงระแวงพรหมทัตกุมารผู้เป็นพระ ราชโอสร จึงได้สั่งเนรเทศออกจากแคว้น พระราชกุมารได้พาพระมเหสีพระนามว่าอสิตาภูไปอยู่ท่ีป่าหิม พานต์ ต่อมาพระกุมารทรงทอดพระเนตรเห็นนางกินรี เกิดจิตปฏิพัทธ์ ได้ติดตามไปโดยที่ไม่คานึงถึงพระ นางอสติ าภผู ู้เป็นมเหสี พระนางเหน็ เชน่ นัน้ จงึ ไดต้ ดั พระทัย ได้เขา้ ไปหาพระโพธิสัตว์ เรียนบริกรรมกสิณ ยังอภิญญา และสมาบัติใหเ้ กดิ ขึ้น นมัสการพระโพธิสัตว์แล้วกก็ ลบั ไปที่อาศรมตามเดมิ ฝ่ายพรหมทัตกุมาร เมื่อตามนางกินรีไป สุดท้ายหลงทาง ไม่พบนางกินรี ครั้นหมดหวังก็ กลับคืนอาศรม พระนางอสิตาภูทอดพระเนตรเห็นพรหมทัตกุมารกลับมา ก็ลอยข้ึนสู่เวหา จากน้ันก็ตรัส ว่า พระนางได้ความสุขน้ีเพราะพรหมทัตกุมาร พระนางตัดอาลัยในความรักที่มีหมดแล้ว ต่อแต่นี้ จะไม่ กลับไปเป็นเหมอื นเดมิ จากนนั้ พระนางก็เหาะไปอยูท่ ่ีอื่น ทง้ิ พรหมทัตกุมารไว้เพียงลาพัง อสพิ นั ธกบุตร, ผ้ใู หญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตร ปรากฏในอสันธกปุตตสูตร๑๕๙๘ ความสรุปพอสังเขปว่า ผู้ใหญ่บ้านได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ ได้ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลถามว่า พวกพราหมณ์ ๑๕๙๔ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๗๐/๑๑๖. ๑๕๙๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๙๐. ๑๕๙๖ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๖๗/๑๑๐. ๑๕๙๗ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๔๔๔. ๑๕๙๘ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๕๘/๔๐๑.
๓๙๕ ชาวปัจฉาภูมิสามารถทาสัตว์ที่ตายไปแล้วให้ฟ้ืน ให้รู้ชอบ ให้ข้ึนสวรรค์ แล้วพระผู้มีพระภาคสามารถทา อยา่ งน้ันได้หรอื ไม่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามผู้ใหญ่บ้านว่า ถ้าคนในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เปน็ ตน้ หมูม่ หาชนมาประชมุ สวด ออ้ นวอน สวดสรรเสริญขอให้คนๆ น้ันหลังจากตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ได้ หรือไม่ ถ้าคนเอาก้อนหินโยนลงน้า แล้วมหาชนมาประชุมสวด อ้อนวอน ให้ก้อนหินลอยขึ้น จะทาได้ หรือไม่ ผู้ใหญ่บ้านชอื่ อสพิ นั ธกบุตรได้กราบทลู ว่า ไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบวา่ ฉันนัน้ เหมอื นกัน เมอื่ คนประกอบอกุศลกรรม ต่อให้สวด อ้อนวอน ก็ ไม่สามารถทาให้เขาข้ึนสวรรค์ได้ ตายไปแล้ว มีแต่ต้องไปอบายอย่างเดียว แต่ถ้าเขาเว้นจากอกุศลกรรม ทั้งหลาย แม้ไมส่ วด ไม่อ้อนวอน หลังเขาตายไปแลว้ ก็จะเป็นเหตุใหเ้ ขาบังเกิดในสุคตโิ ลกสวรรค์ ผู้ใหญ่บ้านช่ืออสิพันธกบุตร ได้ฟังพระดารัสอย่างนั้น ก็กราบทูลสรรเสริญภาษิตของพระผู้มี พระภาค จากน้นั กแ็ สดงตนเป็นอบุ าสกผ้ถู งึ พระรตนตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ติ ตัง้ แตบ่ ัดน้นั อสุรนิ ทกภารทวาชะ,พระ พระอสุรินทกภารทวาชะ เดิมเป็นพราหมณ์ ต่อมาทราบข่าวว่าพราหมณ์ภารทวาชโคตรออก จากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในสานักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ก็โกรธ ไม่พอใจ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ ภาค ด่า บริภาษพระผู้มีพระภาคด้วยวาจาหยาบคาย เมื่อเห็นว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าน่ิง ไม่ตรัสตอบ ก็ กลา่ วข้ึนดว้ ยความลาพองใจวา่ ตนชนะพระพุทธเจ้าแล้ว พระผู้มพี ระภาคสดับเชน่ น้นั จงึ ตรัสตอบวา่ คนพาลกลา่ ววาจาหยาบคาย เขา้ ใจวา่ ตนชนะ แต่ ความอดกลน้ั ได้ เป็นความชนะของบัณฑติ ผูร้ ูแ้ จง้ ผู้ใดโกรธตอบต่อผู้โกรธ ผู้นั้นย่อมเลวกว่าผู้โกรธ เพราะ การโกรธตอบน้ัน บคุ คลผไู้ ม่โกรธตอบตอ่ บุคคลผูโ้ กรธ ชือ่ ว่าชนะสงครามที่ชนะไดย้ าก อสุรินทกภารทวาชะ หลังจากที่ได้ฟังพระดารัสแล้ว ก็เกิดความเล่ือมใส ต่อมาได้อุปสมบท และได้บรรลุเป็นพระอรหนั ตร์ ูปหน่งึ ในบรรดาพระอรหันต์ทัง้ หลาย๑๕๙๙ อหงิ สกะ อหิงสกะ มีรายละเอียดปรากฏในอังคุลมาลสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์๑๖๐๐ ความสรุปไดด้ งั นี้ อหิงสกะ เป็นบุตรของคัคคะพราหมณ์ และนางมันตานี รู้จักกันในอีกช่ือหนึ่งว่า องคุลิมาล เพราะฆ่าคนแลว้ ตดั น้ิวร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ ทาให้กิตติศัพท์เล่ืองลือ เป็นที่หว่ันผวา และหวาดกลัว ของประชาชนที่สัญจรไปมา พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงมีรับส่ังให้ราชบุรุษไปตามจับตัวมาลงโทษตาม กฎหมายบ้านเมือง อนีง่ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๖๐๑ ระบไุ วว้ า่ อหิสกะนนั้ เกิดในฤกษโ์ จร ตอนคลอดจากครรภ์มารดา อาวธุ ในพระนครกลับสว่างโชติช่วง โหรหลวงจึงถวายคาแนะนาให้เอาเด็กไปฆ่าทิ้งเสีย เป็นการตัดไฟแต่ ต้นลม แต่พระราชาก็ทรงคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่ายังเป็นเด็ก และยังไม่ได้ทาผิดอะไร จึงรับส่ังให้ เลี้ยงดูอยา่ งใกลช้ ดิ พรอ้ มทัง้ ขนานนามให้เด็กวา่ อหิงสกะ แปลวา่ ผไู้ มเ่ บียดเบียนใคร ๑๕๙๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๘๙/๒๖๘-๒๖๙. ๑๖๐๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๔๗/๔๒๑. ๑๖๐๑ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๒/๑๕๔.
๓๙๖ อหิงสกะเมื่อเติบใหญ่ ได้ถูกส่งไปเรียนวิชาในสานักอาจารย์ ด้วยความเป็นคนฉลาด จึง สามารถเรียนไดเ้ รว็ และเป็นท่ีอิจฉาของศษิ ย์คนอ่ืน ๆ จงึ ถกู ใสร่ ้าย อาจารย์ผเู้ ปน็ เจ้าสานักหลงชื่อ หาทาง กาจัดด้วยการวางแผนให้ฆ่าคนนาน้ิวมาให้ เพ่ือแลกกับการได้เรียนวิชาสุดยอดในสานัก นัยว่าเป็นการ หลอกให้อหิงสกะทาความผดิ ต่ออาญาบ้านเมือง จากนั้นก็จะถูกอาญาบ้านเมืองลงโทษ โดยท่ีไม่ต้องลงมือ ฆ่าดว้ ยตวั เอง อหงิ สกะหลงชอ่ื และเร่มิ ออกจากสานกั เพอื่ ฆา่ คนนาน้ิวมือให้ครบ ๑,๐๐ ๐ น้ิ ว ม า ม อ บ ให้กับอาจารย์จตามเง่อื นไข วันหน่ึง พระผู้มีพระภาคทรงมองเห็นอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ จึงได้เสด็จไปดัก เส้นทางท่อี หิงสกะจะเดนิ ผา่ น ชาวบ้านเห็น จึงได้เข้าไปห้ามถึง ๓ คร้ัง เพ่ือไม่ให้เสด็จไปทางนั้น แต่ก็ทรง นิ่งเฉย ยังคงเสดจ็ ต่อไป กระทั่งพบอหงิ สกะกาลังเดินตรงมาหาพระองค์ อหิงสกะรสู้ ึกแปลกใจ เพราะโดยปกติคนธรรมดาทั่วไปเห็นตนก็มักลนลานว่ิงหนีไปด้วยความ กลัว แต่สมณะองค์น้ีกลับนิ่งเฉย แต่ก็ไม่ใส่อะไรมากนัก ยังคงถือดาบตรงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าหมาย สงั หารเอานว้ิ ตามปกติ แต่ดว้ ยพทุ ธานุภาพ แม้อหงิ สกะจะพยายามเดินตามพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถตาม ไดท้ นั แมจ้ ะพยายามวิ่งไลส่ ดุ กาลังแลว้ กต็ าม สุดทา้ ยจึงตะโกนบอกให้หยุด พระพุทธเจ้าจึงตรัสกลับมาว่า พระองคห์ ยุดแลว้ ท่านตา่ งหากจงหยดุ อหงิ สกะ เกดิ ความสงสัย จึงย้อนถามไปว่า ท่านบอกว่าหยุดแล้ว แต่ยังเดินอยู่ หมายความว่า อยา่ งไร พระผู้มพี ระภาคได้ตรสั ตอบไปว่า พระองค์วางอาชญาในสรรพสัตวไ์ ด้แล้ว จึงช่ือว่าหยุดตลอดกาล ส่วนตัวอหิงสกะกลับไมส่ ารวม ยงั คงเบียดเบยี นสตั วอ์ ยู่ จึงได้ชื่อวา่ ยังไมห่ ยุด อหงิ สกะไดฟ้ งั ดังนั้นกก็ ลบั คิดได้ กลา่ วสรรเสรญิ พระผู้มพี ระภาคทท่ี รงใหส้ ติแก่ตนเอง จากนั้น กท็ ิ้งดาบและอาวุธลงในเหว กราบถวายอภวิ าทพระบาททั้งสอง แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระผู้มีพระ ภาคไดป้ ระทานอุปสมบทให้ด้วยเอหิภิกขุอุปสมั ปทา จากนั้นก็ทรงพาพระอหิงสกะจาริกไปทางกรุงสาวัตถี กระท่ังถึงเมืองสาวตั ถี และเขา้ ไปประทบั อยูท่ ่เี ชตวันมหาวิหาร ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งเวลาน้ันได้ออกติดตามพร้อมกองทหาร เพื่อตามจับอหิงสกะ ได้ ทรงแวะไปท่ีพระเชตวัน พรอ้ มกับกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบเร่ืองราวของอหิงสกะ มาคร้ังนี้ก็มี พระประสงค์จะกาจัดเสีย พระผู้มีพระภาคสดับพระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสเช่นน้ัน ก็ตรัสถามไปว่า หากทรงเห็นอหิงสกะ ปลงผมและหนวดครองผ้ากาสาวะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งปวงแล้ว จะทา ทาอย่างไร พระเจา้ ปเสนทโิ กศลได้กราบทูลว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็จะกราบไหว้ ลุกรับ นิมนต์ให้น่ัง หรอื เจาะจงนมิ นตท์ ่านดว้ ยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยั บริขาร หรอื จัดการอารักขาคุ้มครอง ตามความเหมาะสม แต่อหงิ สกะเปน็ คนหยาบชา้ จะออกบวชคงเป็นไปไดย้ าก เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็แสดงพระอหิงสกะ ให้ ทอดพระเนตร ทาให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดความกลัว หวาดหว่ัน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสปลอบโยนว่า ไม่ต้องกลัว บัดน้ีอหิงสกะไม่เป็นอันตรายต่อใครๆ อีกแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเบาพระทัย และได้ ประกาศปวารณาพระองค์ต่อพระอหงิ สกะ จากน้ันก็กราบทูลลาพระผมู้ ีพระภาคกลบั พระราชวงั ในองั คลุ มาลสตู ร ยังระบุต่อไปอีกว่า วันต่อมาพระอหิงสกะ ได้ทาการช่วยเหลือหญิงมีครรภ์ผู้ หนี่งใหส้ ามารถคลอดบุตรไดโ้ ดยงา่ ย ดว้ ยการตง้ั สัจจะบารมีอธิษฐานว่า ตั้งแต่ตนบวชมา ไม่เคยมีความจง ใจฆ่าชวี ิตสัตว์เลย ดว้ ยสัจจวาจานี้ ขอความสวสั ดจี งมีแก่ทารกในครรภ์
๓๙๗ อนึ่ง พระอหิงสกะ ครั้นบวชมาแล้วไม่นาน ได้ปลีกตัวออกจากหมู่คณะ ไม่ประมาท มีความ เพียร อทุ ศิ กายและใจอยู่ ก็ได้บรรลพุ ระอรหันต์ อยู่จบพรหมจรรย์ ในคัมภีร์ระบุต่อไปอีกว่า วันหน่ึงขณะ เดนิ บณิ ฑบาต ท่านไดถ้ กู ทาร้ายจากชาวบ้านระหว่างทาง พระผู้มีพระภาคพบเข้า จึงได้ตรัสสอนให้อดทน อดกล้ัน เพราะนเ้ี ป็นเศษวบิ ากกรรมที่จะตอ้ งชดให้หมดส้นิ ภายในชาตนิ ้ี ชีวิตพระอหิงสกะหรือพระองคุลิมาน เป็นตัวอย่างของผู้ท่ีเคยประมาทในชีวิตมาก่อน ต่อมา ภายหลัง ไมป่ ระมาท สามารถทาให้โลกน้สี ว่างไสว เหมอื นพระจันทร์พน้ แล้วจากเมฆ อหิงสกภารทวาชะ, พราหมณ์ พราหมณอ์ หงิ สกะ ภารทวาชโคตร ปรากฏในอหิงสกสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๖๐๒ ความระบุว่า พราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับประกาศช่ือตนเองให้ทรงทราบ พระผู้มีภาคได้ตรัส ตอบว่า ถ้าชื่ออหิงสกะก็ไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น ผู้ใดไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนทางกาย วาจา และใจ ผู้นั้นจึงควร ช่อื อหิงสกะโดยแท้ เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างน้ีแล้ว อหิงสกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลชื่นชมภาษิตของ พระผู้มีพระภาค ในคัมภีร์ระบุต่อไปอีกว่า อหิงสกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระ อรหันต์ทั้งหลาย อกั โกสกภารทวาชะ, พราหมณ์ อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ปรากฏในอักโกสสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๖๐๓ ความระบุว่า อัก โกสกภารทวาชพราหมณ์ออกบวชเป็นบรรพชิตในสานักของพระผู้มีพระภาค จึงไม่พอใจ เข้าไป พร้อมท้ัง ด่าด้วยวาจาหยาบคายมากมาย เมื่อพราหมณ์ด่าอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามพราหมณ์ว่า เวลามแี ขกมาเย่ยี มเยอื นแลว้ เราจัดของเค้ียวของกินต้อนรับ ถ้าแขกเหลา่ น้นั ไมก่ นิ สง่ิ ของเหล่าน้ันเป็นของ ใคร พราหมณต์ อบไปว่า “ก็เป็นของขา้ พระองค์อยา่ งเดมิ ” เม่ือพราหมณ์กราบทูลเช่นน้ัน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า ข้อนี้ก็เหมือนกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่า ท่านโกรธต่อเราผู้ไมโ่ กรธ ทะเลาะกบั เราผไู้ ม่ทะเลา คาด่าเปน็ ตน้ เหลา่ นัน้ ก็ตกเป็นของท่านผู้เดียว จากนั้น จึงตรัสภาษิตสอนอกั โกสกภารทวาชพราหมณว์ ่า ผไู้ มโ่ กรธตอบ ช่ือว่าฝกึ ตนดแี ล้ว สว่ นผูโ้ กรธตอบต่อคนท่ี โกรธ ยอ่ มเลวกวา่ ผู้โกรธ ผไู้ มโ่ กรธตอบชอ่ื ว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ดีว่าผู้อ่ืนโกรธ แต่มีสติ สงบ ใจไว้ได้ ช่ือว่าประพฤติประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือฝ่ายตนและฝ่ายผู้อ่ืน ส่วนคนท่ีไม่ฉลาดเข้าใจว่า การทา อย่างน้เี ป็นคนโง่ จบภาษิตของพระผู้มีพระภาค พราหมณ์อกั โกสกภารทวาชะเกิดความเลื่อมใส ได้ชื่นชมภาษิต ของพระผู้มีพระภาค พร้อมกับขอบรรพชาอุปสมบทในสานักของพระผู้มีพระภาค คร้ันอุปสมบทแล้วไม่ นานอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร อุทศิ กายและใจอยู่ ได้บรรลพุ ระอรหันต์ อัคคิกภารทวาชะ ๑๖๐๒ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๑/๒๗๐. ๑๖๐๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๘๘/๒๖๕.
๓๙๘ อัคคิกภารทวาชะ ปรากฏในอัคคิกสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๖๐๔ ความระบุว่า พราหมณ์ได้ปรุง ข้าวปายาสดว้ ยเนยไสด้วยประสงค์จะบชู าไฟ แตค่ ร้ันปรุงเสร็จได้เห็นพระผู้มีพระภาคกาลังเสด็จภิกขาจาร มาถึงพอดี จึงได้พูดเป็นนัยว่า คนที่เป็นพราหมณ์โดยกาเนิด จบไตรเพท เป็นพหูสูต ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะเทา่ นัน้ จงึ ควรบริโภคขา้ วนี้ พระผู้มีพระภาคได้สดับเช่นน้ัน จึงตรัสว่า ถึงคนจะเป็นพราหมณ์โดยกาเนิด สาธยายมนต์ได้ เป็นอันมาก แต่เน่าข้างใน มักโกหก ไม่จัดว่าเป็นพราหมณ์ ส่วนมุนีผู้บรรลุอภิญญา ระลึกชาติได้ เห็น สวรรค์ เห็นอบาย บรรลคุ วามสิ้นชาติเพราะวิชชา ๓ จงึ เป็นพราหมณ์ผจู้ บไตรเพท มุนีผถู้ งึ พรอ้ มด้วยวิชชา และจรณะน้ัน จึงควรบริโภคขา้ ว อัคคิกภารทวาชะ ไดฟ้ งั พระดารสั เชน่ นน้ั เกิดความชอบใจ จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ารับบาตร แต่ ถูกพระพุทธเจ้าปฏิเสธว่า พระองค์ไม่ตรัสเพ่ือประสงค์อาหาร เพราะไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จากน้ันก็ทรงแนะนาให้อัคคิกภารทวาชะบารุงพระขีณาสพผู้ประกอบด้วยคุณทั้งปวง เพราะท่านเหล่าน้ัน เป็นบุญเขตของผู้แสวงบญุ ทั้งหลาย จบภาษิตของพระผูม้ พี ระภาค อคั คิกภารทวาชะมีความเลื่อมใส ตอ่ มาได้ขอบรรพชาอุปสมบท กระทาทีส่ ุดแหง่ ทุกข์ ต้งั อย่ใู นอรหตั ผล เปน๋ พระอรหันต์รูปหน่ึงในบรรดาพระอรหนั ต์ทง้ั หลาย องั คะ, พระราชา พระเจ้าอังคะ ไม่ปรากฏว่าเป็นกษัตริย์เมืองใด หลักฐาน๑๖๐๕ ระบุสรุปได้แต่เพียงว่า ทรงมี พระชนม์อยู่ภายหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว พระเจ้าอังคะได้ทรงพระราชทานเบ้ียเลี้ยงประจาแก่โฆฏมุข พราหมณ์ และโฆฏมุขพราหมณ์ผู้นี้ มีความเล่ือมใสในพระอุเทน จึงขอถึงพระอุเทนเป็นสรณะ แต่พระอุ เทนได้ห้ามเอาไว้ พร้อมกับแนะนาให้ถึงพระผู้มีพระภาคแม้ปรินิพพานเป็นสรณะ ซึ่งพราหมณ์ก็ปฏิบัติ จากนั้นโฆฏมขุ พราหมณก์ ็ถวายเบีย้ เลีย้ งน้นั แด่พระอเุ ทน พระอุเทนได้สอบถามว่าเบี้ยเล้ียงดังกล่าวเป็นอะไร เม่ือทราบว่าเป็นทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะ จงึ แนะนาไปวา่ การรับเงินและทองไมส่ มควรแกส่ มณะ พราหมณ์จงึ ปวารณาขอสร้างวิหารถวายพระอุเทน แต่ท่านกแ็ นะนาให้สร้างโรงฉันถวายสงฆใ์ นเมืองปาตลบี ุตร พราหมณก์ ไ็ ด้ปฏิบัติตามคาแนะนาทุกประการ ชนทั้งหลายรู้จกั โรงฉันนัน้ ว่า “โฆฏมุข”ี ต้งั แต่บดั นัน้ เปน็ ตน้ มา องั คกมาณพ อังคกมาณพ ปรากฏในโสณทัณฑสูตร แห่งทีฆนิกาย สีลขันธวรรค๑๖๐๖ ความระบุถึงแต่เพียง ว่า เป็นหลานของโสณทัณฑพราหมณ์ เป็นเด็กหนุ่มรูปงาม ผิวพรรณผุดผ่อง มีกายดุจพรหม เว้นเสียจาก พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครมีผิวเสมออังคกมาณพเลย นอกจากนี้อังคกมาณพ ยังคงแก่เรียน จบไตรเพท ทรงจามนต์ พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ชานาญในโลกายต ศาสตร์และลักษณะมหาบุรษุ องั คกมาณพ เป็นผ้มู ชี าตกิ าเนิดดีทั้งฝ่ายบดิ าและฝ่ายมารดา บรสิ ทุ ธ์ิ ๗ ชัว่ โคตร แต่ถึงกระนั้น เขาก็เป็นคนไม่มีศีล เขาเป็นคนมีปกติฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ล่วงละเมิดภรรยาของบุคคลอื่น กล่าวเท็จ ท้ังดื่ม ๑๖๐๔ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๔/๒๗๓. ๑๖๐๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๑/๕๒๘. ๑๖๐๖ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๓๑๖/๑๒๑.
๓๙๙ น้าเมา เขาจึงถูกนามาเป็นตัวอย่างว่า แม้จะบริสุทธิ์อย่างน้ัน ก็ไม่สามารถนับเป็นพราหมณ์ได้ ศีลกับ ปัญญาจึงเป็นคุณสมบัติของพราหมณท์ ี่ขาดเสยี มไิ ด้ อังครี ส, ฤาษี ฤาษีอังคีรส เป็นหน่ีงในฤาษีที่เป็นบูรพาจารย์สอนพวกพราหมณ์ เป็นผู้แต่งมนต์ สอนมนต์ที่ พวกพราหมณ์ท้ังหลายสวด ในคัมภีร์ระบุชื่อฤาษีเหล่าน้ัน ประกอบด้วย คือ ฤาษีษีอัฏฐกะ ฤาษีษีวามกะ ฤาษวี ามเทวะ ฤาษเี วสสามิตตะ ฤาษียมตคั คิ ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และ ฤาษีภค๑ุ ๖๐๗ อัชชุกะ,พระ พระอชั ชุกะ เปน็ ชาวกรุงเวสาลี มีชื่อปรากฏในวินัยปิฎก มหาวรรค๑๖๐๘ ความระบุว่า คหบดีผู้ เป็นอุปัฏฐากของท่านมีลูก ๑ คน มีหลาน ๑ คน ก่อนตายได้สั่งเสียไว้ว่า ตนเองได้ฝังสมบัติไว้ที่แห่งหนึ่ง ลกู หรือหลานคนไหนมีศรทั ธาเลอ่ื มใสในพระศาสนา กข็ อพระอชั ชุกะยกทรัพย์สมบัติให้แก่บุตรหรือหลาน คนนน้ั ปรากฏวา่ หลานเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา พระอชั ชกุ ะจงึ ยกสมบตั นิ ้ันใหแ้ ก่หลาน บตุ รของคหบดีไมค่ ่อยพอใจนกั เพราะธรรมดาลูกควรจะได้เป็นทายาทมรดก จึงได้นาเร่ืองนั้น ไปฟ้องรอ้ งพระอานนท์ พระอานนทจ์ ึงได้วนิ จิ ฉัยวา่ เป็นปาราชิก พระอุชชุกะเห็นพระอานนท์วินิจฉัยอย่าง นั้นก็ขอให้พิจารณาใหม่ เวลาน้ันพระอุบาลีได้เข้ามาและวินิจฉัยปัญหาใหม่ เพราะเห็นว่าพระอานนท์ วินิจฉัยไม่ถูกต้อง เพราะกรณีอย่างน้ี จะปรับอาบัติใดๆ แก่พระอัชชุกะไม่ได้ เพราะท่านเพียงแต่ทาตาม พนิ ยั กรรมของคหบดีเท่านน้ั ไม่ไดเ้ ป็นผู้ยกใหเ้ อง อัฏฐกะ, ฤาษี อัฏฐกะฤาษี เป็นหนี่งในฤาษีที่เป็นบูรพาจารย์สอนพวกพราหมณ์ เป็นผู้แต่งมนต์ สอนมนต์ที่ พวกพราหมณ์ทั้งหลายสวด ในคัมภีร์ระบุช่ือฤาษีเหล่านั้น ประกอบด้วย คือ ฤาษีษีอัฏฐกะ ฤาษีษีวามกะ ฤาษวี ามเทวะ ฤาษเี วสสามิตตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษวี าเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และ ฤาษีภค๑ุ ๖๐๙ อัชชนุ ะ, พระเจา้ พระเจ้าอัชชนุ ะ เปน็ ๑ ในพระราชา ๔ พระองค์ ที่ได้รับการกล่าวถึงว่า ทาบาปกรรมร้ายแรง ประกอบด้วย พระเจ้าทัณฑกี พระเจ้านาฬิกีระ พระเจ้าอัชชุนะ และพระเจ้ากลาพุ ในคัมภีร์๑๖๑๐ ระบุว่า พระเจา้ ทณั ฑกีน้ัน ลงโทษกีสวัจฉดาบสด้วยการตัดจมูก จึงตกนรกหมกไหม้อยู่ในกุกกุฬะ ถูกถ่านเพลิงใน นรกแผดเผาอยู่ พระเจ้านาฬิกีระ ก็เบียดเบียนบรรพชิตผู้สารวม ผู้กล่าวธรรม ตายไปแล้วตกนรก ถูกสุนัขรุม กัดกิน ดิ้นทุรนทุรายในปรโลก ขณะท่ีพระเจ้าอัชชุนะ ทรงตกนรกช่ือสัตติสูละ มีเศียรห้อยลง พระบาทชี้ ขน้ึ เบือ้ งบน เพราะทรงเบียดเบยี นฤาษีอังคีรสโคตรมะ ๑๖๐๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๐๐/๑๓๐. ๑๖๐๘ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑๕๘/๑๓๑. ๑๖๐๙ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๐๐/๑๓๐. ๑๖๑๐ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๗๐/๖๐๖.
๔๐๐ พระเจ้ากลาพุ ได้ทารายพระฤาษีผู้บาเพ็ญขันติบารมี ด้วยการตัดท่านออกเป็นท่อน ๆ ได้ตก นรกอเวจี มคี วามรอ้ นแรง มีเวทนาเผ็ดรอ้ น นา่ หวาดกลัว หมกไหม้อยูใ่ นนรกนัน้ อนงึ่ พระเจ้าอัชชุนะ ในสังกิจจชาดก๑๖๑๑ ระบุว่า ทรงเป็นใหญ่ในแคว้นเกตกะ มีพระวรกาย กายาลา่ สนั ทรงเป็นนายขมังธนูผู้ยงิ่ ใหญ่ ทรงกาลงั แขนพนั ถึงพัน ไดถ้ กู ธรณีสูบหมกไหม้อยใู่ นนรก อัตตทตั ถเถระ,พระ พระอัตตทัตถเถระ ปรากฏชื่อในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๖๑๒ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระ คาถาว่า บุคคลไม่ควรให้ประโยชน์ตนเสียไปเพราะประโยชน์คนอื่นแม้มาก เม่ือรู้ประโยชน์ตนแล้วก็ควร ขวนขวายในประโยชนต์ น ความในอรรถกถาธรรมบท๑๖๑๓ มรี ายละเอียดเพมิ่ เติมดังน้ี เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุท้ังหลายว่า อีก ๔ เดือนพระองค์จะปรินิพพาน ภิกษุ ประมาณ ๗๐๐ รูป ยังเป็นปุถุชน เกิดความสังเวชสลดใจ ไม่ละสานักของพระผู้พระมีพระภาค เที่ยว ปรึกษาอยู่ว่าจะทาอย่างไร ขณะท่ีพระอัตตทัตถเถระกลับมีความคิดว่า จะพยายามขวนขวายให้ได้บรรลุ พระอรหันต์ในขณะทย่ี ังทรงพระชนมอ์ ยู่ จงึ ไมย่ อมไปสานกั ของพระศาสดา ภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นน้ันก็กล่าวตาหนิว่า ท่านไม่ช่วยจัดแจงอะไร ๆ ขณะที่เพ่ือนภิกษุต่างก็ ช่วยกัน จึงได้นาเร่ืองไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสให้เรียกมาหา ตรัสถามเหตุผล พระอัตตทัตถเถระได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ท่ีปฏิบัติเช่นนี้เพราะมีความประสงค์จะให้ได้ บรรลุธรรมก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคสดับเช่นน้ัน ก็ตรัสสรรเสริญว่า การทา เชน่ น้นั ไดช้ ่อื ว่าบูชาพระพทุ ธองค์ พร้อมทั้งใหภ้ กิ ษทุ ้งั หลายถอื เอาพระอัตตทตั ถเถระเป็นตวั อยา่ ง อันนภาร,ปรพิ าชก อันนภารปริพาชก ปรากฏช่ือในมหาสกุลุทายิสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย๑๖๑๔ ความระบุว่า อัน นภารปริพาชก เป็น ๑ ในปริพาชกผู้มีชื่อเสียง ได้ไปพักอาศัยอยู่ที่อารามของปริพาชกร่วมกับปริพาชกผู้มี ช่อื เสียงอกี หลายทา่ น เชน่ วรตรปริพาชก สกุลุทายีปริพาชก เป็นต้น เมื่ออยู่รวมกัน ต่างก็ยกประเด็นต่าง ๆ ข้ึนมาสนทนา ระหว่างน้ันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จผ่านมา จึงได้ทรงแวะเข้าวงสนทนา พร้อมทั้งตรัส ถามเรอ่ื งราวที่กาลังสนทนาอยู่ ปริพาชกเหล่านั้นได้ตัดบท ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่พวกตนสนทนากันอยู่ หากแต่กราบทูลถาม พระพุทธเจ้าเกี่ยวกับครู หรือเจ้าลัทธิท้ังหลายที่มีอยู่เวลาน้ี ใครสาวกสักการะ เคารพ นับถือ บูชา อาศัย ครูหรือเจา้ ลทั ธนิ ัน้ อยู่ พระพุทธเจ้าได้ยกตัวอย่างให้เห็น เจ้าลัทธิหลายท่านแม้จะมีช่ือเสียง มีคนจะยกย่อง แต่กลับ ไม่ไดค้ วามเคารพ นับถือ บูชาจากสาวก ยกตัวอย่างครูปูรณกัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจ จายนะ สัญชยั เวลัฏฐบุตร และนคิ รนถ์นาฏบุตร แสดงธรรมอยทู่ า่ มกลางบริษัท สาวกคนอืนก็ยังตะโกนพูด ๑๖๑๑ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๘/๙๔/๔๙. ๑๖๑๒ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๖๖/๘๔. ๑๖๑๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๒๒๔. ๑๖๑๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๓๗/๒๗๘.
๔๐๑ ว่า อย่าถามเรื่องนี้กับครูเหล่านี้ ครูเหล่านี้ไม่รู้ ตนต่างหากที่รู้ หรือบางคร้ังก็มีเสียงเอะอะโวยวาย ไม่มี ใครฟังใคร เป็นต้น ขณะท่ีบริษัทของพระองค์ เมื่อทรงแสดงธรรมอยู่ เพียงแค่มีภิกษุรูปหน่ึงไอขึ้น เพื่อน พรหมจารที ่อี ยู่ขา้ ง ๆ กส็ ะกิดให้เงียบเสียง อยา่ งส่งเสยี งดัง พระผูม้ พี ระภาคกาลังแสดงธรรมอยู่ หลงั ตรัสเทยี บเคียงบรษิ ทั จบแล้ว พระผ้มู ีพระภาคไดท้ รงแสดงธรรมเปน็ เหตุใหท้ าความเคารพ กลา่ วโดยสรุปก็คือ ทรงทาอย่างไร กส็ อนพระสาวกอย่างนั้น เช่น ทรงสอนให้พระสาวกสันโดษ พระองค์ก็ ทาพระองค์สนั โดษ ทรงสอนให้พระสาวกยินดใี นทสี่ งดั พระองค์ก็ยนิ ดใี นทสี่ งดั เปน็ ต้น อมั พปาลี, หญงิ คณกิ า นางอัมพปาลี เป็นชาวเมืองเวสาลี สถานะนางเป็นหญิงงามเมือง ในอรรถกถาสังยุตต นิกาย๑๖๑๕ ใช้คาว่า “หญิงผู้เข้าไปอาศัยรูปเลี้ยงชีพ” เพราะนางมีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณผุดผ่อง ชานาญในการฟ้อนรา ขับร้อง และประโคมดนตรี ค่าตัวคืนละ ๕๐ กหาปนะ ในคัมภีร์๑๖๑๖ ระบุไว้ว่า เพราะนางอัมปาลีนี้แหละที่ทาให้กรุงเวสาลีมีเสน่ห์ และมีความงดงามเป็นพิเศษ และถือเป็นต้นแบบท่ีทา ใหพ้ ระเจา้ พิมพสิ ารแห่งแควน้ มคธได้นามาใช้ในแผ่นดินของพระองค์ นางอัมพปาลี แม้จะเป็นหญิงคณิกา แต่ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ครั้งหนึ่งนาง ทราบว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของนาง นางได้เข้าไปถวายบังคม กราบทูลเสด็จรับ ภตั ตาหารในวนั รุ่งขนึ้ จากนนั้ ก็ได้ถวายสวนมะม่วงแดพ่ ระสงฆม์ ีพระพทุ ธเจ้าเป็นประธาน๑๖๑๗ อน่ึง นางอัมพปาลีมีบุตรชายผู้หนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ออกบวชปรากฏนามว่า พระวิมลโกณทัญญ เถระ๑๖๑๘ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๖๑๙ ระบุว่า พระเจ้าพิมพิสารเมื่อครั้งอยู่วัยหนุ่ม ทราบข่าวความงามของ นางอัมพปาลี จึงปลอมพระองค์ไปเที่ยวที่เมืองเวสาลี และได้เข้าไปร่วมอภิรมย์กับนาง กระทั่งนางได้ ต้ังครรภ์ และพระราชทานทรัพย์เล้ียงดูกระทั่งนางคลอดเด็กผู้ชาย ต่อมาเมื่อเด็กเติบใหญ่ก็ได้บรรพชา และไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ จากหลักฐานในอัมพปาลีเถรีคาถา๑๖๒๐ สรุปความได้ว่า ภายหลังต่อมา นางอัมพปาลีได้ พิจารณาเห็นสัจธรรม เกดิ ความเบอื่ หน่าย ไดอ้ อกบวชเป็นภิกษุณี และได้บาเพ็ญเพียรกระทั่งได้บรรลุเป็น พระอรหนั ต์ ในอรรถกถาขุททนิกาย เถรีคาถา๑๖๒๑ มีเนื้อความเพิ่มเติมว่า เหตุท่ีได้ช่ือว่า อัมพปาลี เพราะ เกิดท่ีใต้ต้นมะม่วง บิดามารดาของนางไม่ปรากฏชื่อ ประวัติระบุไว้แต่เพียงว่า มีคนเฝ้าสวนไปเห็นนางใต้ ต้นมะม่วง จึงได้นามาเล้ียงไว้ คร้ันเติบใหญ่ นางมีรูปร่างสวยงาม เป็นที่หมายตาของพวกเจ้าลิจฉวี ทั้งหลาย กระทั่งเกิดการทะเลาะแย่งชิงกันเพราะนางเป็นเหตุ มีคดีฟ้องร้องถึงศาล สุดท้ายจึงได้มีการต้ัง นางไวใ้ นตาแหน่งหญงิ คณิกา เป็นสมบัติของทกุ คนท่ีปรารถนา ๑๖๑๕ ส.ม.อ.(ไทย) ๕/๑/๓๔๘. ๑๖๑๖ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๒๖/๑๗๙. ๑๖๑๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๖๒/๑๐๘. ๑๖๑๘ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๖๔/๓๒๖. ๑๖๑๙ ข.ุ เถร.อ.๒/๓/๑/๓๒๔. ๑๖๒๐ ขุ.เถร.ี (ไทย) ๒๖/๒๕๒/๕๙๖. ๑๖๒๑ ข.ุ เถร.ี อ.(ไทย) ๒/๔/๓๕๘.
๔๐๒ อมั พฏั ฐมาณพ, อัมพฏั ฐมาณพ เป็นศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ เปน็ ผคู้ งแกเ่ รียน ทรงจามนต์ จบไตรเพท พรอ้ มทงั้ นิฆัณฑุศาสตร์ เกฏศุ าสตร์ อักษรศาสตร์ และประวตั ิศาสตร์ เป็นทยี่ กย่องของอาจารย์ อมั พฏั ฐ มาณพเองก็มั่นใจว่า ตัวเขามีความรเู้ ท่ากับท่อี าจารย์มี๑๖๒๒ ความเป็นคนมีความรู้มาก ทาให้อัมพัฏฐมาณพทะนงตัว เมื่อครั้งเฝ้าพระผู้มีพระภาค มิได้ แสดงความเคารพ แม้เวลาสนทนา ก็เดินไปเดินมา นั่งบ้าง ยืนบ้าง พระผู้มีพระภาคเห็นกิริยาอย่างก็เลย ถามว่า ปกตเิ วลาอยู่กับพวกพราหมณ์ผู้ใหญ่ ปฏบิ ัติตวั อยา่ งนีห้ รอื อัมพัฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ถ้าอยู่กับ พราหมณก์ ็จะปฏิบัติตัวอีกอย่างหนง่ึ แต่เวลานี้อยู่สมณะโล้น เป็นพวกวรรณะต่า เป็นคนรับใช้ การปฏิบัติ ตนอย่างนีก้ ถ็ อื วา่ ถกู ตอ้ งแล้ว พระผุ้มีพระภาคสดับคาของอัมพัฏฐมาณแล้วก็ตรัสตอบไปว่า อัมพัฏฐะเข้าใจว่าตนมี การศึกษา แต่แท้จริงแล้วเป็นไร้การศึกษา เข้าใจว่าตนมีมารยาท แต่แท้จริงแล้ว ไร้มารยาท อัมพัฏฐ มาณพได้ยินอย่างนั้น โกรธ ไม่พอใจ จึงกล่าวระรานถึงบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าว่า จริง ๆ แล้วก็เป็น พวกรับใช้ และตามหลักแล้ว วรรณะกษัตรยิ ์กต็ าม แพศย์ หรอื ศูทรกต็ าม ล้วนต้องบาเรอพราหมณ์ เมอื่ อมั พัฏฐมาณกลา่ วอยา่ งน้นั พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามถึงต้นตระกูลของกัณหายนะว่ามา จากไหน จากน้ันก็ทรงไล่บรรพบุรุษของพระองค์กับบรรพบุรุษของอัมพัฏฐมาณพย้อนหลังไปถึงพระสมัย พระเจ้าโอกกากราชทรงเนรเทศพระราชโอรส พระราชธิดาออกจากเมืองไปสร้างเมืองใหม่ แล้วทั้งหมดก็ ร่วมสามีภรรยากนั เป็นต้นตระกูลของศากยะ ขณะที่ต้นตระกูลของอัมพัฏฐะ เร่ิมต้นจากทาสของพระเจ้า โอกกากราชผ้หู นงึ่ ชอ่ื นางทิสา นางคลอดลูกชายคนหน่ึงช่ือกัณหะ และเด็กคนน้ันแหละคือบรรพบุรุษของ พวกกณั หายนะ เมือ่ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ มาณพท้ังหลายก็ได้ขอร้องพระพุทธเจ้าอย่าตาหนิต้นตระกูลของ อัมพัฏฐมาณพเลย อัมพัฏฐะมีชาติตระกูลดี เป็นลูกผู้มีตระกูล ศึกษามามาก พูดเพราะ ฉลาด สามารถ เจรจาโต้ตอบพระสมณโคดมได้ พระผ้มู พี ระภาคก็ตรสั ตอบว่า ถ้าคดิ ว่ามีชาติตระกูลดี มีความสามารถก็ขอ มาณพทั้งหลายน่ิง แล้วปล่อยให้อัมพัฏฐะได้โต้วาทะต่อไป จากนั้นก็ทรงย้าให้อัมพัฏฐมาณพยืนยันถึง บรรพบรุ ษุ ของตนว่าเปน็ จรงิ ตามท่ีตรัสหรอื ไม่ อัมพัฏฐมาณพถูกย้าถามถึง ๒ ครั้ง ก็ไม่กล้าตอบ พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนว่า ผู้ท่ีพระองค์ ตรัสถามโดยชอบธรรม ถ้าถึงครั้งท่ี ๓ แล้วยังไม่ตอบ ศีรษะจะแตก ๗ เสี่ยง อัมพัฏฐะได้ยินดังน้ันก็ตกใจ ตวั ส่ัน ไดเ้ ขา้ ไปขอร้องให้พระผู้มีพระภาคตรัสย้าอีกคร้ังหนึ่งว่าถามอะไร พระพุทธเจ้าได้ย้าคาถามอีกคร้ัง ใหม้ าณพตอบ อัมพัฏฐมาณพได้ตอบตามความเป็นจริงว่า บรรพบุรุษของตนมาจากนายกัณหะ ซ่ึงเป็นลูก ทาสขี องพระเจ้าโอกกากราชจรงิ ทาให้มาณพทัง้ หลายที่นั่งอยู่ในท่ีประชุมน้ันต่างก็ส่งเสียงอ้ืออึง เพราะได้ ทราบความจรงิ พระผู้มีพระภาคเห็นว่าอัมพัฏฐมาณพรู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยตรัสเล่าถึงนายกัณฑะว่า แม้จะเป็น ลูกคนรับใช้ แต่ต่อมาก็ได้บวชเป็นฤาษี มีวิชาสาคัญ กระทั้งได้ไปทูลขอพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกาก ราชพระนามมัททรูปีมาเป็นภรรยา พระเจ่าโอกกากราชทรงกริ้วมาก ไม่นึกว่าแค่ลูกหญิงคนรับใช้จะ ๑๖๒๒ ที.สี.(ไทย) ๙/๒๕๖/๘๘.
๔๐๓ บังอาจมาทูลขอพระธิดา จึงได้ทรงยกศรขึ้นเตรียมจะยิง แต่ด้วยอานจตบะของฤาษีกัณหะ จึงทาให้ไม่ สามารถทรงปลอ่ ยลกู ธนูได้ สุดท้ายกท็ รงตอ้ งยอมยกพระธดิ าให้กัณหะฤาษี หลังจากตรัสเร่ืองน้ีจบ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสถามอัมพัฏฐมาณพเรื่องวรรณะทั้งหลายว่า วรรณะไหนประเสริฐที่สุด ซ่ึงสุดท้าย อัมพัฏฐมาณพก็ยอมรับเองว่า วรรณะกษัตริย์ประเสริฐท่ีสุด เร่ิม ต้ังแตท่ รงต้งั คาถามวา่ ขตั ติยกุมาร มลี กู กับนางพราหมณี เด็กน้ันได้รับการยกย่องให้นั่งร่วมวงกับกษัตริย์ ได้ ท้ังได้รับสิทธิ์อภิเษกเป็นกษัตริย์ได้ แต่ถ้ากุมารพราหมณ์มีลูกกับขัตติยกัญญา ลูกที่เกิดมาได้สิทธ์ิทุก อย่างที่พราหมณ์ควรจะได้ แต่ไม่สามารถอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้ หรือกรณีพราหมณ์ทาความผิดถูกจับโกน หัวเนรเทศ พราหมณ์นั้นหมดสิทธิ์ทุกอย่างท่ีพราหมณ์ควรจะได้ แต่ขณะเดียวกัน กษัตริย์ทาความผิด ถูก จับปลงพระเกศา และถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น แต่ก็ยังได้รับสิทธ์ิให้นั่งร่วม กินร่วม เรียนมนต์ร่วมกับ พราหมณ์ได้ จากน้ันก็ทรงอ้างคาถาของสุนังกุมารพรหมท่ีกล่าวไว้ว่า ในบรรดาตระกูล กษัตริย์ประเสริฐ ทีส่ ดุ เมื่อเห็นว่าอัมพัฏฐมาณพยอมรับว่าวรรณะกษัตริย์ประเสริฐที่สุดแล้ว ก็ทรงแสดงวิชชา และ จรณะ โดยทรงชี้ให้เห็นว่า ในวิชชาและจรณะน้ี ไม่มีการอ้างถึงชาติ ตระกูล วรรณะ สาธารณะแก่ชน ทั้งหลายผู้ปรารถนา สมควรแก่เวลา อัมพัฏฐมาณพก็อาลากลับ ต้ังแต่บัดนั้นเป็นมา อัมพัฏฐมาณพก็สิ้น พยศต้งั อยู่ในสรณคมน์ อสั สกะ,พระเจ้า พระเจ้าอัสสกะ ปรากฏในอัสสกชาดก๑๖๒๓ ความในอรรถกถา๑๖๒๔ ระบุว่า ทรงเป็นพระราชา ปกครองอยู่ในพระนครปาฏลิ แคว้นกาสี พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า อุพพรี เป็นท่ีรักโปรดปราน ต่อมาพระนางสวรรคต ทาให้พระเจ้าอัสสกะทรงเสียพระทัยมาก ถึงกับไม่ยอมพระราชทานเพลิงศพพระ นาง รับสั่งให้ดองเอาไว้ แลว้ นาไปประดษิ ฐานบนแทน่ ฤาษตี นหน่ึงตรวจดูโลกด้วยทิพจักขุ เห็นพระราชาผู้ทรงเศร้าโศกอยู่ เห็นว่า ควรจะเป็นท่ีพึ่ง ให้กับพระองค์ จึงได้เหาะมาน่ังเหนือแท่นในพระอุทยาน พระราชาหลังจากทรงทราบข่าวแล้ว ก็ได้เสด็จ ไปเย่ียม พร้อมท้งั ปรับทุกข์เรือ่ งพระมเหสีให้ฤาษีทราบ ฤาษีได้แสดงให้พระราชาเห็นว่า ขณะน้ีพระมเหสีได้ไปบังเกิดเป็นหนอนมูลโค จากน้ันก็เรียก นางมาด้วยอานาจฤทธ์ิ พร้อมท้ังให้พระราชาได้ซักถาม นางหนอนได้ตอบตามความเป็นจริงว่า ชาติก่อน นางเปน็ พระมเหสชี องพระเจ้าอัสสกะ ด้วยความหลงในรูป ตายไปแล้วได้บังเกิดในหนอนมูลโค พระราชา เป็นพระสวามีในชาติก่อน แต่เดี๋ยวนี้ต่างภพแล้ว พระเจ้าอัสสกะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จะเอาเลือดใน ลาคอมาลา้ งเท้าของหนอนโคมัยผเู้ ปน็ ผัวกไ็ ม่รสู้ กึ อะไร พระเจ้าอัสสกะได้สดับนางหนอนมูลโคกล่าวอย่างนั้นก็เกิดความสลดพระทัย สร่างจากความ โศกเศร้า รับสั่งให้ย้ายพระศพของพระเทวีออกไป ทรงสนานพระเศียรแล้วไหว้ฤาษี เสด็จเข้าไปในพระ นคร ทรงอภิเษกสตรีอ่ืนเปน็ อัครมเหสี ครองราชย์สมบตั โิ ดยธรรม ๑๖๒๓ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๓๓/๙๔. ๑๖๒๔ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๓๐๕.
๔๐๔ อัสสช,ิ พระ พระอัสสชิ เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ และเป็น ๑ ในกลุ่มพระปัญจวัคคีย์ อันประกอบไปด้วย พระอญั ญาโกญทัญญะ, พระวปั ปะ,พระภทั ทิยะ,พระมหานามะ,และพระอัสสชิ ทั้งหมดบวชตามเสด็จตาม เจ้าชายสิทธัตถะด้วยหวังว่า เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะได้มีส่วนแห่ง ธรรมน้ันด้วย เพราะมีความเช่ือตั้งแต่ต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะต้องออกผนวช และบรรลุเป็นพระ สมั มาสัมพุทธเจา้ แนน่ อน แม้พระอัสสชิจะไม่ค่อยมีบทบาทเด่นมากนัก แต่ช่ือเสียงของท่านก็ได้รับการกล่าวถึงในฐานะ ทท่ี า่ นเป็นผู้ทีพ่ ระสารบี ุตรให้ความเคารพมาก ดังที่ทราบกันคือ หากทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใด พระ สารีบุตรกจ็ ะนอนหันศรี ษะไปทางทศิ น้นั ขณะเดยี วกันหลกั ฐานจากคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก สะท้อนใหเ้ ห็นว่า ท่านเป็นพระสาวกอีกรูปหนึ่ง ท่ีมีปฏิปทางดงาม ดังข้อความตอนหนึ่งว่า “ขณะน้ันเวลาเช้า พระอัสสชิครองอันตรวาสก ถือบาตรและ จีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ มีกิริยาที่ก้าวไป ถอยกลับ แลดู เหลียวดู คู้เข้า เหยียดออก น่า เลอ่ื มใส มีจักษทุ อดลง ถงึ พรอ้ มด้วยอริ ิยาบถ” ๑๖๒๕ ในคัมภีรม์ ัชฌิมนกิ าย มเี รอื่ งราวเกย่ี วกบั พวกสัจจกนิครณ์เข้าไปถามพระอัสสชิว่า พระศาสดา สอนว่าอย่างไร เมื่อพระอัสสชิตอบไปว่า พระศาสดาสอนเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณไม่ เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สัจจกนิครนถ์ก็เห็นว่าเป็นช่องท่ีจะต้อนพระพุทธเจ้าให้จน จึงได้เข้าเฝ้าทูล ถามปัญหากับพระพุทธเจ้า แต่ก็ถูกพระพุทธเจ้ารุกต้อนจนยอมจานน ประกาศตนเป็นผู้นับถือพระ รัตนตรยั และไดน้ มิ นตพ์ ระพุทธเจ้าไปกระทาภัตกจิ ท่ีเรือนของตน๑๖๒๖ พระอัสสชิปรินิพพานทไี่ หน เม่อื ไหร่ ไม่มหี ลกั ฐานปรากฏ มีเพียงหลักฐานชิ้นเดียวในคัมภีร์สัง ยุตตนิกายพรรณนาถึงว่า ท่านอาพาธหนักอยู่ท่ีกัสสปาราม และมีความประสงค์จะถวายอภิวาท พระพทุ ธเจ้า ทา่ นจงึ ไดส้ ่งลกู ศิษยไ์ ปกราบทลู อญั เชญิ พระพุทธเจ้าเสด็จมาอนเุ คราะห์ พระพุทธเจ้าได้อาศัยความอนุเคราะห์ จึงได้เสด็จมา และทรงปฏิสันถารกับพระอัสสชิด้วย อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนตั ตลกั ษณะ๑๖๒๗ อัสสช,ิ พระ พระอัสสชิรูปน้ีเป็น ๑ ในกลุ่มพระฉัพพวัคคีย์ ซ่ึงต้นเหตุของการบัญญัติพระวินัยหลาย สิกขาบท ท่านจบั คกู่ บั พระปนุ พั พสกุ ะแลว้ ไปสร้างสานกั อยทู่ ี่กิฎาคีรชี นบท ทาการสงเคราะห์ชาวบ้านด้วย ดอกไม้ ผลไมท้ ต่ี นปลูกขนึ้ จนทาให้บรษิ ทั ใหญ่ข้นึ และกอ่ อธิกรณต์ ่าง ๆ ใหค้ ณะสงฆอ์ ยูเ่ นอื ง ๆ๑๖๒๘ อัสสลายนะ, มาณพ อัสสลายนมาณพ เป็นพราหมณ์หนุ่มเป็นชาวเมืองสาวัตถี อายุได้ ๑๖ ปี ก็เรียนจบไตรเพท พร้อมท้ังศาสตร์ต่าง ๆ ของพราหมณ์ท้ังหมด พวกพราหมณ์ท้ังหลายเห็นว่าเขามีความฉลาด สามารถ โตต้ อบกบั พระพุทธเจ้าได้ จึงไดเ้ ข้าไปหา พรอ้ มกับขอร้องใหท้ าหนา้ ท่ีโตว้ าทะกบั พระพุทธเจา้ ๑๖๒๕ วิ.ม.(ไทย) ๔/๖๐/๗๒. ๑๖๒๖ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๔/๓๙๐. ๑๖๒๗ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๘/๑๖๓. ๑๖๒๘ ดฉู ัพพวคั คียภ์ กิ ษุ.
๔๐๕ อสั สลายนมาณพทนรบเรา้ ตอ่ เหล่าพราหมณ์ไม่ไหว จึงรับปาก จากน้ันก็ชวนกันไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคด้วยคณะหมู่ใหญ่ เมื่อสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจแล้ว ก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พราหมณ์กล่าว่า พราหมณ์เป็นวรรณะที่ประเสริฐสุด วรรณะขาวคือพราหมณ์ วรรณะอ่ืนดา พราหมณ์ เท่านั้นบริสุทธ์ิ วรรณะอื่นไม่บริสุทธ์ิ พราหมณ์เท่าน้ันเป็นบุตรเกิดจากโอษฐ์ของพรหม เป็นทายาทของ พรหม ขอ้ น้ี พระองคเ์ หน็ ประการใด พระพุทธเจ้าสดับอัสสลายนมาณพพูดอย่างน้ันก็ตรัสว่า นางพราหมณีท้ังหลายมีระดูบ้าง มี ครรภ์บ้าง คลอดบุตรบ้าง ให้บุตรดื่มนมบ้าง ก็เห็นอยู่ พราหมณ์เหล่านั้นออกจากช่องคลอดของนาง พราหมณีเหมือนกันหมด แล้วทาไมถึงกล่าว่า วรรณะพราหมณ์เท่าน้ันประเสริฐท่ีสุด แคว้นโยนกกับ แคว้นกมั โพชะ และปัจจันตชนบทอืน่ ๆ มีวรรณะ ๒ พวกเท่าน้ัน คือ เจ้า กับ ทาส เป็นเจ้า บางครั้งก็กลับ เป็นทาส เป็นทาสแล้ว บางครั้งก็กลับเป็นเจ้า พวกพราหมณ์ยังจะยินดีว่าพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐที่สุด อย่อู ีกหรอื พระพทุ ธเจา้ ได้ตรสั ตอ่ ไปอีกว่า พวกกษัตรยิ เ์ ท่าน้ันท่ีประพฤติชั่วมีทาปาณาติบาตเป็นต้น ตาย ไปแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พวกพราหมณ์ประพฤติชั่ว ตายไปแล้วไม่ต้องไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก พราหมณ์ก็ยืนยันว่า ไม่ใช่อย่างน้ัน กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ประพฤติช่ัวมี ทาปาณาติบาตเป็นต้น ล้วนเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต และนรกเหมอื นกันหมด เมอื่ อัสสลายนมาณพยนื ยนั อยา่ งนั้น พระผ้มู พี ระภาคได้ตรัสยอ้ นถาม เม่ือเสมอเหมือนกันด้วย การกระทาอย่างนี้ แล้วจะว่าพราหมณ์ประเสริฐที่สุดได้อย่างไร แท้จริง บุคคลจะประเสริฐ ไม่ประเสริฐ ไม่ใชเ่ พราะวรรณะ ชาติ หรือโคตร หากแต่ด้วยการกระทา หลังจากสนทนาแลว้ อัสสลายนมาณพได้ช่ืนชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค พร้อมกับแสดงตน เปน็ อุบาสก ถงึ สรณะตลอดชวี ติ จาเดมิ แตว่ ันนนั้ ๑๖๒๙ อสั สาโรหะ, ผู้ใหญบ่ า้ น ผู้ใหญ่บ้านช่ืออัสสาโรหะ ปรากฏช่ือมในอัสสาโรหสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๖๓๐ ความระบุไว้ว่า อัสสาโรหะได้เขา้ ไปกราบทูลถามปญั หาถึงกรณีถกู อาจารยส์ อนสืบๆ ต่อกันมาว่า ผู้ที่เป็นทหารฆ่าศัตรูตาย ในสนามรบ จะได้ขนึ้ สวรรค์เป็นสหายร่วมกับเหล่าเทวดาชอ่ื สรชติ ขอ้ เท็จจริงเป็นอย่างไร พระผมู้ พี ระภาคทรงหา้ มไมใ่ ห้ผู้ใหญ่บ้านถามถึง ๓ ครั้ง แต่เมื่อทรงเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านยังดื้อรั้น ต้องการคาตอบ จึงได้ตรัสตอบตามความเป็นจริงว่า แท้จริงแล้ว ทหารท่ีอยู่ในสนามรบ จิตย่อมผูกพันอยู่ กับการสั่งการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการฆ่า การเบียดเบียน เมื่อเป็นเช่นน้ัน ฉะนั้น เมื่อตายไป ย่อมไป บังเกิดในนรกชื่อสรชิต แต่ถ้าเขามีความเช่ือว่า การต่อสู้ในสนามรบ แล้วถูกฆ่าตาย เขาจะได้บังเกิดใน สวรรคช์ อ่ื สรชิต ความเห็นดังกล่าวน้ีก็เป็นมจิ ฉาทิฏฐิ มิจฉาทฏิ ฐิยอ่ มมคี ติ ๒ ประการ คอื นรก หรือกาเนิด สัตว์เดรัจฉาน เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ผู้ใหญ่บ้านช่ืออัสสาโรหะถึงกับร้องไห้ เสียใจท่ีถูกหลอกมา เป็นระยะเวลายาวนาน เพิ่งมาทราบความจริงในวันนี้ จากนั้นก็ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค และได้ แสดงตนเปน็ อบุ าสกถึงพระรัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ิต ๑๖๒๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๑๓/๕๑๕. ๑๖๓๐ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๓๕๗/๓๙๙.
๔๐๖ อากาสโคตร, นายแพทย์ นายแพทย์อากาสโคตร ปรากฏชื่อในสตั ถกมั มปฏิกเขปกถา แห่งพระวนิ ัยปิฎก๑๖๓๑ ความระบุ แต่เพียงว่า เปน็ นายแพทยท์ ีท่ าการผ่าตัดริดสดี วงทวารใหแ้ ก่ภิกษรุ ูปหนึ่ง เมือ่ พระผมู้ ีพระภาคเจ้าเสด็จเข้า ไปใกล้ เขาได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรวัจมรรคของภิกษุรูปนั้น พร้อมพูดว่า “เหมือนปาก เหี้ย” ทรงดาหริว่าโมฆบุรุษน้ีเยาะเย้ยพระองค์ จึงเสด็จกลับ และส่ังเรียกภิกษุมาประชุมกัน พร้อมทั้ง พร้อมทั้งบัญญัติสิกขาบทห้ามทาการผ่าตัดในบริเวณที่แคบ เพราะในท่ีแคบผิวเนื้ออ่อน แผลหายยาก ผ่าตัดลาบาก รูปให้ใหผ้ ่าตดั ต้องปรบั อาบัตถิ ุลลจั จยั อาฬารดาบส อาฬารดาบส ถือเป็นครูคนแรกของพระพุทธเจ้าเมื่อคร้ังเสด็จออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม เกิดในตระกูลกาลามโคตร ในคัมภีร์๑๖๓๒ ระบุว่า “เป็นบัณฑิต ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีในตา น้อย” และเป็นบุคคลแรกที่พระพุทธเจ้าทรงนึกถึงเมื่อครั้งตรัสรู้ และดาหริที่จะแสดงธรรมเป็นคร้ังแรก แต่เวลานั้น อาฬารดาบสไดท้ ากาละไปแล้ว ๗ วัน อาฬารดาบส ได้สาเร็จสมาบัติ ๗ ประการ เป็นผู้มีสมาธิสูง ในทีฆนิกาย๑๖๓๓ ได้พรรณนาว่า เม่ือคร้ังท่านสมาธิอยู่ท่ีโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง คาราวานเกวียน ๕๐๐ เล่มเดินผ่าน ผ้าของท่านเป้ือนฝุ่น แต่ ท่านก็ไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง เพราะขณะน้ันท่านเข้าฌานอยู่ ปุกกุสะ โอรสของเจ้ามัลละ ซึ่งเป็นศิษย์คน หนงึ่ ของทา่ นเคยไดย้ กเรื่องนป้ี รารภ และยกยอ่ งตอ่ หนา้ พระพกั ตรพระพุทธเจ้าเม่ือคร้ังเดินทางไปเมืองกุสิ นารา พระพทุ ธเจา้ ของเรา เมอ่ื คร้งั เสดจ็ ออกผนวชเปน็ บรรพชติ เม่อื ผนวชแลว้ ก็ได้ออกแสวงหาทาง อันประเสริฐ ก็ได้เข้าไปอาศัยอาฬารดาบส และประพฤติพรหมจรรย์ในสานักของอาฬารดาบส กระท่ัง เรียนจบในลัทธิ คือถึงอากิญจัญญายตนสมาบัติ ซึ่งเป็นสมาบัติข้ันที่ ๗ ก็เห็นว่ายังไม่ใช่หนทางตรัสรู้ จึง ได้อาลาจากเพอ่ื แสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นต่อไป๑๖๓๔ อานนั ทเศรษฐี อานนั ทเศรษฐี ปรากฏในอานันทเสฏฐิวัตถุ แห่งขุททนิกาย ธรรมบท๑๖๓๕ พระผู้พระภาคตรัส ปรารภพระคาถาว่า คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า เรามีบุตร เรามีทรัพย์ แท้จริง ตัวตนก็ไม่มี บุตรและทรัพย์ จกั มแี ต่ท่ีไหน ในอรรถกถาธรรมบท๑๖๓๖ มีรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ดังนี้ อานันทเศรษฐี เป็นเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่ มักสอนบุตร ของตนอยู่เนืองๆ ว่า อย่าคิดว่าทรัพย์ ๘๐ โกฏิมาก ใช้ทุกวันก็หมดได้ เหมือนยาหยอดตา ควรทาตัว ๑๖๓๑ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๗๔/๗๙. ๑๖๓๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๐/๑๕. ๑๖๓๓ ที.สี.(ไทย) ๑๐/๑๙๒/๑๔๑. ๑๖๓๔ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๒๗๗/๓๐๐. ๑๖๓๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๖๒/๔๖. ๑๖๓๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๑๘๒.
๔๐๗ เหมือนผ้ึง เหมือนปลวก ส่งั สมทีละเลก็ ทีละน้อยก็ทาให้มากได้ วันหน่ึงอานันทเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมลง มูล สริ บิ ุตรชายกไ็ ดร้ ับการแตง่ ตัง้ ให้ดารงตาแหนง่ แทนบดิ า อานันทเศรษฐี คร้ันตายแล้วก็ไปปฏิสนธิในท้องหญิงจัณฑาลคนหน่ึง ครอบครัวยากจนมาก ซา้ รา้ ยยังถกู เพอ่ื นบ้านรังเกียจ กลา่ วหาวา่ เป็นคนกาลกณิ ี เพราะหน้าตาพิกลพิการไม่เหมือนเด็กทั่วไป ซ้า ต้ังแต่เด็กทารกถือกาเนิดมา คนในหมู่บ้านต่างก็อดอยากแร้นแค้นหนักกว่าเดิม สุดท้ายจึงถูกขับออกจาก หมู่บ้าน เทีย่ วเรร่ อ่ นขอทาน วันหน่ึงเด็กขอทานดังกล่าวได้เที่ยวขอทานไปกระท่ังถึงบ้านมูลสิริบุตรชาย เกิดระลึกได้ว่า เป็นบ้านของตน จึงได้เดินเข้าไป ทาให้คนในบ้านแตกตื่น มูลสิริบุตรชายเองก็สั่งให้คนในบ้านไล่ทุบตี กระทงั่ เดก็ ขอทานได้รับบาดเจ็บนอนอยูท่ ี่ใกล้กองขยะ วันน้ันพระศาสดา มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม ได้เสด็จบิณฑบาตผ่านเรือนของมูลสิริเศรษฐี พอดี ครน้ั ทรงทอดพระเนตรเห็นขอทานนอนบาดเจ็บอยู่ ก็รับสงั่ ให้เรียกมลู สิรมิ า จากนนั้ ก็ตรัสถามว่ารู้จัก เดก็ คนนี้ไหม เมอื่ มลู สริ ปิ ฏิเสธว่าไม่รู้จกั จงึ ตรสั บอกความจริงให้ทราบว่า แท้จริงแล้ว เด็กผู้นี้ก็คืออานันท เศรษฐีที่ตายไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ และเพื่อจะพิสูจน์ให้มูลสิริยอมรับ จึงตรัสให้เด็กขอทานบอกท่ี ซอ่ นทรัพยท์ ้งั หมด พระผูม้ พี ระภาคได้ยกกรณีบิดาของมูลสิริมาเป็นตัวอย่าง ตรัสเทศนาส่ังสอนให้มูลสิริต้ังอยู่ใน สมั มาทฏิ ฐิ ไม่ประมาทในชวี ิต มที รพั ย์แล้วก็ใชเ้ กิดประโยชน์ ไมป่ ระมาท เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนจาต้อง ละท้งิ สิง่ ท้งั ปวงไป อานนท์,พระ พระอานนท์มีศักด์ิเป็นพุทธอนุชา เป็นพระโอรสของเจ้าอมิโตทนะ ซ่ึงเป็นพระอนุชาในพระ เจ้าสุทโธทนะแห่งแคว้นสักกะ ต่อมาได้เสด็จออกผนวช และได้เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ได้รับ กาการยกย่อง สรรเสริญจากพระพทุ ธเจา้ หลายประการ ทั้งยังมีบทบาทสาคัญต่อพระพุทธศาสนา ท้ังก่อน และหลงั พุทธปรนิ ิพพานไปแลว้ ประมวลสรปุ ไดด้ งั นี้ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับที่อนุปิยนิคมของพวกมัลลกษัตริย์๑๖๓๗ เจ้าอานนท์ได้ตามเสด็จ พระเจ้าภัททิยะ เจ้าอนุรุทธะ เจ้าภคุ เจ้ากิมพิละ และเจ้าเทวทัตกับอุบาลีซึ่งเป็นช่างกัลบก ออกบวช พร้อมกัน โดยกราบทูลขอให้บวชนายอุบาลีก่อน เจ้าชายท้ัง ๖ บวชภายหลัง ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดทิฏฐิ มานะของเจ้าศากยะ พระพุทธเจ้าทรงผนวชให้ตามพระประสงค์ โดยในส่วนของพระอานนท์นั้น มี พระเวลฏั ฐสีสะเป็นพระอปุ ัชฌาย์๑๖๓๘ และได้บรรลุโสดาบนั ภายในพรรษาแรกนั่นเอง๑๖๓๙ ในอานันทสูตร๑๖๔๐ มีข้อความระบุว่า พระอานนท์ได้บรรลุโสดาบันเพราะฟังธรรมจากพระ ปุณณมันตานีบุตร โดยได้ท่านปรารภเรื่องการบรรลุธรรมของท่านกับภิกษุท้ังหลายว่า พระปุณณมันตานี บุตร มีอุปการะแก่ท่าน ได้สั่งสอนท่านเรื่องความยึดม่ันถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าเปน็ เหตใุ ห้เกิดตัวตน เราเขา แตห่ ากรู้จกั ขันธ์ ๕ ตามความจริงโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตาแล้ว ย่อมถอนทิฏฐใิ นเร่อื งตวั ตน เราเขาได้ จากธรรมเทศนาน้ีเอง ทาให้ทา่ นได้ดวงตาเห็นธรรม ๑๖๓๗ ดรู ายละเอยี ด วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๓๐/๑๖๗. ๑๖๓๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๖๔/๔๘. ๑๖๓๙ วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๓๑/๑๗๒. ๑๖๔๐ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๓/๑๔๒.
๔๐๘ ช่วงระหว่างพรรษาแรก-พรรษาที่ ๒๐ ยังไมม่ ผี ้ใู ดเปน็ พทุ ธอปุ ฎั ฐากประจา ภิกษุหลายรูป เช่น พระนาคิตะ, พระอนุรุทธะ, พระสุนักขัตตะ, พระอุปวาณะ, สามเณรจุนทะ เป็นต้น ผลัดเปล่ียนทาหน้าที่ พุทธอุปัฏฐาก บางรูปขณะทาหน้าที่อุปัฏฐาก ก็ละเลยหน้าท่ี ปลีกตัวออกไปบาเพ็ญสมณธรรมตาม ความชอบใจของตน ทาใหพ้ ระผู้มพี ระภาคเจา้ ไดร้ บั ความลาบาก ไม่มคี นรับสนองงานท่ีใกล้ชิด จึงได้รับสั่ง ใหภ้ กิ ษุประชมุ กันตรสั ถามความสมัครใจ สดุ ท้ายทรงคัดเลือกพระอานนท์ ทาหน้าท่ีเป็นพุทธอุปัฏฐาก๑๖๔๑ โดยก่อนรับหนา้ ที่ พระอานนท์ได้กราบทลู ขอพร ๘ ประการ คอื ๑. อย่าประทานจีวรอนั ประณีตแก่ข้าพระองค์ ๒. อย่าประทานบิณฑบาตอันประณตี แกข่ ้าพระองค์ ๓. อยา่ ให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทบั รว่ มกบั พระองค์ ๔. อยา่ พาข้าพระองค์ไปในท่ีมผี ้นู ิมนต์ ๕. ขอใหพ้ ระศาสดาเสด็จไปยังนิมนตท์ ีข่ ้าพระองคร์ บั ไว้ ๖. ขอใหข้ า้ พระองคน์ าบรษิ ทั ผ้มู าแต่ท่ีไกลเข้าเฝ้าไดเ้ สมอ ๗. ขอให้ข้าพระองค์เขา้ เฝ้าทูลถามความสงสยั ได้ทุกครง้ั ๘. เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเร่ืองอะไร ท่ีไหน ซ่ึงข้าพระองค์มิได้ฟัง ขอให้ตรัส เทศนาธรรมนนั้ แก่ขา้ พระองคด์ ว้ ย อน่ึง ในบรรดาพรท้ัง ๘ ประการนี้ พร ๔ ข้อแรก พระอานนท์เถระขอเพ่ือป้องกันความ บริสุทธ์ิสาหรับตนเอง เพื่อมิให้มีผู้ตาหนิว่ารับหน้าท่ีอุปัฏฐากเพราะเห็นแก่ผลตอบแทน พรข้อ ๕-๖ เพื่อ ป้องกันข้อครหาว่าไม่อาจอนุเคราะห์พุทธบริษัทได้ทั้งท่ีเป็นพระอุปัฏฐาก ส่วนพรข้อ ๘ ประการสุดท้าย เพ่ือป้องกันข้อครหาว่าเป็นเสมือนกบเฝ้าอยู่ใกล้สระไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเร่ืองอะไร แก่ ใคร ที่ไหน อยา่ งไร ครนั้ พระอานนทท์ ลู ขอพร ๘ ประการอยา่ งนแ้ี ลว้ พระศาสดากท็ รงอนญุ าตตามท่ีขอ ต้ังแต่น้ัน มาพระอานนท์ก็ทาหนา้ ทอ่ี ปุ ฏั ฐากพระศาสดาดว้ ยความไม่ประมาท รวมระยะเวลายาวนานถึง ๒๕ ปี๑๖๔๒ ด้วยเหตทุ ีท่ า่ นอยู่รบั ใช้ใกลช้ ิดพระศาสดา ได้ฟังธรรมท่ีทรงแสดงแก่ตน และผู้อ่ืน ทาให้ท่านมีสติทรงจาไว้ พระพทุ ธพจน์ไว้ได้มาก จงึ เปน็ ผ้ฉู ลาดในการแจกแจงกิจกต่าง ๆ ใหเ้ ป็นไปด้วยความเรียบร้อย พระศาสดา จึงทรงยกย่องสรรเสริญวา่ เป็นเลิศกวา่ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ๕ อยา่ งคอื ๑. เป็นพหูสตู ร ๒. มีสติ ๓. มีคติ ๔. มคี วามเพียร ๕. เป็นพทุ ธอปุ ฏั ฐาก ด้วยเหตุท่ีท่านขยันเรียน และมีความจาดีนี่เอง ท่านจึงได้รับยกย่องว่าเป็นพหูสูต เป็นธรรม ภัณฑาคาริก ทรงจาพระพุทธพจน์ได้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คือท่านเรียนจากพระพุทธองค์ ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์และเรียนจากเพ่ือนสหธรรมมิกอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์๑๖๔๓ แม้ท่านจะเป็น ๑๖๔๑ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๖/๑๕. ๑๖๔๒ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๖/๑๕. ๑๖๔๓ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๑๐๒๗/๕๐๘.
๔๐๙ เพียงพระโสดาบันก็ตาม แต่ท่านก็มีปัญญาแตกฉานในปฏิสัมภิทา มีความรู้เช่ียวชาญในเร่ืองปฏิจจสมุป บาท จงึ สามารถสั่งสอนศษิ ยไ์ ดม้ ากมาย ศิษย์ของท่านส่วนมากก็เปน็ พหสู ตู เชน่ เดยี วกับท่าน เกียรติคุณอีกอย่างหนึ่งที่ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้า คือ มีฝีมือในการออกแบบจีวรท่ี พระสงฆ์ใช้อยูใ่ นปจั จบุ นั ในมหาวรรค แห่งพระวินัยปิฎก๑๖๔๔ มีเรื่องพรรณนาไว้ว่า คร้ังหน่ึง พระผู้มีพระ ภาคเสด็จจากนครราชคฤหไ์ ปสู่ทักขิณาคิรีชนบท ได้ทอดพระเนตรเห็นคันนาของชาวมคธเป็นรูปสี่เหล่ียม จตุรัส มีคันนาส้ัน ๆ ค่ันในระหว่าง จึงตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า สามารถทาจีวรอย่างนั้นได้ไหม ท่าน กราบทูลรับวา่ สามารถทาได้ หลังจากน้นั ทา่ นเย็บจีวรแล้วนาไปถวายให้ทรงทอดพระเนตร พระผู้มีพพระ ภาคได้ทอดพระเนตรแล้ว ตรัสชมเชยในท่ามกลางสงฆ์ว่า อานนท์เป็นบัณฑิต มีปัญญามาก เข้าใจ ความหมายทพ่ี ระองคก์ ล่าวยอ่ ๆ ไดอ้ ยา่ งพสิ ดาร นอกจากน้ีพระอานนท์เป็นผู้ที่ประหยัดและฉลาดในเรื่องน้ีมาก ดังเหตุการณ์ที่พระมเหสีของ พระเจา้ อุเทน แห่งนครโกสมั พี เส่อื มใสในการแสดงธรรมของพระอานนท์ จึงได้ถวายจีวรจานวน ๕๐๐ ผืน แด่พระอานนท์ เมื่อพระเจ้าอุเทนทราบจึงตาหนิพระอานนท์ว่ารับจีวรไปจานวนมาก เม่ือได้โอกาสจึง นมัสการถามว่าเอาจีวรไปทาอะไร พระอานนท์ถวายพระพรโดยละเอียด ทาให้ทรงเล่ือมใสพระอานนท์ และนาผ้ามาถวายอกี จานวน ๕๐๐ ผืน๑๖๔๕ ภายหลังจากที่พระเจ้าสุทโธทนะสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางมหาปชาบดี ได้มีศรัทธาที่จะออก อุปสมบทเป็นภิกษุณี จึงเสด็จพร้อมด้วยเหล่าศากยกุมารีหลายพระองค์ ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้า แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามเสีย แม้พระนางจะได้กราบทูลขอถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรง ประทานพระพุทธานุญาต ทาให้พระนางเสียพระทัยมาก จึงทรงร้องไห้อยู่หน้าประตูป่ามหาวัน พระ อานนท์ทราบเข้า ปรารถนาจะช่วยเหลือพระนางให้สมพระประสงค์ จึงได้ไปกราบทูลขอสมเด็จพระ สัมมาสมั พุทธเจา้ โดยอ้างเหตผุ ลตา่ งๆ ทาให้สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานพระพุทธานุญาต โดยมี เงอื่ นไขว่าจะต้องรับครุธรรม ๘ ประการก่อน ถึงจะอุปสมบทได้ จากน้ันได้ทรงแสดงครุธรรม ๘ ประการ แก่พระอานนท์ และพระอานนท์นาครุธรรม ๘ ประการนั้นไปบอกแก่พระนางมหาปชาบดี ซ่ึงพระนางก็ ทรงยอมรับครธุ รรมนน้ั และได้อุปสมบทเป็นภกิ ษุณรี ปู แรกของพระพทุ ธศาสนา๑๖๔๖ ภายหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว พระมหากัสสปเถระเจ้าได้ดาริจะให้มีการ ทาสังคายนาพระธรรมวินัย พระมหาเถระได้รับอนุมัติจากสงฆ์ให้เลือกพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระธรรม วินัย จานวน ๕๐๐ รูป เพื่อทาปฐมสังคายนา ท่านพระมหากัสสปเถระเลือกได้ ๔๙๙ รูป๑๖๔๗ อีกรูปหน่ึง ท่านไมย่ อมเลอื ก ความจรงิ ทา่ นต้องการจะเลือกเอาท่านพระอานนท์ แต่ขณะนั้นท่านพระอานนท์ยังไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ คร้ันจะเลือกท่านพระอานนท์ก็เกรงจะถูกครหาว่า \"เห็นแก่หน้า\" เพราะท่านรักพระ อานนทม์ าก แต่ครน้ั จะเลอื กภกิ ษอุ น่ื ไม่เลอื กท่านพระอานนท์ ก็เกรงวา่ การทาสังคายนาคร้ังนี้จักไม่สาเร็จ ผลด้วยดี เพราะท่านพระอานนท์ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นพหุสูต เป็นธรรมภัณฑาคาริก จึงได้ ระบุช่ือพระเถระอ่ืนๆ ๔๙๙ รูป แล้วน่ิงเสีย ต่อเม่ือพระสงฆ์ลงมติว่าท่านพระอานนท์ควรจะเข้าร่วมทา สังคายนาครงั้ นี้ด้วย ทา่ นจึงไดร้ บั เขา้ เปน็ คณะสงฆ์ผจู้ ะทาสงั คายนา ครบจานวน ๕๐๐ รูป ๑๖๔๔ วิ.ม.(ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๓. ๑๖๔๕ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๔๕/๓๘๙. ๑๖๔๖ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๐๒/๓๑๓. ๑๖๔๗ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๖.
๔๑๐ เมื่อได้รับคัดเลือกแล้ว ท่านได้เดินทางจากนครกุสินารากลับไปยังนครสาวัตถีอีก ในระหว่าง ทางท่านไดแ้ สดงพระธรรมเทศนาแกป่ ระชาชนจานวนมากทีเ่ ศรา้ โศกเสยี ใจในการปรินิพพานของพระพุทธ องค์ เมื่อถงึ พระเชตวันมหาวิหาร ท่านก็ได้ปฏิบัติปัดกวาดพระคันธกุฏีเสมือนเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระ ชนม์อยู่ นอกจากปฏิบัติพระคันธกุฏีแล้ว ท่านได้ใช้เวลาส่วนมากให้หมดไปด้วยการยืนและนั่ง ไม่ค่อยจะ ไดจ้ าวัด ดว้ ยเหตุนเ้ี องจึงทาให้ท่านไม่สบาย ต้องฉันยาระบายเพ่ือให้กายเบา ครั้นให้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ท่ีชารุดในพระเชตวันสาเร็จแล้ว พอใกล้วันเข้าพรรษาจึงได้ออกเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์ เพ่ือร่วมทา สงั คายนา เมอ่ื ถึงแล้ว ท่านไดท้ าความเพยี รอย่างหนกั เพ่อื ใหส้ าเร็จอรหัตตผลก่อนการทาสังคายนาแต่ก็ยัง ไม่สาเร็จ เพื่อน ๆ ได้ตักเตือนท่านว่า ในวันรุ่งขึ้นท่านจะต้องเข้าไปน่ังในสังฆสันนิบาตแล้ว ท่านเองเป็น พระเสขบุคคลอยู่ ขอให้ทาความเพียร อย่าประมาท ในคืนนั้น ท่านได้เดินจงกรม กาหนดกายคตาสติ จน จวบปัจจสุ มัยใกล้รงุ่ จงึ ลงจากทจี่ งกรม หมายใจจะหยดุ นอนพกั ผอ่ นในวิหารสกั คร่กู ่อน เพราะท่านปรารภ ความเพยี รเทา่ ไหร่ก็ยงั ไมส่ นิ้ อาสวะซักที แต่พอเอนกายลงนอน ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้าท้ังสองยัง ไมพ่ น้ จากพนื้ กไ็ ดส้ าเร็จเปน็ พระอรหันต์ ในอริ ิยาบถที่ไมไ่ ด้ ยนื เดนิ น่งั นอน ครั้นถึงเวลาประชุมทาสังคายนา พระมหาเถระรูปอื่น ๆ ก็พากันไปยังธรรมสภา ณ ถ้า สัตตบรรณคูหา เขตเมืองราชคฤห์ กันอย่างพร้อมเพรียง และต่างรูปต่างก็นั่งอยู่ ณ อาสนะของตน ๆ แต่ อาสนะของทา่ นพระอานนทย์ ังว่างอยู่ เพราะท่านพระอานนท์คิดใคร่จะประกาศให้พระมหาเถระท้ังหลาย ได้ทราบว่า ท่านได้สาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่ได้ไปพร้อมกับพระเถระอ่ืน ๆ เม่ือกาหนดกาลเวลา พอเหมาะแลว้ ท่านจงึ แทรกดินลงไป และผุดขึ้น ณ อาสนะแห่งตน แต่บางท่านกล่าวว่า ท่านเหาะไปทาง อากาศตกลงบนอาสนะของทา่ น ก่อนการสังคายนาพระธรรมวินัยจะเริ่ม พระมหากัสสปเถระได้ตั้งปัญหาหลายประการ แก่ พระอานนท์ อาทิ การใช้เท้าหนีบผ้าของพระศาสดาในขณะปะหรือชุนผ้า การไม่อาราธนาให้สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ดารงพระชนม์อยู่ แม้จะได้ทรงแสดงนิมิตโอภาสหลายคร้ัง ก่อนที่พระองค์จะปลงสังขาร การเป็นผู้ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชในพุทธศาสนา การไม่กราบทูลถามเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย ท่ีพระ พุทธองค์ตรัสให้สงฆ์ถอนได้ว่าคือสิกขาบทอะไรบ้าง และการจัดสตรีให้เข้าไปถวายบังคมพระพุทธสรีระ ก่อนบรุ ษุ ภายหลงั ปรนิ ิพพาน ทาให้น้าตาของสตรีเหล่านั้นเป้ือนพระพุทธสรีระ ถึงแม้พระอานนท์เถระจะ อ้างเหตุผลมากล่าวแก่ทีป่ ระชุมสงฆ์ แต่เม่ือที่ประชุมสงฆ์เห็นว่าเป็นอาบัติ ท่านก็แสดงอาบัติต่อสงฆ์ หรือ แสดงการยอมรับผิด๑๖๔๘ การแสดงอาบัติของพระอานนท์นั้นเป็นกุศโลบายของพระมหากัสสปเถระที่ต้องการจะวาง ระเบียบวิธีการปกครองคณะสงฆ์ให้ท่ีประชุมเห็นว่า อานาจของสงฆ์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด คาพิพากษา วินิจฉัยของสงฆ์ถือเป็นคาเด็ดขาด แม้จะเห็นว่าตนไม่ผิด แต่เมื่อสงฆ์เห็นว่าผิด ผู้น้ันก็ต้องยอม เป็น ตวั อยา่ งทีภ่ กิ ษุสงฆร์ ุ่นหลงั จะไดย้ อมทาตาม นอกจากนย้ี ังเป็นการเสริมเกียรตคิ ุณของพระอานนท์เถระ ใหเ้ ป็นตัวอย่างของผู้ว่างา่ ย เคารพ ยาเกรงผูใ้ หญ่ เป็นปฏิปทาท่ใี ครๆ พากนั อ้างถงึ ด้วยความนิยมชมชอบในการต่อมา ภายหลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ได้เท่ียวจาริก สั่งสอนเวไนยสัตว์แทนองค์พระศาสดา จนชนมายุของทา่ นลว่ งเข้า ๑๒๐ ปี (พ.ศ. ๔๐) ท่านจึงได้พิจารณา อายุสังขารของท่านพบว่า อายุสังขารของท่านน้ันยังอีก ๗ วันก็จะสูญส้ินเข้าสู่พระนิพพาน ท่านจึง พิจารณาว่าท่านจะเข้านิพพาน ณ ที่ใด ก็เห็นว่าท่านจะเข้านิพพานที่ปลายแม่น้าโรหิณีซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ๑๖๔๘ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔.
๔๑๑ เมอื งกบิลพัสดุ์ กบั เมอื งเทวทหะ ซ่งึ มพี ระประยูรญาติอยู่ท้ัง ๒ ฝ่าย จากนั้นท่านจึงได้ลาภิกษุสงฆ์ และชน ทั้งหลาย จนครบ ๗ วันแล้ว ท่านจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์นานาประการ แล้วต้ังจิตอธิษฐานให้กายของ ท่านแตกออกเป็น ๒ ภาค ภาคหนึ่งให้ตกที่ฝ่ังกรุงกบิลพัสด์ุ อีกภาคหน่ึงตกท่ีเทวทหะ แล้วท่านได้เจริญ เตโชกสณิ ทาให้เปลวเพลิงบังเกิดในร่างกาย เผาผลาญมังสะและโลหิตให้สูญส้ิน ยังเหลือแต่พระอัฐิธาตุสี ขาวดังสีเงิน พระอัฐิธาตุที่เหลือจึงแตกออกป็น ๒ ภาค ด้วยกาลังอธิษฐานของท่าน บรรดาพระประยูร ญาติและชนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้นต่างก็รองรับพระธาตุไว้ แล้วสร้างพระเจดีย์บรรจุไว้ท้ัง ๒ ฟากของ แม่น้าโรหิณี อายวุ ัฒนกมุ าร อายุวัฒนกุมาร ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๖๔๙ พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพระคาถาว่า ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ย่อมเจริญแกผ่ ู้กราบไหว้ ผูอ้ ่อนนอ้ มตอ่ ผู้ใหญ่ เป็นนิตย์ ความในคมั ภรี ์อรรถกถา๑๖๕๐ มรี ายละเอียดเพิม่ เติมดังน้ี อายุวัฒนกุมาร เป็นชาวทีฆลัมพิกนคร บิดาเคยบวชในลัทธิเดียรถีย์เป็นระยะเวลา ๔๘ ปี ต่อมาไดล้ าสกิ ขา และแตง่ งาน มีลูกคนหนึ่ง ไดก้ ารพยากรณ์จากนักบวชผู้เป็นสหายเก่าว่า เด็กจะมีอายุได้ เพียง ๗ วันเท่าน้ัน บิดาจึงได้ถามวิธีป้องกันจากพราหมณ์ผู้เป็นสหาย และได้รับการแนะนาว่า มีผู้เดียว เทา่ นน้ั ท่ีจะช่วยแกไ้ ขไดค้ ือพระพทุ ธเจา้ พราหมณ์จึงได้พาลูกน้อยพร้อมภรรยาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาควันหนึ่ง พร้อมกับกราบทูลขอ อุบายแกไ้ ขอนั ตรายทีจ่ ะพึงเกดิ ข้ึนแกเ่ ด็ก พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนาให้พราหมณ์ทามณฑปใกล้ประตูเรือน ทาตั่งไว้ตรงกลาง ให้เด็ก นอนตรงกลาง ปูอาสนะ ๖ หรือ ๘ ท่ี ล้อมตั่งนั้น แล้วใหพ้ ระสาวกนง่ั ล้อมรอบ สวดพระปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน ครบกาหนดแล้ว เด็กก็จะพ้นจากอันตราย พราหมณ์ได้ปฏิบัติตามทุกประการ รุ่งเช้าวันที่ ๘ พราหมณ์ก็นาเด็กไปถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาพยากรณ์ว่า เด็กผู้มีจะมีอายุยืน ๑๒๐ ปี มารดา บิดาจึงขนานนามวา่ อายุวัฒนกุมาร ในคัมภีรร์ ะบไุ วต้ อ่ ไปอีกวา่ อายวุ ฒั นกมุ ารน้ี ได้บรรลุโสดาบันในเวลาต่อมา อารามทณั ฑะ, พราหมณ์ อารามทัณฑพราหมณ์ ปรากฏในอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต๑๖๕๑ ความระบุว่า อารามทัณฑ พราหมณ์ ได้เข้าไปหาพระมหากัจจายนะที่ริมฝ่ังแม่น้ากัททมทหะ เมืองวรณา จากนั้นได้สอบถามถึง สาเหตทุ ่ที าใหค้ วามขัดแยง้ พระมหากัจจายนะได้ช้ีแจงว่า สาเหตุของความขัดแย้งของพวกกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี ทั้งหลายมาจากการตกอยู่ในอานาจของกามราคะ ถูกกามราคะกลุ้มรม และถูกกามราคะครอบงา ส่วน สาเหตุของความขัดแยง้ ในเหล่าสมณพราหมณ์มาจากความยดึ มน่ั ถึอมนั่ หลังจากสนทนาเร่ืองน้ีจบแล้ว พราหมณ์อารามทัณฑะ ได้สอบถาม ใครล่วงพ้นจากอานาจ ของกามราคะ และทิฏฐิราคะเหล่าน้ี พระมหากัจจายนะได้ช้ีแจงว่า ในชนบทด้านทิศตะวันออก มีเมือง ๑๖๔๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๐๙/๖๔. ๑๖๕๐ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๔๕๙. ๑๖๕๑ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๒๐/๓๘/๘๓.
๔๑๒ หลวงช่ือสาวัตถี พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ท่ีนั่น พระองค์ล่วงพ้นความยึดม่ันในกามราคะ ทิฏฐิราคะ เหล่านี้ พราหมณ์อารามทัณฑะได้ยินดังน้ัน ได้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงบนแผ่นดิน ประนมมือไปทางทิศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ อุทานข้ึนนอบน้อมพระผู้มีพระภาค พระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์น้ัน ๓ ครั้ง จากนั้นก็ช่ืนชมภาษิตของพระมหากัจจายนะ และได้แสดงตนเป็น อุบาสกต้ังแต่บดั นน้ั เปน็ ต้นมา อารทุ ธกะ, นคิ รนถ์ อารุทธกะ เปน็ ๑ ใน นักบวชประเภทหน่ึง ท่ีพระผู้มีพระภาคระบุว่า ประกอบด้วยบาปธรรม ๕ ประการ เป็นเหตุให้ดารงอยู่ในนรกเหมือนถูกนาไปฝังไว้ ได้แก่ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด พรหมจรรย์ พูดเท็จ และเสพของมึนเมา ในอังคตุ ตรนิกาย ปัญจกนบิ าต๑๖๕๒ ระบุช่ือนิครนถ์ สาวกของนิครนถ์ ดาบส ปริพาชก ที่ระบุ ช่ือเปน็ รายบุคคล ได้แก่ มาคณั ฑิกะ เตคัณฑกิ ะ อารุทธกะ โคตมกะ เทวธัมมิกะ อาโรหันตะ,พระ อาโรหันตะ อดีตเป็นอามาตย์ ต่อมามีความเล่ือมใสออกบวช แม้ภรรยาของท่านก็ออกบวช ด้วย ในคัมภีร์๑๖๕๓ เล่าว่า วันหน่ึงพระอาโรหันตะฉันอยู่ในสานักของภิกษุณี ขณะกาลังฉันอยู่ ภิกษุณีผู้ เป็นอดีตภรรยาก็เข้าไปยืนปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้าฉัน และการพัดวี พูดเก่ียวกับเร่ืองครอบครัว เม่ือพูด มากไป พระอาโรหันตะก็กล่าวเตือนว่าอย่าทาอย่างน้ี ไม่สมควร ภิกษุณีได้ฟังอย่างนั้นก็กล่าวย้อนไปว่า แต่กอ่ นทาไมทาได้ แต่บัดน้ที าไมแคน่ ้ที นไม่ได้ พูดพลางกเ็ อานา้ รดบนศรี ษะแลว้ ใช้พดั ตี บรรดาภิกษุณที ง้ั หลายทราบเรอื่ งก็พากันตาหนิ วา่ ทาไมเ่ หมาะสม จากนั้นก็นาเรื่องไปเรียนให้ ภิกษุท้ังหลายทราบ ภิกษุท้ังหลายได้นาเรื่องกราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ยกเรื่องนี้เป็นเหตุ ทรงบัญญัติสิกขาบทหา้ มภกิ ษณุ ีปรนนบิ ัติภิกษผุ กู้ าลงั ฉนั อยู่ด้วยน้า หรือด้วยการพัดวี ล่วงละเมิดต้องปรับ อาบัตปิ าจิตตีย์๑๖๕๔ อุทกดาบส อุทกดาบส เป็น ๑ ในครูที่ได้สอนสมาบัติ ๘ ให้แก่พระพุทธเจ้าเมื่อคร้ังออกผนวชแสวงหา หนทางตรัสรู้ ในคัมภีร์๑๖๕๕ พระผู้มีพระภาคตรัสถึงอุทกดาบสว่า “เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม ปัญญา มีธุลี คอื กิเลสในจักษนุ อ้ ย” ในมัชฌมิ นิกาย มูลปณั ณาสก์๑๖๕๖ ระบหุ ลกั ฐานทพ่ี ระผมู้ ีพระภาคเจา้ แสวงหาโมกขธรรมตอน หนึ่ง ความว่า “เราน้ันเป็นผู้เสาะหาว่ากุศลเป็นอย่างไร ขณะท่ีแสวงหาทางสงบระงับอันประเสริฐ ซ่ึง หาทางอื่นย่ิงกว่ามิได้ ได้เข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตร แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติ พรหมจรรย์ในธรรมวนิ ัยนี้” ๑๖๕๒ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๔๙/๔๐๖. ๑๖๕๓ ว.ิ ภิกขฺ ุณ.ี (ไทย) ๓/๘๑๕/๑๔๐. ๑๖๕๔ ว.ิ ภกิ ฺขุณ.ี (ไทย) ๓/๘๑๖/๑๔๑. ๑๖๕๕ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๐/๑๒. ๑๖๕๖ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๒๗๘/๓๐๒.
๔๑๓ สรุปความวา่ พระพทุ ธเจ้าได้ศกึ ษาสมาบตั ิ ๘ ต่อในสานักอุทกดาบส กระทั่งสาเร็จความรู้ของ อาจารย์ เมอื่ เหน็ วา่ ยงั ไม่ใช่ทางของการตรสั รู้ จงึ ไดล้ าอาจารยอ์ อกแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้นต่อไป โดยต่อมาได้ปลีกพระองค์ไปบาเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นเวลา ๖ ปี ก่อนเปล่ียนแนวทางใหม่ไปบาเพ็ญเพียร ทางจติ และไดต้ รัสร้เู ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าในทสี่ ดุ อุทัย,พระเจา้ พระเจ้าอุทัย ปรากฏในคังคมาลชาดก๑๖๕๗ ความในอรรถกถา๑๖๕๘ มีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ พระเจ้าอุทัยเป็นพระราชโอรสของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าเมืองพาราณสี เจริญวัยแล้ว สาเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ก็ได้ครองราชย์สมบั ติ วันหนึ่งได้ ทอดพระเนตรเหน็ บุรษุ เข็ญใจเดินตากแดดรอ้ งเพลงอยา่ งไมส่ ะทกสะท้านต่อความร้อน ก็ทรงประหลาดใจ ประสงค์จะทราบเหตุผลท่ีบุรษุ ผู้นี้ไมย่ อ่ ท้อตอ่ ลมและแดดถงึ เพียงนี้ จึงไดร้ ับสั่งใหเ้ รียกมาสอบถาม บุรุษเข็ญใจได้กราบทูลตามความเป็นจริง แดดหาได้แผดเผาตนเองไม่ แต่ว่า วัตถุกามและ กิเลสกามต่างหากที่แผดเผาอยู่ เม่ือพระเจ้าอุทัยได้ตรัสถามความประสงค์ จึงได้กราบทูลตามความเป็น จริงว่า ตนเองได้รบั คาสั่งจากภรรยาให้เอาหาเงินท่ีซ่อนเอาไว้เพื่อจะได้ไปดูมหรสพ และได้อภิรมย์กับนาง พระเจ้าอุทัยได้ตรัสถามจานวนเงินว่ามีมากน้อยเพียงใด เมื่อได้รับคาตอบว่า คร่ึงมาสก ก็ทรงเสนอทรัพย์ คร่ึงมาสกให้เขา แล้วรับส่ังให้กลับ แต่เขาก็ยังยืนยันจะไปเอาทรัพย์ท่ีซ่อน ทรงพยายามเพ่ิมทรัพย์ให้เป็น ลาดับ กระทั่งถึงเสนอตาแหน่งเศรษฐี เพ่ือให้เขาท้ิงทรัพย์คร่ึงมาสกที่ฝังไว้ แต่ก็ยืนยันจะไปเอาทรัพย์น้ัน ให้จงได้ สดุ ท้ายจงึ ตรัสเสนอราชสมบตั ใิ ห้ครึ่งหน่ึง เขาจึงยอมรับ บุรุษเข็ญใจคร้ันได้ครองราชย์สมบัติคร่ึงหน่ึงแล้ว ก็เกิดความโลภ ประสงค์จะครอบครองราช สมบัติทั้งหมด จึงคิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัย แต่พอชักดาบจะลงมือก็ระลึกได้ว่า ตนได้ครอบครอง ฐานะพระราชาก็เพราะอาศัยพระเจ้าอุทัย ถ้าตนฆ่าผู้มีบุญคุณถึงเพียงน้ี ก็เป็นเรื่องท่ีไม่สมควรเลย จึงได้ ยับยั้งสติ แต่ต่อมาก็เกิดความคิดอย่างนั้นอีกหลายคร้ัง ครั้งหลังเกิดความละอาย ได้ปลุกพระเจ้าอุทัยให้ ทรงตนื่ จากบรรทม หมอบกราบแทบพระบาท กราบทลู เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ใหท้ รงทราบ พร้อมท้ังกราบทูลให้ ทรงพระราชทานอภัยโทษ กราบทูลถวายราชสมบัติกลับคืน ส่วนตนเองก็ลาผนวช ใช้ชีวิตอยู่ในหิมวันต ประเทศกระท้ังส้ินอายขุ ัย อุทยะ,มาณพ อุทยมาณพ เป็น ๑ ในศิษย์พราหมณ์พาวรี ๑๖ คน ที่ได้รับมอบหมายให้ไปกราบทูลถาม ปัญหากับพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย อชิตะ, ติสสเมตเตยยะ, ปุณณกะ,เมตตคู, โธตกะ,อุปสีวะ, นันทะ, เหมกะ, โตเทยยะ, กัปปะ, ชตุกณั ณิ, ภัทราวุธ, อุทัย, โปสาละ, โมฆราช, และปงิ คิยะ อุทยมาณพ๑๖๕๙ ได้กราบทูลถามปัญหาเป็นข้อ ๆ และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบเป็นข้อ ๆ ดังน้ี ๑๖๕๗ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๓๖/๒๙๑. ๑๖๕๘ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๕๑๒. ๑๖๕๙ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๑๑๑๒/๗๖๘.
๔๑๔ ๑. ปญั หาเร่อื งอญั ญาวโิ มกข์ อญั ญาวโิ มกข์ หมายถงึ ความหลุดพ้นด้วยอรหัตผล ซึ่งเป็นเครื่อง ทาลายอวิชชา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลถึงอัญญาวิโมกข์ได้เพราะมีอุเบกขาและสติท่ีมีธรรมตรรกะ เป็นเบือ้ งต้น เปน็ เคร่ืองทาลายอวชิ ชา ๒. ปญั หาว่า สัตว์โลกมีอะไรเปน็ เครอ่ื งประกอบไว้ อะไรเป็นเหตุเที่ยวไปของสัตว์โลกน้ัน และ เพราะละอะไรได้ จึงเรียกว่านิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า สัตว์โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเคร่ือง ประกอบไว้ ความตรกึ เป้นเหตุเท่ียวไปของสัตวน์ นั้ เพราะละตัณหาได้ จงึ เรียกวา่ นพิ พาน ๓. ปัญหาว่า สัตว์โลกมีสติเท่ียวไปอยู่อย่างไร วิญญาณจึงดับสนิท พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า สตั ว์โลกไม่ยนิ ดีเวทนาภายในและภายนอก มสี ติเท่ยี วไปอยู่อยา่ งนี้ วญิ ญาณจงึ ดับสนิท ในขุททนิกาย จูฬนิเทศ๑๖๖๐ มีเน้ือหาระบุว่า หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบปัญหาจบ อุทยมาณพไดป้ ระกาศตัวเปน็ สาวกของพระพุทธเจ้า อุทาย,ี พระ พระอุทายี ปรากฏในพระบาลี ๓ รูป ได้แก่ ๑) อุทายีผู้เป็นอามาตย์ ของพระเจ้าสุทโธทนะ และเปน็ สหชาตขิ องพระพุทธเจ้า เนอ่ื งจากท่านมีผิวดา จึงปรากฏนามต่อมาว่า กาฬุทายี ๒) พระอุทายี ผู้ เป็นหัวดื้อ มักก่ออธิกรณ์ เป็นต้นเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบทหลาย และ ๓) พระอุทายีเถระ ในท่ีนี้ จะ กล่าวถึงเฉพาะ ๒ รปู หลัง สว่ นรปู แรกได้กลา่ วไวใ้ น หมวด ก ๑. พระอุทายี หรอื พระโลลทุ ายี พระอุทายีรูปน้ีทราบแต่เพียงว่า เป็นบุตรของโกวริยพราหมณ์๑๖๖๑ ในสัญจิจจสิกขาบท๑๖๖๒ ระบวุ ่า สมัยเปน็ คฤหัสถ์ท่านเป็นนักยิงธนู อรรถกถา๑๖๖๓ ขยายความต่อไปอีกว่า ท่านเช่ียวชาญในศิลปะ การใช้ธนู และเปน็ อาจารย์ของนกั แมน่ ธนดู ้วย พระอุทายี ในสุกกวิสัฏฐิสิกขาบท๑๖๖๔ ระบุว่าเป็นผู้แนะนาให้พระเสยยกะ สาเร็จความใคร่ ตัวเอง กระท่ังเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติสิกขาบทว่าด้วยการจงใจทาน้าอสุจิให้เคล่ือน เป็น สกิ ขาบทแรกในอาบตั ิสังฆาทิเสส ในกายสังสัคคสกิ ขาบท๑๖๖๕ สกิ ขาบทว่าด้วยการถูกต้องกายกับมาตุคาม ระบุวา่ ท่านเป็นต้นบัญญัติของการบัญญัติสิกขาบทนี้ มีเร่ืองเล่าว่า ท่านพาภรรยาพราหมณ์ผู้หน่ึงเดินชม วิหาร ระหว่างน้ันจึงได้ถือโอกาสจับต้องอวัยวะน้อยใหญ่ของนางพราหมณี กระท่ังนางได้นาไปฟ้องสามี เปน็ เรอื่ งฟ้องร้องมาถงึ พระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ในทุฏฐุลลวาจาสิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยการพูดเก้ียวหญิง๑๖๖๖ ระบุว่า ท่านเป็นต้นบัญญัติ ของการห้ามภิกษเุ ก้ียวหญงิ เหตุเกดิ เมื่อครั้งท่านพาหญิงทั้งหลายชมวิหาร แต่ระหว่างนาชมอยู่นั้น ท่านก็ พดู จาพาดพงิ ทวารหนัก ทวารเบาของหญงิ เหล่าน้ัน หญิงที่ไม่กลัวบาป ใจถึง ไม่มียางอาย บ้างก็ยิ้ม บ้างก็ ๑๖๖๐ ข.ุ จู.(ไทย) ๓๐/๘๐/๒๘๒. ๑๖๖๑ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓. ๑๖๖๒ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๓๘๒/๕๐๑. ๑๖๖๓ ว.ิ ม.อ.(ไทย) ๒/๓๘๒/๔๑๑. ๑๖๖๔ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๒๓๔/๒๔๙. ๑๖๖๕ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๒๖๙/๒๙๑. ๑๖๖๖ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๘๓/๓๑๕.
๔๑๕ หัวเราะ บ้างก็พูดย่ัว บ้างก็กระเซ้าพระอุทายี ส่วนหญิงท่ีมีความละอายก็กล่างตาหนิ เลี่ยงออกไปฟ้อง ภิกษทุ ัง้ หลาย ในอัตตกามปาริจริยสิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยการพูดให้สตรีบาเรอความใคร่ของตน๑๖๖๗ มี เรื่องระบุไว้วา่ พระอุทายเี ป็นต้นบัญญัติของการหา้ มพูดให้หญิงบาเรอตนด้วยกาม มูลเหตุของเรื่องมาจาก มีหญิงหม้ายคนหนึ่ง ไปปวารณาพระอุทายีว่าปรารถนาสิ่งใดให้บอก พระอุทายีจึงตอบไปว่า ปัจจัย ๔ หา ได้ไมย่ าก ส่วนเมถนุ ธรรมหาไดย้ าก นางจงึ ไดย้ ินเช่นน้นั จึงได้ถวายเมถุนธรรมแก่พระอุทายี แต่ถูกพระอุทา ยพี ดู ดหู มน่ิ ก่อน นางจงึ นาเรอื่ งไปฟ้องร้อง พระอุทายียังเป็นต้นบัญญัติของการบัญญัติสิกขาบทอีกหลายข้อ นับต้ังแต่เรื่องการชักส่ือให้ ชายหญิงเปน็ ผวั เมียกนั ๑๖๖๘ บัญญัติห้ามการน่ังในท่ีลับตากับหญิงสองต่อสอง๑๖๖๙ บัญญัติห้ามน่ังในท่ีลับ หูกบั หญิงสองต่อสอง๑๖๗๐ บัญญัติห้ามใช้นางภิกษุณีผู้ไม่ใช่ญาติซัก ย้อม หรือทุกจีวรเก่า๑๖๗๑ บัญญัติห้าม ภิกษรุ บั จวี รจากมือนางภิกษณุ ีผไู้ ม่ใช่ญาติ๑๖๗๒ เปน็ ตน้ ในอรรถกถาธรรมบท๑๖๗๓ ระบุวา่ พระโลลุทายีเถระอยู่ในวิหารเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ ศกึ ษา เขา้ ไปสู่โรงธรรมแล้ว น่งั บนธรรมาสน์ ภกิ ษุอาคันตุกะเหน็ เขา้ กน็ ึกเปน็ ผ้เู ป็นพหสู ตู จงึ ถามปัญหาจึง รู้ว่าไม่ได้มีความรู้อะไรเลย จึงได้กล่าวตาหนิว่า อยู่วิหารเดียวกับพระศาสดาแท้ๆ ธรรมสักว่าขันธ์ ธาตุ อายตนะ กไ็ มร่ ู้ หลกั ฐานอกี แหง่ หนึง่ ๑๖๗๔ ระบุว่า เม่อื พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรม จบ อบุ าสกอุบาสกิ าไดแ้ สดงความชืน่ ชน พระโลลุทายีเห็นก็แสดงอาการโออ้ วดวา่ ถา้ ได้ฟังธรรมจากตนจะ ชมขนาดไหน อุบาสก อุบาสิกาได้ยินอย่างน้ันก็คิดว่า ภิกษุรูปน้ีคงจะเป็นธรรมถึกช้ัน ยอดจึงนิมนต์ท่าน แสดงธรรมรอบถัดไป ครั้นถึงเวลานัดหมาย อุบาสกอุบาสิกานิมนต์พระโลลุทายีขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรม แต่ด้วย ความที่ไม่มีภูมิธรรม จึงทาให้เหงื่อตก นึกอะไรไม่ออก ขอผ่อนผัน ชอเทศน์รอบถัดไปๆ อยู่หลายครั้ง สุดทา้ ยกถ็ กู ไล่ลงจากธรรมาสน์ หนีตกลงไปในหลมุ คูถ ๒. พระอุทายเี ถระ พระอุทายีเถระรูปนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองกบิลพัสด์ุ บิดาชื่อมหาอุทายี๑๖๗๕ ใน อรรถกถามัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ระบุว่า เป็นบัณฑิต๑๖๗๖ คร้ันเจริญวัยแล้วเห็นพุทธานุภาพใน สมาคมพระญาติของศาสดา มศี รัทธาออกบวช บาเพญ็ วิปสั สนากมั มัฏฐาน ไมน่ านก็ได้บรรลพุ ระอรหนั ต์ ความเป็นบัณฑิตของพระอุทายี สอดคล้องกับหลักฐานต่าง ๆ ในคัมภีร์ ที่มักปรากฏเร่ืองราว ต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวท่าน ในลักษณะเป็นผู้ใส่ใจ และไฝ่รู้ มีความสามารถในการแสดงธรรมเป็นท่ีประจักษ์ ไดร้ ับการยกยอ่ ง ดังตัวอย่างยกมาพอสงั เขป ต่อไปนี้ ๑๖๖๗ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๙๐/๓๒๘. ๑๖๖๘ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๙๖/๓๓๘. ๑๖๖๙ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๔๓/๔๗๓. ๑๖๗๐ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕๒/๔๗๙. ๑๖๗๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๐๔/๒๗. ๑๖๗๒ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๐๙/๓๔. ๑๖๗๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๑๙๐. ๑๖๗๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๒๒. ๑๖๗๕ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๕๐๗. ๑๖๗๖ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๒๒๑.
๔๑๖ ในเวรหัญจานิสูตร มีเร่ืองมาณพผู้เป็นศิษย์ของพราหมณีเวรหัญจานิโคตรได้เข้าไปหา และ สนทนากับท่าน หลังจากสนทนาจบ ก็ได้กล่าวสรรเสริญพระอุทายีว่า “แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในทา่ มกลาง และมคี วามงามในทีส่ ุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้ังอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วน” ๑๖๗๗ เป็นเหตุให้นางพราหมณีเลื่อมใส และนิมนต์ให้พระอุทายีรับอาหารบิณฑบาตใน วนั รุ่งข้นึ ในอทุ ายสตู ร๑๖๗๘ บันทึกเรื่องราวการสนทนาธรรมของท่านกับพระอานนท์ ขณะพักอยู่ที่โฆสิ ตาราม เขตกรุงโกสมั พี โดยท่านไปฝา่ ยเข้าไปหาพระอานนท์แล้วขอให้ช่วยช้ีแจง ขยายความเก่ียวกับเรื่อง อนัตตาทพ่ี ระผู้มพี ระภาคแสดงไวโ้ ดยประการต่าง ๆ ในอุทายิวรรคแห่งสังยุตตนิกาย๑๖๗๙ มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระอุทายีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค จากนน้ั กไ็ ด้ตรัสถามปญั หาตา่ ง ๆ เกยี่ วกบั หลักธรรมโดยเฉพาะเร่ืองโพชฌงค์ ๗ อันเป็นปฏิปทา เป็นไปเพือความส้ินไปแห่งตัณหา เพ่ือความดับตัณหา เพ่ือการชาแรกกิเลส เพ่ือละธรรมท่ีเก้ือกูลแก่ สังโยชน์ อปุ จาละ, สามเณรี สามเณรีอุปจาละ ปรากฏในขุททกนิกาย เถรคาถา๑๖๘๐ ความปรารภคาถาที่พระขทิรวนิย เถระกล่าวเตือนให้สามเณรีจาละ สามเณรีอุปจาละ และสามเณรีสีสูปจาละต้ังใจกาหนดสติเจริญพระ กมั มฏั ฐาน โดยยกหลวงลงุ คือพระสารีบุตรมาเปน็ ตัวอย่างเพื่อให้กาลังใจแก่สามเณรทั้ง ๓ รูปได้เกิดความ ต้ังใจ อน่ึง สามเณรีท้ัง ๓ รูปนี้ มีศักด์ิเป็นหลานของพระเรวตะ อรรถกถา๑๖๘๑ ระบุว่า เมื่อคร้ัง พระเรวตะได้กลับไปเย่ียมบ้านเกิด ได้นาหลาน ๓ คน จาลา อุปจาลา และสีสูปจาลา ซ่ึงทั้งหมดเป็นบุตร ของพี่สาว ๓ ท้ัง ๓ คน คือนางจาลา นางอุปจาลา และนางสีสูปจาลา มาแล้วให้บวช แนะนาพระ กมั มฏั ฐานอยูเ่ นอื งๆ อปุ จาลา, ภิกษุณี นางอุปจาลาภกิ ษณุ ี เปน็ บุตรขี องนางสารีพราหมณี และมีฐานะเป็นน้องสาวของพระสารีบุตร ได้ออกบวชพร้อมกับพ่ีน้องสาวอีก ๒ ท่านคือ จาลา (พี่สาว) และสีสูปจาลา (น้องสาว) ในอรรถกถา๑๖๘๒ ระบุว่า ออกบวชเพราะเห็นพ่ีชายคือพระสารีบุตรออกบวช เกิดความคิดว่า ธรรมวินัยท่ีพ่ีชายของเราออก บวช คงไม่ต่าทรามแน่ เกิดความอุตสาหะอย่างแรงกล้า พากันออกบวชท่ามกลางเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วย จากแมแ่ ละเหลา่ ญาติทั้งหลาย ครัน้ บวชแลว้ ไม่นานกไ็ ด้บาเพยี ร บรรลุพระอรหันต์ในทีส่ ุด ในอุปจาลาสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๖๘๓ ความระบุถึงมารได้เข้าไปหาท่าน ขณะพักกลางวันที่ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง พร้อมแกล้งถามว่า ทาไมถึงอยากจะเกิด เม่ือเห็นว่านางตอบว่า ไม่ได้ปรารถนาจะเกิด ๑๖๗๗ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๓๓/๑๖๕. ๑๖๗๘ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๒๓๔/๒๒๘. ๑๖๗๙ ส.มหา.(ไทย) ๑๙/๒๐๒/๑๓๕. ๑๖๘๐ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๔๒/๓๑๘. ๑๖๘๑ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๒๔๑. ๑๖๘๒ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๔/๒๗๙. ๑๖๘๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๖๘/๒๒๔.
๔๑๗ ในท่ีไหน ๆ มารก็ก็โน้มน้าวให้นางตั้งจิตปรารถนาไปเกิดในสวรรค์ช้ันต่าง ๆ นางอุปจาลาภิกษุณีได้ฟัง ดังนั้นก็กล่าวเป็นคาถาสรุปความได้ว่า ไม่ว่าสรรค์ชั้นไหนๆ ก็ตาม ล้วนยังผูกติดกับเครื่องผูกคือกาม ยัง ตอ้ งเวียนว่ายตายเกดิ และโลกทั้งหมดตา่ งลว้ นเรา่ ร้อน คกุ กรุน่ ลุกโพลง สั่นสะเทือน ส่วนนางน้ันมีใจแน่ว แน่ในพระนิพพานแลว้ จึงไม่ปรารถนาการเกิดอกี อปุ นันทะ, เจ้าศากยะ พระอปุ นันทะ เดมิ เปน็ เจ้าศากยะ จงึ มีเรียกอีกชอื่ หน่งี วา่ พระอปุ นันทศากยะ ในอรรถกถาธรรมบท๑๖๘๔ ระบุว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในการกล่าวธรรมกถา ภิกษุท้ังหลายจึงเชื้อ เชิญท่านให้กล่าวธรรมกถาเนืองๆ และได้บูชาท่านด้วยจีวร ทาให้ท่านมีจีวรเป็นจานวนมาก แม้ในยาม เขา้ พรรษา ท่านไปสชู่ นบท ก็ไดร้ ับการนิมนต์ใหอ้ ยู่จาพรรษาพร้อม ๆ กันหลายวัด และท่านก็รับปาก โดย กอ่ นรับปากกถ็ ามว่า ถ้าจาพรรษาในวดั นี้ จะได้จานาพรรษากี่ผืน ได้รับคาตอบว่า ๒ ผืนบ้าง ๓ ผืนบ้าง ๔ ผืนบ้าง ท่านก็วางรองเท้าบ้าง ไม้เท้าบ้าง กาน้าบ้าง ไว้เป็นตัวแทน แล้วก็จาพรรษาอยูท่ีวัดท่ีได้ผ้าจานา พรรษา ๔ ผนื คร้ันออกพรรษาแล้ว ท่านกเ็ ดนิ เก็บเอาผา้ จีวรจากวัดต่าง ๆ เหลา่ น้ันกลับไป ในอรรถกถาชาดก๑๖๘๕ มีข้อความระบุไว้ว่า พระอุปนันทศากยะนั้นบริโภคมาก มีความทะ เยอะทะยานมาก ใครๆ ก็ไม่สามารถทาให้ท่านอ่ิมหนาแม้ด้วยปัจจัยเต็มเล่มเกวียน ซ่ึงก็เป็นเหตุผลหน่ึงที่ ทาให้ท่านได้รับการตาหนิบ่อยครั้ง และเป็นต้นเหตุของการบัญญัติหลายสิกขาบทในพระวินัย เช่น เป็น มูลเหตุของการบัญญัติสิกขาบทห้ามออกปากขอจีวรจากคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติ๑๖๘๖ เป็นต้นเหตุของการ บัญญัติสิกขาบทห้ามเข้าไปกาหนดชนิดจีวรที่เขาตระเตรียมไว้แล้ว พร้อมต้องการจีวรท่ีดีกว่า๑๖๘๗ หรือมี เจ้าภาพ ๒ คน ไปพูดให้เขารวมเป็นค่าจีวรผืนหน่ึงที่มีราคา หรือลักษณะจีวรที่ตนต้องการ๑๖๘๘ เป็น ต้นเหตุบัญญัติสิกขาบทภิกษุรับนิมนต์ไว้แล้ว แต่เท่ียวไปที่อ่ืนก่อน๑๖๘๙ เป็นต้นเหตุของการบัญญัติ สกิ ขาบทหา้ มจาพรรษาในอาวาส ๒ แห่ง เป็นต้น อปุ ปาละ, พระ พระอุปลาละ ปรากฏในกัณฏกสูตร๑๖๙๐ ความระบุว่า ขณะพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ปา่ มหาวัน เขตกรุงเวสาลี พรอ้ มด้วยพระสาวกผู้เป็นเถระที่มีชื่อเสียงหลายรูป เช่น พระปา ละ พระอุปปาละ พระกักกฏะ พระกฬิมภะ พระนิกฏะ พระกฏิสสหะ เป็นต้น พวกเจ้าลิจฉวีพากันจัด ขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค เสด็จเขา้ เฝา้ พระผู้มีพระภาคยังป่ามหาวัน ความท่ีระบุถงึ พระอุปปาละ มเี พียงเท่าน้ี ๑๖๘๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๙๕. ๑๖๘๕ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๓๔๔. ๑๖๘๖ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๕๑๖/๔๑. ๑๖๘๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๒๘/๕๒. ๑๖๘๘ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๓๓/๕๘. ๑๖๘๙ วิ.มหา.๒/๒๙๔/๔๓๘. ๑๖๙๐ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๗๒/๑๕๘.
๔๑๘ อุปสนั ตะ, พระ พระอุปสันตะ เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู๑๖๙๑ รายละเอียด นอกเหนือจากนี้ ไมป่ รากฏ อปุ วาณะ,พระ พระอปุ วาณะ เป็น ๑ ในพระภกิ ษุทที่ าหนา้ ทีอ่ ุปฏั ฐากพระพุทธเจ้า ก่อนหน้าที่พระอานนท์จะ มารับหน้าที่ประจา และมีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงหลังพุทธปรินิพพาน ดังจะเห็นได้จากเมื่อคราวพุทธ ปรินิพพาน๑๖๙๒ พระอุปวาณะได้ยืนถวายงานพัด และมีรับสั่งจากพระพุทธเจ้าให้ท่านถอยออกไป ด้วย เวลานั้นเทพท้งั หลายตา่ งมาประชุมเพ่ือเยี่ยมพระพทุ ะเจา้ ในเทวหิตสตู ร๑๖๙๓ มีเนื้อหาระบุถึงเม่ือคร้ังพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม ของอนาถปณิ ฑิกเศรษฐ๊ เวลาน้นั ทรงประชวรดว้ ยโรคลม ก็ได้อาศัยพระอุปวาณะทาหน้าท่ีอุปัฏฐาก จัดหา น้ารอ้ นถวายเพื่อทรงสนาน และใช้น้าร้อนละลายน้าอ้อยถวายพระผู้มพี ระภาค กระทัง่ หายประชวร ในพระสตู รต่างๆ พบเรือ่ งราวพระอุปวาณะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า เชน่ ในอปุ วาณสูตร๑๖๙๔ เข้าเฝา้ กราบทูลถามความเข้าใจเร่ืองทุกข์ว่าเกิดข้ึนได้อย่างไร เพราะมีความเห็น หลายอยา่ งที่ยงั ไมต่ รงกนั บางพวกบอกวา่ ทุกข์เป็นสง่ิ ท่ีคนอื่นทาให้ บางพวกบอกว่า ทุกข์เป็นส่ิงที่ตนเอง ทาให้ บา้ งกบ็ อกว่า ทัง้ เองเป็นผู้กระทา และผอู้ ่ืนเป็นผู้กระทา ในอุปวาณสันทิฏฐิกสูตร๑๖๙๕ เข้าเฝ้ากราบ ทูลถามธรรมที่พึงเห็นได้เอง เป็นต้น และมีอีกหลายพระสูตรท่ีพระอุปวาณะเข้าไปถามปัญหาพระสารี บุตร๑๖๙๖ หรือพระสารีบตุ รเข้าไปถามปญั หากบั พระอปุ วาณะ๑๖๙๗ อุปวาฬะ,พระ พระอุปวาฬะ ปรากฏในจูฬวรรค แห่งพระวินัยปิฎก๑๖๙๘ ว่าด้วยเรื่องการระงับอธิกรณ์โดย การลงโทษแก่ผู้กระทาผิด (ตัสสปาปิยสิกา) ความสังเขปว่า ท่านต้องอาบัติ ถูกซักถามในท่ามกลางสงฆ์ ปฏเิ สธแล้วก็รบั รับแล้วก็ปฏิเสธ เอาเร่ืองหน่ึงมากล่าวกลบอีกเร่ืองหน่ึง กล่าวเท็จท้ังท่ีรู้ พระผู้มีพระภาค ทรงซักถามทราบความจริงแล้ว จึงรับส่ังให้ภิกษุทั้งหลายลงโทษตามความผิดท่ีได้กระทา โดยให้ทาเป็น สังฆกรรม ๑๖๙๑ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๖๙๒ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๐/๑๔๙. ๑๖๙๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๙/๒๘๗. ๑๖๙๔ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๒๖/๕๑. ๑๖๙๕ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๗๐/๕๙. ๑๖๙๖ องฺ.จตุกกฺ .(ไทย) ๒๑/๑๗๕/๒๔๗. ๑๖๙๗ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๘๙/๑๒๔. ๑๖๙๘ ว.ิ จู.(ไทย) ๘/๒๐๕/๓๒๐.
๔๑๙ อุปเสนวังคนั ตบุตร,พระ พระอุปเสนวังคันตบุตร เดิมชื่ออุปเสน เพราะเป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ จึงได้ช่ือว่า อุป เสนวังคันตบุตร กับนางสารีพราหมณี ท่านมีสถานะเป็นน้องชายของพระสารีบุตร๑๖๙๙ และได้รับการนับ เขา้ ในพระมหาสาวก ๘๐ รปู อน่ึง ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้เคยต้ังความปรารถนาขอให้ได้ดารง ตาแหน่งเอตทคั คะเลิศกวา่ ภิกษุทั้งหลายผู้นามาซ่ึงความเล่ือมใส เม่ือเจริญวัยได้เรียนจบไตรเพท ต่อมาได้ ฟังธรรมจากพระทศพล เกิดศรัทธา จึงได้ทูลขออุปสมบท๑๗๐๐ คร้ันอุปสมบทแล้ว ท่านสามารถทาให้สกุล ท้ังหลายเลื่อมใสเป็นจานวนมาก พระพุทธเจ้าจึงยกไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นท่ีเลื่อมใสของคน ทงั้ หลาย๑๗๐๑ ในอรรถกถา๑๗๐๒ ระบุต่อไปอีกว่า ท่านบวชได้เพียงพรรษาเดียว ก็มีความ ปรารถนจะแผ่ ขยายบริษัท จึงได้ทาการอุปสมบทให้แก่กุลบุตรท้ังหลาย ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงตาหนิว่า กระทาการไม่เหมาะสม จากนั้นจึงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุผู้มีพรรษาต่ากว่า ๑๐ พรรษา ให้การ อุปสมบทกุลบตุ รท้งั หลาย๑๗๐๓ อนงึ่ หลงั จากได้รับคาตาหนิแล้ว ท่านปรารถนาจะให้พระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงได้เข้าป่าปลีก วิเวก เจริญวิปัสสนากัมมฏั ฐาน ไม่นานกไ็ ดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ ในโกสิยวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๗๐๔ มีเน้ือหาพรรณนาถึงท่านได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าขณะทที่ รงปลีกวิเวกอยเู่ พยี งลาพังพระองค์ ซึง่ โดยปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า เว้นไว้ แต่ภิกษผุ ้นู าภัตตาหารไปถวายเพียงรูปเดยี วเทา่ นน้ั ถึงกับมีการกาหนดเป็นกติกาสงฆ์ชาวเมืองสาวัตถีไว้ว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าหลีกเร้นจาพรรษาตลอดไตรมาศ ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้า รูปใดเข้าเฝ้า ให้ภิกษุรูปนั้น แสดงอาบตั ปิ าจิตตยี ์ แต่จากกรณีการเข้าเฝา้ ของพระอุปเสนวังคันตบุตร ทาให้พระผู้มีพระภาคผ่อนผันให้ พเิ ศษเฉพาะภกิ ษผุ ูอ้ ยูป่ ่าเป็นวตั ร ถอื บณิ ฑบาตเปน็ วตั ร ทรงผา้ บังสกุ ลุ จีวรเป็นวัตร สามารถเข้าเฝ้าได้ตาม สะดวก เมื่อเกดิ กรณีตัวอยา่ งดงั กล่าว ภกิ ษทุ ัง้ หลายผู้มีความปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ต่าง กล็ ะทง้ิ เตียงและต่ัง เข้าป่าสมาทานอาริญญิกธุดงค์บ้าง ปิณฑปาติกธุดงค์บ้าง บังสุกูลิกธุดงค์บ้าง นับเป็น อบุ ายสง่ เสรมิ สัมมาปฏิบัติได้อกี หนทางหนึ่ง อุทัญจน,ี นาง นางอุทัญจนี ปรากฏในอุทัญจนีชาดก๑๗๐๕ ความในอรรถกถา๑๗๐๖ มีเน้ือหาสรุปพอสังเขป ดังต่อไปนี้ นางอุทัญจนี เป็นหญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง ได้เข้ามาเล้าโลมดาบสหนุ่มให้ลาจากเพศนักบวชไปใช้ ๑๖๙๙ ข.ุ อ.ุ อ.(ไทย) ๑/๓/๔๖๙. ๑๗๐๐ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๒๐. ๑๗๐๑ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๓/๒๘. ๑๗๐๒ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๔๒๑. ๑๗๐๓ วิ.ม.(ไทย) ๔/๗๕/๑๐๔. ๑๗๐๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๖๕/๘๙. ๑๗๐๕ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๐๖/๔๔. ๑๗๐๖ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๒/๔๐๖.
๔๒๐ ชีวติ อยฉู่ ันสามภี รรยากบั นาง แตก่ อ่ นจะออกจากอาศรมไป ดาบสผู้เป็นบิดาได้กล่าวเตือนว่า เม่ือไปอยู่กับ นางแล้ว นางจะทาให้ตกอยู่ในอานาจ จากนั้นก็จะเค่ียวเข็ญให้ทาตามความต้องการ ความเป็นจริงตามที่ ดาบสผ้เู ป็นพอ่ เตือนไวท้ กุ ประการ ดาบสหนมุ่ จงึ ไดห้ นกี ลบั ไปอยู่กบั ดาบสผเู้ ป็นบิดาตามเดมิ ความในอรรถกถามเี พยี งเท่านี้ อเุ ทน,พระเจ้า พระเจ้าอเุ ทน เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปรันตปะ แห่งกรุงโกสัมพี ในคัมภีร์อรรถกถา๑๗๐๗ ระบุว่า ขณะที่พระมารดากาลังประทับตากแดดอยู่กลางแจ้ง นกหัสดีลิงค์ได้โฉบเอาพระนางซ่ึงขณะทรง พระครรภ์แก่ ไปในป่าหิมวันตะ ต่อมาพระนางได้ใช้เชาว์ปัญญากระทั่งพ้นภัย และได้ประสูติพระโอรส พระนามวา่ อุเทน โดยได้รับการชว่ ยเหลือจากดาบสรูปหน่ึง ฝ่ายพระกุมาร เมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้รับการสอนมนต์ไล่ช้าง เรียกช้างมาใช้งานได้ตามความ ปรารถนา คร้นั ถึงเวลาอนั เหมาะ พระมารดาก็ทรงเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้ทรงทราบทั้งหมด พร้อมกับ มอบหมายใหไ้ ปชงิ เอาราชสมบตั ิ พระกุมารได้ทรงทาตามรับสั่ง ประทับนั่งบนหลังช้างตัวหนึ่ง จากนั้นก็ทรงกระซิบบอกช้างว่า พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี ขอให้ช่วยยึดเอาราชสมบัติ ช้างได้ยิน เช่นน้ันก็ร้องเรียกช้างทั้งหลายมาประชุมกัน คัดเอาเฉพาะช้างหนุ่มมีกาลัง จากน้ันก็ยกพลทั้งหมดเข้า ประชิด ทรงล้อมเมืองเอาไว้ พร้อมกับส่งสาส์นแจ้งความประสงค์ให้ทราบว่า พระองค์เป็นพระราชโอรส ของพระเจ้าปรันตปะทถี่ ูกนกหสั ดลี งิ คเ์ ฉี่ยวไป บดั นมี้ าเพื่อต้องการราชสมบัติของพระบิดา และเพ่ือยืนยัน ได้ระบุถึงช่ืออามาตย์ตา่ งๆ พร้อมทั้งแสดงพระธามรงค์ และผา้ กมั พล อามาตย์และชาวเมืองจาผ้ากาพลสีแดง และพระธามรงค์ได้ จึงยอมเปิดประตู และอัญเชิญ พระราชกุมารเขา้ เมือง และประกอบพิธีอภิเษกไว้ในราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอุเทน ทรงมีพระ มเหสี ๓ พระองค์ ได้แก่ พระนางสามาวดี (เป็นลูกสาวของโฆสกเศรษฐี) พระนางวาสุลทัตตา (เป็นธิดา ของพระเจ้าจณั ฑปชั โชต) และพระนางมาคนั ทิยา (เป็นลกู สาวจูฬมาคัณฑยิ พราหมณ)์ พระเจ้าอุเทน ต่อมาได้ถูกอุบายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชติแห่งเมืองอุชเชนี จับไปเป็นเชลย และถูกนาไปขังไว้ที่เรือนขังโจรหลังหนึ่ง พร้อมกับต้ังเง่ือนไขของการปล่อยตัวก็ต่อเมื่อพระเจ้าอุเทนสอน มนต์เรยี กชา้ งให้ พระเจา้ อุเทนกร็ บั ปาก แตม่ ขี อ้ แม้เหมือนกัน คือก่อนเรียนมนต์ พระเจ้าจัณฑปัชโชติต้อง ทาความเคารพไว้พระองค์ก่อนจึงจะสอนให้ เง่ือนไขน้ี พระเจ้าจัณฑปัชโชติไม่รับ จึงได้ส่งพระธิดาพระ นามว่าวาสุลทุตตาไปเรียนมนต์แทน และนี่เป็นเหตุที่ทาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชติเสียที เพราะพระธิดา นอกจากจะเรียนมนต์ไม่สาเร็จแล้ว ยังตกเป็นพระสนมของพระเจ้าอุเทน และได้ร่วมวางแผนหลอกพระ เจ้าจณั ฑปชั โชตพิ าพระเจา้ อเุ ทนหลบหนีกลบั ไปทีเ่ มืองโกสัมพีได้สาเร็จ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งท่ีทาให้พระเจ้าอุเทนต้องอภิเษกพระนางวาสุลตาไว้ในตาแหน่งอัครมเหสี อีกพระองค์หน่งึ ส่วนพระนางมาคันทิยาน้ัน เดิมเป็นลูกสาวของจูฬมาคัณฑิยพราหมณ์ นางเป็นหญิงรูปร่าง สวย หน้าตาดี เป็นที่หมายปองของชายหนุม่ ทัง้ หลาย แตพ่ ราหมณ์ก็ไมม่ ที ่าทียกให้ชายหนุ่มผใู้ ด กระท่ังมา เจอพระพทุ ธเจ้า เห็นว่ามลี กั ษณะดี จึงออกปากยกลูกสาวให้ แต่ถูกปฏิเสธ ทาให้นางมาคันทิยาผูกอาฆาต ๑๗๐๗ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๒๒๓.
๔๒๑ ต่อพระพุทธเจ้าต้ังแต่วันน้ัน ฝ่ายพราหมณ์เม่ือไม่เห็นชายท่ีเหมาะสม จึงได้นาตัวมาถวายพระเจ้าอุเทน และนางกไ็ ด้รบั อภเิ ษกในตาแหน่งอคั รมเหสีอีกพระองคห์ น่งึ ต่อมาได้เกิดเร่ืองบานปลายใหญ่โตในพระราชวังของพระเจ้าอุเทน เนื่องจากความผูกอาฆาต แค้นพระพุทธเจ้าในครัง้ น้นั เริ่มต้ังแต่จ้างคนให้ไปด่าพระพุทธเจ้า ต่อมาก็วางแผนใส่ร้ายพระนางสามาวดี ซึ่งเปน็ ลกู ศิษย์พระพุทธเจ้าถึง ๓ คร้ัง ครั้งสุดท้ายประสบผลสาเร็จ พระเจ้าอุเทนทรงเช่ือเอาโทษตาย แต่ พระนางสาวมาวดกี ร็ อดพน้ ภัยน้นั ไดด้ ว้ ยพลงั แห่งเมตตา ต่อมาอีก พระนางมาคัณฑิยาก็วางแผนฆ่านางสามาวดี และบริวาร โดยให้จุดไฟเผาเรือนท่ี ประทับวอดไปทั้งหลัง เหตุการณ์ครั้งน้ีทาให้พระเจ้าอุเทนเสียพระทัยมาก ทรงใช้อุบายสอบสวนหา ผู้กระทาความผิด รู้ตัวว่าเป็นพระนางมาคัณฑิยาแล้ว ก็รับส่ังให้ลงโทษสถานหนัก พร้อมท้ังผู้เกี่ยวข้อง ทง้ั หมด ในคัมภีร์๑๗๐๘ ระบวุ า่ ทรงใหข้ ุดหลมุ ฝงั พระนางมาคัณฑิยา พร้อมพรรคพวก ญาติทั้งหลายให้ เหลือแค่ศีรษะ จากนั้นก็เอาฟากลบ แล้วเผาท้ังเป็น เผาเสร็จแล้วรับส่ังให้เอาไถไถให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เฉพาะในส่วนของพระนางมาคัณฑิยา ทรงรับส่ังให้เอามีดเชือดเน้ือมาทอดด้วยน้ามัน แล้วก็เสวยดุจขนม ทอด อน่ึง ในคัมภีรจ์ ฬู วรรค แห่งพระวินัยปิฎก๑๗๐๙ ไดท้ รงเล่ือมใสในความประหยัด และการใช้ผ้า จีวรอย่างคุ้มค่าของพระอานนท์ จึงทรงรับสั่งให้นาผ้าไตรจีวรไปถวายพระอานนท์จานวน ๕๐๐ ผืน ซ่ึง ก่อนหน้านั้นทรงตาหนิพระมเหสีที่นาจีวรไปถวายพระอานนท์ถึง ๕๐๐ ผืนว่ามากเกินไป ท่านจะใช้ อย่างไร แต่พอทราบว่า พระอานนท์นาไปแจกพระผู้มีจีวรเก่า และมีการนาจีวรเก่าไปใช้ทาเพดาน ผ้า เพดานที่เก่าแล้ว นาไปเป็นปลอกฟูก ปลอกฟูกเก่าแล้ว นาไปเป็นผ้าปูพื้น ผ้าปูพ้ืนเก่าแล้ว นาไปเป็นผ้า เช็ดเท้า ผ้าเช็ดเท้าเก่าแล้ว นาไปโขลกขยากับโคลนฉาบทาฝากุฏิตามลาดับ ก็ทรงเลื่อมใส และรับสั่งให้ ถวายเพม่ิ อีก ๕๐๐ ผืน ในภารทวาชสูตร๑๗๑๐ มีเรื่องราวพรรณนาถึงพระเจ้าอุเทนได้เข้าไปพระปิณโฑลภารทวาชะ จากนั้นก็ทรงตรสั ถามเหตทุ ท่ี าให้พระหนุ่มๆ สามารถอยู่ประพฤตพิ รหมจรรย์ หมดความรา่ เรงิ ในกาม บวช ปฏิบัติอยู่ได้นาน ไม่ลาสิกขา ซึ่งก็ได้รับการถวายพระพรว่า เป็นเพราะยึดในพระดารัสของพระพุทธเจ้าท่ี ตรสั สอนให้ต้ังจิตในสตรีคราวมารดาว่าเป็นมารดา คราวพี่สาวว่าเป็นพ่ีสาว คราวน้องสาวว่าเป็นน้องสาว คราวธิดาว่าเป็นธิดา เม่ือตั้งจิตอย่างน้ี กามราคะก็จะไม่ปรากฏ และสามารถประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้ นาน อบุ าล,ี พระ พระอุบาลี อดีตเป็นช่างภูษามาลาประจาราชสานัก แต่ต่อมาเพ่ือเจ้าศากยะทั้ง ๖ ออกผนวช ก็ประสงค์จะออกบวชตามด้วย จึงได้ขออนุญาตเจ้าศากยะท้ัง ๖ เหล่านั้น และได้รับอนุญาตให้บวชก่อน เพ่ือคลายทฏิ ฐิมานะของเจ้าศากยะทง้ั ๖ เหลา่ นน้ั ด้วย ๑๗๐๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๒๙๘. ๑๗๐๙ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๔๕/๓๘๗. ๑๗๑๐ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๒.
๔๒๒ ในอุบาลิเถราปทาน๑๗๑๑ ได้บนั ทกึ ประวตั พระอุบาลีไว้ว่า พระอุบาลีได้บาเพ็ญบารมีไว้ในสมัย พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ด้วยบารมีน้ันได้บังเกิดเป็นเทวราช ๑๘ ชาติ พระเจ้าแผ่นดิน ๓๐๐ ชาติ พระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ชาติ แตใ่ นสมยั พระพทุ ธเจ้าพระนามว่าโคดม ได้บังเกิดในสกุลต่า ชื่อว่าอุบาลี ภายหลังได้บวช คลายบาปได้แล้ว พระพุทธเจ้าประทานไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ ได้บรรลุคุณวิเศษ คือ ปฏสิ ัมภิทา ๔ วโิ มกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระอุบาลีได้ทาการวินิจฉัยปัญหาข้อวินัยหลายกรณี หลายครั้ง เช่น กรณีภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะรูปหน่ึงฝันเปียก เกรงว่าเป็นอาบัติ จึงได้สอบถามพระอุบาลี พระอุบาลีก็ได้ช้ีแจงว่า เพียงแค่ความฝัน ไม่เป็นอาบัติ๑๗๑๒ กรณีท่านทาการสอบสวนกรณีกุลบุตรผู้หน่ึง แอบบวชเองเพอ่ื หวงั โภคทรพั ย์ ครน้ั สอบสวนแล้วไดก้ ราบทลู ให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ คร้ันทราบแล้ว ก็ทรงวินิจฉัยให้สึกเสีย๑๗๑๓ คดีสาคัญที่สุดก็คือกรณีของกุมารกัสสปะที่มารดาต้ังครรภ์ขณะบวชเป็นนาง ภิกษุณี แล้วถูกพระเทวทัตตัดสินให้ปาราชิก ต่อมาได้มีการร้ือฟ้ืนคดีใหม่ โดยพระพุทธเจ้าได้ทรง มอบหมายใหพ้ ระอุบาลี นางวิสาขา ทาหนา้ ท่ีในการสบื สวน และวนิ ิจฉัยต่อหน้าพระที่นั้ง กระทั่งได้ความ กระจ่างว่า นางต้ังครรภ์ก่อนบวช๑๗๑๔ นอกจากทาหน้าท่ีวินิจฉัยปัญหาพระวินัยต่าง ๆ แล้ว พระอุบาลียังเป็นคณาจารย์ใหญ่ทา หน้าท่ีสอนพระวินัยแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังหลักฐาน๑๗๑๕ ระบุไว้ว่า “ภิกษุเหล่าน้ันจานวนมากเป็นเถระก็มี เป็นนวกะก็มี เป็นมัชฌิมะก็มี พากันเล่าเรียนพระวินัยในสานักของท่านพระอุบาลี ท่านพระอุบาลีก็ยืน สอนด้วยความเคารพภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ ฝ่ายภิกษุเถระท้ังหลายก็ยืนเรียนด้วยความเคารพ ธรรม” การยืนเรียน ทาให้พระพุทธเจา้ ทรงเห็นความลาบาก ต่อมาจึงมพี ทุ ธานญุ าตให้นงั่ เรยี น ในสัตถุสาสนสูตร๑๗๑๖ พระอุบาลีได้เข้าไปกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคตรัสบอกธรรมโดย ย่อ แต่เพียงพอให้สามารถหลีกออกไปอยู่ผู้เดียวได้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ คลายกาหนัด เพอ่ื ดับ เพื่อสงบระงับ เพอ่ื รยู้ ิง่ เพอื่ ตรสั รู้ เพ่ือนพิ พาน ขอใหท้ รงจาธรรมเหล่าน้ันไว้ให้ดีว่ นี้ เปน็ ธรรม น้ีเป็นวนิ ัย นี้เป็นสตั ถุศาสน์ พระอุบาลี มีชีวิตอยู่มาจนถึงภายหลังพุทธปรินิพพาน โดยช่วง ๓ เดือนหลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้ทาหน้าท่ีสาคัญในการทาสังคายนาคร้ังที่ ๑ ร่วมกับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็น ประธาน การทาสังคายนาครั้งนี้ ท่านได้ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ผูว้ สิ ัชนาพระวนิ ัย๑๗๑๗ อบุ ลวรรณา,ภกิ ษณุ ี นางอบุ ลวรรณาเถรี ปรากฏในขุททนกิ นิกาย ธรรมบท๑๗๑๘ และอรรถกถา๑๗๑๙ มีรายละเอียด เพ่ิมเติมว่า เกิดในสกุลเศรษฐี ณ กรุงสาวัตถี บิดามารดาก็ตั้งชื่อว่า อุบลวรรณา เพราะมีผิวพรรณเหมือน ๑๗๑๑ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๑/๑๖๗. ๑๗๑๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๑/๗๘/๖๖. ๑๗๑๓ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๑๐/๑๗๕. ๑๗๑๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๑๙๑. ๑๗๑๕ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๒๐/๑๗๘. ๑๗๑๖ อง.ฺ สตตฺ ก.(ไทย) ๒๓/๘๓/๑๗๘. ๑๗๑๗ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๓๙/๓๗๘. ๑๗๑๘ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๖๙/๔๘. ๑๗๑๙ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๑๓.
๔๒๓ ดอกอุบลเขยี ว เมื่อเติบใหญ่เข้าสู่วัยสาวแล้ว พระราชาท้ังหลายทั่วชมพูทวีป ต่างพากันส่งทูตไปยังสานัก เศรษฐีขอให้ยกธิดาให้ ทาให้เศรษฐีลาบากใจ เพราะไม่สามารถตอบสนองพระประสงค์ของพระราชาได้ ทัง้ หมด จึงขอร้องใหน้ างบวช ซ่ึงนางก็ได้ปฏิบตั ติ ามคาของบิดาทุกประการ เศรษฐีน้ันก็ทาสักการะแก่นาง นาไปสานักภกิ ษุณแี ลว้ ให้บวช ครน้ั บวชได้ไมน่ านนกั ถึงเวรดูและโรงอุโบสถ นางจุดประทีปแล้วกวาดโรงอุโบสถ ยืนเพ่งนิมิต เปลวประทีปครั้งแล้วครง้ั เล่า กส็ ามารถทาฌานทมี่ เี ตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้บังเกดิ กระทาฌานให้เป็นบาท เจรญิ วิปสั สนา กบ็ รรลุพระอรหตั พรอ้ มด้วยอภิญญาและปฏสิ ัมภทิ า คราวหน่ึง นางอุบลวรรณาเถรีได้เท่ยี วจารกิ ไปในชนบท กลับมาแล้วเข้าไปสูป่าอันธวัน เวลาน น้ัน พระศาสดายังไมท่ รงหา้ มการอยู่ปา่ ของพวกนางภิกษณุ ี นางกไ็ ด้พกั ท่ีกระท่อมหลังหนึ่งในป่า ชาวบ้าน ได้ตั้งเตียง ก้ันม่านไว้ในป่าน้ัน ถวายพระเถรีน้ัน ส่วนพระเถรีน้ัน ก็เข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีออก มาแลว้ ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นบุตรของลุงของพระเถรี ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต้ังแต่ครั้งท่ีพระเถรียังเป็น คฤหสั ถ์ รู้ข่าววา่ พระเถรีมา จงึ เข้าไปสปู่ ่าอันธวันกอ่ นพระเถรีจะมา จากนั้นก็แอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง พอเมอื่ พระเถรีเข้ากระท่อม ปิดประตู น่ังลงบนเตียง นันทมาณพจึงออกมาจากภายใต้เตียง บังคับข่มขืน นางจนสาเรจ็ ความใคร่ แม้จะนางจะรอ้ งขอ ก็ไม่สนใจ กระทากรรมตามที่ตนปรารถนาแล้วก็หนีไป แต่พอ ออกจากกระท่อมเหยียบพื้นดนิ ได้ไมน่ าน นนั ทมาณพก็ถูกธรณสี ูบไปบงั เกิดในอเวจีมหานรก หลงั จากเกดิ เหตุ นางอุบลวรรณาเถรี ได้เล่าเร่ืองราวให้ภิกษุณีท้ังหลายทราบ ภิกษุณีก็ได้แจ้ง เนื้อความนั้นแก่ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุท้ังหลายนากราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระศาสดาคร้ันสดับ เรื่องนั้นแล้ว ได้ยกเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นกรณีตัวอย่าง ได้วางสิกขาบทห้ามภิกษุณีอยู่ในอาวาสที่ไม่มี ภิกษ๑ุ ๗๒๐ ทั้งนีเ้ พอื่ ปอ้ งกนั อนั ตรายอันเกดิ จากคนบาปในลกั ษณะอยา่ งน้ี อปุ กะ,ชวี ก ชวี กชื่ออปุ กะ เป็นบคุ คลแรกทไี่ ด้พบพระพุทธเจ้าในระหว่างทางเสด็จไปโปรดปัญจวคั คีย์ทง้ั ๕ ขณะเห็นกร็ สู้ ึกไดถ้ ึงความผอ่ งใสของผวิ พรรณ จึงได้ทูลถามดว้ ยความสงสยั ว่า พระองค์บวชอุทศิ ใคร มีใคร เปน็ ศาสดา ชอบใจธรรมของใคร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า พระองค์ครอบงาธรรมทั้งปวง รู้ธรรมท้ังปวง มิแปดเป้ือนใน ธรรมทัง้ ปวง ละธรรมท้งั ปวงได้สน้ิ เชงิ ไม่มีอาจารย์ ไม่มีผู้เสมอเหมือน เป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาผู้ยอด เยี่ยม ตรัสรู้ชอบโดยพระองคเ์ อง อุปกาชีวกได้ยินพระดารัสพระพุทธเจ้าเช่นน้ัน ก็ทูลว่า “อาวุโส ท่านสมควรเป็นพระอนันตชิ นะตามท่ที ่านประกาศ” เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ชนเหล่าใดถึงความส้ินอาสวะแล้ว ชนเหล่านั้นย่อม เปน็ พระชินะ อปุ กะ เราชนะความช่ัวไดแ้ ลว้ เพราะฉะน้ัน เราจึงชอื่ วา่ พระชนิ ะ” ๑๗๒๑ เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างน้ีแล้ว อุปกาชีวกก็ทูลว่า “อาวุโส ควรจะเป็นอย่างนั้น” โคลง ศีรษะแล้วกเ็ ดินสวนทางหลีกไป ๑๗๒๐ ว.ิ ภิกขฺ ณุ ี. (ไทย) ๓/๑๐๔๗/๒๘๐. ๑๗๒๑ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๑/๑๗.
๔๒๔ ในคมั ภีร์อรรถกถาระบุว่ พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นอุปนิสัยของอุปกาชีวกว่า เม่ือเขาได้สนทนา กบั พระองค์แลว้ ก็จักหลกี ไป แตใ่ นอนาคต เม่ืออุปาชีวกเบ่ือหน่ายแล้ว ก็จะกลับมาหาพระองค์อีก และจัก กระทาให้แจ้งซงึ่ พระอรหันต์๑๗๒๒ อนึ่ง ในอรรถกถามชั ฌิมนิกาย มลู ปณั ณาสก์๑๗๒๓ มรี ายละเอยี ดเกีย่ วกับอุปกาชีวกบันทึกไว้ว่า อุปกาชีวกนั้นอาศัยหมู่บ้านพรานล่าเนื้อ วันหนึ่งนายพรานออกไปล่าเน้ือ ท้ิงลูกสาวช่ือจาปาไว้ในเรือน เพียงลาพัง คร้ันอุปกาชีวกมาท่ีเรือน ได้รับการต้อนรับเล้ียงดูจากนางก็เกิดความรักอย่างแรง ถึงกับคิดว่า ถา้ ไม่ได้นางมาเป็นภรรยา จะขอตายอย่ใู นปา่ จงึ ไมย่ อมกลับไปท่ีเรอื นนายพรานอีกเลย นายพรานจากไป ๗ วัน กลับมาบ้าน ได้ถามลูกสาวถึงอุปกาชีวก ลูกสาวก็รายงานว่า มาฉันท่ี บ้านไดเ้ พียงวันเดียวก็หายไป ไม่กลับมาอกี เลย นายพรานสงสยั จึงไดต้ ามไปทป่ี ่า ไปถึงก็เห็นนอนซมอยู่ จึง ไดเ้ ขา้ ไปถามอาการ อุปกาชีวกก็ไม่ยอมตอบ ไดแ้ ตน่ อนกล้งิ ไปมา นายพรานได้ปลอบโยน และหาหนทางช่วย ขอให้บอกความจริง จะช่วยทุกอย่าง และทาให้ ทุกอย่าง อุปกาชีวกจึงบอกว่า ตนเองนั้นหลงรักลูกสาวนายพราน ถ้าไม่ได้นางก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ นายพรานได้ถามว่า รู้ศิลปะอะไรบ้าง เพราะถ้าจะครองเรือน ก็ต้องมีศิลปะวิชาบ้าง อุปกาชีวกไม่รู้ศิลปะ ใด ๆ จงึ ได้พดู กับนายพรานไปว่า ตนยอมทาทกุ อย่าง เปน็ ลูกมือนายพราน ชว่ ยขายเนื้อใหก้ ็ได้ เม่ือเห็นอุปกาชีวกยืนยันเช่นนั้น นายพรานก็หาผ้ามาให้ และจัดแจงแต่งนางจาปาผู้เป็นลูก สาวให้ และเพราะอาศัยการอยรู่ ่วมกัน จึงก่อเนิดบุตรผู้หนึ่งช่ือสุภัททะ ครั้นอยู่กินนานวันเข้า นางจาปาก็ มักพูดจากระทบกระแทกอยู่เนือง ๆ แม้จะร้องเพลงกล่อมลูกก็หาเน้ือเพลงชนิดเสียดสี ทาให้อุปกาชีวก เกดิ ความเบ่อื หนา่ ย สุดท้ายกห็ นีไปบวชในสานกั พระผู้มีพระภาคเจ้า อปุ กาชวี กครัน้ ได้บวชแลว้ ก็เพยี รพยายาม ไม่นานก็ได้บรรลุอนาคามิผล กระทากาละแล้วก็ได้ ไปบงั เกดิ ในพรหมชั้นสทุ ธาวาส อรุ เุ วลกสั สปะ,ชฎลิ อุรุเวลกัสสปะ เป็น ๑ ในชฎิล ๓ พ่ีน้อง ประกอบด้วย อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และค ยากสั สปะ ท้ังหมดเปน็ เจ้าลทั ธิบูชาไฟ มีบรวิ ารรวม ๑,๐๐๐ คน ทัง้ หมดตงั้ อาศรมอยู่ท่ีตาบลอุรุเวลาเสนา นคิ ม๑๗๒๔ และเพราะอาศยั อยู่ทต่ี าบลอุรุเวลา จึงได้นามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสปะ๑๗๒๕ ขณะท่ีผู้น้องอีกสอง คนคือนทีกัสสปะ ต้ังอาศรมอยู่ใกล้แม้น้า จึงได้ชื่อว่า นทีกัสสปะ ส่วนผู้น้องสุด ต้ังอาศรมอยู่ท่ีตาบลคยา จึงได้นามวา่ คยากัสสปะ๑๗๒๖ พระพทุ ธเจา้ เสด็จทรมานชฎลิ ๓ พ่ีนอ้ ง ทรงใช้ปาฏหิ ารยิ ต์ า่ ง ๆ ถึง ๓,๕๐๐ วิธี๑๗๒๗ นับต้ังแต่ ปาฏิหาริย์ท่ีโรงบูชาไฟ ปาฏิหาริย์เร่ืองท้าวสักกะ ท้าวสหัมบดีพรหมมาบารุงพระพุทธเจ้า กระท่ัง ปาฏิหาริย์เร่ืองน้าท่วม แต่ชฎิลก็ยังถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ กระท่ังพระผู้มีพระภาคตรัสเตือนว่า ท่าน ไม่ใช่พระอรหันต์ ปฏิปทาท่ีปฏิบัติอยู่ก็ไม่ใช่ทางเป็นเหตุให้บรรลุพระอรหันต์ ทาให้ชฎิลเกิดความสลดใจ ๑๗๒๒ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๑๕๒. ๑๗๒๓ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๒/๔๖๔. ๑๗๒๔ วิ.ม.(ไทย) ๔/๓๗/๔๗. ๑๗๒๕ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๘๖/๒๗๗. ๑๗๒๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๘๗/๒๗๗. ๑๗๒๗ วิ.ม.(ไทย) ๔/๕๓/๖๓.
๔๒๕ หมอบกราบแทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทใน พระพทุ ธศาสนา๑๗๒๘ หลังจากอุรุเวลกัสสปะยอมทิ้งบริขารชฎิลบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้ส่งข่าวต่อๆ ให้ คยากสั สปะ และนทกี สั สปะไดท้ ราบตามลาดบั และทั้งหมดได้มารวมตัวกัน เม่ือได้ทราบความจริงท้ังหมด แล้ว ตา่ งก็สละบริขารชฎลิ ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรท่ามกลางภิกษุผู้เคย เปน็ ชฎลิ ๑,๐๐๐ รปู กระทงั่ ได้บรรลเุ ป็นพระอรหันต์ในท่ีสุด การท่ีชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมบริวารได้หันมานับถือ และบวชในพระพุทธศาสนา สร้างคุณูปการ แก่พระพุทธเจ้าในการวางรากฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระเจ้าพิมพิสาร พร้อมดว้ ยชาวเมอื ง ล้วนต่างก็นบั ถอื ชฏิล ๓ พ่ีน้อง ทาให้ง่ายต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ชาวเมืองไม่มี ความคลางแคลงใจอกี ต่อไป อนึ่ง อุรเวลกัสสปะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มี บรวิ ารมาก๑๗๒๙ อกุ กามุขราชกุมาร, พระอกุ กามขุ ราชกุมาร เป็น ๑ ใน ๔ พระราชโอรสของพระเจ้าโอกกากราช ได้แก่ พระอุกกา มุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินิกราชกุมาร พระสินีปุรราชกุมาร ท่ีถูกเนรเทศให้ออก จากเมือง พร้อมด้วยพ่ีสาว น้องสาวอีก ๕ พระองค์ ท้ังหมดไปต้ังเมืองใหม่ที่ราวป่าสักใหญ่ ริมฝ่ังสระ โบกขรณี เชงิ เขาหิมพานต์ และถอื เป็นต้นกาเนดิ ศากยวงศใ์ นเวลาต่อมา๑๗๓๐ อุคคคหบดี อคุ คคหบดี อาศยั อยูท่ บี่ า้ นหัตถิคาม เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี อคุ คคหบดี ปรากฏในพระสูตรหลายแห่ง แต่ละแห่งมีเนื้อความเกี่ยวข้องกับการเข้าเฝ้าพระผู้ มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ ณ สถานท่ีต่าง ๆ เพื่อทูลถามปัญหาบ้าง เพ่ือฟังธรรมบ้าง หรือบางครั้งก็ ปรากฏเร่ืองราวพระผู้มีพระภาคเสด็จไปหาท่ีคฤหาสน์บ้าง ทาให้ได้มีโอกาสถามปัญหา และฟังธรรมอยู่ เนอื งๆ ดงั ตัวอยา่ งจะกล่าวตอ่ ไป ในเวสาลีสูตร๑๗๓๑ ขณะพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ก็ได้เข้าเฝ้า ทูลถามปัญหาเก่ียวกับเหตุปัจจัยที่ทาให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน อะไรเป็นเหตุให้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ต่อปัญหาน้ี พระผู้มีพระภาคได้ชี้ให้เห็นว่า เหตุท่ีไม่ทาให้ปรินิพพานในปัจจุบัน เพราะยงั มใี จกาหนดั ยนิ ดี เพลดิ เพลนิ เชยชม ยึดตดิ ในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ต่าง ๆ ท่มี ากระทบ ในมนาปทายสี ูตร๑๗๓๒ พระผมู้ ีพระภาคได้ถือบาตรเสด็จเข้าไปในเรือนของคหบดี เมื่อประทับ น่ังแลว้ อคุ คคหบดกี ็ได้ถวายอภิวาท จากนน้ั ก็กราบทลู ว่า เคยไดย้ นิ พระดารัสตรสั ว่า ผใู้ ห้ของชอบใจ ย่อม ๑๗๒๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๕๑/๖๑. ๑๗๒๙ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๒๔/๒๙. ๑๗๓๐ ที.สี.(ไทย) ๙/๒๖๗/๘๒. ๑๗๓๑ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๑๒๔/๑๕๐. ๑๗๓๒ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๔๔/๖๙.
๔๒๖ ได้ของชอบใจ จึงได้ถวายของต่าง ๆ เช่น ของเค้ียวช่ือสาลปุปผกะบ้าง เนื้อสุกรอย่างดีบ้าง, นาลิยสากะ ทอดบ้าง, ผ้าทอท่ีแคว้นกาสีบ้าง, บัลลังก์ท่ีลาดด้วยผ้าโกเชาว์บ้าง, เตียงไม้จันทน์ราคาเกิน ๑ แสน กหาปณะบ้าง เป็นตน้ ซึง่ บางอยา่ งไมค่ วรแก่พระผูม้ ีพระภาค แต่ก็ทรงอนเุ คราะหแ์ ก่คหบดี อนงึ่ ด้วยความที่อุคคคหบดี ไดถ้ วายสิง่ ท่ีน่าชอบใจน้ีเอง จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า ในฐานะผเู้ ลศิ กวา่ อบุ าสกทง้ั หลาย ผู้ถวายโภชนะเป็นทน่ี า่ ชอบใจ๑๗๓๓ ในปฐมอุคคสูตร๑๗๓๔ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสยกย่องอุคคคหบดีว่า ประกอบด้วยธรรมที่น่า อัศจรรย์ ๘ ประการ ไม่เคยปรากฏมาก่อน ได้แก่ ๑) เห็นพระพุทธเจ้าแต่ใกล ก็เล่ือมใส ๒) มีจิตเลื่อมใส แลว้ ได้เข้าไปนั่งใกล้ ได้ฟังอนุปุพพิกถา บรรลุธรรม หมดความคลางแคลงใขในพระรัตนตรัย ๓) มีภรรยา ๔ คน เมอื่ ประพฤติพรหมจรรยแ์ ลว้ บอกภรรยาให้กลบั ไปยงั เรือนตระกลู หรือแม้ได้มอบภรรยาให้ชายอ่ืน ตามทปี่ รารถนา กไ็ มร่ ้สู ึกว่าจติ หว่ันไหว ๔) ตระกูลมีทรัพย์พรอ้ ม ได้นามาจาแนกแจกจ่ายแก่ผู้มีศีล มีกัลป์ ยาณธรรม ๕) เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุใด ก็นั่งใกล้ด้วยความเคารพ ๖) ท่านแสดงธรรมให้ฟัง ก็ต้ังใจฟังโดย เคารพ หากท่านไมแ่ สดงธรรมให้ฟัง อุคคคหบดีก็เป็นฝ่ายแสดงธรรมให้ท่านฟัง ๗) เทวดามาบอกว่าธรรม อนั พระผู้มพี ระภาคตรสั ไว้ดแี ลว้ ก็ไม่รู้สึกฟูใจ เพราะรู้แจ้งด้วยตนเองแล้วว่า ธรรมพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ดีแล้ว และ ๘) ไม่เล็งเหน็ สังโยชนอ์ ะไรทตี่ นยงั ละไม่ได้ อุคคคหบดี เม่ือถึงแก่กรรมแล้ว ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เข้าถึงชั้นกาย มโนมัย๑๗๓๕ หมายถึง กายเทพ หรือพรหมกายของผู้ได้บาเพ็ญฌานสมาบัติแล้วบังเกิดในพรหมโลกช้ัน สทุ ธาวาสดว้ ยอานาจฌาน อุคคตคหบดี อุคคตคหบดี มีปรากฏในภัลลิกาทิสูตร๑๗๓๖ ความระบุแต่เพียงว่า เป็น ๑ ในคหบดีผู้ ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ คือ ๑) เล่ือมใสไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า ๒) เล่ือมใสไม่หวั่นไหวในพระ ธรรม ๓) เลือ่ มใสไมห่ วนั่ ไหวในพระสงฆ์ ๔) อรยิ ศลี ๕) อรยิ ญาณ และ ๖) อริยวิมุตติ เป็นผู้เชื่อมั่นในพระ ตถาคต เห็นอมตธรรม ทาใหแ้ จ้งอมตธรรมอยู่ ในองั คุตตรนิกาย เอกกนิบาต๑๗๓๗ ระบุว่า ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศกว่า อุบาสกทั้งหลายผอู้ ุปฏั ฐากพระสงฆ์ อคุ คตสรรี ะ, พราหมณ์ อุคคตสรีรพราหมณ์ ปรากฏในทุติยอัคคิสูตร๑๗๓๘ ความระบุว่า อุคคตสรีรพราหมณ์ ตระเตรยี มมหายัญ โคผู้ ๕๐๐ ตวั ลกู โคผู้ ๕๐๐ ตวั ลูกโคตัวเมยี ๕๐๐ ตัว แพะ ๕๐๐ ตวั และ แกะ ๕๐๐ ตวั ถูกนาไปผกู ไวท้ ี่หลักเพื่อการบชู ายญั จากนน้ั พราหมณ์ก็เขา้ ไปสนทนากับพระผ้มู ีพระภาคว่า การก่อไฟ การปกั หลักบูชายัญ ยอ่ มมผี ลมาก มีอานิสงสม์ าก ๑๗๓๓ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๓/๓๒. ๑๗๓๔ องฺ.อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๒๑/๒๕๗. ๑๗๓๕ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๔๔/๗๒. ๑๗๓๖ อง.ฺ ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๑๒๐/๖๔๑. ๑๗๓๗ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๔/๓๒. ๑๗๓๘ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๔๗/๗๐.
๔๒๗ พระผู้มีพระภาคมิได้คัดค้าน เพียงแต่ตรัสตอบว่า พระองค์ก็เคยได้ยินว่า การก่อไฟ การ ปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ทาให้พราหมณ์เข้าใจผิดคิดว่า ความเห็นของตนกับ ความเหน็ ของพระพุทธเจา้ สอดคล้องกนั พระอานนท์เห็นว่าพราหมณ์ถามไม่ถูกต้อง จึงแนะนาให้พราหมณ์ถามใหม่ว่า ขณะน้ีตนเอง กาลังจะก่อไฟ ประสงค์จะบูชายัญ ขอให้พระผู้มีพระภาคตรัสเตือน พร่าสอนเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล เพ่ือ ความสุขตลอดกาลนาน เม่ือพราหมณ์ได้ถามพระพุทธเจ้าใหม่ตามคาแนะนาของพระอานนท์ พระผู้มีพระ ภาคจงึ ตรัสวา่ เมือ่ บคุ คลจะกอ่ ไฟ ปักหลกั บูชายญั กอ่ นจะบูชาย่อมเงื้อศัสตรา ๓ ชนิด คือศัสตราทางกาย ทางวาจา และทางใจท่ีเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกาไร มีทุกข์เป็นผล จึงควรละ ควรเว้นศัสตราท้ัง ๓ ชนิดนั้น นอกจากนั้นควรละเวน้ ไฟ ๓ กอง ได้แก่ ไฟคอื ราคะ โทสะ และโมหะ ละเวน้ ได้แล้วย่อมไม่ไปสู่อบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก จากนั้นควรบูชาไฟ ๓ กอง คือ ๑) บิดามารดา ๒) บุตรภรรยา ทาส กรรมกร และ ๓) สมณ พราหมณ์ อุคคตสรีรพราหมณ์ ได้ฟังเทศนาจบลง เกิดความเลื่อมใส แสดงตนเป็นอุบาสก เข้าถึงพระ รตั นตรยั ตลอดชีวติ พร้อมสงั่ ให้ปลอ่ ยสัตวท์ ่ีจะนาบชู ายญั เหล่าน้ันทง้ั หมด เลกิ พิธบี ชู ายัญตงั้ แต่บัดน้ัน อุคคเสนะ, บุตรเศรษฐี อคุ คเสนะ เป็นบุตรเศรษฐี พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภถึงพระคาถาว่า เธอจงเป็นผู้ปล่อยวาง อดีต อนาคต และปัจจุบัน จงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ เธอผู้มีใจหลุดพ้นในธรรมทั้งปวงแล้ว จักไม่เข้าถึงชาติ และชราอีกต่อไป๑๗๓๙ ความในอรรถกถา๑๗๔๐ มีรายละเอียดพอสังเขปเพมิ่ เติมดังนี้ อคุ คเสนบตุ รเศรษฐี ไปดูการแสดงกายกรรมโลดโผน ขณะที่ยืนดอู ยู่น้นั ก็เกดิ ต้องตาต้องใจสาว นักแสดงคนหนึ่ง ถึงขนาดว่า ถ้าไม่ได้นางมาครอบครอง จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ยิ่งเมื่อเรื่องราวได้ ทราบถึงเศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาแล้ว ยิ่งได้รับการคัดค้านอย่างหนัก ด้วยเห็นว่า หญิงนักแสดงผู้นั้นไม่ เหมาะสมกบั ฐานะตระกลู ของตน บุตรชายจึงยื่นคาขาด ขอตายสถานเดียว ทาให้ฝ่ายบิดามารดาต้องยอม และได้ไปเจรจาของให้พ่อของฝา่ ยหญิงยนิ ยอมยกลูกสาวใหม้ าอยู่ในเรอื น บิดาของฝ่ายหญิงไม่ยนิ ยอม และได้ย่นื เง่อื นไขเสนอไปวา่ ถา้ บตุ รชายของเศรษฐีสามารถเที่ยว ไปกบั คณะแสดงของลูกสาวได้ จึงจะยอมรับ จงึ เปน็ อันตกลงว่า ฝา่ ยอุคคเสนบุตรเศรษฐีต้องเป็นฝ่ายยอม ออกจากบ้าน เทย่ี วไปกบั คณะแสดง แม้ผูเ้ ป็นพอ่ จะคัดคา้ นไมเ่ หน็ ดว้ ยก็ตาม อุคคเสน บุตรเศรษฐีเม่ือได้มาอยู่กินกับลูกสาวนักแสดงแล้ว ก็เท่ียวไปกับคณะแสดงตามบ้าน และนิคม อาศัยการอยู่รว่ มกัน ก็ได้บุตรชายคนหนงึ่ กาลต่อมา ชีวิตครอบครัวก็เริ่มมีปัญหา และฝ่ายหญิง ก็มักจะหาเรอ่ื งพูดเยาะเย้ยบุตรเศรษฐีอยู่เนืองๆ ทาให้บุตรเศรษฐีไม่พอใจ สุดท้ายเพ่ือต้องการข่มนาง จึง ได้ขอเรยี นวิชาศิลปะการแสดงกบั พอ่ ตา กระทงั่ มคี วามรู้ มคี วามสามารถในการแสดงไมแ่ พก้ นั วันหนึง่ เขาเปดิ การแสดงอยูท่ เี่ มอื งราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นปารมีญาณ ของเขา จึงได้เสดจ็ ผ่านไป จงั หวะทีม่ หาชนกาลงั ชมการแสดงอยา่ งโลดโผนอยู่น้ันเอง เม่ือพระผู้มีพระภาค เสด็จเขา้ ไป ด้วยพทุ ธานภุ าพ ไม่มีใครดูการแสดงของอุคคเสนเลย สายตาทุกคู่มาจับอยู่ท่ีพระผู้มีพระภาค เจา้ เทา่ นน้ั ทาให้อคุ คเสนรู้สึกผิดหวัง และนอ้ ยใจ ๑๗๓๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๔๘/๑๔๑. ๑๗๔๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๓๐๒.
๔๒๘ พระผู้มีพระภาคทราบความคิดของเขา จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานะไปบอกให้อุคคเสน แสดงศิลปะของเขา ภายหลังเสด็จศิลปะเสร็จ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาดังกล่าวแล้วข้างต้น จบ พระคาถา อุคคเสนบุตรเศรษฐีได้บรรลุพระอรหันต์บนปลายไม้นั่นเอง ลงจากไม้ ถวายบังคมพระศาสดา แลว้ กท็ ลู ขออปุ สมบท อคุ คาหมานะ, ปรพิ าชก ปริพาชกชื่อ อุคคาหมานะ ปรากฏในสมณมุณฑิกสูตร๑๗๔๑ ความโดยสังเขปว่า อุคคาหมานะ กับปริพาชกประมาณ ๕๐๐ คน พรอ้ มด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ อาศัยอยู่ในอารามของพระนางมัลลิกา เทวี อนั เปน็ สถานที่แสดงลัทธิ ครั้งนั้น ช่างไม้ชื่อปัญจังคะ ออกจากกรุงสาวัตถีเพ่ือเฝ้าพระผู้มีพระภาค แต่เนื่องจากเห็นว่า ยังไม่ถงึ เวลาที่เหมาะสม จึงได้เข้าไปหาอุคคาหมานปรพิ าชกก่อน ถือโอกาสสนทนาเร่ืองราวต่าง ๆ โดย ๑ ในเร่ืองน้ัน คือ อุคคาหมานะได้กล่าวถึงแนวคาสอนของตนเองว่า ใครก็ตามท่ีประกอบด้วยธรรม ๔ ประการน้ี ถือว่าเป็นผู้เพียรพร้อมด้วยกุศล เป็นผู้บรรลุธรรมช้ันสูง ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ธรรม ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ไม่ทาความชั่วทางกาย ๒) ไม่ทาความชั่วทางวาจา ๓) ไม่ดาริความดาริช่ัว และ ๔) ไม่ประกอบ อาชพี ชว่ั นายช่างไม้ไม่ได้คัดค้าน ไม่ได้เห็นด้วย แต่ได้เก็บข้อสนทนาเหล่านี้ ไปกราบทูลพระผู้มีพระ ภาค พระผ้มู ีพระภาคได้ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เด็กน้อยไร้เดียงสา ก็ถือว่าเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยกุศล มี กุศลยอดเยย่ี ม บรรลธุ รรมชัน้ สงู ไม่มใี ครเทียบได้เหมือนกัน เพราะเด็กไร้เดียงสาเหล่าน้ัน ก็ไม่ได้ทาความ ชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ และไม่ได้ประกอบอาชีพช่ัวใด ๆ เช่นกัน จากนั้นจึงทรงแสดงเสขธรรม ๑๐ ประการ มีศีลทีเ่ ป็นกศุ ล เปน็ ต้น อุชชโสภิตะ, พระ พระอุชชโสภิตะ เป็น ๑ ใน ๔ ซึ่งเป็นตัวแทนของภิกษุชาวปราจีนที่ได้รับการคัดเลือกให้ทา หน้าที่พิจารณาอธิกรณ์ด้วยอุพพาหิกวิธี๑๗๔๒ ประกอบด้วย พระสัพพกามี พระสาฬหะ พระอุชชโสภิตะ และพระวาสภคามกิ ะ อุพพาหิกวิธี คือ วิธีระงับอธิกรณ์ ในกรณีท่ีประชุมสงฆ์มีความไม่สะดวกด้วยเหตุบางอย่าง สงฆ์จึงเลือกภิกษุบางรูปในที่ประชุมน้ัน ต้ังเป็นคณะทางานแล้วมอบเรื่องให้นาไปวินิจฉัย ในกรณีนี้เป็น เร่ืองวตั ถุ ๑๐ ประการท่ภี กิ ษชุ าววชั ชไี ด้ยกข้ึนแสดง อุชชยะ, พราหมณ์ อุชชยพราหมณ์ ปรากฏในอชุ ชยสตู ร๑๗๔๓ ความระบุว่า อุชชยพราหมณ์ ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาค ได้ทลู ถามกรณีพระผูม้ พี ระภาคทรงสรรเสริญยัญของพวกพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์ ไม่ได้สรรเสริญทุกอย่าง และก็ไม่ได้ตาหนิเสียทุกอย่าง จากน้ันก็ทรงแยกแยะว่า ยัญท่ีมีการฆ่าสัตว์ต่าง ๆ ๑๗๔๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๖๐/๓๐๗. ๑๗๔๒ วิ.จู.(ไทย) ๗/๔๕๖/๔๑๒. ๑๗๔๓ อง.ฺ จตุกกฺ .(ไทย) ๒๑/๓๙/๖๔.
๔๒๙ หรือทาให้สตั ว์ตา่ งๆ เดอื ดร้อน ทรงติเตียน ส่วนยัญทีท่ าโดยไม่เบยี ดเบียนสตั ว์ เช่น อาหารถวายตามฉลาก ยญั ที่บูชาตามลาดับตระกลู เป็นตน้ พระองค์สรรเสรญิ ในอชุ ชยสูตรแห่งองั คุตตรนิกาย๑๗๔๔ ระบุพราหมณ์ไดเ้ ข้าเฝา้ พระผมู้ ีพระภาค จากน้ันได้กราบ ทูลขอให้ทรงแสดงธรรมทจี่ ะอานวยผล เพือ่ เกอื้ กูลในภพน้ี เพื่อสุขในภพน้ี เพื่อเกื้อกูลในภาพหน้า เพ่ือสุข ในภพหนา้ ธรรมท่ีเก้ือกูลในภพน้ี พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ๔ ประการ ประกอบด้วย ๑) อุฏฐาน สัมปทา ๒) อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา และ ๔) สมชีวิตา จากน้ันทรงแนะนาให้ป้องกันทางเส่ือม ทรัพย์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) เป็นนักเลงหญิง ๒) เป็นนักเลงสุรา ๓) เป็นนักเลงการพนัน และ ๔) เป็นผู้มี มิตรช่ัว สหายช่ัว เพื่อนชั่ว ส่วนธรรมท่ีเก้ือกูลในภพหน้า ทรงแสดงธรรม ๔ ประการ ได้แก่ ๑) สัทธา สัมปทา ๒) สีลสัมปทา ๓) จาคสัมปทา และ ๔) ปัญญาสัมปทา อตุ ติยะ,พระ พระอุตติยะ เป็น ๑ ในพระเถระท่ีทรงพระวินัยสืบต่อๆ กันมาในเกาะตามพปัณณิ ประกอบด้วย พระมหินทะ พระอัฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ๑๗๔๕ ส่วนในสังยุตตนิกาย มีพระ สูตร๑๗๔๖ พรรณนาความพระอุตติยะเข้าเฝ้ากราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงะรรมโดยย่อ เพื่อท่ีจะได้ปลีกวิเวกแตเ่ พียงผู้เดียว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนให้พระอุตติยะทาเบ้ืองต้นแห่งกุศลธรรม (ศีล) ให้หมดจดก่อน จากนนั้ จงึ เจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ประการ ได้แก่ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธรรมา นุปสั สนา ทาได้เช่นนี้ ก็จะถึงพระนิพพาน ถงึ ท่สี ดุ แห่งพรหมจรรย์ พระอุตตยิ ะรับโอวาทแลว้ ได้ปลกี อยูเ่ พยี งลาพัง ขวนขวายไมน่ าน กไ็ ดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ อตุ ตรา, อบุ าสกิ า นางอตุ ตรา เปน็ ธิดาของปณุ ณเศรษฐี๑๗๔๗ แต่แต่งงานกับลูกชายของสุมนเศรษฐี ซึ่งเป็นคนไม่ มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา เมื่อมาอยู่ในเรือนสามี นางไม่ได้สักว่าให้ทาน แม้เวลาเข้าพรรษาก็ไม่ได้มี โอกาสได้รักษาศีลอุโบสถ ทาให้นางทกุ ขใ์ จ จึงได้สง่ ข่าวให้มารดาบดิ าไดร้ ับทราบ ต่อมานางได้ขอให้มารดาบิดาส่งเงินมาให้ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ คร้ันได้มาแล้ว ได้จ้างหญิง คณิกาช่ือสิริมามาทาหน้าที่ปรนนิบัติสามี ส่วนตนขอให้ทาน รักษาศีลตลอดระยะเวลาภายในพรรษาท่ี เหลอื อยู่ นางสริ มิ า เมอ่ื มาอยปู่ รนนบิ ตั ิลกู ชายปณุ ณเศรษฐนี านเขา้ ก็เกิดความรู้สกึ หึงหวง คิดว่าตนเอง เป็นใหญ่ในเรือน วนั หนึ่งเกิดอาการหึงหวงนางอุตตรากระท่ังลืมตัว ได้เอาน้ามันเดือดเทราดบนศีรษะนาง อุตตรา แตก่ ็ไมไ่ ด้รบั อนั ตรายอะไร ด้วยข้าทาสบริวารได้ช่วยเหลือไว้ทัน นางอุตตราสานึกผิด ได้ขอร้องให้ นางอตุ ตราอดโทษให้ แต่นางไม่ยอม และแนะนาใหไ้ ปขอใหพ้ ระผมู้ พี ระภาคยกโทษใหแ้ ทน ๑๗๔๔ องฺ.อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๕๕/๓๔๔. ๑๗๔๕ วิ.ป.(ไทย) ๘/๒๐๒/๒๐๖. ๑๗๔๖ อตุ ตยิ สตู ร ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๘๒/๒๓๗. ๑๗๔๗ องฺ.เอก.(ไทย) ๑/๒/๑๓๕.
๔๓๐ นางสิริมาได้ทาตามคาแนะนาของนางอุตตราทุกประการ ได้เข้าไปหาพระผู้มีพระภาค และ ขอให้ทรงอดโทษให้ พระผู้มีพระภาคได้ทรงอดโทษให้ พร้อมกับแสดงธรรมเรื่องการเอาชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ เอาชนะคนไม่ดีด้วยความดี เอาชนะคนตระหน่ีด้วยด้วยการให้ เอาชนะคนพูดเท็จด้วยคา จริง จบพระเทศนา นางสริ มิ าไดบ้ รรลุโสดาบัน อพุ พรเี ทวี,พระนาง พระนางอุพพรีเทวี ปรากฏในอัสสกชาดก๑๗๔๘ ความในอรรถกถา๑๗๔๙ ระบุว่า ทรงเป็นพระ มเหสีของพระราชาปกครองอยู่ในพระนครปาฏลิ แคว้นกาสี ทรงเป็นที่รักโปรดปรานของพระราชายิ่งนัก ต่อมาพระนางสวรรคต ทาให้พระเจ้าอัสสกะทรงเสียพระทัยมาก ถึงกับไม่ยอมพระราชทานเพลิงศพพระ นาง รับสั่งให้ดองเอาไว้ แลว้ นาไปประดษิ ฐานบนแท่น ฤาษีตนหนงึ่ ตรวจดูโลกด้วยทิพจักขุ เห็นพระราชาผู้ทรงเศร้าโศกอยู่ เห็นว่า ควรจะเป็นท่ีพึ่ง ให้กับพระองค์ จึงได้เหาะมานั่งเหนือแท่นในพระอุทยาน พระราชาหลังจากทรงทราบข่าวแล้ว ก็ได้เสด็จ ไปเยยี่ ม พรอ้ มทงั้ ปรบั ทกุ ข์เรือ่ งพระมเหสีให้ฤาษีทราบ ฤาษีได้แสดงให้พระราชาเห็นว่า ขณะน้ีพระมเหสีได้ไปบังเกิดเป็นหนอนมูลโค จากน้ันก็เรียก นางมาด้วยอานาจฤทธิ์ พร้อมท้ังให้พระราชาได้ซักถาม นางหนอนได้ตอบตามความเป็นจริงว่า ชาติก่อน นางเปน็ พระมเหสชี องพระเจ้าอัสสกะ ด้วยความหลงในรูป ตายไปแล้วได้บังเกิดในหนอนมูลโค พระราชา เป็นพระสวามีในชาติก่อน แต่เดี๋ยวน้ีต่างภพแล้ว พระเจ้าอัสสกะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จะเอาเลือดใน ลาคอมาล้างเท้าของหนอนโคมัยผู้เป็นผัวก็ไมร่ สู้ กึ อะไร พระเจ้าอัสสกะได้สดับนางหนอนมูลโคกล่าวอย่างน้ันก็เกิดความสลดพระทัย สร่างจากความ โศกเศร้า รับสั่งให้ย้ายพระศพของพระเทวีออกไป ทรงสนานพระเศียรแล้วไหว้ฤาษี เสด็จเข้าไปในพระ นคร ทรงอภเิ ษกสตรอี ่นื เป็นอคั รมเหสี ครองราชยส์ มบตั ิโดยธรรม องคุลมิ าล ดอู หงิ สกะ โอกกากราช,พระเจ้า พระเจ้าโอกกากราช ถือเป็นบรรพบุรุษของเจ้าศากยะทั้งหลาย พระผู้ที่มาสร้างเมืองที่ป่าสัก และสถาปนาเมืองกบิลพัสดุ์ขึ้น ก็คือพระราชโอรส และพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราช ซ่ึงถูก เนรเทศออกจากเมือง ด้วยเหตุพระเจ้าโอกกากราชได้ยกราชสมบัติให้กับพระโอรสซึ่งเกิดจากมเหสีรอง เพอื่ ปอ้ งกนั ปัญหาตามมาในภายหลัง จงึ โปรดใหพ้ ระราชโอรสและพระราชธดิ าทง้ั หมดออกจากเมอื ง ในคัมภีร์อรรถกถา๑๗๕๐ ระบุว่า พระเจ้าโอกกากราชมีพระมเหสี ๕ พระองค์ คือ พระนางหัต ถา พระนางจิตตา พระนางชันตุ พระนางชาลินี พระนางวิสาขา พระมเหสีองค์ใหญ่มีโอรส ๔ พระองค์ คือ เจ้าชายโอกกามุขะ เจ้าชายกากัณฑะ เจ้าชายหัตถินิกะ เจ้าชายนิปุระ มีพระธิดา ๕ พระองค์ ๑๗๔๘ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๑๓/๙๔. ๑๗๔๙ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๓๐๕. ๑๗๕๐ข.ุ สุ.อ.(ไทย) ๑/๖/๓๒๒.
๔๓๑ คือ เจ้าหญิงปิยา เจ้าหญิงสุปปิยา เจ้าหญิงอานันทา เจ้าหญิงวิชาตา เจ้าหญิงวิชิตเสนา คร้ันพระมเหสี ใหญไ่ ด้พระโอรสพระธดิ า ๙ องคแ์ ลว้ ก็สิ้นพระชนม์ พระมเหสีรองจึงทรงนาราชธิดาซึง่ ยังสาว ทงั้ มีรปู โฉมงดงามองค์อื่นมาตั้งไว้ในตาแห่งพระอัคร มเหสี ต่อมาพระนางได้ประสูติพระโอรสองค์หน่ึง พระญาติขนานพระนามว่าชันตุกุมาร ครั้นประสูติได้ ๕ วัน พวกนางนมได้ตกแต่งพระชันตุกุมารนามาเฝ้าพระราชา พระราชาทรงยินดีได้พระราชทานพรแด่ พระอัครมเหสี พระนางจึงทรงปรึกษากับบรรดาพระญาติทูลขอราชสมบัติให้แก่พระโอรส แรกเร่ิม พระราชาทรงพิโรธ ไม่พอพระทัย แล้วไม่พระราชทานตามที่พระมเหสีทูลขอ พระอัครมเหสี ประเล้าประโลมพระราชาในท่ลี ับบ่อยๆ คร้ันให้ทรงพอพระทัยแล้ว ทูลวิงวอนซ้าแล้วซ้าอีก พร้อมท้ังยก พระราชดารสั ที่เคยตรัสไว้แล้วว่า เปน็ กษัตรยิ ์ตรัสแลว้ ไมค่ วรคืนคา กระท่ังทรงยอมตามที่พระนางทลู ขอ พระเจ้าโอกกากราชได้เรียกพระโอรสทั้งหลายมา พร้อมกับตรัสเล่าเร่ืองราวให้พระราชโอรส และพระราชธิดาทราบทั้งหมด พร้อมกับขอร้องให้ออกจากเมือง ต่อเมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว จึงขอให้ พระราชโอรสมาครองราชสมบตั ิ จากน้ันกท็ รงส่งไปกบั อามาตย์ ๘ คน พระราชกุมารเหล่าน้ันได้พาพระ พ่ีนางพระน้องนางออกจากพระนครพร้อมด้วยจตุรงคเสนา พวกชาวพระนครรู้ว่าพระกุมารจะเสด็จมา ครองราชสมบัติเม่ือพระบิดาสวรรคตแล้ว จึงต่างพากันออกติดตามไปอุปัฏฐากพระกุมารเหล่านั้นเป็น จานวนมาก พระราชกุมารทั้งหลายทรงดาริว่า พลนิกายมีมาก หากเราจะยกไปตีพระราชาใกล้เคียงเมือง หนึ่งเมืองใดชิงเอาบ้านเมืองชนบทท้ังหมดก็จะพ่ายแพ้เรา แต่ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติท่ีได้มา เพราะเบียดเบียนผู้อ่ืนชมพูทวีปก็กว้างใหญ่ เราจะสร้างนครในป่า จึงพากันเสด็จบ่ายหน้าไปยังป่าหิม พานต์ พระราชกุมารแสวงหาท่ีจะสร้างพระนคร ท่ีป่าน้ันมีพระดาบสช่ือกปิละ มีตบะแรงกล้า อาศัยอย่ใู นปา่ ไมส้ ากะใกล้ฝง่ั โบกขรณี ณ ปา่ หมิ พานต์พระราชกมุ ารไปถึงที่อยู่ของดาบสนั้น ดาบสเห็น พระราชกุมารเหล่าน้ันจงึ ถาม ครน้ั ทราบเรื่องราวท้งั หมด จึงไดท้ าการอนุเคราะห์พระราชกุมารเหล่านั้น ด้วยการช้ีภมู ิประเทศให้วา่ ภมู ิประเทศนี้ เปน็ พื้นปฐพอี ันลา้ เลิศ จึงใหส้ ร้างพระนคร ณ ทีน่ ้ัน ครง้ั นั้น พระดาบสไดท้ ลู พระราชกมุ ารว่า หากพระองค์จะสร้างพระนครใช้ชื่อของข้าพระองค์ ขา้ พระองค์ก็ยินดี พระราชกมุ ารทรงรบั คาดาบส พระดาบสกลา่ วว่า แม้บุตรคนจัณฑาลสถิตอยู่ในที่นี้ ก็ จะข่มขพี่ ระเจ้าจักรพรรดดิ ้วยกาลังได้ แล้วกราบทูลให้สร้างพระราชมณเฑียร แล้วสร้างพระนคร ณ ที่ต้ัง อาศรม ครั้นดาบสถวายที่นั้นแล้ว ตนเองก็สร้างอาศรมอาศัยอยู่ ณ เชิงเขาไม่ไกลนัก จากนั้นพระราช กุมารทง้ั หลายจงึ สรา้ งพระนคร ณ ทีน่ ั้นให้จารึกช่อื วา่ กบิลพสั ด์ุ เพราะกบลิ ดาบสประสิทธใิ์ ห้
บทท่ี ๔ การวเิ คราะห์คตินิยมการต้ังช่อื บคุ คลในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา ๔.๑ แนวคดิ และทฤษฎีการตงั้ ชื่อบุคคล ๔.๑.๑ แนวคิดท่ัวไป การตัง้ ชอื่ เป็นส่วนหนงึ่ ของการใช้ภาษา แมแ้ รกเร่มิ จะไม่มีกฎหมายหรอื ข้อบังคบั ใดๆ เก่ียวกับ การต้งั ชอ่ื ก็ตาม วัฒนธรรมในการต้ังช่ือบางวัฒนธรรม เช่น ชาวยิว, ชาวเซอร์เบีย, ชาวไต้หวัน, ชาวซาฮา ราในทวีปแอฟริกา, ชาวจีนโบราณ, ชาวกรีซโบราณ เป็นต้น มีการต้ังช่ือเด็กที่เกิดมาให้มีความหมาย ในทางน่าเกลียด หรือช่ัวร้าย (apotropaic names)๑ เพ่ือหลอกให้ภูตผีปิศาจคิดว่าเด็กน่าตาน่าเกลียด น่ากลวั ไมม่ ารบกวน ทัง้ น้เี น่ืองจากมีความเชือ่ เกย่ี วกับเร่ืองภตู ผปี ิศาจท่ีสามารถสร้างหรือทาลายชีวิตหลัง กาเนดิ ไดไ้ มน่ าน ซ่ึงแทจ้ ริงแลว้ เปน็ ผลมาจากความไม่เจริญทางการแพทย์ ผูต้ ง้ั ชื่อให้แก่เด็ก มกั เปน็ บิดามารดา พระภกิ ษุ ญาติผใู้ หญ่ ผ้รู ู้ หรือผ้เู ก่ยี วขอ้ งกับเด็ก ในส่วนวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ปรีชา ช้างขวัญยืน ต้ังข้อสังเกตไว้ว่า ในคัมภีร์มนู ธรรมศาสตรข์ องอินเดียโบราณ กล่าวถึงการตงั้ ช่อื ว่า พธิ กี ารต้งั ช่ือกาหนดเมอื่ เด็กอายุได้ ๑๐-๑๒ วัน หรือ วันพระจันทร์เต็มดวง วันฤกษ์ดี ช่ือของพราหมณ์ให้เก่ียวกับสิ่งมงคล กษัตริย์เกี่ยวกับอานาจ ไวศยะ เก่ยี วกับความมง่ั คงั่ ศูทรเกย่ี วกบั สิง่ ต่าๆ อันนา่ เกลยี ดเหยียดหยาม ช่ือท่ีเป็นลักษณะเด่นของพราหมณ์คือ ชื่อที่สื่อถึงความเจริญ กษัตริย์สื่อถึงการพิทักษ์รักษา ไวศยะ สื่อถึงความมั่งค่ัง ศูทร สื่อถึงการรับใช้ ชื่อ สตรีต้องมีความหมายที่น่ายินดี ไม่แข็งกระด้าง ความหมายไปทางเรียบร้อย มีเสน่ห์ มีโชค และลงท้าย ด้วยทฆี สระ คอื สระเสยี งยาว๒ จากตัวอย่างสะท้อนให้เห็นว่า คตินิยมในการต้ังช่ือ ยังคงมีอิทธิพลต่อสังคมอินเดีย นับตั้งแต่ ก่อนพุทธกาล โดยเฉพาะชนช้ันกษัตริย์ และพราหมณ์ ดังจะเห็นได้จากเมื่อพระนางสิริมหามายาประสูติ พระราชโอรสได้แล้ว ๕ วัน ก็มีการอัญเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาเล้ียงอาหาร เสร็จแล้วได้คัดเลือกตัวแทน พราหมณ์ให้เหลือ ๘ คน เป็นผู้ทาหน้าที่ทานายลักษณะพระกุมาร และมีพิธีขนานพระนามพระกุมารว่า สิทธตั ถะ เพราะทรงทาความสาเรจ็ ประโยชน์แกโ่ ลกทง้ั ปวง๓ จากหลักการดังกล่าวข้างต้น หากพิจารณาชื่อบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกดังกล่าว แล้วในบทที่ ๓ หากจาแนกประเภทตามวรรณะท้ัง ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร พอมีตัวอย่าง ประกอบ ดังตอ่ ไปน้ี ๑ “Naming Culture”, [online]: https://en.wikipedia.org/wiki/Apotropaic_magic (Febuary 27, 2018). ๒ ปรชี า ช้างขวญั ยืน, “ช่อื เสยี งเรยี งนาม” , วิพากษก์ ารใชภ้ าษาไทย:รวมบทความจากคอลัมนป์ ากกาขน นก สงั เกตภาษาและจับตาภาษาไทย, (กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๐), หน้า ๕๕๒. ๓ ข.ุ อป.อ.(ไทย) ๘/๑/๑๑๗.
๔๓๓ ๑. กลุ่มวรรณะกษัตริย์ ชื่อมีลักษณะเก่ียวกับอานาจ การพิทักษ์ รักษา เช่น พรหมทัต, ปเสนทิโกศล, สุริยกุมาร, ยุธัญชัยกุมาร, พระเจ้าเอกราช, พระเจ้ายุธิฏฐิละ, พระเจ้าอชาตศัตรู, พระเจ้า โกรัพพยะ, พระเจ้าโอกกากราช, พระเจ้ากัปปินะ, พระเจ้าสรรพทัต, พระเจ้าชนสันธะ, พระเจ้ามหาวิชิต ราช, พระเจา้ ชยั เสน, พระเจ้าปนาทะ, พระเจา้ ทศรถ, ปญุ ญลกั ขณเทว,ี โพธิราชกุมาร เป็นต้น ๒. กลุ่มวรรณะพราหมณ์ ช่ือมีลักษณะสื่อถึงความเจริญ ความเป็นมงคล, เช่น โสตถิย พราหมณ,์ เกวัฏฏพราหมณ์, ฉันโทกพราหมณ์, โตเทยยพราหมณ์, เทวหิตพราหมณ์, ธนัญชานีพราหมณี, ปงิ คิยะ, ปิงคยิ านี, ปุณณกะ, พรหมายพุ ราหมณ,์ ยญั ญูทัต, วามเทพ เปน็ ต้น ๓. กล่มุ วรรณะไวศยะ ช่ือมลี ักษณะส่อื ถึงความมั่งค่งั เช่น โชติปาละ, โชติยะ, ธนปาละ, ธนัญชัย, ยสะ, วิสาขา, อนาถปิณฑิกเศรษฐี, โฆสกเศรษฐี, สุทัตตะ,ปุณณะ, ภัลลิกะ, มัฏฐกุลฑลี, สริ ิวฑั ฒะ, เมณฑกะ, สริ ิคุตต์ เป็นต้น ๔. กลุ่มวรรณะศูทร ช่ือมีลักษณะส่ือถึงการรับใช้ มีความหมายต่า เช่น ทามริกะ, ทารุกัมมิกะ, นันทโคบาล, นิลียะ, อวกัณณกะ, ชวกัณณกะ, ธนิฏฐกะ, สวิฏฐกะ, กุลวัฑฒกะ, อวัณณก ทาส, กลัณฑกุ ทาส, กากะ เป็นต้น หากเปรยี บเทยี บการววิ ฒั นาการการตั้งช่อื ของคนไทยนับต้ังแต่สมัยสุโขทัย๔ เป็นต้นมา พบว่า การตัง้ ชอื่ ของคนไทยสมัยสุโขทัยนิยมเป็นคาพยางค์เดียว ความหมายของชื่อสะท้อนแนวคิดของคนในยุค สร้างบ้านแปลงเมือง ๒ ประการ คือ ความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ และแนวคิดเรื่องความมุ่งเอา ความปลอดภัย ความมั่นคง และความเจริญเป็นหลัก ขณะที่ชื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี คิดค่าเฉล่ีย พยางค์ได้ ๑.๓ สาหรับชื่อชาย และ ๑.๒ พยางค์ สาหรับช่ือหญิง ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย ชาย ร้อยละ ๖๙ หญงิ รอ้ ยละ ๘๓.๗ ที่เหลือนอกจากน้ันก็มีภาษาอื่น ๆ เช่น บาลีสันสกฤต บาลีสันสกฤตผสม ไทย ความหมายช่ือมักเป็นรูปธรรมท่ีสัมพันธ์กับชีวิตประจาวัน เช่น จัน สน พลับ พู ทอง เป็นต้น หรือ แสดงความหมายกริ ิยาเคลือ่ นไหว เชน่ มา พนู เลอ่ื น ผกู เขียน ชู เปน็ ต้น ชื่อสมัยรัตนโกสินทร์หลัง พ.ศ.๒๔๗๕ เฉลี่ยใช้พยางค์ ๑.๑ พยางค์ สาหรับช่ือชาย และ ๑.๒ พยางค์ สาหรับชื่อหญิง ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่ชาย ร้อยละ ๘๖, หญิงร้อยละ ๘๗ ท่ีเหลือนอกน้ันเป็นภาษา บาลี สนั สกฤต เขมร ความหมายชื่อสะท้อนคตินิยมและวิถีทางดาเนินชีวิตคล้ายกับสมัยอยุธยาและธนบุรี สว่ นชื่อในยคุ หลงั พ.ศ.๒๔๗๕ ซง่ึ ถือว่าเป็นยุคประชาธิปไตย คดิ ค่าเฉลี่ยการใช้พยางค์ ชายใช้พยางค์ ๑.๕ ชื่อหญิงใช้พยางค์ ๑.๗ ใช้ภาษาไทยสาหรับชายร้อยละ ๖๑.๕ และหญิงร้อยละ ๖๑ มีการใช้ภาษาบาลี สนั กฤตเพิ่มขนึ้ เปน็ ร้อยละ ๒๖.๔ สาหรับช่ือชาย และร้อยละ ๒๔.๙ สาหรับชื่อหญิง ความหมายของชื่อมี ลักษณะแตกตา่ งกับคตนิ ิยมเดมิ คือ มีช่ือแสดงความหมายในเร่ืองอานาจ ชัยชนะ การทาสงคราม ความรู้ ความฉลาด การศกึ ษา เช่น เฉลิมพล อานาจ มีชัย วิชัย โกวิท เวทย์ ปรีชา สุธี เป็นต้น ซ่ึงจะไม่ปรากฏใน ชอื่ ในสมยั อนื่ อน่ึง ชื่อของคนจีนในยุคก่อนราชวงศ์ถังส่วนมากก็มีพยางค์เดียว เม่ือรวมกับแซ่ก็เป็นสอง พยางคห์ รอื สามพยางคใ์ นกรณมี ีแซส่ องพยางค์ เชน่ ขงชิว ม่อตี๋ หล่ีคุ่ย โจโฉ จิวย่ี โลซก เล่าป่ี สุมาอี้ จูกัด ๔ ดูรายละเอียดใน สุภาพรรณ ณ บางช้าง, การใช้ภาษาในการต้ังช่ือของคนไทย, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๒๗), ดหู น้า ๘๒ เป็นต้นไป.
๔๓๔ เหลยี ง ตอ่ มาเมอื่ มีคนมากขนึ้ ชอ่ื พยางค์เดียวทาให้มีคนชื่อซ้ากันมาก ชื่อสองพยางค์จึงค่อยๆ ได้รับความ นยิ มมากขึน้ ต้งั แตย่ คุ ราชวงศ์เหนือ-ใต้ เป็นต้นมาจนแพร่หลายในราชวงศ์ถงั ๕ กล่าวโดยสรปุ การตงั้ ชือ่ ถอื กาหนดงา่ ย ๆ ว่า ถ้าเป็นเพศชาย นิยมเลือกชื่อที่มีความหมายไป ในทางเข้มแข็ง ม่ันคง มีอานาจ มีศักด์ิ หรือภาคภูมิ ส่วนถ้าเป็นเพศหญิง ก็นิยมให้มีความหมายเกี่ยวกับ ความงาม ความสภุ าพอ่อนโยน ความยนิ ดี หรือความชื่นบาน๖ ๔.๑.๒ แนวคิดในคมั ภีร์พระพุทธศาสนา แนวคดิ เกย่ี วกับเรือ่ งการตัง้ ชื่อในพระพุทธศาสนา ไม่มกี ลา่ วไว้เป็นการเฉพาะ หากแต่สามารถ ประมวลได้จากคัมภรี ต์ า่ งๆ ไดด้ ังนี้ ๑) นามสิทธชิ าดก นามสทิ ธชิ าดก๗ เป็นชาดกที่สะทอ้ นแนวความคดิ วา่ ช่ือนัน้ ไม่มีผลต่อความสาเร็จหรือไม่ สาเรจ็ ของคน ทีม่ าของชาดกเร่ืองน้ีมาจากกุลบุตรผู้หนึ่ง บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา อุปัชฌาย์ต้ังฉายา ให้ว่า ปาปโก (แปลว่า ผู้มีบาป/ผู้ลามก) ต่อมาถูกร้องเรียกด้วยคาว่า ปาปกะ อยู่บ่อย ๆ ก็ไม่สบายใจ ด้วยเห็นว่าเป็นตัวกาฬกิณี จึงไปขอร้องให้พระอุปัชฌาย์ต้ังชื่อให้ใหม่ เพราะชื่อเดิมไม่เป็นมงคล อาจารย์ และอปุ ัชฌาย์ตา่ งก็กลา่ วเปน็ เสียงเดยี วกันวา่ ข้นึ ชื่อวา่ ความสาเร็จประโยชน์ไดๆ ไม่ได้มีเพราะช่ือเลย เธอ ไมย่ นิ ยอม ยังยืนยันจะใหเ้ ปล่ียนช่ืออยู่อย่างน้ัน ทาใหเ้ ป็นที่กล่าวขานในหมู่สงฆเ์ วลานน้ั วันหน่ึง พระศาสดาเห็นภิกษุท้ังหลายกาลับจับกลุ่มสนทนาเรื่องดังกล่าว จึงได้สอบถาม ครน้ั ทราบความแล้ว กต็ รัสว่า ไม่ใชเ่ ฉพาะบดั นี้เทา่ นั้น แมช้ าติก่อน ภิกษุรูปนี้ก็ขวนขวายให้เปลี่ยนชื่อเพ่ือ มุ่งหมายให้สาเร็จประโยชน์เหมือนกัน จากนั้นจึงได้ตรัสชาดก ปรารภนายปาปกะ เรียนวิชาที่ตักศิลา ถูก รอ้ งเรียกด้วยคาว่า ปาปกะอยูบ่ ่อย ๆ ก็ไปขอรอ้ งใหอ้ าจารย์เปลี่ยนช่ือให้ อาจารย์ยังไม่เปล่ียนให้ทันที แต่ แนะนาให้ออกเดนิ ทางท่องเท่ียวตามท่ีต่าง ๆ ได้ช่ือที่เป็นมงคลอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วค่อยมาบอก แล้วจะ เปล่ยี นใหต้ ามทีต่ ้องการ นายปาปกะ ได้ออกเดินทางท่องเท่ียวไปตามชนบทตามคาแนะนาจากอาจารย์ วันหนึ่ง ไปพบคนกาลงั ศพชายผูห้ นึง่ ไปป่าช้า จึงถามว่า คนตายช่ืออะไร ได้รับคาตอบว่า ชื่อ ชีวกะ (ยัง) เขาได้ฟัง แล้วก็เดินทางต่อไป พบหญิงคนหน่ึงกาลังถูกเจ้าหน้ีคุกคาม ทุบตี เน่ืองจากนางไม่จ่ายดอกเบี้ยเงินยืม สอบถามได้ความว่านางช่ือธนปาลี (คนเฝ้าทรัพย์) เขาทราบเรื่องราวแล้วก็เดินทางต่อไป พบชายผู้หน่ึง หลงทางเดินกลับไปกลับมา สอบถามจงึ ไดท้ ราบวา่ ชอ่ื ปันถก (ชานาญทาง) จากประสบการณ์ ทาให้นายปาปกะได้คิดว่า แท้จริงแล้ว ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสาหรับ เรียกกัน ความสาเร็จหรือไม่สาเร็จไม่ได้เป็นเพราะช่ือ จึงได้กลับไปเรียนอาจารย์ขอใช้ช่ือปาปกะ เหมอื นเดมิ ไมข่ อเปลี่ยนช่อื อกี ตอ่ ไป ๒) พรานเบด็ ชอ่ื อริยะ ขณะพระศาสดา พร้อมด้วยพระสาวกเสด็จเทยี่ วบณิ ฑบาต ระหว่างทาง ได้พบพรานเบ็ด ชือ่ อริยะตกปลาอยู่ จึงได้สอบถามชื่อ นายพรานเบ็ดได้กราบทูลช่ือของตนตามความเป็นจริง พระผู้มีพระ ๕ ถาวร สิกขโกศล, ช่ือและแซ่ของคนจีน, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๗), หน้า ๔๗. ๖ โสฬสเวท, มงคลนามและการต้งั ชอ่ื , (กรงุ เทพมหานคร: แพร่วทิ ยา, ๒๕๒๕), หนา้ ๑๘. ๗ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๒/๓๗๐.
๔๓๕ ภาคไดท้ รงเห็นอปุ นิสัยของนายพราน จึงได้ตรัสขึ้นว่า ผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะช่ืออริยะไม่ได้ ผู้ท่ีตั้งอยู่ในความ ไม่เบียดเบียนมหาชน จึงสมควรชื่ออริยะ๘ ๓) นายกาฬกณั ณี นายกาฬกัณณี เป็นสหายของอนาถาปิณฑิกเศรษฐีต้ังแต่เด็ก ท้ังสองเรียนหนังสือสานัก อาจารย์เดียวกัน ต่อมาเกิดประสบเคราะห์กรรม ต้องลาบากยากไร้ ไม่อาจเล้ียงชีวิตอยู่ได้ จึงได้ไปขอ อาศยั อนาถปิณฑิกเศรษฐี อนาถปิณฑิกเศรษฐีได้อุปการะเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันนายกาฬกัณณีก็ช่วยเหลือการ งานของอนาถปิณฑิกเศรษฐีอย่างดีย่ิง เวลาทางานคนในเรือนต้องห้ามปรามว่าพอแล้ว หยุดได้แล้ว พัก ก่อน กนิ ก่อน อย่างไรก็ตาม หมู่สหายของอนาถปิณฑิกเศรษฐีกลุ่มหน่ึง ได้เข้ามาห้ามปรามอนาถปิณ ฑิกเศรษฐีว่า อย่าไว้ใจนายกาฬกัณณีมากนัก หรือพูดทานองว่า เลี้ยงคนนี้ไว้ทาไม ชื่อไม่เป็นมงคล เด๋ียว จะพลอยทาใหอ้ นาถปิณฑิกเศรษฐีเศร้าหมองไปดว้ ย ทา่ นเศรษฐไี ดแ้ ต่รับฟงั หาไดท้ าตามไม่ วนั หนงึ่ อนาถปณิ ฑกิ เศรษฐีไมอ่ ยบู่ ้าน มอบหมายใหน้ ายกาฬกัณณรี กั ษาเรือน โจรทราบ ขา่ วจึงวางแผนปลน้ เรือน ต่างถอื อาวุธล้อมบ้านไว้ ฝ่ายฝา่ ยกาฬกิณณไี ดเ้ ตรียมตวั ไม่ประมาทอยู่แล้ว เมื่อรู้ ว่าโจรมาล้อมบา้ น เพอ่ื จะปลกุ คนในเรือน ก็ส่ังให้เป่าสังข์ ตีกลอง ทาเหมือนมีมหรสพใหญ่ พวกโจรได้ยิน เสียงอกึ ทึกในบา้ นกค็ ิดว่า ใครบอกว่าในเรือนเศรษฐีไม่มีใครอยู่ การข่าวของเราล้มเหลว ดังนี้แล้วก็พากัน ท้งิ กอ้ นหนิ และไมพ้ ลองเปน็ ตน้ จากไป รุ่งเช้าคนของเศรษฐีมาเห็นก้อนหินและไม้พลองถูกทิ้งไว้อย่างน้ัน ก็พากันสลดใจคิดว่า ถ้าไม่ได้คนรักษาเรือนผู้มีความรู้อย่างนายกาฬกิณณีเช่นนี้ ปานน้ีเรือนของเศรษฐีคงเสียหาย ถูกโจรปล้น ไปหมดเปน็ แน่ เพราะอาศัยมติ รผมู้ ่ังคั่งผนู้ ี้ ความเจรญิ จึงบังเกดิ มแี กเ่ ศรษฐี พากนั กล่าวสรรเสริญนายกาฬ กิณณโี ดยประการต่าง ๆ และเม่ือเศรษฐีกลับมา ก็ได้เล่าเร่ืองราวท้ังหมดให้ทราบ เศรษฐีจึงได้กล่าวเตือน บรวิ ารของตนว่า ถ้าเราไล่เขาออกจากเรือนเหมือนท่ีพวกท่านแนะนาแต่ต้นแล้ว วันน้ีทรัพย์สินของเราจะ ไมม่ เี หลือเลย ชอ่ื ไมเ่ ป็นประมาณ จติ ท่เี กอื้ กูลกันตา่ งหาก เป็นประมาณ๙ จากหลักกรณีตัวอย่างดังกล่าวน้ี สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับช่ือว่า แมช้ ่ือมคี วามหมายดี หากแต่การกระทาไม่เหมาะสม ก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ชื่อดี หรือไม่ดี จึงยังไม่ใช่ประเด็น สาคัญ ๔.๑.๓ แนวคดิ ตามหลกั ทกั ษาปกรณ์ หลักทักษาปกรณ์ เป็นหลักการต้ังช่ือทางโหราศาสตร์ท่ีนิยมและใช้กันมากตราบเท่าปัจจุบัน เป็นหลักการตั้งช่ือตามอักษรวันเกิดตามคติของพราหมณ์ หลักทักษา จะทาให้ช่ือบุคคลแต่ละคนมีความ เปน็ ไปตามกาลังดวงดาวแต่ละดวง และจะส่งผลให้แต่ละคนมีอานาจวาสนาท่ีแตกต่างกันตามทักษาท้ัง ๘ ประการ คือ บริวาร อายุ เดช ศรี มลู ะ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี หลักทกั ษาทง้ั ๘ มคี วามหมายดังน้ี ๘ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๔/๙๑. ๙ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๒/๒๘๕.
๔๓๖ บรวิ าร หมายถงึ หมายถึง บตุ ร สามี ภรรยา ลูกน้อง คนในปกครอง คนใน บ้าน รวมไป จนถึงเพ่ือนและมิตรสหาย สัตว์เลี้ยง หรือคนที่ต่ากว่าเรา หรือ ลูกน้องคนรับใช้ หรือผู้อยู่ให้บังคับบัญชา คนทตี่ ้องอปุ การะ หรอื คนที่ตอ้ งช่วยเหลอื ฯลฯ อายุ หมายถึง สุขภาพทางกายและใจ หรือความสุขกายสบายใจ ความไม่มีโรคภัย ความมอี ายุยืน และชวี ิตความเปน็ อยทู่ ีส่ ุขสบายของเจา้ ชาตา เดช หมายถึง ความกล้าหาญ ความมีอานาจ มียศศักด์ิ มีวาสนา มีบารมี ชื่อเสียง เกียรติยศ ตาแหน่งหน้าท่ี มีความเข้มแข็ง ความกระตือรือร้น ความขยันขันแข็ง ความยาเกรงของผู้คน รอบข้าง ความเจริญกา้ วหนา้ ในตาแหนง่ หน้าทกี่ ารงาน และฐานะทางสงั คมของเจ้าชาตา ศรี หมายถึง ความมศี ริ มิ งคล ความเจรญิ ร่งุ เรือง ความมเี สน่ห์ คนรักใคร่ เมตตา การยก ยอ่ งจากผ้คู น ความดีของเจ้าชาตาและคุณงามความดีต่าง ๆ รวมถึง ความอุดมสมบูรณ์ ฐานะทางการเงิน ทรัพยส์ นิ เงินทอง โชคลาภ มูละ หมายถึง ความมีฐานะจากหลักทรัพย์หลักฐาน ทรัพย์สินเงินทอง ทุนทรัพย์ ท่ีดนิ บ้านเรือน มรดกตกทอด เรือกสวนไร่นา บ้านเรือน ญาติพ่ีน้อง ถ่ินกาเนิด ท่ีอยู่อาศัย สถานท่ีทามา หากนิ อุตสาหะ หมายถงึ หนา้ ทกี่ ารงาน ความพยายาม มีมานะ อตุ สาหะ ความขยันหม่ันเพียร ทิฐิมานะ ความรับผิดชอบตอ่ หน้าที่ และการเรียนรู้ มนตรี หมายถึง ผู้ใหญ่ท่ีให้การอุปการะ เป็นที่พึ่ง หรือถ้าหญิงก็หมายถึงคู่ครอง การ เกื้อหนุนส่งเสริม การให้ความคุ้มครอง จากผู้ใหญ่ เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา หรือจากผู้มียศศักด์ิ หรือการ ไดร้ ับความอปุ ถมั ภจ์ ากผูอ้ ่นื กาลกณิ ี หมายถึง สิ่งขัดขอ้ ง ความชั่วร้าย ส่ิงอันให้โทษแก่ดวงชาตา โชคร้าย อัปมงคล ศัตรูคู่แข่ง คู่อาฆาต อุปสรรค ความยุ่งยาก ติดขัด เสียหาย ความอับโชค อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ความ ยากลาบาก รายจา่ ย มีคดคี วาม เสียช่อื เสียง ความหายนะ ทกุ ขโ์ ศก ยากจน๑๐ หลักทักษาทั้ง ๘ นี้ โหราจารย์ได้กาหนดให้มีการหมุนเวียนเป็นทักษิณาวรรต หรือเวียนขวา ตามเข็มนาฬิกา โดยแบ่งตารางออกเป็น ๘ ช่องตามทิศท้ัง ๘ คือ บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดี ประจิม พายัพ อดุ ร และอิสาน โดยเรม่ิ จาก ๑, ๒, ๓, ๔, ๗, ๕, ๘, และ ๖ ตามลาดับ คนท่ีเกิดวันใด ให้นับวันน้ัน เปน็ บรวิ าร และนับเวยี นขวาตามลาดบั ต่อไป เขียนเป็นตารางได้ดงั น้ี บริวาร อายุ เดช (๑) (๒) (๓) กาลกณิ ี ศรี (๖) (๔) มนตรี อุตสาหะ มูล (๘) (๕) (๗) ๑๐ อาศรมศรีจักรนารท, “วิธีต้ังช่ือตามหลักทักษาปกรณ์”, [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา: http://www.astroneemo.net/web/index.php (๒ มนี าคม ๒๕๖๑)
๔๓๗ จากนั้นมีการกาหนดพยัญชนะให้สอดคล้องกับหลักทักษา เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ เจ้าของชือ่ ความหมายของชือ่ จะคานงึ ถึงหลกั ทกั ษา และความประสงค์ของผู้ต้ังช่ือที่มุ่งให้เกิดความหมาย ทีพ่ ึงประสงค์ ซึ่งกาหนดไวต้ ามลาดับดังน้ี๑๑ ๑.อาทติ ย์ ๒.จนั ทร์ ๓.องั คาร อ อา อิ อี อุ อู เอ กขคฆง จฉชซฌญ โอ ๔.พุธ (กลางวนั ) ฎฏฐฑฒณ ๖.ศุกร์ ศสษหฟฮ ๘.พุธ (กลางคืน) ๕.พฤหัสบดี ๗.เสาร์ ยรลว บปผฝพฟถ ดตถทธน ม อน่ึง ตามคติการนับทักษาเช่นน้ี กาหนดเกณฑ์ไว้ว่า เด็กเกิดวันใด ให้นับ หรือใช้วันเกิดน้ัน เร่ิมต้นนับเป็นบริวารเสมอ โดยนัยนี้ เด็กเกิดวันอาทิตย์ ถือ อ และสระท้ังหมดเป็นบริวาร, เกิดวันจันทร์ ถือพยญั ชนะ ก ข ค ฆ ง เปน็ บรวิ าร, เด็กเกิดวันอังคาร ถือพยัญชนะ จ ฉ ช ซ ฌ ญ เป็นบริวาร, เด็กเกิด วันพุธ ถือพยัญชนะ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, เด็กเกิดวันพฤหัสบดี ถือพยัญชนะ บ ป ผ ฝ พ ฟ ถ ม เป็นบริวาร, เดก็ เกิดวนั ศุกร์ ถือพยญั ชนะ ศ ส ษ ห ฟ ฮ เป็นบริวาร, เด็กเกิดวันเสาร์ ถือพยัญชนะ ด ต ถ ท ธ น เป็น บรวิ าร, เด็กเกิดวันพุธกลางคืน ถอื พยญั ชนะ ย ร ล ว เปน็ บริวาร คตินิยมแต่โบราณถือว่า เพศชาย ใช้อักษรในวรรคเดช หรือมนตรีนาหน้า หรือตามหลัง เพศ หญงิ ใชอ้ กั ษรในหมวดศรี มนตรีนาหน้า หรือตามหลัง ส่วนในรายละเอียด บิดามารดาประสงค์จะให้บุตร หลานของตนเป็นไปทางใด ก็นิยมคติเอาส่ิงนั้นมานาหน้าช่ือ เช่น หากต้องการให้เป็นคนมีอานาจวาสนา มีบารมี เป็นท่ียาเกรง ก็ให้ใช้อักษรหมวดเดช นาหน้า หากต้องการให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นท่ีรักของคน ท่วั ไป มีคนเมตตาเอ็นดู ก็ใช้อักษรหมวดศรีนาหน้า หากต้องการให้มีผู้อุปการะ มีผู้ช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้าชู ก็ใชอ้ กั ษรหมวดมนตรนี าหนา้ เปน็ ตน้ อย่างไรก็ดี ช่ือท่ีตั้งข้ึนตามหลักทักษาปกรณ์นั้น จะต้องคานึงถึงความไพเพราะ ออกเสียงง่าย มีความหมายดี และมีอักขรวิธีท่ีถูกต้องตามหลักภาษาไทย ท้ังนี้ จะต้องเว้นอักษรที่เป็นกาลกิณีโดย เดด็ ขาด เพราะเชือ่ วา่ จะทาให้ดวงชะตาตกต่า เด็กท่ีเกิดวันอาทิตย์ หา้ มใช้อักษร ศ ษ ส ห ฬ ฮ เดก็ ทเ่ี กิดวันจนั ทร์ หา้ มใชอ้ ักษร อ และสระทง้ั หมด เด็กทเ่ี กดิ วันอังคาร หา้ มใชอ้ ักษร ก ข ค ฆ ง เดก็ ท่ีเกดิ วันพธุ กลางวนั ห้ามใชอ้ ักษร จ ฉ ช ซ ฌ ญ ๑๑ ห้องโหรศรีมหาโพธิ์, ตาราพรหมชาติฉบับสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์อานวยสาส์น, ๒๕๖๐), หนา้ ๒๓๖.
๔๓๘ เด็กท่เี กดิ วันพฤหสั บดี หา้ มใชอ้ กั ษร ดตถทธน เดก็ ที่เกิดวันศกุ ร์ ห้ามใชอ้ กั ษร ยรลว เด็กท่ีเกดิ วนั เสาร์ ห้ามใชอ้ ักษร ฎฏฐฑฒณ เดก็ ทเ่ี กดิ วันราหูหรือพธุ กลางคืน หา้ มใช้อักษร บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม๑๒ ตวั อยา่ งในการตงั้ ช่ือ สมมติจะตง้ั ช่ือใหค้ นเกิดวนั อังคาร อักษรท่ไี มใ่ ช้เพราะเป็นกาลกิณี ได้แก่ อักษรหมวด ก ได้แก่ ก ข ค ฆ ง พอทราบหลักการดังน้ีแล้ว ก็หาอักษรท่ีเป็นหมวดเดช มนตรี ต่อไป อักษรที่เป็นเดชสาหรับคนเกิดวันอังคารได้แก่ ด ต ถ ท ธ น ที่เป็นศรีได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ที่เป็น มนตรีได้แก่ สระท้ังหมด สมมติให้ช่ือว่า โพธ์ิ แยกได้ดังนี้ สระ โอ อิ และการันต์ เป็นมมนตรีทั้งหมด พ เปน็ ศรี ธ เป็นเดช ดงั น้นั ชื่อนี้ก็เป็นอันใชไ้ ด้ เพราะประกอบด้วยพยัญชนะทม่ี ที ้ังเดช-ศร-ี มนตรี๑๓ ลักษณะสาคัญอีกประการหน่ึงในการตั้งช่ือก็คือ มักตั้งชื่อเพื่อระบุเพศเจ้าของช่ือด้วย คือให้มี ความหมายลักษณะความเป็นชาย และความเป็นหญิงอยู่ในช่ือ เช่น สาโรจน์ สาเริง วิทวัส สัมฤทธ์ิ สามารถ เจรญิ สวัสด์ิ จาตรุ น ชยั ณรงค์ พงศ์ปวุฒิ วิทยา อมร ผดุง ไพบูลย์ ชูพงษ์ อานวย เป็นต้นสาหรับ ช่ือระบุความเปน็ ชาย, ชดิ ขวัญ วรีภรณ์ ภทั ราพร จารวุ รรณ จันทรจ์ ิรา วิไลลักษณ์ สรวงสุดา ศิรินภา สุธา วัลย์ อรสา อนสุ รา อรสา อรวรรณ ชูศรี สุนนั ทา ธนิตา พิมพ์ศุภา ธนิษฐา ชนิตา วนิดา วรัญญา ปาริฉัตร เปน็ ต้นสาหรับชอ่ื ระบคุ วามเป็นหญงิ กลา่ วโดยสรุป เงื่อนไขในการตั้งชื่อ มกั คานงึ สิ่งเหลา่ นี้ ๑. เพศ ใช้ชื่อในการกาหนดเพศชาย-หญิง ซึ่งเป็นท่ีนิยมมาตั้งแต่โบราณ และถือเป็นเง่ือนไข อันดับแรกท่ีผ้ตู ้ังชือ่ มกั คานงึ ถงึ แม้สมยั ก่อน คนไทยอาจตง้ั ชื่อปะปนกันทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่ต่อมา สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็มีการออกประกาศสานักนายกรัฐมนตรีกาหนดให้ประชาชนตั้งชื่อให้ สอดคล้องกับเพศ โดยใหเ้ หตุผลว่าเพอื่ ดารงไวซ้ งึ วฒั นธรรม สง่ เสริมใหเ้ ฟอ่ื งฟู เป็นสงา่ ราศีแก่ประเทศชาติ ทัง้ เปน็ สวสั ดิมงคลแก่เจา้ ของชอื่ ๑๔ ๒. หลักโหราศาสตร์ โหราศาสตร์มีความสาคัญต่อวิถีชีวิตคนไทยมาตลอด จึงมักรู้สึกอุ่นใจ หากชื่อของตนตัง้ ได้ถกู ต้องตามหลกั โหราศาสตร์ ๓. ความหมาย มกั นยิ มตั้งช่อื ใหม้ คี วามหมายเป็นมงคล ๔. ความไพเราะ ซงึ่ จะพจิ ารณาจากเสียง ได้แก่ครุ ลหุ หรือวรรณยุกต์ เสียงที่ไพเพราะมักลง ท้ายดว้ ยเสยี งครุ ๕. ความแปลกใหม่ ถือเป็นเงื่อนไขสาคัญอีกประการหนึ่งท่ีมักคานึงมากที่สุดอีกเร่ืองหน่ึง เพราะต้องการเอกลักษณ์เฉพาะตวั ไม่ตอ้ งการให้ซ้ากับใคร ทาให้มีการตั้งชื่อที่เกิดจากเสียงศัพท์ท่ีไม่คุ้นหู หรือคาสะกดทแี่ ปลกตา เป็นตน้ ๖. บคุ คลในครอบครัว คนไทยสว่ นใหญม่ ักตั้งช่อื บุคคลในครอบครวั ใหส้ ัมพนั ธ์กัน ๗. นามสกุล ความเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทย เป็นต้นเค้าของการต้ังชื่อให้สัมพันธ์กับ นามสกุล โดยสามัญชนน่าจะได้แบบจากการต้งั พระนามของเจ้านาย ๑๒ หอ้ งโหรศรมี หาโพธ,ิ์ ตาราพรหมชาติฉบับสมบูรณ์, อา้ งแล้ว, หน้า ๒๓๘. ๑๓ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๒๓๙. ๑๔ ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เรื่องช่ือบุคคล, ราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี ๕๘, ตอนที่ ๔๑ วันที่ ๒๔ มถิ ุนายน ๒๔๘๔.
๔๓๙ ๘. การเลยี นแบบ คอื เลยี นแบบชือ่ บคุ คลทต่ี นเคารพ ชน่ื ชอบ หรอื ช่ืนชมเป็นพิเศษ ๙. เสียงท่ีอาจเกิดปัญหา คนไทยจะระมัดระวังช่ือท่ีออกเสียง หรือมีเสียงท่ีจะก่อให้เกิด ปัญหา เชน่ คาพ้องเสียงท่สี ื่อไปในความหมายไม่ดี หรอื อาจเป็นทลี่ ้อเลียนของเพอื่ นฝงู ๔.๒ วเิ คราะห์คตินิยมการตั้งช่อื บคุ คลในคมั ภรี ์พระพทุ ธศาสนา การตั้งช่ือบุคคลในคัมภีร์พระพุทธศาสนา แม้ไม่ปรากฏหลักฐานที่เป็นระเบียบหรือแบบแผน ในการตงั้ ชอื่ เหมือนอยา่ งในสมัยปจั จุบัน แตจ่ ากการพจิ ารณาช่ือต่าง ๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ก็มีระเบียบ แบบแผน หรือคตนิ ยิ มในการตง้ั ชื่อบคุ คล วิเคราะหร์ ายละเอียด จดั กลุ่มได้ดังน้ี ๔.๒.๑ การตัง้ ชอ่ื ใหส้ ัมพนั ธก์ บั ลกั ษณะกาเนดิ การตั้งช่อื สัมพันธ์กับลักษณะกาเนิด หมายถึง การต้ังช่ือตามลักษณะเด่น หรือลักษณะเฉพาะ ทางกายภาพของเด็กที่เกิดมา รวมถึงคติความเช่ืออย่างใดอย่างหนึ่ง ช่ือที่ต้ังตามลักษณะกาเนิดดังกล่าว เชน่ พระกาฬุทายี ต้ังตามลักษณะผิวดาคล้า, กูฏทันตพราหมณ์ ต้ังตามลักษณะเป็นคนฟันเหยิน, นางขุช ชุตตรา ตั้งตามลักษณะพิการหลังค่อมต้ังแต่กาเนิด, ขุชชโสภิตะ ตั้งตามลักษณะหลังค่อมเล็กน้อย, ถุลลนันทา ตั้งตามลักษณะร่างอ้วนท้วม, นางอุบลวรรณาเถรี เมื่อคร้ังคลอดออกมา เป็นเด็กมีผิวพรรณ สะอาดสะอ้าน สีขาวเหมือนดอกอุบล บิดามารดาจึงขนานนามว่า อุบลวรรณา๑๕ สอดคล้องกับพระ มหากัจจายนะ เมือ่ แรกคลอดมีผวิ พรรณสวยงามดังทอง จึงได้รับการขนานนามว่า กัจจายนะ๑๖ ปูรณกัสส ปะ เดิมเป็นทาส แต่ตอนกาเนิด เขาเป็นทาสคนที่ ๙๙ พอดี ถือเป็นเลขมงคล นายจึงให้สิทธิพิเศษเหนือ ทาสอ่ืน ๆ จะทาดี ทาช่ัว ไม่ทา หรือทางานใดๆ ไม่เสร็จ ก็ไม่มีใครว่าอะไร เขาจึงได้รับการขนานนามว่า ปูรณะ, พีชกะ เปน็ บุตรของพระสุทินกับภรรยาเก่าซ่ึงมีเพศสัมพนั ธ์ทั้งที่ยังครองเพศสมณะ เหตุผลด้วยทน รบเร้าบิดาให้สึกไม่ได้ จึงยอมมีอะไรกับภรรยาเก่าเพ่ือให้ได้มีทายาทสืบสกุล ลูกท่ีถือกาเนิดออกมา จึง ได้รับการขนานนามว่า พชี กะ มคี วามหมาย ผู้สืบเลือดเนื้อเช้ือไข ราหุลกุมาร เม่อื ประสตู ิ เจา้ ชายสทิ ธัตถะประสงค์ หรือวางแผนเตรียมออกบวช จึงไม่ประสงค์ จะมีพันธนาการใดๆ อีก แต่คร้ันได้ทราบข่าวว่าพระมเหสีประสูติพระกุมาร ก็เปล่งอุทานออกมาว่า ราหุล ชาต คาว่า ราหลุ จึงไดก้ ลายเปน็ พระนามของพระกุมารน้อยตั้งแต่บัดน้ัน, พระภัททิยะ รูปร่างเต้ียเหมือน เดก็ ๑๐ ขวบ คนทง้ั หลายจึงเรียกสร้อยนามทา่ นว่า ลกุณฏกภัททิยะ คาว่า ลกุณฏกะ มีความหมายว่า ต่า หรอื เต้ยี เป็นต้น ๔.๒.๒ การตั้งชือ่ ใหส้ มั พนั ธก์ ับลกั ษณะแวดล้อม ลกั ษณะแวดล้อม หมายเอาท้ังส่งิ แวดล้อมท่ีเป็นทอ่ี ยู่อาศยั ที่กาเนิด การดาเนินชีวิตประจาวัน ความเก่ียวข้องกันลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ช่ือท่ีต้ังข้ึนตามคตินิยมอย่างน้ี พบในพระไตรปิฎกและอรรถ กถา มีตัวอย่างประกอบ เช่น พระเรวตะ ได้ชื่อว่า ขทิรวนิยเรวตะ เพราะอาศัยอยู่ท่ีป่าตะเคียน, ชื่อค ยากัสสปะ เพราะตั้งอาศรมอยู่ท่ีตาบลคยา๑๗ ชื่อนทีกัสสปะ เพราะต้ังอาศรมอยู่ใกล้แม่น้า, ช่ือว่าปันถกะ เพราะมารดาคลอดในระหว่าง, พราหมณ์ช่ือจูฬเกสาฎก เพราะยากคนมาก มีผ้านุ่งเล็กๆ เพียงผืนเดียว ต้องใช้ร่วมกันกับภรรยา, ช่ือพระฉัพพวัคคีย์ เพราะมีสหาย ๖ รูปร่วมอุดมการณ์ และรวมเป็นกลุ่มอยู่ ๑๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๒๑๓. ๑๖ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๑/๒๔๐. ๑๗ ขุ.อป. (ไทย) ๒๕/๒๘๗/๒๗๗.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: