๓๔๐ ทวารท้ังหลาย จึงรับส่ังให้ตีกลองประกาศทั่วเมืองให้คนไปดูศพนางสิริมา ผู้ใดไม่ไปมีโทษปรับ ๘ กหาปณะ สว่ นคณะสงฆ์ กท็ รงพระราชสาส์นไปกราบทูลให้มาดศู พนางสิริมาเช่นกนั วันน้ันพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ไปท่ีป่าช้า แม้ภิกษุรูปนั้น ได้ข่าวว่า พระพุทธเจ้า จะไปเยีย่ มนางสิริมา ก็ถึงกับลุกล้างบาตร ออกไปพร้อมกับภิกษุท้ังหลาย เมื่อไปถึงพระพุทธเจ้าก็รับสั่งให้ พระราชาตกี ลองประกาศวา่ ผูใ้ ดปรารถนานางสิริมาให้เอาทรัพยม์ า ๑ พันกหาปณะ เม่ือไม่มีใครปรารถนา ก็สง่ั ให้ลดราคาเร่ือยๆ กระท่ังเหลือ ๑ กากณิก ก็ยังไม่มีใครปรารถนา สุดท้ายแม้จะเสนอให้เปล่าๆ ก็ไม่มี ใครตอ้ งการตวั จากเหตกุ ารณ์ดงั กลา่ ว พระพทุ ธเจ้าก็ได้ตรัสเตือนภิกษุท้ังหลายว่า ดูเอาเถิด มาตุคามที่เป็นท่ี รกั เปน็ ทปี่ รารถนาของมหาชน แตก่ ่อนผูค้ นยอมเสียเงินพนั แยง่ ตวั นางสิริมาไปร่วมอภิรมย์ เวลานี้ให้เปล่า กไ็ ม่มใี ครปรารถนา จากน้ันก็ทรงภาษิตพระคาถาให้ภิกษุทั้งหลายได้พิจารณาดูอัตภาพอันอาดูร ที่มหาชน ไมป่ รารถนา สน้ิ พระเทศนาภิกษรุ ูปน้นั กไ็ ด้บรรลเุ ปน็ พระโสดาบนั สิริวฑั ฒะ, คหบดี สิริวัฑฒคหบดี ปรากฏในสิริวัฑฒสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๓๖๑ ความพรรณนาไว้โดยสังเขปว่า เม่ือคร้ังพระอานนท์พักอยู่ ณ เวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ สิริวัฑฒคหบดีป่วยหนัก จึงได้สั่งให้คนใช้ไปเรียน ให้พระอานนทท์ ราบ พรอ้ มทงั้ ใหน้ ิมนต์พระอานนท์มาโปรดทีบ่ า้ น วันรุ่งขน้ึ พระอานนท์กไ็ ด้เขา้ ไปยังเรอื นของสริ วิ ัฑฒคหบดี สอบถามอาการ คหบดีก็เรียนถวาย ว่า เห็นท่าจะไม่รอด อาพาธคร้ังน้ีหนักย่ิง พระอานนท์ทราบเช่นนั้น จึงเตือนสติให้คหบดีระลึกถึงพระ กัมมฏั ฐานนบั ตงั แต่กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน เวทนา จติ ตา และธรรมานุปสั สนาสติปัฏฐาน สิริวฑั ฒคหบดี ได้พิจารณาตามอาการท่ีพระอานนทแ์ นะนากระท่ังไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอนาคามี ความในพระบาลีปรากฏเพียงเท่าน้ี แม้ในคัมภีร์อรรถกถา พระอรรถกกถาจารย์ก็ไม่ได้ให้ รายละเอียดใด ๆ เพ่ิมเติม สนิ ธุ, มาณพ สินธุมาณพ ปรากฏในบาลีเปตวัตถุ แห่งขุททกนิกาย๑๓๖๒ ความในอรรถกถา๑๓๖๓ ระบุช่ือ สนั ธกะมาณพ มีหน้าที่เป็นช่วยเหลืออังกุระพาณิชผู้บาเพ็ญมหาทาน คัมภีร์ระบุว่า อังกุระพาณิชผู้นี้เป็น คนใจบุญสุนทาน วันไหนบริจาคทานแล้วมีคนมารับทานมาก ก็จะดีใจ แต่วันไหน คนรับทานน้อยก็เกิด ความทุกข์ใจ ทัง้ นเ้ี พราะเป็นผมู้ อี ัธยาศัยนอ้ มไปในการใหท้ านเป็นอย่างยงิ่ นั้นเอง สีพ,ี พระเจ้า พระเจา้ สพี ี ปรากฏในสวิ ริ าชชาดก๑๓๖๔ ความระบุว่า พระองค์เป็นพระราชาผู้น้อมพระทัยใน การบรจิ าคเปน็ อย่างย่ิง ความทราบถงึ เท้าสักกะ จึงได้จาแลงเป็นขอทานตาบอดมาขอดวงตาพระองค์ข้าง หนง่ึ ๑๓๖๑ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๓๙๕/๒๕๒. ๑๓๖๒ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๒๙๕/๒๑๕. ๑๓๖๓ ขุ.เปต.(ไทย) ๒/๒/๒๗๒. ๑๓๖๔ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๕๒/๔๗๘.
๓๔๑ พระเจ้าสีพีแทนที่จะบริจาคดวงตาเพียงข้างเดียว กลับแจ้งพระประสงค์จะพระราชทานดวง พระเนตรท้ัง ๒ ของพระองค์ให้แก่ขอทานผู้นั้น ทาให้เกิดเสียงทัดทาน และขอให้ทรงเลิกพระประสงค์ เช่นนั้น โดยยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาประกอบ และขอให้ทรงสละส่ิงอื่นๆ ให้แก่ขอทานผู้นั้นแทน ไม่ จาเป็นต้องสละดวงพระเนตรก็ได้ แต่พระเจ้าสีพีก็หาได้ละความประสงค์ไม่ ทรงยืนยันว่า คนเราล่ันวาจา ไปแล้ว หากไม่ทาตามก็นับว่าเลวย่ิงกว่าเลว ท่ีสาคัญ คนเราควรให้ส่ิงที่ของที่เขาต้องการเท่าน้ัน ส่ิงใดท่ี เขาไม่ต้องการก็ไมค่ วรให้ เม่ือทรงยกเหตุผลขึ้นมากล่าวจนถึงที่สุดแล้ว ก็รับส่ังให้นายแพทย์ได้ควักดวงพระเนตรมอบ ให้แก่พราหมณ์ ขอทานได้กลับมองเห็น ขณะที่พระราชาได้กลายเป็นผู้มีพระเนตรบอดตั้งแต่บัดนั้น อย่างไรก็ตามในคัมภีร์ระบุว่า หลังจากนั้น ๓ วัน พระราชาก็กลับได้ดวงพระเนตรใหม่ และทันทีที่ทรง ทอดพระเนตรได้ กท็ รงใหผ้ ูค้ นตระเตรยี มบารุงแวน่ แควน้ ใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองให้ยิง่ ๆ ข้นึ ไป สสี ูปจาล, สามเณร สีสูปจาละสามเณร ปรากฏในขทิรวนิยเถรคาถา๑๓๖๕ ปรารภคาถาที่พระเทรวนิยเถระกล่าว เตือนสติสามเณร ๓ รูป ให้ต้ังใจบาเพ็ญสมณธรรมด้วยการระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา สามเณรท้ัง ๓ รูป ประกอบด้วย สามเณรจาละ สามเณรอุปจาละ และสามเณรสีสูปจาละ ทั้งหมดมีศักดิ์เป็นหลานของพระ สารีบุตร อน่ึง สามเณรสีสูปจาละ ในอรรถกถา๑๓๖๖ ระบุว่า เป็นบุตรของของนางสีสูปจาลา ผู้เป็น น้องสาวของพระสารบี ตุ ร และพระเรวตะ โดยสามเณรทัง้ ๓ รูปน้ี เมื่อพระเรวตะกลับไปเย่ียมบ้านเกิด ได้ นามาบวชในสานกั ของตน ให้เรยี นพระกมั มัฏฐาน สสี ปุ จาลา, ภกิ ษุณี สีสุปจาลาภกิ ษุณี เป็นน้องสาวของพระสารบี ุตร ในคัมภีร์อรรถกถา๑๓๖๗ ระบวุ ่า เม่ือพระสารี บตุ รบวชแล้ว นางกเ็ กิดความคดิ ว่า ธรรมวินยั ท่พี ีช่ ายออกบวชคงไมต่ า่ ทรามแน่ ต่อแตน่ ั้นกเ็ กิดอตุ สาหะ แรงกล้าอาลาญาตๆิ ออกบวช พากเพียรไม่นานก็ไดบ้ รรลอุ รหตั ผล ในพระบาลี๑๓๖๘ ระบุว่า มารเห็นนางออกบวชแต่วัยยังสาว จึงชักชวนให้นางตั้งจิตปรารถนา ในกามคุณเหมือนแต่ก่อน แต่นางทราบว่าเป็นมาร จึงได้กล่าวตอบว่า กามคุณเหล่านั้นทาให้เวียนว่ายใน ภพอย่ตู ลอดเวลา สุดท้ายก็แล่นไปสู่ชราและมรณะ โลกทั้งปวงถูกไฟลุกไหม้อยู่ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมที่ ไมห่ ว่ันไหว ช่ังไม่ได้ ปุถุชนเสพไม่ได้ นางโปรดธรรมนั้น มีใจยินดีในธรรมน้ัน จึงไม่ปรารถนากามคุณแม้ที่ เป็นทพิ ย์ สีวกิ ะ, นายแพทย์ นายสิวิกะ ปรากฏในขุททนิกาย ชาดก๑๓๖๙ ความในคัมภีร์ระบุไว้แต่เพียงว่า เป็นผู้ทาหน้าที่ การผ่าตัดดวงพระเนตรของพระเจ้าสพี ใี หแ้ ก่ขอทานตาบอดผู้หนง่ึ ซ่ึงมาของพระราชทานดวงพระเนตร ๑๓๖๕ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๔๒/๓๑๘. ๑๓๖๖ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๒๔๑. ๑๓๖๗ ข.ุ เถรี.(ไทย) อ.๒/๔/๒๗๙. ๑๓๖๘ ข.ุ เถร.ี (ไทย) ๒๖/๑๙๖/๕๘๗. ๑๓๖๙ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๖/๖๖/๔๘๑.
๓๔๒ สหี ะ, สามเณร สามเณรสหี ะ เป็นหลานชายของพระนาคิตะ๑๓๗๐ ชอื่ ของท่านปรากฏในมหาลิสูตร๑๓๗๑ ความ ระบุว่า ท่านได้ทาหน้าที่เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า เพื่อขอพุทธานุญาตให้ทูตชาวโกศล และชาวมคธ รวมท้ังเจ้าโอฏฐัทธลิจฉวีจานวนมากเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้ามีรับส่ังให้สามเณรสีหะไปปูอาสนะไว้ในร่มเงา วหิ าร เสด็จออกต้อนรับทลู ชาวโกศล และชาวมคธเหล่านัน้ พรอ้ มทงั้ เจา้ โอฏฐัทธลิจฉวี สีหะ,เสนาบดี สีหเสนาบดี เป็นเสนาบดีของพระเจ้าปเสนทิโกศล เดิมเป็นสาวกของนิครนถ์มาก่อน๑๓๗๒ แต่ ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาค เกิดความเล่ือมใส หันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก่อนท่ีสี หเสนาบดีจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนว่าคิดให้รอบคอบ เพราะสีหเสนาบดี เป็นคนมชี ่อื เสียง คนรูจ้ ักมาก เม่ือทรงเห็นว่าสีหเสนาบดีไม่เปลี่ยนใจ ก็ตรัสเตือนว่า เคยนับถือนิครนถ์มา นาน ก็ไม่ควรท้งิ นคิ รนถเ์ หลา่ นนั้ ใหด้ แู ลเหมือนท่ีเคยปฏิบัติมา ซ่ึงการท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสสอนเช่นนี้ ก็ ย่ิงสร้างความเคารพศรทั ธามากยงิ่ ขึน้ ในสหี ปติสูตรแหง่ อังคุตตรนิกาย๑๓๗๓ มีเร่ืองราวเก่ยี วกบั สีหเสนาบดีความสรุปว่า เมื่อครั้งพระ ผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี สีหเสนาบดีได้เข้าเฝ้ากราบทูลถาม ปญั หาเก่ียวกบั ผลทานท่ีพงึ เห็นไดใ้ นปจั จุบนั พระผู้มีพระภาคได้แสดงผลทานที่เห็นได้ในปัจจุบันแก่สีหเสนาบดี ๕ ประการ คือ ๑) ย่อม เป็นท่ีรักของคนหมู่มาก ๒) เป็นที่คบหาของสัตบุรุษ ๓) กิตติศัพท์ย่อมขจรไป ๔) เข้าบริษัทใดๆ ก็ไม่เก้อ เขิน และ ๕) หลังจากตายแลว้ กไ็ ปเกิดในสุคตโลกสวรรค์ สีหเสนาบดีได้ยินพระดารัสเช่นน้ัน ก็กราบทูลว่าตนเองมีความเชื่อในผลทานท้ัง ๔ ประการ เพราะประสบมาอย่างนั้นจริง ๆ ส่วนประการที่ ๕ น้ัน แม้ตนเองจะยังไม่ได้เห็น แต่ก็เชื่อพระดารัสของ พระผู้มีพระภาค ในสีหเสนาปติสูตรอีกพระสูตรหนึ่งในสัตตกนิบาต๑๓๗๔ ความระบุถึงสีหะ เสนาบดีได้เข้าไป กราบทลู ปัญหาเรอ่ื งผลของทานท่สี ามารถเหน็ ไดเ้ อง ต่อปญั หาน้ี พระผู้มีพระภาคได้ย้อนตรัสถามสีหเสนา บดีถงึ คน ๒ ประเภท คือคนท่มี ศี รัทธา กบั คนที่ไม่มศี รทั ธา พระอรยิ เจา้ ทั้งหลายจะสงเคราะห์ผู้ใดก่อน ถ้า จะเขา้ ไปหา จะเข้าไปหาใครกอ่ น เม่ือจะรบั ทาน จะรบั ทานของใครก่อน เมื่อจะแสดงธรรม จะแสดงธรรม โปรดใครกอ่ น กติ ตศิ พั ท์อนั งามของใครควรขจรไปก่อน ซึง่ ไดร้ บั การกราบทูลว่า พระอริยเจ้าท้ังหลายย่อม สงเคราะหค์ นที่มีศรัทธากอ่ น เมื่อสีหเสนาบดีกราบทูลอยู่อย่างน้ัน พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงช้ีให้เห็นถึงผลทานที่บุคคลพึง เห็นไดเ้ องตามนัยทส่ี หี เสนาบดีแล้วกราบทลู แลว้ น้นั ๑๓๗๐ ท.ี สี.อ.(ไทย) ๓๖๒/๒๗๘. ๑๓๗๑ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๓๖๒/๑๕๒. ๑๓๗๒ อง.ฺ อฏฐก.(ไทย) ๒๓/๑๒/๒๒๖. ๑๓๗๓ องฺ.ปญจก.(ไทย) ๒๒/๓๔/๕๔. ๑๓๗๔ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๕๗/๑๐๙.
๓๔๓ สุขวัจฉนะ, มาณพ สขุ วจั ฉนมาณพ ปรากฏในสีลวิมังสชาดก๑๓๗๕ ความระบุไว้แต่เพียงว่า สุขวัจฉนมาณพ พร้อม ด้วย ทุชัจจมาณพ สุชัจจมาณพ นันทมาณพ วัชฌมาณพ และอัทธุวสีลมาณพ มีความต้องการด้วยหญิง สาว จงึ พากันละธรรมเสีย ความในอรรถกถา๑๓๗๖ มรี ายละเอียดเพ่มิ เตมิ สรปุ ไดด้ ังน้ี พระพุทธเจา้ ไดต้ รวจดูภิกษุด้วยทิพจกั ษุญาน เห็นภิกษุเหล่าน้ันกาลังตรึกถึงกามวิตก จึงรับส่ัง ให้พระอานนท์เรียกประชุมเป็นการด่วน เม่ือภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกันแล้ว ก็ทรงเตือนเรื่องการทาบาป ในทลี่ ับว่า อย่าคดิ วา่ ไม่มีใครเหน็ จากน้นั จึงทรงยกชาดกเม่ือครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมือง พาราณสีว่ามีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง ประสงค์จะทดสอบศีลของศิษย์ โดยประกาศยกลูกสาวให้แก่ ศษิ ยท์ สี่ ามารถขโมยผา้ เครื่องประดบั ของญาติๆ มาใหโ้ ดยท่ีญาตเิ หลา่ นน้ั ไมร่ ตู้ ัวเทา่ นน้ั ต้งั แต่นั้นมา ลกู ศิษยก์ ็วางแผนขโมยผา้ เครื่องประดบั เมอื่ ได้มาก็นามามอบให้แก่อาจารย์ ๆ ก็ สั่งให้นาผ้าและเครื่องประดับเหล่าน้ันเป็นกอง ๆ ขณะท่ีพระโพธิสัตว์ ไม่ได้นาอะไรๆ มาให้อาจารย์เลย ทาให้อาจารย์สงสยั จงึ ได้สอบถามเหตผุ ล พระโพธิสัตว์ได้ให้เหตุผลว่า ตนเองไม่เห็นที่ไหน ๆ จะเป็นท่ีลับสาหรับการทาความช่ัว ด้วย เหตุนั้น จึงไม่ได้นาผ้า และเคร่ืองประดับใด ๆ มาให้ ทาให้อาจารย์เกิดความเลื่อมใส จึงแจ้งความจริงให้ ทราบว่า แท้จริงแล้ว ต้องการทดสอบหาผู้มีศีลสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ได้ต้องการทรัพย์สินอะไร จากน้ันจึงได้ ยกลกู สาวของตนให้แกพ่ ระโพธิสตั ว์ พร้อมกับสัง่ ให้นาผ้าและเคร่อื งประดบั ท่ีขโมยมาทั้งหมดคนื เจ้าของ สขุ วจั ฉนมาณพ ถอื เปน็ ๑ ในมาณพ ๖ คน ที่เปน็ ศษิ ย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่ีละเมิดธรรม เพราะเหตุแห่งสตรี คืออยู่ในกลุ่มที่ไปขโมยผ้า และเครื่องประดับของญาติๆ มาให้อาจารย์ตามเงื่อนไขที่ อาจารย์ไดว้ างลวงเอาไว้ สขุ ะ, สามเณร สขุ สามเณร ปรากฏในขทุ ทนิกาย ธรรมบท๑๓๗๗ พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพระคาถาว่า “คนไข น้า ย่อมไขน้า ช่างศร ย่อมดัดลูกศร ช่างไม้ ย่อมถากไม้ ผู้มีวัตรดี ย่อมฝึกตน” ความในอรรถกถาธรรม บท๑๓๗๘ มีเน้ือความสังเขปดงั ต่อไปน้ี สขุ สามเณรเปน็ ผ้มู ีบุญญาธิการ ได้เคยถวายอาหารท่ีตนรับจ้างคันธเศรษฐีเป็นระยะเวลา ๓ ปี แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้สมบัติทันตาเห็น กลายเป็นเศรษฐี ในพุทธุปบาทนี้ ได้เกิดในตระกูลอุปัฏฐาก พระสารีบุตร ตอนมารดาตั้งครรภ์สุขสามเณร เกิดแพ้ท้องอยากนุ่งผ้ากาสาวะ ถือขันทองนั่งท้ายอาสนะ รับประทานอาหารทเ่ี ปน็ เดนภิกษุท้ังหลาย ต้งั แต่คลอดบุตรออกมา ทกุ ข์ใด ๆ ที่เคยมไี ด้หายไปหมดสิ้น จึง ได้ต้ังชื่อบุตรชายว่า “สุข” คร้ันเจริญวัยได้ ๗ ขวบ เด็กชายสุขก็แสดงความปรารถนาขอบรรพชา ฝ่าย มารดาก็ไม่ขดั ขอ้ ง จดั แจงให้ตอ้ งตามประสงค์ทุกประการ ด้วยตัง้ ใจแต่ต้น หลังจากบรรพชาแล้ว สามเณรได้ติดตามพระเถระไปบิณฑบาต ระหว่างทางได้เห็นเหมือง ก็ เกิดความคดิ ว่า นา้ ไม่มีชีวิตคนยังสามารถผันให้ไหลตามใจชอบได้ แม้ตนก็ควรจะฝึกตนเช่นน้ัน เมื่อคิดได้ ๑๓๗๕ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๙/๑๖๐. ๑๓๗๖ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๔๐๗. ๑๓๗๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๔๕/๗๖. ๑๓๗๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๒/๘๓.
๓๔๔ อย่างนั้นก็กราบเรียนพระอุปัชฌาย์ว่า ขอให้นาบิณฑบาตมาเผื่อ ส่วนตนขออนุญาตกลับวิหารก่อน พระ อปุ ัชฌาย์ทราบอัธยาศยั จงึ ไมข่ ัดขวาง สามเณรหลังจากลาพระอุปัชฌาย์แล้ว ก็กลับมายังวิหาร เข้าห้องปิดประตูบาเพ็ญสมณธรรม เจรญิ วปิ ัสสนาไม่นานกไ็ ดบ้ รรลุเป็นพระอรหันต์ ทง้ั นี้โดยการชว่ ยเหลือของท้าวสักกะ และท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาช่วยปกป้องคุ้มครองอันตรายท่ีจะพึงเกิดข้ึนในระหว่างปฏิบัติธรรม แม้พระศาสดาทรงเล็งเห็น อันตรายจากพระสารีบุตรจะนาอาหารมาก่อนเวลาที่สามเณรจะได้บรรลุ จึงได้เสด็จออกมายืนอารักขาท่ี ซุม้ ประตู วนั ทสี่ ามเณรบาเพญ็ สมณธรรม จงึ ไดเ้ กิดเหตุการณ์ประหลาด กล่าวคือ เวลาเช้ายาวนานกว่า ปกติ ทั้งนีด้ ว้ ยเหตุท้าวมหาราชทั้ง ๔ จันทเทพบุตร สุริยเทพบุตร ต่างก็ป้องกันรักษาให้สามเณรได้บรรลุ ธรรมก่อน จึงเป็นที่มาของพระพทุ ธพจนต์ รสั รับรองว่า เป็นเรอ่ื งธรรมดาของผู้มบี ุญทงั้ หลาย๑๓๗๙ สุจรี ตะ, พราหมณ์ พราหมณส์ ุจรี ตะ ปรากฏในสมั ภวชาดก๑๓๘๐ ความระบุว่า พราหมณ์สุจีรตะ เป็นปุโรหิตอยู่ใน สานักของพระเจ้าโกรัพพยะ ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์จะประพฤติธรรมให้ยิ่ง ๆ ข้ึนไป จึงได้ต้ังคาถามว่า จะทาอย่างไรถึงจะไม่ถูกนินทาในโลกน้ี ละจากโลกน้ีไปแล้วก็ไม่ถูกนินทา ทรงปรารถนาจะทาตามตาม อรรถ ตามธรรมจงึ ขอให้พราหมณ์ช่วยตอบคาถาม พราหมณ์สุจีรตะ เห็นว่าคาถามน้ี มีแต่วิธุรพราหมณ์เท่านั้นจะแก้ได้ จึงได้กราบทูลให้ทรง ทราบ พระราชาจงึ ไดท้ รงมอบหมายให้สุจีรตพราหมณ์เป็นผู้แทนพระองค์ไปถามปัญหานี้กะวิธุรพราหมณ์ พร้อมดว้ ยเครื่องสกั การะใหญ่ สุจีรตพราหมณ์ได้ออกจากเรือน เดินทางไปยังสานักของวิธุรพราหมณ์ พร้อมกับแจ้งพระราช ประสงค์ให้ทราบ วิธุรพราหมณ์ทราบพระราชประสงค์แล้วก็ไม่ยอมตอบ แต่แนะนาให้สุจีรตพราหมณ์ไป ถามภทั รการพราหมณ์ผู้เป็นบุตรแทน แม้ภัทรการพราหมณ์ เม่ือไม่สามารถตอบคาถามได้ ก็แนะนาให้ไป ถามสัญชัยกุมารผู้เป็นน้องชายแทน แม้สัญชัยกุมารเม่ือทราบปัญหาจากสุจีรตพราหมณ์ ก็ไม่อาจตอบ คาถามได้เช่นเดยี วกนั จึงแนะนาให้ไปถามสัมภวะพราหมณ์ผเู้ ปน็ นอ้ งชายคนเล็ก สจุ รี ตพราหมณ์เกอื บจะสน้ิ หวัง เพราะเขา้ ใจวา่ ขนาดวธิ รุ พราหมณ์ซ่ึงเปน็ พราหมณ์ผู้ใหญ่ กับ บุตรอกี ๓ คน ยังไมส่ ามารถแก้ปญั หาน้ีได้ แล้วจะใหส้ ัมภวกมุ ารซ่งึ เปน็ เด็กตอบปญั หานไ้ี ด้อย่างไร แต่เม่ือ ไดร้ บั คาช้ีแจง ประกอบกบั ไม่มหี นทางอน่ื จึงได้เข้าไปหาสมั ภวกมุ ารเพอื่ ถามปญั หา สัมภวกุมารเมื่อทราบพระราชประสงค์จากสุจีรตพราหมณ์แล้ว ก็ได้ตอบคาถามไปว่า จริงๆ พระราชาทรงทราบอุบาย เพียงแต่ว่าพระองค์จะทรงกระทาหรือไม่ อย่างไรก็ตามเม่ือทรงถามมา ก็จะ ตอบตามความเป็นจริง จากน้ันจึงได้ตอบปัญหาไปว่า ๑) ราชกิจท่ีควรทาในวันนี้ อย่าทาในวันพรุ่งน้ี ๒) อย่าเดินสู่หนทางช่ัว ๓) อย่าหลงลืมตน ๔) อย่าประพฤติอธรรม และ ๕) อย่าหยั่งลงในลัทธิที่ผิด ไม่ ประกอบดว้ ยประโยชน์ สุชาดา,นาง นางสชุ าดา ปรากฏช่อื ในคัมภรี ์หลายสถานะ ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ๑๓๗๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๙๓. ๑๓๘๐ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๓๘/๕๖๑.
๓๔๕ (๑) นางสุชาดาผูถ้ วายข้าวมธุปายาสเปน็ คนแรก นางสุชาดาในคัมภีร์๑๓๘๑ ระบุว่าเป็นธิดาของเสนานีกุฎุมพี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า วา่ เป็นอุบาสกิ าผู้ถึงสรณะก่อน ในอรรถกถาทฆี นกิ าย๑๓๘๒ ระบวุ ่า นางอาศัยอย่ทู ห่ี มู่บ้านอุรุเวลคาม ในอรรถกถามัชฌิมนิกาย๑๓๘๓ มีเนื้อความระบุว่า นางสุชาดา ได้แต่งงานกับคนคนผู้มีสกุล เสมอกัน แตไ่ มม่ ีบุตรหรือธดิ า จึงได้ไปบนบานทีต่ น้ ไทรต้นหนึ่งวา่ หากไดบ้ ตุ รชายท้องแรก จะมาเซ่นสรวง นางสาเร็จความปรารถนาน้ันแล้ว จึงได้เตรียมเคร่ืองสังเวยไปเพื่อบูชาแต่เช้า คร้ันมาถึง ได้มองเห็น พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ สาคัญวา่ เปน็ เทวดา จึงไดน้ อ้ มขา้ วมธปุ ายาสถวาย ในอรรถกถาทีฆนิกาย๑๓๘๔ ระบุว่า ต่อมาภายหลังนางสุชาดาทราบว่า ผู้ท่ีตนถวายข้าว มธุปายาสวันนั้น ไม่ใช่เทวดา หากแต่เป็นพระโพธิสัตว์ และบิณฑบาตท่ีบางถวายวันนั้น ทาให้พระองค์ ดารงอยูไ่ ดถ้ งึ ๗ สปั ดาห์ กท็ าใหน้ างเกิดความรู้สึกปลาบปล้มื ยนิ ดอี ย่างมาก อน่ึง บุตรชายคนแรกของนางสุชาดา ในคัมภีร์อรรถกถา๑๓๘๕ ระบุว่า คือยสะกุลบุตร ผู้เห็น นางบาเรอนอนเปดิ รา่ งในยามราตรี แลว้ เกดิ ความสงั เวชสลดใจ เดนิ ออกไปนอกปราสาท พร้อมกับบ่นเพ้อ ว่า ท่ีน่ีวุ่นหวายหนอ ท่ีน่ีขัดข้องหนอ กระท่ังได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และบรรลุเป็นพระอรหันต์ใน เวลาตอ่ มา (๒) นางสชุ าดา สะใภข้ องอนาถปณิ ฑิกเศรษฐี นางสุชาดาในอังคุตตรนิกาย๑๓๘๖ ระบุว่าเป็นสะใภ้ของอนาถปิณฑิกะเศรษฐี เดิมเป็นคนไม่ เชอื่ ฟงั พอ่ ผวั แมผ่ วั ไม่เชอื่ ฟังสามี แม้แตพ่ ระผมู้ ีพระภาคนางก็ไมส่ ักการะ ไม่เคารพ วันหนึ่งขณะเสด็จเข้า ไปเรอื นของเศรษฐี มเี รือ่ งเอะอะเสยี งดงั ตรัสถามทราบความว่ามีสาเหตุมาจากนางสุชาดา จึงรับสั่งให้เข้า เฝา้ อน่ึง ในอรรถกถาสุชาตชาดก๑๓๘๗ ระบุว่า นางสุชาดาน้ันเป็นน้องหญิงของนางวิสาขา ธิดา ของธนัญชัยเศรษฐี เข้าไปยังเรือนของอนาถปิณฑิกะเศรษฐีด้วยยศอย่างใหญ่หลวง นางจึงมีความถือตัว คิดว่าตนเป็นธิดาของตระกูลใหญ่ วันเกิดเหตุ นางทะเลาะกับทาสและกรรมกร พระผู้มีพระภาคจึงตรัส ถามสาเหตุ คร้นั ทรงทราบความ จงึ รับสงั่ ให้เรยี กเข้าเฝา้ เม่ือนางสุชาดาเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า เธอเป็นภรรยาประเภทไหน ในภรรยา ๗ ประเภทน้ี คือ ภรรยาดุจเพชฌฆาต ภรรยาดุจโจร ภรรยาดุจนายหญิง ภรรยาดุจมารดา ภรรยาดุจพ่ี น้องสาว ภรรยาดุจเพื่อน และภรรยาดุจทาสี นางสชุ าดาไมเ่ ข้าใจในพุทธดารัส จึงได้กราบทูลถามรายละเอยี ด พระผู้มีพระภาค ได้ทรงแสดงลักษณะของภรรยา ๗ ประเภทตามลาดับ เป็นต้นว่า ภรรยาใด คิดประทุษร้าย ไม่เกื้อกูลอนุเคราะห์ ยินดีต่อชายเหล่าอ่ืน ดูหม่ินสามี เป็นหญิงท่ีเขาซื้อมาด้วยทรัพย์ พยายามฆา่ สามี ภรรยาเชน่ นเี้ รียกว่า ภรรยาดุจเพชฌฆาต ๑๓๘๑ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๕๘/๓๒. ๑๓๘๒ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๑/๑๖๙. ๑๓๘๓ ม.ม.ู อ.(ไทย) ๑/๒/๔๕๕. ๑๓๘๔ ที.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๔๑๓. ๑๓๘๕ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๘๕. ๑๓๘๖ อง.ฺ สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๖๓/๑๒๒. ๑๓๘๗ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๑๔๘.
๓๔๖ ภรรยาใดมงุ่ จะยักยอกทรัพยแ์ มม้ ีจานวนนอ้ ยทสี่ ามีประกอบศิลปกรรม พาณิชยกรรม และกสิ กรรมไดม้ าภรรยาเช่นน้ี เรียกว่า ภรรยาดุจนางโจร, ภรรยาใดไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินจุ หยาบ คาย ดุร้าย มกั พูดคาชั่วหยาบ ขม่ ข่สี ามผี ขู้ ยันหมั่นเพียร ภรรยาเช่นน้ี เรียกว่า ภรรยาดจุ นายหญิง ภรรยาใดเป็นผู้เก้ือกูลอนุเคราะห์ทุกเม่ือคอยทะนุถนอมสามี เหมือนมารดาคอยทะนุถนอม บุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจมารดา, ภรรยาใดเป็นเหมือนพี่สาว น้องสาว มีความเคารพในสามีของตน มีใจละอายต่อบาป ประพฤติคล้อยตามอานาจสามี ภรรยาเช่นน้ี เรยี กว่า ภรรยาดจุ พี่สาวน้องสาว, ภรรยาใดเห็นสามแี ล้วชื่นชมยินดี เหมือนเพ่ือนเห็นเพื่อนผู้จากไปนาน แล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตรปฏิบัติต่อสามี ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจเพื่อน, ภรรยา ใดถูกสามีขู่จะฆ่าจะเฆ่ียนตี ก็ไม่โกรธ สงบเสง่ียม ไม่คิดขุ่นเคืองสามี อดทนได้ ไม่โกรธ ประพฤติคล้อย ตามอานาจสามี ภรรยาเช่นนี้ เรยี กวา่ ภรรยาดุจทาสี ในอรรถกถาสุชาตชาดก๑๓๘๘ ระบวุ า่ ส้นิ พระธรรมเทศนา นางสุชาดาได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ดังน้ันเมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงลักษณะภรรยาท้ัง ๗ ประการโดยละเอียดแล้ว นางสุชาดาก็ราบทูลว่า ตัง้ แต่บดั นเี้ ปน็ ต้นไป ขอใหพ้ ระผมู้ พี ระภาคทรงจานางไว้ว่า เปน็ ภรรยาดจุ ทาสี (๓) นางสุชาดาในมณิโจรชาดก นางสุชาดาในมณิโจรชาดก เป็นหญิงมีรูปงามดุจนางอัปสร ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตร เมื่อ เจริญวยั ไดแ้ ต่งงานกับพระโพธิสัตว์ซึ่งเกิดในตระกูลคหบดีในหมู่บ้านไม่ไกลจากเมืองพาราณสี นางปฏิบัติ สามี และปฏบิ ัติตนในฐานะลูกสะใภเ้ ป็นอย่างดี จงึ เป็นท่ีรักและโปรดปรานของพระโพธสิ ัตวต์ ลอดมา อยมู่ าวันหนึ่งนางประสงค์จะไปเย่ียมมารดาบิดา จึงได้แจ้งความประสงค์แก่พระโพธิสัตว์ เม่ือ ไม่มอี ะไรขดั ขอ้ ง ทง้ั สองจงึ เตรียมเสบียงและออกเดินทาง คร้ันถึงพระนคร เจ้ากรุงพาราณสีได้เสด็จมาพบ เขา้ พอดี เกดิ ความพอพระทัยในนางสุชาดายิ่งนัก แม้จะทราบว่านางมีสามแี ล้วก็ตาม จึงได้วางแผนฆ่าพระ โพธสิ ัตว์ดว้ ยข้อหาขโมยปิน่ มณขี องพระองค์ จากนนั้ ก็ส่ังลงโทษใหโ้ บยกอ่ นนาตัวไปประหารชีวติ นางสชุ าดาไมส่ ามารถช่วยพระโพธสิ ตั ว์ ไดแ้ ต่รอ้ งไห้พรา่ เพอ้ ด้วยความน้อยอกน้อยใจว่า สามี ต้องรับทุกข์เพราะตนเอง ทั้งๆ ท่ีไม่มีความผิด เมื่อเห็นว่าไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว จึงได้อธิษฐานหากเทพเทวามี จรงิ ก็ขอให้ช่วยสามีใหพ้ น้ จากมรณภัยคร้ังน้ี ด้วยอานภุ าพแหง่ ศีล และแรงอธิษฐานของนางสุชาดา เป็นเหตุให้ท้าวสักกะมองเห็นความชั่ว ของพระราชา จึงได้บรรดาลให้พระราชาลงจากพระราชอาสน์ แล้วไปอุ้มพระโพธิสัตว์มาไว้บนพระราช อาสน์แทน ส่วนพระองค์ก็ไปบรรทมบนตะแลงแกงที่ประหาร และถูกเพชฌฆาตตัดพระเศียรสิ้นพระชนม์ คร้ันแล้วท้าวสักกะก็แสดงพระองค์ และกระทาราชาภิเษกพระโพธิสัตว์ไว้ในตาแหน่งพระราชา สืบราชสมบัติแทน โดยก่อนจากไป ท้าวสักกะได้ตรัสเตือนให้พระโพธิสัตว์ครองแผ่นดินโดยธรรม หาไม่ แลว้ จะเกดิ ภยั ๓ ประการ ได้แก่ ภัยจากความอดอยาก ภยั จากโรค และภัยจากศัตรู๑๓๘๙ (๔) พระนางสชุ าดาผูเ้ ปน็ พระมารดาของพระพทุ ธเจา้ นางสุชาดา ปรากฏว่าเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ได้แก่ เป็นพระมารดาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ โดยทรงเป็นพระมเหสีของกษัตริย์พระนามว่านันทะ ผู้ครองราชย์ ๑๓๘๘ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๑๔๘. ๑๓๘๙ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๒๔๔.
๓๔๗ สมบตั ิอยู่ในเมืองรัมมวดี๑๓๙๐ และพระนางสุชาดาผู้เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ โดยทรงเปน็ พระมเหสีของพระเจา้ อานนท์ ผคู้ รองเมอื งหงสาวดี๑๓๙๑ สุชาตกมุ าร สชุ าตกิ มุ าร มีพระชนมอ์ ยู่หลังพุทธปรินิพพาน ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอัสสกราช พระ มารดาไม่ปรากฏพระนาม หลักฐานระบุไว้แต่เพยี งวา่ สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระกุมารยังเยาว์วัย เป็นเหตุพระ เจ้าอัสสกราชมีพระมเหสีใหม่ ส่วนสุชาติกุมาร ได้ถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้น เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษา เพราะปัญหาเร่ืองการแย่งชิงราชสมบัติ จึงได้เข้าป่า อาศัยพวกพรานอยู่ ต่อมาด้วยบารมีท่ีเคยส่ัง สมในชาตปิ า่ งกน่ เทพบตุ รผู้เคยเป็นสหายของท่านจึงไดม้ าดลใจใหท้ ่านได้พบกบั พระมหากจั จายนะ พระมหากจั จายนะคร้ันได้พบกับสุชาตกุมารแล้วก็ทราบความจริงว่า สุชาตกุมารนี้จะมีอายุเหลือ อกี เพียง ๕ เดือนเท่าน้ัน จงึ ได้แจง้ ให้สุชาตกุมารทราบ และขอใหร้ บี เปลอื้ งตน แสวงหาทางแห่งความหลุด พน้ จากน้ันกใ็ หพ้ ระกุมารรบั สรณคมน์ และแนะนาใหก้ ลบั ไปยังพระราชวงั แจง้ ให้พระราชบิดาทรงทราบ สุชาตกุมารได้ขอร้องให้พระเถระไปช่วยอนุเคราะห์ตนด้วยการไปเฝ้าพระราชบิดาพร้อมกับ ตนเอง ซึ่งพระเถระกับรับอนุเคราะห์เข้าไปในพระราชวังพร้อมกับพระกุมาร แจ้งเร่ืองราวต่างๆ ให้ พระราชาทรงทราบ พระราชาครัน้ ทรงทราบความทัง้ ปวงแล้ว ก็ไดส้ รา้ งวิหารใหญ่ จากน้ันก็นิมนต์พระมหากัจจายนะ พรอ้ มกับภกิ ษสุ งฆม์ าอนเุ คราะห์มหาชน ทรงบารุงด้วยปัจจัย ๔ ให้สุชาตมารได้มีโอกาสบาเพ็ญกุศลอย่าง ตลอดระยะเวลา ๔ เดือนท่ียังเหลืออยู่ ครั้นครบกาหนดแล้ว สุชาตกุมารก็ส้ินพระชนม์ เข้าถึงสุคติโลก สวรรคด์ ว้ ยอานิสงคแ์ หง่ กุศลทไ่ี ดบ้ าเพญ็ มาดแี ลว้ ๑๓๙๒ สุทนิ ,พระ เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า สุทินกลันทบุตร๑๓๙๓ เพราะเป็นบุตรเศรษฐีชาวกลันตคาม ไม่ห่างจาก กรงุ เวสาลี วนั หนึง่ ไปธุระในเมอื งกบั เพ่ือน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเล่ือมใส อยากออกบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา ด้วยเหตุว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ต้องสืบสกุล มิเช่นนั้นทรัพย์ สมบตั ิจะตกเป็นของแผน่ ดนิ ท่านอ้อนวอนขออนุญาตจากบิดามารดาหลายคร้ังเพื่อขอบวช เม่ือไม่ได้รับอนุญาต จึงได้อด ข้าวประท้วง แม้บิดามารดาพยายามให้เพื่อนสนิทไปเกลี้ยกล่อม ก็หาสาเร็จไม่ สุดท้ายจึงอนุญาตให้บวช เม่อื บวชแล้วไดต้ ้ังใจประพฤติพรหมจรรย์ กาลต่อมาท่านกลับไปเย่ียมบ้าน และได้ถูกบิดามารดาขอร้องให้ลาสิกขา เพราะไม่มีใครดูแล ทรัพยส์ มบตั ิ แต่ท่านก็หายินดีในทรัพย์สมบัติไม่ สุดท้ายจึงได้รับการขอร้องให้มีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเก่า เพอ่ื จะไดม้ ีทายาทไว้สบื สกลุ ซ่ึงท่านก็ยินยอมทาตาม ๑๓๙๐ ข.ุ พทุ ธฺ .(ไทย) ๓๓/๒๕/๕๙๙. ๑๓๙๑ ขุ.พุทธฺ .(ไทย) ๓๓/๑๙/๖๔๓. ๑๓๙๒ ขุ.วิ.อ.(ไทย) ๒/๑/๕๐๓-๕๑๔. ๑๓๙๓ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๓๙/๓๗๘.
๓๔๘ เวลานน้ั ยงั ไมม่ กี ารบญั ญัติสกิ ขาบทเรอื่ งการเสพเมถนุ ทา่ นจงึ เป็นตน้ บัญญัติในเรือ่ งน้ี๑๓๙๔ สุนีธะ,อามาตย์ สุนีธะอามาตย์ เป็นอามาตยช์ ้นั ผูใ้ หญ่แหง่ แคว้นมคธ และไดร้ บั มอบหมายภารกิจสาคัญๆ จาก พระเจ้าพิมพิสารหลายประการ เช่น เป็นผู้ควบคุมดูแลการสร้างเมืองที่ปาฏลิคามเพ่ือป้องกันการรุกราน ของพวกวัชชี๑๓๙๕ คร้ันสร้างเสร็จแล้วก็ได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยเหล่าพระสาวกไปรับบิณฑบาต เพอื่ เจริญกศุ ล ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว พระพุทธเจ้าได้เสด็จออกทางทิศใด ก็ให้ต้ังชื่อประตูนั้นว่าประตูโคดม ผ่านท่าน้าใด ก็ให้ตง้ั ช่อื ทา่ น้านน้ั วา่ ท่าโคดม ทั้งนี้เพอื่ ถวายเป็นอนุสรณ์ เรื่องสุนีธะอามาตย์ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง เน้ือความคล้ายกัน คือพรรณนา เร่ืองราวการได้รับมอบหมายให้การสร้างเมืองท่ีปาฏลิคาม ร่วมกับวัสสการอามาตย์ คร้ันสร้างเสร็จแล้วก็ ได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกมาฉัน และได้ต้ังช่ือท่าน้า ประตูเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่าน วา่ ทา่ โคดม ประตูโคดม เพือ่ ถวายเป็นอนสุ รณ์ ดงั ได้กลา่ วขา้ งตน้ สุตโสม,พระเจา้ พระเจ้าสุตโสม ปรากฏในจูฬสุตโสมชาดก๑๓๙๖ และมหาสุตโสมชาดก๑๓๙๗ และสุตโสม จรยิ า๑๓๙๘ ความในอรรถกถาจฬู สตุ โสมชาดก๑๓๙๙ สรปุ ดงั ตอ่ ไปนี้ พระเจ้าสุตโสม เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองเมืองสุทัสนะ เหตุท่ีได้ช่ือว่า “โสม” เพราะพระพักตรของพระกุมารนั้นมีสิริประหนึ่งดวงจันทร์ในวันเพ็ญ คร้ันเติบใหญ่ขึ้นมา เป็นผู้มี ความสนใจในการศึกษา ประชาชนจึงถวายพระนามว่า “สุตโสม” ทรงศึกษาศิลปวิทยาในเมืองตักกศิลา สาเร็จกลับมาแล้ว ได้รับการสถาปนาไว้ในราชสมบัติ ทรงครองราชย์โดยธรรม ต่อมาไม่นานก็ทรงเบ่ือ หน่ายในราชสมบัติ จึงได้ลาผนวช เที่ยวไปแต่พระองค์เดียว เหมือนช้างตัวประเสริฐ อาศัยอยู่ริมฝ่ังแม่น้า คงคาในหมิ วันตประเทศ ต่อมามอี อกบวชตามเป็นจานวนมาก ทั้งหมดตง้ั อยู่ในโอวาทของมหาสัตว์แล้ว ได้ เขา้ ถึงพรหมโลก ความในอรรถกถามหาสตุ โสมชาดก๑๔๐๐ และอรรถกถามหาสุตโสมจริย๑๔๐๑ สรปุ ได้ดงั นี้ พระเจ้าสุตโสมเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกรัพยะ ผู้ครองราชย์โดยธรรมในพระนคร อนิ ทปัต เพราะความทีพ่ ระพักตร์ของพระกุมารเปน็ ดังดวงจันทร์ และมีนิสัยในการศึกษา มหาชนจึงขนาน พระนามว่า สุตโสม เมื่อเจริญวัย สุตโสมกุมารได้ศึกษาศิลปวิทยาท่ีเมืองตักกศิลา และได้รู้จักกับพรหมทัตกุมาร ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสิกราชในพระนครพาราณสี ทั้ง ๒ พระองค์ศึกษาศิลปวิทยาในสานัก อาจารย์คนเดียวกัน ร่วมกนั พระราชบุตรอนื่ ๆ ในชมพทู วีปอกี ประมาณ ๑๐๑ พระองค์ ๑๓๙๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๙/๒๗. ๑๓๙๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๘๖/๑๐๐. ๑๓๙๖ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๙๕/๖๒๗. ๑๓๙๗ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๓๗๑/๑๕๘. ๑๓๙๘ ขุ.จรยิ า.(ไทย) ๓๓/๑๐๕/๗๗๑. ๑๓๙๙ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๗/๗๐๓. ๑๔๐๐ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๔/๑/๖๔๐. ๑๔๐๑ ขุ.จรยิ า.(ไทย) ๓๓/๓/๕๐๘.
๓๔๙ สุตโสมกุมาร ศึกษาศิลปะอยู่ไม่นานก็สาเร็จวิชา ครั้นสาเร็จแล้วก็ช่วยสอนศิลปะวิทยาแก่ พรหมทตั กุมารกระทั่งสาเรจ็ วิชา เมอ่ื สาเร็จศลิ ปะวิทยาแล้ว ท้งั หมดตา่ งกอ็ าลาอาจารย์กลับไปยังพระนคร แสดงศิลปะแกพ่ ระราชมารดาบิดาแล้ว ได้รับการอภิเษกในราชสมบัติ ต่างส่งเคร่ืองบรรณาการให้กันและ กนั เพ่ือใหท้ ราบความที่ตนตัง้ อยใู่ นราชสมบตั แิ ลว้ ตอ่ มาพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสี ได้เสวยเน้ือมนุษย์ และทรงติดในรส จึงได้รับสั่งให้ ฆ่ามนุษย์ กระท่ังถูกขับออกจากแว่นแคว้น หนีไปอาศัยอยู่ในป่า ระหว่างนั้นเกิดตอตาท่ีเท้า จึงได้ทาการ บวงสรวงเทวดาจะนาเลือดในลาคอของกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาเซ่นสังเวยเพียงขอให้แผลหายเป็นปกติ เมอื่ แผลหายปกติก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอานาจเทวดา จงึ ไดจ้ ับกษตั ริยเ์ หล่าน้นั มาเพ่ือเตรียมทาพลีกรรม แต่ เทวดาทส่ี ิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรได้หาอุบาย ให้ไปนาพระเจ้าสุตโสมมาอีกพระองค์หนึ่ง จึงจะช่ือว่าได้ทาตามที่ บนบานเอาไว้ พระเจ้าพรหมทัตเห็นเทวดาแสดงตนก็ดีใจ ได้วางแผนจับพระเจ้าสุตโสมมาในวันหน่ึง แต่ ตอ่ มาก็เกิดเล่ือมใสในความสัตย์ของพระเจ้าสุตโสม ประกอบกับได้ฟังสตารหคาถาที่พระเจ้าสุตโสมแสดง ใหฟ้ ัง ทาให้เกิดความปีติ มีจิตอ่อนโยนสุดท้ายก็ยอมปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ และละเว้นการกินเนื้อ มนุษยต์ ้ังแตบ่ ดั น้ันเป็นต้นมา สุตวา, ปรพิ าชก สตุ วาปริพาชกปรากฏในสุตวาสูตรแหง่ องั คุตตรนิกาย๑๔๐๒ ความพรรณนาว่า สุตวปริพาชกได้ เขา้ พระผูม้ พี ระภาคขณะประทับอยู่ที่ภูเขาคิชกูฏ กราบทูลถามข้อสงสัยกรณีท่ีเคยได้ยินมาจากพระพักตร์ ว่า พระอรหันตขีณาสพจะไม่ล่วงละเมิดฐานะ ๕ ประการ คือ ๑) ไม่ฆ่าสัตว์ ๒) ไม่ลักทรัพย์ ๓) ไม่เสพ เมถุนธรรม ๔) ไมพ่ ดู เทจ็ และ ๕) ไม่สัง่ สมทรพั ย์สมบัติเหมือนคฤหสั ถ์ ข้อเทจ็ จรงิ ยงั ทรงยนื ยันอยู่หรือไม่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสยืนยันว่าจริงอย่างนั้น และยังทรงยืนยันยิ่งไปอีกว่า นอกจากฐานะ ๕ ประการนัน้ แล้ว พระอรหันตขณี าสพจะไม่ล่วงฐานะอกี ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ไม่ลาเอียงเพราะชอบ ๒) ไม่ ลาเอียงเพราะชัง ๓) ไมล่ าเอยี งเพราะหลง และ ๔) ไมล่ าเอยี งเพราะกลวั ความในสูตรมีเพยี งเท่านี้ แมใ้ นอรรถกถากไ็ ม่มีรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ สุเมธา,พระนาง พระนางสุเมธา ๑๔๐๓ เดิมเป็นพระธิดาของพระเจ้าโกญจะ กษัตริย์แห่งกรุงมันตาวดี ส่วนพระ มารดาไม่ปรากฏนาม นางทรงมพี ระจริยาวัตรงดงาม และมีศรัทธา ด้วยทรงมีบุญญาธิการอันส่ังสมไว้แล้ว ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ จึงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ด้วยทรงมองเห็นภัย ของภพ และโทษของกามท้ังหลาย จึงได้กราบทูลลาพระชนก-ชนนี ขอผนวชเป็นภิกษุณีในสานักของพระ ผูม้ ีพระภาค เบื้องตน้ ไม่ได้พระบรมราชานญุ าต พระนางจึงทรงอดข้าวขอยอมตายหากไมไ่ ด้บรรพชา ฝ่ายพระชนก ชนนีก็พยายามเกล้ียกล่อม โดยประการต่าง ๆ นับต้ังแต่เรื่องการอภิเษกสมรส กบั พระเจ้าอนิกรตั ซึง่ ได้ทาการหมายมนั่ ไว้แลว้ ทรงประวงิ เวลา จากนั้นก็ส่งข่าวให้พระเจ้าอนิกรัตจัดการ เร่ืองอภิเษกสมรสแต่โดยเร็ว ฝ่ายพระเจ้าอนิกรัตเองก็สนองรับสั่ง ทรงแวดล้อมด้วยบริษัท เสด็จมาเพ่ือ ประกอบพธิ อี ภเิ ษกในระยะเวลากระชนั้ ชดิ ๑๔๐๒ อง.ฺ นวก.(ไทย) ๒๓/๗/๔๔๕. ๑๔๐๓ ข.ุ เถรี.(ไทย) ๒๖/๔๕๐/๖๒๙.
๓๕๐ พระนางสุเมธาทราบข่าวพระเจ้าอนิกรัตเสด็จมา ก็ทรงปิดห้อง ใช้พระขรรค์ตัดพระเกศา จากนั้นก็เข้าปฐมฌาน เจริญอนิจจสัญญาอยู่อย่างนั้น พระเจ้าอนิกรัตจะเสด็จมาอ้อนวอนอย่างไร นางก็ หาไดใ้ สใ่ จไม่ ทรงแสดงโทษของกามแก่พระเจา้ อนกิ รัตโดยประการต่าง ๆ พระเจ้าอนิกรัตเม่ือเห็นว่าพระ นางสเุ มธามจี ิตน้อมไปในพระนิพพานอย่างย่ิงเช่นน้ัน ก็ตัดพระทัย และกราบทูลขอให้พระชนก พระชนนี ยนิ ยอมใหพ้ ระนางผนวช สุดทา้ ยพระนางสุเมธาก็ไดร้ บั พระราชานญุ าตให้ผนวช นางผนวชแล้วไมน่ าน ไมป่ ระมาทอยู่ ไดท้ าให้แจ้งอภญิ ญา ๖ และไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหันต์ สุลสา,หญิงงามเมอื ง นางสุลสา เป็นหญิงงามเมือง ปรากฏในสุลสาชาดก๑๔๐๔ ความระบุว่า นางเกิดหลงนักโทษ ประหารผู้หนึ่ง ได้ติดสินบนเจ้าพนักงาน และนานักโทษดังกล่าวมาอยู่กินฉันสามีภรรยาในเรือน แต่ต่อมา ดว้ ยนิสัยโจร ทาให้นางถูกลวงไปฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ แต่ด้วยสติปัญญา นางก็สามารถพลิกสถานการณ์ฆ่าโจร เอาตัวรอดกลับมาได้ ในอรรถกถาสุลสชาดก๑๔๐๕ ระบุว่า พระพุทธเจ้าตรัสชาดกเร่ืองน้ีด้วยทรงปรารภถึงนางทาสี ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ซ่ึงยืมเคร่ืองประดับของนายหญิงไปเที่ยวงาน ระหว่างน้ันถูกโจรลวงไปฆ่าชิง ทรัพย์ นางไหวตวั ทนั จงึ ได้วางแผนซ้อนแผน ฆา่ โจรน้นั ดว้ ยมือของนางเอง ทาให้มีเสียงเล่าขานทานองช่ืน ชมในสตปิ ัญญาของนางที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ พระพุทธเจ้าทราบเร่ือง จึงได้ตรัสเสริมว่า ไม่ใช่เฉพาะ แต่บัดนเ้ี ท่านัน้ แม้ชาตกิ อ่ นนางกฆ็ ่าโจร เอาตัวรอดมาได้เหมือนกัน จากนั้นจึงทรงเล่าเรื่องนางสุลสาหญิง งามเมืองให้ฟังดังกล่าวขา้ งตน้ สนุ ทร,พระ พระสุนทรเปน็ ชาวเมืองราชคฤห์ บวชดว้ ยศรัทธา วันหน่ึงท่านเดินไปตามถนน สตรีผู้หนึ่งเห็น เข้าจึงนิมนต์ให้ท่านหยุด เพ่ือจะได้ทาความเคารพ เมื่อท่านหยุดแล้ว นางก็ไปน่ังกระโหย่งตรงหน้า แต่ แทนที่จะทาความเคารพ กลบั ใช้มอื เลกิ ผ้าสบงของทา่ นขน้ึ แล้วใชป้ ากอมอวัยวะเพศท่าน โดยไมใ่ หต้ งั้ ตัว พระสุนทรเกดิ ความรังเกียจ เกรงว่าจะต้องอาบัติ จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาค พระผู้มี พระภาคตรัสถามว่า ขณะนั้นเธอยินดีหรือไม่ เม่ือได้รับคาตอบว่า ไม่ยินดี ก็ทรงวินิจฉัยว่า ไม่ต้องอาบัติ ปาราชกิ ๑๔๐๖ สนุ ทรสมุทร,พระ พระสุนทรสมุทร ปรากฏในสุนทรสมุททเถรวัตถุ แห่งขุททนิกาย ธรรมบท๑๔๐๗ พระผู้มีพระ ภาคตรัสปรารภพระคาถาว่า “ผู้ใดในโลกนี้ละกามได้ ออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้ส้ินกามและภพ ทรง เรยี กผู้น้นั วา่ พราหมณ์” ความในอรรถกถาธรรมบท๑๔๐๘ มรี ายละเอียดพอสังเขปดังนี้ พระสุนทรสมุทรเกิดในตระกูลใหญ่ ในเมืองสาวัตถี มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ วันหน่ึงเห็นมหาชนไป พระเชตวนั เพือ่ ฟังธรรม ก็ปรารถนาจะไปด้วย วนั หน่ึงจงึ ได้ติดตามมหาชนไปน่ังอยู่ท้ายบริษัท พระศาสดา ๑๔๐๔ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๘/๒๘๘. ๑๔๐๕ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๔๘๗. ๑๔๐๖ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๗๒/๖๐. ๑๔๐๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๑๕/๑๖๕. ๑๔๐๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๕๑๒.
๓๕๑ ทรงทราบอัธยาศัยของเธอ จึงได้แสดงอนุปุพพิกถา สิ้นพระธรรมเทศนา เกิดความเล่ือมใส ปรารถนาจะ บวช จงึ ไดเ้ ข้ากราบทูลขอให้พระพุทธเจา้ บวชให้ แต่ไมท่ รงอนญุ าต ด้วยยังไม่ไดร้ บั อนุญาตจากบิดามารดา เขาจงึ กลบั มาอ้อนวอนดว้ ยความพยายามอนั อย่างยิ่งเหมือนกรณีพระรัฏฐบาล เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ได้ บรรพชาอุปสมบทในสานกั ของพระผ้มู พี ระภาค ภายหลังได้รับการอุปสมบทแล้ว ท่านก็ออกจากเมืองสาวัตถีไปอยู่ท่ีเมืองราชคฤห์ ด้วยไม่ ต้องการให้ญาติๆ มารบกวน ท่านใช้ชีวิตอยู่ในเมืองราชคฤห์เป็นเวลาหลายปี กระท่ังวันหน่ึง มารดาของ ทา่ นเห็นวา่ จะบวชนานไป ก็เลยประกาศหาคนที่จะทาให้พระสุนทรสมุทรสึกให้ได้ หญิงแพศยาคนหน่ึงจึง รับอาสาเป็นผจู้ ดั การ พร้อมกบั ค่าจ้างในการดาเนินการ จากนน้ั กอ็ อกเดินทางไปเมืองราชคฤห์ ไปเช่าบ้าน หลังหน่ึง ซึง่ เปน็ ทางโคจรบิณฑบาตประจาของพระเถระอยู่ รุ่งเช้าเม่ือพระเถระมาบิณฑบาต นางก็ตักบาตรตามปกติ หลายๆ วันเข้า กระทั่งเกิด ความคุ้นเคย ก็เริ่มวางแผนโดยการนิมนต์ให้ท่านมาฉันที่บ้าน คร้ังแรกก็นิมนต์ให้ฉันท่ีระเบียงนอกบ้าน หลายๆ วนั เขา้ กว็ ่าจ้างเดก็ ให้มาทาเสียงรบกวนบ้าง ทาให้เกิดฝุ่นบ้าง เมื่อทาทีห้ามเด็กไม่ฟัง ก็นิมนต์พระ เถระเข้าไปในบา้ น หนกั ๆ เข้ากน็ มิ นต์ท่านขึ้นบน วันหน่ึงได้จังหวะ นางนิมนต์พระเถรข้ึนปราสาทช้ันบน จากน้ันก็ล็อคประตู จากน้ันก็เร่ิม วางแผนย่ัวพระเถระดว้ ยประการต่าง ๆ หากแตม่ องดูด้วยความสังเวชสลดใจ ระหว่างนั้นเอง พระผู้มีพระ ภาคได้ตรวจดู เห็นเหตุการณ์ จึงได้แผ่รัศมีเสมือนไปประทับอยู่ตรงหน้า ตรัสสอนพระสุนทรสมุทรด้วย พระคาถาดังกล่าวแล้วข้างต้น จบพระคาถา พระสุนทรสมุทรได้บรรลุพระอรหันต์ เหาะข้ึนสู่เวหาสด้วย กาลงั แห่งฤทธิ์ ทะลุมณฑลช่อฟ้าออกไปถวายบงั คมพระศาสดา สนุ ทริกภารทวาชะ,พราหมณ์ พราหมณช์ อื่ สนุ ทรกิ ภารทวาชะปรากฏในมัชฌิมนิกาย๑๔๐๙ สุนทริกสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๔๑๐ และสุนทรกิ ภารทวาชสตู รแหง่ ขทุ ทกนิกาย๑๔๑๑ ความสรปุ ไดด้ ังนี้ ในมัชฌมิ นิกายระบุวา่ พราหมณ์ชื่อสุนทริกภารทวาชะนั่งอยู่ในท่ีไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ครั้น ได้โอกาสจึงได้กราบทูลถามว่าทาไมพระองค์ไม่ไปล้างบาปที่แม่น้าพหุกาบ้าง แม่น้าอธิกักกะ แม่น้าคยา แม่น้าสุนทริกา หรือแม่น้าสรัสสดีบ้าง เพราะผู้ใดได้อาบน้าในแม่น้าดังกล่าว ย่อมสามารถล้างบาปกรรม ออกไปได้ พระผูม้ ีพระภาคไดเ้ ตือนว่าการอาบน้าในท่าน้าเหล่านั้นไม่สามารถให้คนบริสุทธิ์ได้ บาปกรรม ทที่ ากย็ ังคงอยู่อยา่ งนนั้ แตใ่ นศาสนาของพระองคส์ อนเรื่องการไม่เบยี ดเบียน ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคาหยาบ ไม่ ถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประกอบด้วยศรัทธา ไม่ตระหนี่ โดยท่ีสุดหากหวังความบริสุทธิ์ ก็ต้อง งดทาบาปกรรมทั้งหลาย พราหมณ์ได้ฟังพระดารัส เกิดความเลื่อมใส ได้กราบทูลขออุปสมบท คร้ันอุปสมบทแล้วไม่ นาน ท่านสุนทริกภารทวาชะก็ไม่ประมาท ขวนขวายอยู่เป็นนิตย์ เสร็จกิจในพระศาสนา บรรลุเป็นพระ อรหันตร์ ูปหน่งึ ในบรรดาพระอรหนั ต์ท้ังหลาย ๑๔๐๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๙/๖๘. ๑๔๑๐ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๙๕/๒๗๘. ๑๔๑๑ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๔๕๘/๖๐๔.
๓๕๒ ในสุนทริกสูตร และสุนทริกภารทวาชสูตรแห่งขุททกนิกาย ระบุว่า เดิมพระสุนทริกภารทวา ชะ เปน็ ถอื ลัทธบิ ูชาไฟ ต้งั อาศมอยทู่ ่รี มิ ฝง่ั แม่นา้ สนุ ทรกิ า คร้ันบชู าไฟแล้วก็น่ังมองดทู ศิ ทั้ง ๔ โดยรอบด้วย คิดว่า ใครหนอเหมาะสมท่ีจะบริโภคข้าวปายาสจากการบูชาน้ี คร้ันมองเห็นพระผู้มีพระภาคประทับน่ัง คลมุ พระเศียรอยทู่ โ่ี คนต้นไมแ้ ห่งหนึ่ง จงึ ไดถ้ อื เอาข้าวปายาสด้วยหวังจะให้ คร้ันไปถึงก็ได้สอบถามถึงชาติ กาเนิด พระพทุ ธเจ้าได้ตรัสเตือนว่า อย่าถามถึงชาติกาเนิดเลย ให้ถามถึงความประพฤติดีกว่า เพราะ ไฟย่อมเกิดจากไม้ บุคคลแม้เกิดในตระกูลต่าก็เป็นมุนีได้ หลังจากสนทนา พราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึง ได้น้อมข้าวปายาสถวาย แต่พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธ และทรงแนะนาให้เอาไปเททิ้งพื้นปราศจากของเขียว หรอื ไม่กเ็ ทลงน้า เพราะนอกจากพระพทุ ธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถทานอาหาร นไี้ ด้ พราหมณไ์ ดท้ าตามที่ทรงแนะนา โดยนาลงในน้า ขณะที่พราหมณ์ข้าวปายาสลงน้า ก็เกิดเดือดควันคลุ้งมีเสียงดังจ่ีจี่เหมือนผาลร้อนเพราะถูก แดดท้ังวันถูกรดด้วยน้า ทาให้พราหมณ์เกิดขนพองสยองเกล้า ได้เข้าไปหาพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระ ภาคได้ตรัสเตือนพราหมณ์เป็นต้นว่า ท่านกาลังเผาไหม้อยู่ อย่าสาคัญว่าตนบริสุทธ์ิ เพราะยังเต็มด้วย มานะ ความโกรธ และบาปธรรมอื่น ๆ ทรงแนะนาให้พราหมณ์ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนาของ พระองค์ สุดทา้ ยพราหมณ์ก็ได้อปุ สมบทในพระพุทธศาสนา และไดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ สนุ ทรนี นั ทา,ภกิ ษุณี นางสนุ ทรนี ันทาภกิ ษณุ ี มีพนี่ อ้ งรว่ มทอ้ งกนั ๔ คน ประกอบด้วย นันทา นันทวดี สุนทรีนันทา และถุลลนันทา โดยท้ังหมดบวชอยู่ในสานักภิกษุณี ในจานวนนี้นางสุนทรีนันทา บวชต้ังแต่วัยสาว ท้ังมี รูปร่างงามน่าดู น่าชม เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา ขยัน ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยปัญญา ไตร่ตรองในงานนั้น ๆ นางจึงเป็นท่ีไว้วางใจจากภิกษุณีสงฆ์๑๔๑๒ และนางก็เป็นต้นบัญญัติปาราชิก สกิ ขาบทท่ี ๑ สาหรับภิกษุณี ในพระวินัยปฎิ ก๑๔๑๓ มีเรอื่ งพรรณนาไว้ว่า นางวิสาขา ประสงค์จะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์ จึงมอบหมายให้นายสาฬหะผู้เป็นหลานทาหน้าท่ีควบคุม ดูแล การก่อสร้าง ในส่วนของภิกษุณีสงฆ์ ก็ได้ มอบหมายใหภ้ ิกษณุ ีสุนทรนี ันทา เปน็ ผ้ดู แู ลการก่อสร้าง อาศัยการทางานร่วมกันบ่อยๆ ทาให้ทั้งนายสาฬ หะและภิกษุณีสุนทรีนันทามีใจต่อกัน โดยเฉพาะนายสาฬหะ ได้พยายามหาโอกาสอยู่กับนางภิกษุณี สนุ ทรีนนั ทาสองต่อสองเสมอ วันหนึ่งนายสาฬหะวางแผนนิมนต์ภิกษุณีไปฉันในบ้าน ขณะเดียวกันก็วางแผนปูอาสน ะ สาหรับนางสุนทรีนันทาไว้ต่างหากพอที่จะทามิดีมิร้ายได้ แต่นางเกรงว่าจะเกิดเร่ืองอื้อฉาว จึงไม่ยอมไป กจิ นมิ นต์ พร้อมกับฝากไปแจง้ นายสาฬหะดว้ ยว่าไม่สบาย นายสาฬหะคร้ันทราบว่า นางภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่สบาย ก็สั่งให้คนอังคาสภิกษุณีสงฆ์ ส่วน ตนเองก็ไปที่วัด นางภิกษุณีเห็นนายสาฬหะมาก็แสร้งนอนเอาผ้าคลุมอยู่ เมื่อถูกนายสาฬหะถามอาการก็ ตอบไปทานองวา่ รกั คนทเี่ ขาไมร่ ัก ก็มีอาการอย่างนแี้ หละ นายสาฬหะได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความกาหนัด ได้ ถูกต้องตัวนางภิกษุณีนันทาผู้มีความกาหนัดเช่นกัน ซ่ึงระหว่างน้ันเอง มีภิกษุณีชรารูปหนึ่ง มีอาการเจ็บ เทา้ ไม่ไดไ้ ปกจิ นิมนตไ์ ดเ้ หน็ เขา้ พอดี จงึ ไดก้ ล่าวตาหนิ และนาเรือ่ งทง้ั หมดไปบอกแกภ่ กิ ษณุ ีทง้ั หลาย ๑๔๑๒ วิ.ภิกฺขณุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๖/๒. ๑๔๑๓ ว.ิ ภิกฺขุณี.(ไทย) ๓/๖๕๖/๑.
๓๕๓ ภิกษณุ ีท้ังหลายได้นาเรือ่ งไปบอกแก่ภกิ ษทุ ้งั หลาย ๆ กน็ าเร่ืองไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้ว ก็ทรงตาหนิ จากนั้น ทรงอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุได้ทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุณีมีความกาหนัด ยินดี การจับต้อง ลูบคลาอวัยวะตั้งแต่ใต้รากขวัญ ลงมา และเหนอื เขา่ ขึ้นไป๑๔๑๔ เรื่องราวของนางภิกษุณีสุนทรีนันทากับนายสาฬหะน่าจะไม่จบเพียงเท่าน้ี ในคัมภีร์มี พรรณนาไว้อีกว่า ต่อมานางก็ต้ังครรภ์กับนายสาฬหะ แต่เร่ืองถูกเก็บไว้เป็นความลับ เพราะนางถุลลนันน ทาภิกษุณีสั่งให้เอาไว้ ด้วยเกรงจะเสียหายบานปลายใหญ่โต ประเด็นดังกล่าวน้ีก็ได้เป็นที่มาของการ บัญญตั ิสิกขาบท ปรับอาบัติปาราชกิ แกภ่ กิ ษณุ ผี ปู้ กปดิ อาบัติปาราชิกของภิกษุณีรูปอ่นื ๑๔๑๕ สุนทร,ี ปรพิ าชิกา นางสุนทรีปริพาชิกา ปรากฏชื่อในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๔๑๖ พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพระ คาถาวา่ คนท่ชี อบกล่าวคาไม่จรงิ หรือคนที่ทาความชัว่ แล้วกล่าวว่า ไม่ไดท้ า ต่างก็ตกนรก ตายไปแล้วก็มี คติเท่าเทยี มกนั ในโลกหน้า และในสุนทรีสูตร แห่งขุททกนิกาย อุทาน๑๔๑๗ ความสรุปได้ว่า นางร่วมมือกับ พวกเดียรถีย์ ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า สาเหตุมาจากนับต้ังแต่พระพุทธเจ้าอุบัติข้ึนมาในโลก พวกเดียรถีย์ต่าง พันกันเส่อื มลาภสักการะ จงึ หาอบุ ายทาลายชอ่ื เสียง เดยี รถียว์ างแผนให้นางทาทเี ขา้ ไปในพระเชตวันบ่อยๆ จากนั้นก็วางแผนฆ่านาง แล้วนาศพไป ท้ิงในคูรอบพระเชตวัน แล้วก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลแจ้งความว่านางสุนทรีปริพาชิกาหายไป 999ขอให้ทรงสอบสวนความ พรอ้ มทงั้ ให้เบาะแสว่า กอ่ นหน้าน้เี ห็นนางเข้าออกพระเชตวันเป็นประจา จึง ขอใหต้ รวจสอบ และคน้ หานางดู พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรับส่ังให้ค้นพระเชตวันตามคาของเดียรถีย์ท้ังหลาย และพบศพนาง สุนทรีปริพาชิกาถูกหมกอยู่ท่ีคูน้า ในขณะท่ีหามศพนางไปยังเมืองสาวัตถี ก็ให้คนโพนทะนากล่าวให้ร้าย พระสงฆ์ในวัดว่ากระทาการไม่มียางอาย ทาทีว่าประพฤติพรหมจรรย์ แต่แอบทากรรมชั่วร้าย ข่มขืนนาง สุนทรปี ริพาชิกาแลว้ ก็ฆา่ นางท้งิ เสยี ชา่ งนา่ ละอายยิง่ นกั ชาวเมืองไม่ทราบเร่ืองราวแท้จริงได้ยินเข้า ต่างก็ โพนทะนาตา่ ง ๆ นานา พวกภกิ ษุท้งั หลายกลับจากบิณฑบาตในเมือง ทราบความอย่างน้ัน ก็กลับมากราบทูลให้พระผู้ มีพระภาคทรงทราบ จากน้ันก็ทรงแนะนาให้ภิกษุทั้งหลายอดทน ไม่เกิน ๗ วันเรื่องก็จะเงียบหาย และให้ ภิกษทุ ัง้ หลายกล่าวตอบไปแตเ่ พยี งว่า คนทชี่ อบกล่าวคาไม่จริง หรือคนท่ีทาความช่ัวแล้วกล่าวว่า ไม่ได้ทา ตา่ งก็ตกนรก ตายไปแล้วก็มคี ตเิ ท่าเทียมกันในโลกหนา้ วันหลังต่อมา ชาวบ้านได้ยินภิกษุกล่าวตอบเช่นนั้น ต่างก็กลับคิดได้ว่า สมณะเหล่านี้คงไม่ได้ ทาความผิด มิเช่นนั้นคงไม่พูดอย่างน้ัน เสียงโจษจึงเงียบหายไปภายใน ๗ วันตามท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัส เอาไวท้ ุกประการ ๑๔๑๔ ว.ิ ภกิ ฺขณุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๗/๕. ๑๔๑๕ วิ.ภิกฺขุณี.(ไทย) ๓/๖๖๕/๑๑. ๑๔๑๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๐๖/๑๒๘. ๑๔๑๗ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๓๘/๒๔๖.
๓๕๔ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๔๑๘ ระบุว่า หลังจากเกิดเรื่องราว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับส่ังให้หน่วย สบื ราชการลับออกหาข่าว กระทั่งในสุดก็ไปพบเหตุการณ์พวกโจรที่ฆ่านางสุนทรีกาลังกินเหล้าอยู่ พอเมา ได้ที่ต่างก็คุยอวดว่าตนเป็นคนลงมือฆ่านางอย่างนั้นอย่างนี้ ท้ังหมดจึงถูกจับ และนามาสอบสวนเค้นหา ความจริง พร้อมทั้งเค้นหาตัวผู้บงการ เม่ือความจริงถูกเปิดเผย พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้คนไปจับกุม เดียรถียเ์ หล่านนั้ มาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมอื ง สทุ โธทนะ, พระเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเป็นพุทธบิดา พระราชประวัติของพระองค์ประมวลมาพอสังเขป ดังตอ่ ไปน้ี พระเจ้าสุทโธทนะพระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสีหหนุกับพระนางกัญจนา มีพระ อนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระชนกชนนีอีก ๖ พระองค์๑๔๑๙ ได้แก่ สุกโกทนะ อมิโตทนะ โธโตทนะ ฆนิ โตทนะ ปมติ า และอมิตา พระเจ้าสุทโธทนะ มีพระอัครมเหสีนามว่าพระนางสิริมหามายา เจ้าหญิงโกลิยวงศ์จากกรุง เทวทหะ และมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งคือ เจ้าชายสิทธัตถะ ซ่ึงต่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจา้ และหลังจากพระสทิ ธัตถราชกุมารประสูติได้ ๗ วนั พระนางสิรมิ หามายากส็ วรรคต พระสุทโธทนะจึง อภิเษกสมรสใหม่กับพระนางมหาปชาบดีหรือโคตมี ซ่ึงเป็นพระกนิษฐาร่วมชนนีกับพระนางสิริมหา มายา และมพี ระโอรสคอื เจา้ ชายนนั ทะ และพระธดิ าคือ เจ้าหญงิ รูปนนั ทา พระเจ้าสุทโธทนะเปน็ กษตั รยิ ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมและยึดม่ันในราชประเพณีอย่าง เคร่งครัดในการปกครองบ้านเมือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงมุ่งหวังท่ีจะให้ เจ้าชายสิทธัตถะสืบราชบัลลังก์ต่อจากตน จึงทรงให้สร้างปราสาท ๓ หลังเพ่ือเป็นที่ประทับแก่เจ้าชาย พร้อมทั้งให้บาเรอด้วยกามคณุ ทงั้ หลาย แต่เจ้าชายสิทธัตถะกลับน้อมพระทัยในการบรรพชา และได้เสด็จ ออกผนวชแสวงหาโมกขธรรมในเวลาต่อมา กระทั้งได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพอทราบว่า เจา้ ชายสิทธัตถะได้บรรลสุ ัมมาสมั โพธิญาณแล้ว จึงสง่ ทูตไปอญั เชญิ พระศาสดากลับมาทก่ี รุงกบลิ พัสดุ์ พระบรมศาสดาเสด็จมายังกรุงกบิลพัสด์ุคราวนี้ ในวันท่ี ๒ ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุง กบิลพัสด์ุ พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวก็เสด็จไปหา ตรัสว่า การท่ีพระพุทธองค์เสด็จเท่ียวบิณฑบาต อย่างน้ี ทาให้พระองค์ละอายยิ่งนัก แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า การบิณฑบาตนั้นเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้า ทง้ั หลาย จากนั้นก็ตรสั พระคาถาเรือ่ งการไม่ประมาทในบิณฑบาต เปน็ ตน้ จบพระคาถาพระเจ้าสุทโธทนะ ได้บรรลุโสดาบนั คร้ันเมื่อพระพทุ ธเจ้าเสด็จเข้านิเวศน์ ก็ได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นต้นว่า พึง ประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมให้ทุจริต เป็นต้น คราวน้ีพระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลุ สกทาคามผิ ล วันต่อมากไ็ ด้สดับธรรมปาลชาดก ได้ทรงบรรลุอนาคามิผล และก่อนท่ีพระเจ้าสุทโธทนะจะ สวรรคต ก็ทรงบรรลุพระอรหัตผลในทีส่ ุด๑๔๒๐ ๑๔๑๘ ข.ุ อ.ุ อ.(ไทย) ๑/๓/๔๖๑. ๑๔๑๙ ม.ม.ู อ.(ไทย) ๑/๒/๑๔๕. ๑๔๒๐ ว.ิ อ.(ไทย) ๓/๑๐๕/๗๑-๗๒.
๓๕๕ อนึง่ พระเจ้าสทุ โธทนะ เปน็ ผูท้ ีข่ อพรจากพระพุทธเจ้า ห้ามพระสงฆ์บวชกุลบุตรที่บิดามารดา ไม่อนุญาต๑๔๒๑ ท้ังน้ีเนื่องจากพระองค์ได้ประสบความทุกข์อย่างหนักจากการท่ีพระพุทธเจ้าออกผนวช และตอ่ มาเจา้ ชายนันทะ และเจ้าชายราหลุ ก็ออกผนวชอีก ทาใหข้ าดรชั ทายาททจ่ี ะสบื ต่อราชบัลลังก์ สุทัตตะ,เศรษฐี สุทัตตเศรษฐี เป็นนามเดิมของอนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นชาวเมืองสาวัตถี เหตุได้ช่ือว่าอนาถ ปิณฑกเศรษฐีเพราะ มักมีปกติสงเคราะห์คนอนาถาด้วยก้อนข้าว๑๔๒๒ ท่านได้ตั้งโรงทานช่วยเหลือคนตก ทุกข์ไดย้ ากเป็นประจาทุกวนั สว่ นสาเหตุทไี่ ด้นามว่า สุทัตตะ เพราะเห็นว่า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยประสงค์ทุก อย่าง๑๔๒๓ ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุโสดาบัน สร้างพระวิหารเชตวันถวายพระพุทธเจ้า และได้ทาการอุปถัมภ์พระสงฆ์ตลอดชั่วชีวิตของท่าน ท่านจึงมีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า เหล่าพระ สาวกท้ังหลาย แม้พระพุทธเจ้าเองก็ประทับจาพรรษาท่ีวัดพระเชตวันถึง ๑๙ พรรษา มากกว่าวัดใด ๆ ท่ี สร้างขึ้นในสมยั พทุ ธกาล เรื่องราวของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี มปี รากฏมากมายในคมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องราว ท่แี สดงถงึ ความศรัทธา ความมสี ติปัญญา และความเอาใจใส่ในการบารุงพระพุทธศาสนา ทาให้ท่านได้รับ ยกยอ่ งจากพระพทุ ธเจ้าใหเ้ ป็น อบุ าสกผู้เลิศในการเปน็ ผู้ถวายทาน ในอนาถปิณฑิกวัตถุ๑๔๒๔ พรรณนาถึงการได้พบพระพุทธเจ้าของอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นครั้ง แรกว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นน้องเขยของเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งเดินทางไปเมืองราชคฤห์ด้วย กจิ บางอย่าง เหน็ เศรษฐชี าวกรงุ ราชคฤห์กาลังจัดแจงงานต่างๆ ให้ทาสกรรมกรอยู่ เกิดความสงสัยว่ากาลัง จะมีงานอะไร เม่อื ทราบขา่ ววา่ เศรษฐชี าวเมืองราชคฤห์เตรียมจะเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวนั พร่งุ น้ีกย็ ้าถามดว้ ยความตืน่ เต้นถึง ๓ ครั้ง แสดงความปรารถนาที่จะขอเข้าเฝ้าในเวลาน้ันให้ได้ แต่ก็ ถูกห้ามไว้ว่ายังไม่ใช่เวลาท่ีเหมาะสม ต้องรอให้ถึงรุ่งเช้าก่อน คืนนั้นจึงได้แต่นอนนึกถึง ลุกตื่นกลางดึกถึง ๓ ครั้ง เพราะเขา้ ใจวา่ สวา่ งแลว้ คร้ันเวลาใกล้รุ่งสาง จึงได้เดินฝ่าความมืดเข้าป่าสีตะวัน เพื่อเข้าเฝ้าแต่เพียงลาพัง เมื่อไปถึง พระผมู้ ีพระภาคก็ตรัสเรียก “มาเถิดสุทัตตะ” ทาให้อนาถปิณฑิกเศรษฐีดีใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ตน จงึ ได้เขา้ เฝ้าถงึ ทีป่ ระทบั ซบศรี ษะลงแทบพระบาทแล้วก็ทูลถามว่า ทรงประทบั อยเู่ ปน็ สุขดีหรือ พระผู้ มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า ผู้ดับกิเลสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขทุกเมื่อ ผู้ไม่ติดในกาม ย่อมเยือกเย็น ผู้ตัดเคร่ือง ข้องได้แล้ว ย่อมไม่มีความกระวนกระวายใจ จากน้ันจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ แก่อนาถปิณ ฑิกเศรษฐี สิ้นพระธรรมเทศนา อนาถปิณฑิกเศรษฐีได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน อนึ่ง หลังจากกลับเมืองสาวัตถีแล้ว อนาถปิณฑิกเศรษฐีก็ได้ดาหริ ชักชวนมิตรสหายสร้างวัด พระเชตวัน เตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยขอซื้อที่ดินของเจ้าเชตราช กมุ าร ซง่ึ ตง้ั อยู่ไม่ห่างจากหมูบ่ า้ นมากนกั เป็นทาเลท่ีเหมาะสม แม้จะถูกเจ้าเชตวางเงื่อนไขหลายประการ นับต้ังแต่วัดท่ีสร้างข้ึนมาใหม่ ต้องใช้ชื่อของเจ้าเชตราชกุมาร ทุกตารางน้ิวของที่ดินท่ีจะซื้อ ต้องนา กหาปณะไปโรยให้เต็มพน้ื ท่ี เป็นต้น แต่ด้วยความศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ก็ยินยอมรับเงื่อนไขทุกประการ ๑๔๒๑ วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๐๕/๑๖๗. ๑๔๒๒ ม.ม.ู อ.(ไทย) ๑/๑/๑๔๙. ๑๔๒๓ ข.ุ ปฏ.ิ อ.(ไทย) ๗/๒/๒๘๓. ๑๔๒๔ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๐๔/๑๑๑.
๓๕๖ ทาให้งานสร้างวัดสาเร็จลุล่วงตามความประสงค์ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๔๒๕ ระบุว่า เศรษฐีใช้ทรัพย์ ดาเนนิ การทง้ั ส้ิน ๕๔ โกฏิ โดยแบ่งเป็นค่าท่ีดิน ๑๘ โกฏิ ค่าก่อสร้างเสนาสนะ ๑๘ โกฏิ ค่าทาการฉลอง อกี ๑๘ โกฏิ๑๔๒๖ ใช้เวลาในการฉลองถึง ๙ เดอื น๑๔๒๗ ไดถ้ วายทานต่าง ๆ หาประมาณมิได้ ในอรรถถกถา มัชฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์๑๔๒๘ จึงมีข้อความกล่าวยกย่องอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า ไม่มีใครทัดเทียมในเรื่อง ของการบริจาคทรัพยอ์ ุทศิ พระพทุ ธเจ้า มิใชเ่ ฉพาะเรอ่ื งการบรจิ าคทานเทา่ นนั้ แต่อนาถปิณฑิกเศรษฐี หลังจากที่ได้บรรลุโสดาบันแล้ว ท่านรักษาศีล ๕ ไม่มีขาด ท้ังภรรยา บุตร ธิดา ทาส กรรมกร คนทางานรับจ้างของท่าน พากันรักษาศีล เหมือนกันหมดทุกคน กระท่ังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐีตนเองก็สะอาด บริวารกส็ ะอาดประพฤตธิ รรมอยู่๑๔๒๙ จากหลักฐานในอนาถปิณฑิกสูตร๑๔๓๐ และในปฐมอนาถปิณฑิกสูตร๑๔๓๑ ทุติยอนาถปิณฑิก สตู ร ๑๔๓๒ ให้ข้อมูลเพ่ิมเตมิ วา่ ส่วนตวั แลว้ อนาถปณิ ฑิกเศรษฐี มีความสนิทสนม และเคารพนับถือพระสา รีบุตรเป็นกรณีพิเศษ เห็นได้จากคราวหน่ึงเม่ือท่านป่วยหนัก ท่านก็ส่งคนใช้ไปกราบเรียนให้พระสารีบุตร มาอนเุ คราะหท์ ี่บา้ น พระสารบี ตุ รกเ็ ขา้ ไปเยี่ยมอาการอนเุ คราะห์ตามประสงค์ พร้อมท้ังถือโอกาสแจกแจง องคเ์ ครอื่ งบรรลโุ สดาบันด้วยอาการ ๑๐ ประการให้อนาถปิณฑิกเศรษฐีฟัง กระทั่งหายจากอาการอาพาธ แมใ้ นยามทม่ี ชี ีวติ หาไมแ่ ล้ว ได้ไปบังเกดิ เปน็ เทวดาดว้ ยอานิสงส์แหง่ บญุ กุศลทไี่ ด้บาเพ็ญมาดีแล้ว ท่านก็ยัง ลงมาสรรเสรญิ คณุ ของพระสารบี ตุ ร แนะนาให้คนคบหาพระสารบี ตุ รจะได้ประโยชนส์ งู สุด สธุ รรมเถระ,พระ พระสุธรรมปรากฏช่ือในจูฬวรรลแห่งพระวินัยปิฎก๑๔๓๓ ความระบุว่า ท่านเป็นพระนัก กอ่ สร้าง รับภตั ตาหารประจาในอาวาสของจิตตคหบดี เมืองมัจฉิกาสณฑ์ โดยทุกครั้งที่จิตตคหบดีต้องการ นมิ นต์สงฆ์ คณะ หรือบคุ คล จะตอ้ งเรียนรายงานใหพ้ ระสุธรรมทราบก่อนเสมอ แต่อยู่มาวันหน่ึงพระเถระ ช้นั ผู้ใหญม่ ีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ พระมหากัปปินะ เป็นต้นมาถึง คหบดี ทราบขา่ วจงึ ได้เขา้ ไปหา และนิมนตพ์ ระเถระเหลา่ น้นั ฉนั ภัตตาหารที่อาวาสของตนในวันรุ่งข้ึน จากนั้นจึง เข้าไปหาพระสุธรรมเพ่อื นมิ นต์รับภัตตาหารในวนั รงุ่ ขนึ้ เช่นกนั ครั้งนี้พระสุธรรมมีอาการเคืองจิตตคหบดี ด้วยทราบภายหลังว่า มีการนิมนต์พระเถระ เหลา่ นั้นโดยที่ไม่บอกตนล่วงหน้าเหมอื นอยา่ งท่ีเคยปฏิบตั มิ า จึงไม่ยอมรบั นิมนต์ แม้จะได้รับการอ้อนวอน ถึง ๓ ครั้ง แต่พระสุธรรมก็ยังยืนยันไม่รับนิมนต์ จิตตคหบดีไม่รู้จะทาประการใด ก็ได้แต่ทาความเคารพ แลว้ กห็ ลกี ไป ๑๔๒๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๙. ๑๔๒๖ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๕๐. ๑๔๒๗ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๖๐. ๑๔๒๘ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๒/๔๓๓. ๑๔๒๙ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๗๔. ๑๔๓๐ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๐๑/๑๐๗. ๑๔๓๑ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๒/๕๓๖. ๑๔๓๒ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๓/๕๔๐. ๑๔๓๓ วิ.จู.(ไทย) ๖/๓๓/๖๕.
๓๕๗ ครน้ั ถงึ เวลารุง่ เชา้ พระสุธรรมมคี วามประสงคจ์ ะดูว่า จิตตคหบดีจดั เตรียมภตั ตาหารเรียบร้อย หรอื ยัง จงึ ไดล้ กุ ไปแตเ่ ช้าตรู เม่ือไปถึงจิตตคหบดีก็ถวายการต้อนรับ ในช่วงตรวจตราภัตตาหารอยู่น้ันเอง พระสุธรรมก็พูดข้ึนทานองว่า ของครบทุกอย่าง ขาดแต่ “ขนมแดกงา” ทาให้จิตตคหบดีพูดออกไปว่า พระพุทธพจน์มีอยู่มากมาย แต่ท่านกลับพูดถึงขนมแดกงา จากนั้นก็เปรียบเปรยเร่ืองพ่อค้านาแม่ไก่มา ผสมพันธุ์กับกา เม่ือลูกออกมา เวลาจะร้องอย่างกา ก็ร้องผสมเสียไก่ เวลาขันอย่างไก่ ก็ขันผสมเสียงกา ทานองเดียวกันกับเรื่อง “ขนมแดกงา” พระสุธรรมได้ยินจิตตคหบดีเปรียบเปรยเช่นน้ัน ก็แสดงอาการไม่พอใจ หาว่าจิตตคหบดีด่า กระทบตัวเอง จึงลาออกจากเจ้าอาวาส พร้อมกับบอกคืนเสนาสนะท่ีเคยดูแลท้ังหมด แม้จะได้รับการ ขอร้องจากจิตตคหบดีถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ฟัง เก็บบาตรจีวรออกจากวัดไปมุ่งหน้าไปเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าพระผู้ มีพระภาค พระผูม้ พี ระภาคทราบเร่ืองราวท้ังหมดแล้ว ก็ทรงตาหนิพระสุธรรมว่ากระทาการไม่เหมาะสม ส่งั ใหส้ งฆ์ลงปฏิสารณยี กรรมแกพ่ ระสธุ รรม โดยสัง่ ให้ไปขอขมาจิตตคหบดี ในอรรถกถาธรรมบท๑๔๓๔ ระบุ วา่ ครั้งที่ ๑ และคร้ังที่ ๒ จิตตคหบดไี มย่ อมยกโทษให้ คร้ังที่ ๓ พระพุทธเจ้าจึงให้อุบายโดยส่งภิกษุอนุทูต ไปด้วย จติ ตคหบดจี ึงยอมยกโทษให้ พระสุธรรมกค็ ลายมานะทิฏฐิ และได้บรรลพุ ระอรหันต์ในเวลาต่อมา อน่ึง ในอรรถกถาธรรมบท๑๔๓๕ ระบุว่า จิตตคหบดีผู้นี้ เลื่อมใสในพระมหานามะ ๑ ในปัญจ วัคคีย์ เกดิ ความเล่ือมใส จึงได้ถวายอาหารบณิ ฑบาต และไดฟ้ ังธรรมจากท่าน ได้บรรลุเป็นโสดาบัน ต่อมา ได้สร้างวัดอัมพาฏกวันถวาย มีพระสุธรรมเถระเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาอัครสาวกทั้ง ๒ ได้ทราบเกียรติคุณ ของจิตตคหบดี จึงไดไ้ ปโปรดคหบดกี ระทัง่ ได้บรรลุเป็นอนาคามี สุนักขตั ตะ,เจ้าลิจฉวี สุนักขัตตะ เป็นบุตรของเจ้าลิจฉวี๑๔๓๖ ในคัมภีร์ระบุไว้ว่า เคยเข้ามาบวชในธรรมวินัย ประพฤติพรหมจรรย์อยู่พักหน่ึง และเคยทาหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่พักหนึ่ง แต่ต่อมาไม่พอใจพระผู้มี พระภาค จึงได้ลาสิกขา คร้ันลาสิขาไปแล้วก็กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าไม่มีญาณทัศนะที่ประเสริฐ ธรรมท่ีทรงแสดงก็ได้มาด้วยการตรึกตรองคิดค้น๑๔๓๗ ในปาฏิกสูตร๑๔๓๘ ระบุว่า สาเหตุที่สุนักขัตตะไม่ พอใจและบอกคืนสิกขาสาเหตุเพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ได้แสดงทฤษฎีกาเนิดโลก ตามคากราบทูล ในคัมภีร์อรรถกถา๑๔๓๙ ระบุว่า สุนักขัตตะน้ี เมื่อตอนบวช ได้สาเร็จทิพจักขุญาณ แต่ไม่ สามารถบาเพ็ญบริกรรมเพ่ือได้ทิพยโสต เพราะในอดีตชาติเคยตีกกหูภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่ง เป็นเหตุให้ภิกษุ รูปนน้ั หหู นวก เม่ือไปขอเรียนบรกิ รรมเพ่ือไดท้ พิ ยโสต พระผมู้ ีพระภาคทรงพิจารณาเห็นบุพกรรมน้ันจึงไม่ ทรงสอนให้ เขาจึงผูกอาฆาตในพระศาสดา และบอกคนื สกิ ขาบท สุปปติตะ,พทุ ธบดิ า ๑๔๓๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๔๖. ๑๔๓๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๔๖. ๑๔๓๖ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๘/๑๓๔๔/๓๙๐. ๑๔๓๗ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๑๔๖/๑๔๑. ๑๔๓๘ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓/๒. ๑๔๓๙ ที.ส.ี อ.(ไทย) ๑/๒/๑๐๖.
๓๕๘ พระเจา้ สปุ ปติตะ เป็นพทุ ธบิดาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ทรงมพี ระมเหสีพระนาม วา่ ยสวดี ครองกรงุ อโนมะ๑๔๔๐ สุปปพทุ ธะ ชอื่ สุปปพุทธะปรากฏในคัมภรี พ์ ระไตรปิฎก ๒ สถานะ ได้แก่ ๑. สปุ ปพทุ ธะผเู้ ปน็ โรคเรอ้ื น นายสุปปพุทธะผู้เป็นโรคเร้ือน ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๔๔๑ และในขุททกนิกาย อุทาน๑๔๔๒ ความระบุว่า นายสุปปพุทธะ เป็นโรคเร้ือน ซ้ายังยากจน กาพร้ายากไร้ ในอรรถกถาสังยุตต นกิ าย๑๔๔๓ ระบุรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ว่า สาเหตทุ ่ชี อื่ สปุ ปพทุ ธะเพราะทาคนนอนสบายให้ตื่น กล่าวคือ ด้วย ความท่เี น้ือตัวเตม็ ไปด้วยนา้ เหลอื งไหล ได้รับทุกขเวทนา อาศัยตรอกนอนร้องโหยหวนตลอดคืน ด้วยเสียง ร้องนนั้ เอง ทาใหพ้ วกมนษุ ยใ์ นทกุ ถนนไม่ได้นอนตลอดคนื สมัยต่อมา พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กรงุ ราชคฤห์ ชาวเมอื งนิมนต์ได้ถวายทานฉลองมหามณฑป นาย สุปปพุทธะได้เข้าไปยังโรงทาน ครั้นบริโภคอิ่มแล้ว มีจิตเป็นอารมณ์เดียว เห็นคนกาลังนั่งฟังธรรม ก็ ปรารถนาจะฟงั ธรรมบ้าง จงึ ไดน้ ่งั ลง ณ ทีส่ มควรขา้ งหนึ่ง เพ่ือฟังธรรมเทศนา๑๔๔๔ พระผู้มีพระภาค ทรงเห็นอุปนิสัยของเขา จึงได้ตรัสอนุปุพพีกถา เม่ือทรงเห็นว่าเขามีจิตใจ อ่อนโยนแล้ว จึงได้ตรัสอริยสัจ ๔ ส้ินพระธรรมเทศนา สุปปพุทธะชายโรคเร้ือนก็ได้บรรลุโสดาบัน ประกาศตนขอถึงพระรัตนตรยั ตลอดชวี ิต จากนน้ั ก็ไดก้ ราบลาพระพุทธเจ้าแล้วก็หลีกไป แต่ไปได้ไม่ไกล ก็ ถูกโคแมล่ กู ออ่ นขวิดตาย ในคัมภีร์ระบุต่อไปอีกว่า สาเหตุที่ทาให้สุปปพุทธะเป็นโรคเร้ือนก็เพราะในอดีตชาติ เห็น ปัจเจกพุทธเจ้าเดินบิณฑบาตอยู่ ไม่พอใจด่าว่าขี้เรื้อน แล้วก็ถ่มน้าลายแสดงอาการรังเกียจ ผลแห่งกรรม น้นั ทาให้เขาถึงทคุ ติอยู่ในนรกหลายแสนปี เม่อื วิบากกรรมยังไมส่ ้ิน ได้มาบังเกิดในกรุงราชคฤห์ ในรูปคนขี้ เร้ือน ยากไร้ แตด่ ว้ ยกศุ ลธรรมที่เคยทาไว้ ก็สง่ ผลให้ได้บรรลโุ สดาบนั อนึ่ง ในอรรถกถาธรรมบทระบุว่า๑๔๔๕ นายสุปปพุทธะ ครั้นได้บรรลุโสดาบันแล้ว ปรารถนา จะแสดงตนให้พระผู้มพี ระภาคเจ้าทราบ แตไ่ มไ่ ดโ้ อกาส จงึ ได้หลบออกไป คร้ันเห็นว่าปลอดคนพอสมควร แล้ว ก็ได้เข้าไปยังวิหาร ระหว่างนั้นได้ถูกท้าวสักกะทดสอบ จึงได้ไปปรากฏตรงหน้า ขอให้เขาพูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ โดยย่ืนขอเสนอว่าจะให้ สมบตั ิทุกอย่างที่ปรารถนา แตเ่ ขาหาได้ทาตามไม่ พร้อมทั้งกล่าวตาหนิท้าวสักกะเป็นอันธพาล ไร้ยางอาย ท้าวสักกะได้ยินเช่นน้ันก็นาเร่ืองราวไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรับรอง ว่า เวลานี้ ไมม่ ีใครสามารถเปลยี่ นใจสปุ ปพุทธะพูดอย่างน้นั ไดแ้ ลว้ ๒. สปุ ปพุทธะผ้เู ป็นเจ้าศากยะ ๑๔๔๐ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๑๔๔๑ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๖๖/๔๗. ๑๔๔๒ ขุ.อุ.(ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๕. ๑๔๔๓ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๕๐๐. ๑๔๔๔ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๕๐๑. ๑๔๔๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๑๙๔.
๓๕๙ เจ้าศากยะสุปปพุทธะ ปรากฏในขุททนิกาย ธรรมบท ๑๔๔๖ ความในอรรถกถา๑๔๔๗ มี รายละเอียดเพ่ิมเติมว่า เจ้าสุปปพุทธะมีความแค้นพระศาสดา เพราะทรงทิ้งพระนางยโสธราซึ่งเป็น พระธิดาของตนออกผนวช วันหนึ่งจึงทรงนั่งเสวยน้าจันฑ์ขวางทางบิณฑบาต พร้อมกับตรัสท้าทายว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นใหญ่กว่าตนเอง แม้พวกมหาดเล็กจะกราบทูลเตือน ก็หารับฟังไม่ ด้วยผลกรรมที่ ทรงทาคร้ังน้ี ทาใหส้ ปุ ปพทุ ธะถกู ธรณสี บู สิ้นพระชนม์ในวนั ท่ี ๗ หลังจากเกดิ เหตุการณค์ ร้งั นนั้ ในคัมภีร์ระบุไว้ด้วยว่า ทรงพยากรณ์ว่า กรรมท่ีเจ้าสุปปพุทธะขวางทางบิณฑบาต จะทาให้ ถกู ธรณีสูบภายใน ๗ วนั เจา้ สปุ ปพทุ ธะทราบเรอ่ื งแทนทจ่ี ะสานึก กลบั ท้าทายจะจับเทจ็ พระดารัสให้จงได้ จึงได้ขึน้ ไปอยู่ปราสาทชั้นที่ ๗ พรอ้ มทั้งใหค้ นปดิ ประตู ต้ังคนรักษาประตไู วอ้ ย่างหนาแน่น พระศาสดาทราบเรอื่ งน้ันกต็ รสั กับภิกษุทั้งหลายว่า ต่อให้เจ้าสุปปพุทธะเหาะอยู่ในอากาศ น่ัง อยบู่ นเรอื หรือเข้าไปอยใู่ นซอกเขาก็ตาม ก็ไม่พ้นจากการถูกธรณีสูบ ซึ่งก็เป็นตามพุทธะดารัสทุกประการ เพราะในวันท่ี ๗ ม้าทรงของเจ้าสุปปพุทธะเกิดพะยศข้ึนมา ไม่มีใครจัดการได้ ทาให้ต้องทรงลงมาจัดการ ด้วยพระองค์เอง แต่พอพระบาทเหยียบลงบนพ้ืนเท่าน้ัน ธรณีก็เปิดช่องรับพระองค์สิ้นพระชนม์ที่เชิงบัน ใดนนั่ เอง สุปปวาสา, โกลยิ ธดิ า นางสุปปวาสา เป็นธิดาเจ้าเมืองโกลิยนคร เม่ือเติบใหญ่ ได้อภิเษกกับพระเจ้ามหาลิลิจฉวี มี พระราชโอรส ๑ พระองค์ ซ่ึงต่อมาได้ออกผนวช ปรากฏนามว่า พระสิวลี๑๔๔๘ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มี ลาภมาก ในสุปปวาสาสูตร๑๔๔๙ พรรณนาเรื่องราวพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพระนางสุปป วาสา เม่ือพระนางสุปปวาสาถวายภัตตาหารอันประณีตแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุโมทนาว่า อริย สาวิกาผู้ใหโ้ ภชนะชอื่ ว่าใหฐ้ านะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก คอื อายุ วรรณะ สุขะ และพละ ครั้นให้แล้ว ย่อม เปน็ ผู้ส่วนไดอ้ ายุ วรรณะ สขุ ะ และพละอันเป็นทพิ ย์ ในสุปปวาสาสูตร แห่งขุททกนิกาย๑๔๕๐ ระบุว่า นางสุปปวาสาทรงพระครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ วนั ได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก จึงได้ฝากพระสวามีไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระ ภาคคร้ันทรงทราบแล้วก็ตรัสขอให้พระนางสุปปวาสามีความสุข อย่าได้มีโรค ประสูติพระโอรสผู้ไม่มีโรค และด้วยพระดารสั นี้ ทาให้นางสปุ ปวาสาหายจากโรค และประสูติพระโอรสผู้ไม่มีโรค หลังจากได้รับความ สวัสดีแล้ว พระนางก็ได้กราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มารับภัตตาหารในเรือนตลอด ๗ วนั ช่วงหนง่ึ พระพุทธเจ้าตรัสถามนางสุปปวาสาว่า ตลอดคลอดสีวลีได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก เวลานี้ยัง ทรงต้องการมีพระโอรสอีกหรือไม่ เมื่อนางสุปปวาสากราบทูลว่ายังปรารถนาจะได้พระโอรสอีก ๗ พระองค์ จงึ ทรงเปล่งอุทานว่า สิ่งท่ีไม่น่ายินดี ย่อมครอบงาคนผู้ประมาทด้วยอาการท่ีน่ายินดี ส่ิงไม่น่ารัก ย่อมครอบงาคนผู้ประมาทด้วยอาการที่น่ารัก สิ่งท่ีเป็นทุกข์ ย่อมครอบงาคนผู้ประมาทด้วยอาการท่ีเป็น สขุ ๑๔๔๖ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๘/๗๑. ๑๔๔๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๖๑. ๑๔๔๘ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๘๑/๓๐๐. ๑๔๔๙ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๕๗/๙๕. ๑๔๕๐ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๑๘/๑๙๙.
๓๖๐ นางสุปปวาสา ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เลิศกว่าอุบาสิกา สาวิกาผู้ถวายรสอัน ประณตี ๑๔๕๑ สปุ ปิยะ,อุบาสก สุปปิยะอุบาสก ปรากฏช่ือในพระวินัยปิฎก๑๔๕๒ ตอนว่าด้วยการทรงห้ามฉันเน้ือมนุษย์ ความ ระบุว่า สุปปิยะอุบาสก และอุบาสิกาช่ือสุปปิยาผู้เป็นภรรยาเป็นคนมีศรัทธา เป็นผู้บารุงพระสงฆ์ในกรุง พาราณสี วันหน่ึงภรรยาไปที่อาราม ไดส้ อบถามภกิ ษไุ ข้ว่า ปรารถนาสง่ิ ไดให้บอก จะได้นามาถวาย เวลานั้นมีภิกษุรูปหน่ึงฉันยาถ่าย จึงได้บอกอุบาสิกาว่า ตนฉันยาถ่าย ต้องการน้าต้มเน้ือ อบุ าสิการับปากวา่ จะนาเน้ือมาถวายเป็นพิเศษ หลังจากนั้นกลับไปบ้านสั่งให้คนใช้ไปหาซื้อเน้ือ แต่วันน้ัน เปน็ วนั หา้ มฆ่าสตั ว์ หาซ้ือเนอื้ ไม่ คนใชจ้ ึงกลับมารายงานตามความเป็นจรงิ อุบาสิกาคิดว่า ถ้าภิกษุไข้ไม่ได้ ฉันน้าต้มเน้ือ อาพาธอาจกาเริบมรณภาพได้ ตนเองรับปากแล้วไม่จัดหาไปถวายก็ไม่เหมาะสม จึงได้หยิบ มีดเฉอื นเนื้อขาอ่อนของตนให้คนใชน้ าไปถวาย ส่วนตนเองกเ็ อาผา้ พนั แผลนอนอยู่บนเตยี ง สุปปิยะอุบาสก เมื่อไม่เห็นสุปปิยาอุบาสิกก็ถามหา ครั้นทราบความท้ังหมดแล้วเกิดความร่า เริงยินดีว่า นางสุปปิยามีศรัทธาถึงกับสละเน้ือตนเอง ส่ิงอื่นใดทาไมนางจะทาไม่ได้ จากนั้นจึงได้เข้าเฝ้า กราบทูลพร้อมกบั กราบทูลนิมนต์ให้มารบั ภัตตาหารในวนั พร่งุ ครนั้ ถึงเวลารุ่งเช้าวนั ใหม่ พระผู้มีพระภาคก็ได้เสด็จไปยังเรือนของสุปปิยะอุบาสก เมื่อไปถึงก็ ตรสั ถามหานางสุปปิยา ทรงให้คนพยงุ นางมา ทนั ทีที่นางได้เหน็ พระพุทธเจ้าเท่านั้น แผลก็หายเป็นปกติ มี ผิวเรยี บสนิท ทาให้ท้ังสุปปิยะ และนางสุปปิยาต้ืนตันใจ ต่างช่วยกันจัดแจงภัตตาหารอันประณีตมาถวาย แด่พระสงฆม์ ีพระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน หลังจากวันนั้นมา พระพุทธเจ้าก็รับส่ังเรียกประชุมสงฆ์ ตรัสสอบถามหาภิกษุต้นเหตุที่ออก ปากขอเนื้อ จากน้ันก็ตรัสสอบสวนความเป็นมาทั้งหมด พร้อมกับทรงตาหนิภิกษุไข้รูปนั้นว่า ฉันเน้ือโดย ไม่ได้พิจารณา รู้ตัวหรือไม่ว่าฉันเน้ือมนุษย์เข้าไปแล้ว การกระทาคร้ังนี้จะเป็นเหตุให้คนเส่ือมศรัทธา หลังจากทรงตาหนแิ ลว้ ก็วางบทบัญญัตหิ ้ามภิกษฉุ นั เน้อื มนษุ ย์ รูปใดฉันตอ้ งอาบัติทกุ กฎ๑๔๕๓ สปุ ปิยา, อุบาสิกา นางสุปปิยา เป็นอุบาสิกาผู้มีความเล่ือมใสอย่างย่ิงในพระรัตนตรัย นางภรรยาของสุปปิยะ อบุ าสก เคยเฉือนเน้ือตวั เองถวายภกิ ษุอาพาธครงั้ หน่ึง กระทั่งเป็นเหตุให้พระพทุ ธเจ้าบัญญัติสิกขาบทห้าม ฉันเนื้อมนุษย๑์ ๔๕๔ ดูสปุ ปยิ ะอุบาสก สุพาหุ, พระ พระสุพาหุ เป็น ๑ ใน ๔ คนผู้เป็นสหายของพระยสะ และออกบวชตามพระยสะ ประกอบด้วย วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ ทั้งหมดเป็นบุตรตระกูลเศรษฐีใหญ่น้อยในกรุงพาราณ สี๑๔๕๕ ท้ังหมดได้ฟังอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วจึงได้ขอ ๑๔๕๑ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๖๓/๓๓. ๑๔๕๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๘๐/๘๐. ๑๔๕๓ วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๘๐/๘๓. ๑๔๕๔ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๘๐/๘๓. ๑๔๕๕ วิ.ม.(ไทย) ๔/๓๐/๓๗.
๓๖๑ บรรพชาอุปสมบทในสานักของพระพุทธเจ้า คร้ันบวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์ ทาให้มีพระ อรหันต์เกิดขนึ้ ในโลกเวลานัน้ จานวน ๑๑ รปู ในขุททกนิกาย เถรคาถา๑๔๕๖ มีระบุถึงภาษิตของพระสุพาหุ ได้กล่าวไว้เป็นคาถาว่า “ฝนตก ลงมา เสียงดังกระหึ่มคล้ายเสียงเพลงอันไพเราะ กุฎีของเราสบาย มุงบังมิดชิดดี จิตเราต้ังม่ันดีแล้ว ถ้า ต้องการจะตกก็จงตกลงมาเถดิ ฝน” สภุ ทั ทะ,พระ พระสุภัททะ เป็นภิกษุบวชตอนแก่ เม่ือพระศาสดาปรินิพพาน ได้นั่งอยู่ในที่ประชุมกล่าวกับ ภิกษทุ ั้งหลายวา่ พอทีเถดิ พวกทา่ นอยา่ โศกเศร้า อย่าครา่ ครวญเลย พวกเรารอดพ้นดีแล้วจากมหาสมณะ รูปน้ันทค่ี อยจาจ้ีจาไชพวกเราอย่วู า่ สง่ิ นคี้ วรแก่พวกเธอ สง่ิ น้ีไม่ควรแกพ่ วกเธอ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่ง ใด ก็จักทาสิ่งน้นั ไมป่ รารถนาสิ่งใด กจ็ ักไม่ทาส่ิงนั้น๑๔๕๗ คาพูดของพระสุภัททะคร้ังนั้น ถือเป็นการดูหมิ่นพระธรรมวินัย และเป็นมูลเหตุให้พระ มหากัสสปะเกิดความสังเวชสลดใจ หากปล่อยไว้ จะทาให้เสียหายต่อพระศาสนาในภายภาคหน้า จึงได้ ชักชวนสงฆท์ าสังคายนาเปน็ คร้งั แรก ภายหลังพุทธปรนิ พิ พานแลว้ ได้ ๓ เดอื น สุภัททะ, ปรพิ พาชก สุภัททปริพาชก เป็นชาวเมืองกุสินารา ถือเป็นภิกษุรูปสุดท้ายที่ได้บวชทันเห็นพระพุทธเจ้า ความในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๔๕๘ ระบุว่า สุภัททะทราบข่าวการเสด็จเมืองกุสินาราของพระพุทธเจ้าเพ่ือ ปรินิพพาน มีความประสงค์จะทูลถามปัญหาข้อสงสัยบางประการ จึงได้ขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะทรง บรรทมอยู่บนแท่นปรินิพพาน โดยเบื้องต้นได้ถูกพระอานนท์ขัดขวาง ไม่ยอมให้เข้า เพราะจะเป็นการ รบกวนพระองคม์ ากจนเกนิ ไป สุภัททะพยายามอ้อนวอนพระอานนท์อยู่ถึง ๓ ครั้ง แต่พระอานนท์ก็ไม่ยินยอม กระท่ังเสียง เจรจาของทั้งสองดังถึงพระกรรณ จงึ ตรสั บอกพระอานนท์อนญุ าตให้สุภัททะเขา้ มา สภุ ัททะครัน้ เข้ามาแล้ว กก็ ราบทูลปญั หาเร่ืองความรู้ของเจ้าลัทธิครูทั้ง ๖ ว่า ใครรู้แท้ รู้เทียม พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นคาถามท่ีไม่มีประโยชน์ จึงตรัสตอบไปว่า ธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมวนิ ัยนั้นยอ่ มไมม่ โี สดาบนั สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ธรรมวินัยของพระองค์มีอริยมรรคมี องค์ ๘ เพราะฉะน้ัน โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์จะมีอยู่เฉพาะในธรรมวินัยของ พระองค์เท่านั้น จากน้ันก็ทรงตรัสรับรองว่า หากภิกษุทั้งหลายเป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระ อรหันต์๑๔๕๙ สุภัททะได้ฟังพระดารัส เกิดความเล่ือมใสขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสเง่ือนไขว่า ผู้เป็นเดียรถีย์ถ้าจะบวชต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือนก่อน จึงจะบวชได้ สุภัททะได้ แสดงความประสงค์อย่างแรงกลา้ ขออยู่ปรวิ าส ๔ ปี เมือ่ ครบแล้ว ถ้าสงฆ์พอใจอนุญาตใหบ้ วชจงึ จะบวช ๑๔๕๖ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๕๒/๓๒๒. ๑๔๕๗ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๖. ๑๔๕๘ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๒/๑๖๐. ๑๔๕๙ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๔/๑๖๒.
๓๖๒ พระพุทธเจ้าเหน็ เจตนาแรงกลา้ ของสภุ ัททะเชน่ นั้น จงึ รบั สง่ั เรยี กพระอานนท์เข้าเฝ้า ทรงผ่อน ผันเรื่องการอยู่ปริวาส ๔ เดือน และอนุญาตให้พระอานนท์เป็นผู้ดาเนินการจัดการให้สุภัททะบวชในวัน น้ันเอง สุภัททะครั้นบวชแล้วไม่นาน ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ได้บรรลุเป็นพระ อรหนั ต์ เปน็ สักขิสาวก คอื สาวกองค์สดุ ทา้ ยทไ่ี ด้ทันเห็นพระพทุ ธเจ้า สภุ ทั ทาเทว,ี พระนาง พระนางสุภัททาเทวี เป็นพระอัครมเหสีพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แห่งกรุงกุสาวดี ซ่ึงเคยยิ่งใหญ่ เกรียงไกรในอดตี กาลอันนานโพน้ ในมหาสุทัสสนสูตร๑๔๖๐ ระบุว่าพระเจ้ามหาสุทัสสนะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีเมืองประเทศ ราช ๘๔,๐๐๐ เมือง พระพุทธเจ้ายกเร่ืองน้ีมาแสดงเพ่ือชี้แจงให้พระอานนท์ทราบถึงเหตุผลว่า ทาไม พระองค์จงึ เลอื กเมอื งกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ซ่ึงในความเป็นจริงแล้ว เมืองกุสินรา ก็คือดินแดนท่ีเคย เปน็ เมืองกสุ าวดที ่ีเคยเกรยี งไกรมาในอดตี นั่นเอง ท่ีสาคัญย่ิงคือ พระเจ้ามหาสุทัสสนะพระองค์นี้ เป็นพระ จกั รพรรดิผ้ทู รงธรรม ทรงรกั ษาศลี อโุ บสถทกุ ก่ึงเดือน ในรชั สมยั ของพระองค์จึงมีจักรแก้วอันเป็นทิพย์เป็น สญั ลักษณ์คู่พระราชบัลลงั ก์ อน่ึง ในคัมภีร์ระบุว่า เมืองกุสาวดีน้ี ทิศตะวันตกและตะวันออกยาว ๑๒ โยชน์ ทิศเหนือและ ทศิ ใต้กว้าง ๗ โยชน์ มปี ระชากรหนาแนน่ เศรษฐกิจดี มีกาแพงล้อม ๗ ชน้ั มีต้นตาลล้อม ๗ แถว ยามต้อง ลมจะมเี สยี งไพเราะ สุภฏะ, อบุ าสก สุภฏะอุบาสกเป็นชาวนาทิกคาม และเป็น ๑ ในอุบาสก ๕๐ คน เมื่อตายไปแล้ว ได้รับการ พยากรณ์จากพระพทุ ธเจ้าวา่ เปน็ ผลู้ ะสงั โยชนเบอ้ื งต่า ๕ ประการได้แล้ว จะปรินิพพานในภาพน้ัน ไม่หวล กลบั มาจากโลกนน้ั อกี ๑๔๖๑ สภุ ูต,ิ พระ พระสุภตู ิชาติกาเนดิ ในราชสกลุ โอกกากราช สละทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ พร้อมทั้งทาส และ กรรมกรจานวนมาก บวชในศาสนาของพระผ้มู ีพระภาคพระนามว่าโคดม๑๔๖๒ ในสุภูติสูตร๑๔๖๓ ความระบุว่า คราวหนึ่งพระสุภูติได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วย ภิกษุผู้มีศรัทธาอีกรูปหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามพระสุภูติถึงพระรูปที่เข้าเฝ้าด้วยว่าชื่ออะไร พระสุ ภูติได้กราบทูลว่า ภิกษุรูปน้ีมีศรัทธา เป็นบุตรของอุบาสกผู้มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วย ศรัทธา พระผู้มีพระภาคจึงตรัสย้อนไปว่า ภิกษุรูปน้ีเห็นลักษณะของผู้มีศรัทธาหรือไม่ เมื่อพระผู้มีพระ ภาคตรัสอย่างนี้ พระสุภตู จิ งึ กราบทูลใหพ้ ระผมู้ พี ระภาคแสดงถงึ ลกั ษณะของผมู้ ีศรทั ธา พระผู้มีพระภาคไดแ้ สดงลักษณะของผู้มีศรัทธาดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. เป็นผู้มีศีล สารวมในพระปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยใน โทษเล็กนอ้ ย สมาทานศกึ ษาอยูใ่ นสิกขาบททั้งหลาย ๑๔๖๐ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๔๑/๑๘๑. ๑๔๖๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๗/๑๐๒. ๑๔๖๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๒/๔๐/๑๒๗. ๑๔๖๓ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๔/๔๒๐.
๓๖๓ ๒. เป็นพหูสูต ทรงสุตะ ส่ังสมสุตะ ฟังธรรมมามากท่ีมีความงามในเบ้ืองตน ท่ามกลาง และ ทีส่ ดุ ประกาศพรหมจรรยพ์ ร้อมทง้ั อรรถ พยัญชนะ บริสุทธ์ิบริบูรณ์ครบถ้วน ทรงจาไว้ได้คล่องปาก ข้ึนใจ แทงตลอดดว้ ยทฐิ ิ ๓. เป็นผมู้ ีมติ รดี สหายดี เพอ่ื นดี ๔. เป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมเป็นเคร่ืองทาให้เป็นผู้ว่าง่าย อดทน รับฟังคาสั่งสอนโดย เคารพ ๕. เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานท่ีต้องช่วยกันทา ทั้งงานสูงและงานต่าของเพ่ือน พรหมจารีท้ังหลาย ประกอบด้วยปัญญาเป็นเคร่ืองพิจารณาอันเป็นอุบายในการงานท่ีต้องช่วยกันทาน้ัน สามารถทาได้ สามารถจัดได้ ๖. เป็นผู้ใคร่ในธรรม เป็นผู้ฟังและผู้แสดงธรรมอันเป็นที่พอใจ มีความปราโมทย์อย่างยิ่งใน อภิธรรม อภวิ นิ ัย ๗. เป็นผู้ปรารภความเพียรเพ่ือละอกุศลธรรม เพื่อให้กุศลธรรมเกิด มีความเข้มแข็ง มีความ บากบัน่ ไมท่ อดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ๘. เปน็ ผไู้ ดฌ้ าน ๔ อันมใี นจิตย่ิงซ่ีงเป็นเคร่ืองอยู่เป็นสุขในปัจจุบันตามความปรารถนาโดยไม่ ยาก ได้โดยไม่ลาบาก ๙. เป็นผมู้ ีปกติระลึกชาตไิ ด้ จะเป็น ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ หรอื หลายแสนชาตกิ ต็ าม ฯลฯ อน่ึงพระผู้มีพระภาคได้แสดงลักษณะผู้มีศรัทธาเช่นน้ี เป็นลาดับ ๆ ไปกระทั่งถึงการบรรลุ อรหัตผล ท้ังนี้ ด้วยพระประสงค์จะตรวจสอบคุณลักษณะของภิกษุผู้มาเฝ้าพร้อมกับพระสุภูติว่าสภาวะ เป็นอยา่ งไร ซึ่งก็ไดร้ บั การกราบทูลวา่ ภิกษุรูปน้ีมีคุณสมบัติครบทุกประการตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสมา หลังจากตรัสช่นื ชมแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า ถ้าภิกษุประกอบด้วยศรัทธาเช่นน้ี หากมีความประสงค์ จะมาเยี่ยมพระองค์ กม็ าได้ตลอดเวลา พระสุภูติ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้มี ปกติอยดู ้วยความไมม่ ีกเิ ลส๑๔๖๔ และผ้เู ปน็ ทกั ขิไนยบคุ คล๑๔๖๕ สมุ นะ, พระ นายสุมนะ เป็น ๑ ใน ๔ รูป ท่ีได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของภิกษุชาวเมืองปาเฐยยะเพ่ือทา หน้าท่ีระงับอธิกรณ์กรณีพระภิกษุวัชชีบุตรยกวัตถุ ๑๐ ประการ ข้ึนแสดง ประกอบด้วย พระเรวตะ พระสัมภูตสาณวาสี พระยสกากัณฑกบุตร และพระสุมนะ สาหรับตัวแทนภิกษุชาวปราจีน ๔ รูป ประกอบด้วย พระสพั พกามี พระสาฬหะ พระอชุ ชโสภิตะ และพระวาสภคามิกะ มูลเหตุที่ต้องคณะทางานเพื่อวินิจฉัย และตัดสินในลักษณะเช่นน้ี เนื่องจากในที่ประชุมสงฆ์มี ความไม่สะดวกด้วยเหตุบางอย่าง ในกรณีน้ีคือมีเสียงดัง ต่างฝ่ายต่างจะพูด ไม่มีใครฟังใคร การตัดสิน อธกิ รณใ์ นลกั ษณะน้ี เรียกวา่ อุพพาหิกวธิ ี๑๔๖๖ ๑๔๖๔ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๐๒/๒๗. ๑๔๖๕ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๐๓/๒๗. ๑๔๖๖ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๕๖/๔๑๒.
๓๖๔ อน่ึง ในคัมภีร์ปริวาร๑๔๖๗ ระบุว่า พระสุมนะ เป็นผู้เช่ียวชาญพระวินัย และเป็นผู้นาพระวินัย สบื ๆ กนั มาในชมพูทวีป ร่วมกับพระเถระอีกหลายรูป เช่น พระมหาปทุมะ พระมหาสีวะ พระอุบาลี พระ มหานาคะ พระอภยะ พระตสิ สะ เป็นต้น โดยพระสุมนะน้ีเป็นศิษยข์ องพระตสิ สะอีกทอดหนึ่ง สมุ นะ, นายมาลาการ นายสุมนะผู้นี้ ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๔๖๘ ระบุว่า เป็นช่างจัดดอกไม้ พระพุทธเจ้า ยกเรื่องขนึ้ มาเพอ่ื ตรัสพระคาถาวา่ คนทากรรมใดแล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง อิ่มเอิบ ดีใจ เสวยผลกรรมอยู่ กรรมนน้ั ชอื่ ว่า เปน็ กรรมดี ความในคัมภรี อ์ รรถกถา๑๔๖๙ มรี ายละเอียดพอสงั เขปดงั นี้ นายสุมนมาลาการ ทาหน้าท่ีบารุงพระเจ้าพิมพิสารด้วยดอกมะลิ ๘ ทะนานทุกวัน แต่อยู่มา วันหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์หมู่ใหญ่ จึงนาเอาดอกไม้ที่จะนาไปถวายพระราชาถวายแด่ พระพุทธเจ้าแทน ทง้ั นด้ี ้วยความเล่อื มใส และไม่คิดเสยี ดายชีวิตหากจะต้องถูกลงพระอาญา ว่ากันว่า การ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ครั้งนี้ ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในชีวิตของนายสุมนะเป็นอย่างมาก ประการแรกคือ ภรรยาท่ีเคยอยู่กินกันมาเป็นระยะเวลานาน เกรงจะถูกลงอาญาด้วย ถึงกับขอหย่าแยก ทางกบั นายสุมนมาลาการ ประการต่อมา พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า การบูชาคร้ังนี้ของนายสุมนมาลาการ เป็นการแลกด้วยชีวิต จึงแสดงอานุภาพให้คนท้ังหลายได้เห็นให้เป็นการอัศจรรย์ กล่าวคือ ดอกไม้ที่บูชา แต่ละพวง ได้ลอยอยู่บนพระเศียรของพระศาสดา ๒ พวง ลอยย้อยลงมาอยู่ทางด้านพระหัตถ์ขวาอีก ๒ พวง ลอยห้อยลงมาอย่ทู างด้านพระหัตถ์ซ้าย ๒ พวง และลอยไปอยู่ด้านพระปฤษฎางค์อีก ๒ ทาให้คนใน พระนครแตกตนื่ มาดู การบูชาด้วยพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้สาหรับสาหรับราชสานัก ได้ทราบข่าวถึงพระเจ้าพิม พิสารต้ังแต่แรก เพราะภรรยาของนายสุมนมาลาการเม่ือขอแยกทางสามี ก็ได้นาเร่ืองไปกราบทูลให้ทรง ทราบ เพ่ือที่ตนจะได้ไม่ต้องอาญาด้วย โดยครั้งแรกพระเจ้าพิมพิสารทรงทาเป็นกร้ิว และจะลงโทษนาย สุมนมาลาการภายหลงั แต่จริงแล้ว ทรงเลือ่ มใสการกระทาของนายมาลาการเป็นอย่างมาก ภายหลังจึงได้ ทรงพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ อย่างละ ๘ ชนิด แก่นายสุมนมาลาการ ประกอบด้วย ช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว ทาส ๘ คน ทาสี ๘ คน เครื่องประดับใหญ่ ๘ ชนิด กหาปณะ ๘ พัน นารี ๘ คน และบ้านส่วยอีก ๘ ตาบล การบูชาของนายสุมนมาลาการครั้งนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า อย่าคิดว่ามี ประมาณน้อย เพราะสิง่ ที่นายมาลาการทานัน้ เป็นการเดิมพันด้วยชีวิต และด้วยอานิสงส์แห่งการกระทา คร้ังน้ี จะทาให้เขาไม่รู้จักทคุ ติตลอดแสนกัป ภพสดุ ท้ายจะไดเ้ ปน็ พระปจั เจกพุทธเจา้ พระนามว่าสุมนะ สุรจุ ิ,พระเจา้ พระเจ้าสุรุจิ ปรากฏในขุททกนิกาย ชาดก๑๔๗๐ ความระบุว่า พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งมิถิลา นคร แคว้นวิเทหะ มีพระโอรสของพระองค์ก็ทรงพระนามว่าสุรุจิเหมือนกัน เม่ือเติบเจริญวัยได้ไปศึกษา ๑๔๖๗ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๓/๖. ๑๔๖๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๖๘/๔๘. ๑๔๖๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๐๔. ๑๔๗๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๐๒/๔๔๐.
๓๖๕ ศลิ ปะวทิ ยา และไดร้ จู้ ักสนทิ สนมกบั พรหมทตั กมุ าร ต่อมาได้ผูกมิตร สาเร็จศิลปวิทยาแล้วก็อาลาอาจารย์ กลับ กอ่ นแยกย้ายกนั กไ็ ด้ทากติกาว่า หากมีโอรส หรือธดิ าจะใหอ้ ภิเษกกัน เวลาต่อมาพระราชกุมารท้ังสองได้เสวยราชสมบัติ ต่อมามีพระราชโอรส ก็พระประยูรญาตก็ ขนานพระนามว่าสุรุจิมาร ส่วนพระเจ้าพรหมทัต มีพระธิดา พระประยูรญาติก็ขนานพระนามว่า สุเมธา เม่ือพระราชกุมารและพระราชธิดาของทั้งสองฝ่ายเจริญวัย สาเร็จศิลปะวิชาแล้ว ก็จัดการอภิเษกตามท่ี เคยไดท้ ากตกิ ากนั ไวท้ ุกประการ โดยกอ่ นจดั การอภเิ ษกได้วางเงื่อนไขไว้ว่า พระเจ้าสุรุจิจะต้องมีพระนางสุ เมธาแต่เพียงผู้เดยี วเทา่ นน้ั ซง่ึ พระองคก์ ท็ รงรับปากและใหค้ ามน่ั สัญญาทุกประการ อย่างไรก็ตาม เม่ือพระเจ้าสุรุจิและพระนางสุเมธาอภิเษกสมรสแล้วหลายปี พระนางก็ยังไม่มี พระโอรส หรือพระธิดาเลย ทาให้เกิดความเดือดร้อนเร่ืองไม่มีรัชทายาท ทาให้มีการประชุมหารือเพ่ือ แก้ปัญหา สุดท้ายมาลงที่ขอให้พระเจ้าสุรุจิมีพระสนม แต่ก็ทรงปฏิเสธท้ังหมด ด้วยถือสัตย์ท่ีได้เคยให้ไว้ กบั พระเจ้าพรหมทตั ผู้สหาย ฝา่ ยพระนางสุเมธาเห็นพระสวามถี อื สัตย์เช่นนั้น ประกอบกับเห็นปัญหาท่ีจะเกิดกับบ้านเมือง ในภายภาคหน้า จึงได้เข้าไปจัดแจงดาเนินการหาสตรีมาถวายพระเจ้าสุรุจิถึง ๓ ครั้ง ๆ ละหลายคน แต่ สตรีเหล่านั้นก็ไม่มีผู้ใดเลยท่ีได้พระโอรส กระท่ังนครต้องมาร้องขอให้มเหสีแต่ละพระองค์ทาพิธีเซ่นสรวง บชู าขอพระโอรสตอ่ เทวดา รวมถงึ พระนางสเุ มธาด้วย พระนางสุเมธาครั้นถึงดิถี ๑๕ ค่า ก็ทรงสมาทานอุโบสถ ประทับเหนือแท่นอันสมควร ระลึก ถึงศลี ท้ังหลาย ขณะท่พี ระเทวีอืน่ ๆ ต่างพากนั ประพฤติวัตรต่าง ๆ อย่างเดียรถีย์ท้ังหลาย ท้าวสักกะจึงได้ ประทานโอรสให้แก่พระนางสุเมธาเท่านั้น และนางสุเมธาได้ประสูติพระโอรสผู้มีบุญญาธิการใหญ่ ชาว พระนครไดข้ นานพระนามวา่ มหาปนาทะ เม่ือทรงเติบใหญ่ได้สาเร็จศิลปะทุกอย่าง ท่ีรักของชาวพระนคร เปน็ อยา่ งยิ่ง เสยยกะ,พระ พระเสยยกะ ปรากฏช่ือในกัมมขันธกะ ตอนว่าด้วยนิสยกรรม๑๔๗๑ ความสรุปว่า ท่าน ประพฤติไม่เหมาะสม จึงถูกสงฆ์ลงนิสยกรรม (ถอดยศ) โดยให้กลับไปถือนิสัยใหม่ หลังจากนั้นท่านก็ สานึกกลับตัวใหม่ ฟังคาแนะนาจากกัลยาณมิตร กระท่ังเป็นพหูสูต เช่ียวชาญปริยัติ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา มีความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่การศึกษา หาย เยอ่ หยิง่ สงฆ์เหน็ ท่านกลับประพฤติชอบแล้ว ก็กราบทลู พระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบแลว้ รบั สงั่ ให้ภิกษรุ ะงับนิสยกรรมแก่พระเสยยกะคนื เสยยสกเถระ,พระ พระเสยยสกะ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๔๗๒ ระบุว่าเป็นสัทธิวิหาริกของพระโลฬุทายี วันหน่ึงท่าน ถูกกามราคะครอบงา ปรารถนาจะลาสิกขา จึงเข้าไปหาพระโลฬุทายี ถูกพระโลฬุทายีแนะนาให้สาเร็จ ความใคร่ดว้ ยตนเอง เมอื่ มคี วามกาหนดเกดิ ขึ้น ท่านก็ทาตามท่ีคาแนะนานนั้ ๑๔๗๑ ว.ิ จู.(ไทย) ๖/๑๗/๓๔. ๑๔๗๒ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๙.
๓๖๖ พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้น จึงได้รับสั่งให้เรียกมาตาหนิว่าทากรรมหนัก ไม่สมควร จากน้ันก็ตรัสพระคาถาใจความว่า ถ้าหากทาบาป ไม่ควรทาบาปนั้นบ่อยๆ ไม่ควรทาความพอใจในบาป นนั้ เพราะการสั่งสมบาปเปน็ เหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ เสนยิ ะ, พระ เสนยิ ะอดตี เป็นนกั บวชชเี ปลอื ย ประพฤตกิ ุกกุรวัตร คือวัตรเลียนแบบสุนัข เช่น เวลาจะนั่งก็ ทาทา่ ตะกุยก่อนแล้วจงึ นั่ง เวลากนิ อาหาร ก็เทกองบนพ้ืน จากน้ันก็ใช้ปากเลียท่ีพ้ืน ในคัมภีร์อรรถกถาจึง อธบิ ายไว้วา่ “ทากริ ยิ าอาการเหมอื นสนุ ัขทุกอย่าง” ๑๔๗๓ เขาสาคัญตนผิดว่า ทาสง่ิ ทบี่ คุ คลอ่นื ทาไดย้ าก วันหน่ึง เสนิยะชีเปลือยได้ชวนเพ่ือนที่ประพฤติวัตรในลักษณะเดียวกัน (ประพฤติโควัตร) ไป เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า สอบถามว่า ตนเองทาส่ิงที่คนอ่ืนทาได้ยากอย่างนี้โดยไม่บกพร่องมาเป็นระยะ เวลานาน ตายแลว้ จะมคี ตอิ ย่างไรบ้าง เบื้องต้นพระพุทธเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ถาม แต่เม่ือท้ังสองยืนยันอยาก ทราบ จึงทรงพยากรณ์ว่า คนท่ีประพฤติกุกกุรวัตร คือประพฤติเลียนแบบสุนัข ตายไปก็จะไปบังเกิดเป็น สุนัข แต่ถ้าทาวัตรบกพร่อง ก็จะไปบังเกิดในนรก ส่วนผู้ประพฤติโควัตร ก็เช่นกัน เมื่อตายแล้วก็จะไป บงั เกดิ เปน็ โค แต่ถา้ ประพฤตวิ ัตรน้ันบกพร่อง กจ็ ะไปบงั เกดิ ในนรก เสนิยะชีเปลือยได้ยินเช่นน้ันก็ห้องไห้ด้วยความดีใจว่า พระผู้มีพระภาคสามารถตรัสให้ตน สามารถเปลีย่ น หรอื ละจากการประพฤติกุกกุรวัตรท่ีเคยประพฤติมาช้านานได้ จากนั้นจึงกราบทูลให้พระ ผ้มู พี ระภาคแสดงธรรมโปรด พระผู้มีพระภาคได้แสดงกรรม ๔ ประการ กล่าวคือ ๑) กรรมดา มีวิบากดา ๒) กรรมขาว มีวิบากขาว ๓) กรรมทั้งดาและขาว มีวิบากท้ังดาและขาว ๔) กรรมทั้งไม่ดาและไม่ขาว มี วิบากทั้งไม่ดาและไมข่ าว เปน็ ไปเพ่ือสิน้ กรรม สิ้นพระธรรมเทศนา ชีเปลือยเสนิยะเกิดความเลื่อมใส ได้ขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้วางเงื่อนไข ให้อยู่ปริวาส ๔ เดือน เสนิยะได้ประกาศเจตนาต่อพระผู้มีภาคขออยู่ปริวาส เป็นระยะเวลา ๔ ปี ในคัมภีร์๑๔๗๔ พรรณนาต่อไปอีกว่า เม่ือเสนิยะได้บวชแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อทุ ศิ กายและใจอยู่ ไมน่ านนักก็ไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ เสละ, พราหมณ์ เสลพราหมณ์ ในคัมภีร์ระบุไว้ว่า อาศัยอยู่ในอาปณนิคม เป็นผู้จบไตรเพท พร้อมท้ังนิฆัณฑุ ศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ อักษรศาสตร์ และประวัติศาสตร์ เข้าใจตัวบทและไวยากรณ์ ชานาญในโลกายต ศาสตรแ์ ละลกั ษณะมหาบรุ ุษ ทัง้ ยังสอนมนตร์แก่มาณพจานวน ๓๐๐ คน๑๔๗๕ วันหนึ่งเสละพราหมณ์ได้ผ่านไปเยี่ยมเกณิยชฎิลกาลังเตรียมอาหารและเสบียงต่าง ๆ ก็ ประหลาดใจว่ามงี านแต่ง หรอื วา่ ทูลเชญิ พระเจ้าพมิ พิสารจอมมคธมาเสวยพระกระยาหารหรืออย่างไร จึง เตรียมการใหญ่โตอย่างน้ี เกณิยชฎิลได้เล่าความจริงให้ฟังว่า ในวันพรุ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์หมู่ ใหญ่ ๑,๒๕๐ รูปจะเสด็จผา่ นอาปณนิคม ตนจึงเตรียมภัตตาหารตอ้ นรับ ๑๔๗๓ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๗๘/๗๕. ๑๔๗๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๒/๘๓. ๑๔๗๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๙๗/๔๙๒.
๓๖๗ เสลพราหมณไ์ ด้ยนิ คาว่า พุทธะ ก็เกดิ ปลื้มปีติ ได้ย้าถามเกณิยะถึง ๓ คร้ังเพื่อความมั่นใจ เมื่อ ได้รบั การยืนยันหนักแน่น ก็แสดงความประสงค์อยากจะเข้าเฝ้า เพราะตนเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้าง แล้ว จึงได้สอบถามเกณิยะว่าขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใด เมื่อเกณิยะชี้ทางแล้ว ก็พามาณพ ๓๐๐ คนเขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค เมื่ออยตู่ อ่ หนา้ พระพักตร์ กต็ รวจดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ตามตารา ทเ่ี รยี นมา เห็นครบทุกประการเวน้ แตค่ ุยหฐาน (ของลบั ) และพระชวิ หา (ล้นิ ) พระผู้มีพระภาคทราบความประสงค์ของเสลพราหมณ์ จึงแสดงคุยหฐาน และแลบพระชิวหา สอดเข้าไปในช่องพระกรรณทั้ง ๒ ข้างสลับไปมา ทรงแผ่พระชิวหาปิดทั่วมณฑลพระนลาฏะ (หน้าผาก) พราหมณ์เสละเห็นมหาปุริสลักษณะครบถ้วนแล้ว เกิดความเล่ือมใส พร้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน บวชใน สานกั ของพระผู้มีพระภาค หลังจากอปุ สมบทแล้ว พระเสละและบริวารก็ปลีกตัวอยู่เพียงลาพัง ไม่ประมาท มีความเพียร อทุ ิศกายและใจ ไม่นานก็กระทาให้แจ้งซ่ึงประโยชน์อันยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ได้เป็นพระ อรหันตใ์ นบรรดาพระอรหนั ตท์ ้งั หลาย อนึ่ง ความในเสลสูตรแห่งขุททนิกาย สุตตนิบาต๑๔๗๖ ความคล้ายกับที่กล่าวแล้วในมัชฌิม นิกาย มัชฌมิ ปณั ณาสก์ สจุ ิมุข,ี ปริพาชกิ า นางสจุ ิมขุ ปี ริพาชกิ า ปรากฏในสุจมิ ุขีสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๔๗๗ ความระบุว่า นางได้เข้าไปหา พระสารีบุตรถึงที่อยู่ เห็นพระสารีบุตรกาลังฉันภัตตาหารอยู่ จึงได้ถามว่า ทาไมน่ังก้มหน้าฉัน พระสารี บุตรก็ตอบวา่ ตนไมไ่ ด้ก้มหน้าฉัน นางก็ถามต่อไปอีกว่า ไม่ก้มก็แสดงว่าเงยหน้าฉัน พระสารีบุตรก็ตอบไป ว่า ไม่ได้เงยหน้าฉัน นางปริพาชิกาได้ถามไปโดยลาดับว่า ถ้าอย่างก็แสดงว่ามองดูทิศใหญ่ฉัน มองดูทิศ น้อยฉนั พระสารีบุตรได้ตอบปฏิเสธทง้ั หมด นางจึงขอรอ้ งใหพ้ ระสารีบุตรขยายความหมายท่พี ดู ไป พระสารบี ุตรได้ขยายความดงั น้ี น่งั กม้ หน้าฉัน หมายถงึ การเล้ียงชวี ติ ด้วยมจิ ฉาชพี เพราะเดรจั ฉานวิชา คอื วิชาดพู นื้ ที่ น่งั เงยหน้าฉนั หมายถึง การเลยี้ งชวี ิตด้วยมจิ ฉาชีพ เพราะเดรัจฉานวชิ า คอื วิชาดดู าวดูฤกษ์ มองดูทิศใหญ่ฉัน หมายถึง การเล้ียงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เพราะทาหน้าท่ีเป็นตัวแทนและผู้ สื่อสาร มองดูทศิ น้อยฉัน หมายถงึ การเลี้ยงชวี ติ ดว้ ยมจิ ฉาชพี เพราะเดรจั ฉานวิชา คือวิชาดอู วัยวะ นางสุจิมุขีปริพาชิกาฟังคาช้ีแจงของพระสารีบุตรแล้ว เกิดความเล่ือมใส เม่ือเข้าไปในกรุงรา ชคฤห์ ไดป้ ระกาศตามถนนสายต่าง ๆ เชิญชวนให้ชาวเมืองถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสมณศากยบุตร ทงั้ หลายที่แสวงหาอาหารโดยชอบธรรม ไม่มโี ทษ สชุ าต,พระ พระสุชาต ปรากฏในสุชาตสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๔๗๘ ความระบุว่า ครั้งหนึ่งพระสุชาตได้เข้า เฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ท่ีพระเชตวัน อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พระพระพุทธเจ้า ๑๔๗๖ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๕๕๓/๖๓๐. ๑๔๗๗ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๓๔๑/๓๔๗. ๑๔๗๘ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๒๓๙/๓๓๑.
๓๖๘ ทอดพระเนตรเหน็ ท่านกาลังเดินมาก็ตรัสกะภิกษุท้ังหลายว่า กุลบุตรน้ีย่อมงามด้วยสมบัติ ๒ ประการ คือ ๑) มรี ปู งาม น่าดู น่าชม ประกอบดว้ ยผวิ พรรณงามยิง่ นัก ๒) ได้ทาให้แจ้งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นท่ีสุด แหง่ พรหมจรรย์ สุชาต, พระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาต ปรากฏในสุชาตพุทธวงศ์๑๔๗๙ ความระบุไว้โดยสังเขปว่า ทรง อุบัติขึ้นในมัณฑกัป สมัยน้ันมนุษย์มีอายุขัย ๙๐,๐๐๐ ปี ในตระกูลกษัตริย์ พระบิดาทรงพระนามว่าอุคค ตะ พระมารดาทรงพระนามว่า ประภาวดี ทรงมีพระวรกายสูง ๕๐ ศอก ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี มีปราสาท ๓ หลงั มีสนมกานลั ๒๓,๐๐๐ นาง มีพระมเหสีพระนามว่าสิรินันทา พระราชโอรสพระนามว่า อุปเสน ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวช บาเพ็ญเพียรอยู่ ๙ เดือน จึงได้ตรัสรู้ ครั้นตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศธรรมจักรทส่ี ุมงั คลนคร พระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ สุชาต มีพระอคั รสาวกชือ่ พระสุทสั สนะ และพระสุเทวะ มีพระนารทะ เป้นอุปัฏฐาก มีพระนาคาเถรี และพระนาคสมานาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา ต้นไม้ที่ตรัสรู้คือต้นไผ่ใหญ่ มี สทุ ัตตะอบุ าสกและจติ ตอบุ าสกเป็นอัครอุปัฏฐาก มีนางสุภัททาและปทุมาเป็นอัครปัฏฐายิกา ทรงช่วยหมู่ ชนให้ข้ามพน้ จากทกุ ข์ไดจ้ านวนมาก ยงั พระศาสนาให้งดงามด้วยพระอรหันต์ท้ังหลาย เหมือนดวงดาวบน ทอ้ งฟ้า หาผู้เสมอเหมือนมิได้ สุมนาราชกุมารี, พระนาง พระนางสุมนาราชกุมารี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามหาโกศลแห่งแคว้นมคธ เป็นพระราช กนษิ ฐาของพระเจา้ ปเสนทิโกศล ท่ีมีพระนามว่า “สุมนา” เพราะอดีตชาติเคยถวายสักการะด้วยพวงดอก มะลิแด่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุมารี ๕๐๐ คน ซ่ึงล้วนแต่ประสูติในวันเดียวกันเป็นบริวาร มีรถ ๕๐๐ คัน เป็นพาหนะ ซึ่งในชมพูทวีป มีกุมารีเพียง ๓ คน เท่านั้นท่ีมีรถเป็นพาหนะ ๕๐๐ คัน คือ จันที ราชกมุ ารี พระธิดาของพระเจ้าพิมพิสาร นางวสิ าขา ธิดาของธนัญชัยเศรษฐี และสุมนาราชกมุ ารี๑๔๘๐ อนึง่ ในสมุ นสตู ร แห่งอังคตุ ตรนิกาย๑๔๘๑ มีเนอื้ ความพรรณนาโดยสงั เขปดงั ตอ่ ไปน้ี พระนางสุมนาราชกุมารี ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ที่พระเชตวัน ได้กราบ ทูลถามว่ามีความแตกต่างกันระหว่างสาวกที่มีศรัทธาเสมอกัน ศีลเสมอกัน และมีปัญญาเสมอกัน แต่คน หน่ึงเป็นทายก อีกคนหน่ึงไม่ใช่ทายก ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคพยากรณ์ว่า มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ อายุ วรรณะ สุข ยศ อธิปไตยของสาวกเหล่าน้ี เม่ือตายไปแล้ว ย่อมมีผลแตกต่างกัน กล่าวคือ ของเทวดาผู้เป็นทายก ย่อมมีอายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตยเหนือสาวกผู้ไม่ได้เป็นทายก และแม้จุติไป เกิดในโลกมนษุ ย์ ยอ่ มได้อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธปิ ไตยเหนือสาวกผูม้ ไิ ดเ้ ปน็ ทายก พระนางสมุ นาราชเทวี ได้สดบั พระดารัสเช่นนน้ั ก็ช่ืนชมพระดารัสของพระพุทธเจ้า และกล่าว ช่ืนชมทาน ว่ามีอปุ การะแมแ้ ก่เทวดา และมนษุ ยท์ ั้งหลาย ๑๔๗๙ ข.ุ พทุ ฺธ.(ไทย) ๓๓/๑/๖๕๐. ๑๔๘๐ อง.ฺ ปญฺจก.อ.(ไทย) ๓/๓๑/๑๔-๑๘. ๑๔๘๑ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๓๑/๔๕.
๓๖๙ สเุ นตตะ,ครู ครูสุเนตตะ นับเป็น ๑ ใน ๖ บรรดาเจ้าลัทธิผู้มีชื่อเสียงในสมัยพุทธกาล ประกอบด้วย ครูสุ เนตตะ ครูมคู ปกั ขะ ครูอรเนมิ ครูกุททาลกะ ครูหัตถิปาลมาณพ และครูโชติปาละ ในอังคุตตรนิกาย ฉักก นิบาต พระพุทธเจ้าตรัสถึงในฐานะเป็นเจ้าลัทธิผู้ปราศจากความกาหนัด มีสาวกหลายร้อยคน ได้แสดง ธรรมเพื่อความเป็นผู้บังเกิดในพรหมโลก๑๔๘๒ เป็นผู้หมดกลิ่นสาบ (ความโกรธ) มุ่งม่ันในกรุณา ล่วงพ้น กามสังโยชน์ คลายกามราคะได้ เปน็ ผเู้ ข้าถงึ พรหมโลก๑๔๘๓ ในสุเนตตสูตร๑๔๘๔ มีพุทธดารัสรับรองว่า ผู้ใด มีจิตประทษุ ร้ายในครสู เุ นตตะ ผู้น้นั ย่อมประสพส่งิ ทไ่ี ม่ใช่บุญเป็นอนั มาก ในสัตตกนบิ าต๑๔๘๕ ระบวุ า่ ครูสเุ นตตะไดเ้ จริญเมตตาจติ ตลอด ๗ ปี แล้วไม่มาสู่ลูกนี้ตลอด ๗ สังวัฏฏกปั และวิวฏั ฏกัป เมอื่ โลกเสื่อม ครูสุเนตตะเข้าถงึ พรหมโลกช้ันอาภัสสระ เมื่อโลกเจริญครูสุเนตตะ เข้าถึงพรหมวิมานอันว่างเปล่า ในพรหมวิมานน้ัน ครูสุเนตตะเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ครอบงา ไม่ใช่ถูกใครๆ ครอบงา เป็นผู้เห็นแน่นอน มีอานาจ ได้เป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพถึง ๓๖ คร้ัง ได้เป็น พระเจา้ จกั รพรรดผิ ูท้ รงธรรม เป็นธรรมราชา มีมหาสมุทรท้ัง ๔ เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะสงคราม มีชนบท ทถี่ งึ ความมน่ั คง ประกอบดว้ ยรัตนะ ๗ ประการ หลายร้อยชาติ อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตรัสสรุปว่า ถึงกระนั้น ครูสุเนตตะก็ไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ยังไม่หลุดพ้นจากทุกข์ ข้อนี้เพราะยังไม่รู้แจ้งแทงตลอดธรรม ประการ คอื อรยิ ศีล อริยสมาธิ อริยปญั ญา และอรยิ วิมตุ ติ อนึ่ง ครูสุเนตตะนีใ้ นอรรถกถา๑๔๘๖ ระบวุ า่ ท่ีช่อื สุเนตตะ เพราะมนี ยั นต์ าท้ังคูง่ าม สมุ ังคละ,นาย นายสุมังคละ ปรากฏในสุมังคลชาดก ความในอรรถกถา๑๔๘๗ มีรายละเอียดพอสังเขป ดงั ต่อไปนี้ นายสุมังคละเป็นคนเฝ้าอุทยานของพระพรหมทัต และได้รับมอบหมายให้อุปัฏฐากดูแลพระ ปัจเจกพทุ ธเจ้าองคห์ น่ึง ซึง่ พักอยู่ท่ีพระอุทยานนั้น นายสุมังคละได้ทาหน้าที่บารุงพระปัจเจกพุทธเจ้าโดย เคารพ วันหน่ึง พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ลานายสุมังคละไปท่ีหมู่บ้านอื่น ๒-๓ วัน แต่ตอนกลับมาไม่ได้ บอก เอาบาตรจีวรเก็บไว้ ก็เดินจรงกรม จากน้ันเอาผ้าคลุมนั่งอยู่ ฝ่ายนายสุมังคละ วันน้ันมีแขกมาเย่ียม จงึ ถือลูกศรเดินออกจากท่ีพัก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นึกว่าเป็นเน้ือ จึงเอาลูกศรพาดสายยิง พระปัจเจก พุทธเจ้าเปิดผ้าคลุมเรียกนายสุมังคละ ทาให้นายสุมังคละตกใจ รีบเข้าไปหา พร้อมทั้งขอให้ยกโทษ พระ ปัจเจกพุทธเจ้าได้เรียกให้เขาไปช่วยถอนลูกศร เขายกมือไหว้แล้วก็ถอนลูกศร เวทนาแก่กล้าได้บังเกิดแก่ พระปจั เจกพุทธเจา้ ทา่ นทนพษิ บาดแผลไมไ่ หว ไดป้ รินิพพาน ณ ท่ีน้ันเอง นายสมุ ังคละเห็นเช่นนัน้ ก็ตกใจ เกรงพระอาญา จึงไดพ้ าลูกเมียหนี ๑๔๘๒ องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๙. ๑๔๘๓ อง.ฺ ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๓๑. ๑๔๘๔ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๗๓/๑๖๖. ๑๔๘๕ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๖๖/๑๓๕. ๑๔๘๖ องฺ.ฉกกฺ .อ. (ไทย) ๓/๗๐๔. ๑๔๘๗ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๔๙๘.
๓๗๐ วันนัน้ เมอ่ื ทราบขา่ วว่าพระปจั เจกพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็เกิดโกลาหลท่ัวพระนคร ผู้คนต่างพา กันไปที่พระอุทยาน พร้อมทั้งกราบทูลให้พระราชาทรงทราบว่า คนสวนฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระราชา เสด็จพระอุทยาน ให้ทาการบูชาศพ ๗ วัน จากนั้นก็ทรงทาฌาปนกิจด้วยสักการะใหญ่ เก็บพระธาตุ ก่อ พระเจดียบ์ รรจพุ ระธาตนุ ้ัน บชู าพระเจดยี น์ ้ัน ครอบครองราชยส์ มบตั โิ ดยธรรม กาลผ่านไป ๑ ปี นายสุมังคละประสงค์จะทดสอบพระราชา จึงได้ขอความอนุเคราะห์ให้ อามาตย์ผู้หนึ่งนาเรื่องของตนกราบทูลพระราชา พระราชาทรงทราบก็นิ่ง ไม่ได้ตรัสอะไร คร้ันผ่านไปอีก ๑ ปี นายสุมังคละก็ทาเหมือนเดิม คร้ังนี้ พระราชาก็ทรงน่ิงเช่นกัน กาลเวลาผ่านไปอีก ๑ ปี ก็นายสุ มงั คละรวู้ า่ พระราชามีจิตอ่อนแล้ว จึงได้พาลูกเมียมาขอเข้าเฝ้า พระราชาอนุญาต และได้ตรัสถามเหตุผล ว่าทาไมฆ่าพระปัจเจกพทุ ธเจ้า นายสุมังคละจึงกราบทลู เรือ่ งราวท้งั หมดใหท้ รงทราบตัง้ แตต่ ้น พระราชาทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็ได้ตั้งให้นายสุมังคละทาหน้าท่ีเฝ้าพระอุทยาน เหมือนเดมิ อามาตย์เกดิ ความสงสยั จงึ ได้เขา้ ไปกราบทูลว่า ทาไม คร้ังท่ี ๑ และคร้ังที่ ๒ เมื่อได้สดับเร่ือง ของนายสุมังคละจึงทรงน่ิง แต่พอถึงคร้ังที่ ๓ จึงทรงเรียกมา และอนุเคราะห์ให้อยู่ในตาแหน่งเดิม พระราชาได้ตรัสว่า ๒ คร้ังแรกท่ีทรงน่ิงเพราะยังโกรธนายสุมังคละอยู่ หากเรียกมาเกรงว่าจะละเมิดราช วตั ร เมอ่ื ถึงครงั้ ที่ ๓ ความโกรธไดจ้ างหายไปแล้ว จงึ ไดเ้ รยี กมา จากนัน้ ก็ทรงแสดงราชวัตร มีนัยเป็นต้นว่า พระเจ้าแผ่นดินไม่ควรลงอาญาขณะทรงกริ้ว ไม่ควรถูกอคติครอบงา ทรงยินดีในทศพิธราชธรรม ย่อมไม่ เสื่อมจากสริ ิ สรุ าธะ,พระ พระสุราธะ ปรากฏในสุราธสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๔๘๘ ความระบุว่า พระสุราธะ ได้กราบทูล ถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลรู้ เห็นอย่างไร จึงจะปราศจากอหังการ มมังการ และมานานุสัยในกายท่ีมี วญิ ญาณนี้ รวมถงึ ในนมิ ติ ทงั้ ปวงในภายในและภายนอก กา้ วลว่ งมานะด้วยดี สงบระงับหลุดพน้ ดแี ลว้ ต่อปัญหาน้ี พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า สุราธะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างใด อยา่ งหนึง่ ท้ังท่ีเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ใกล้หรือไกลก็ตาม ท้ังหมดให้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาตาม ความเป็นจริงว่า น่ันไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น น่ันไม่ใช่อัตตาของเรา ทาได้เช่นนี้ ก็จะก้าวล่วงอหังการ มมังการเสยี ได้ อนง่ึ ในคมั ภรี ์ระบุว่า พระสรุ าธะ ไดเ้ ปน็ พระอรหันตอ์ งคห์ นงึ่ ในบรรดาพระอรหันต์ทงั้ หลาย สุสนั ธ,ี พระนาง พระนางสุสันธี ปรากฏในขุททกนิกาย ชาดก๑๔๘๙ ความในอรรถกถา๑๔๙๐ มีรายละเอียดพอ สงั เขปดังน้ี พระนางสุสุนธี เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าตัมพราช ครองราชย์อยู่ในนครพาราณสี พระนางมี พระสิริโฉมเลอเลิศ ครั้งน้ันพระโพธิสัตว์เกิดในกาเนิดนาค อยู่ที่เกาะเสรุมทวีป วันหน่ึงได้แปลงเพศ ออกมาเล่นสกากบั พระเจ้าตมั ภราช จึงทาให้มีโอกาสได้พบกับพระนางสุสันธี และท้ัง ๒ ก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อ ๑๔๘๘ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๗๒/๑๑๒. ๑๔๘๙ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๕๕/๒๐๙. ๑๔๙๐ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๔/๗๘๖.
๓๗๑ กัน พระยานาคจึงได้ใช้ฤทธิบ์ นั ดาลให้เกดิ ลม และท้องฟ้ามืดมิด จากนั้นก็ลักพาตัวพระนางสุสันธีไปยังภพ แห่งนาค อภิรมย์กับพระนางในภพแห่งนาค ขณะเดียวกันก็ยังคงแวะเวียนมาเล่นสกากับพระราชา โดยท่ี พระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรอ่ื ง หลังจากพระนางสุสันธีหายออกจากพระราชวังอย่างไร้ร่องรอย พระราชาก็รับสั่งให้สืบ และ ติดตาม แตก่ ็ยงั ไมป่ ระสบผลสาเร็จ วันหนึง่ จงึ ไดม้ อบหมายใหค้ นธรรพช์ อ่ื อัคคะออกตดิ ตาม นายอคั คะได้ออกติดตามไปยงั ท่ตี า่ ง ๆ วนั หนง่ึ ได้เดนิ ทางกับคณะเรือท่ีไปค้าขายยังสุวรรณภูมิ เรอื ได้เกิดอบั ปางลง เขาอาศัยแผ่นกระดานลอยไปตามลมกระท่ังถึงต้นไทรใกล้กับท่ีอยู่ของนาค ทาให้ได้มี โอกาสพบกับพระนางสุสันธี ซึ่งเวลาน้ันเดินเล่นอยู่ท่ีชายฝั่ง พระนางสุสันธีจานายอัคคะได้ จึงได้สอบถาม คร้ันทราบความแล้วก็นาไปสู่นาคพิภพ ทาการเยียวยา ให้อยู่ในนาคพิภพน้ันเป็นการลับ ไม่ได้ให้พระยา นาครู้ เวลาพระยานาคออกไปเล่นสกา นางก็ได้อภิรมย์กับนายอัคคะน้นั คร้ันล่วงไปก่ึงเดือน นายอัคคะก็มีโอกาสได้พาพระนางสุสันธีกลับมายังเมืองพาราณสี โดยได้ พักนางสุสนั ธีไว้แห่งหนึ่ง จากน้ันก็เข้าเฝ้าพระเจ้าตัมพราช ขณะทรงเล่นสกาอยู่พระยานาค ช่วงหนึ่งพระ ยานาคไดข้ ับถวายพระราชา เนือ้ หาเพลงขบั ไดป้ รารภถึงพระนางสสุ นั ธี ที่อยู่ห่างไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังมี คนขา้ มห้วงนา้ ไปอภริ มย์กบั พระนางได้ นายอัคคะได้ทราบว่าพระยานาครู้ความลับตนแล้ว ก็ได้กล่าวตอบตามความเป็นจริง ครั้น ทราบความจริงแล้ว ก็เดือดร้อนใจว่า ตนอยู่ในภพของนาคแท้ๆ ยังไม่สามารถรักษานางไว้ได้ ประโยชน์ อะไรกบั นางผทู้ ุศีลเชน่ นี้ ต้งั แตน่ ั้นมา พระยานาคกก็ ลบั สนู่ าคพิภพ และไมไ่ ดก้ ลบั มาอีกเลย สสุ ีมะ,พระเจ้า พระเจ้าสุสีมะ ปรากฏในสุสีมชาดก๑๔๙๑ ความในอรรถกถา๑๔๙๒ มีเน้ือความสรุปพอสังเขป ดังตอ่ ไปน้ี ในอดตี กาลทกี่ รงุ สาวตั ถี ไดม้ ีพระราชาพระนามว่าสุสมี ะ ส่วนพระโพธิสัตว์บังเกิดในครรภ์ของ พราหมณีของพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของพระราชา ครั้นอายุได้ ๑๖ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม ต่อมามีราชพิธี เก่ียวกับช้างมงคลซึ่งตระกูลนี้เคยรับผิดชอบมา ๗ ชั่วตระกูล แต่เวลาน้ีไม่มีผู้สืบทอด ทาให้พราหมณ์ ท้ังหลายปรึกษากันว่า จะทาพิธีเอง เพราะบุตรของปุโรหิตยังเล็กนัก ไม่รู้ไตรเพท และสูตรต่างๆ ที่ใช้ใน การมงคลนี้ มารดาของพระโพธิสัตว์จึงร้องไห้เสียใจที่พิธีกรรมที่บรรพบุรุษเคยรับผิดชอบมาจะต้องตกไป อยู่ในมอื ของคนอื่น พระโพธิสัตว์เห็นมารดาเศร้าโศกเสียใจก็คิดหาหนทางแก้ไข โดยได้สอบถามหาอาจารย์ที่ เชย่ี วชาญจากมารดา ครั้นทราบแลว้ ก็ออกเดินทางไปหาอาจารย์ แจ้งความประสงค์ และขออาจารย์เรียน เป็นกรณีพิเศษด้วยตนเองมีเวลาแค่ ๔ วันเท่าน้ัน พิธีการต่าง ๆ ก็จะเริ่มข้ึน อาจารย์ได้จัดแจงให้ตาม ประสงค์ ใช้เวลาเรียน ๑ วันก็จบมนต์ของอาจารย์ เดินทางกลับ สามารถเสนอตัวให้พระราชายินยอมให้ ประกอบพิธีแทนปุโรหิตผู้เป็นบิดาได้โดยไม่มีพราหมณ์ผู้ใดคัดค้าน ท้ังนี้เพราะพระโพธิสัตว์ได้ประกาศให้ พราหมณ์ทุกคนในท่ีประชุมออกมาประลองไตรเพท และมนต์พิธีต่าง ๆ หากผู้ใดสามารถชนะตนได้ ก็จะ ยินยอมยกให้พราหมณ์ผู้นั้นเป็นผู้รับช่วงในการประกอบพิธี ซ่ึงไม่มีพราหมณ์คนไหนสามารถเอาชนะได้ พระโพธิสัตวจ์ ึงไดร้ บั การยอมรับ และเปน็ ผู้สืบทอดในการประกอบพธิ ีกรรมน้ีแทนบดิ าสืบต่อมา ๑๔๙๑ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๒๕/๗๐. ๑๔๙๒ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๘๕.
๓๗๒ โสการักขะ, อามาตย์ นายโสการกั ขะ เปน็ มหาอามาตย์ของพระเจา้ มุณฑะ ปรากฏในนารทสตู รแหง่ องั คุตตรนิกาย ปญั จกนบิ าต๑๔๙๓ ความสรุปพอสังเขปได้ดงั นี้ เม่ือพระมเหสีของพระเจ้ามุณฑะสวรรคต เป็นเหตุให้พระองค์ประสบทุกข์อย่างหนัก ไม่เป็น อันบาเพ็ญราชกิจ นายโสการักขะผู้เป็นอามาตย์เห็นว่าจะทาให้เกิดความเสียหาย จึงได้หาอุบายทูลเชิญ เสด็จไปสนทนาธรรมกับพระนารทะที่กุกกุฏาราม เขตเมืองปาลตีบุตร เม่ือทรงตอบรับ นายโกรารักขะผู้ เป็นอามาตย์ก็รับสนองดาเนินการเรื่องการข้ามแดนเพื่อให้พระราชาได้เสด็จไปพบพระนารทะได้ โดยสะดวก เม่ือเสด็จไปถึง พระนารทะได้แสดงฐานะ ๕ ประการท่ีสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครไม่พึงได้ ฐานะ ๕ ประการ ได้แก่ ๑) ขอสิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดา อย่าแก่ ๒) ขอส่ิงที่มีความ เจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บ ๓) ขอส่ิงท่ีมีความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย ๔) ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็น ธรรมดา อย่าส้ิน ๕) ขอสง่ิ ทม่ี ีความฉิบหายเป็นธรรมดา อย่าฉบิ หาย หลังจากท่ีพระราชาได้สดับพระเทศนาของพระนารทะโดยพิสดารแล้ว ก็ทรงคลายจากความ เศร้าโศก รับส่ังให้พระราชทานเพลิงศพนางภัททาราชเทวีแล้วให้ทาสถูปไว้ ต่อแต่นั้นก็ทรงกลับมาสนใจ ราชกิจดังเดมิ ทกุ ประการ โสณโกฬวิ ิสะ, พระ โสณะ หรอื โสณโกฬิวิสะ เดมิ เป็นบุตรคหบดใี นกรงุ จาปา เปน็ คนมลี กั ษณะละเอียดอ่อน พิเศษ คือมีขนขึ้นที่ฝ่าเท้าท้ังสอง ต่อมาพระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตร จึงได้ส่งราชทูตไปเรียกตัวให้ เข้าเฝา้ เพื่อทอดพระเนตร ครน้ั ทอดพระเนตรแล้วก็ส่งไปยังสานักของพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยมาณพอีก ๘๐,๐๐๐ คน พร้อมกับรับสั่งว่า พระองค์สอน หรือแนะนาได้เฉพาะประโยชน์ในปัจจุบันเท่าน้ัน ส่วน ประโยชน์ในภายหนา้ ขอถวายเปน็ ภาระของพระพทุ ธเจา้ มาณพเหลา่ นนั้ จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจา้ พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้ฟัง มาณพ ๘๐,๐๐๐ คน ได้บรรลุโสดาบัน ส่วนนายโสณะได้ กราบทูลขอบรรพขาในสานกั ของพระผมู้ ีพระภาค ก่อนจะประทานการบวช ทรงเตือนว่า การบรรพชาน้ัน ไมใ่ ชเ่ รอื่ งทาไดโ้ ดยงา่ ย ขอให้ไตร่ตรองใหด้ ี เมื่อทรงเห็นวา่ โสณะตัง้ ใจแนวแน่แล้ว กท็ รงประทานอนญุ าต พระโสณะคร้ันบวชแล้วไม่นานก็พักอยู่ ณ ป่าสีตะวัน ปรารภความเพียรอย่างหนัก ทาให้เท้า ท้ังสองแตก เลือดเปื้อนเต็มสถานท่ีเดินจงกรม ต่อมาท่านเกิดความคิดว่า ตนเองบาเพ็ญเพียรอย่างหนัก แต่ก็ไม่ไดบ้ รรลุ จึงเกดิ ความทอ้ แท้ ปรารถนาจะลาสิกขา พระศาสดาทรงทราบความคิดของเธอ จึงทรงหายจากภูเขาคิชกูฏ มาปรากฏที่ป่าสีตวัน ทอดพระเนตรเห็น ลานจงกรมเป้ือนไปด้วยเลือดก็ตรัสถาม ทรงทราบความแล้ว จึงได้เสด็จเข้าไปยังท่ีอยู่ ของพระโสณะ จากนั้นทรงแสดงความเพียรเปรียบเทียบพิณ ๓ สาย พระโสณะได้ยึดพระดารัสเป็น แนวทางปฏบิ ัติ บาเพ็ญเพียรแต่พอดี ไม่นานกไ็ ด้บรรลุเปน็ พระอรหนั ต์๑๔๙๔ ๑๔๙๓ อง.ฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๕๐/๘๒. ๑๔๙๔ ดโู สณโกฬิวสิ วัตถุ ใน วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๔๒/๑.
๓๗๓ โสณกะ,พระ พระโสณกะ เป็น ๑ ในพระมหาเถระที่ได้รับการระบุว่าเป็นผู้นาพระวินัยสืบๆ กันมาในชมพู ทวีปอันมีสิริ ประกอบด้วย พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ และพระโมคคัลลีบุตร๑๔๙๕ ซง่ึ ถัดจากพระเถระเหล่านแ้ี ลว้ กม็ ีพระมหนิ ทะ พระอฏิ ฏยิ ะ พระอตุ ติยะ พระสัมพละ และภัททบัณธิต ได้ เดนิ ทางจากชมพทู วีปมาทเี่ กาะสงิ หล ทาหนา้ ที่สบื ทอดพระวนิ ยั สอนนกิ าย ๕ และปกรณ์ ๗ โสณกุฏิกณั ณะ,พระ พระโสณกฏุ ิกัณณะ ปรากฏในโสณกุฏิกัณณวตั ถุ มหาวรรค แห่งพระวินัยปิฎก๑๔๙๖ ความระบุ วา่ พระโสณกุฏิกัณณะ เป็นอุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากของพระมหากัจจายนะ วันหนึ่งได้เข้าไปหา แจ้งความ ประสงค์ขอบวชในสานักของท่าน ครั้งแรกพระเถระได้เตือนว่า การบวชน้ันลาบาก อยู่เป็นฆราวาสก็ สามารถปฏิบัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้าได้ ท่านได้ยินพระเถระพูดอย่างนั้นก็เงียบไป ไม่พูดถึงการ บรรพชาอีก ต่อมาไม่นาน ท่านก็ตัดสินใจเข้าไปหาพระมหากัจจายนะอีก ครั้งท่ี ๒ ครั้งท่ี ๓ พระมหากัจ จายนะจึงอนุญาตให้บวช แต่เนื่องจากติดขัดเรื่ององค์สงฆ์ท่ีจะให้การอุปสมบทคือ ๑๐ รูป ในเวลานั้น ติดขดั ทาใหเ้ วลาล่วงเลยไปถึง ๓ ปี พระโสณกุฏิกณั ณะจงึ ได้มโี อกาสบรรพชาอุปสมบท ครนั้ บวชแลว้ มีความประสงคจ์ ะเห็นพระพกั ตรพ์ ระศาสดา จงึ ได้เข้าไปขออนุญาตพระมหากัจ จายนะ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ท่านก็เตรียมตัวออกเดินทาง โดยก่อนไป พระเถระได้ฝากให้พระโสณ กฏุ ิกณั ณะกราบทูลขออนุญาตผอ่ นผัน (๑) การอุปสมบทในชนบทจากท่กี าหนดองค์สงฆ์ไว้ ๑๐ รูป เป็น ๕ รูป ดว้ ยเหตหุ าภิกษไุ ดย้ าก (๒) ขอพทุ ธานญุ าตให้ภิกษุสวมรองเท้าได้ เนื่องจากในชนบทพ้ืนดินมีสีดามาก แข็ง มรี อยระแหงไม่สม่าเสมอ (๓) พทุ ธานญุ าตผอ่ นผนั สามารถอาบนา้ ไดเ้ ป็นนิตย์ (๔) พุทธานุญาตเครื่อง ลาดทาดว้ ยหนังแกะ หนังแพะ และหนังเนือ้ และ (๕) พุทธานุญาตสามารถรับฝากจีวรถวายรูปอื่น โดยไม ต้องปรับอาบตั ิเพราะการครอบครองเกินกาหนด พระโสณกุฏิกัณณะ คร้ันรับคาพระเถระแล้ว ก็ออกเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เม่ือไปถึง พระพทุ ธเจ้าได้มีรับสั่งให้พระอานนท์จัดที่พักให้อยู่ในวิหารหลังเดียวกับพระองค์ คร้ังน้ันพระผู้มีพระภาค ประทับอยูใ่ นท่ีแจ้งจนดึกจึงเสด็จเข้าไปพระวิหาร แม้พระโสณกุฏิกัณณะก็พักอยู่กลางแจ้งจนถึงดึกจึงเข้า พระวหิ าร คร้นั ถงึ เวลาใกล้รงุ่ พระผมู้ ีพระภาคก็ทรงเชื้อเชิญพระโสณะใหก้ ลา่ วธรรม พระโสณกุฏฏิกัณณะ รบั สนองพระดารัสแลว้ กส็ วดพระสตู รท้ังหมดในอัฏฐกวรรคโดยทานองสรภญั ญะ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสชื่นชมพระโสณกุฏิกัณณะ พร้อมกับตรัสถามว่าบวชนานเท่าไรแล้ว เม่อื พระโสณกุฏิกัณณะกราบทูลว่า เพ่ิงบวชได้พรรษาเดียวก็ตรัสถามว่า ทาไมเพ่ิงบวช อาศัยจังหวะนี้เอง ท่านก็เล่าเร่ืองความยากลาบากในชนบท จากนั้นก็กราบทูลขอพุทธานุญาตผ่อนผัน ๕ ประการท่ีพระ อุปชั ฌาย์ฝากมาให้ทรงทราบ พระพทุ ธเจ้าทรงพจิ ารณาแลว้ เหน็ ความจาเป็น จงึ ทรงอนญุ าตผอ่ นผัน๑๔๙๗ ตามที่พระมหากัจ จายนะกราบทูลฝากมาทกุ ประการ ๑๔๙๕ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๑๔๙๖ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๕๗/๓๒. ๑๔๙๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๕๙/๓๙.
๓๗๔ อน่ึง ในอรรถกถาธรรมบท๑๔๙๘ ระบุว่า ช่วงขณะท่ีพระโสณกุฏิกัณณะสวดพระสูตรจบลง ภุมมัฏฐกเทวดา นาค และสุบรรณ ได้ให้สาธุการเป็นทอด ๆ กระทั่งถึงพรหมโลก แม้เทวดาที่อยู่ในเรือน ของมารดาพระโสณกุฏิกัณณะก็เปล่งสาธุการเช่นเดียวกัน ทาให้นางแปลกใจ เพราะก่อนหน้าที่ไม่เคยได้ ยินเสียงสาธกุ ารจากเทวดา เทวดาไดเ้ ลา่ ให้ฟงั วา่ ที่เปล่งสาธุการ ไม่ใช่เปล่งให้นาง แต่เปล่งให้พระลูกชายของท่าน พร้อม กับเล่าเรื่องราวให้นางฟังว่า วันน้ีพระบุตรชายของท่านได้แสดงธรรมแก่พระศาสดา พระศาสดาสดับแล้ว ทรงเลื่อมใส จงึ ไดป้ ระทานสาธกุ าร เพราะเหตุนน้ั เทวดาทัง้ หลายจึงได้ให้สาธุการแก่พระบุตรชายของท่าน ด้วย ทาให้นางเกิดปีติ และแสดงความปรารถนาให้พระบุตรชายแสดงธรรมให้ฟังเมื่อกลับจากเฝ้าพระ ศาสดา ในอรรถกถาธรรมบทยังระบุไว้ด้วยว่า วันท่ีนางนัดแนะให้พระโสณกุฏิกัณณะแสดงธรรม โจร ๙๐๐ คน ได้ถือโอกาสปล้นบ้าน แต่ด้วยอานุภาพแห่งความดีที่นางได้ทา ทาให้โจรเกิดความเล่ือมใส และ ขอบวชในสานักของพระโสณกฏุ กิ ณั ณะทัง้ หมด โสณา, ภกิ ษณุ ี นางโสณาภิกษุณี มีประวัติกล่าวถึงเล็กน้อยในเถรีคาถา ๑๔๙๙ ความระบุว่า นางมีบุตร ๑๐ คน เมอื่ แกต่ วั ไดไ้ ปวัด และไดฟ้ งั ธรรมจากสานักของภิกษุณีเร่ืองขันธ์ อายตนะ และธาตุ เกิดความเลื่อมใส จึง ไดโ้ กนผมบวช ครั้นบวชแล้ว ขวนขวายไดส้ าเรจ็ พระอรหันต์ และกไ็ ด้ทิพยจกั ขุญาน สามารถระลึกชาตไิ ด้ ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย๑๕๐๐ มีข้อมูลเพิมเติมว่า นางเกิดในครอบครัวชาวเมืองสาวัตถี ต่อมาไดแ้ ตง่ งาน และมบี ุตรธดิ ามาก ครั้นบุตรธดิ าได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว นางก็ถูกทอดทิ้ง เมื่อไม่เห็น ที่พึง่ อน่ื จึงไดไ้ ปบวชในสานักภิกษุณี ครั้นบวชแล้ว ไม่รู้ข้อวัตร เป็นเหตุให้นางถูกทาทัณฑกรรม บุตรธิดา ของนางทราบข่าวว่านางต้องทัณฑกรรม แทนที่จะเห็นอกเห็นใจ กลับพูดทานองดูหมิ่นว่าแม้สิกขา เลก็ นอ้ ยก็ไมร่ ู้ นางได้ยินคาพูดของบุตรธิดาเหล่านั้น เกิดความสลดใจ คิดว่า ควรชาระคติของตน ตั้งแต่นั้น ได้สาธยายอาการ ๓๒ ทั้งอิริยาบถน่ังและอิริยาบถยืน วันหน่ึงเหล่าภิกษุณีได้สั่งให้นางต้มน้าถวายภิกษุณี สงฆ์ นางตม้ น้าในโรงไฟ ขณะเดียวกันก็ทอ่ งบ่นอาการ ๓๒ พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็น จึงได้เปล่ง โอภาสแสดงธรรมโปรดนาง จบพระคาถา นางกบ็ รรลเุ ป็นพระอรหันต์ คร้ันนางได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว เกรงว่าคนอื่นไม่รู้ ปฏิบัติต่อนางไม่ถูกต้อง จะประสบ บาปกรรมมาก นางจงึ ได้แสดงนัยใหภ้ ิกษณุ ีทั้งหลาย โดยการต้มน้าโดยไม่ใช้ไฟ คือต้ังแต่น้าไว้บนเตา ตอน แรกภิกษุณีที่ไม่รู้ก็ตาหนินาง ว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ก่อไฟ คร้ันนางให้ไปเทเอาน้า ภิกษุณีเหล่าน้ันจึงเอามือ จุ่มดูจึงรู้ว่าเป็นน้าร้อน ภิกษุณีท้ังหมดทราบความที่นางเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงได้หมอบกราบด้วย เบญจางคประดษิ ฐ์ ขอขอมาในกริ ยิ าท่ีล่วงเกิน อนึง่ นางโสณาภิกษุณี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตาแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุณี ทงั้ หลายผู้ปรารภความเพยี ร๑๕๐๑ ๑๔๙๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๓๗๐. ๑๔๙๙ ข.ุ เถร.ี (ไทย) ๒๖/๑๐๒/๕๗๒. ๑๕๐๐ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๔. ๑๕๐๑ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๒๒๒/๔๘๔.
๓๗๕ โสณทณั ฑะ, พราหมณ์ โสณทัณฑพราหมณ์ ปรากฏในโสณทัณฑสูตร แห่งทีฆนิกาย๑๕๐๒ ความระบุไว้ว่า พราหมณ์ โสณทัณฑะ ได้ครอบครองนครจาปา จากพระเจ้าพิมพสิ ารพระราชทานบาเหน็จให้เป็นส่วนของพรหมไทย วนั หนึง่ ทราบขา่ วว่าพระผมู้ พี ระภาคเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป จึงได้ร่วมเดินทางไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจา้ ดว้ ย พวกพราหมณ์ทั้งหลายทราบข่าวว่าโสณทัณฑพราหมณ์จะกาลังเดินทางไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจา้ ก็พากนั ไปห้ามเพราะถือเป็นการเสียเกียรติ และเป็นการไม่เหมาะสม ทางท่ีถูก พระพุทธเจ้า ตา่ งหากทีต่ ้องเปน็ ฝา่ ยมาหา โสณทัณฑพราหมณ์ได้ยินอย่างนั้น จึงได้กล่าวห้าม พร้อมทั้งยืนยันว่าตนต่างหากควรเข้าเฝ้า พระพุทธเจา้ จากน้ันกก็ ล่าวสรรเสริญพระพทุ ธคุณโดยประการตา่ งๆ อนึ่ง โดยปกติโสณทัณฑพราหมณ์เป็นคนโง่ ไม่ฉลาด เมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็เกิดความ หว่ันแกรง ไม่กล้าคาถาม หรือกลัวตอบคาถามพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะทาให้เสียหน้าท่ามกลางคนหมู่มาก พระพุทธเจ้าทรงทราบความดาหริของพราหมณ์ จึงได้ถามเรื่องไตรเพท ซ่ึงเป็นเร่ืองที่พราหมณ์รู้จักเป็น อย่างดี พราหมณ์จงึ สามารถตอบคาถามไดเ้ ปน็ อย่างดี ประเด็นท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถามพราหมณ์ เป็นเรื่องคุณสมบัติของพราหมณ์ว่ามีกี่อย่าง ซ่ึง พราหมณ์ไดแ้ จกแจงคณุ สมบตั หิ ลัก ๕ ประการ จากน้ันก็ทรงใหล้ ดลงวา่ สุดทา้ ยขาดคณุ สมบัติข้อไหนแล้ว เป็นพราหมณ์ไม่ได้ สุดท้ายจึงเหลือคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ ศีล กับปัญญา ซึ่งพราหมณ์ยันว่า ขาด ๒ ประการนไ้ี ม่ได้ การที่พราหมณ์โสณทัณฑะได้กราบทูลเช่นน้ัน ทาให้พราหมณ์เป็นจานวนมากไม่พอใจ และ กลา่ วหาว่าพราหมณโ์ สณทัณฑะกาลังดูหมนิ่ พวกพราหมณ์ พระพุทธเจ้าจึงประกาศให้ผู้ท่ีเห็นว่าพราหมณ์ กล่าวไม่ถูกให้ลุกโต้แย้ง โสณทัณฑพราหมณ์จึงขอทาหน้าท่ีช้ีแจงต่อหน้าบริษัทให้เห็นว่า ท่ีตนกล่าวน้ัน เป็นการถกู ตอ้ งแล้ว โดยได้ยกตัวอย่างองั คกะมาณพผู้เปน็ หลานมาเปน็ อุทาหรณ์ อังคมาณพเป็นพราหมณ์มีรูปงาม ท้ังรู้มนต์ เรียนจบคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ ชานาญใน คัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ เธอบริสุทธิ์ท้ังฝ่ายบิดาและมารดา ๗ ชั่วโคตร ไม่มีใครติเตียนได้ แตอ่ ังคมาณพก็ยังประพฤติผดิ ศลี ธรรม ฆ่าสตั ว์บ้าง ลักทรพั ยบ์ ้าง คบหาภริยาบุคคลอ่ืนบ้าง กล่าวเท็จบ้าง พดู คาหยาบบ้าง ดืม่ นา้ เมาบา้ ง ฐานะจกั ทาอะไรได้ มนตจ์ ะทาอะไรได้ ชาติจะทาอะไรได้ ภายหลังจากน้ันพระพุทธเจ้าได้แสดงเรื่องจุลศีล มัชฌิมศีล ที่พระองค์ยึดปฏิบัติมาจบกถา พราหมณ์โสณทัณฑะเกิดความเลื่อมใสศรัทธา กล่าวชมเชยพระดารังของพระผู้มีพระภาค จากน้ันได้ ปฏิญาณตนเป็นผู้นับถือพระรตั นตรัยตลอดชีวิต โสปากะ,สามเณร โสปากสามเณร ปรากฏในขุททนิกาย ขุททกปาฐะ๑๕๐๓ ว่าด้วยการถามปัญหากับสามเณรโส ปากะ นบั ต้ังแตอ่ ะไรชอ่ื วา่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ฯลฯ กระท่ังถึงคาถามว่า อะไรชื่อว่า ๑๐ ซึ่งสามเณรได้ตอบ ว่า ๑ คืออาหาร, ๒ คือ นามและรูป, ๓ คือ เวทนา ๓, ๔ คือ อริยสัจ ๔, ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕, ๖ คือ ๑๕๐๒ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๗๘/๑๑๘. ๑๕๐๓ ข.ุ ข.ุ (ไทย) ๒๕/๑/๕.
๓๗๖ อายตนะ ๖, ๗ คือ โพชฌงค์ ๗, ๘ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘, ๙ คือ สัตตาวาส ๙ และ ๑๐ คือ บุคคลผู้ ประกอบด้วยองค์คณุ ๑๐ ประการ ในอรรถกถาวิภังค์ แห่งพระวินัยปิฎก๑๕๐๔ ระบุว่า สามเณรปากะน้ี ได้รับการอุปสมบท และ บรรลุพระอรหันต์ต้ังแต่อายุ ๗ ขวบ เหตุผลเพราะสามารถแก้ปัญหาทัดเทียมกับสัพพัญญตญาณของ พระพทุ ธเจา้ ถือเป็นการบวชดว้ ยวธิ พี เิ ศษ เรยี กว่า ปัญหาพยากรณอปุ สมั ปทา ในอรรถกถาโสปากเถรคาถา๑๕๐๕ ระบุว่า ท่านกาเนิดในท้องของหญิงยากจนคนหนึ่ง ในนคร สาวัตถี ตลอดคลอดมารดาทุกข์ทรมานจนสลบ ไม่สามารถคลอดได้ นอนเหมือนคนตายเป็นระยะ เวลานาน คนท้ังหลายเข้าใจว่าตายแล้ว จึงนาป่าช้าเตรียมทาการฌาปนกิจ แต่ด้วยอานาจแห่งกุศลที่ บาเพญ็ มาจะตอ้ งสาเรจ็ พระอรหนั ต์ในชาตนิ ้ี เทวดาจึงบันดาลให้ฝนตก ไม่สามารถก่อไฟติด สุดท้ายคนจึง ท้ิงไว้ที่ป่าช้า ต่อมาทารกได้ออกมาจากครรภ์มารดา ต่อมาเทวดาได้นาท่านไปวางไว้ที่บ้านคนเฝ้าป่าช้า และไดร้ บั การเลยี้ งดจู ากคนเฝา้ ป่าช้าจนกระทั่งเติบใหญ่ เพราะความท่ีเกิดและเจริญเติบโตในป่าช้า จึงได้ นามวา่ โสปากะ วันหนึ่งพระพุทธเจ้ามองเห็นเขาเข้ามาสู่ข่ายคือพระญาณ จึงได้เสด็จไปท่ีป่าช้า แสดงธรรม โปรด เขาเกดิ ความเลื่อมใส จึงได้ขอบรรพชา ครั้นได้บรรพชาแล้ว ได้เจริญเมตตากัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ ยังฌานมีเมตตาให้เกิดข้ึนแล้ว ต่อมาไม่นานนัก ทาฌานให้เป็นบาท เจริญวิปัสสนา กระทาให้แจ้งซ่ึงพระ อรหัต โสภะ,พระราชา พระเจ้าโสภะ ปรากฏพระนามในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค๑๕๐๖ ความระบุถึงแต่เพียงว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ มีพราหมณ์ยัญญทัตเป็นพระบิดา นางพราหมณีอุตตราเป็นพระ มารดาผ้ใู ห้กาเนิด สมยั น้นั ได้มพี ระราชาทรงพระนามว่าโสภะ กรงุ โสภวดีเปน็ ราชธานขี องพระเจ้า โสภะ ขทุ ทนิกาย พุทธวงศ๑์ ๕๐๗ ระบุไวว้ า่ ตระกูลใหญ่ของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าอยู่ในพระนครนนั้ โสมทัต, พราหมณ์ โสมทัตทัตพราหมณ์ ปรากฏในโสมทัตตชาดก๑๕๐๘ ความในอรรถกถา๑๕๐๙ พรรณนาว่า โสมทัตเกิดในตระกูลยากจน จึงคิดหาหนทางไปศึกษาศิลปะวิทยาเพื่อยกสถานะของตนเอง ครั้นศึกษา สาเรจ็ แลว้ ก็ไดร้ บั ราชการในราชสานกั ตามความประสงค์ และเปน็ ทโ่ี ปรดปรานของพระราชา อยู่มาวันหนึ่ง โคที่บ้านของโสมทัตเกิดตายไปตัวหน่ึง บิดาจึงมาปรับทุกข์ ขอให้บุตรชายนา เรื่องกราบทูลขอพระบรมราชานุเคราะห์วัวอีกตัวหน่ึง เพื่อใช้ในการไถนา แต่โสมทัตเห็นว่า ตนเองรับ ราชการได้ไมน่ าน จะขอเหน็ เป็นการไม่สมควร จึงแนะนาให้บิดาเป็นผู้ขอเอง โดยเบ้ืองต้นได้ซักซ้อมเกือบ ขวบปเี พ่อื ไมใ่ หเ้ กดิ ความประหม่า เม่อื เห็นวา่ พอสมควรแลว้ กน็ ดั แนะวันเข้าเฝา้ ขอพระราชทานวัว ๑๕๐๔ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑/๗๗๒. ๑๕๐๕ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๒๐๓. ๑๕๐๖ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๑๕๐๗ ขุ.พุทฺธ.(ไทย) ๓๓/๑๖/๗๐๙. ๑๕๐๘ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๒๑/๙๗. ๑๕๐๙ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๓/๓๒๓.
๓๗๗ บิดาของโสมทัตเมื่ออยูต่ ่อหน้าพระท่นี ั่ง ได้เกิดความประหม่า แทนทจี่ ะขอพระราชทานโคจาก พระราชา กลบั พดู กลบั กนั ว่า ตนมวี ัว ๒ ตัว ตัวหน่ึงได้ตายไป จึงขอถวายตัวที่ ๒ พระราชาทรงพระสรวล พรอ้ มกบั ตรสั ว่า ในบา้ นคงจะมีวัวหลายตวั โสมทัตเห็นบิดาพลาด ก็เลยกราบทูลว่า ถ้าพระองค์พระราชทาน ก็จะมีหลายตัว ทาให้ พระราชาทรงรู้สึกพอพระทัย ได้พระราชทานวัว ๑๖ ตัว พร้อมกับเครื่องประดับ และบ้าน เป็นรางวัล แลว้ สง่ พราหมณก์ ลับไป โสมนสั ,พระราชกมุ าร ความในอรรถกถา๑๕๑๐ ระบวุ า่ โสมนัสกมุ าร เปน็ พระโพธิสตั ว์ ประสูตจิ ากครรภ์ของพระนาง สธุ รรมาราชเทวี พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าเรณุราช ผู้ครองกรงุ อุตตรปัญจาลนคร แคว้นกุรุใน อดีตกาล เม่ืออายุได้ ๗ ขวบ ขณะท่ีพระราชบิดาเสด็จไปปราบจลาจลในชนบท ได้รับส่ังให้พระกุมาร ช่วยดูแลพระดาบสที่อยู่ในพระราชอุทยาน อย่าได้ประมาท พระกุมารก็ได้เสด็จเข้าไปในพระราชอุทยาน พบพระดาบสนุ่งผ้ากาสาวะหยักรั้งผืนหนึ่ง ห่มผืนหน่ึง สองมือกาลังหิ้วหม้อน้ารดผักอยู่ ก็ทราบว่า พระ ดาบสไม่ได้บาเพ็ญสมณธรรมที่เหมาะสม จึงได้เอ่ยขึ้นเพื่อให้พระดาบสละอายด้วยพระดารัสว่า คหบดี พ่อค้าผกั และไมไ่ ด้แสดงความเคารพ ทาใหพ้ ระดาบสเคอื ง ตงั้ แต่น้นั มากห็ าทางกาจัดพระกมุ าร วันหน่ึง พระดาบสทราบข่าวว่าพระราชเสด็จกลับจากปราบจลาจลในชนบทแล้ว ก็แกล้งทุบ ต่อยหม้อน้า เคร่ืองใช้ไม้สอยในบรรณศาลา เอาน้ามันทาตัว จากนั้นก็นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง พระราชา เมือ่ เสดจ็ กลับมา ก่อนจะเข้าพระนครก็เสด็จเข้าไปไหว้พระดาบส ครั้นทอดพระเนตรเห็นอาการผิดปกติก็ ตรัสถามสาเหตุ พระดาบสจึงปรับทุกข์ว่าถกู พระกุมารเบยี ดเบยี น พระราชาทรงสดับเช่นน้ันก็ทรงกริ้ว ไม่พอพระทัย รับสั่งให้ไปจับพระราชกุมารมาประหาร ชีวติ แล้วเอาพระเศียรมาถวาย ราชบุรษุ ทั้งหลายกด็ าเนินการตามรับส่ัง ได้ไปจับพระราชกุมารเพ่ือเตรียม ประหารชีวิต แต่ก็ได้รับขอร้องจากพระราชกุมารเพื่อขอโอกาสเข้าเฝ้าพระราชบิดาก่อน ราชบุรุษ ท้งั หลายจึงไดน้ าพระราชกุมารเขา้ เฝ้า พระราชกุมาร เม่ือได้เข้าเฝ้าแล้ว ก็กราบทูลเร่ืองราวต่าง ๆ ให้ทราบ นับต้ังแต่ได้เห็นพระ ดาบสรดนา้ ผกั อยู่ เอาผกั ไปขายในตลาด ทาตัวเหมือนชาวบ้าน และตนจึงได้เรียกพระดาบสน้ันด้วยวาทะ ว่าคหบดี อย่างนี้จะถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ เพราะพฤติกรรมของพระดาบสเป็นอย่างน้ัน จากน้ันกราบ ทลู ให้พสิ จู นด์ ้วยการสอบถามพ่อค้าในตลาด ตรวจสอบบรรณศาลาดูกหาปณะท่ีดาบสส่ังสมจากขายผักว่า เปน็ จริงตามที่กราบทูลหรือไม่ พระราชาเมอ่ื ไดต้ รวจสอบเหน็ จริงตามนัน้ ก็ตัดสินให้พระราชกุมารพ้นผิด แต่ก็ยังทรงเข้าข้าง ดาบสว่าเป็นผู้ไม่ประมาท รู้จักเก็บรักษาส่ิงของ ทาให้พระราชกุมารตัดสินพระทัยลาผนวช เพราะไม่อาจ อยกู่ บั พระราชาผไู้ มเ่ คารพธรรมได้ โสมทัสกุมารได้กราบทูลลาพระชนก พระชนนี เสด็จออกบรรพชาท่ีหิมวันตประเทศ ถือเพศ เปน็ ดาบส อยูใ่ นบรรณศาลา จวบพระชนมายไุ ด้ ๑๖ ปี ยงั ฌานและอภิญญาให้เกดิ ขึน้ แล้ว ได้เข้าถึงพรหม โลก ๑๕๑๐ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๗/๑๖๘.
๓๗๘ โสภติ ะ, พระ พระโสภติ ะในมหาวรรคแหง่ พระวนิ ยั ปิฎก๑๕๑๑ ระบุว่า ท่านถูกพระภิกษุด้วยกันตาหนิ เพราะ อวดอุตริมนุสสธรรม โดยพูดกบั ภิกษทุ ัง้ หลายว่าตนเองระลกึ ชาติได้ ๕๐๐ กัป เร่ืองของท่านถูกนาไปกราบ ทูลให้พระศาสดาทรงทราบ พระศาสดาครั้นทรงทราบแล้วก็ไม่ได้ปรับอาบัติแต่อย่างใด เพราะทรงเห็นว่า คาทพี่ ระโสภติ ะกลา่ วน้นั เป็นจรงิ ในอังคุตตรนิกาย๑๕๑๒ ระบุว่า พระโสภิตะน้ี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศกว่า ภกิ ษทุ ั้งหลายผ้รู ะลกึ ชาตไิ ด้ โสมา,พระนาง พระนางโสมา เป็นพระภคินีของพระเจ้าปเสนทิโกศล เรื่องของพระนางปรากฏในกัณณกัตถล สูตร๑๕๑๓ ความระบุว่า พระนางทรงทราบว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จึงได้ฝาก กราบถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ฝากถามถึงพระสุขภาพพลานามัย ความอยู่สาราญของพระผู้มีพระ ภาค เมือ่ ความทราบถึงพระผ้มู ีพระภาค จึงตรัสถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า พระภคินี โสมาไม่ทรงได้ผู้อ่ืน เปน็ ทตู แลว้ หรือ จากนัน้ กท็ รงถวายพระพรให้พระภคินีโสกุลาทรงพระสาราญ อนึ่ง นอกจากพระนางโสณาแล้ว ยังมีพระภคินีของพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หน่ึงพระ นามว่า พระนางสกุลา ท้ังสองพระองค์น่าจะมีความคุ้นเคยกับพระผู้มีพระภาคพอสมควร มิเช่นนั้น คงไม่ ฝากถามข่าวคราวเก่ียวกับพระผู้มีพระภาค และพระผู้มีพระภาคก็ทรงฝากถวายพระพรให้พระนางด้วย เช่นกัน โสตถิชะ,พระ พระโสตถิชะในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๕๑๔ ระบุว่าเป็นพุทธอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโก นาคมนะ ประวัตนิ อกเหนือจากน้ี ไมป่ รากฏรายละเอียด ห หตั ถนิ กิ ะ, พระราชกุมาร พระหัตถินิกราชกุมาร เป็น ๑ ในพระราชกุมาร ๔ พระองค์ ของพระเจ้าโอกกากราช แต่ถูก เนรเทศออกจากเมือง เน่ืองจากพระองค์มีพระประสงค์จะยกราชสมบัติแก่พระโอรสของมเหสีท่ีโปรด ปราน โดยพระราชโอรสท้งั ๔ พระองคน์ ้ี ได้ไปสร้างเมืองใหม่ท่ีราวป่าสัก ริมฝั่งสระโบกขรณี เชิงภูเขาหิม พานต์ และถอื เป็นตน้ กาเนดิ กบิลพสั ด์ุ และตน้ ตระกูลศากยวงศ์ โกลยิ วงศใ์ นเวลาต่อมา พระราชโอรสท้ัง ๔ พระองค์ ได้แก่ พระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถิ นิกราชกมุ าร และพระสินีปรุ ราชกุมาร หัตถสิ ารีบตุ ร,พระ ๑๕๑๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๒๓๒/๒๔๗. ๑๕๑๒ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๒๗/๒๙. ๑๕๑๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๗๕/๔๖๐. ๑๕๑๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕.
๓๗๙ พระหัตถิสารีบุตร หรือพระจิตตหัตถิสารีบุตร มาในหัตถิสารีปุตตสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย ฉก นบิ าต๑๕๑๕ ความสงั เขปดงั ตอ่ ไปนี้ ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมคฤทายวัน เขตกรุงพาราณสี พระภิกษุ จานวนมากน่ังสนทนาเก่ียวกับอภิธรรมในโรงฉัน ขณะนั้นพระจิตตหัตถิสารีบุตรได้พูดสอดข้ึนในระหว่าง พระมหาโกฏฐิกะจึงได้กล่าวห้าม ทาให้อันตเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตรไม่พอใจ กล่าวทักท้วง เช่นกันว่า แมพ้ ระมหาโกฏฐิกะก็อยา่ รุกรานพระจิตตหัตถิสารีบุตร ๆ ก็เป็นบัณฑิต สามารถกล่าวอภิธรรม กบั ภกิ ษุผู้เปน็ พระเถระได้ พระมหาโกฏฐิกะได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า ผู้ที่ไม่ทราบวาระจิตของบุคคลอ่ืน ย่อมไม่รู้ (๑) ผู้ มีอาการสงบเสง่ียมของบุคคลบางคนเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าครู หรือต่อหน้าศาสดา (๒) ผู้สงัดจากกาม และอกุศลได้บรรลุปฐมฌาน แต่ยังคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่ (๓) ผู้มีวิตกวิจารระงับไป ได้บรรลุทุติยฌาน แล้ว แต่ยังคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่ (๔) ผู้มีปีติจางหายไป อยู่ด้วยอุเบกขา ได้บรรลุตติยฌานแล้ว แต่ยัง คลุกคลดี ว้ ยหมู่คณะ (๕) ผูล้ ะทกุ ข์และสขุ ได้แล้ว บรรลจุ ตุตถฌานแลว้ แตย่ งั คลกุ คลดี ้วยหมู่คณะ (๖) ผู้ไม่ มมี นสกิ ารในนิมิตท้ังปวง เข้าถึงเจโตสมาธิแล้ว แต่ยงั คลุกคลดี ว้ ยหม่คู ณะอยู่ ความหมายของพระมหาโกฏฐิกะก็คือ ถ้ายังอยู่ในภาวะอย่างนี้ ก็ยังเอาแน่นอนไม่ได้ นัยหนึ่ง เทา่ กับเป็นการปรามอันเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตร ซึ่งก็จริงดังนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พระ จิตตหัตถิสารีบุตร ก็ลาสิกขาคืนสู่ความเป็นคฤหัสถ์ ทาให้อันเตวาสิกของพระจิตตหัตถิสารีบุตรแปลกใจ ได้เข้าไปถามพระมหาโกฏฐิกะว่ารู้วาระจิตของพระจิตตหัตถิสารีบุตร หรือว่าเทวดามาได้มาแจ้งข่าวให้ ทราบ พระมหาโกฏฐิกะไดบ้ อกวา่ ทัง้ รเู้ อง และเทวดาก็มาบอกเน้อื ความนี้ดว้ ย ต่อมาภิกษุเหล่าน้ันก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเรื่องราวท่ีพระจิตตหัตถิสารี บุตรลาสิกขาให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบเรื่องแล้ว ก็ทรงตรัสว่า อีกไม่นาน พระจิตตหัตถิสารี บุตรก็จะระลึกถึงคุณของเนกขัมมะ และกลับมาบรรพชาอุปสมบทอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะ หลังจากนัน้ ไม่นาน พระจิตตหัตถิสารีบุตรก็ได้กลับมาบวชอีกคร้ัง ครั้งนี้ท่านไม่ประมาท หลีกออกจากหมู่ บาเพ็ญสมณธรรม ไดเ้ ข้าบรรลุพระอรหนั ตใ์ นทส่ี ดุ หตั ถกอาฬวกะ, อุบาสก หัตถกอุบาสก เป็นชาวเมืองอาฬวี จึงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า พระหัตถกอาฬวกะ ส่วนในคัมภีร์ อรรถกถาระบุว่า ที่ได้สร้อยนามว่า หัตถกะ อาฬวกะ เพราะเมื่อคร้ังเป็นเด็ก พระผู้มีพระภาคทรงรับมา จากมือของอาฬวกยักษ์ ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ทารกน่าจะถูกยักษ์จับไป แต่ได้อาศัยพระบารมีของ พระพทุ ธเจา้ นากลบั มาคืนให้กบั บดิ ามารดา ในทตุ ิยหัตถกสตู ร๑๕๑๖ มรี ายละเอียดว่า หัตถกอุบาสก มีอุบาสก ๕๐๐ คน เป็นบริวาร ครั้งห นี่ง พระผู้มีพระภาคได้เคยตรัสถาม มีบริษัทมากอย่างน้ี บริหารจัดการอย่างไร ท่านได้กราบทูลว่า ใช้ หลักสังคหวัตถุ ๔ ประการ พระผู้มีพระภาคได้ประทานสาธุการ พร้อมกับทรงยืนยันว่า หลักสังคหวัตถุนี้ สามารถใชเ้ ป็นเคร่ืองสงเคราะห์บริษัทจานวนมากได้จริง ๑๕๑๕ องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๖๐/๕๕๔. ๑๕๑๖ อง.ฺ สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๔/๒๖๗.
๓๘๐ หัตถกะอุบาสก ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๘ ประการ คือ เป็นผู้มีศรัทา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหูสูต จาคะ ปัญญา และมีความมักน้อย ในปฐมหัตถิกสูตร๑๕๑๗ มี ปรากฎขอ้ ความวา่ ทา่ นได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าด้วยคุณสมบัติพิเศษ ๗ ประการ ท่านจึงได้กราบ เรียนสอบถามภิกษุรูปหน่ึงว่า ฆราวาสนุ่งขาวอย่างท่าน ไม่มีในตาแหน่งที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ บ้างเลยหรือ ภิกษุทราบความน้ันจึงได้กลับไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงให้ภิกษุท้ังหลาย ทรงจาหตั ถกะอุบาสกวา่ เป็นผู้ประกอบดว้ ยธรรมน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาคือ ความเป็นผู้ไม่ปรารถนาให้คน อื่นรู้กศุ ลธรรมที่มีอยใู่ นตน หตั ถกศากยบุตร, พระ พระหัตถกะ รูปนี้เป็นชาวเมืองศากยะ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หัตถกศากยบุตร ในคัมภีร์ธรรม บท๑๕๑๘ ระบวุ ่า พระผู้มีพระภาคตรัสถึงท่านด้วยทรงปรารภพระคาถาที่ว่า ผู้ไม่มีวัตร พูเดจาหลาะแหละ โลเล แม้บวชเป็นพระ ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นสมณะ ส่วนผู้ระงับบาปใหญ่น้อยลงได้สิ้นเชิง จึงจะเรียกว่า สมณะ ในพระวินยั ๑๕๑๙ ระบุว่า ท่านเปน็ ต้นบญั ญัติของสิกขาบท ภกิ ษุต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ เพราะการกล่าวเท็จทั้ง ท่รี ู้ มลู เหตุมาจากการทที่ ่านชอบคยุ โออ้ วด วา่ เคยทา้ โต้วาทะกบั เดียรถีย์ เวลาถูกถามก็มักพูดกลบเกล่ือน ไปมาหาความจริงไมไ่ ด้ สอดคลอ้ งกบั ความในอรรถกถาธรรมบท๑๕๒๐ สรปุ พอสงั เขปดังน้ี พระหัตถกะ มักชอบพูดฟุ้งไป บางครั้งก็กล่าวอวดตนว่า ท้าโต้วาทะกับพวกเดียรถีย์ แต่พวก เดียรถีย์กลัวไม่กล้ามาโต้ด้วยบ้าง บ้างก็พูดจากกลบเกล่ือน พระผู้มีพระภาคทรงทราบความ จึงได้ตรัสให้ เรียกตัวมาตักเตือนโดยนัยแห่งพระคาถาที่กล่าวข้างต้น ส้ินพระคาถคา ชนเป็นอันมากได้บรรลุเป็นพระ โสดาบัน แตใ่ นคัมภรี ไ์ ม่ไดร้ ะบวุ ่าพระหตั ถกะไดบ้ รรลดุ ว้ ยหรอื ไม่ ความเก่ียวกับพระหตั ถกะ มเี พยี งเท่าน้ี หัตถาโรหะ, ผใู้ หญบ่ า้ น ผู้ใหญ่บ้านช่ือหัตถาโรหะ ปรากฏในหัตถาโรหสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๕๒๑ ความระบุไว้ว่า ผใู้ หญบ่ ้านช่อื หตั ถาโรหะ ได้เขา้ ไปเฝา้ พระผ้มู ีพระภาค กราบทูลถามถึงกรณีตนเองได้รับการสั่งสอนมาแต่ อาจารย์ก่อนๆ ว่า การทาหน้าที่สังหารในสนามรบของพวกนักรบทั้งหลาย ตายไปแล้วจะได้ไปบังเกิดใน เหล่าเทพช่อื สรชติ ขอ้ เท็จจริงเปน็ ประการไร พระผู้มพี ระภาคไดต้ รสั ห้ามวา่ อยา่ พูดถึงปัญหาน้ีเลย ถึง ๓ คร้ัง แต่ผู้ใหญ่บ้านชื่อหัตถาโรหะ หาได้ยนิ ยอมไม่ แสดงความประสงคต์ ้องการทราบอย่างเดยี ว พระผ้มู ีพระภาคจึงตรัสตามความเป็นจริงว่า แท้จรงิ แล้ว จักไปบังเกิดในนรกชือ่ สรชติ ๑๕๑๗ อง.ฺ สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๓/๒๖๔. ๑๕๑๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๖๔/๑๑๔. ๑๕๑๙ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๒/๑๘๖. ๑๕๒๐ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๔/ ๘๒. ๑๕๒๑ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๖/๓๙๙.
๓๘๑ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ร้องไห้ พร้อมกับกราบทูลว่า ท่ีร้องไห้เพราะ เสียใจท่ีถูกอาจารย์หลอกให้หลงผิด เข้าใจผิดมาเป็นระยะเวลายาวนาน และตั้งแต่นี้ต่อไป ขอถึงพระ รัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ติ หตั ถิปาละ,เจา้ ลัทธิ ครหู ัตถปิ าละ ถือเปน็ ๑ ใน ๖ ของเจ้าลัทธิผู้มชี ื่อเสียงในสมยั พทุ ธกาล ประกอบด้วย ครูสุเนต ตะ ครูมูคปักขะ ครูอรเนมิ ครูกุททาลกะ ครูหัตถิปาละ และครูโชติปาละ ท้ังหมดมีสาวกหลายร้อยคน และถือเปน็ ครูผูป้ ราศจากความกาหนดั ในกามทั้งหลาย แสดงธรรมแก่สาวกท้ังหลายเพื่อความเป็นผู้เกิดใน พรหมโลก ทั้งได้รับการยืนยันจากพระผู้มีพระภาคว่า ผู้ใดเลื่อมใสคาสอน ปฏิบัติตามครูเหล่านี้ ก็จะเป็น เหตุให้เกิดในพรหมโลก๑๕๒๒ หุหุกชาต,ิ พราหมณ์ พราหมณ์หุหุกชาติ ปรากฏในอชปาลกถา๑๕๒๓ และขุททนิกาย ขุททกปาฐะ๑๕๒๔ ความ พรรณนาไว้ว่า หลงั จากทีพ่ ระพทุ ธเจ้าไดต้ รัสร้ใู หม่ๆ พราหมณ์ผู้น้ีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลถาม ถงึ ธรรมทท่ี าให้บุคคลเปน็ พราหมณ์ พระผ้มู ีพระภาคตรัสว่า พราหมณ์ใดลอยบาปธรรมเสีย ไม่ตวาดผู้อ่ืน วา่ หึ หึ ไมม่ ีกิเลสดุจน้าฝาด สารวมตน เรยี นจบไตรเพท อยจู่ บพรหมจรรย์ พราหมณ์น้ันไม่มีกิเลสเครื่องฟู ในอารมณไ์ หนๆ ในโลก ก็ควรเรียกว่า พราหมณ์โดยธรรม อน่ึงอรรถกถาระบวุ า่ พราหมณ์หุหกุ ชาติ มที ิฏฐิว่า สง่ิ ท่เี หน็ แล้วเป็นมงคล ชอบเที่ยวตวาดคน อน่ื วา่ หึ หิ เพราะความถอื ตวั และเพราะความโกรธ๑๕๒๕ เหมกะ, มาณพ เหมกมาณพ เป็น ๑ ในมาณพ ๑๖ คน ผู้เป็นศิษย์พราหมณ์พาวรี ได้รับการมอบหมายจาก อาจารย์ให้นาปัญหามาถามพระพุทธเจ้า หลังส้ินสุดการพยากรณ์ปัญหา เหมกมาณพได้บรรลุเป็นพระ อรหันต์ และขอบวชในสานกั พระผ้มู ีพระภาคเจา้ รวมทงั้ มาณพท้ังหมดทเ่ี หลือ ปัญหาธรรมที่เหมกมาณพกราบทูลถามพระพุทธเจ้าก็คือ ขอให้พระพุทธเจ้าตรัสบอกธรรมที่ เป็นเครื่องกาจัดตัณหาช่ือวิสัตติกา ซ่ึงต่อปัญหาน้ี ได้ทรงตอบว่า นิพพานเป็นเครื่องบรรเทาฉันทราคะใน รปู อนั เปน็ ท่รี ักท่ไี ด้เหน็ ได้ยิน และที่รับรู้ได้ในโลก ชนเหลา่ ใดมสี ติ รู้นิพพานนั้นแลว้ เห็นธรรม ดับกิเลสได้ แลว้ ยอ่ มสงบทกุ เมอื่ เปน็ ผขู้ า้ มตณั หาช่อื วสิ ตั ตกิ า ในโลกได้ ฬ อ อชาตศัตรู,พระเจ้า ๑๕๒๒ อง.ฺ ฉกกฺ .(ไทย) ๒๒/๕๔/๕๒๙. ๑๕๒๓ วิ.ม.(ไทย) ๔/๔/๗. ๑๕๒๔ ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๔/๑๗๖. ๑๕๒๕ ขุ.อ.ุ อ.(ไทย) ๔/๕๕.
๓๘๒ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองแคว้นมคธ กับพระ นางเวเทหิ ซ่ึงเป็นพระธิดาของพระเจ้ามหาโกศล๑๕๒๖ ในคัมภีร์อรรถกถา๑๕๒๗ ระบุว่า เมื่อครั้งพระนางเว เทหิทรงพระครรภ์ เกิดแพ้พระครรภ์อยากเสวยพระโลหิตจากพระพาหาเบ้ืองขวาของพระเจ้าพิมพิสาร พระนางเห็นว่าเป็นเร่ืองไม่บังควร จึงได้มิได้ทรงแพร่งพราย กระท่ังซูบผอมผิวพรรณซีดลง ทาให้พระ เจ้าพมิ พสิ ารสงสัย ครนั้ ตรสั ถามพระนางกไ็ มย่ อมบอก กระท่ังถูกพระเจา้ พมิ พิสารทรงรบเร้าบ่อย พระนาง จึงกราบทูลตามความเป็นจริง เม่ือทรงทราบความจริงแล้ว ก็ทรงเรียกหมอมา ให้เอามีดกรีดพระพาหา แลว้ รองพระโลหิตด้วยจอกทองคา เจือด้วยนา้ แลว้ ใหพ้ ระนางดมื่ อาการแพพ้ ระครรภก์ ห็ ายกาเรบิ โหราจารย์ท้ังหลายได้พยากรณ์ว่า พระโอรสองค์นี้จักเป็นศัตรูแก่พระราชา พระราชาจักถูก ปลงพระชนม์จากพระโอรสองค์นี้ พระมเหสีครั้นทรงทราบเช่นนั้น แอบทาลายพระครรภ์ให้ตกไป แต่ไม่ เป็นผลสาเร็จ กระทั่งถูกพระเจ้าพิมพิสารจับได้ พระองค์ได้เสด็จเข้าไปหาพระมเหสีพร้อมทั้งทรงขอร้อง อย่าทาลายเด็กในครรภ์ เม่ือเห็นว่าพระมเหสียังแอบทาลายครรภ์อยู่ ก็ทรงต้ังอารักขากระท่ังพระมเหสี ประสูติพระโอรส ต่อมาได้ขนานพระนามว่า อชาตศตั รู เพราะเปน็ ศตั รูตอ่ พระบดิ าต้ังแตย่ ังไม่ประสูติ๑๕๒๘ ในวัยเยาว์ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงได้รับการเล้ียงดูเป็นอย่างดี และได้รับการสถาปนาเป็นรัช ทายาท เม่ือย่างเข้าวัยรุ่นก็ทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลม ต่อมาได้รู้จักกับพระเทวทัตซ่ึงขณะนั้นกาลัง วางแผนยึดอานาจการปกครองจากพระพุทธเจ้า จึงต้องการความช่วยเหลือจากผู้มีอานาจทางบ้านเมือง และด้วยทพ่ี ระเจา้ อชาตศัตรูขาดประสบการณ์ สามารถชักจงู ไดง้ ่าย พระเทวทตั ไดอ้ าศัยชอ่ งทางนั้น แสดง อิทธปิ าฏหิ ารยิ ์ โน้มน้าวให้พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดความเล่ือมใส จากนั้นก็ยุ่แหย่ไปว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ไม่แน่ว่าจะได้ครองราชย์สมบัติ ทางที่ดีควรปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารเสีย แล้วขึ้นครองราชย์แทน ส่วนตนก็จกั ปลงพระชนม์พระศาสดาแลว้ ทาหนา้ ที่ปกครองสงฆ์ พระเจ้าอชาตศัตรูก็หลงเช่ือ พระองค์ก็ได้นาพระกริชมาแนบกับพระชงฆ์ และห่มผ้าปิดไว้ แล้วไปเข้าเฝ้าพระราชบิดาที่ตาหนักเพื่อลอบปลงพระชนม์ แต่องครักษ์ก็ได้เห็นสังเกตความผิดปกติของ ราชกุมารจึงขอตรวจค้นพระองค์จนพระกริชท่ีซ่อนไว้ จึงแน่ใจว่าอชาตศัตรูราชกุมารกาลังจะลอบปลง พระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้นาตัวพระราชกุมารไปให้เหล่าเสนาอามาตย์ตัดสินลงโทษ เหล่าเสนา อามาตยก์ ไ็ ดไ้ ตส่ วนกบั พระราชกมุ ารจนพระองค์ยอมรบั และตรัสว่าถกู พระเทวทตั ยยุ ง ขณะน้ัน เหล่าเสนาอามาตย์เกิดความคิดแตกแยกเป็น ๓ พวก พวกแรกมีความเห็นว่าให้ควร ประหารพระเทวทตั พระราชกุมาร และพร้อมดว้ ยภิกษุสาวกของพระเทวทัตเสีย พวกท่ีสองมีความเห็นว่า ให้ควรประหารพระเทวทัตและพระราชกุมารเท่านั้น ส่วนเสนาอามาตย์พวกท่ีสามซ่ึงนาโดยวัสสการ พราหมณ์อามาตย์มีความเห็นว่าไม่ประควรประหารพระเทวทัต พระราชกุมาร และภิกษุสาวกของพระ เทวทัต พร้อมทง้ั เสนอให้นาพระราชกมุ ารไปให้พระเจา้ พิมพิสารทรงตดั สิน พระเจ้าพิมพิสารทรงตัดสินโดยการปลดตาแหน่งแก่พวกเสนาอามาตย์พวกแรก ลดตาแหน่ง แกพ่ วกเสนาอามาตย์ท่ีสอง และให้เล่ือนตาแหน่งแก่วัสกาพราหมณ์อามาตย์ จากน้ันก็ทรงสอบสอน และ ตรสั ถามเหตุผลของพระราชกมุ ารว่าทาไมถงึ ทาอยา่ งนี้ เมื่อพระราชโอรสได้ตรัสตอบว่าต้องการราชสมบัติ พระเจ้าพมิ พิสารทรงตดั สินพระทัยสละราชสมบัติมอบใหแ้ กอ่ ชาตศัตรรู าชกมุ าร ๑๕๒๖ ขุ.ทกุ .อ.(ไทย) ๓/๓/๔๖๔. ๑๕๒๗ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๓๙. ๑๕๒๘ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๖๓๔.
๓๘๓ หลังจากอชาตศัตรูราชกุมารได้ข้ึนครองราชย์เป็นพระเจ้าอชาตศัตรูแล้ว พระเทวทัตก็ยังยุยง ต่อไปอีกว่าแม้พระเจ้าพิมพิสารจะทรงสละราชสมบัติแล้ว แต่พระองค์ก็อาจจะมาแย่งชิงตาแหน่งคืนก็ เป็นไปได้ พระเจ้าอชาตศัตรูหลงเชื่อจึงมีรับส่ังให้จับพระเจ้าพิมพิสารไปจองจาขังในคุกและทรมานโดย วิธีการต่าง ๆ จนพระบิดาส้ินพระชนม์ หลังพระบิดาส้ินพระชนม์ก็สานึกได้ว่าได้ทากรรมอันหนักย่ิง จึง ทรงบาเพ็ญกุศลตา่ ง ๆ เพอ่ื ลบลา้ งความผิดใหเ้ จือจางลงไปบา้ ง และทรงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกบริษัท ตั้ง มนั่ ในคาสอนของพระพทุ ธองค์ แตไ่ ม่สามารบรรลุธรรมขั้นใดๆ ได้ เพราะการกระทาหนกั คือปติ ุฆาต๑๕๒๙ พระเจา้ อชาตศตั รู ทรงพระชนมายุภายหลงั จากพทุ ธปรินิพพานแลว้ ๒๔ จงึ เสดจ็ สวรรคต๑๕๓๐ อชิตเกสกัมพล, ครู ครูอชิตเกสกัมพล เป็น ๑ ในเจ้าลัทธิครูท้ัง ๖ ในสมัยพุทธกาล ประกอบด้วย ปูรณกัสสปะ มักขลโิ คสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกจั จายนะ สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร และนคิ รนถน์ าฏบุตร ทั้งหมดมีพรรณนาไว้ ในคมั ภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง ความคล้ายๆ ว่า “เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผู้มีช่ือเสียง มี เกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ คนจานวนมากยกย่องกันว่าเป็นคนดี มีประสบการณ์มาก บวชมานาน มีชีวิตอยู่ หลายรชั สมยั ลว่ งกาลผ่านวยั มามาก” ๑๕๓๑ เจ้าลัทธอิ ชติ เกสกัมพล มีทฏิ ฐวิ ่า ตายแล้วสูญ ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญท่ีบูชาแล้วไม่มีผล การ เซ่นสรวงก็ไม่มีผล ผลแห่งวิบากกรรมท่ีทาดีทาช่ัวก็ไม่มี โลกน้ีไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดาไม่มีคุณ มารดาไม่มี คุณ โอปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบทาให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอัน ย่ิงเองแล้วสอนให้ผู้อ่ืนรู้แจ้งไม่มีในโลก มนุษย์คือที่ประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ เม่ือส้ินชีวิต ธาตุดินไป ตาม ธาตุดิน ธาตุน้า ไปตามธาตุน้า ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ท้ังหลายย่อมผัน แปรไปเป็นอากาศธาตุ มนษุ ยม์ เี ตยี งนอนเป็นท่ี ๕ นาศพไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูก ขาวโพลนดุจสนี กพิราบ การเซ่นสรวงส้ินสุดลงแค่เถ้าถ่าน คนเขลาบัญญัติทานน้ีไว้ คาที่คนบางพวกย้าว่า มีผลนั้นวา่ งเปล่า เทจ็ ไรส้ าระ เมือ่ สิน้ ชวี ติ ไมว่ า่ คนเขลาหรอื คนฉลาดย่อมขาดสญู ไมเ่ กดิ อีก๑๕๓๒ อชิตะ, มาณพ อชิตมาณพ เป็น ๑ ในศิษย์พราหมณ์พาวรี ๑๖ คน ท่ีได้รับมอบหมายให้ไปกราบทูลถาม ปัญหากับพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย อชิตะ, ติสสเมตเตยยะ, ปุณณกะ,เมตตคู, โธตกะ,อุปสีวะ, นันทะ, เหมกะ, โตเทยยะ, กัปปะ, ชตกุ ณั ณิ, ภัทราวธุ , อุทัย, โปสาละ, โมฆราช, และปงิ คิยะ อุทยมาณพ ได้กราบทูลถามปัญหาเรื่องศีรษะ และธรรมที่ทาให้ศีรษะตกไป๑๕๓๓ ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเฉลยว่า อวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาท่ีประกอบด้วยศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ เป็น ธรรมท่ีทาใหศ้ รี ษะตกไป ๑๕๒๙ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๒๗. ๑๕๓๐ วิ.มหา.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๒๕. ๑๕๓๑ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๓/๔๙. ๑๕๓๒ ที.สี.(ไทย) ๙/๑๗๑/๕๖. ๑๕๓๓ ขุ.ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๓๒/๗๔๓.
๓๘๔ ในอชิตมาณวกปัญหา๑๕๓๔ ระบุปัญหาที่อชิตมาณพถามพระพุทธเจ้าชุดแรกว่า “โลกถูกอะไร หุ้มห่อไว้ เพราะอะไร โลกจึงไม่สดใส อะไรเป็นเคร่ืองฉาบทาโลกนี้ไว้ อะไรเล่าเป็นภัยใหญ่ของโลก” ต่อ ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า โลกถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่สดใสเพราะความตระหนี่ ความ ประมาทเป็นเครอ่ื งฉาบทาโลกไว้ ทกุ ขเ์ ป็นภยั ใหญ่ของโลก๑๕๓๕ ปญั หาชุดท่สี อง อชติ มาณพกราบทูลถามว่า อะไรเป็นเคร่ืองก้ันกระแสทั้งหลาย ขอให้พระองค์ ตรัสบอกเครอ่ื งป้องกันกระแสทงั้ หลาย อะไรปดิ กนั้ กระแสท้ังหลาย๑๕๓๖ ต่อปัญหาน้ี พระผู้มีพระภาคตรัส ตอบว่า สติเป็นเครื่องกั้นกระแสท้ังหลาย ปัญญาปิดกั้นกระแสเหล่านั้นได้๑๕๓๗ ปัญหาชุดที่สาม อชิต มาณพกราบทูลถามว่า ปัญญา สติ นาม และรูปน้ี ดับที่ไหน๑๕๓๘ ต่อปัญหาน้ี พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า นามและรูปดับไม่มีส่วนเหลอื ในทีใ่ ด นามและรปู นนั้ ดบั ไปในทนี่ นั้ เพราะวิญญาณดับ๑๕๓๙ สุดท้ายอชิตมาณพกราบทูลถามแนวทางในการดาเนินชีวิตของพระอรหันตขีณาสพ และพระ เสขะท้ังหลาย ตอ่ ปัญหาน้ี พระผู้มีพระภาคตรสั ตอบวา่ ไม่พึงปรารถนาย่ิงในกามท้ังหลาย เป็นผู้มีใจไม่ขุ่น มัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสตดิ ารงอยู่๑๕๔๐ ในอรรถกถาขุททนิกาย จูฬนิเทส๑๕๔๑ ระบุว่า จบการพยากรณ์ปัญหาของพระพุทธเจ้า อชิต มาณพได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หนังเสือ ชฎา ผ้าคากรอง ไม้เท้า ลักจ่ัน น้า ผม และหนวดของอชิต พราหมณ์ได้หายไป อชิตมาณพเป็นภิกษุครองผ้ากาสาวะเป็นบริขาร ทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร นั่ง ประนมอัญชลนี มสั การพระผู้มีพระภาค อชิตะ, เสนาบดี อชิตะเสนาบดี ในคัมภีร์๑๕๔๒ ระบุไว้แต่เพียงว่า เป็นเสนาบดีของเจ้าลิจฉวี ตายไปแล้วได้ บังเกิดในหมู่เทพช้ันดาวดึงส์ แต่ได้รับการพยากรณ์จากพวกนักบวชชีเปลือยว่า ไปบังเกิดในมหานรก ถือ เป็นการกล่าวเทจ็ คมั ภีรอ์ รรถกถา๑๕๔๓ ให้ขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ ว่า อชติ เสนาบดี เป็นอปุ ัฏฐากของพระผู้มีพระภาค เม่ือ ตาย ขณะถูกนาไปฌาปนกิจ ได้มีคนถามข้ึนว่า อชิตะตายแล้วไปเกิดท่ีไหน ปาฏิกบุตรซึ่งเป็นนักบวชชี เปลือยไดบ้ อกว่า ไปเกดิ ในมหานรก แต่อชิตะเสนาบดีครั้นตายแล้วก็ได้เข้าไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ตนเองไปบงั เกิดในช้ันดาวดงึ ส์ ถอ้ ยคาของปรพิ าชกนนั้ เป็นเท็จ ๑๕๓๔ ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๑๐๓๙/๗๔๕. ๑๕๓๕ ขุ.ส.ุ ไทย) ๒๕/๑๐๔๐/๗๔๕. ๑๕๓๖ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๔๑/๗๔๕. ๑๕๓๗ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๔๒/๗๔๖. ๑๕๓๘ ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๑๐๔๓/๗๔๖. ๑๕๓๙ ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๑๐๔๔/๗๔๗. ๑๕๔๐ ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๑๐๔๖/๗๔๗. ๑๕๔๑ ขุ.จฬู .อ.(ไทย) ๖/๙๙/๓๗. ๑๕๔๒ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๙/๑๕. ๑๕๔๓ ที.ปา.อ.(ไทย) ๓/๑/๔๘.
๓๘๕ อชติ ะ,ปรพิ าชก อชิตปริพาชก ปรากฏในอชิตสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย๑๕๔๔ ความระบุว่า อชิตปริพาชกได้เข้า เฝ้าพระผู้มีพระภาค และได้กราบทูลเชิงยกย่องเพ่ือนปริพาชกด้วยกันว่าเป็นบัณฑิต เพราะมีจิตตุปบาท ๕๐๐ ดวง ซ่ึงทาให้เดียรถีย์ท้ังหลายผู้ถูกข่มข่ีแล้วรู้ตัวว่าถูกข่มข่ี พระผู้มีพระภาคได้สดับเช่นนั้นจึงตรัส เรียกภิกษทุ ้ังหลายมาตรสั ถามถึงเหตุแหง่ ความเปน็ บณั ฑิต ภิกษุจึงได้กราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคแสดง เหตแุ หง่ ความเป็นบัณฑิตอีกครงั้ พระผู้มีพระภาคตรัสได้ตรัสว่า การสรรเสริญจะถือเป็นประมาณในการวัดว่าเป็นบัณฑิตไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ผู้กล่าวสรรเสริญอาจต้ังอยู่หรือไม่ตั้งอยู่ในธรรมก็ได้ ดังน้ัน จึงต้องพิจารณาส่ิงท่ีเป็น ธรรมและไม่เป็นธรรมด้วย จากน้ันจึงแสดงแนวทางว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม โดยทรงใช้หลัก อริยมรรคเป็นเกณฑโ์ ดยนัยเป็นต้นว่า มิจฉาทิฏฐิไม่เป็นธรรม สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรม มิจฉาสังกัปปะไม่เป็น ธรรม สมั มาสังกปั ปะเป็นธรรม อนาถปณิ ฑกิ เศรษฐี อนาถปิณฑิกเศรษฐี เดิมชื่อสุทัตตะ เป็นชาวเมืองสาวัตถี เหตุได้ช่ือว่าอนาถปิณฑกเศรษฐี เพราะ มักมีปกตสิ งเคราะหค์ นอนาถาดว้ ยกอ้ นขา้ ว๑๕๔๕ ทา่ นไดต้ ง้ั โรงทานช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเป็น ประจาทุกวัน ส่วนสาเหตุท่ีได้นามว่า สุทัตตะ เพราะเห็นว่า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยประสงค์ทุกอย่าง๑๕๔๖ ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุโสดาบัน สร้างพระวิหารเชตวันถวายพระพุทธเจ้า และได้ทา การอุปถมั ภ์พระสงฆต์ ลอดชั่วชวี ติ ของท่าน ท่านจงึ มีความคนุ้ เคยกับพระพุทธเจ้า เหล่าพระสาวกทั้งหลาย แม้พระพุทธเจ้าเองก็ประทับจาพรรษาที่วัดพระเชตวันถึง ๑๙ พรรษา มากกว่าวัดใด ๆ ท่ีสร้างขึ้นในสมัย พทุ ธกาล เร่ืองราวของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี มปี รากฏมากมายในคมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องราว ทีแ่ สดงถงึ ความศรัทธา ความมีสติปัญญา และความเอาใจใส่ในการบารุงพระพุทธศาสนา ทาให้ท่านได้รับ ยกยอ่ งจากพระพุทธเจ้าให้เปน็ อุบาสกผู้เลศิ ในการเปน็ ผ้ถู วายทาน ในอนาถปิณฑิกวัตถุ๑๕๔๗ พรรณนาถึงการได้พบพระพุทธเจ้าของอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นครั้ง แรกว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นน้องเขยของเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งเดินทางไปเมืองราชคฤห์ด้วย กิจบางอย่าง เห็นเศรษฐีชาวกรงุ ราชคฤห์กาลงั จัดแจงงานตา่ งๆ ใหท้ าสกรรมกรอยู่ เกดิ ความสงสัยว่ากาลัง จะมีงานอะไร เม่อื ทราบขา่ วว่าเศรษฐชี าวเมืองราชคฤห์เตรียมจะเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวันพรงุ่ นกี้ ย็ า้ ถามดว้ ยความตืน่ เตน้ ถึง ๓ ครั้ง แสดงความปรารถนาที่จะขอเข้าเฝ้าในเวลานั้นให้ได้ แต่ก็ ถูกห้ามไว้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ต้องรอให้ถึงรุ่งเช้าก่อน คืนน้ันจึงได้แต่นอนนึกถึง ลุกต่ืนกลางดึกถึง ๓ ครั้ง เพราะเขา้ ใจว่าสวา่ งแล้ว ครั้นเวลาใกล้รุ่งสาง จึงได้เดินฝ่าความมืดเข้าป่าสีตะวัน เพ่ือเข้าเฝ้าแต่เพียงลาพัง เมื่อไปถึง พระผู้มีพระภาคก็ตรัสเรียก “มาเถิดสุทัตตะ” ทาให้อนาถปิณฑิกเศรษฐีดีใจว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ตน จงึ ได้เข้าเฝ้าถึงท่ปี ระทบั ซบศีรษะลงแทบพระบาทแล้วก็ทูลถามว่า ทรงประทบั อยูเ่ ป็นสุขดีหรือ พระผู้ ๑๕๔๔ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๑๖/๒๖๖. ๑๕๔๕ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๔๙. ๑๕๔๖ ข.ุ ปฏ.ิ อ.(ไทย) ๗/๒/๒๘๓. ๑๕๔๗ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๐๔/๑๑๑.
๓๘๖ มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า ผู้ดับกิเลสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุขทุกเมื่อ ผู้ไม่ติดในกาม ย่อมเยือกเย็น ผู้ตัดเคร่ือง ข้องได้แล้ว ย่อมไม่มีความกระวนกระวายใจ จากนั้นจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ แก่อนาถปิณ ฑกิ เศรษฐี ส้ินพระธรรมเทศนา อนาถปณิ ฑิกเศรษฐไี ด้บรรลุเป็นพระโสดาบนั อนึ่ง หลังจากกลับเมืองสาวัตถีแล้ว อนาถปิณฑิกเศรษฐีก็ได้ดาหริ ชักชวนมิตรสหายสร้างวัด พระเชตวัน เตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยขอซ้ือท่ีดินของเจ้าเชตราช กมุ าร ซ่ึงตงั้ อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนัก เป็นทาเลท่ีเหมาะสม แม้จะถูกเจ้าเชตวางเง่ือนไขหลายประการ นับตั้งแต่วัดท่ีสร้างขึ้นมาใหม่ ต้องใช้ชื่อของเจ้าเชตราชกุมาร ทุกตารางน้ิวของที่ดินท่ีจะซื้อ ต้องนา กหาปณะไปโรยให้เต็มพนื้ ที่ เป็นต้น แต่ด้วยความศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ก็ยินยอมรับเงื่อนไขทุกประการ ทาใหง้ านสรา้ งวัดสาเร็จลลุ ่วงตามความประสงค์ ในคมั ภรี อ์ รรถกถา๑๕๔๘ ระบวุ า่ เศรษฐีใชท้ รัพย์ดาเนินการ ท้ังสิ้น ๕๔ โกฏิ โดยแบ่งเป็นค่าที่ดิน ๑๘ โกฏิ ค่าก่อสร้างเสนาสนะ ๑๘ โกฏิ ค่าทาการฉลองอีก ๑๘ โกฏิ๑๕๔๙ ใช้เวลาในการฉลองถึง ๙ เดือน๑๕๕๐ ได้ถวายทานต่าง ๆ หาประมาณมิได้ ในอรรถถกถามัชฌิม นิกาย มูลปัณณาสก์๑๕๕๑ จึงมีข้อความกล่าวยกย่องอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า ไม่มีใครทัดเทียมในเรื่องของ การบริจาคทรพั ยอ์ ุทิศพระพทุ ธเจ้า มใิ ชเ่ ฉพาะเรอ่ื งการบรจิ าคทานเท่านน้ั แต่อนาถปณิ ฑิกเศรษฐี หลังจากท่ไี ด้บรรลุโสดาบันแล้ว ท่านรักษาศีล ๕ ไม่มีขาด ท้ังภรรยา บุตร ธิดา ทาส กรรมกร คนทางานรับจ้างของท่าน พากันรักษาศีล เหมือนกันหมดทุกคน กระท่ังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐีตนเองก็สะอาด บริวารก็สะอาดประพฤตธิ รรมอยู่๑๕๕๒ จากหลักฐานในอนาถปิณฑิกสูตร๑๕๕๓ และในปฐมอนาถปิณฑิกสูตร๑๕๕๔ ทุติยอนาถปิณฑิก สตู ร๑๕๕๕ ใหข้ อ้ มูลเพม่ิ เตมิ วา่ ส่วนตัวแลว้ อนาถปณิ ฑกิ เศรษฐี มีความสนทิ สนม และเคารพนับถือพระสารี บตุ รเปน็ กรณพี ิเศษ เหน็ ได้จากคราวหน่ึงเมื่อท่านปว่ ยหนัก ท่านกส็ ง่ คนใช้ไปกราบเรียนให้พระสารีบุตรมา อนุเคราะห์ที่บ้าน พระสารีบุตรก็เข้าไปเยี่ยมอาการอนุเคราะห์ตามประสงค์ พร้อมทั้งถือโอกาสแจกแจง องคเ์ ครือ่ งบรรลโุ สดาบันด้วยอาการ ๑๐ ประการให้อนาถปิณฑิกเศรษฐีฟัง กระท่ังหายจากอาการอาพาธ แม้ในยามทมี่ ีชีวิตหาไม่แลว้ ไดไ้ ปบงั เกิดเปน็ เทวดาด้วยอานิสงส์แห่งบญุ กุศลท่ไี ดบ้ าเพญ็ มาดีแล้ว ท่านก็ยัง ลงมาสรรเสริญคุณของพระสารีบุตร แนะนาให้คนคบหาพระสารีบตุ รจะได้ประโยชนส์ งู สุด อตุละ, อบุ าสก อตลุ อบุ าสก ปรากฏในโกธวรรคแห่งขุททนิกาย ธรรมบท๑๕๕๖ ความปรารภพระคาถาท่ีพระผู้ มีพระภาคตรัสเป็นต้นว่า การนินทาและสรรเสริญนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีในวันนี้เท่านั้น คนอยู่เฉยๆ ๑๕๔๘ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๙. ๑๕๔๙ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๑/๑๕๐. ๑๕๕๐ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๖๐. ๑๕๕๑ ม.ม.ู อ.(ไทย) ๑/๒/๔๓๓.. ๑๕๕๒ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๗๔. ๑๕๕๓ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๐๑/๑๐๗. ๑๕๕๔ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๒/๕๓๖. ๑๕๕๕ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๓/๕๔๐. ๑๕๕๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๒๗/๑๐๓.
๓๘๗ เขาก็นินทา คนพูดมากเขาก็นินทา แม้คนพูดน้อยเขาก็นินทา ไม่มีใครในโลกท่ีไม่ถูกนินทา แนวทางที่ ถูกตอ้ ง วญิ ญชู นควรพิจารณาตน แลว้ ดาเนินชีวิตไม่ใหเ้ ปน็ ทตี่ าหนิของปราชญ์ผูม้ ีปญั ญา มีศีล ความในอรรถกถา๑๕๕๗ มรี ายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี อตุละอุบาสก เป็นอุบาสกชาวเมืองสาวัตถี มีอุบาสก ๕๐๐ คน เป็นบริวาร วันหน่ึงพาบริวาร ท้ังหมดไปหาพระเรวตะเพื่อฟังธรรม แต่เม่ือไปถึง พระเรวตะไม่ได้กล่าวอะไรกับอุบาสกเหล่านั้น เพราะ อุปนิสยั ของท่านชอบปลีกวิเวก อตุละจึงไม่พอใจ ชวนบริวารท้ังหมดไปหาพระสารีบุตร พร้อมกับเรียนให้ ทา่ นทราบ พระสารบี ตุ รทราบเช่นนั้น จึงให้อุบาสกเหล่านั้นนั่งลง จากน้ันก้ได้แสดอภิธรรมอย่างละเอียด และยาวนาน ทาใหอ้ บุ าสกโกรธอีกว่า แสดงอภิธรรมละเอียดขนาดน้ี จะเอาไปทาอะไรได้ จากน้ันก็พากัน ลุกไปหาพระอานนท์ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ทั้ง ๒ กรณีให้ทราบ พระอานนท์ทราบเช่นนั้น จึงได้กล่าว ธรรมกถาเพียงเล็กน้อยให้อตุลอุบาสกและบริวารฟัง อตุละอุบาสกได้ฟังก็ไม่พอใจอีก เพราะพระอานนท์ พดู น้อยจนเกนิ ไป จากนั้นก็พากันไปเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ พระพุทธเจ้าเห็นอตุลอุบาสกพร้อมด้วยบริวาร ได้ตรัสถาม ทรงทราบความเป็นมาท้ัง หมดแล้ว จงึ ปรารภธรรมเพราะเรื่องนเี้ ป็นเหตุ แสดงใหอ้ ตุลอุบาสกพรอ้ มบริวารรแู้ จง้ ตามความเป็นจริงว่า เรื่องเหล่าน้ีเป็นเร่ืองเก่ามีมานานแล้ว จากน้ันก็ทรงสรุปว่า คนที่ถูกนินทาอย่างเดียว และคนที่ถูก สรรเสริญอย่างเดียวไม่มีในโลก แม้พระองค์ก็ตกอยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน ประเด็นสาคัญตรงที่ว่า คา ติ เตียนหรือคาสรรเสริญของคนพาล เอาเป็นประมาณไม่ได้ คาติเตียนหรือคาสรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย เท่าน้นั ชื่อวา่ เป็นอนั ติเตียน หรอื สรรเสริญ จบพระธรรมเทสนาของพระพุทธเจ้า อุบาสกเหลา่ นั้นไดบ้ รรลโุ สดาบนั อนุราธะ,พระ พระอนุราธะ ปรากฏในอนุราธสูตรแห่งสังยุตตนิกาย ขันธวารวรค๑๕๕๘ และสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค๑๕๕๙ ความระบุว่า เมื่อครั้งท่านพานักอยู่ท่ีกุฏิในป่าในกุฏาคารศาลาท่ีไม่ไกลจากพระผู้มี พระภาคประทับ พวกเดียรถีย์ได้เข้าไปถามปัญหาทัศนะพระพุทธเจ้าเก่ียวกับเร่ืองชีวิตหลังความตายใน ฐานะทง้ั ๔ ประการน้ีอย่างไร ไดแ้ ก่ ๑. หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกดิ อีก ๒. หลงั จากตายแล้ว ตถาคตไมเ่ กิดอีก ๓. หลงั จากตายแล้ว ตถาคตเกดิ อกี และไมเ่ กิดอีก ๔. หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะวา่ เกดิ อีกก็ไมใ่ ช่ จะวา่ ไม่เกิดอกี ก็ไม่ใช่ พระอนรุ าธะ ได้กล่าวยืนยันต่อเดียรถีย์ทั้งหลายว่า พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธฐานะ ๔ ประการ น้ี เม่ือเดียรถีย์ได้ยินพระอนุราธะกล่าวอย่างน้ี ก็เอ่ยข้ึนว่า ท่านคงจะเป็นพระบวชใหม่ หรือไม่ก็เป็นพระ เถระแต่โง่ ไมฉ่ ลาด จากนน้ั กเ็ ดินจากไป ๑๕๕๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๔๖๒. ๑๕๕๘ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๖/๑๕๓. ๑๕๕๙ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๑๑/๔๗๓.
๓๘๘ หลังจากเดียรถีย์จากไปแล้ว พระอนุราธะก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเรื่องราวทั้งหมด ให้ทรงทราบ พร้อมกับขอให้พระผู้มีพระภาคแนะแนวทางที่ถูกต้อง เพ่ือจะได้ไม่เป็นการกล่าวตู่พระพุทธ พจน์ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ได้ตรสั ถามพระอนุราธะเก่ียวกับไตรลักษณ์ เร่ิมต้ังแต่ตรัสถามว่ารูปเที่ยง หรอื ไม่เทย่ี ง สงิ่ ใดไมเ่ ที่ยงส่งิ นน้ั เป็นสุขหรอื เปน็ ทกุ ข์ สิ่งใดไม่เท่ียงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือไม่ที่จะบอกว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น น่ันเป็นอัตตาของเรา จากน้ันจึงตรัสให้พระอนุราธะ พิจารณาถึงคาว่า ตถาคต ซึ่งก็มีนัยเดียวกัน กล่าวคือไม่อาจกล่าวได้ว่า เกิดอีก ไม่เกิดอีก เพราะทุกอย่าง ลว้ นเป็นไปตามเหตปุ จั จัย ท้ายพระสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปว่า ทังในกาลก่อนและในบัดน้ี พระองค์บัญญัติทุกข์ และความดับแห่งทกุ ขเ์ ท่านัน้ ๑๕๖๐ อนุรุทธะ,พระ พระอนรุ ุทธเถระ เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า โดยท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าชายอนุรุทธะมีพระภาดาพระภคินีร่วมมารดาเดียวกันอีก ๒ พระองค์คือ พระเชษฐาพระนามว่ามหานามะ และพระกนิษฐภคินีพระนามว่าโรหิณี หลักฐานในคัมภีร์ ระบุว่าท่านมีรูปงาม แม้บวชแล้วก็ยังมีสตรีหลงใหลในรูปโฉมของท่าน ถึงกับวางแผนนิมนต์เข้าท่านเข้า นอนในบ้านแล้วชวนเสพเมถุน แต่ท่านไม่ยินดี และเป็นท่ีมาของการบัญญัติสิกขาบทห้ามนอนกับ มาตคุ าม๑๕๖๑ ในฉสักยปัพพัชชากถา๑๕๖๒ ระบุว่า พระอนุรุทธะ เมื่อยังเป็นฆราวาส ดารงพระสถานะเป็น พระราชโอรสของกษัตริย์ผู้สุขุมาลชาติ แม้แต่คาว่าไม่มีก็ไม่เคยรู้จัก ทรงมีปราสาท ๓ หลัง เป็นท่ีประทับ ท้ัง ๓ ฤดู ถูกบารุงบาเรอด้วยกามคุณท้ังหลายตลอดระยะเวลา ๔ เดือน ในฤดูฝน ไม่เคยลงมาจาก ปราสาทเลย เม่ือเหล่าศากยราชกุมารพระองค์อื่นออกผนวชติดตามพระพุทธเจ้า เจ้ามหานามะผู้เป็นพระ เชษฐาจึงปรารภเร่ืองออกบวชกับท่านอนรุทธะว่า ควรตัดสินใจเลือกคนในตระกูลสักคนออกบวชบ้าง แต่ ท่านอนรุ ุทธะปฏิเสธว่าตนคงออกบวชไม่ได้เพราะเคยได้รับความสุขอยุ่ไม่อาจจะบวชอยู่ได้ เจ้ามหานามะ จึงรับอาสาบวช โดยก่อนออกบวช ได้สั่งสอนการวิธีการทานาต้ังแต่ไถจนถึงเก็บเก่ียว เวียนไปทุกฤดูกาล ทุกปี ๆ ไป แก่ท่านอนุรุทธะ ท่านอนุรุทธะฟังแล้วคิดว่า การงานไม่มีท่ีสิ้นสุด จึงบอกว่าตนจะอาสาบวช เอง จากนั้นท่านได้ไปขออนุญาตพระมารดา พระมารดาคงไม่ประสงค์ให้ท่านบวชจึงกล่าวท้าทาย วา่ ถ้าหากชวนพระเจ้าภัททิยะออกบวชได้ จึงจะอนุญาตให้บวช ท่านจึงไปรบเร้าและชวนพระเจ้าภัททิยะ ราชาใหอ้ อกบวช ในขน้ั แรกพระเจ้าภทั ทยิ ราชาปฏเิ สธ จนสดุ ท้ายพระอนรุ ุทธะรบเรา้ หนักเข้าและพระเจ้า ภทั ทิยะราชาคงเหน็ คุณแห่งการออกบวชจงึ ยอมสละราชสมบตั ิออกผนวชตาม ดังน้ันเจ้าชายอนุรุทธะจึงพร้อมกับเจ้าราชกุมารทั้ง ๕ คือ พระเจ้าภัททิยะศากยะราชา, เจ้าชายอานันทะ, เจ้าชายภัคคุ, เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัตต์ พร้อมด้วยอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบก ๑ ๑๕๖๐ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๖/๑๕๗. ๑๕๖๑ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๕/๔๒๑. ๑๕๖๒ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๓๓๐/๑๖๗.
๓๘๙ ทา่ น รวมเป็น ๗๑๕๖๓ ออกบวช ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ โดยในวันผนวชน้ัน เจ้าชายท้ัง ๖ ได้ตกลง กันให้นายอุบาลีผู้เป็นช่างภูษามาลาออกบวชก่อนตน เพ่ือจะได้ทาความเคารพเป็นการลดทิฐิและมานะ แห่งความเปน็ เช้อื สายกาษตั ริย์ ของตนลง โดยทั้งหมดได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาโดยตรงจาก พระพทุ ธเจา้ ในอนรุ ทุ ธมหาวิตกั กสูตร๑๕๖๔ ระบุว่า เมอ่ื พระอนุรุทธะออกบวชแล้ว ได้ไปเรียนกัมมัฏฐานกับ พระสารีบุตร แล้วเข้าไปปฏิบัติพระกรรมฐานในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ วา่ เปน็ ธรรมะของผปู้ รารถนานอ้ ย ยนิ ดดี ว้ ยสนั โดษ ไม่ใชธ่ รรมของผู้มักมาก พระพุทธเจ้าเสด็จไป ถึงทรงทราบความน้ันจึงตรัสแสดงมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ ว่าเป็นธรรมของผู้ไม่เน่ินช้า และทรงแนะนาว่า หากปรารถนาความสิ้นไปแห่งทุกข์ ให้ตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประกาน้ี จากนั้นก็ทรงแจกมหาปุริสวิตกโดย ละเอียด พระอนุรุทธะเจริญจาพรรษาที่ปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจตีน้ันแลต่อไปอีก ท่านอยู่ผู้เดียว ไม่ ประมาท มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายาและใจอยู่ ไม่นานนกั ก็ได้บรรลุอรหันต์ถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ด้วยปัญญาอัน ยิ่งเอง อนึ่ง ในปาจีนวังสทายคมนกถา๑๕๖๕ และจูฬโคสิงคสูตร๑๕๖๖ มีบันทึกเหตุการณ์เม่ือครั้งพระ อนุรุทธะพักอยู่ที่ปาจีนวังสทายวันกับพระนันทิยะ และพระกิมพิละ พระผู้มีพระภาคได้เสด็จมาเย่ียม แต่ คนเฝ้าสวนไม่รู้จัก จึงได้ห้ามไม่ให้เข้าไปรบกวน ต่อมาพระอนุรุทธะได้ยินเสียง จึงได้กล่าวเตือนว่า ทรง เป็นศาสดา อย่าห้ามพระองค์เลย ณ ท่ีแห่งนี้ พระเถระท้ัง ๓ ได้กราบทูลความท่ีตนมีความรัก พร้อม เพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตา มโนกรรมตอ่ กนั ทงั้ ต่อหน้า และลบั หลงั หลังจากพระอนุรุทธะได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านชอบตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพยจักษุอยู่ เสมอ ในกัปปสหัสสสูตร๑๕๖๗ ระบุว่า ท่านสามารถระลึกได้ ๑,๐๐๐ กัป ส่วนในทุติย อนุรุทธสูตรระบุว่า ท่านสามารถตรวจดโู ลก ๑,๐๐๐ โลก ดว้ ยจกั ษอุ นั เป็นทิพย์ ต้งั แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์๑๕๖๘ ด้วย เหตนุ พี้ ระพทุ ธเจา้ จงึ ยกยอ่ งทา่ นวา่ เป็นผูเ้ ลศิ กวา่ ภกิ ษุท้งั หลายในด้าน ผู้มีตาทพิ ย์๑๕๖๙ พระอนุรุทธเถระ ดารงชนมายุมาถึงหลังพุทธปรินิพพาน ในวันท่ีพระบรมศาสดา นิพพานน้ัน ท่านก็ร่วมอยู่เฝ้าแวดล้อม ณ สาลวโนทยานนั้นด้วย และท่านยังเป็นกาลังสาคัญในการช่วยจัดแจงเรื่อง พระบรมศพ ครั้นถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว ต่อมาก็ได้ร่วมวางแผนทาสังคายนศาสนาคร้ังสาคัญ โดยมีพระ มหากัสสปเถระเป็นประธาน พระอุบาลีเถระวิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระวิสัชนาพระสูตรและ พระอภิธรรม ท่านพระอนุรุทธเถระ ดารงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธ์นิพพาน ณ ภายใตร้ ่มกอไผ่ ในหมบู่ ้านเวฬวุ ะ แคว้นวชั ชี ๑๕๖๓ วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๓๑/๑๗๐. ๑๕๖๔ อง.ฺ อฏฐฺ ก.(ไทย) ๒๓/๓๐/๒๗๘. ๑๕๖๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๔๖๕/๓๕๖. ๑๕๖๖ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๒๕/๓๕๗. ๑๕๖๗ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๙๐๙/๔๔๒. ๑๕๖๘ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๒๐/๑๓๑/๓๘๐. ๑๕๖๙ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๑๙๒/๒๕.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: