Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Published by Guset User, 2023-07-27 01:26:08

Description: นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์_วิจัย

Search

Read the Text Version

๒๙๐ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงช้ีแจงให้พราหมณ์ละความเห็นผิดดังกล่าว โดยทรงเริ่มต้นช้ีแจงให้ พราหมณ์เห็นตามความเป็นจรงิ นบั ต้ังแต่ทรงถามความเห็นว่า ถ้ามีคนบอกให้พราหมณ์รับผลประโยชน์ท่ี เกดิ ในหมู่บ้านสาลวติกาแต่เพียงผ้เู ดียว ไมค่ วรแบ่งให้คนอื่น พราหมณจ์ ะวา่ อย่างไร ซง่ึ พราหมณ์ก็ช้ีแจงว่า ทาอย่างนั้นไม่ได้ เพราะจะทาให้คนอ่ืนท่ีอาศัยตนเดือดร้อน จากน้ันก็ทรงถามพราหมณ์ต่อไปอีกว่า ถ้ามี คนกลา่ วว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลปกครองแคว้นกาสีกับแคว้นโกศลควรรับผลประโยชน์ที่เกิดในแว่นแคว้น ทั้งสองเพียงลาพัง ไม่ควรพระราชทานให้ผู้อื่น พราหมณ์เห็นเป็นอย่างไร ซึ่งพราหมณ์ก็ยังคงยืนยัน เหมือนเดิมว่า ทาอย่างนั้นไม่ได้ เพราะย่ิงจะทาให้คนท่ีอาศัยบรมโพธิสมภารของพระองค์เดือดร้อน เมื่อ ทรงเห็นวา่ พราหมณ์ยนื ยนั อยา่ งนนั้ พระองค์ก็ทรงแสดงเหตุเทียบเคียงว่า ทานองเดียวกัน สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย เม่ือได้บรรลุธรรมแล้ว ไม่ควรเก็บไว้ผู้เดียว ควรแสดง ควรสอนให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการ บรรลุธรรมของตนด้วย จึงจะถือเปน็ การปฏบิ ตั ิเป็นไปเพื่อประโยชน์สขุ แกค่ นทงั้ หลาย โลหิจจพราหมณ์ได้ฟังภาษิตของพระผู้มีพระภาคเช่นน้ัน ก็เกิดความเล่ือมใส ประกาศตนเป็น อุบาสก นบั ถือพระรตั นตรยั ตลอดชีวติ ตง้ั แต่บัดนั้น ส่วนในโลหิจจสูตรแห่งสังยุตตนิกาย มีเนื้อหาระบุว่า ศิษย์ของโลหิจจพราหมณ์เข้าไปยังกุฏิ ของพระมหากัจจานะ แสดงอาการไม่เคารพ พรอ้ มกบั พดู เหยียดหยามทา่ นว่าเป็นคนรบั ใช้ วรรณะต่า เกิด จากบาทของพรหม พระมหากัจจานะออกจากกุฏิ พร้อมท้ังกล่าวห้ามส่งเสียงดัง จากกน้ันก็กล่าวธรรมกถาแก่ มาณพเหล่านั้น แต่มาณพเหล่านั้นก็โกรธเคือง ไม่พอใจ ได้เข้าไปหาโลหิจจพราหมณ์ พร้อมท้ังรายงานให้ ท่านทราบว่า พระมหากัจจานะค่อนขอด คัดค้านมนต์ของพราหมณ์ ทาให้โลหิจจพราหมณ์ก็พลอยขัด เคือง ไม่พอใจพระมหากัจจานะด้วย แต่พราหมณ์ก็ยังมีสติ หักห้ามใจว่า ไม่ควรด่า เหน็บแนม บริภาษ พระมหากัจจานะเพราะฟังของมาณพฝ่ายเดียว พราหมณ์จึงได้พามาณพเหล่านั้นไปหาท่านมหากัจจานะ พรอ้ มท้ังสอบถามข้อเท็จจรงิ ที่เกิดขน้ึ พระมหากัจจานะได้ชี้แจงตามความเป็นจริง จากนั้นก็ชวนโลหิจจพราหมณ์สนทนาเรื่องการ คุ้มครองทวาร นับตั้งแต่การสารวมตา ไม่ให้ยินดีในรูป สารวมหู สารวมจมูก สมรวมล้ิน สารวมกาย และ สารวมใจไมใ่ หย้ ินดใี นธรรมารมณท์ น่ี ่ารัก ไมย่ ินรา้ ยในธรรมารมณ์ทไ่ี มน่ ่ารกั เปน็ ต้น โลหิจจพราหมณ์ได้ฟังธรรกถาของพระมหากัจจานะ เกิดความเล่ือมใส ได้ปวารณาท่านด้วย ปจั จัย ๔ อนั ควรแก่บรรพชติ พรอ้ มท้ังประกาศตนเป็นอุบาสกผูถ้ ึงสรณะตลอดชีวติ ตัง้ แตบ่ ดั น้นั โลหติ กะ,ภิกษุ พระโลหิตกะ เป็น ๑ ในภิกษุฉัพพัคคีย์ ๖ รูป ได้แก่ ๑) พระปัณฑุกะ ๒) พระโลหิตกะ ๓) พระเมตติยะ ๔) พระภุมมชกะ ๕) พระอสั สชิ และ ๖) พระปนุ พั พสกุ ะ๑๑๓๑ ทั้งหมดจัดเป็นกลุ่มภิกษุท่ีชอบ กอ่ ความบาดหมาง กอ่ ความทะเลาะ กอ่ ความวิวาท กอ่ ความอือ้ ฉาว ก่ออธกิ รณใ์ นสงฆ์หลายประการ ตามประวัตเิ ล่าว่า ท้ัง ๖ รูปน้ีเป็นชาวเมืองสาวัตถี เคยเป็นสหายร่วมกันมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้ บวช ต่อมาท้ังหมดบวชในสานักของพระอัครสาวกทั้งสอง เรียนมาติกาจนคล่อง ครั้นมีพรรษาครบ ๕ แล้ว จึงปรึกษากันว่า ธรรมดาชนบท บางครั้งก็สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ บางคร้ังก็ฝืดเคือง ถ้าอยู่รวมกัน ทั้งหมด จะลาบาก จึงได้แยกกันอยู่ ๓ แห่ง ๆ ละ ๒ รูป พระโลหิตกะได้รับมอบหมายให้อยู่ที่เมืองสาวัตถี กับพระปัณฑุกะ ทั้ง ๒ ท่านไปสร้างสานักท่ีนั่น แล้วปลูกผลไม้ต่าง ๆ มีขนุน มะม่วง มะพร้าว เป็นต้น ๑๑๓๑ ม.ม.อ.(ไทย) ๑๓/๑๗๕/๑๓๘.

๒๙๑ สงเคราะหส์ กลุ ด้วยผลไมเ้ หลา่ น้นั ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลเหล่านั้นบวช ขยายบริษัทให้ยิ่งใหญ่ ขณะท่ี พระเมตตยิ ะกบั พระกุมมชกะ ไปอยเู่ มืองราชคฤห์ ส่วนพระอสั สชิลแพระปุนัพพสุกะ ไปอยู่ที่กิฏาคีรีชนบท ตามลาดับ ด้วยวิธีการดังกล่าว ทาให้บริษัทของภิกษุฉัพพวัคคีย์ขยายออกอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มมี บรวิ ารรูปละ ๕๐๐ รอ้ ย ในบรรดาภกิ ษุฉัพพวคั คยี ์เหล่านัน้ กล่มุ พระปัณฑกะและพระโลหิตกะ พร้อมด้วยบริวารเป็นผู้ มีศีล ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะท่ี ๒ กลุ่มท่ีเหลือเป็นอลัชชี ได้ก่ออธิกรณ์ ข้ึนในพระพุทธศาสนา อย่เู นือง ๆ๑๑๓๒ ดูรายละเอียดใน ฉพั พัคคยี ์ ว วธรปรพิ าชก, วธรปรพิ าชก ปรากฏในปรพิ พาชกสูตรแห่งองั คุตตรนกิ าย๑๑๓๓ ความระบุว่า วธรปริพาชก เป็น ปริพพาชกผู้มีช่ือเสียงเป็นท่ีรู้จักกันท่ัวไป อาศัยอยู่ในอารามของปริพาชก ร่ิมฝั่งแม่น้าสิปปินี ในอาราม นอกจากจะมวี ธรปรพิ าชกแลว้ ยังมีปรพิ าชกที่มีชอื่ เสียงอกี หลายท่านที่ปรากฏชื่อได้แก่ อันนภารปริพาชก สกลุ ุทายปี ริพาชก วันหนง่ึ พระผ้มู พี ระภาคได้เสดจ็ เข้าไปยังสานักของปริพาชก ได้ตรัสกับปริพาชกว่า มีบทธรรม ๔ ประการที่รู้กันว่าล้าเลิศ เป็นอริยวงศ์ เป็นของเก่า ไม่ถูกลบล้าง สมณพราหมณ์ท้ังหลายไม่คัดค้าน ได้แก่ อนภิชฌา (ความไม่เพ่งเล็ง), อพยาบาท (ความไม่เบียดเบียน), สัมมาสติ (ความระลึกชอบ), และ สัมมาสมาธิ (ความตั้งม่ันชอบ) บุคคลใดก็ตามติเตียน คัดค้านบทธรรม ๔ ประการนี้ บุคคลนั้นย่อมคล้อย ตามวาทะไมเ่ ปน็ ธรรมที่น่าติเตียน วามกะ,ฤาษี ฤาษีวามกะ เป็น ๑ ในบรรดาฤาษีชั้นผู้ใหญ่ผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ท้ังหลาย ใน คัมภีร์๑๑๓๔ ระบุชื่อ ประกอบด้วย ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษุยมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และฤาษีภคุ ฤาษีเหล่านี้ ถือว่าเป็นผู้แต่งมนต์ บอกมนตรท์ พี่ ราหมณท์ ัง้ ขบั ตามกันอยใู่ นปัจจุบนั ฤาษเี หลา่ นี้ ในคมั ภรี ์๑๑๓๕ ยังระบวุ า่ เป็นผบู้ ัญญัตพิ ราหมณ์ไว้ ๕ จาพวก ไดแ้ ก่ ๑) พราหมณ์ผู้เสมอด้วยพรหม หมายเอาพราหมณ์ผู้มีชาติกาเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ตลอด ๗ ช่ัวโคตร ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก เรียนมนตร์ตลอด ๔๘ ปี แสวงหาทรัพย์โดย ชอบธรรมเท่านั้น เขาถือกระเบ้ืองเท่ียวไปขอทานอย่างเดียว มอบทรัพย์สาหรับบูชาอาจารย์แล้ว โกนผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วบาเพ็ญบาเพ็ญพรหม วหิ ารธรรม เขา้ ถึงพรหมโลก ๑๑๓๒ วิ.มหา.อ. (ไทย) ๑/๓/๖๓๑. ๑๑๓๓ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๓๐/๔๖. ๑๑๓๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗. ๑๑๓๕ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๙๒/๓๑๘.

๒๙๒ ๒) พราหมณ์ผู้เสมอด้วยเทวดา หมายเอาพราหมณ์ผู้มีชาติกาเนิดดีท้ังฝ่ายบิดาและมารดา ตลอด ๗ ชั่วโคตร ประพฤติพรหมจรรย์ต้ังแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก เรียนมนตร์ตลอด ๔๘ ปี แสวงหาทรัพย์โดย ชอบธรรมเทา่ นัน้ เขาถือกระเบ้ืองเท่ียวภิกขาจารอย่างเดียว มอบทรัพย์สาหรับบูชาอาจารย์แล้ว แสวงหา ภรรยาโดยชอบธรรม สมสู่เฉพาะพราหมณี มีพราหมณีเพียงเพ่ือต้องการบุตรเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการ ความใคร่ ต้องการสนุก กาหนัดยินดี ครั้นมีบุตรหรือธิดาแล้วก็ออกบวชเป็นบรรพชิต ตายเข้าถึงโลก สวรรค์ ๓) พราหมณ์ผู้ประพฤติดี หมายเอาพราหมณ์ผู้มีชาติกาเนิดดีท้ังฝ่ายบิดาและมารดาตลอด ๗ ช่วั โคตร ประพฤติพรหมจรรย์ต้ังแต่ยังอย่ใู นวัยเด็ก เรียนมนตร์ตลอด ๔๘ ปี แสวงหาทรัพย์สาหรับบูชา อาจารย์โดยชอบธรรม เขาถือกระเบื้องเท่ียวภิกขาจารอย่างเดียว มอบทรัพย์สาหรับบูชาอาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรม สมสู่เฉพาะพราหมณีเท่าน้ัน มีพราหมณีเพียงเพ่ือต้องการบุตรหรือธิดา เท่าน้ัน ครอบครองสมบัติ ไม่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดารงอยู่ในความดีงาม ไม่ล่วงละเมิดความ ประพฤตทิ ด่ี ีงาม ๔) พราหมณ์ผู้ประพฤติท้ังดีและช่ัว หมายเอาพราหมณ์ผู้มีชาติกาเนิดดีทั้งฝ่ายบิดาและ มารดาตลอด ๗ ช่ัวโคตร ประพฤติพรหมจรรย์ต้ังแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก เรียนมนตร์ตลอด ๔๘ ปี แสวงหา ทรพั ย์สาหรบั บชู าอาจารย์โดยชอบธรรม เขาถอื กระเบื้องเท่ยี วภิกขาจารอยา่ งเดียว มอบทรัพยส์ าหรับบูชา อาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดยชอบธรรมบ้าง โดยไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซื้อขาย สมสู่กับ พราหมณบี า้ ง สตรชี ้ันกษัตรยิ ์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง มีนางพราหมณีเพ่ือต้องการความใคร่ บ้าง ความสนุกบ้าง ความยินดีบ้าง ต้องการบุตรบ้าง ไม่ดารงอยู่ในความประพฤติดีของพราหมณ์แต่ปาง ก่อน ๕) พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล หมายเอาพราหมณ์ผู้มีชาติกาเนิดดีท้ังฝ่ายบิดาและมารดาตลอด ๗ ช่ัวโคตร ประพฤติพรหมจรรยต์ งั้ แต่ยงั อยใู่ นวยั เด็ก เรียนมนตร์ตลอด ๔๘ ปี แสวงหาทรัพย์สาหรับบูชา อาจารย์โดยชอบธรรมบ้าง โดยไม่ชอบธรรมบ้าง มอบทรัพย์สาหรับบูชาอาจารย์แล้ว แสวงหาภรรยาโดย ชอบธรรมบ้าง โดยไม่ชอบธรรมบ้าง แสวงหาด้วยการซ้ือขาย สมสู่กับพราหมณีบ้าง สตรีชั้นกษัตริย์บ้าง แพศยบ์ า้ ง ศูทรบา้ ง จัณฑาลบ้าง มีนางพราหมณีเพ่ือต้องการความใคร่บ้าง ความสนุกบ้าง ความยินดีบ้าง ต้องการบุตรบ้าง เลย้ี งชพี ดว้ ยการงานทุกอย่าง วามเทพ, ฤาษี ฤาษีวามเทพ เป็น ๑ ในบรรดาฤาษีชั้นผู้ใหญ่ผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย ใน คัมภีร์๑๑๓๖ ระบุชื่อ ประกอบด้วย ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษุยมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และฤาษีภคุ ฤาษีเหล่านี้ ถือว่าเป็นผู้แต่งมนต์ บอกมนตร์ทีพ่ ราหมณท์ ั้งขับตามกันอยูใ่ นปจั จบุ ัน วาสภขัตติยา,พระนาง พระนางวาสภขัตติยา เป็นพระธิดาของเจ้าศากยะมหานาม ประสูติในครรภ์ของทาสีชื่อ ว่า นาคมณฑา ต่อมาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล พระนางประสูติพระราชโอรส. ก็ภายหลัง ๑๑๓๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗.

๒๙๓ พระราชาทรงทราบว่าพระนางเปน็ ทาสี จงึ ทรงปลดจากตาแหน่ง แม้วฑิ ูฑภะผ้เู ปน็ พระโอรส ก็ถูกปลดจาก ตาแหน่งเหมอื นกนั ต่อมาพระศาสดาทรงทราบเรื่อง จึงได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ทรงช้ีแจงเหตุ นบั ต้ังแตส่ ถานภาพของนางวาสภขัตติยา ว่าเป็นธิดาของกษัตริย์คือพระเจ้ามหานาม ต่อมา ได้อภิเษกกับพรเจ้าปเสนทิโกศล เม่ือประสูติพระราชโอรส เหตุใดพระราชโอรสจึงไม่ได้ครองราชสมบัติ จากน้นั ก็ทรงยกตวั อย่างพระราชาในอดีตทไี ดพ้ ระราชโอรสในครรภ์ของหญิงหาฟืน เป็นภรรยาชั่วคราว ก็ ยงั ไดพ้ ระราชทานราชสมบัติให้๑๑๓๗ ภายหลังพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็พอพระทัย ได้ประทาน ตาแหน่งแกน่ างวาสภขัตติยา และพระเจ้าวิฑูฑภะคืน วาสภคามกิ ะ, พระ พระวาสภคามิกะ ปรากฏในจูฬวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๑๓๘ เป็น ๑ ในบรรดาภิกษุ ๔ รูปชาว ปราจนี ประกอบด้วย พระสัพพกาม,ี พระสาฬหะ, พระอุชชโสภิตะ, และพระวาสภคามิกะ ท่ีสงฆ์คัดเลือก เพือ่ ระงบั อธิกรณ์ดว้ ยอพุ พาหกิ วธิ ี กรณภี กิ ษุชาววัชชยี กวัตถุ ๑๐ ประการขน้ึ แสดงในสงั ฆมณฑล อุพพาหิกวิธี เป็นวิธีระงับอธิกรณ์กรณีที่ประชุมสงฆ์น้ัน ๆ มีความไม่สะดวกด้วยเหตุการณ์ บางอย่าง เช่น กรณีภิกษุชาววัชชีแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ เม่ือสงฆ์จะระงับอธิกรณ์ ก็มีเสียงเซ็งแซ่เกิดข้ึน ไม่มีใครฟังใคร ทาให้สนทนากันไม่รู้เรื่อง สงฆ์จึงได้มีการตั้งตัวแทนโดยเลือกภิกษุชาวปราจีน ๔ รูป และ ตัวแทนจากภกิ ษชุ าวเมอื ง ๔ รปู เปน็ คณะทางานพเิ ศษ มหี น้าทน่ี าเรอ่ื งไปวนิ จิ ฉยั ๑๑๓๙ วาสเุ ทพ, พระราชา พระเจ้าวาสุเทพ ปรากฏในฆตปัณฑิตชาดก๑๑๔๐ ชาดกพรรณนาถึงพระโพธิสัตว์เมื่อครั้ง เสวยพระชาติเป็นฆตบัณฑติ ความในอรรถกถา มีรายละเอียด๑๑๔๑ สรปุ ไดด้ ังน้ี พระเจ้าวาสุเทพเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระนางเทวคัพภากับอันธกเวณฑุทาส ใน บรรดาพระโอรส ๑๐ พระองค์ ประกอบด้วย พลเทพ, จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ วรุณเทพ อัชชุนะ ปัช ชุนะ ฆตบัณฑิต และองค์ท่ี ๑๐ พระนามว่า อังกุระ ทั้งหมดเมื่อเติบใหญ่แล้ว มีกาลังและเร่ียวแรงมาก แต่มีอุปนิสัยหยาบช้า พากันเท่ียวปล้นประชาชน แม้คนนาบรรณาการไปถวายพระราชา ประชาชนจึง ร้องเรียนถวายฎีกาขอให้พระราชาไปปราบ พระราชารับส่ังให้เรียกตัวอันธกเวณฑุทาสผู้เป็นบิดามา คุกคาม ฝา่ ยผเู้ ป็นบดิ าถูกภัยคุกคามจากพระราชาก็เกรงพระอาญาจึงได้กราบทูลไปว่า กุมารเหล่านั้น ไม่ใช่บุตรของตน แต่เป็นโอรสของอุปสาครอุปราช แล้วก็กราบทูลความลับให้ทรงทราบ พระราชาทราบ ความจริงก็ตกพระทัย หาอุบายจับกุมารเหล่านั้นมาฆ่าทิ้งทั้งหมด แต่ก็หาได้ทาการสาเร็จไม่ ด้วยถูก ๑๑๓๗ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๒๖. ๑๑๓๘ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๕๖/๔๑๒. ๑๑๓๙ ดู วิ.อ.(ไทย) ๓/๒๓๑/๒๙๙ ประกอบ. ๑๑๔๐ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๖๕/๓๕๐. ๑๑๔๑ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๙๖๔-๙๘๓.

๒๙๔ วาสุเทพขว้างจักไปตกถูกพระเศียรกษัตริย์สิ้นพระชนม์ กุมารเหล่านั้นจึงยึดราชสมบัติ ยกมารดาบิดาข้ึน ครองราชย์แลว้ ก็ปรึกษากนั จะชิงราชสมบตั ใิ นชมพทู วปี ทงั้ หมด วาเสฏฐะ ช่ือวาเสฏฐะ ปรากฏในคมั ภีร์พระไตรปิฎก ประมวลสรปุ ได้ ๓ บุคคล ไดต้ ่อไปน้ี ๑. สามเณรชือ่ วาเสฏฐะ สามเณรช่ือวาเสฏฐะ ปรากฏในอัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกาย๑๑๔๒ ความระบุว่า สามเณรวา เสฏฐะ และสามเณรภารทวาชะ ปรารถนาจะอุปสมบทเป็นภิกษุ จึงได้อยู่อบรมในสานักของภิกษุท้ังหลาย วันหน่ึงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ จึงได้หาจังหวะเข้าเฝ้า เม่ืออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ พระผู้มี พระภาคได้สอบถามว่า ชาติสกุลเดิมเป็นพราหมณ์ออกบวชอย่างนี้ พวกพราหมณ์ไม่ได้ว่าอะไรบ้างเลย หรอื สามเณรท้งั สองได้กราบทลู ตามความเป็นจริงว่า ถกู พวกพราหมณด์ า่ เสียๆ หายๆ เต็มที่ พระผู้ มีพระภาคจึงได้ตรัสถามต่อไปว่า ด่าอย่างไรบ้าง สามเณรได้กราบทูลเรื่องพราหมณ์ยกวรรณะของตนมา ยกย่อง ขณะเดียวกันก็ดูหม่ิน ตาหนิวรรณะอื่นว่าเลว และพูดพาดพิงบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าว่ามี วรรณะเลวทราม พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเช่นน้ันก็ตรัสขึ้นว่า พวกพราหมณ์กล่าวเช่นนั้น เป็นเพราะระลึก ถึงเรื่องเก่าในอดีตไมไ่ ด้ จากนั้นก็ทรงเล่าถึงต้นกาเนิดของพวกพราหมณ์ท้ังหลาย ว่าจริงๆ ก็ออกจากโยนี ของนางพราหมณเี หมือนกัน ๒. อบุ าสกช่ือวาเสฏฐะ อุบาสกช่ือวาเสฏฐะ ปรากฏในภัลลิกาทิสูตร๑๑๔๓ ความระบุว่า วาเสฏฐอุบาสก เป็น ๑ ในผู้ท่ี พระผู้มีพระภาคพยากรณ์ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้เช่ือม่ันในพระตถาคต เห็นแจ้ง อมตธรรม ทาให้แจ้งอมตธรรมอยู่ คือ ๑) เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ๒) เลื่อมใสในพระธรรม ๓) เลื่อมใสไมห่ วัน่ ไหวในพระสงฆ์ ๔) ประกอบด้วยอริยศีล ๕) ประกอบด้วยอริยญาณ และ ๖) ประกอบด้วย อริยวิมตุ ติ อนึ่ง ในบรรดาอุบาสกท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ในพระสูตรนี้ ประกอบด้วย ภัลลิก คหบดี, สุทัตตเศรษฐี, จิตตคหบดี, เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ อุคคตคหบดี หมอชีวกโกมารภัจจ์ ตวกัณณิกคหบดี นกุลปิตาคหบดี อิสิทัตตคหบดี สันธานคหบดี วิชัยคหบดี วิชชิยมหิตคหบดี เมณฑก คหบดี วาเสฏฐอุบาสก อรฏิ ฐอุบาสก สาทตั ตอุบาสก ในวาเสฏฐสูตร๑๑๔๔ (พระผู้มีพระภาค ขณะประทับอยู่ท่ีกูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน วาเสฏฐ อุบาสกได้เข้าเฝ้า และพระผู้มีพระภาคได้แสดงอุโบสถศีล และอานิสงส์ของอุโบสถศีล มีไม่ถูกนินทา เข้าถึงสวรรค์ เป็นต้น วาเสฏฐอุบาสกได้ฟังพระดารัสแล้ว ก็ได้กราบทูลสนับสนุนให้ทุกคนได้รักษาศีล อโุ บสถ เพ่ือประโยชนเ์ กือ้ กูล เพอื่ สุขตลอดกาลนาน ๓. ฤาษชี อ่ื วาเสฏฐะ ๑๑๔๒ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๑๑/๘๓. ๑๑๔๓ อง.ฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๑๒๐/๖๔๑. ๑๑๔๔ อง.ฺ อฏฐก. (ไทย) ๒๘/๔๔/๓๑๒.

๒๙๕ วาเสฏฐฤาษี เป็น ๑ ในบรรดาฤาษีช้ันผู้ใหญ่ผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ท้ังหลาย ใน คัมภีร์๑๑๔๕ ระบุช่ือ ประกอบด้วย ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษุยมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และฤาษีภคุ ฤาษีเหล่าน้ี ถือว่าเป็นผู้แต่งมนต์ บอกมนตรท์ พ่ี ราหมณท์ ง้ั ขบั ตามกนั อยใู่ นปัจจุบัน วกั กล,ิ พระ พระวักกลิเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี ได้ชื่อว่า วักกลิ เพราะความผิวกายของท่าน ปราศจากมลทิน เป็นเช่นกับก้อนทองคา๑๑๔๖ ตอนวัยเด็กบิดามารดาเกรงภัยจากปิศาจเบียดเบียน จึงได้ นาไปถวายพระพุทธเจ้า ท่านจึงอยู่ในฐานะเป็นเด็กท่ีได้รับการอุปถัมภ์จากพระพุทธเจ้าต้ังแต่วัยเด็ก เหตุ ดังกล่าวนเี้ องจึงทาให้พระวักกลติ ดิ พระพุทธเจ้า ห่างพระพุทธเจ้าเพียงครู่เดียวก็ร้องหา๑๑๔๗ กระท่ังอายุได้ ๗ ขวบ จงึ ไดบ้ รรพชา ในวักกลิเถราปทานระบุว่า พระวักกลิ ได้บรรพชาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ๑๑๔๘ ในคัมภีร์ระบุต่อไป อีกวา่ ทา่ นหลงใหลในพระรูปของพระพุทธเจ้า อยู่ห่างพระพุทธเจ้าเพียงครูเดียวก็กระวนกระวายใจ จึงได้ ถูกพระพทุ ธเจา้ ตักเตอื นว่า การยินดีในรูปกายเช่นนั้นเป็นวิสัยของคนพาล ผู้ที่เห็นธรรมเท่าน้ัน จึงจะเห็น พระองคอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ อนึ่ง ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต๑๑๔๙ อรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท๑๑๕๐ และใน อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา๑๑๕๑ ระบุความต่างกันเล็กน้อยว่า ท่านเรียนจบไตรเพท คร้ันเมื่อ พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ จารกิ ในกรุงสาวัตถี ได้เห็นพระสรีระสมบัติของพระพุทธเจ้า เกิดความหลงใหล ได้เที่ยว ตามเสด็จไปกระท่ังถึงพระวิหาร เม่ือพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมอยู่ก็ยืนมอง ต่อมาประสงค์จะเห็น พระพทุ ธเจา้ จึงได้ทูลขอบรรพชา คร้นั บวชแล้วก็ตามเสด็จเพื่อมองดูพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ใจใน พระกัมมฏั ฐาน พระผู้มีพระภาครอกระทั่งญาณถึงความแก่รอบแล้ว จึงได้พูดตาหนิว่าเท่ียวตามรูปกายของ พระตถาคตอันเนา่ เปื่อย ไม่ไดป้ ระโยชนอ์ ะไร ผู้ทเ่ี หน็ ธรรมต่างหาก จึงได้ช่ือว่าเห็นพระองค์ แต่เม่ือเห็นว่า พระวักกลิหาได้สังเวชสลดใจไม่ ออกพรรษาจึงทรงขับไล่พระวักกลิออกจากสานัก ทาให้พระวักกลิเศร้าใจ ตั้งใจจะไปโดดเขาตาย แต่ก็ถูกพระพุทธเจ้าห้ามไว้ ด้วยทรงเห็นว่า จะทาลายอุปนิสัยแห่งอรหัตมรรค วักกลิเมื่อเห็นพระพุทธเจ้ามาตรัสห้าม ก็เกิดปีติ ลอยข้ึนต่อพระพักตร์ ข่มปีติในอากาศน้ันเอง บรรลุพระ อรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภทิ า๑๑๕๒ ในวักกลสิ ูตร๑๑๕๓ ระบุพระวกั กลิอาพาธ ไดร้ บั ทุกข์ อรรถกถาระบุว่า เมื่อออกพรรษาแล้วท่าน ไดอ้ อกเดนิ ทางเพอื่ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ระหว่างทางอาพาธหนัก เท้าท้ังสองข้างก้าวไม่ออก ได้พักอยู่ท่ี ๑๑๔๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗. ๑๑๔๖ ข.ุ อป.อ.(ไทย) ๙/๑/๒๒๕. ๑๑๔๗ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๔๘/๒๔๔. ๑๑๔๘ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๕๑/๒๔๔. ๑๑๔๙ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๙๐. ๑๑๕๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๓๙๒. ๑๑๕๑ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๑๐๗. ๑๑๕๒ อง.ฺ เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๒๙๒. ๑๑๕๓ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๗/๑๕๗.

๒๙๖ เรอื นชา่ งหมอ้ ๑๑๕๔ จากนน้ั จงึ ได้ส่งอุปฏั ฐากไปกราบทูลอาการให้ทรงทราบ พร้อมท้ังขอความอนุเคราะห์ให้ พระผู้มีพระภาคเสด็จไปเย่ียมอาการ พระผู้มีพระภาครับนิมนต์ วันต่อมาก็ได้เสด็จไปเยี่ยมพระวักกลิ พร้อมทั้งปลอบโยนให้สบายใจ ทรงให้พระวักกลิทบทวนศีลตัวเอง และทรงให้พระวักกลิบันเทิงด้วยการ สนทนาปรารภเร่ืองไตรลักษณ์ ได้แก่ความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ในพระสูตรยังระบุต่อไปอีกว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จลุกจากไปแล้ว พระวักกลิได้บอกให้ อุปัฏฐากหามไปยังวัดกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ เพราะคิดว่า พระอย่างตนนั้นจะมามรณะในบ้านดูจะไม่ เหมาะสม เมือ่ พระวักกลไิ ปถงึ กาฬสิลาแล้ว ก็ยงั กาลใหล้ ว่ งไปด้วยการพิจารณาธรรม จากน้ันท่านก็ได้ปลิด ชีวิตตนเองมรณภาพ พรอ้ มทบั สาเร็จเปน็ พระอรหันตใ์ นวนั น้นั นัน่ เอง๑๑๕๕ พระวักกลิ นับเป็น ๑ ในพระมหาเถระท่ีนับเน่ืองในอสีติมหาสาวก๑๑๕๖ได้รับการยกย่องจาก พระพุทธเจ้าวา่ เป็นยอดแหง่ พระสาวกผหู้ ลุดพ้นด้วยศรัทธา๑๑๕๗ วังคสี ะ, ภิกษุ พระวังคสี ะ ไดช้ ือ่ เช่นน้ัน เพราะเดิมเปน็ ชาววงั คชนบท และเพราะเปน็ ใหญ่ในถ้อยคา๑๑๕๘ เม่ือ รู้เดียงสา อยูใ่ นวยั หนมุ่ ได้เห็นพระสารบี ุตรในกรุงราชคฤห์ อุ้มบาตรสารวม เที่ยวบิณฑบาตอยู่๑๑๕๙ ทาให้ ท่านไดม้ โี อกาสสนทนากับพระสารบี ุตร และถูกพระสารีบุตรชักชวนนาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อหน้า พระพักตร์พระผู้มีพระภาค วังคีสะได้กราบทูลวิชาเคาะกะโหลดศีรษะของตนว่า สามารถรู้คติเจ้าของ กะโหลกว่าไปเกดิ ทไี่ หน ในอรรถกถาธรรมบท๑๑๖๐ มีรายละเอียดเพ่ิมเติมว่า วังคีสะเท่ียวเดินเคาะกะโหลกศีรษะใน เมอื งราชคฤห์ พรอ้ มกบั มพี ราหมณ์หัวใสอีกหลายคนได้เห็นเป็นช่องทางที่จะใช้อาศัยเลี้ยงชีพ จึงได้เข้ามา ช่วยเป็นกาลัง นุ่งผ้าแดง ๒ ผืน เที่ยวเดินประชาสัมพันธ์เชิญชวนคนทั้งหลายที่ประสงค์จะรู้กาเนิดของ ญาติท่ีตายไปแล้วให้เอากะโหลกศีรษะไปให้วังคีสะเคาะ โดยในแต่ละคร้ัง พวกมนุษย์ได้ให้กหาปณะ ๑๐ บา้ ง ๒๐ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ตามกาลัง กระท่ังทั้งหมดเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถี พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากพระเช ตวัน จงึ ไดม้ ีโอกาสเขา้ เฝา้ พระศาสดาเพื่อทดสอบวิชา พระพุทธเจ้าได้ทดสอบวิชาของวังคีสะด้วยทรงนากะโหลกศีรษะมา ๓ กะโหลกเพื่อให้วังคีสะ ทดสอบ เคาะกะโหลกแรก กะโหลกที่สอง วังคีสะก็สามารถตอบได้ว่าเป็นศีรษะของคนท่ีเกิดในนรก และ เกิดในสวรรค์ แต่กะโหลกสุดท้ายไม่สามารถตอบได้ จึงทาให้วังคีสะหมดมานะ แล้วทูลขอบรรพชาใน สานักของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า ด้วยประสงคจ์ ะขอเรยี นมนตส์ ัก ๒-๓ วัน เท่านัน้ ๑๑๕๔ ส.ข.อ.(ไทย) ๓/๒๘๑. ๑๑๕๕ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๗/๑๖๒. ๑๑๕๖ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๐. ๑๑๕๗ องฺ.เอก.(ไทย) ๒๐/๒๐๘/๒๗. ๑๑๕๘ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๒๒/๓๐๖. ๑๑๕๙ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๓/๑๒๔/๓๐๖. ๑๑๖๐ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔.

๒๙๗ อนึ่ง ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท๑๑๖๑ ระบุความต่างกันเล็กน้อยคือ พระศาสดารับสั่งให้นา กะโหลกศีรษะมา ๕ กะโหลก คือ กะโหลกศีรษะของสัตว์ผู้บังเกิดในนรก กาเนิดดิรัจฉาน มนุษย์ เทวโลก และกะโหลกศีรษะพระอรหนั ต์ มาวางให้วงั คีสะทดสอบตามลาดับ พระวังคีสะ ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระนิโครธกัปปเถระเป็นพระอุปัชฌาย์๑๑๖๒ หลังจาก อุปสมบทแล้ว พระผู้มพี ระภาคไดป้ ระทานกมั มฏั ฐานมีอาการ ๓๒ โดยบอกว่าเป็นมนต์ และให้สาธยายให้ คลอ่ ง โดยนัยน้ี เพยี ง ๒-๓ วันเท่านนั้ พระวังคสี ะกไ็ ด้บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์๑๑๖๓ พระวังคีสะ ได้รับการยกย่องจากพระผู้มีพระภาคว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุสาวกของพระองค์ว่า เป็นผู้มีปฏิภาณ๑๑๖๔ ทั้งนี้เป็นเพราะท่านชอบกล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าด้วย กาพย์กลอน หรือจิ นตกวีอยู่เนอื งๆ๑๑๖๕ วัจฉโคตร, ปริพพาชก ปริพพาชกชอ่ื วัจฉโคตร เป็น ๑ ในนักบวชเปลือยหลายทา่ นที่ถูกกล่าวถงึ ในคมั ภีร์พระไตรปิฎก เช่น นันทะ วัจฉโคตร กิสะ สังกิจจโคตร มักขลิโคสาล ท้ังหมดเป็นอเจลก หรือนักบวชเปลือย นักบวช เหล่านีม้ ีวัตรปฏบิ ัตทิ ่แี ปลกๆ หลายประการ เชน่ ฉนั เลยี มอื เขาเชญิ ให้ไปรบั ประทานกไ็ มไ่ ป เขาเชิญให้อยู่ รับอาหารก็ไม่หยุด ไม่รับอาหารท่ีเขาแบ่งไว้ ไม่รับอาหารที่เขาทาเจาะจง ไม่ยินดีอาหารท่ีเขาเชิญ ไม่รับ อาหารจากปากหม้อ ไมร่ ับอาหารของหญิงมคี รรภ์ ไมร่ บั อาหารของหญิงท่กี าลังให้บุตรดูดนม ไม่รับอาหาร ในท่ีเลี้ยงสุนัข ไม่กินปลา ไม่กินเน้ือ ไม่ด่ืมสุรา รับอาหารในเรือนหลังเดียว ยังชีพด้วยข้าวคาเดียว รับ อาหารในเรือน ๒ หลัง ยังชีพด้วยข้าว ๒ คา รับอาหารในเรือน ๗ หลัง ก็ยังชีพด้วยอาหาร ๗ คา ยังชีพ ด้วยอาหารในถาดน้อย ๗ ใบ กนิ อาหารทเ่ี กบ็ ไว้ค้างคืน ๑ คนื เป็นตน้ ๑๑๖๖ ในมหาวัจฉโคตตสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๑๑๖๗ ระบุว่า วัจฉโคตรปริพาชกผู้น้ี ต่อมาได้มีโอกาส เข้าเฝ้า และได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเล่ือมใส จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทใน พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธเจ้าทรงให้อยู่ปริวาส ๔ เดือน ตามเง่ือนไขก่อน แล้วจึงได้รับการบรรพชา อุปสมบท วัจฉโคตรได้แสดงความต้ังใจขออยู่ปริวาสเป็นระยะเวลา ๔ ปี ครบ ๔ ปีแล้ว จึงจะขอรับการ บรรพชาอปุ สมบท ภายหลังจากอุปสมบทแล้วได้ก่ึงเดือน ก็ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อเรียนสมถะและวิปัสสนา จากน้ันก็ปลีกออกจากหมู่อยู่แต่เพียงผู้เดียว ไม่ประมาท อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานก็ได้ทาที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ สาเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย๑๑๖๘ ได้รับการยกย่องจาก พระพทุ ธเจ้าวา่ เป็นผมู้ ีวชิ ชา ๓ มีฤทธ์ิมาก มีอานภุ าพมาก ๑๑๖๑ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๕๕๘. ๑๑๖๒ ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๓๔๕/๕๘๐. ๑๑๖๓ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๕๕๙. ๑๑๖๔ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๑๒/๒๘. ๑๑๖๕ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๑๓๓/๓๐๘. ๑๑๖๖ ม.ม. (ไทย) ๑๒/๓๖๖/๔๐๒. ๑๑๖๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๙๗/๒๓๔. ๑๑๖๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๙๙/๒๓๘.

๒๙๘ หากพจิ ารณาความจากคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยภาพรวมจะเห็นว่า วัจฉโคตรปริพาชกผู้น้ี ก่อน หนา้ ที่จะได้เขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา เป็นผู้มีความสนใจในการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยการสอบถาม และถกเถียงกับเหล่านักบวชท้ังหลายอยู่เนือง ๆ เช่น ในโมคคัลลานสูตร มีเรื่องราวของท่านได้เข้าไปหา พระโมคคัลลานะ และเริ่มต้ังคาถามเพื่อนาเข้าไปสู่การอภิปรายเรื่องปัญหาโลกเที่ยง ไม่เที่ยง โลกมีที่ ส้ินสุด ไม่มีท่ีส้ินสุด ชีวะกับอชีวะเป็นอย่างเดียวกัน หรือเป็นอย่างอื่น เป็นต้น๑๑๖๙ ในวัจฉโคตตสูตร ก็ได้ เข้าไปกราบทูลถามปัญหาเดียวกันนี้กับพระผู้มีพระภาคเจ้า๑๑๗๐ ในอานนทสูตร วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้า ไปสอบถามพระผู้มีพระภาคเจา้ เกย่ี วกับเร่ืองอตั ตามีอยู่หรือไม่มีอยู่ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงตอบ วัจฉโคตร จงึ ไดล้ กุ เดนิ ออก แล้วก็ไปสอบถามเร่ืองเดียวกันนี้กับพระอานนท์เถระ๑๑๗๑ ในสภิยกัจจานสูตร ก็ได้เข้าไป หาท่านพระสภิยกัจจานะ จากน้ันก็สอบถามเรื่องชีวิตหลังความตายว่าตายแล้วเกิดอีก หรือว่าตายแล้วไม่ เกิดอีก๑๑๗๒ เปน็ ต้น วัจฉนขะ,ดาบส วัจฉนขดาบส เปน็ ดาบสโพธิสัตว์ ปรากฏในวัจฉนขชาดก แห่งขุททกนิกาย๑๑๗๓ อรรถกถาวัจฉ นขชาดก๑๑๗๔ มีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า พระโพธิสัตว์ออกบวชเป็นดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศเป็นระยะ เวลานาน ต่อมาตอ้ งการเสพรสเปรยี้ วรสเคม็ จึงได้ออกจากป่าเข้าสู่เมืองพาราณสี ครั้งน้ันมีเศรษฐีคนหน่ึง เล่ือมใส จึงได้นิมนต์ไปสู่เรือน ได้ถวายอาหาร และนิมนต์ให้ท่านอยู่ในสวนในที่ไม่ไกล เพ่ือท่ีจะได้ ปรนนบิ ัติรับใช้ ต่อมาท้ัง ๒ ก็เกิดความรักใคร่สนิทสนม และคุ้นเคยกันเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายเศรษฐีเห็นการ ดารงชีวิตอยู่ของดาบส ดูเหมือนจะเคร่งครัด และลาบาก จึงได้เอ่ยปากชักชวนท่านสึกออกมาครองเรือน โดยรับปากว่าจะแบ่งสมบัติให้คร่ึงหน่ึง พร้อมกันน้ันก็ได้พรรณนาคุณของการอยู่ครองเรือน และโทษของ การบวชเพอ่ื เปน็ ประกอบการตัดสินใจ วัจฉนขดาบส ได้ยินเศรษฐีเกล่าวเช่นน้ัน ก็เอยขึ้นว่า เศรษฐีกล่าวคุณของการอยู่ครองเรือน โทษของการบวช ก็เพราะความไม่รู้ จากนั้นท่านก็กล่าวโทษของฆราวาสวิสัย และคุณของการบวชให้ เศรษฐีฟังบา้ ง พร้อมกบั ปฏเิ สธคาเชญิ ชวนของเศรษฐี แลว้ ก็กลบั ไปยงั อุทยานดงั เดมิ วัชชีบตุ ร, ภิกษุ ภิกษุวัชชบี ุตร เปน็ สามานยนาม ใช้เรียกภิกษุชาวกรุงเวสาลี ไม่ได้ระบุช่ือเป็นการเฉพาะ มีทั้ง ท่ีเป็นส่วนบุคคล กลุ่ม และคณะใหญ่ ปรากฏอยู่ท่ัวไปในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีท้ังเป็นผู้ก่อการดี และไม่ดี ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ในสันถตภาณวาร เล่าเรื่องพวกภิกษุวัชชีบุตรหลายรูป ฉันอาหาร จาวัด และสรงน้าพอแก่ ความตอ้ งการ มนสิการโดยไม่แยบคาย ไม่บอกคืนสิกขาบท ไม่เปิดเผยความท้อแท้ พากันเสพเมถุนธรรม สึกออกไปแล้ว แต่ไม่ประสบความสาเร็จในชีวิต จึงได้เข้าไปหาพระอานนท์ ขอโอกาสบวชอีกคร้ัง โดยให้ ๑๑๖๙ ส.สฬา.(ไทย)๑๘/๔๑๖/๔๘๔. ๑๑๗๐ ส.สฬา.(ไทย)๑๘/๔๑๗/๔๘๘. ๑๑๗๑ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๑๙/๔๙๓. ๑๑๗๒ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๒๐/๔๙๔. ๑๑๗๓ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๖๙/๑๑๐. ๑๑๗๔ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๔๔๙.

๒๙๙ สัญญาว่า ถ้าได้บวชคราวน้ี จะตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ พระอานนท์จึงนาเร่ืองไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ยกเร่ืองนี้เป็นเหตุ ได้บัญญัติสิกขาบทเพ่ิมเติมว่า ภิกษุไม่ยังไม่ลาสิกขา เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้กบั สัตว์เดรจั ฉานตวั เมีย ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หาสังวาสมิได้๑๑๗๕ ในสังฆเภทกถา๑๑๗๖ พรรณนาเรื่องราวพระเทวทัตชวนพระภิกษุวัชชีบุตร ๕๐๐ รูปผู้บวชใหม่ ยังไม่รอบรู้ธรรมวนิ ยั เข้าเปน็ พวกเพอ่ื ทาลายสงฆ์ จากนนั้ ก็แยกออกคณะสงฆ์เดินทางไปพักอยู่ต่างหากที่ค ยาสีสประเทศ พระผู้มีพระภาคได้ทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเดินทางไปทา ความเขา้ ใจ นาภกิ ษุวชั ชบี ตุ รเหล่าน้ันกลับคืนมา ในสัตตสติกขันธกะ๑๑๗๗ แสดงปฐมเหตุการณ์ทาสังคายนาครั้งนี้ ๒ โดยปรารภเร่ืองราวของ ภิกษุวัชชีบุตร แสดงวัตถุ ๑๐ ประการในกรุงเวสาลี จากนั้นก็แสวงหาพรรคพวก แสวงหากาลังสนับสนุน เปน็ เหตุให้พระยสกากณั ฑบตุ รยกเหตกุ ารณค์ รั้งนขี้ ้ึนเป็นเหตุ ได้ชักชวนพระสัมภูตสาณวาสี ชาระอธิกรณ์ โดยอาศยั กาลงั ภิกษุชาวเมอื งปาเฐยยะ และภิกษุชาวอวันตีทักขิณาบถ ร่วมประชุมหารือเบื้องต้น จากน้ัน ก็วางแผนทาสงั คายนากาจดั เส้ยี นหนามของพระศาสนา ในวัชชีบุตตสูตร ๑๑๗๘ พรรณนาเร่ืองราวภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่ง อยู่ ณ ราวป่าเขตกรุงเวสาลี เวลาน้ันในเมืองมีมหรสพตลอดทั้งคืน ท่านได้ฟังเสียงดนตรีท่ีดังมาถึงท่ีอยู่ จึงได้กล่าวเป็นคาถาว่า ตนอยู่ ในป่าคนเดียว เหมือนท่อนไม้ที่ถูกท้ิง ใครหนอจะเลวกว่าเราในราตรีเช่นนี้ เทวดาทราบความคิดของท่าน จึงได้เข้าไปหาท่าน พร้อมกับกล่าวเป็นคาถาว่า ท่านอยู่ผู้เดียวในป่า ดุจท่อนไม้ท่ีถูกท้ิง เทวดาและมนุษย์ ทงั้ หลายเป็นอันมากยังรักท่านอยู่ ดุจสัตว์นรกยินดีต่อผู้ท่ีจะไปสวรรค์ ท่านได้ฟังเทวดาพรรณนาเช่นน้ันก็ เกิดความสลดใจ ในวัชชีปุตตสูตร๑๑๗๙ ภิกษุวัชชีบุตรผู้หนึ่งได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะประทับอยู่ที่กูฏาคาร ศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงสาวัตถี กราบทูลปัญหาท่ีเกี่ยวกับทรงจาสิกขาบท ๑๕๐ ข้อท่ีจะยกข้ึนแสดงทุก ก่งึ เดอื นว่าไมส่ ามารถจดจานามาปฏบิ ตั ไิ ดท้ ้ังหมด พระพทุ ธเจา้ จึงทรงแนะนาให้ศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิสี ลสกิ ขา อธจิ ติ ตสิกขา และอธปิ ัญญาสิกขา วัฑฒลจิ ฉวี, เจา้ เจ้าวัฑฒลิจฉวี ปรากฏเร่ืองราวในจูฬวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๑๘๐ ความว่า พระเมตติยะและ พระภุมมชกะ ไม่พอใจพระทัพพมัลลบุตร จึงได้วานให้เจ้าวัฑฒลิจฉวีในฐานะเป็นสหาย ได้ช่วยใส่ความ โดยให้เข้าไปกราบทลู พระผูม้ พี ระภาคเจ้าวา่ พระทพั พมัลลบุตรได้ทามดิ มี ิรา้ ยกับปชาบดีของตน พระผมู้ พี ระภาค แมจ้ ะทรงทราบว่าเปน็ เรอ่ื งถกู ใส่ร้าย เพราะเป็นไปไม่ได้ท่ีพระทัพพมัลลบุตร ซึ่งเป็นพระอรหันต์แล้วทาเช่นนั้น แต่ก็ทรงตรัสเรียกภิกษุมาประชุมกัน และพิจารณาความในท่ามกลาง สงฆ์ โดยตรสั ถามพระทพั พมัลลบุตรได้ทาจรงิ ตามท่ีกล่าวหาหรือไม่ ตอนพระทัพพมัลลบุตรได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าย่อมทราบดีว่าเป็นอย่างไร ถึง ๓ ครั้ง แต่ได้รับเตือนจากพระผู้มีพระภาคว่า อย่าแก้คา ๑๑๗๕ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๔๔/๓๒. ๑๑๗๖ วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๔๔/๒๐๓. ๑๑๗๗ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓. ๑๑๗๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๒๙/๓๓๐. ๑๑๗๙ องฺ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๘๕/๓๑๐. ๑๑๘๐ วิ.จู.(ไทย) ๗/๒๖๕/๔๔.

๓๐๐ กล่าวหาอย่างนี้ ท่านจึงได้กราบทูลใหม่ว่า ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่รู้จักการเสพเมถุนแม้ในความฝัน ไม่ จาเปน็ ต้องกลา่ วถึงเมือ่ ตืน่ อยู่ จากคากราบทูลดังกล่าว พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งให้สงฆ์คว่าบาตรเจ้าวัฑฒลิจฉวี เพราะใส่ ความพระอรหันต์ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล เจ้าวัฑฒลิจฉวีทราบข่าวจากพระอานนท์เช่นนั้น ถึงกลับสลบ เพราะถือเป็นเร่ืองร้ายแรง เม่ือฟื้นขึ้นมาก็สานึกผิด และได้นุ่งผ้าเปียกผมเปียก เข้าเฝ้าขอขมาให้สงฆ์ยก โทษให้ เมอ่ื เหน็ ว่าวฑั ฒลจิ ฉวีสานกึ โทษแล้ว กท็ รงยกโทษโดยใหส้ งฆ์ประกาศหงายบาตร มูลเหตุท่ีอนุญาตให้ทรงคว่าบาตร มี ๘ ประการ๑๑๘๑ คือ ๑) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภของภิกษุ ทั้งหลาย ๒) ขวนขวายเพ่ือไม่ใช่ประโยชน์ของภิกษุทั้งหลาย ๓) ขวนขวายเพ่ือความอยู่ไม่ได้แห่งภิกษุ ท้ังหลาย ๔) ด่าบริภาษภิกษุท้ังหลาย ๕) ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน ๖) กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า ๗) กลา่ วตเิ ตียนพระธรรม และ ๘) กล่าวติเตยี นพระสงฆ์ วัปปะ,เจ้าศากยะ เจา้ ศากยพระนามวา่ วัปปะ ในอรรถกถาระบวุ า่ มศี ักดิ์เป็นพระเจ้าอาของพระพุทธเจ้า๑๑๘๒ เป็น ผู้เคยนับถือนิครนถ์ และเป็นอุปัฏฐากนิครนถ์มากก่อน ในวัปปสูตร๑๑๘๓ มีเนื้อความระบุว่า วันหนึ่ง เจ้า ศากยะพระนามว่าวัปปะ ได้เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ ได้สนทนาเก่ียวกับเรื่องอาสวะที่เป็นปัจจัย แห่งทุกขเวทนาติดตามบุคคลไปยังสัมปรายภาพ โดยเจ้าศากยะพระนามว่าวัปปะได้แสดงทัศนะว่า บาปกรรมน่ันเปน็ อาสวะที่เป็นปัจจยั ทาให้ทกุ ขเวทนาตดิ ตามบุคคลไปสู่สัมปรายภาพ ระหว่างที่สนทนากัน อยู่นั้น พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไป และทรงตรัสถามเรื่องที่กาลังสนทนากันอยู่ จากนั้นก็ทรงแจกแจง ปฏิปทาท่ีเหตุใหอ้ าสวะสนิ้ ไป ทกุ ขเวทนาไม่สามารถติดตามไปยังสมั ปรายภพไดอ้ ีกต่อไป เจ้าศากยะพระนามว่าวัปปะ คร้ันได้ฟังภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว เกิดความเลื่อมใส ประกาศตนนบั ถือพระพุทธเจา้ เปน็ สรณะตลอดชีวิตตงั้ แต่บัดนนั้ วชริ กี ุมารี, พระนาง พระนางวชิรีกมุ ารี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระนางมัลลิกาเทวี เรื่องราว ของพระนางมีกล่าวถึงเล็กน้อยในปิยชาติกสูตร๑๑๘๔ ความระบุถึงการสนทนาระหว่างพระเจ้าปเสนทิโกศล กับพระนางมัลลิกาเทวีเรื่อง ความทุกข์ย่อมเกิดจากสิ่งท่ีเป็นท่ีรัก โดยพระนางมัลลิกาเทวีได้ยกตัวอย่าง หากพระนางวชิรีกมุ ารีเปน็ อะไรไป ท้ังสองพระองค์ก็จะต้องเศร้าโศก เป็นทุกข์หาประมาณมิได้ เหตุท่ีเป็น เช่นนั้นพระพระนางวชริ กี ุมารทรงเปน็ ท่ีรักย่ิง ความทเ่ี ก่ียวข้องกับพระนามวชริ กี ุมารมี เี พยี งเท่าน้ี วัสสการพราหมณ์ วัสสการพราหมณ์ เป็นมหาอามาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ รับ ราชการในตาแหน่งน้ีมากระท่ังถึงรัชสมัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ๑๑๘๑ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๒๖๕/๔๖. ๑๑๘๒ องฺ.จตุกกฺ .อ.(ไทย) ๒/๔๙๕. ๑๑๘๓ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๑๙๕/๒๙๒. ๑๑๘๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๕๗/๔๓๙.

๓๐๑ จึงถอื เป็นอามาตย์ช้ันผูใ้ หญ่ท่ีรับราชการมายาวนาน ๒ รชั กาล และมคี วามเกย่ี วข้องกับพระพุทธศาสนาดัง ปรากฏหลกั ฐานในพระไตรปฎิ กหลายแหง่ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี ในปาราชิกสกิ ขาบทท่ี ๒ มีเรอ่ื งราววัสสการพราหมณ์เข้ามาเกย่ี วข้องในฐานะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ เข้ามาจับกุมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ท่ีเอาไม้หลวงไปถวายพระธนิยกุมภการบุตร เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรง บัญญัตสิ กิ ขาบทห้ามถือเอาสิ่งทีเ่ จ้าของไมไ่ ดใ้ ห้เกินราคา ๕ มาสก๑๑๘๕ นอกจากนั้น ในอรรถกถาอุตตรเถร คาถา ก็มีเรื่องราววัสสการพราหมณ์ตัดสินคดีอุตตรสามเณรถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร โดยสั่งลงโทษให้จับ เสียบหลาวทั้งเป็น โดยท่ียังไม่สอบสวนพยานหลักฐาน เพราะมีความอาฆาตส่วนตัวในอุตตรสามเณรมา ก่อน๑๑๘๖ ในอรรถกถาอุตตรเถราปทานระบุว่า เหตุท่ีวัสสการพราหมณ์แค้นสามเณรเป็นการส่วนตัว เน่อื งจากในอดตี เคยยกลูกสาวให้ เพราะช่ืนชมอุตตรสามเณรว่ามีวิชา แต่ถูกปฏิเสธ เพราะอุตตรสามเณร น้ันมีอุปนสิ ัยแหง่ พระอรหนั ต์๑๑๘๗ ในวัสสการสูตร๑๑๘๘ พรรณนาเร่ืองราววัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะ ประทับอยู่ ณ เวฬวุ นั เขตกรุงราชคฤห์ กราบทูลถามการบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการว่า เปน็ มหาบรุ ษุ ผมู้ ปี ญั ญามากในมุมมองของพระพทุ ธเจา้ ตอ่ ประเด็นน้ี พระผมู้ พี ระภาคได้ตรัสว่า ผู้เป็นมหา บุรุษมีปัญญามาก ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ดังน้ี ๑) ปฏิบัติเพ่ือเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพ่ือความสุข แก่คนหมู่มาก ให้คนหมู่มากต้ังอยู่ในอริยธรรม ๒) จะตรึกตรองเร่ืองใด ก็ตรึกตรองเรื่องน้ัน ไม่ปรารถนา จะตรึกตรองเร่ืองใด ก็ไม่ตรึกตรองเรื่องน้ัน ปรารถนาจะดาริเรื่องใด ก็ดาริเร่ืองนั้น ไม่ปรารถนาจะดาริ เร่ืองใด ก็ไม่ดาริเรื่องนั้น ถึงความเช่ียวชาญในจิตในแนวทางแห่งการตรึกตรองท้ังหลาย ๓) ได้ฌาน ๔ อนั มีในจิตยง่ิ ซงึ่ เป็นเครือ่ งอยู่เปน็ สขุ ในปัจจุบันตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลาบาก และ ๔) กระทา ใหแ้ จง้ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมตุ ติอันไมอ่ าสวะเพราะอาสวะส้ินไปดว้ ยปัญญาอนั ย่งิ เอง ในวัสสการสูตร๑๑๘๙ พรรณนาเรื่องราววัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะประทับ อยู่ ณ เวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเก่ียวกับความเป็นไปได้ หรือความเป็นไป ไม่ได้กรณีอสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษ หรืออสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นไปไม่ได้ แตเ่ ป็นไปได้ท่ีสตั บุรษุ จะพงึ รจู้ ักอสัตบรุ ุษ หรือสตั บรุ ุษจะพึงรู้จักสัตบุรษุ นน้ั ในวัสสการสูตร๑๑๙๐ และในมหาปรินิพพานสูตร๑๑๙๑ พรรณนาเรื่องราวพระเจ้าอชาตศัตรูมี ความประสงค์จะปราบแคว้นวัชชี จึงได้ส่งวัสสการพราหมณ์ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และให้กราบทูล พระประสงคใ์ นการปราบแควน้ วชั ชีใหท้ รงทราบ พรอ้ มท้ังกาชับว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรก็ให้จาไว้ให้ดี แล้วกลับมารายงานให้ทรงทราบ เม่ือวัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากราบทูลทุกอย่างแล้ว พระองค์หันไป ตรัสกบั พระอานนท์เกี่ยวกบั เจ้าวชั ชีว่า ตราบใดยังต้ังอยู่ในอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการ ตราบนั้น จะไม่ มีใครสามารถทาลายแคว้นวัชชีได้ วัสสการพราหมณ์ได้ฟังพระดารัสเช่นนั้น ก็กราบทูลลาเข้าเฝ้าพระเจ้า ๑๑๘๕ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๘๙/๗๘. ๑๑๘๖ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๒/๒. ๑๑๘๗ ข.ุ อป.อ.(ไทย) ๙/๑/๔๖๙. ๑๑๘๘ องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๕/๕๕. ๑๑๘๙ อง.ฺ จตุกกฺ .(ไทย) ๒๑/๑๘๗/๒๖๘. ๑๑๙๐ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๒๒/๓๒. ๑๑๙๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๓๑/๗๗.

๓๐๒ อชาตศัตรู กราบทูลรายงานให้ทรงทราบ และวางแผนทาลายความสามัคคีของเจ้าวัชชีทั้งหลาย กระทั่ง สามารถยดึ แควน้ วชั ชไี ดใ้ นเวลาต่อมา วิชยา, ภิกษุณี วิชยาภิกษุณี ปรากฏในวิชยาสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๑๙๒ ความพรรณนาถึงวิชยาภิกษุณีครอง อันตรวาสก ถอื บาตรและจวี รเข้าไปบณิ ฑบาตยงั กรงุ สาวตั ถี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังจากฉันเสร็จแล้ว จึงน่ังพักกลางวันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง เวลานั้นมารผู้มีบาปประสงค์จะให้วิชยาภิกษุณีเกิดความกลัว และ เคลื่อนจากสมาธิ จึงได้เข้าไปหาแล้วกล่าวเชิญชวนร่วมบรรเลงดนตรี นางภิกษุณีทราบว่าเป็นมาร จึงได้ กล่าวตอบไปวา่ รปู เสียง กลิ่น รส และโผฏฐพั พะที่นา่ รืน่ รมย์ใจ ตนละไดแ้ ล้ว กามตัณหาเราก็ถอนได้แล้ว เชิญท่านคนเดียวเถดิ มารทราบว่าวิชยาภิกษุณีรู้จักตน ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะแผนการที่วางไว้ไม่ประสบความสาเร็จ จึงหายตวั ไป ณ ท่นี น้ั เอง วิปัสส,ี พระพทุ ธเจ้า พระวิปสั สีพระพทุ ธเจ้า มีพรรณนาไวใ้ นมหาปทานสตู ร๑๑๙๓ ความสรุปได้วา่ ทรงอุบัติข้ึนมาใน โลก นับถอยหลังจากกัปน้ีไป ๙๑ กัป ทรงมีพระชาติเป็นกษัตริย์ เสด็จอุบัติข้ึนในตระกูลกษัตริย์ มี พระชนมายุประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ตรัสรู้ที่ควงต้นแคฝอย ทรงมีคู่อัครสาวกได้แก่พระขัณฑะ และพระติส สะ ทรงมีการประชุมพระสาวก ๓ คร้ัง ครั้งท่ี ๑ มีภิกษุ ๑๖๘,๐๐๐ รูป คร้ังท่ี ๒ มีภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป และคร้งั ท่ี ๓ มี ๘๐,๐๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ทรงมีพระภิกษุอโสกะเป็นอุปัฏฐาก มีพระเจ้าพันธุมา เปน็ พระบิดา พระนางพันธุมวดีเทวีเป็นพระมารดาผู้ให้กาเนิด กรุงพันธมวดีเป็นราชธานีของพระเจ้าพันธุ มา เมื่อคร้ังประสูติ พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีก็ได้รับการพยากรณ์จากเหล่าพราหมณ์ โหราจารย์ว่า ถ้าอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกผนวช จักได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจ้า เพราะทรงประกอบด้วยมหาปรุ ิสลกั ษณะครบ ๓๒ ประการ ทรงไดร้ ับการเลยี้ งดูจากพระเจ้าพันธุ มาเปน็ อยา่ งดี พระราชบิดาทรงสรา้ งปราสาท ๓ หลัง เพื่อใหพ้ ระราชกุมารประทับอยู่ใน ๓ ฤดู ทรงมีพระ จกั ษุอันเปน็ ทพิ ย์ สามารถมองเหน็ ไดไ้ กลตลอด ๑ โยชน์โดยรอบ ท้งั กลางวันและกลางคืน ได้รับการขนาน พระนามวา่ วปิ ัสสี เพราะเหตุเวลาเพง่ ดจู ะไม่กระพริบพระเนตรเหมือนเหลา่ พวกเทวดาท้งั หลาย เวลาพระเจ้าพันธุมาประทับในศาลพิจารณาคดี จะทรงให้พระวิปัสสีราชกุมาประทับนั่งบน พระเพลา เพราะช่วยทาให้พระองค์พิจารณาอรรถคดีดาเนินไปด้วยพระญาณ ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลหน่ึงท่ีทา ใหพ้ ระองค์ได้รบั การขนานพระนามวา่ วิปสั สี กาลเวลาผ่านไปหลายพันปี ได้เสด็จประพาสอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ เกิด ความสังเวชสลดใจ นอ้ มพระทยั ในการบรรพชา จึงได้ปลงพระเกสาและหนวด ครองผ้ากาสาวพัสตร์สเด็จ ออกผนวชเป็นบรรพชิตที่อุทยานน่ันเอง ต่อมามหาชนในกรุงพันธุมวดีประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้ทราบ ข่าว ก็พากันออกผนวชตาม ทรงปลีกพระองค์ออกจากหมู่ บาเพ็ญเพียรทางจิต พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ตามกระแสการเกิด และการดับไปแห่งทกุ ข์ ไดบ้ รรลเุ ป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ๑๑๙๒ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๖๕/๒๒๐. ๑๑๙๓ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๖/๑๐.

๓๐๓ เม่ือได้ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงราพึงวา่ ธรรมทไี่ ดต้ รัสรู้น้ันลึกซึ้ง ยากสาหรับหมู่ชนที่ยังร่ืนเริง ยินดีใน อาลัย ทาให้น้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่แสดงธรรม ท้าวมหาพรหมทราบความดาริ จึงได้ลงมากราบทูล อาราธนาให้ทรงแสดงธรรม ด้วยทรงเห็นว่า สัตว์ผู้มีธุลีในนัยน์ตาน้อยก็ยังมีอยู่ ทรงพิจารณาเห็นสัตว์โลก เหมือนดอกบัว พวกท่ีอยู่จมใต้น้าก็มี กลางน้าก็มี พ้นน้าแล้วก็มี จึงได้ตัดสินพระทัยประกาศศาสนา ทรง เริ่มตน้ แสดงธรรมโปรดพระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตช่ือติสสะเป็นกลุ่มแรก ซ่ึงต่อมาก็ ได้กลายเป็นอัครสาวกเบ้ืองซ้าย-ขวา ต่อมาก็มีคนออกบวชติดตาม และบรรลุพระอรหันต์มากถึง ๑๖๘,๐๐๐ รูป จึงไดส้ ่งภิกษุเหล่านัน้ ไปประกาศศาสนา พระประวัติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีนี้ ถือว่ามีความสมบูรณ์กว่าอดีต พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ เพราะถือเป็นการแสดงถึงกาลังปุพเพนิวาสานุสสติญาณในท่ามกลางบริษัท ของพระพุทธเจา้ ว่าทรงมกี าลังเพียงใด จึงทรงเลือกพระพุทธเจา้ พระนามว่าวิปัสสี ซ่ึงถือว่านับถอยหลังไป นานทสี่ ุดในบรรดาพระพทุ ธเจ้าทงั้ หลาย อน่ึง ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี นับเป็น ๑ ใน ๓ ของศาสนาของพระพุทธเจ้า ในอดตี ทด่ี ารงอยูไ่ ม่นาน เพราะไมค่ ่อยไดแ้ สดงธรรมโดยพสิ ดารแกส่ าวก สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภตู ธรรม และเวทัลละของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ ๓ พระองค์นจ้ี ึงมนี อ้ ย๑๑๙๔ วฑิ ูฑภะ, พระเจ้า พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นพระโอรสในพระเจ้าปเสนทิโกศล กับพระนางวาสภขัตติยาราชธิดาของ ท้าวมหานามแห่งศากยวงศ์ เมื่อเติบใหญ่ได้รับตาแหน่งเสนาบดี ต่อมาได้สมคบกับเหล่าอามาตย์ ยึด อานาจจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ในอรรถกถาธรรมบท๑๑๙๕ มีรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ วา่ พระเจ้าปเสนทิโกศล มีพระประสงค์จะเป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า จึงได้ทรงส่งทูตไปเมือง กบลิ พสั ดุ์เพอ่ื ไปสขู่ อเจา้ หญงิ แหง่ ราชวงศศ์ ากยะมาเพื่ออภิเศกด้วย พวกเจ้าศากยะเป็นคนมีความถือตัวใน ชาตสิ กุล จึงไดห้ าทางหลกี เลี่ยงโดยการยกนางวาสภขัตติยา ซง่ึ มีมารดาเป็นหญิงทาสีให้ โดยท่ีทูตไม่ทราบ เรื่องมาก่อน เมื่อได้นางวาสภขัตติยมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงดีพระทัยมาก ถึงกับแต่งตั้งให้พระนาง เป็นหนึ่งในมเหสีเอกของพระองค์ และต่อมานางก็ได้ประสูติพระโอรสพระองค์หนึ่ง ทรงขนานนาม พระโอรสพระองคน์ ้ีวา่ วฑิ ูฑภะ เมื่อเจ้าชายวิฑูฑภะมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้เสด็จไปเยือนพระเจ้ามหานามะและเจ้าชาย ในศากยวงศ์ท้ังหลาย เม่ือเสด็จไปถึงเจ้าชายวิฑูฑภะทรงได้รับการต้อนรับด้วยดี แต่บรรดาราชกุมาร ทั้งหลายท่ีพระชนมายุอ่อนกว่าได้ถูกส่งไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ด้วยไม่ต้องการให้พวกราชกุมารเหล่านี้ ทาความเคารพเจ้าชายวิฑูฑภะ หลังจากประทับอยู่ท่ีกรุงกบิลพัสดุ์อยู่ ๒-๓ วันเจ้าชายวิฑูฑภะและคณะ ผ้ตู ดิ ตามกไ็ ด้เสดจ็ กลับแควน้ โกศล หลังจากท่ีพระเจ้าวิฑูฑภะเสด็จออกจากพระราชวังไปแล้วนั้น ทาสหญิงคนหนึ่งก็ได้นาน้านม มาล้างพระแท่นท่ีประทับน่ังของเจ้าชายวิฑูฑภะ พลางปากก็ร้องด่าแช่งไปว่า ลูกทาสีมาน่ังบนแผ่น กระดานน้ี ทาให้พวกตนต้องลาบาก เวลาน้ันทหารในคณะผู้ติดตามของเจ้าชายวิฑูฑภะคนหน่ึงกลับมา เอาของที่ลืมไว้ ก็จึงได้ยินคาพูดของพวกทาสเหล่านั้นเข้าพอดี เม่ือสอบถามรายละเอียดก็ได้ความว่า ๑๑๙๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑๙/๑๑. ๑๑๙๕ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๑๑.

๓๐๔ มารดาของเจา้ ชายวิฑฑู ภะเปน็ ลกู ของทาสหญงิ คนหน่ึงซึ่งกาเนดิ จากพระเจ้ามหานาม ก็ได้กลับไปรายงาน ความจรงิ ใหพ้ ระเจ้าวฑิ ูฑภะทราบ เจ้าชายวิฑูฑภะเมื่อได้ทรงทราบเรื่อง ก็ทรงพิโรธมาก และได้ทรงประกาศว่า สักวันหนึ่ง พระองค์จะทรงเอาเลือดจากลาคอของพวกเจ้าศากยะมาล้างพระแท่นที่ประทับนั้นให้จงได้ และเม่ือ พระองค์ได้รับการอภิเษกเป็นพระราชาแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงกระทาตามที่ได้ทรงประกาศเอาไว้เมื่อครั้ง นนั้ โดยพระองค์ทรงกรธี าทัพบุกไปสังหารพวกเจ้าศากยะทัง้ หมด เหลือไว้เพียงพระเจ้ามหานามะและคน ไมก่ ีค่ นที่อยู่กบั พระองค์ หลงั จากจัดการล้างแค้นเจา้ ศากยะเสรจ็ แล้ว ในระหว่างทางที่ทรงยกทัพกลับแคว้นโกศล พระ เจ้าวิฑูฑภะ และกองทัพของพระองค์ได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่บนหาดทรายในแม่น้าอจิรวดี คืนนั้นได้เกิดฝน ตกลงมาหนักมากทางด้านเหนือน้า เกิดน้าหลากไหลมาพัดพาทหารในกองทัพรวมทั้งพระเจ้าวิฑูฑภะท่ี นอนอย่บู นหาดทรายจมหายลงไปในมหาสมทุ ร วิธรู ะ,พระ พระวิธรู ะ เป็นอัครสาวกของพระเจา้ พุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะค่กู ับพระสญั ชวี ะ๑๑๙๖ อนงึ่ พระพุทธเจา้ พระองค์นี้ อุบัตขิ น้ึ ในภัทรกัป มีพระพทุ ธเจ้า ๓ พระองค์อุบัติขึ้นในภัทรกัป ประกอบด้วย พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, และพระกัสสปะ ทรงอุบัติขึ้นในหมู่มนุษย์เผ่าติวรา มนุษย์ เผ่านี้มีอายขุ ยั ๔ หม่นื ปี๑๑๙๗ วธิ รู บณั ฑิต วิธูรบัณฑิต เป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเมื่อคร้ังยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ บาเพ็ญ ปัญญาบารมีให้บริบูรณ์๑๑๙๘ ความในอรรถถกถาชาดก และอรรถกถาจริยาปิฎก มีรายละเอียดเพ่ิมเติม สรุปไดด้ ังน้ี วิธูรบัณฑิต ถือกาเนิดในตระกูลปุโรหิตของพระเจ้าธนัญชัย เติบใหญ่แล้วได้รับการศึกษา ศิลปะทุกชนิดที่เมืองตักกศิลา กลับมาท่ีอินทปัตถนครแล้ว ได้รับตาแหน่งปุโรหิตผู้ถวายอรรถธรรมแด่ พระราชาแทนท่บี ิดาท่ลี ่วงลับไปแล้ว ในอรรถกถาระบวุ า่ วิธูรบัณฑติ ได้ช่วยแก้ปัญหาการบริหารกองทัพ กล่าวคือพระราชาไม่ทรง คานึงถงึ ทหารเก่า ทาการการสงเคราะห์เฉพาะทหารใหม่เท่าน้ัน เมื่อข้าศึกประชิดชายแดน ทหารเก่าก็ไม่ รบ ด้วยคิดว่าทหารใหม่ที่ทรงสงเคราะห์จักรู้หน้าที่ ฝ่ายทหารใหม่ก็ไม่รบด้วยคิดว่าไม่ใช่หน้าท่ีตน เช่นเดียวกัน ทาให้พระราชาพ่ายแพ้ เมื่อทรงพ่ายแท้ ก็ทาให้ทรงคิดได้ว่าเป็นเพราะเหตุท่ีละเลยการ สงเคราะหท์ หารเกา่ จงึ ทรงเรยี กวิธูรบัณฑติ มาสอบถาม วธิ รู บณั ฑติ ไดก้ ราบทูลขอให้ทรงเปลี่ยนวิธีการ เพราะในอดีตมีพระราชาที่ทาเช่นน้ี และทาให้ เกิดปัญหาการบริหารลักษณะน้ีเช่นกัน พระเจ้าธนัญชัยจึงได้เปลี่ยนนโยบายการบริหารใหม่ หันมาให้ ความสนใจคนภายใน ๑๑๙๖ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๙/๔. ๑๑๙๗ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๔๓/๒๓๐. ๑๑๙๘ ข.ุ จริยา.(ไทย) ๓๓/๑๒๒/๗๗๗.

๓๐๕ วิมละ,พระ พระวิมละ เป็น ๑ ในสหาย ๔ คนของยสะที่ออกบวชติดตามพระยสะ ประกอบด้วย วิมละ สุ พาหุ ปุณณชิ และควัมปติ ท้ังหมดเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงพาราณสี มูลเหตุออกบวช ปรารภการออกบวช ของพระยสะผู้เป็นสหายว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออก จากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตนนั้ คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่ จึงเข้าไปหาพระยสะถึงท่ีอยู่ จากนั้นพระย สะก็ไดพ้ าสหายทัง้ ๔ เขา้ เฝา้ พระผู้มีพระภาค วมิ ละ และสหาย ไดฟ้ ังอนุปพุ พกิ ถา ได้ดวงตาเหน็ ธรรม กราบทลู ขอบรรพชาในสานักของพระ ผู้มีพระภาคเจ้า คร้ันอุปสมบทแล้วไม่นาน ได้รับพระโอวาทเพ่ิมเติม ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทา ให้มีพระอรหันต์เพิ่มเตมิ ในโลกเวลานน้ั จานวน ๑๑ รูป๑๑๙๙ วิสาขอุบาสก วิสาขอุบาสก เป็นอดีตสามีของพระธัมมทินนาเถรี๑๒๐๐ ในอรรถกถาจุฬเวทัลลสูตร๑๒๐๑ และ อรรถกถาธรรมบท๑๒๐๒ มีรายละเอยี ดเพม่ิ ว่า วิสาขอุบาสก เป็นหน่ึงในจานวนคนที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า คร้ังแรกเม่ือครั้งเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสารพร้อมบริวาร ๑ แสน ๒ หม่ืนคน โดยได้สาเร็จเป็นโสดาบัน ต้งั แต่บดั นน้ั และต่อมาก็ได้บรรลสุ กทาคามี อนาคามตี ามลาดับ หลังจากท่ีวิสาขอุบาสกได้บรรลุอนาคมีแล้ว ก็งดกิจกรรมต่าง ๆ นับตั้งแต่ไม่ทานอาหารเย็น ไมน่ อนร่วมกบั นางธัมมทนิ นา ทาให้นางรู้สึกผิดสังเกต ต่อมาได้สอบถามทราบความจริงว่าสามีได้บรรลุโล กุตตรธรรมแลว้ จึงได้ขออนญุ าตวสิ าขอบุ าสกบวชตั้งแตบ่ ดั น้ัน ในจูฬเวทัลลสูตร ๑๒๐๓ พรรณนาเรื่องราววิสาขอุบาสก ได้เข้าไปหาภิกษุณีชื่อธัมมทินนาถึงท่ี น้อมไหว้แล้ว น่ัง ณ ท่ีสมควร ได้ถามปัญหาเรื่องสักกายะที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ นางธัมมทินนาภิกษุณี ได้ตอบไปวา่ คาว่า สักกายะ หมายถงึ อุปาทานขนั ธท์ ั้ง ๕ ได้แก่อุปาทานในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ วิสาขอุบาสกได้ถามต่อไปถึงเร่ืองสักกายสมุทัย สักกายะนิโรธ สักกายะนิโรธคามินีปฏิปทา ตามลาดับ แม้นางภิกษุณีก็ตอบตามลาดับโดยนัยเป็นต้นว่า กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา คือสัก กายสมุทัย ความดับไม่เหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัยในตัณหาน้ัน เรยี กว่า สกั กายนโิ รธ สว่ นอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกวา่ สักกายะนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา อนึ่ง จากบทสนทนานี้เอง ทาให้วิสาขอุบาสกทราบว่า พระนางธัมมทินนาเถรี ได้บรรลุเป็น พระอรหนั ต์ ซึง่ ทาให้ตนหมดห่วง จงึ ได้อนุโมทนา และชน่ื ชมภาษิตของนาง กระทาประทักษิณแล้วก็ลุกไป เข้าเฝ้ากราบทลู เร่ืองราวทตี่ นได้สนทนากบั ภกิ ษุณีธัมมทนิ นาเถรี ซ่งึ ก็ได้รับการยืนยันว่า หากวิสาขอุบาสก มาถามพระองค์ พระองคก์ จ็ ะทรงพยากรณเ์ หมือนท่นี างธัมมทินนาเถรพี ยากรณ์นั่นเอง วิสาขปญั จาลบุตร, พระ ๑๑๙๙ วิ.มหา.(ไทย) ๔/๓๐/๓๗-๓๘. ๑๒๐๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๒๑/๑๖๗. ๑๒๐๑ ม.มู.อ.(ไทย) ๑/๓/๓๓๔. ๑๒๐๒ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๔/๕๖๒. ๑๒๐๓ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๔๖๐/๕๐๐.

๓๐๖ พระวิสาขปัญจาลบุตร ปรากฏในวิสาขสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๒๐๔ ความสรุปได้ว่า พระวิ สาขปัญจาลบุตรได้ชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายในศาลาเป็นที่บารุงเห็นชัด ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติด้วย วาจาอันไพเราะ สละสลวยปราศจากโทษ นับเน่ืองในสัจจะ ๔ ไม่อิงอาศัยวัฏฏะ กระท่ังพระผู้มีพระภาค ทรงได้ยิน จึงได้เสด็จมาตรสั ถามว่า เป็นพระรูปใด เมอ่ื ทรงทราบแล้วก็รับสั่งให้เรียกมา และตรัสชมเชยว่า ทาไดด้ แี ล้ว เน้ือความทเ่ี ก่ียวข้องกับพระวสิ าขปญั จาลบตุ ร มเี พียงเทา่ น้ี วสิ าขา, อบุ าสิกา ดู มิคารมาตา, วสิ าขามหาอุบาสกิ า วณี า, นางวณี า ชอ่ื เทพธดิ า วีรเถระ,พระ พระวีรเถระ ปรากฏในวีรเถระ แห่งขุททกนิกาย เถรคาถา๑๒๐๕ คาถาระบุความทีท่านเป็นดื้อ แตก่ ็ถกู พระศาสดาฝึก กลายเปน็ คนสันโดษ หมดข้อสงสยั ชนะกิเลสได้ ปราศจากความขนพองสยองเกล้า มจี ติ คงท่ี ดับสนิทแล้ว ความในคัมภรี อ์ รรถกถา พรรณนาเรือ่ งราวของทา่ นเพิม่ เตมิ วา่ ทา่ นเป็นผ้มู ีบญุ บารมีสร้างไวแ้ ล้วตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ในพุทธุปบาทน้ี ได้ เกิดในตระกูลอามาตย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในกรุงสาวัตถี คนขนานนามท่านว่า วีระ ด้ วยเป็นผู้ ประกอบด้วยพละ และความคล่องแคล่ว อาจหาญในสนามรบ ต่อมามารดาบิดาได้หาภรรยาให้ และมี บุตรด้วยกัน ๑ คน ภายหลังต่อมากุศลกรรมตักเตือน จึงได้ออกบวช เพียรพยายามอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรลุ อภิญญา ๖ ขณะที่ภรรยาของท่าน กลับหาจังหวะ โอกาส และพยายามเกล้ียกล่อมให้ท่านสึกอยู่เนืองๆ กระทั่งทา่ นเกิดความสังเวช จึงไดก้ ลา่ วคาถาดงั กลา่ วขึ้น เพื่อเป็นการเตือนนางให้ทราบว่า บัดนี้ ท่านหมด กิเลสแล้ว การยว่ั ยวนด้วยกามคณุ ทงั้ หลาย ไม่ต่างอะไรกบั คนที่ต้องการทาให้เขาสิเนรุสั่นสะเทือน เหน่ือย ลาบากเสยี เปลา่ เมอื่ นางทราบว่าสามไี มห่ วนกับมาคนื เพราะบรรลุพระอรหันต์แล้ว นางก็ตัดสินใจบวชใน สานักภิกษุณที งั้ หลาย ตอ่ มาก็ได้บรรลอุ รหันต์เชน่ เดียวกัน เวขณสปริพาชก เวขณสปริพาชก ปรากฏในเวขณสสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๑๒๐๖ ความระบุว่า เวขณสปริพาชก ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เม่ือได้สนทนาปราศรัยพอเป็นท่ีบันเทิงใจ พอ เป็นที่ระลึกถงึ กนั แลว้ กไ็ ด้เปล่งอทุ านขึ้นว่า “นเี้ ป็นวรรณะสูงสุด น้ีเป็นวรรณะสูงสุด” พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสถามวา่ ทาไมถึงพดู อยา่ งนน้ั วรรณะสงู สุดเปน็ อยา่ งไร เวขณสปริพาชกได้กราบทูลว่า วรรณะใดไม่มีวรรณะอ่ืนยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณะน้ัน เป็นวรรณะสูงสุด พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าปริพาชกยังไม่เข้าประเด็น ก็ตรัสถามอีกว่า ก็แล้วเป็นวรรณะ ไหน ซ่ึงพราหมณ์ก็ยังคงตอบเหมือนเดิมคือ วรรณะใดไม่มีวรรณะอ่ืนยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณะนั้น ๑๒๐๔ ส.นิ.(ไทย) ๑๖/๒๔๑/๓๓๓. ๑๒๐๕ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๘/๓๐๖. ๑๒๐๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๗๘/๓๓๑.

๓๐๗ แหละเป็นวรรณะสูงสุด พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าพราหมณ์ยังยึดเย้ืออยู่ ก็ทรงซักไซ้ไล่เลียง กระท่ัง เวขณสปริพาชกไม่พอใจ จึงกล่าวเย้ยหยันพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ก็ไม่รู้ แต่ก็ยังปฏิญญาว่ารู้ ช่างน่า หัวเราะ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ใครไม่รู้ เมื่อถูกข่มก็ชอบอยู่ เรื่องนี้พระองค์จะไม่ต่อล้อต่อเถียง พระองค์สนพระทัยแต่เพียงว่า ขอให้เป็นคนที่ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนซื่อตรง พระองค์ก็จะส่ังสอน จักแสดงธรรม ไม่นานก็จกั รู้ไดเ้ อง เวขณสปริพาชกไดย้ นิ พระดารสั เช่นนน้ั กผ็ อ่ นคลาย ช่ืนชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า และ ประกาศตนเป็นอุบาสก นับถอื พระรัตนตรยั ตลอดชวี ิต อน่ึง ในคมั ภีร์อรรถกถาเวขณสสูตร๑๒๐๗ ระบวุ า่ เวขณสปรพิ าชก ได้ส่งสกลุ ทุ ายีปริพาชกไปโต้ ปญั หากับพระพุทธเจา้ แตแ่ พก้ ลับมาอย่างไม่มีรปู ท้ัง ๆ ท่ีเป็นศิษย์เอกที่ฝึกมาอย่างดี จึงได้เข้าไปเฝ้าพระ ผมู้ พี ระภาคเจ้าด้วยตนเอง จึงเดนิ ทางไกล ๔๕ โยชน์จากราชคฤหไ์ ปเมอื งสาวตั ถเี พอ่ื เฝ้าพระพทุ ธเจ้า เวภาระ,จกั รพรรดิ พระจักรพรรดิพระนามว่าเวภาระ เป็นอดีตประวัติของพระสุกตาเวฬยเถระ ซึ่งในคัมภีร์อป ทาน๑๒๐๘ ระบุว่า ได้เคยน้อมพวงมาลัยท่ีเตรียมไว้แด่พระราชา มาถวายแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ใน กัปท่ี ๓๑ จึงไม่รู้จักทุคติเลย ครั้นถึงกัปท่ี ๒๕ ก็ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าเวภาระ มีกาลังมาก มีพลานุภาพมาก เวรญั ชพราหมณ์ เวรัญชพราหมณ์ เป็นชาวเมืองเวรัญชา เดิมไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พบ พระพทุ ธเจา้ ครัง้ แรกได้กล่าวตาหนิด้วยประการต่าง ๆ เช่น พระพุทธเจ้าไม่มีสัมมาคารวะ,เป็นคนไม่มีรส, ไม่มีสมบตั ิ,สอนให้คนขีเ้ กยี จ,สอนให้ลา้ งผลาญ,เปน็ คนไมไ่ ดผ้ ดุ ไมไ่ ดเ้ กิด เป็นต้น พระพุทธเจ้าแก้ข้อตาหนิแต่ละข้อจนแจ่มแจ้ง ทาให้เวรัญชพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส กล่าว ชื่นชมภาษิตของพระพุทธเจ้าว่ามีภาษิตไพเราะจับใจ แจ่มแจ้ง เหมือนหงายของที่คว่า เป็นเหมือนผู้เปิด ของทปี่ ิด บอกทางแกผ่ ้หู ลงทาง เป็นผูต้ ามประทปี ในทม่ี ดื พร้อมทง้ั รบั รองวา่ พระพุทธเจ้าเป็นพ่ีใหญ่ เป็น ผูป้ ระเสรฐิ ที่สดุ เวรัญชพราหมณ์ก็ได้แสดงตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต ทั้งยังเป็นผู้อาราธนา ใหพ้ ระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษสุ งฆ์อยู่จาพรรษาทีเ่ มืองเวรัญชา๑๒๐๙ อรรถกถาธรรมบท และอรรถกถาชาดกมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในช่วงปฐมโพธิกาล พระพุทธเจ้าเสด็จเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์นิมนต์ให้พระพุทธเจ้าอยู่จา พรรษาในเมืองเวรัญชา แต่ถูกมารดลใจ ประกอบกับบ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพง ทาให้ไม่ได้ระลึกถึง พระพทุ ธเจา้ แมแ้ ต่วันเดียว พระภกิ ษุดารงอัตภาพอยดู่ ้วยความยากลาบากกระท่งั ออกพรรษา๑๒๑๐ ๑๒๐๗ ม.ม.อ.(ไทย) ๒/๑/๖๔๙. ๑๒๐๘ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๔๖/๓๙๗. ๑๒๐๙ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑/๑, อง.ฺ อฏฐก. (ไทย) ๒๓/๑๑/๒๑๙. ๑๒๑๐ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒/๓๔๙, ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๖๔๑.

๓๐๘ ในอรรถกถาขุททนิกาย อปทาน พระพุทธเจ้าได้แสดงบุพกรรมของพระองค์ว่า ที่ต้องประสบ ความลาบาก เสวยข้าวแดงตลอด ๓ เดือนในเมืองเวรัญชา เพราะความท่ีพระองค์เคยบริภาษพระภิกษุใน ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่า พวกท่านจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่าเค้ียวกินข้าวสาลี เลย๑๒๑๑ เวสสภู, พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู เป็นอดีตพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลกในกัปที่ ๓๑ ซ่ึง นับเป็นภัทรกัป๑๒๑๒ พระบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุปปติตะ มีพระนางยสวดีเทวีเป็นพระมารดาผู้ให้ กาเนิด ทรงอุบัติข้ึนในเมืองอโนมะ๑๒๑๓ ทรงมีพระอุปสันตะ เป็นอัครอุปัฏฐาก๑๒๑๔ ทรงมีคู่อัครสาวกคือ พระโสณะและพระอุตตระ๑๒๑๕ ทรงมีการประชุมพระสาวก ๓ คร้ัง ครั้งที่ ๑ มีภิกษุ ๘๐,๐๐๐ รูป ครั้งที่ ๒ มีภิกษุ ๗๐,๐๐๐ รปู และคร้ังที่ ๓) มภี ิกษุ ๖๐,๐๐๐ รูป๑๒๑๖ อนึ่ง ศาสนาของพระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ เวสสภู นบั เปน็ ๑ ใน ๓ ของศาสนาของพระพุทธเจ้า ในอดตี ท่ีดารงอยู่ไมน่ าน เพราะไม่ค่อยไดแ้ สดงธรรมโดยพสิ ดารแกส่ าวก สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ ิวุตตกะ ชาดก อพั ภตู ธรรม และเวทลั ละของพระพทุ ธเจ้าท้ัง ๓ พระองค์นีจ้ ึงมีนอ้ ย๑๒๑๗ เวสสามิตตะ, ฤาษี ฤาษีเวสสามิตตะ เปน็ ๑ ในบรรดาฤาษีชั้นผู้ใหญ่ผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย ในคัมภรี ์๑๒๑๘ ระบุช่อื ประกอบด้วย ฤาษีอฏั ฐกะ ฤาษวี ามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ และฤาษีภคุ ฤาษีเหล่าน้ี ถือว่าเป็นผู้แต่งมนต์ บอกมนตรท์ ่พี ราหมณ์ทั้งขบั ตามกนั อย่ใู นปัจจุบัน เวลฏั ฐสีสะ,ภิกษุ พระเวลฏั ฐสีสะ เปน็ ต้นบัญญตั ิห้ามภกิ ษุฉนั ของเคีย้ วของฉันท่ีเก็บสะสมไว้๑๒๑๙ ในสันนิธิการก สกิ ขา ระบเุ รื่องราวไว้ว่า ท่านเท่ียวบิณฑบาตได้มากมาย เอาเข้าสุกเปล่าไปตากแห้งเก็บไว้ที่อาราม คราว ทต่ี อ้ งการภัตตาหารก็นาเอามาแช่น้าแล้วฉัน นาน ๆ จึงจะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เป็นเหตุให้ภิกษุนา เร่ืองไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกมาสอบสวน ทราบความแล้ว ทรงตาหนิ พร้อมกับทรงบัญญัตสิ ิกขาบทห้ามฉนั ของเคี้ยวหรอื ของฉันที่เก็บสะสมไว้๑๒๒๐ ๑๒๑๑ ขุ.อป.อ.(ไทย) ๘/๑/๒๓๓. ๑๒๑๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๔/๒. ๑๒๑๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๑๒๑๔ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๒๑๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๙/๔. ๑๒๑๖ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๐/๔. ๑๒๑๗ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑๙/๑๑. ๑๒๑๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๒๗/๕๓๗. ๑๒๑๙ ว.ิ ป.(ไทย) ๘/๙๑/๖๗. ๑๒๒๐ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๒๕๓/๔๐๘.

๓๐๙ ในมหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๒๒๑ ระบุว่า ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระอานนท์ ป่วยเป็น โรคอสี ุกอใี ส ผ้านุ่งหม่ เปื้อนนา้ เหลอื งแห้งตดิ ตัว ภกิ ษผุ ูอ้ ุปฏั ฐากเอาน้าชุบๆ ผ้าแล้วก็ค่อยดึงออกมา พระผู้ มีพระภาคเสด็จไปเห็น จึงทรงอนญุ าตเภสชั ชนดิ ผง และทรงอนญุ าตครก สาก เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมาตา, อุบาสิกา นางเวฬุกัณฏกีนันทมาตาอุบาสิกา ปรากฏในอายจนวรรค แห่งอังคุตตรนิกาย๑๒๒๒ และอา ยาจนสตู รแห่งอังคตุ ตรนิกาย๑๒๒๓ ความระบุไว้แต่เพียงว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรับรับรองว่า ขุชชุตตรา และเวฬุกัณฏกีนันทมาตานี้เป็นบรรทัดฐาน เป็นมาตรฐานของอุบาสิกาสาวิกาของพระองค์อุบาสิกาผู้มี ศรัทธา ดั้งน้ันเมื่อผู้ใดผู้หน่ึงพึงปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาขอให้เป็นเช่นกับอุบาสิกาขุชชุตตราและ อุบาสิกาเวฬุกณั ฏกีนนั ทมาตาเถดิ ความข้างต้น แสดงให้เหน็ ว่า นางเวฬกุ ณั ฏกีนันทมาตา ถือเป็นอุบาสิกาตัวอย่าง พระพุทธเจ้า จึงทรงแนะนาให้อุบาสิกาทั้งหลายถือเป็นแบบอย่าง รายละเอียดนอกเหนือจากน้ีเกี่ยวกับนางเวฬุกัณฏกี นันทมาตา ไม่ปรากฏท้ังในชั้นบาลี และอรรถถา หากเทียบเคียงประวัติของนางขุชชุตตรา ซ่ึงเป็นคู่ อบุ าสิกาทพ่ี ระพุทธเจ้าตรสั ถงึ กค็ อื นางขุชชุตตราน้ันเป็นทาสรับใช้พระนางสามาวดี แต่นางมีโอกาสได้ฟัง ธรรมและบรรลุโสดาบัน ได้ทาหน้าที่แสดงธรรมแก่นางสามาวดีผู้เป็นายหญิงกระทั่งได้บรรลุโสดาบันตาม นางจึงได้พ้นจากความเป็นทาส ได้รับการยกย่องในฐานเป็นมารดาและอาจารย์ของนางสามาวดี มีหน้าที่ ในการไปฟังธรรมจากสานักพระศาสดา แล้วก็นามาแสดงให้นางสามาวดีฟัง กระทั่งนางกลายเป็นผู้เชียว ขาญในพระไตรปิฎก วฑุ ฒิชะ, ภกิ ษุ พระวุฑฒิชะ ในคัมภีร์๑๒๒๔ ระบุว่าเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ รายละเอียดนอกจากนี้ ไม่ปรากฏ ส สกุลา, พระภคนิ ี พระนางสกุลา เป็นพระภคินีของพระเจา้ ปเสนทโิ กศล เร่ืองของพระนางปรากฏในกัณณกัตถล สูตร๑๒๒๕ ความระบุว่า พระนางทรงทราบว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จึงได้ฝาก กราบถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ฝากถามถึงพระสุขภาพพลานามัย ความอยู่สาราญของพระผู้มีพระ ภาค เมอ่ื ความทราบถึงพระผู้มพี ระภาค จึงตรสั ถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า พระภคินี สกุลาไม่ทรงได้ผู้อ่ืน เปน็ ทูตแล้วหรอื จากนน้ั ก็ทรงถวายพระพรใหพ้ ระภคนิ โี สกุลาทรงพระสาราญ ๑๒๒๑ วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๖๔/๔๘. ๑๒๒๒ องฺ.ทกุ ฺ.(ไทย) ๒๐/๑๓๔/๑๑๗. ๑๒๒๓ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๗๖/๒๔๘. ๑๒๒๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๒๒๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๗๕/๔๖๐.

๓๑๐ อน่ึง นอกจากพระนางสกุลาแล้ว ยังมีพระภคินีของพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หนึ่งพระ นามว่า พระนางโสมา ทั้งสองพระองค์น่าจะมีความคุ้นเคยกับพระผู้มีพระภาคพอสมควร มิเช่นน้ัน คงไม่ ฝากถามข่าวคราวเก่ียวกับพระผู้มีพระภาค และพระผู้มีพระภาคก็ทรงฝากถวายพระพรให้พระนางด้วย เชน่ กัน สกลุ าเถร,ี ภกิ ษณุ ี ภิกษณุ ีสกลุ าเถรี๑๒๒๖ เป็นผู้มีบุญญาธิการอันได้กระทาไว้แล้วตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าพระนาม ว่าปทุมุตตระ คราน้ันนางบังเกิดในเรือนสกุล ในอรรถกถาขุททกนิกาย เถรีกถา๑๒๒๗ ระบุว่าเป็นราชธิดา ของพระเจ้าอานันทราชในพระนครหงสาวดี พระนามว่าเจ้าหญิงนันทา เป็นพระภคินีต่างมารดาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาได้ฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดากาลังทรง สถาปนาภิกษุณรี ูปหนึ่งไวใ้ นตาแน่งเอตทคั คะ เป็นเลศิ กว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้มีทิพจักษุ ทากุศลให้ยิ่งยวด แลว้ ปรารถนาในตาแหนง่ นัน้ อน่ึงในอรรถกถาขุททกนิกาย เถรีกถา๑๒๒๘ ระบุเพิ่มเติมว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนาม ว่ากสั สปะ นางเกิดในตระกูลพราหมณ์ ได้บวชเป็นปริพาชก ถือลัทธิเท่ียวไปผู้เดียวอยู่ วันหนึ่งเที่ยวภิกขา น้ามัน ได้น้ามันแล้ว เอาน้ามันนั้นทาการบูชาด้วยประทีปตลอดคืนยังรุ่งที่เจดีย์ของพระศาสดา จุติจาก อัตภาพนัน้ แล้วก็ได้ไปบงั เกดิ ในสวรรค์ชนั้ ดาวดงึ ส์ นางวนเวียนอยู่ในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป ในพุทธุปบาทนี้ ได้บังเกิดในเรือนสกุล กรุง สาวัตถี ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกาในคราวพระศาสดาทรงรับพระเชตวัน ต่อมาได้ฟังธรรมเทศนาของพระ ศาสดา (ในอรรถกถาขุททนิกาย เถรีคาถา ระบุว่า ได้ฟังธรรมในสานักของพระเถระขีณาสพองค์หน่ึง เกิด ความสังเวช ออกบวช) ได้ศรัทธาออกบวชจากเรือน เจริญวิปัสสนาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อม ดว้ ยปฏิสมั ภทิ า ๔ วโิ มกข์ ๘ และอภญิ ญา ๖ พระนางสกลุ าเถรี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเลิศกว่าบรรดาภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้มี ทิพจักษ๑ุ ๒๒๙ สกุลุทาย,ี ปริพาชก สกุลุทายีปริพาชก ปรากฏในมหาสุกุลุทายิสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย๑๒๓๐ ความระบุว่า สกุลุทายี ปริพาชก เป็น ๑ ในบรรดาปริพาชกผู้มีช่ือเสียง ท่ีมาอาศัยอยู่ท่ีอารามของปริพาชกอันท่ีให้เหยื่อแก่นกยูง คร้ันเวลาเช้า พระผมู้ ีพระภาคเสด็จออกบิณฑบาต เมอื่ ยังทรงเหน็ ว่าพอมีเวลา จงึ ได้แวะเข้าไปหาสกุลุทายี ปริพาชก เม่อื ประทับน่ังแล้ว กไ็ ด้ตรัสถามปริพาชกวา่ กาลงั สนทนาเร่ืองอะไรกัน สกุลุทายีปริพาชกเล่ียงไม่ ตอบ โดยกราบทูลว่า ไม่ใช่เร่ืองสาคัญอะไร จากน้ันก็กราบทูลถามความเห็นของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับครู ทั้ง ๖ ทช่ี าวแควน้ อังคะ และมคธตา่ งกก็ ล่าวยกยอ่ ง สรรเสริญ ๑๒๒๖ องฺ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๖. ๑๒๒๗ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๔/๑๕๕. ๑๒๒๘ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๔/๑๕๕. ๑๒๒๙ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๔๒/๓๐. ๑๒๓๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๓๗/๒๗๘.

๓๑๑ พระผมู้ ีพระภาคทรงทราบความประสงค์ของปริพาชก จงึ ตรัสทานองว่า ขอ้ ท่ชี าวแคว้นยกยอง สรรเสริญไว้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้อท่ีบริษัทของครูท้ัง ๖ นั้นพูดถึงอาจารย์ของตนก็อีกเร่ืองหนึ่ง จากน้ันก็ทรง ยกตัวอย่างกรณีสาวกคนหนึ่งของครูปูรณกัสสะ กล่าวตาหนิอาจารย์ของตนว่าไม่รู้เร่ืองท่ีเขาถาม ตน ต่างหากที่รู้ ดังน้ันขอให้ถามตนเอง อย่าถามครูปูรณกัสสะ บางก็ตาหนิว่า ครูปูรณกัสสะไม่รู้ท่ัวถึงธรรม วินัย ตนต่างหากรู้ เปน็ ตน้ ขณะท่บี รษิ ัทของพระองค์ เม่อื พระองค์แสดงธรรม เพียงแค่มีพระรูปหน่ึงไอข้ึน ยังมเี พือ่ นใช้เข่าสะกดิ เตอื นอยา่ สงเสยี งดงั ในพระสูตรน้ี ได้พรรณนาถึงการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับสุกุลทายีปริพาชกหลาย ประการ ท่ีสาคัญย่ิงคือแนวทางในการปฏิบัติเพ่ือกระทาให้แจ้งพระนิพพาน ทาให้สุกุลุทายีปริพาชกเกิด ความเลอื่ มใส ได้กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท แต่ก็ไดร้ บั การคัดคา้ นจากลูกศิษย์ ในอรรถกถาอังคุตตรนกิ าย มีข้อความระบุว่า “อบุ าสกมอี นาถบิณฑิกะเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่า อุบาสกทงั้ หลาย อุบาสิกามีนางวิสาขาเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าอุบาสิกาหลายร้อย ปริพาชกมีสุกุลทายีเป็น ต้น ก็ประเสริฐกว่าปริพาชกหลายร้อย มหาสาวิกามีอุบลวัณณาเถรีเป็นต้น ก็ประเสริฐกว่าภิกษุณีหลาย ร้อย” ๑๒๓๑ ขอ้ นี้สอดคล้องกับคัมภีรม์ ชั ฌมิ นิกายท่กี ลา่ วถึงขา้ งต้นว่า เป็นปรพิ าชกผู้มีชื่อเสียง สรณานิ, เจา้ ศากยะ เจ้าศากยะพระนามว่าสรณานิปรากฏในปฐมสรณานิสักกสูตร๑๒๓๒ และทุติยสรณานิสักกสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๒๓๓ เน้ือความคล้ายกัน สรุปสาระสาคัญได้ว่า เจ้าศากยะพระนามว่าสรณานิสวรรคต แต่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ท้าวเธอเป็นโสดาบัน ไม่มีทางตกต่า จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เพราะความเป็นจริงทท่ี ราบคอื เจ้าศากยะพระองค์นี้ เคยบวช แต่ต่อมาเบ่ือหน่าย ลาสิกขาไป และก็เสวย นา้ จัณฑ์ โดยความกเ็ หมอื นจะส่ือความว่า แบบนี้ไม่น่าจะเป็นโสดาบัน ไม่มีทางตกต่าเหมือนอย่างท่ีพระผู้ มีพระภาคตรัส พระผู้มีพระภาคสดับเช่นน้ันก็ตรัสเตือนว่า ท่ีถูกควรจะพูดอย่างน้ีว่า เจ้าศากยะพระนามว่า สรณานิเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะตลอดกาลนาน พระองค์จะถึงความ ตกต่าได้อยา่ งไร ทรงยนื ยันวา่ เป็นเพราะเจา้ ศากยะพระนามว่าสรณานิ ได้บาเพ็ญสิกขาให้บริบูรณ์ในเวลา จะสวรรคต สภยิ กจั จานะ, พระ พระสภิยกัจจานะ ปรากฏในสภิยกัจจานสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๒๓๔ เนื้อความระบุว่า ขณะท่ี ท่านพักอยู่ ณ พระตาหนักอิฐในหมู่บ้านญาติกะ วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปหาท่าน สอบถามเร่ืองตาย แล้วเกดิ หรือว่าตายแล้วสูญเป็นต้น ซ่ึงพระสภิยกัจจานะได้ตอบไปว่า ปัญหาดังกล่าวน้ัน พระผู้มีพระภาค ไมท่ รงพยากรณ์ ๑๒๓๑ อง.ฺ ปญจฺ ก. (ไทย) ๓/๔๒๖. ๑๒๓๒ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๐/๕๒๙. ๑๒๓๓ ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๒๑/๕๓๒. ๑๒๓๔ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๔๒๐/๔๙๔.

๓๑๒ วัจฉโคตรปริพาชกได้สอบถามปัญหาหลายประการ แต่พระสภิยกัจจานะก็ตอบคาถามได้โดย ไมต่ ิดขัด ปริพาชกจึงสอบถามว่าบวชได้ก่ีพรรษาแล้ว เม่ือทราบว่าท่านบวชได้เพียง ๓ พรรษา ก็กล่าวช่ืน ชมว่า บวชไดเ้ พียง ๓ พรรษา ก็ยังสามารถถึงเพยี งน้ี อนึ่ง ในอนรุ ุทธสตู ร๑๒๓๕ ระบุเร่อื งราวพระสภิยกจั จานะ ได้เข้าไปสอบถามปัญหาเก่ียวกับรัศมี ของของเทวดาโดยประการต่างๆ เป็นต้นว่า เทวดามีรัศมีเล็กน้อย หรือมีไม่จากัด อะไรคือเหตุปัจจัยที่ทา ใหเ้ ทวดามรี ศั มีมากนอ้ ยแตกต่างกนั อะไรคือเหตุปัจจัยท่ีทาให้รัศมีเทวดาเศร้าหมอง หรือบริสุทธิ์แตกต่าง กัน สมิทธิ, พระ พระสมิทธิ เป็นพระที่มีรูปงาม เหตุนั้นจึงได้นามว่า สมิทธิ๑๒๓๖ ในอรรถกถาสมิทธิเถร คาถา๑๒๓๗ ระบุว่า ท่านมีบุญญาธิการท่ีได้กระทาไว้แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ในกัปที่ ๙๔ แต่ ภัทรกัปนี้ เป็นผู้มีจิตใจเล่ือมใส เอาดอกไม้ผูกเป็นช่อแล้ว ได้ทาการบูชา ด้วยบุญน้ัน ได้ท่องเท่ียวอยู่ใน สุคตภิ ูมิ ในพทุ ธปุ บาทกาลนี้ นับตั้งแต่เกิดมา ครอบครัวก็เจริญมั่นคงด้วยทรัพย์ และข้าวเปลือก ต่อมาได้ เห็นพุทธานุภาพในสมาคมของพระเจ้าพิมพิสาร มีศรัทธา จึงได้ออกบวชบาเพ็ญสมณธรรมไม่นานก็ได้ บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ ในสมิทธิสูตร๑๒๓๘ พรรณนาเรื่องราวเทวดาเห็นพระสมิทธิยังหนุ่มแน่น แต่ก็ปลีกตัวออกจาก หมู่ อย่แู ตเ่ พียงผเู้ ดียว จงึ โน้มน้าวให้ท่านคลายความเพียร หันมาบริโภคกามคุณ จะได้ไม่เสียทีท่ีได้เกิดมา พระสมทิ ธไิ ดย้ นิ เทวดากล่าวเช่นนั้นก็กล่าวตอบว่า กามทั้งหลายพระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทุกข์มาก มีความคับ แคน้ มาก มีโทษย่งิ นัก ในสมิทธิสูตรอีกพระสูตรหน่ึง๑๒๓๙ พรรณนาเรื่องราวพญามารเห็นพระสมิทธิหลีกเร้นอยู่ในที่ สงัด จึงแกล้งให้กลัวด้วยการทาเสียงดังน่าสะพรึงกลัว น่าหวาดเสียว เสมือนแผ่นดินจะถล่ม ท่านได้นา เรื่องนไ้ี ปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระผู้มีพระภาคทรงทราบแล้วก็ตรัสให้พระสมิทธิกลับไป บาเพ็ญความเพียร ไม่ประมาท อุทิศกายและใจอยู่ในท่ีนั้น มารเห็นท่านกลับไปก็แกล้งเนรมิตร่างกายให้ น่ากลัว พระสมิทธิทราบว่าเป็นมารก็ได้กล่าวตอบไปว่า ต่อให้บันดาลรูปร่างให้น่ากลัวขนาดไหน ก็ทาให้ ท่านหวัน่ ไหวไมไ่ ด้๑๒๔๐ ในปฐมสมิทธิมารปัญหาสูตร๑๒๔๑ พรรณนาเร่ืองราวพระสมิทธิได้เข้าไปกราบทูลถามพระผู้มี พระภาคเจ้าเรื่องมารว่าคืออย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และ ๑๒๓๕ ม.อุปริ.(ไทย) ๑๔/๒๓๓/๒๗๒. ๑๒๓๖ ส.สคา.(ไทย) อ.๑/๑/๑๐๗. ๑๒๓๗ ข.ุ เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๑/๒๕๗. ๑๒๓๘ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๐/๑๘. ๑๒๓๙ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๕๘/๒๐๓. ๑๒๔๐ ดสู มิทธเิ ถรคาถา ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๔๖/๓๒๐. ๑๒๔๑ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๕/๕๖.

๓๑๓ ธรรมารมณ์น่ันแหละคือมาร พระสมิทธิได้ตรัสถามปัญหาเร่ืองสัตว์๑๒๔๒ เรื่องทุกข์๑๒๔๓ และปัญหาเร่ือง โลก๑๒๔๔ ในสมิทธิสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย๑๒๔๕ ความพรรณนาถึงพระสมิทธิสนทนาธรรมกับพระสารี บุตร โดยพระสารีบุตรเป็นฝ่ายเร่ิมต้ังคาถามว่า สังกัปปวิตก มีอะไรเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ต่างกันท่ีไหน มี อะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นท่ีประชุม มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไรเป็นย่ิง มีอะไรเป็นแก่น มีอะไรเป็นที่หย่ังลง เป็นต้น ต่อปัญหานี้ พระสมิทธิได้ตอบว่า สังกัปปวิตกมีรูปเป็นอารมณ์ ต่างกันที่ธาตุ มผี สั สะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุม มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นย่ิง มีวิมุตติเป็น แก่น มนี พิ พานเปน็ ทห่ี ย่งั ลง สมทิ ธิ, พระโพธิสตั ว์ พระสมิทธิโพธิสัตว์ ปรากฏในสมิทธิชาดก๑๒๔๖ พรรณนาความเทพธิดาหลงรักพระสมิทธิ โพธสิ ตั ว์ เห็นท่านรูปงาม บวชแต่วัยยังหนุ่มแน่น จึงประเล้าประโลม และชักชวนด้วยกามคุณโดยนัยเป็น ตน้ ว่า ท่านยังไม่เคยลิ้มรสของกาม แต่กลับมาออกบวชเที่ยวภิกขาจาร สึกไปบริโภคกามคุณเสียก่อนแล้ว คอ่ ยบวชไมด่ ีกว่าหรือ พระสมิทธิโพธิสัตว์ได้ตอบนางเทพธิดาไปว่า ชีวิตน้ันสั้นนัก ไม่รู้จะตายวันไหน บอกไม่ได้ จะ เอามัวสนใจใยดีอะไรกับกามคุณท้ังหลาย เพราะเหตุน้ี เราจึงต้องเร่งขวนขวายบาเพ็ญสมณธรรม ไม่ให้ เวลาสญู เปล่าไป สมทุ ทัตตะ,พระ พระสมุททัตตะ จัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนของพระเทวทัต หลักฐานชั้นพระบาลี ปรากฏเพียงแห่ง เดยี วคือเป็นคณะรว่ มกับพระเทวทัต พระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ และพระขัณฑเทวีบุตร ร่วมกัน บวชใหก้ ับนางสิกขามานารูปหนง่ึ การบวชคร้ังน้ีได้รบั การตาหนิเพราะนางภิกษุณีถุลลนันทาได้นิมนต์พระ เถระทั้งหลายมาบวชให้ แตค่ ร้ันเห็นของเค้ียวของฉันจานวนมาก ก็นิมนต์ให้พระเถระเหล่าน้ันกลับไปแล้ว กก็ ลมุ่ พระเทวทัตเปน็ ผูบ้ วชใหแ้ ทน๑๒๔๗ สวฏิ ฐะ,พระ พระสวิฏฐะ ปรากฏในสวิฏฐสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย๑๒๔๘ ความว่า พระสวิฏฐะและพระมหา โกฏฐิตะได้เข้าไปหาพระสารีบุตร ท้ัง ๓ ได้สนทนาเกี่ยวกับเร่ืองบุคคล ๓ ประเภทในโลก คือ กายสักขี บุคคล ทฏิ ฐิปัตตบคุ คล และ สทั ธาวิมตุ ตบุคคล โดยพระสารีบุตรไดถ้ ามพระสมทิ ธแิ ละพระมหาโกฏฐิตะว่า ๑๒๔๒ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๖/๕๗. ๑๒๔๓ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๗/๕๗. ๑๒๔๔ ส.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๘/๕๘. ๑๒๔๕ อง.ฺ นวก.(ไทย) ๒๓/๑๔/๔๖๒. ๑๒๔๖ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๓๓/๗๒. ๑๒๔๗ ว.ิ ภกิ ขฺ ุณ.ี (ไทย) ๓/๑๑๖๖/๓๕๑. ๑๒๔๘ อง.ฺ ทุก.(ไทย) ๒๐/๒๑/๑๖๖.

๓๑๔ ชอบใจบุคคลประเภทไหน พระสวิฏฐะได้ตอบไปว่า ตนชอบใจสัทธาวิมุตตบุคคล ขณะที่พระมหาโกฏ ฐติ ะตอบไปวา่ ตนชอบใจกายสกั ขีบคุ คล ส่วนพระสารบี ุตรได้ตอบว่า ตนชอบใจทฏิ ฐิปัตตบคุ คล หลังจากสนทนากับจบแล้ว ท้ัง ๓ รูปก็ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพ่ือขอฟังมติว่า พระพุทธเจ้าจะทรงเห็นประการใด ต่อปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า การตอบปัญหาโดย ส่วนเดียวว่าบุคคลน้ีดีกว่า ประณีตกว่า ไม่ใช่จะทาได้ง่าย เพราะอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งกายสักขีบุคคล ทิฏ ฐปิ ตั ตบคุ คล หรือสทั ธาวมิ ตุ ตบุคคลอาจเปน็ ผ้ปู ฏิบตั เิ พือ่ ความเป็นพระอรหนั ต์ สวิฏฐกะ, สวิฏฐกะ เป็น ๑ ใน ๕ ช่ือพวกทาสที่นับว่าเป็นช่ือช้ันต่า เป็นชื่อเลว ประกอบด้วย อวกัณณ กะ ชวกัณณกะ ธนิฏฐกะ สวิฏฐกะ และกุลวัฑฒกะ ในพระบาลีระบุว่า “เป็นที่ช่ือที่เขาเย้ยหยัน เหยียด หยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในท้องถ่ินนั้นๆ จัดเป็นช่ือที่เลว๑๒๔๙ ภิกษุใดนาช่ือเหล่านี้มากล่าว เสียดสีเพอื่ นพรหมจารีด้วยกัน ทรงปรับอาบัติปาจิตตยี ์๑๒๕๐ สงั กจิ จะ, สามเณร สามเณรสังกิจจะ ปรากฏในในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๒๕๑ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระ คาถาเพ่ือโอวาทแก่พระภิกษุ ๕๐๐ รูป ใจความว่า ผู้มีศีล เพ่งพินิจ แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐ กว่าคนทุศีล ไม่มีจิตตั้งมั่นท่ีมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี และในสังกิจจเถรคาถา๑๒๕๒ ปรารภคาถาท่ีอุบาสกผู้ถึง ถามว่า ทาไมหลบมาอยู่หน้าฝน ท่ีอยู่ก็ไม่สบาย ท่านจะพอใจได้หรือ เพราะความสงัดเป็นที่ต้องการของผู้ เจริญฌาน ประวัติสามเณรในอรรถกถาธรรมบท๑๒๕๓ และอรรถกถาสังกิจจเถรคาถา แห่งขุททกนิกาย เถรคาถา๑๒๕๔ ระบุไว้ว่า เป็นบุตรธิดาเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในท้องมารดาน่ันเอง มารดาได้เสียชีวติ ลง ญาติพี่น้องจึงนานางไปเผา ในขณะที่ไฟกาลงั ไหมร้ ่างกายของนางอยู่น้ัน เป็นอัศจรรย์ ท่ีไฟไม่ไหม้ส่วนท้อง พวกสัปเหร่อได้ใช้หลาวเหล็กแทงส่วนท้องท่ีไฟไม่ไหม้น้ันเสร็จแล้วก็กลบด้วยถ่าน เพลงิ พอกลบถา่ นเพลิงเข้ากับส่วนทย่ี งั ไม่ไหมแ้ ล้ว กพ็ ากันกลบั บ้าน วันรุ่งข้ึน พวกสัปเหร่อมาดับเชิงตะกอน เห็นทารกนอนอยู่อย่างน้ัน ก็พากันแปลกใจ ไฟไม่ได้ ทาอนั ตรายใด ๆ เลย มเี พียงปลายค้ิวเท่าน้ันที่มีรอยท่ีเกิดขึ้นจากการใช้เหล็กหลาวแทงก่อนยกเข้าใส่กอง ไฟเผา อรรถกถาอธิบายเหตุผลประเด็นนี้ว่า ท่ีเป็นเช่นนั้นเพราะผู้ท่ีเกิดในภพสุดท้าย ถ้ายังไม่บรรลุพระ อรหันตแ์ ล้ว อะไรก็ไม่สามารถทาใหเ้ สยี ชีวติ ได้ พวกสัปเหร่อได้อุ้มเด็กกลับบ้านไปใหพ้ วกหมอทานายชีวติ ดู หมอทานายไว้ ๒ ด้าน คือ ถ้าเด็ก อยคู่ รองเรือน พวกเครือญาติ ๗ ชั่วโคตรจักไม่ยากจน ถ้าออกบวชจักมีพระ ๕๐๐ รูปเป็นบริวารแวดล้อม พวกญาติจงึ ตง้ั ชอื่ ให้วา่ สังกิจจะ เพราะหางตาเปน็ แผลเพราะถูกหลาวเหลก็ ๑๒๔๙ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๑๕/๒๐๒. ๑๒๕๐ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๗/๒๐๖. ๑๒๕๑ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๑๐/๖๔. ๑๒๕๒ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๕๙๗/๔๔๓. ๑๒๕๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๔๖๖. ๑๒๕๔ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๔๑๘.

๓๑๕ สังกิจจกุมาร มีอายุได้ ๗ ขวบเมื่อทราบประวัติของตนเองจากปากของเด็กเพื่อนบ้าน ก็ ปรารถนาจะบวช พวกญาติจึงพาไปขอบวชจากพระสารีบุตร ในวันบวชพระเถระให้ตจปัญจกกรรมฐาน แลว้ ให้บวช สามเณรได้บรรลุพระอรหตั ผล พร้อมดว้ ยปฏิสัมภิทาในขณะทป่ี ลงผมเสร็จน่นั เอง ความในอรรถกถาธรรมบท๑๒๕๕ มเี นอื้ ความระบุต่อไปอีกว่า ครั้งหน่ึง กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี ประมาณ ๓๐ คน ได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเล่ือมใส ได้ขอบวชถวายชีวิตในพระพุทธศาสนา อยู่ในสานัก ครบ ๕ พรรษาแล้ว ได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลไปบาเพ็ญสมณธรรมท่ีป่า แห่งหน่ึง พระพุทธองค์เห็นภัยจะเกิดแก่ภิกษุเหล่านี้ และมีสามเณรสังกิจจะเท่านั้นท่ีจะช่วยเหลือได้ พระองคจ์ งึ รบั ส่ังให้ภกิ ษเุ หลา่ น้นั ไปอาลาพระสารบี ุตรก่อนแลว้ คอ่ ยไป เมื่อเดินทางไปถึง พระสารีบุตรทราบความนัยจึงบอกให้พาสามเณรสังกิจจะไปด้วย ตอนแรก ภิกษุเหล่านั้นปฏิเสธด้วยเกรงว่าจะเป็นภาระ พระเถระได้ยืนว่าสามเณรนี้จักไม่เป็นภาระ แต่เป็นผู้ทา หนา้ ทเ่ี ปลอ้ื งภาระภายภาคหนา้ พวกภิกษุจึงยอมพาสามเณรไปด้วย จากนั้นทั้งหมดเป็น ๓๑ รูป รวมท้ัง สามเณรก็อาลาพระเถระแล้วก็ออกเดินทาง มนุษย์พวกหน่ึงเห็นภิกษุทั้งหลาย เกิดความเลื่อมใส จึงได้ นิมนต์ใหอ้ ยจู่ าพรรษา และรับปากจะพากันอุปถมั ภ์บารงุ ตลอดพรรษา ภิกษุเหลา่ นัน้ จึงรบั นมิ นต์ ในวันเข้าพรรษา ภิกษุเหล่าน้ันได้ต้ังกติกากันไว้ว่า \"ยกเว้นเวลาเช้าบิณฑบาต และเวลาเย็น บารงุ พระเถระเทา่ นนั้ เวลาทเี่ หลอื ให้ปฏบิ ตั ธิ รรม หา้ มอยดู่ ้วยกัน ๒ รูป ต้องบาเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรม ใหไ้ ดภ้ ายในพรรษา ถ้ารูปใดไม่สบายกใ็ ห้ตรี ะฆังบอก ภิกษทุ เี่ หลือจะมาปรุงยาถวาย เม่ือทากติกาตกลงกัน อย่างนแ้ี ลว้ ก็แยกย้ายกนั ไปปฏบิ ตั ิธรรม ต่อมาวันหน่ึง มีชายยากไร้คนหน่ึงหนีภัยแล้งมาจากต่างเมือง หวังจะไปขอพึ่งพาลูกสาวอีก เมืองหนึ่ง เดินผ่านมาถึงหมบู่ ้านนนั้ ดว้ ยอาการอดิ โรย ขณะนั้นภิกษุท้ังหลายได้กลับมาจากบิณฑบาต และ กาลังทาภัตกิจพอดี พบเขาจึงสอบถาม ทราบเร่ืองแล้วเกิดความสงสาร จึงได้ให้อาหารที่เป็นเดนไป รับประทาน เขาเห็นอาหารเหลือมากมายก็สงสัย จึงถามภิกษุเหล่านั้นว่า มีกิจนิมนต์หรือจึงมีอาหาร มากมายขนาดนี้ ภกิ ษเุ หล่าน้ันก็ตอบวา่ ไม่มีกิจนมิ นต์ แตพ่ วกตนไดอ้ าหารเชน่ น้ีทกุ วัน ชายยากไร้คดิ วา่ ตนเองทางานแทบตายก็ไม่ได้กินอาหารดีเช่นนี้ จะไปอยู่ทาไมท่ีอื่น อยู่อาศัย กับภิกษุเหล่านี้สบายกว่า จึงขออาศัยอยู่ทาวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วย พวกพระภิกษุก็อนุญาต เขา ขยันทางานช่วยเหลือพระภิกษุเหล่าน้ันเป็นอย่างดี ผ่านไป ๒ เดือน ก็หวนคิดถึงลูกสาว จึงแอบหนีออก จากอารามโดยไมบ่ อกกล่าวอาลาผ้ใู ด เพราะเกรงว่าจะไมไ่ ด้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม หนทางท่ชี ายยากไรน้ ้นั ไปจะต้องผ่านป่าดงใหญ่ ในดงน้ันมีโจร ๕๐๐ คน ได้บน บานเทวดาว่าจะถวายพลกี รรมด้วยมนษุ ย์ในวนั ท่ี ๗ วันนัน้ เป็นวนั ที่ ๗ พอดีเม่ือชายยากไร้นั้นเดินผ่านเข้า ไปกลางดงก็ถกู พวกโจรจับตัวมัดไว้ เตรียมที่จะทาพิธีพลีกรรมแก่เทวดา เขาตกใจกลัวตายได้ร้องของชีวิต ไวแ้ ละเสนอวา่ เขาเป็นคนจัณฑาลวรรณะตา่ ซ้ายากไร้ เทวดาอาจจะไม่ชอบใจ พวกภิกษุเป็นผู้มีศีลสกุลสูง เทวดาจึงจะชอบใจ ไปจับพวกภิกษุมาทาพลีกรรมจะดีกว่า พวกโจรเห็นดีด้วยจึงให้เขาพอไปท่ีอารามที่ ภิกษุเหล่าน้ันพักอาศัยอยู่ เมื่อไปถึงก็ได้บอกให้โจรเคาะระฆังเป็นสัญญาณ ภิกษุท้ังหลายเม่ือได้ยินเสียง ระฆังก็เข้าใจว่ามีภิกษุไม่สบายก็มารวมกันท่ีศาลา หัวหน้าโจรจึงประกาศให้ทราบว่าต้องการภิกษุ ๑ รูป เพือ่ ไปทาพลกี รรม ภิกษุแต่ละรูปต่างก็อาสาให้โจรนาตนไปทาพลีกรรม หาได้มีใครยอมใครไม่ สามเณรจึงขอ โอกาส และเสนอตัวไปเอง แต่ก็ได้รับการคัดค้านจากภิกษุทั้งหลาย เพราะสามเณรเป็นศิษย์ของพระสารี ๑๒๕๕ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๔๖๕.

๓๑๖ บุตรฝากมา ถ้าให้โจรนาสามเณรไปฆ่าทาพลีกรรมก็เกรงว่าพระสารีบุตรจาตาหนิเอาได้ สามเณรจึงต้อง ช้ีแจงให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ตนมาก็เพื่อมาแก้ปัญหาน้ีเอง จึงยกมือไหว้พวกภิกษุ เดินตามพวกโจรไป พวกภิกษุซ่ึงยังเป็นปุถุชนต่างก็ร้องไห้สงสารสามเณร พร้อมกับกาชับหัวหน้าโจรว่า ในช่วงท่ี พวกตระเตรียมพิธีนั้น ให้นาสามเณรไปไว้ท่ีอ่ืนก่อน เพราะเกรงสามเณรจะกลัว หัวหน้าโจรก็รับปาก จากนั้นก็ได้นาสามเณรไปท่ีดง เม่ือตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ถือดาบเดินเข้าไปหา สามเณรหวังจะตัดคอ สามเณรได้นั่งเข้าฌานน่ิงอยู่ พอไปถึงหัวหน้าโจรก็ฟันลงเต็มแรงปรากฏว่าดาบงอ พับ เขาเขา้ ใจวา่ ฟันไม่ดี จึงยกดาบข้นึ ฟนั ใหม่ ปรากฏว่า ดาบพบั มว้ นจนถึงด้าม หวั หน้าโจรเหน็ ปาฏิหารยิ ์เช่นนั้นกต็ กใจ และเกิดอัศจรรย์ใจ เพราะปกติดาบของตนฟันหินยัง ขาด แต่พอฟันคอสามเณรกลับงอพับดังใบตาล จึงคิดว่า ดาบไม่มีจิตใจยังรู้คุณของสามเณร ส่วนตนมี จติ ใจยังไมส่ านึกเสยี อีก จงึ ได้ทิ้งดาบลงดินแล้วคุกเข่าลงกราบสามเณร พร้อมกับกล่าวว่า คนเป็นพันเห็น พวกตนแล้วต้องตัวส่ันวิ่งหนีไป แต่สามเณรกลับไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใด ๆ ท้ังหน้าตาก็ผุดผ่อง แจม่ ใส คร้ังนั้น สามเณรได้ออกจากฌานแล้วแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรว่า ธรรมดาอัตภาพของพระ อรหันตเ์ ป็นเหมือนของหนักวางอยู่บนศีรษะ พระอรหันต์เมื่ออัตภาพนี้แตกไปย่อมยินดี พระอรหันต์จึงไม่ กลวั ตาย ทุกขท์ างใจย่อมไมม่ ีแก่พระอรหนั ตผ์ ไู้ ม่มคี วามห่วงใย ผกู้ า้ วลว่ งภยั ทุกอยา่ งไดแ้ ล้ว หวั หน้าโจรพอไดฟ้ งั คาสามเณรแลว้ พรอ้ มลกู น้องทัง้ หมดไดไ้ หว้สามเณรแล้วขอบวช สามเณร ได้ตัดผม และชายผา้ ด้วยดาบของโจรเหล่าน้ันแล้วให้บวชเป็นสามเณรถือศีล ๑๐ เสร็จแล้วได้พาสามเณร ๕๐๐ รูปเหล่าน้ันกลับไปยังอาราม รายงานให้พวกภิกษุทราบความปลอดภัยเพื่อความเบาใจ มีแก่ใจใน การปฏิบัตธิ รรม จากนน้ั กไ็ ด้อาลาภกิ ษุเหล่านนั้ แลว้ พาสามเณร ๕๐๐ รปู ไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ พระผู้มีพระภาคได้ยกเร่ืองนี้เป็นเหตุ ได้ทรงแสดงธรรมแก่สามเณรเหล่าน้ัน สิ้นพระธรรม เทศนา ทัง้ หมดไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ พรอ้ มดว้ ยปฏสิ ัมภทิ า ทูลขออปุ สมบท สงั คารวะ,มาณพ สังคารวมาณพ ปรากฏในสังคารวสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๑๒๕๖ ความระบุไว้ว่า สังคารวมาณพ อาศัยอยู่ในบ้านปัจจลกัปปะ เรียนจบไตรเพท พร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ พร้อมกับอักษร ศาสตร์และประวัติศาสตร์ เขา้ ใจตัวบทและไวยากรณ์ ชานาญในโลกายตศาสตรแ์ ละลกั ษณะมหาบุรุษ วันหน่ึงนางธนัญชานีพราหมณีพลั้ง ได้เปล่งอุทานปรารภพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ใหส้ งั คารวมาณพไดย้ นิ จงึ ไดร้ ับการตาหนิ ด่าทอด้วยความไม่พอใจว่ากล่าวถึงส่ิงอัปมงคล พราหมณ์ผู้ทรง ไตรเพทนง่ั อยู่ แตก่ ลบั ไปกล่าวสรรเสรญิ คณุ ของสมณะหัวโล้น นางจึงได้กล่าวตอบว่า พราหมณ์ยังไม่รู้จัก ศีล และปญั ญาของพระพุทธเจา้ ถ้ารู้ก็คงไมพ่ ดู เช่นนนั้ สังคารวมาณพได้ยินนางกล่าวโต้ตอบเช่นนั้น ก็สั่ง กาชับว่า หากพระพุทธเจ้ามาถึงหมู่บ้านก็ให้บอก จะได้ซักไซ้ไล่เลียงสติปัญญาดู นางก็รับปาก และเมื่อ พระพุทธเจา้ เสดจ็ มาถงึ กไ็ ดแ้ จ้งแกส่ งั คารวมาณพ สังคารวมาณพคร้ันทราบข่าวการเสด็จมาหมู่บ้านปัจจลกัปปะ ก็ได้เข้าเฝ้าทูลถามว่าทรงเป็น สมณะจาพวกไหน พระผมู้ ีพระภาคไดต้ รสั ตอบว่า พระองค์เป็นสมณผู้รู้ย่ิงในปัจจุบันด้วยพระองค์เอง มิใช่ สมณะผู้เป็นผู้ฟังตามกันมา จากน้ันก็ทรงเล่าประวัติของการบาเพ็ญสมณธรรมของพระองค์นับตั้งแต่การ ๑๒๕๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๔๗๓/๕๙๘.

๓๑๗ บาเพ็ญเพียรในสานักอาฬารดาบส การบาเพ็ญทุกกรกิริยาโดยประการต่าง ๆ กระท่ังหันไปบาเพ็ญเพียร ทางจติ และได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ้นพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค สังคารวมาณพ เกดิ ความเลอ่ื มใส แสดงตนเปน็ อบุ าสก นบั ถือพระรตั นตรยั ตลอดชวี ติ สัญชยั เวลัฏฐบุตร,เจา้ ลัทธิ สัญชัยเวลฏั ฐบตุ ร เปน็ ๑ ในเจา้ ลทั ธิครูทั้ง ๖ ที่ปรากฏตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ ในทีฆนิกาย รุว่า เป็นเจ้าหมู่เจา้ คณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผู้มีชอื่ เสยี งมีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ คนจานวนมากยกยอ่งกัน ว่าเป็นคนดี มีประสบการณ์มาก บวชมานาน มีชีวิตอยู่หลายรัชสมัย๑๒๕๗ ได้แก่ ปูรณกัสสปะ, มักขลิโค ศาล, นิครนถ์นาฏบุตร, อชิตเกสกัมพล, ปกุธกัจจายน, และสัญชัยเวลัฏฐบุตร ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิที่หลบเล่ียง ไม่แน่นอน เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ ว่า อมราวิกเขปวาทะ อธิบายว่า สัญชัยเวลัฏฐบุตรนี้ เม่ือมีใครถามปัญหา ก็ มกั จะเล่ียงไมต่ อบตรงๆ เช่น คร้ังหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามถึงผลของความเป็นสมณะ ก็กลับตอบว่า ถ้ามหาบพติ รตรัสถามว่า โลกหนา้ มจี รงิ หรือ หากอาตมาภาพมีความเห็นว่ามีจริง ก็จะทูลตอบว่ามีจริง แต่ อาตมาภาพมีความเห็นว่า อย่างน้ีก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอ่ืนก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็ มิใช่๑๒๕๘ เป็นต้น ในพระวินัยปิฎกระบุว่า พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ เม่ือครั้งเท่ียวออกแสวงหา โมกขธรรม กไ็ ด้ประพฤตพิ รหมจรรย์ในสานักของครูสัญชัย๑๒๕๙ แต่ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ บรรลุ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ละทิ้งสานักครูสัญชัยไปขอบรรพชาอุปสมบทในสานักของพระผู้มีพระภาค การ ออกจากสานกั ครัง้ น้ัน ทาใหอ้ าจารยส์ ญั ชยั เสยี ใจมาก ถึงกับกระอักเลอื ด๑๒๖๐ ในอรรถกถาทีฆนิกายมีหลักฐานระบุว่า สาวกของครูสัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นนักบวชปริพาชก นิกายหนึ่งที่น่งุ ผ้าขาว๑๒๖๑ เหตทุ ไ่ี ดช้ ่ือว่า เวลัฏฐบตุ ร เพราะเป็นบตุ รของช่างสาน๑๒๖๒ สัชฌปริพาชก, สัชฌปริพาชก ปรากฏในสัชฌสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย๑๒๖๓ ความระบุว่า สัชฌปริพาชกได้เข้า เฝา้ พระผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ กราบทูลถึงข้อสงสัยท่ีว่า พระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว จะ ไม่ล่วงละเมิดฐานะ ๕ ประการคือ ๑) ไม่อาจจงใจปลงชีวิตสัตว์ ๒) ไม่อาจถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของเขาไม่ได้ ให้ ๓) ไม่อาจเสพเมถุนธรรม ๔) ไม่อาจพูดเท็จท้ังที่รู้ และ ๕) ไม่อาจสะสมบริโภคกามเหมือนคฤหัสถ์ ข้อเทจ็ จรงิ เปน็ ประการ ยงั ทรงยนื ยันอยูห่ รอื ไม่ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ท่ีตรัสว่าจะไม่ล่วงละเมิดฐานะ ๕ ประการ แต่ครั้งนี้ทรงเพ่ิมอีก ๔ ประการ คือ ๖) ไม่อาจบอกคนื พระพทุ ธเจา้ ๗) ไม่อาจบอกคืนพระธรรม ๘) ไม่อาจบอกคืนพระสงฆ์ และ ๙) ไมอ่ าจบอกคืนสกิ ขา ๑๒๕๗ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๕๕/๔๙. ๑๒๕๘ ท.ี สี.(ไทย) ๙/๑๗๙/๕๙. ๑๒๕๙ วิ.ม.(ไทย) ๔/๖๐/๗๒. ๑๒๖๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๖๒/๗๗. ๑๒๖๑ ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/๓๕. ๑๒๖๒ ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๑๓๒. ๑๒๖๓ อง.ฺ นวก.(ไทย) ๒๓/๘/๔๔๗.

๓๑๘ สัญชิกาบตุ ร, สัญชิกาบุตร ปรากฏในในคัมภีร์จุลวรรค๑๒๖๔ โพธิราชกุมารสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย๑๒๖๕ เนื้อความพรรณนาถึงโพธริ าชกุมารได้สร้างปราสาท ประสงคจ์ ะนมิ นต์พระพทุ ธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มา ฉันทีป่ ราสาท จึงไดร้ ับส่ังใหส้ ญั ชิกาบตุ รรับภาระเดินทางไปกราบทลู นมิ นต์ ความในพระบาลีมีเพียงเทา่ น้ี สว่ นในอรรถกถา ไม่มีรายละเอียดอนื่ นอกเหนือจากนี้ สญั ชีวะ สัญชีวมาณพ ปรากฏในคัมภีร์ชาดก๑๒๖๖ อรรถกถาขยายความว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ ปรารภเหตุท่ีภิกษุท้ังหลายน่ังสนทนาถึงพระเจ้าอชาตศัตรูยกย่องพระเทวทัต สุดท้ายก็จะทรงกลายเป็น เหย่ือของพระเทวทัต หลงช่ือคาของพระเทวทัต ยึดอานาจการปกครอง และทาปิตุฆาต แม้จะได้ฟังธรรม จากพระพทุ ธเจา้ กไ็ มอ่ าจบรรลุคณุ วิเศษใด ๆ ได้ สัญชีวมาณพ เป็นศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองพาราณสี เรียนมนต์ทาให้ฟื้น แต่ยัง ไมไ่ ดเ้ รียนมนต์แก้ แต่ก็เกิดร้อนวิชา อยากจะอวดเพ่ือน ๆ ที่ไปด้วยกัน ในระหว่างทางไปหาฟืนจึงได้เสก เสือตายตัวหน่ึงให้กลับฟ้ืนข้ึนมา เสือตัวดังกล่าวเมื่อฟื้นขึ้นมาก็กัดสัญชีวมาณพท่ีก้านคอ ถึงแก่ความ ตาย๑๒๖๗ สันตกายเถระ, พระ พระสันตกายเถระ ปรากกฎในคัมภีร์ธรรมบท๑๒๖๘ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระคาถาว่า ภิกษผุ ู้มกี าย วาจา และใจสงบ มีจติ ต้งั ม่ันดีแลว้ และเป็นผูล้ ะโลกามสิ ได้ จงึ ทรงเรียกวา่ ผสู้ งบระงบั ความในอรรถกถาธรรมบท๑๒๖๙ มรี ายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ พระสันตกายเถระ เป็นพระผู้มีอา จาระงดงาม ไมเ่ คยปรากฏให้เห็นว่า ทา่ นคะนองมือ คะนองเทา้ หรือแสดงการบิดกาย เปน็ ต้น กระทั่งเป็น ทก่ี ลา่ วขานกนั ในหมภู่ ิกษทุ ัง้ หลายว่า ไมเ่ คยเหน็ ภิกษุผู้มีอาจาระงดงามเช่นน้ี พระผู้มีพระภาคทราบความ นน้ั ไดย้ กพระสันตกายเถระเปน็ แบบอยา่ งแก่ภิกษุทั้งหลาย อนงึ่ นามว่า สนั ตกาย ก็ไดม้ าจาก อากปั กิริยา อาจาระอันงดงามของท่าน สนั ตตมิ หาอามาตย์ สันตติมหาอามาตย์ ปรากกฎในคัมภีร์ธรรมบท๑๒๗๐ ความในอรรถกถาธรรมบท๑๒๗๑ ระบุว่า เปน็ อามาตยข์ องพระเจ้าปเสนทิโกศล เคยได้รับความดีความชอบจากการปราบปรามปัจจันตชนบท พระ เจา้ ปเสนทโิ กศลจึงพระราชทานราชสมบัติให้ครอบครองเปน็ ระยะเวลา ๗ วัน ๑๒๖๔ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๒๖๘/๔๙. ๑๒๖๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๔/๓๙๒. ๑๒๖๖ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๕๐/๖๑. ๑๒๖๗ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๒/๖๑๒-๖๑๓. ๑๒๖๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๗๘/๑๕๐. ๑๒๖๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๕๕๒. ๑๒๗๐ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๔/๗๕. ๑๒๗๑ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๑๓.

๓๑๙ ตลอดระยะเวลาท่ีได้ครอบครองราชย์สมบัติ สันตติมหาอามาตย์กลับใช้เวลาที่มีอยู่ท้ังหมด เสพสขุ ดว้ ยสุราและนารีตลอด ๗ วนั ครั้นถงึ วันท่ี ๗ ไดป้ ระดบั ประดาด้วยเคร่ืองอลังการทุกอย่าง ประทับ นงั่ บนคอชา้ งไปสทู่ ่าอาบน้า ระหวา่ งทางเหน็ พระศาสดาเสด็จเขา้ ไปบิณฑบาต จึงได้ผงกศรี ษะถวายบงั คม พระศาสดาทรงทาการแย้ม ทาให้พระอานนท์สงสัย กราบทูลถามสาเหตุ จึงตรัสกับพระ อานนท์ว่า สันตติมหาอามาตย์ จะมาสู่สานักของพระองค์ บรรลุพระอรหันต์ และจักนั่งบนอากาศ ชั่ว ๗ ลาตาล ปรินิพพานในวันน้ี มหาชนได้ยินคาสนทนา ก็เกิดความคิด ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกคิดว่า สมณโคดมสัก แต่ว่ามีปากตรัสไปเร่ือย คนเมาขนาดน้ัน จะบรรลุพระอรหันต์ ปรินิพพานบนอากาศได้อย่างไร ขณะที่ กลุ่มทส่ี องคดิ ว่า วันน้จี กั ไดเ้ ห็นพุทธานภุ าพ ฝา่ ยสันตติมหาอามาตย์ ระหว่างทเี่ พลดิ เพลินอยู่ท่ีท่าน้า ชมการแสดงของหญิงฟ้อนอยู่น้ันเอง หญิงฟ้อนก็เกิดลมพิษในท้อง ปากล้า ตาเหลือก ล้มลงตายทันทีทันใด ทาให้สันตติมหาอามาตย์ตกใจ และเกิดความเสียใจเป็นอย่างมาก ถึงกับสร่างเมาทันที คร่าครวญหา จะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่าน้ันท่ีจะ บรรเทาความเศร้าโศกน้ไี ด้ จึงไดพ้ าพลกายทงั้ หมดไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดา ครั้นสันตติมหาอามาตย์มาถึง ถวายบังคมแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า “กิเลสเคร่ือง กังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเคร่ืองกังวลน้ันให้แห้งไป กิเลสเคร่ืองกังวล จงอย่ามีแก่เธอใน ภายหลัง ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป”๑๒๗๒ จบพระคาถาสันตติมหา อามาตย์บรรลุพระอรหันต์ คร้ันพิจารณาอายุสังขารของตน จึงได้กราบทูลลาเพื่อปรินิพพาน เมื่อได้รับ พุทธานุญาตแล้ว จึงได้กราบถวายบังคม จากนั้นก็เหาะขึ้นในบนอากาศช่ัวลาตาล เล่าประวัติของตนใน อดีตชาตเิ สรจ็ แล้ว เขา้ เตโชธาตุปรินิพพานดงั นยั แห่งพระดารสั ทกุ ประการ หลังปรินพิ พานของสนั ตติมหาอามาตย์แล้ว ก็ทาให้เกิดปัญหาตามมาในระหว่างภิกษุทั้งหลาย วา่ จะเรยี กสันตติมหาอามาตย์ว่าอย่างไรดี จะเป็นได้สมณะหรือไม่อย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึง ได้ตรัสว่า ความเป็นพราหมณ์ สมณะ หรือภิกษุ ไม่ได้เป็นกันที่เครื่องอาภรณ์ภายนอก หากเป็นท่ีความ ประพฤติทีป่ ระเสริฐ สตั ตภ,ู พระเจ้า พระเจ้าสัตตภู เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองกรุงทันตปุระ แคว้นกาลิงคะ ทรงเป็น ๑ ใน บรรดาพระราชา ๗ พระองค์ท่ีปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๒๗๓ ว่าเป็นพระราชาผู้ได้สาเร็จในส่ิงที่พึง ปรารถนาทกุ ประการ ประกอบดว้ ย พระเจา้ สตั ตภู แหง่ เมอื งทนั ตปุระ, พระเจา้ พรหมทตั แห่งเมืองโปตนะ, พระเจ้าเวสสภู แหง่ เมืองมาหสิ สติ, พระเจ้าภรตะ แห่งเมืองโรรุกะ, พระเจ้าเรณุ แห่งเมืองมิถิลา, พระเจ้า ธตรฐ แห่งเมืองจาปา และพระเจา้ ธตรฐ แหง่ เมืองพาราณสี สตั ตรสวคั คีย์,ภิกษุ ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ ตามศัพท์มีความหมาย กลุ่มภิกษุ ๑๗ รูป ท้ังหมดเป็นชาวเมืองราชคฤห์ เคยเปน็ สหายกันมาตงั้ แต่สมัยยังไม่ไดบ้ วช มีอุบาลเี ป็นหัวน้า ในคัมภีร์พรรณนาไว้ว่า ภิกษุเหล่าน้ีเม่ืออยู่ก็ ๑๒๗๒ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๑๐/๒๔๒. ๑๒๗๓ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๑๐/๒๔๒.

๓๒๐ จะอยู่ด้วยกนั เมื่อจะไปกไ็ ปด้วยกัน๑๒๗๔ และมักก่ออธิกรณ์ เป็นต้นเหตุบัญญัติสิกขาบทหลายสิกขาบทดัง หลักฐานปรากฏในพระวนิ ัย สมยั หนงึ่ พวกภิกษสุ ัตตรสวัคคยี ์ ได้ช่วยกนั นงั่ ทบั ภิกษุรูปหน่ึงในกลุ่มภิกษุฉัพพวัคคีย์จนถึงแก่ มรณภาพด้วยตง้ั ใจจะลงโทษ ตอ่ มาเกดิ รอ้ นใจเกรงว่าต้องอาบัติปาราชิก จึงได้นาเรื่องไปกราบทูลเพื่อทรง วนิ ิจฉยั กรณนี ต้ี รสั ว่า ไมเ่ ป็นปาราชกิ แต่ทรงปรบั อาบัตปิ าจิตตียแ์ กพ่ วกเธอ๑๒๗๕ สมัยหนึ่งกลุ่มภิกษุสัตตรสวัคคีย์ ได้ปูที่นอนในวิหารสงฆ์แห่งหนึ่ง เมื่อจะจากไป ไม่เก็บ ไม่ใช้ คนอื่นเก็บ ท้ังไม่ได้มอบ พากกันจากไป เสนาสนะถูกปลวกกัด เป็นเหตุให้ภิกษุท้ังหลายผู้มักน้อยตาหนิ ต่อมาความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงยกเร่ืองนี้เป็นเหตุ บัญญัติสิกขาบท วางโทษปรับปาจิตตีย์แก่ ภกิ ษผุ ้ลู ่วงละเมิด๑๒๗๖ ครงั้ หนง่ึ ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ ได้พากันซ่อมวิหารหลังหน่ึงด้วยหวังจะจาพรรษาที่น้ัน พวกภิกษุ ฉัพพัคคีย์เห็นนั้นก็ชักชวนกันจะไปไล่ออก แต่อีกรูปห้ามไว้ โดยบอกว่า ให้ซ่อมแซมเสร็จแล้วค่อยไปไล่ เมือ่ ภกิ ษุสตั ตรสวคั คยี ์ซอ่ มแซมเสรจ็ ภิกษฉุ พั พัคคยี ก์ ็พากันไปไลอ่ อก โดยบอกว่า วิหารนี้เดิมเป็นของพวก ตน จากนั้นก็ฉุดคร่าพวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ออกจากวิหาร ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเป็นของสงฆ์ เรื่องจึงบาน ปลายทราบถงึ พระผมู้ ีพระภาค จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทหา้ มฉดุ คร่าภิกษุออกจากวิหารซึ่งเป็นของสงฆ์ และ ทรงปรบั อาบตั ิปาจติ ตีย์แก่ผูล้ ่วงละเมดิ ๑๒๗๗ ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ยังเป็นต้นเหตุของการบัญญัติห้ามบริโภคอาหารในเวลาวิกาล๑๒๗๘ ต้น บญั ญัติของการบญั ญัติพระวนิ ยั หา้ มภกิ ษเุ ลน่ นา้ ๑๒๗๙ สัตตกุ ะ,นาย นายสตั ตกุ ะ ปรากฏในสลุ สาชาดก๑๒๘๐ ความในอรรถกถา๑๒๘๑ ระบุว่า นายสัตตุกะเป็นโจร มี กาลังเท่าช้างสาร เวลากลางคืนก็ออกปล้น สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน กระทั่งมีพระบรมราช โองการส่ังให้ทหารนาจับตัวมาลงโทษตามอาญาบ้านเมือง แต่ขณะที่กาลังถูกนาตัวไปประหารชีวิตน้ัน หญิงงามเมืองชื่อสุลสาเห็นเข้า เกิดความรัก ปรารถนาจะได้มาเป็นสามี จึงได้วางแผน และติดสินบนเจ้า พนกั งานนาตัวออกมา อยกู่ นิ ฉนั สามีภรรยาได้ ๔ เดือน นสิ ยั โจรเดมิ กเ็ ริ่มวางแผนการชวั่ วันหน่ึงจึงออกอุบายว่า ตนได้เคยบนบานไว้ ถ้ารอดชีวิตจะกลับไปถวายบรรณาการแก่รุกข เทวดาท่ียอดเขาแห่งหน่ึง จากนั้นก็ชวนนางสุลสาผู้เป็นภรรยาแต่งอาภรณ์เคร่ืองประดับที่มีราคา ออก เดินทางไปท่ภี ูเขาแหง่ หนึง่ แต่เมอ่ื ไปถึงกช็ กั มดี ออกมาเตรยี มจะฆา่ นางและชงิ เอาทรัพย์ท้ังหมดไป หากแต่ ดว้ ยไหวพรบิ ของนาง ทาใหน้ ายสตั ตุกะหลงตายใจ สุดทา้ ยก็ถูกนางสลุ สาผลกั ตกเหวตายในท่นี ้ันเอง ๑๒๗๔ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๑๑๔/๒๙๕. ๑๒๗๕ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๘๗/๑๖๙. ๑๒๗๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๑๑๕/๒๙๖. ๑๒๗๗ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๒๕/๓๐๓. ๑๒๗๘ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๒๔๘/๔๐๕. ๑๒๗๙ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๓๓๖/๔๗๑. ๑๒๘๐ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๑๘/๒๘๘. ๑๒๘๑ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๕/๔๘๘.

๓๒๑ ชาดกเร่ืองต้องการสะท้อนให้เห็นถึงปัญญาไหวพริบของหญิงในการเอาตัวรอด ดังคาถาสรุป ชาดกท่ีว่า ชายจะเป็นบัณฑิตในท่ีทุกแห่งก็หาไม่ แม้หญิง ก็เป็นบัณฑิตมีปัญญาเฉลียวฉลาดได้เหมือนกัน เหมือนนางสุลสา คดิ อุบายหาทางจนรอดพน้ จากเง้อื มมอื ของโจร สันตฏุ ฐะ, อุบาสก อบุ าสกชอ่ื สนั ตฏุ ฐะ ปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๒๘๒ ความระบุว่า เป็น ๑ ในผู้ที่ได้รับการ พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า หลังจากตายไปแล้ว เพราะเหตุที่ละสังโยชน์เบ้ืองต่า ๕ ประการได้แล้ว จะ ปรินิพพานในภพน้ัน ไมห่ วนกลับมาจากโลกนนั้ อีก ในคมั ภีร์ไม่ได้ระบอุ ะไรไวม้ าก กล่าวแตเ่ พยี งวา่ สนั ตฏุ ฐอุบาสกนี้ เปน็ ชาวบ้านนาทิกาคาม วัน หน่ึงเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปพร้อมกับพระอานนท์ ทรงพักอยู่ท่ีพระตาหนักอิฐ นาทิกคาม อานนท์ก็ได้กราบทูลถามถึงบุคคลที่อยู่ในนาทิกคามนับตั้งแต่แต่ พระสาฬหะ ภิกษุณีนันทา สุทัตตะ อุบาสก สุชาดาอุบาสิกา รวมถึงสันตุฏฐะอุบาสก เป็นต้น ตายไปแล้วบังเกิดท่ีไหน พระพุทธเจ้าได้ พยากรณ์ว่า ท่านเหล่านั้นบางท่านเป็นสกทาคามี จะกลับมาอีกคร้ัง แต่บางท่านก็เป็นอนาคามี จะไม่ กลับมาเกิดอกี สันทกะ, ปรพิ าชก สันทกปริพาชก ปรากฏในสันทกสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย๑๒๘๓ ความสังเขปว่า เมื่อคร้ังพระผู้มี พระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี สมัยนั้นสันทกปริพาชก พร้อมด้วยหมู่ปริพาชก ประมาณ ๕๐๐ คน อาศัยอยู่ ณ ถ้าปิลักขะ ท้ังหมดกาลังสนทนาถึงดิรัจฉานกถาต่าง ๆ ด้วยเสียงอ้ืออึง ระหว่างนั้นเองพระอานนท์ได้เดินเข้าไปในบริษัทของปริพาชกเหล่านั้น สันทกปริพาชกได้นิมนต์พระ อานนทน์ ่ังบนอาสนะที่เหมาะสม จากน้ันก็เชิญชวนพระอานนท์แสดงลัทธิธรรม พระอานนท์ได้แสดงลัทธิ ไมใ่ ช่การประพฤติพรหมจรรย์ ๔ และพรหมจรรยท์ ่ีไม่นา่ ไว้วางใจ ๔ ประการน้ี วญิ ญชู นไม่พึงอยปู่ ระพฤติ ลัทธิท่ีไม่นับว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ๔ ได้แก่ ๑) ลัทธิที่สอนว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมท่ีทาดี ทาชั่วไม่มี โลกน้ีไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีคุณ บิดาไม่มีคุณ โอปปาติกสัตว์ไม่มี ๒) ลัทธิท่ีสอนว่า เม่ือบุคคลทาเอง ใช้ให้ผู้อ่ืนทา ตัดเอง ใชใ้ หผ้ ู้อืน่ ตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อน่ื เบียดเบียน ทาให้เศร้าโศกเอง ใช้ให้ผู้อื่นทาให้เศร้าโศก ฆ่าสัตว์ ลัก ทรัพย์ ตัดช่องย่องเบา เป็นชู้ พดู เทจ็ ผ้ทู าเช่นนน้ั กไ็ มจ่ ัดว่าทาบาป ๓) ลัทธิท่ีสอนว่า ความเศร้าหมองของ สตั วท์ งั้ หลายไม่มเี หตุ ไม่มีปจั จัย สตั ว์ทัง้ หลายเศร้าหมองเอง ความบริสุทธ์ิของสัตว์ท้ังหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มี ปัจจัย ๔) ลัทธิท่ีสอนว่า สภาวะ ๗ กองนี้ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้บันดาล ไม่มีผู้เนรมิต ไม่มีผู้ให้เนรมิต ย่ังยืน ม่นั คงดุจยอดภเู ขา พรหมจรรย์ท่ีไม่น่าไว้วางใจ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ศาสดาท่ีตั้งตนเป็นสัพพัญญู รู้เห็นธรรมท้ัง ปวง ปฏญิ ญาญาณทัสสนะอยา่ งเบด็ เสร็จวา่ เม่ือเราเดินอยู่ หยดุ อยู่ หลับอยู่ และตืน่ อยู่ ญาณทัสสนะย่อม ปรากฏต่อเนื่องตลอดไป ๒) ศาสดาท่ีเชื่อถือการฟังตามกันมา ด้วยการถือสืบๆ กันมา และด้วยการอ้าง ตาราหรือคัมภีร์ ๓) ศาสดาที่เป็นนักตรรกะ เป็นนักอภิปรัชญา ศาสดาที่แสดงธรรมปฏิภาณของตน ตาม ๑๒๘๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๖/๑๐๑. ๑๒๘๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๒๓/๒๖๐.

๓๒๒ เหตผุ ล และการคาดคะเนความจรงิ และ ๔) ศาสดาท่ีเป็นผโู้ งเ่ ขลา งมงาย เม่ือถูกถามปัญหาก็ไม่กล้าตอบ แบ่งรบั แบ่งสู้ อย่างนั้นกไ็ มใ่ ช่ อย่างนี้กไ็ มใ่ ช่ สันทกปริพาชก ได้ฟังธรรมจากพระอานนท์ เกิดความเลื่อมใส จึงได้ชวนบริวารทั้งหมด ประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นศาสนาของพระโคดม สันธะ,พระ พระสนั ธะ ปรากฏในสันธสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย๑๒๘๔ ความสังเขปว่า พระสันธะเข้าเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ท่ีสมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนให้พระสันธะคิด อย่างมา้ อาชาไนย อยา่ คิดอยา่ งมา้ กระจอก ม้ากระจอก ถูกนาไปผูกใกล้รางข้าวเหนียว ก็คิดถึงแต่ข้าวเหนียว ไม่ได้มีความคิดว่าจะทา อะไรเป็นการตอบแทนสารถีผฝู้ กึ เปรยี บเหมือนคนบางคนในธรรมวินัยน้ี ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี อยู่ เรือนว่างก็ดี มีจิตถูกกามราคะกลุ้มรุม ครอบงา ไม่รู้วิธีสลัดกามราคะท่ีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ส่วนม้า อาชาไนยตรงกนั ขา้ ม สปั ปทาสเถระ,พระ พระสัปปทาสเถระ ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๒๘๕ พระผู้มีพระภาคปรารภตรัสพระ คาถาความว่า ผู้มีความเพยี รมั่นคง แม้ชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่าผู้เกียจคร้าน ไม่มีความเพียรท่ีมี ชีวิตอยตู่ ง้ั ๑๐๐ ปี ความในอรรถกถา๑๒๘๖ มีรายละเอยี ดเพิ่มเติมดงั น้ี พระสัปปทาสะ เดิมเป็นกุลบุตรอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว เพียรพยายามอยู่หลาย ๒๕ พรรษา๑๒๘๗ ก็ไม่ได้ความสงบใจแม้เพียงลัดน้ิวมือ จงึ คิดฆา่ ตวั ตาย เบอ้ื งต้นไดใ้ ห้งูมีพิษกัด แต่งูก็ไม่กัด แม้จะเอามือสอดเข้าไปในปาก งูก็ไม่ทาอันตรายใด ๆ แก่ท่าน ต่อมาจึงเอามีดโกนปลงผมเตรียมจะเชือดคอตนเอง ระหว่างน้ันก็ได้ระลึกถึงศีลของตนเองตั้งต้น แต่บรรพชาอุปสมบท เห็นศีลของตนบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั่วสรีระ ข่มปีติได้แล้ว เจริญวิปสั สนา ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์พร้อมด้วยปฏิสมั ภิทาท้งั หลาย อน่ึง เหตุท่ีงูไม่กัดท่านเพราะเหตุว่า งูตัวดังกล่าวน้ันได้เคยเกิดเป็นทาสของท่าน จึงไม่อาจกัด สรรี ะของผเู้ ป็นนายของตน เหตนุ นั้ ทา่ นจงึ ได้นามวา่ สปั ปทาสะ สพั พกามี, พระ พระสัพพกามี เป็นสัทธิวิหาริกของพระอานนท์ เป็นพระเถระท่ีมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี๑๒๘๘ ท่าน เปน็ กาลังสาคัญในการทาสงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ โดยทาสังคายนาคร้ังนี้ ทาภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี มีพระยสกากัณฑกบุตรเป็นประธาน พระเรวตะเป็นผู้ถาม ส่วนพระสัพพกามีทาหน้าท่ีเป็นผู้วิสัชนา ปรารภวัตถุ ๑๐ ประการทภี่ กิ ษชุ าววชั ชบี ตุ รยกขน้ึ แสดง ๑๒๘๔ อง.ฺ เอกาทสก.(ไทย) ๒๔/๙/๔๐๓. ๑๒๘๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๑๒/๖๕. ๑๒๘๖ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๒/๔๘๓. ๑๒๘๗ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๔๐๕/๔๐๙. ๑๒๘๘ วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๔๕๕/๔๐๙.

๓๒๓ อน่งึ ในคัมภรี ์อรรถกถา๑๒๘๙ ระบุวา่ พระสพั พกามีเกิดในตระกูลกษัตริย์ในนครเวสาลี ได้นาม ว่า สัพพกามะ คร้ันเจริญวัยญาติทั้งหลายก็จัดให้มีเหย้าเรือน แต่เพราะความเป็นผู้มีอัธยาศัยในการออก จากทกุ ข์ เกลียดการครองเรือน จงึ ออกบวชในสานักพระธรรมภัณฑาคาริก คร้ังหนึ่งได้เข้าไปในบ้านพร้อม กบั อุปชั ฌาย์ ไดเ้ ห็นภรรยาของตนก็เกิดความสงสาร พลนั กเิ ลสเกิดขึ้นด้วยอานาจ อโยนิโสมนสิการ ท่าน เกิดความสังเวชใจ จึงได้ไปยังป่าช้า กาหนดอสุภนิมิต ทาฌานให้เกิดในป่าช้าน้ันให้เป็นบาท เจริญ วิปัสสนากไ็ ด้บรรลพุ ระอรหนั ต์ สัพพทตั , พระเจา้ พระเจ้าสรรพทัต มาในยุธัญชยชาดก๑๒๙๐ อรรถกถา๑๒๙๑ ระบุแต่เพียงว่า พระราชาพระองค์นี้ ครองราชยเ์ มอื งรัมมะ ทรงมีพระราชโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์ ทรงพระราชทานพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ พระนามว่า ยุธัญชยะ เป็นพระอุปราช พระราชโอรสองค์ใหญ่นี้ ต่อมาให้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ขณะ เสดจ็ ประพาสอทุ ยาน เกดิ สังเวชสลดใจ ต่อมาให้กราบทูลลาพระราชบิดาออกผนวช บาเพ็ญฌานสมาบัติ เข้าถึงพรหมโลก สัพพมติ ตะ, พระสัพพมิตตะ ปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรค๑๒๙๒ ระบุไว้แต่เพียงว่า เป็นพระผู้ทาหน้าท่ี อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ซ่ึงพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ทรงอุบัติข้ึนในกัปที่ ๓๑ นับเป็น ภทั รกัป อนงึ่ ในภัทรกปั มพี ระพทุ ธเจ้าอบุ ัตขิ ึ้น ๕ พระองค์ ประกอบด้วย พระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ และพระพทุ ธเจา้ พระนามว่าโคดม สมั พละ,พระ พระสัมพละ ปรากฏในคัมภีร์ปริวาร๑๒๙๓ ความระบุว่า เป็น ๑ ในบรรดาพระเถระที่เดินทางจาก ชมพูทวีปมาเกาะสิงหล ประกอบด้วย พระมหินทะ พระอัฏฏิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ และพระภัทท บัณฑติ ท้ังหมด ทาหน้าทเี่ ป็นผทู้ รงจาพระวนิ ัยสืบกันมา สอนพระวินัยปิฎกท่ีเกาะตามพปัณณิ สอนนิกาย ๕ ปกรณ์ ๗ สัมพหุละ, พระเจ้าจักรพรรดิ์ พระเจ้าสัมพหุละ เป็นอดีตชาติของพระนิสเสณิทายกเถระ ปรากฏในนิสเสณิทายกเถ ราปทาน๑๒๙๔ ทรงอุบัติขึ้นในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ นับจากกัปน้ีไป ทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ ชาติ มีพระ ว่า สัมพหุละ เพราะมพี ลานภุ าพมาก ๑๒๘๙ ขุ.เถร.อ.(ไทย) ๒/๓/๓/๒๓๑. ๑๒๙๐ ข.ุ ชา.๒๗/๗๓/๓๖๖. ๑๒๙๑ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๖/๖๕. ๑๒๙๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๒๙๓ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๑๒๙๔ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๙/๓๓๙.

๓๒๔ สมั พุลา,พระนาง พระนางสัมพุลา ปรากฏในสัมพุลาชาดก๑๒๙๕ เป็นพระชายาของเจ้าชายโสตถิเสน ผู้เป็นพระ ราชบุตรพระเจ้ากรุงพาราณสี อรรถกถาชาดก๑๒๙๖ มีรายละเอียดว่า พระนางมีพระรูปโฉมงดงาม มี ผวิ พรรณเปลง่ ปลั่ง ตอ่ มา เจา้ ชายโสตถิเสนเกดิ เป็นโรคเรื้อน พวกแพทย์ไม่สามารถเยียวยาได้ จึงตัดสินใจ หนเี ขา้ ป่าไปตายดาบหนา้ เพยี งลาพัง มีเพียงพระนางสัมพุลาเทา่ นน้ั ทีข่ อตดิ ตามเสด็จไปด้วย พระราชกุมารได้สร้างอาศรมอยู่ในป่า โดยมีพระนางสัมพุลาทรงปฏิบัติบารุงนับตั้งแต่กวาด พระอาศรม ตักน้าใช้ น้าฉัน บดยาทาแผล แสวงหาผลไม้ นวดฟั้นคั้นพระพระสรีรกาย เป็นต้น อย่างไม่มี ขอ้ บกพร่องทุกประการ วันหน่ึงขณะพระนางออกไปหาผลไม้อยู่ อสูรตนหนึ่งแสวงหาอาหาร เห็นพระนางเข้าลง อาบน้าที่ลาธารแห่งหนึ่ง ก็เกิดมีจิตปฏิพัทธ์ จึงได้เชิญชวนไปอยู่ด้วย แต่นางปฏิเสธ เพราะว่ามีสามีแล้ว ฝ่ายอสูรก็พยายามยกเหตุผลมาเกล้ียกล่อมต่าง ๆ นานา เมื่อไม่สมประสงค์ จึงจับพระนางเพื่อเคี้ยวกิน เปน็ อาหาร ด้วยอานุภาพแห่งความซื่อสัตย์ที่พระนางมีต่อพระราชกุมาร ทาให้ท้าวสักกะลงมาช่วยให้รอด พ้นจากเง้ือมมอื ของอสูร ไดก้ ลบั ไปพบพระราชกมุ าอกี ครง้ั ในคัมภีร์ระบุว่า เมื่อพระนางกลับมา ก็ถูกพระราชกุมารต่อว่า และเคลือบแคลงสงสัยใน พฤติกรรมของพระนาง ด้วยทรงเห็นว่า วันนี้พระนางกลับผิดเวลา คงจะไปแอบมีสัมพันธ์กับพวกพราน ไพร ดาบส หรือวิชาธรเป็นแน่ สุดท้ายพระนางก็ตักน้าอธิษฐานแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า พระนางน้ันมี ความซื่อสัตย์ รกั เดยี วใจเดยี ว ไมเ่ คยมบี รุ ษุ อื่นย่ิงกวา่ ด้วยอานาจสัจวาจา ขอใหโ้ รคในพระวรกายระงับดับ หายไป เมื่อพระนางสัมพุลาทาสัจกิริยาอย่างนี้ แล้วรถน้าถวายเท่านั้น โรคเร้ือนของโสติถิเสนราช กุมารก็ระงับหายทันที ท้ังสองจึงได้ออกจากป่า กลับไปยังเมืองพาราณสี สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่ พระราชบดิ าเป็นอย่างมาก พระองค์ได้ทรงยกเศวตฉัตรให้แก่โสตถิเสน และให้อภิเศกพระนางสัมพุลาไวว้ ในตาแหน่งอคั รมเหสี สว่ นพระองคไ์ ดอ้ อกผนวชเป็นฤาษี สมั ภูตสาณวาสี, พระ พระสัมภูตสาณวาสี ปรากฏในจุลวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๒๙๗ ความสังเขปว่า เมื่อครั้งที่ท่าน พกั อยทู่ ่ีอโหคังคบรรพต พระยสกากัณฑกบตุ รไดเ้ ขา้ ไปหา ชกั ขวนให้ร่วมมือกันชาระอธิกรณ์ กรณีภิกษุวัช ชีบุตรชาวเมืองเวสาลีแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ ซ่ึงท่านก็ได้รับปากและร่วมมือ กระทั่งนามาซ่ึงการระงับ อธิกรณด์ ้วยอพุ พาหกิ วธิ ี โดยใหส้ งฆเ์ ลอื กภิกษุชาวปราจีน ๔ รูป ประกอบด้วย พระสัพพกามี พระสาฬหะ พระอชุ ชโสภติ พระวาสภคามกิ ะ และภกิ ษุชาวเมอื งปาเฐยยะ ๔ รูป ประกอบด้วย พระเรวตะ พระสัมภูต สาณวาสี พระยสกากัณฑกบุตร พระพระสมุ นะ ทาหน้าที่ชาระ อนึ่ง อุพพาหิกวิธี คือ วิธีระงับอธิกรณ์ในกรณีที่ประชุมสงฆ์มีความไม่สะดวกด้วยเหตุผล บางอย่าง เช่น มเี สียงเซง็ แซ่ ไมม่ ใี ครฟังใคร จาเปน็ ต้องตงั้ ตัวแทนในที่ประชุมนั้นเป็นคณะทางานแล้วมอบ ใหน้ ำไปวนิ จิ ฉัย ๑๒๙๕ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๙๗/๕๘๓. ๑๒๙๖ ข.ุ ชา.(ไทย) อ.๓/๗/๔๙๖. ๑๒๙๗ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๕๐/๔๐๐.

๓๒๕ สัมมชั ชนเถระ,พระ พระสมั มชั ชนเถระ ปรากฏในขุททนกิ าย ธรรมบท๑๒๙๘ พระผู้มีพระภาคตรัสปรารภพระคาถา วา่ ผู้ใดประมาทในกาลก่อน ภายหลังไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมทาให้โลกนี้สว่างไสว ดุจดวงจันทร์พ้นจากเมฆ ฉะน้นั ความในอรรถกถา๑๒๙๙ มีรายละเอียดเพ่มิ เตมิ ดงั นี้ พระสัมมัชชนเถระเท่ียวกวาดไม่รู้จักเวลา ไม่หยุดไม่หย่อน วันหน่ึงถือไม้กวาดไปท่ีสานักของ พระเรวตเถระซึ่งกาลังน่ังพักกลางวันอยู่ แล้วก็พูดเชิงตาหนิว่า เกียจคร้าน บริโภคอาหารที่ชาวบ้านถวาย ด้วยศรัทธาแล้วยังมาน่ังเฉย ไม่รู้จักเอาไม้กวาดมากวาดที่ใดที่หนึ่ง พระเรวตเถระได้ยินเข้า จึงสั่งให้ไป อาบนา้ แลว้ เขา้ มาหาทา่ น เมื่อพระสัมมัชชนเถระมาแล้ว พระเรวตเถระก็ได้กล่าวสอนว่า การเท่ียวเดินกวาดทั้งวัน ไม่ รู้จักเวลาน้ัน ไม่สมควร ที่ควรภิกษุควรกาหนดเวลากวาดแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต กลับ จากบิณฑบาตแล้วก็มานั่งที่พักกลางคืนหรือที่พักกลางวัน สาธยายอาการ ๓๒ ประการ เร่ิมปรารภความ เส่ือมไปในอัตภาพ จากนั้นจึงลกุ ขนึ้ กวาดในเวลาเยน็ ทาเชน่ น้ี จึงจะไดช้ ื่อวา่ ไม่ตดั โอกาสของตน พระสัมมัชชนเถระ ตั้งอยู่ในโอวาทของพระเรวตเถระแล้ว ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ภายหลังเพื่อภิกษุไม่เห็นท่านเดินกวาดเหมือนแต่ก่อนก็ถามว่า ทาไมไม่กวาด ท่านตอบว่า แต่ก่อนตน ประมาท เดี๋ยวน้ไี ม่ประมาทแลว้ จงึ ไม่ได้เดินกวาดเหมือนแตก่ ่อน ภกิ ษุทง้ั หลายกล่าวโทษว่าท่านพยากรณ์ พระอรหตั ผล จงึ ไดก้ ราบทูลพระพทุ ธเจ้า พระผู้มีพระภาคไดต้ รสั รบั รองวา่ บัดน้พี ระสัมมัชชนเถระได้บรรลุพระอรหันต์แลว้ สัมมิลลหาสิน,ี ตาปสินี นางสัมมิลลหาสินี ปรากฏในอนนุโสจิยชาดก๑๓๐๐ ปรารภเหตุที่ทุกคนไม่ควรเศร้าโศก ความ ในอรรถกถา๑๓๐๑ ระบุว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเร่ืองน้ีปรารภกุฏุมพีผู้หนึ่งภรรยาตาย เศร้าโศกเสียใจ ไม่ ยอมรบั ประทานอาหาร เข้าไปป่าชา้ รอ้ งไหค้ รา่ ครวญแต่เพียงผู้เดียว พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอุปนิสัยแห่ง โสดาปัตติมรรค จึงได้เสด็จไปโปรด ทรงแสดงธรรมให้กุฎุมพีคลายความเศร้าโศกด้วยทรงยกอนนุโสจิย ชาดก เน้ือความชาดกปรารภพระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ ถูกบิดามารดาหว่านล้อมให้แต่ งาน แต่พระโพธิสัตว์ประสงค์จะออกบวช เมื่อขัดใจบิดามารดาไม่ได้ ก็ให้คนปั้นรูปหญิงงาม จากนั้นจึง บอกกับบิดามารดาว่า ถ้าได้หญิงงามเห็นปานน้ี จะยอมแต่งงาน บิดามารดาก็รับปาก โดยให้คนนารูปป้ัน เท่ียวแสวงหาหญงิ ผู้มลี กั ษณะดังกล่าว กระทงั่ ไปเจอนางสัมมิลลหาสินีธิดาของพราหมณ์ผู้ม่ังคั่งในเมืองกา สี จงึ ได้ทาการส่ขู อนานางมาแต่งให้กับลกู ชาย ท้งั ๒ ครัน้ แต่งงานแล้ว แม้จะนอนที่นอนเดียวกัน ก็ไม่ได้แลดูกันและกันด้วยอานาจกิเลส แต่ อยู่ในสถานท่ีเดียวกันเหมือนภิกษุ ๒ รูป เหมือนพรหม ๒ องค์ จาเนียรกาลล่วงไป เม่ือบิดามารดา เสียชีวิตแล้ว ท้ังสองก็สละสมบัติท้ังหมด ออกบวชเป็นดาบส-ดาบสินี อยู่ที่หิมวันตประเทศ มีรากไม้และ ผลไมเ้ ปน็ อาหาร ๑๒๙๘ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๒/๘๖. ๑๒๙๙ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๒/๑๕๘. ๑๓๐๐ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๑๐๙/๑๗๙. ๑๓๐๑ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๔/๕๖๙.

๓๒๖ ต่อมานางสมั มิลลหาสินี เกิดอาพาธลงโลหิต ประกอบกับไม่ได้รับการดูแลรักษาท่ีถูกต้อง ทา ให้นางเสียชีวิตลง ขณะทด่ี าบสกาลงั เขา้ ไปในบา้ นเพือ่ บิณฑบาต ครั้นกลับมาเห็นมหาชนกาลังเศร้าโศกอยู่ นน้ั ดาบสนั่งบนแผ่นกระดานทีน่ างนอนอยู่ บรโิ ภคอาหารตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทาให้มหาชน สงสัย จึงได้ถามว่า นางเป็นอะไรกับท่าน ดาบสก็ตอบว่า เมื่อคร้ังเป็นคฤหัสถ์นางเป็นภรรยาของเรา เมื่อ ได้ยินดังน้ัน มหาชนย่ิงสงสัยหนักเข้า เพราะขนาดพวกตนไม่ได้เป็นอะไรกับนางยังเศร้าโศกเสียใจ อดทน ไม่ได้ เพราะเหตใุ ดท่านจึงไมร่ ้องไห้ ดาบสได้ตอบไปว่า ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางเป็นยังเป็นอะไรกับเรา แต่บัดน้ี ไม่ได้เป็นอะไร กนั แล้ว เพราะนางไปสู่ปรโลก ไปสู่อานาจของคนอน่ื แล้ว จะต้องร้องไห้เพราะเหตุใด เมื่อกล่าวเสร็จดาบส ก็ไดแ้ สดงธรรมแก่มหาชน จากนัน้ ทง้ั หมดกช็ ว่ ยกนั ทาการฌาปนกจิ ศพนางสัมมิลลหาสินี สาคตะ,พระ พระสาคตะ เป็นต้นบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุราและเมรัย๑๓๐๒ ในคัมภีร์ระบุว่า พระสาคตะได้ทา การทรมานนาคซ่ึงมีฤทธิ์มาก ทาให้ชาวบ้านเล่ือมใส ปวารณาว่า ปรารถนาสิ่งใดขอให้บอก จะจัดถวาย พระเถระจงึ ขอหวั เชื้อสุราท่ีหายาก ชาวบ้านก็ดีใจ พากันเตรียมไว้ทุกหลังคาเรือน พอเห็นพระสาคตะเดิน บณิ ฑบาตกน็ มิ นต์ทา่ นดม่ื กระทั่งเมาไม่ได้สติ นอนกลิง้ อยูท่ ่ปี ระตเู มือง พระผู้มีพระภาคเสด็จมาพร้อมกับภิกษุท้ังหลายทอดพระเนตรเห็นเข้า ก็รับส่ังให้นาไปที่ อาราม ให้นอนหันศรีษะไปทางพระผู้มีภาค แต่พระสาคตะก็นอนกลิ้ง พลิกหันเท้าไปทางพระผู้พระภาค เจ้า พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรอาการเช่นน้ี จึงตรัสถามว่า แต่ก่อนพระสาคตะเคารพยาเกรง ในตถาคต แต่บัดนี้เป็นอย่างไร แต่ก่อนสาคตะมีฤทธิ์ สามารถสู้กับนาคได้ แต่สภาพตอนนี้เป็นอย่างไร จากนั้นจึงได้ทรงยกเร่ืองน้ีเป็นเหตุ ได้ทรงบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุราและเมรัย ผู้ใดล่วงละเมิดต้องอาบัติ ปาจิตตยี ์๑๓๐๓ พระสาคตะ ถือเปน็ พุทธอุปัฏฐากรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ความในคัมภีร์มหาวรรค๑๓๐๔ ระบุ วา่ ทา่ นเคยไดน้ ากุลบตุ ร ๘๐,๐๐๐ คน เข้าเฝา้ พระผูม้ พี ระภาค พร้อมท้งั แสดงฤทธิ์ต่อหน้าพระพักตร์และ ต่อหน้ากุลบุตร ๘๐,๐๐๐ คนนั้น เป็นเหตุให้กุลบุตรเหล่านั้นเล่ือมอย่างยิ่งในพระพุทธเจ้า เพราะเพียงได้ เหน็ ฤทธ์ิของพระสาวกยงั นา่ อศั จรรยถ์ งึ เพียงน้ี อนึ่ง ในคัมภีร์อปทาน๑๓๐๕ ระบุว่า พระสาคตะนี้ ได้เคยบาเพ็ญบารมีไว้แล้วในสมัย พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกเป็นระยะเวลายาวนาน ในสมัยแห่ง พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม แรงกุศลกรรมได้กระตุ้นเตือน ได้ออกบวชในสานักของพระผู้มีพระภาค ครนั้ บวชแล้วกไ็ ดเ้ ว้นกายทุจริต วจีทุจริต ชาระอาชีวะให้บริสุทธิ์ เป็นผู้ฉลาดในเตโชธาตุ กาหนดรู้อาสวะ ทง้ั ปวงแล้ว อยอู่ ย่างไม่มอี าสวะ ถึงพรอ้ มด้วยปฏิสมั ภทิ า ๔ วโิ มกข์ ๘ และอภญิ ญา ๖ ๑๓๐๒ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๓๒๖/๔๖๒. ๑๓๐๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๓๒๗/๔๖๕. ๑๓๐๔ วิ.ม.(ไทย) ๕/๒๔๒/๒. ๑๓๐๕ ขุ.อป.(ไทย)๓๒/๑๗/๑๕๒.

๓๒๗ สาณวาสี, พระ พระสาณวาสี มชี ื่อปรากฏอยู่ในมหาวรรคแห่งพระวินัยปิฎก๑๓๐๖ เพียงแห่งเดียวความระบุว่า ทา่ นจาพรรษาอยู่กุกกุฏาราม เขตกรุงปาตลีบุตรพร้อมกับพระเถระอีกหลายรูป คือ พระนีลวาสี พระโคป กะ พระภคุ และพระผลิกสันทานะ โดยในระหว่างน้ี มีภิกษุ ๓ รูป จากเมืองปาตลีบุตร ได้เดินทางไป สอบถามปัญหาข้อวินัย กรณีอยู่ในวัดไม่ครบ ๔ รูป จะรับจีวรที่เจ้าภาพถวายแก่สงฆ์ได้หรือไม่ ซ่ึงได้รับ การยืนยันวา่ จวี รทีเ่ กิดขนึ้ เป็นสิทธิ์ของภกิ ษุท่ีอยู่ในอาวาสนน้ั ๆ จนถงึ คราวเดาะกฐนิ สาณ,ุ สามเณร สามเณรสาณุมีชื่อปรากฏในสานุสูตร แห่งสังยุตตนิกาย๑๓๐๗ ความระบุว่า ท่านเป็นบุตรของ อบุ าสกิ าผเู้ คร่งครดั ผู้หน่งึ ในกรงุ สาวัตถี ต่อมามเี หตกุ ารณ์ถูกอมนุษย์เข้าสิง เพราะท่านคิดจะลาสิกขา ทา ใหเ้ กดิ ความโกลาหลไปชั่วขณะหนึ่ง ในคมั ภรี อ์ รรถกถา๑๓๐๘ ระบวุ ่า สามเณรเป็นบตุ รคนเดียวของอบุ าสิกา นางใหบ้ รรพชาในเวลา เปน็ หนุ่ม สามเณรเป็นคนเฉลียวฉลาด ขยันหม่ันเพียร บวชมาแล้วก็ทาวัตรอุปัชฌาย์ อาจารย์ และทากิจ ต่าง ๆ จนเป็นทร่ี ักของภิกษทุ ้ังหลาย วันหนึ่งภิกษุทงั้ หลายได้มอบหมายให้สามเณรกล่าวบทสรภัญญะ สามเณรก็ได้กล่าวสรภัญญะ ด้วยเสียงอันไพเราะ หลังจากลงจากธรรมาสน์แล้วก็ได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่มารดาของตน มารดาบิดาไม่ ทราบว่าสามเณรอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของสามเณรในภพก่อน ได้มาอนุโมทนา ส่วนบุญของสามเณร พวกเทวดาท้ังหลายรู้ว่านางยักษิณีเคยเป็นมารดาของสามเณรก็ยกย่องให้เกียรติ ด้วยเคารพในสามเณร ภายหลังต่อมา สามเณรเกิดอยากสึก แม้อุบาสิกาผู้เป็นมารดาของท่านพยายามห้าม แต่ก็ไม่ เป็นผลสาเร็จ จะสึกให้ได้ วันน้ันจึงได้เข้าไปในบ้านแต่เพียงผู้เดียว มารดาเห็นว่าสามเณรจะมาลาสึก ก็ ประวิงเวลาด้วยการจัดแจงอาหารถวายสามเณร ให้สามเณรน่ังคอยก่อน ขณะท่ีนางยักษิณีได้ตามตรวจดู อยู่ เห็นสามเณรนัง่ อยทู่ บ่ี ้าน ปรารถนาจะลาสกิ ขา เกดิ ความละอาย จึงได้ไปที่บ้านเพื่อทาลายแผนการลา สิกขาของสามเณร โดยเข้าสงิ สามเณร บิดคอใหล้ ม้ ลงท่พี ้ืน มนี ยั นต์ าเหลือก นา้ ลายไหล ดิน้ อยูท่ ี่พ้ืน ฝ่ายมารดาเห็นกิริยาอันแปลกของสามเณรก็ว่ิงมาประคองให้นอนบนขา ชาวบ้านแตกตื่นมา ช่วยกันทาพลีกรรมต่าง ๆ เม่ือฟ้ืนข้ึนมาก็เกิดความรู้สึกละอายท่ีตนถูกอมนุษย์สิง เพราะธรรมดาผู้มีศีล อมนุษย์ไม่สามารถเข้าสิงได้ ท่านกลับได้หิริและโอตตัปปะ จึงได้บอกมารดาว่า ไม่ต้องการสึกจะสึกแล้ว มารดาได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างย่ิง และเม่ือสอบถามอายุแล้วครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ก็ได้จัดแจงให้สามเณรได้ อปุ สมบท ครั้นอปุ สมบทแลว้ ไมน่ าน กไ็ ดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ สาต,ิ พระ พระสาติ ปรากฏในมหาตัณหาสังขยสูตร๑๓๐๙ ความระบุรว่า พระสาติ เดิมมีเป็นบุตร ชาวประมง มาบวชในพระธรรมวินัยแล้วเกิดมีทิฏฐิลามกว่า ตนรู้ท่ัวถึงธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคแสดงว่า ๑๓๐๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๖๓/๒๓๖. ๑๓๐๗ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๒๓๙/๓๔๒. ๑๓๐๘ ส.สคา.อ.(ไทย) ๑/๒/๓๙๙. ๑๓๐๙ ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๙๖/๔๒๗.

๓๒๘ วญิ ญาณนนี้ น่ั แลไม่ใช่อ่ืน ท่องเท่ียวไป แล่นไป ภกิ ษทุ ้ังหลายเห็นวา่ ไมถ่ กู ตอ้ ง และเพื่อต้องการเปลื้องทิฏฐิ ดังกล่าว จึงนาตัวไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคเจ้า พระผู้มพี ระภาค ได้ตรัสถามพระสาติว่า วิญญาณคืออะไร พระสาติก็กราบทูลว่า วิญญาณคือ สภาวะท่ีพูดได้ รบั รู้ได้ เสวยวิบากกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดีและส่วนชั่วในท่ีนั้น ๆ๑๓๑๐ เม่ือทรงสดับคากราบ ทูลของพระสาติเช่นน้ัน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสตาหนิว่า พระองค์ไม่เคยสอนเช่นนั้น แล้วจะมากล่าวตู่ว่า “รู้ทั่วถึงธรรม” ได้อย่างไร จากนั้นจึงได้ทรงแสดงปัจจยาการแห่งวิญญาณโดยพิสดาร และทรงแสดง ตณั หาสังขยวิมตุ ติ พร้อมกบั ทรงชาชับใหภ้ ิกษุทงั้ หลายรบั ทราบว่า พระสาติบุตรชาวประมงเป็นผู้ติดอยู่ใน ขา่ ยคือตณั หา และกองแห่งตัณหาใหญ่๑๓๑๑ สาธนิ ะ,พระราชา พระเจ้าสาธินะ ปรากฏในสาธินราชชาดก๑๓๑๒ พระราชาพระองค์นี้ครองราชเมืองมิถิลานคร เปน็ ผู้มีบญุ ญาธกิ าร กระทั่งพระอินทรป์ ระสงคจ์ ะทอดพระเนตร จึงได้ให้มาตลีเทพบุตรไปอัญเชิญเสด็จไป ยืนเมืองสวรรค์ คร้ันไปถึงพระอินทร์ก็ได้ให้บารุงบาเรอด้วยกามอันเป็นทิพย์ แต่พระเจ้าสาธินะหาได้ เพลดิ เพลนิ ยนิ ดไี ม่ ได้ตรสั กับพระอินทร์วา่ แตก่ ่อนพระองค์ก็อยู่เมืองสวรรค์ ยินดีในสมบัติของสวรรค์ แต่ บดั นีห้ าได้ยินดไี ม่ ด้วยทรงเห็นว่า สมบตั ิท่ีได้มาเพราะผอู้ ่นื หยบิ ย่ืนให้ กไ็ ม่ตา่ งอะไรกับของยืม อย่างไรเสีย ก็สทู้ าเอง สร้างเองไม่ได้ สามา, หญงิ คณกิ า นางสามา ปรากฏในกณเวรชาดก๑๓๑๓ ความในอรรถกถา๑๓๑๔ สรุปพอสงั เขปไดด้ งั นี้ นางสามาได้ชื่อว่าเป็นหญิงคณิกา อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี มีค่าตัว ๑ พันกหาปณะ เป็นท่ี โปรดปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร แต่นางมีจิตปฏิพัทธ์โจรท่ีกาลังถูกนาไป ประหารชีวิต จึงวางแผนติดสินบน บตุ รเศรษฐีผหู้ น่ึง มีจติ ปฏพิ ัทธ์นางสามา ให้เงิน ๑ พันกหาปณทุกวัน แม้คืนวันน้ันก็นาเงินมา ให้นาง นางรบั เงินแลว้ วางบนขาออ่ นแลว้ ก็น่งั รอ้ งไห้ พร้อมกับระบายความในใจว่า พ่ีชายถูกจับข้อหาเป็น โจร แต่ได้พูดคุยกับผู้ควบคุมแล้ว ถ้าได้เงิน ๑ พันกหาปนะจะปล่อยตัว บัดนี้ได้เงินแล้ว แต่ยังหาคนช่วย จัดแจงเปน็ ธรุ ะให้ไม่ได้ บุตรเศรษฐไี ดย้ นิ เช่นนั้น เพราะความท่ีหลงรักนางสามา บุตรเศรษฐีจึงอาสาเป็นธุระนาเงินไป มอบให้ผู้ควบคุม แต่เมื่อไปถึงก็ถูกกักตัวไว้ และถูกนาไปประหารชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนโจรก็ได้รับการ ปลอ่ ยตัว โดยให้นง่ั ในยานท่ปี กปดิ แลว้ นาไปส่งเรือนของนางสามา นางสามาได้อภิรมย์อยู่กับโจรช่ัวระยะเวลาหน่ึง ก็ถูกโจรวางแผนฆ่าชิงทรัพย์ ด้วยการลวง ออกไปเท่ียวนอกบ้าน ขณะที่นางสามาเผลอตัว ก็แอบไปข้างหลังรัดคอให้ล้มลง จากนั้นก็เปล้ือง ๑๓๑๐ ม.มู.(ไทย) ๑๓/๓๙๘/๔๓๐. ๑๓๑๑ ม.มู.(ไทย) ๑๓/๔๒๔/๔๕๑. ๑๓๑๒ ช.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๒๐๒/๔๕๕. ๑๓๑๓ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๖๙/๑๗๐. ๑๓๑๔ ข.ุ ชา.อ.(ไทย) ๓/๔/๔๙๗.

๓๒๙ เคร่ืองประดับอาภรณ์หนีไป ดวงของนางสามายังไม่ถึงฆาต กลับฟ้ืนมาอีกครั้ง ครั้นฟื้นแล้วก็ได้ส่ังให้ นักแสดงกล่มุ หน่งึ ทาหนา้ ท่ีตามหาโจรผเู้ ป็นสามี กระทัง่ ไปเจอทชี่ นบทแห่งหน่งึ นกั แสดงกลุ่มนั้นพยายามส่ือสารว่า นางสามายังไม่ตาย และมีความประสงค์จะให้โจรกลับไป คนื รักกับนาง แต่โจรปฏิเสธด้วยเห็นว่า นางเป็นหญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ สามารถเปลี่ยนชายที่เคยเชยชิดประจา ใหไ้ ปตายแทนตนเองได้ ต่อไปนางกอ็ าจจะทาเชน่ นกี้ บั ตนก็ได้ ความในชาดกเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนภิกษุรูปหน่ึงท่ีกระสันอยากสึก เพราะนึกถึง ภรรยาเก่า โดยหารู้ไม่ว่า ภรรยาเก่าผู้นี้ ได้เคยทาให้ตนเองถูกฆ่าตัดคอมาแล้วในอดีตชาติสมัยเป็นบุตร เศรษฐี หลงรักหญิงคณกิ าชอื่ สามา สามาวดี, พระนาง นางสามาวดี ปรากฏในขุทธกนิกาย ธรรมบท๑๓๑๕ และในอุเทนสูตร ขุททกนิกาย อุทาน๑๓๑๖ ความระบถุ งึ ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลถามถึงคติของนางสามาวดี พระมเหสีของพระเจ้าอุเทน พร้อมด้วย บริวาร ๕๐๐ ถูกลอบวางเพลิง และถูกไฟคลอกตายที่พระราชวังท้ังหมดว่าคติของหญิงเหล่านั้นเป็น อย่างไร พระผู้มพี ระภาคเจ้าได้พยากรณ์ว่า หญิงเหลา่ นนั้ ขนั้ ตา่ เปน็ โสดาบัน ทง้ั หมดชอื่ ไม่ตายเปล่า ความในอรรถกถาธรรมบท๑๓๑๗ มีรายละเอยี ดดงั น้ี นางสามาวดี เปน็ ธดิ าของเศรษฐนี ามว่าภัททวดีย์ แหง่ แคว้นภัททวตยิ ะ เดิมช่ือว่า “สามา” ได้ ชื่อว่าสามาวดีเพราะนางสามารถทาร้ัวกันจัดแจงให้คนที่เข้าไปรับทานในโรงทานของโฆสกเศรษฐีให้มี ความเป็นระเบียบ ไม่มีเสียงอกึ ทึกครึกโครมเหมอื นแตก่ ่อน ความในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า เมื่อครั้งเกิดภัยแห้งแล้ง (ฉาตกภัย) ในเมืองภัททวดีย์ เศรษฐี ได้พาภรรยา และลูกสาวอพยพหนีไปยังเมืองโกสัมพี เพ่ือขอพักอาศัยกับโฆสกเศรษฐีผู้เป็นสหาย แต่ เคราะห์กรรมซ้าเข้าอีก ด้วยสภาพร่างกายท่ีอดอาหารมาหลายวัน อีกท้ังความเหน็ดเหน่ือยเมื่อยล้าจาก การเดินทางไกล ทาให้ไม่กล้าไปพบสหายด้วยสภาพอย่างนั้น จึงอาศัยในศาลาใกล้ ๆ โรงทานของโฆสก เศรษฐนี น้ั ตั้งใจว่าเมอ่ื ร่างกายแข็งแรงดแี ลว้ จงึ จะเข้าไปหาเพื่อน วันรุ่งข้ึน ให้ลูกสาวเข้าไปรับอาหารที่โรง ทานของโฆสกเศรษฐี ความที่นางเป็นกุลสตรี เมื่อไปถึงก็ยืนเอียงอาย ไม่กล้าไปยืนเบียดเสียดทาเสียงดัง เหมือนขอทานคนอื่น ๆ ทาให้คนจัดทานสังเกตเห็น จึงเรียกมาถาม ทราบความแล้ว จึงมอบข้าวให้ ๓ ก้อน คร้นั ไดม้ าแล้วก็นาไปมอบใหบ้ ดิ ามารดา ฝ่ายบิดา ดว้ ยความหวิ โหยมานาน กินเกินประมาณกเ็ ลยตาย วนั ตอ่ มานางจึงรับมาแต่เพียง ๒ กอ้ น วันนนั้ ช่วงเวลากลางคืน ภรรยาของเศรษฐีก็ตายตามไปอีกคน วันรุ่งขึ้นนางจึงรับมาเพียงก้อนเดียว เท่านั้น ทาให้คนแจกทานประหลาดใจ จึงได้ซักถาม ครั้นทราบความจริงว่านางเป็นธิดาของภัททวดีย์ เศรษฐี จึงไดร้ ับนางมาเลี้ยงเป็นบุตรบญุ ธรรม หลงั จากทนี่ างสามาวดไี ด้มาอาศัยในเรือน นางก็ช่วยจัดแจง ทาให้โรงทานเกิดความเรียบร้อย ทาให้โฆสกเศรษฐีเกิดความสงสัยว่า จึงเรียกมาสอบถาม ครั้นทราบความจริงแล้วก็ให้นาสามาวดีมา และ ต้งั นางไวใ้ นตาแหนง่ ธดิ า พร้อมกบั จดั หญงิ สาว ๕๐๐ คนทมี่ วี ัยเดยี วกันใหเ้ ป็นบริวาร ๑๓๑๕ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๑/๓๑. ๑๓๑๖ ขุ.อ.ุ (ไทย) ๒๕/๗๐/๓๑๙. ๑๓๑๗ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑๐๑.

๓๓๐ ภายหลังวันหน่ึงพระเจ้าอุเทนได้ทอดพระเนตรเห็นนางสามาวดีพร้อมด้วยบริวารก็ทรงเกิด ความสงสัย ได้ตรัสสอบถาม คร้ันทราบว่าเป็นธิดาของโฆสกเศรษฐีก็รับส่ังให้คนไปแจ้งพระประสงค์ เบอ้ื งต้นเศรษฐีไดข้ ัดพระประสงค์ ทาใหพ้ ระเจ้าอุเทนทรงกริว้ รบั ส่งั ให้ปิดประตูตีตราทั่วทุกเรือน ไม่ให้คน เข้าไปข้างใน นางสามาวดีกลับมาเห็นบิดามารดาน่ังอยู่นอกบ้านก็ตกใจ สอบถามได้ความแล้ว จึงขอร้อง ให้บิดามารดาไปกราบทลู พระเจา้ อเุ ทนใหมว่ ่า นางยินดีทจี่ ะทาตามพระประสงค์ทุกประการ แต่มีข้อแม้ว่า ขอนาหญิงบริวาร ๕๐๐ คนไปอยูใ่ นวังดว้ ย ตัง้ แต่น้ันมา นางสามาวดีก็ได้รับการอภิเษกเป็นพระมเหสีของ พระเจา้ อเุ ทน โดยทรงยกปราสาทหลงั หนึง่ ให้เปน็ ท่ีประทบั ในบรรดาหญิงบริวารของนางสามาวดี ๕๐๐ คนนั้น หญิงคนหน่ึงชื่อนางขุชชุตตรา รับ หน้าท่ีจัดซอ้ื ดอกไมม้ าให้นางสามาวดที ุกวัน ต่อมาวนั หน่งึ ขณะที่นางไปซือ้ ดอกไม้ตามปกตินั้น ได้มีโอกาส ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาในบ้านของนายสุมนมาลาการผู้ขายดอกไม้ จนได้บรรลุเป็นพระ โสดาบัน เม่ือนาดอกไปให้นางสามาวดีแล้ว ได้แสดงธรรมที่ตนฟังมานั้นแก่นางสามาวดี พร้อมทั้งหญิง บริวาร จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยกันท้ังหมด ตั้งแต่น้ันมา นางสามาวดี พร้อมด้วยบริวารมีจิต ศรัทธาเล่ือมใสต้ังม่ันอยู่ในพระรัตนตรัย พากันสนใจในการฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และสมาทานรักษาศีล อโุ บสถเป็นประจา กาลต่อมาอกี พระเจา้ อเุ ทนไดพ้ ระนางวาสลุ ทัตตา พระราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่ง กรุงอุชเชนี มาอภิเษกเป็นมเหสีองค์ที่สอง และได้นางมาคันทิยา สาวงามแห่งแคว้นกุรุ มาอภิเษกเป็น มเหสีองค์ท่ีสาม และด้วยความงามเป็นเลิศทาให้พระเจ้าอุเทนทรงสิเนหา นางมาคันทิยายิ่งนักได้ พระราชทานหญงิ บริวาร ๕๐๐ คนไวค้ อยรบั ใช้นาง อนึ่ง สาหรับนางมาคันทิยา ก่อนหน้าที่จะได้อภิเษกเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทน นางได้เคยมี ความแคน้ ต่อพระพทุ ธเจ้าเปน็ การสว่ นตวั อยแู่ ลว้ ด้วยคราวหน่ึง บดิ าประสงค์จะยกนางให้กับพระพุทธเจ้า แต่ถูกพระพุทธเจ้าปฏิเสธอย่างไม่ใยดี พระดารัสว่า ไม่ประสงค์จะสัมผัสนางแม้ด้วยปลายเท้า ทาให้นาง ผกู อาฆาต และหาทางแก้แคน้ อยตู่ ลอดเวลา นบั ต้ังแต่ว่าจา้ งให้คนไปด่าพระพุทธเจ้า กระท่ังอานนท์ทนไม่ ไหว เชญิ เสดจ็ ไปอยเู่ มอื งอน่ื แตพ่ ระองคก์ ห็ าได้ใสพ่ ระทยั คาด่าเหล่านนั้ ไม่ นางมาคันทิยา เมื่อไม่สามารถทาอะไรพระพุทธเจ้าได้ เห็นนางสามาวดีพร้อมบริวารเป็น สาวิกาของพระพุทธเจ้า ก็หันมาทาร้ายนางสามาวดีแทน โดยเริ่มจากคิดอุบายนับต้ังแต่ใส่ความแก่พระ นางสามาวดี เรื่องส่งไก่ไปให้ทาพระกระยาหารถวาย แต่นางไม่ยอมทา แต่ครั้นบอกให้ทาไปถวาย พระพทุ ธเจ้า นางกลับขวนขวาย อบุ ายครั้งนี้ แมจ้ ะไมท่ าใหพ้ ระเจา้ อุเทนหว่นั ไหวนกั แต่ก็มีผลพอสมควร ต่อมานางมาคันทิยาก็วางแผนยุยงเร่ืองนางสามาวดีวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าอุเทนด้วย การนางูเข้าในปล่อยในห้องบรรทม ครั้งนี้ทาให้พระเจ้าอุเทนกร้ิวมาก ถึงกับลงโทษประหารชีวิตพระนาง สามาวดี พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ด้วยการยิงด้วยธนู แต่ด้วยอานุภาพแห่งเมตตา ทาให้ลูกธนูไม่ สามารถทาอันตรายแก่พระนางได้ ซ้าลูกธนูที่ทรงยิงออกไป ยังกระเด็นย้อนพรุ่งกลับมาเกือบจะถูก พระองค์ ทาให้ทรงตกใจ พลางดาหริว่า ธรรมดาลูกศรน้ีย่อมแทงทะลุแม้กระท่ังแผ่นหิน บัดนี้ สิ่งที่เป็น วัตถุที่จะกระทบในอากาศก็ไม่มี เหตุใดลูกศรจึงหวนกลับเข้าหาเรา ลูกศรนี้แม้จะไม่มีชีวิตจิตใจ แต่ก็ยัง รู้จกั คณุ ของพระนางสามาวดี เราเสียอีกแมเ้ ป็นมนุษย์กลบั ไม่รู้คณุ ของพระนาง ทันใดน้ัน ท้าวเธอท้ิงคันธนู แล้วประนมหัตถ์ประคองอัญชลี กราบท่ีพระบาทของพระนางสามาวดี อ้อนวอนให้พระนางยกโทษให้ และขอถึงพระนางเป็นท่ีพ่ึงตลอดไป พระนางสามาวดีกราบทูลให้พระราชาทรงถึงพระบรมศาสดาเป็น

๓๓๑ สรณะท่ีพ่ึงเหมือนอย่างท่ีนางกระทาอยู่ ต้ังแต่น้ันมา พระเจ้าอุเทนทรงมีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ทรงรักษาศลี ฟงั ธรรมร่วมกับพระนางสามาวดตี ามกาลเวลาและโอกาสอันสมควร เม่ือแผนการทารา้ ยพระนางสามาวดีหลายคร้ังยงั ไม่ประสบผลสาเร็จ ย่ิงทาให้พระนางมาคันทิ ยาเพิ่มความโกรธแค้นยิ่งขึ้น แล้วแผนการอันโหดเห้ียมของพระนางก็เกิด ข้ึนวันหน่ึงขณะที่พระเจ้าอุเทน เสด็จประพาสราชอุทยาน พระนางมาคันทิยาสั่งคนรับใช้ให้เอาผ้าชุบน้ามันแล้วนาไปพันท่ีเสาทุกต้น ใน ปราสาทของพระนางสามาวดี จากนน้ั กล็ ัน่ กลอนข้างนอกแล้วจุดไฟเผาปราสาท พระนางสามาวดี ขณะเม่ือไฟกาลังลุกลามเข้ามาใกล้ตัวอยู่นั้น มีสติมั่นคงไม่หว่ันไหว ให้ โอวาทแกห่ ญิงบริวารทัง้ ๕๐๐ ใหเ้ จริญเมตตาไปยงั บุคคลทั่ว ๆ ไปแม้ในพระนางคันทยิ า ให้ทุกคนมีสติ ไม่ ประมาท ให้มีจิตตั้งม่ันในเวทนาปริคหกัมมัฏฐานอย่างมั่นคง บางพวกบรรลุอนาคามิผล ก่อนที่จะถูกไฟ เผาผลาญกระทากาละถึงแก่กรรม ไดไ้ ปบังเกดิ ในสุคติโลกสวรรค์ท้งั หมด ภกิ ษุท้ังหลายทราบการตายของพระนางสามาวดี กพ็ ากันนัง่ สนทนาว่า นางสามาวดีไม่สมควร ตายอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเสด็จมาในท่ีประชุมน้ัน ตรัสถาม ทราบความแล้วก็ตรัสว่า นางสามาวดีไม่ สมควรตายอย่างนี้ในชาติน้ีก็จริง แต่ความตายของนางสมควรแล้วแก่เหตุที่นางได้ทาไว้ในชาติปางก่อน จากนั้นก็ทรงตรสั อดตี ชาตขิ องพระนางท่ีได้เคยจุดไฟเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า อนึ่ง พระนางสามาวดี ผู้มีปกติอยู่ประกอบด้วยเมตตา (เมตตาวิหาร) ได้รับยกย่องจากพระ บรมศาสดา ในตาแหน่งเอตทัคคะเปน็ ผเู้ ลิศกว่าอุบาสกิ าทัง้ หลายในฝา่ ย ผอู้ ย่ดู ้วยเมตตา๑๓๑๘ สารีบุตร,พระ พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกเบ้ืองขวา คู่กับพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย นามเดิมคือ อุปติสสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านนาลกะ ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อวังคันตะ พราหมณ์ มารดาช่ือนางสารีพราหมณี มีน้องร่วมท้องเดียวกัน ๖ คน ได้แก่ พระจุนทะ, พระอุปเสน, พระเรวตะ, นางจาลา, นางอุปจาลา, และนางสีสุปจาลา ทง้ั หมดไดบ้ วชในสานักของภิกษุ และภกิ ษณุ ี ก่อนออกบวชแสวงหาโมกขธรรม ได้พร้อมกับเพื่อนคือโกลิตะ (นามเดิมของพระมหาโมคคัล ลานะ) ไปเท่ียวงานมหรสพในเมืองราชคฤห์ แต่วันน้ันทั้ง ๒ เกิดความเบ่ือหน่าย ตั้งคาถามกับตัวเองว่า เท่ียวแสวงหา และดูส่ิงที่ไร้สาระแก่นสารเหล่าน้ีเพ่ือประโยชน์อันใด สุดท้ายจึงได้ชวนกันแสวงหาโมกข ธรรม โดยเบ้ืองต้นได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ในสานักของอาจารย์สัญชัยปริพพาชก๑๓๑๙ จาเดิมแต่กาลที่ทั้ง สองบวชในสานักอาจารย์สัญชัยแล้ว ได้ถึงความพร้อมด้วยลาภและยศอย่างเหลือเฟือ เรียนจบลัทธิของ อาจารย์ เมอ่ื เหน็ วา่ ยงั ไมใ่ ชท่ างหลุดพ้น จงึ ไดล้ าอาจารย์ออกแสวงหาโมกขธรรมตอ่ ไป๑๓๒๐ วันหนงึ่ อปุ ตสิ สะไดพ้ บพระอสั สชิ ๑ ในปัญจวัคคัย์ กาลังเดินบิณฑบาตด้วยอาการสารวม เกิด ความเลอ่ื มใส จึงเข้าไปถามถึงศาสดา และธรรมท่ีศาสดาส่ังสอน พระอัสสชิถ่อมตัว ตอบไปว่า ตนบวชไม่ นาน จึงแสดงธรรมให้ฟังสั้น ๆ ว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุ และความดับแห่ง เหตุอันนั้น พระมหาสมณะมปี กติตรัสอยา่ งน้ี”๑๓๒๑ ๑๓๑๘ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๖๑/๓๒. ๑๓๑๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๖๐/๗๒. ๑๓๒๐ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑/๑๒๒. ๑๓๒๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๐/๗๓.

๓๓๒ อุปติสสะได้ฟงั ธรรมเพยี งเท่านัน้ กไ็ ด้ดวงตาเหน็ ธรรม บรรลุเปน็ พระโสดาบัน มีความยินดีเป็น อย่างมาก สอบถามพระอสั สชิว่า ขณะน้พี ระศาสดาประทบั อยทู่ ่ีไหน ครัน้ ได้ความแล้วก็แจ้งความประสงค์ วา่ จะกลบั ไปบอกเพอื่ นกอ่ น จากจึงจะไปเฝ้าพระศาสดา หลังอาลาพระอัสสชิแล้ว สารีบุตรก็กลับไปบอกโกลิตะผู้เป็นสหาย พร้อมกับแสดงธรรมท่ี พระอัสสชิแสดงแก่ตนให้แก่โมคคัลลานะฟัง โมคคลานะได้ฟังธรรมจากอัสสชิแล้ว ได้บรรลุเป็นพระ โสดาบันเช่นเดียวกัน๑๓๒๒ จากน้ันท้ังสองจึงนึกถึงอาจารย์สัญชัย อยากให้ท่านได้ดื่มอมตธรรมด้วย จึงได้ พากันไปยังสานักอาจารย์สัญชัยอีกคร้ัง พร้อมท้ังเล่าเรื่องราวให้ฟัง และชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ได้รับ การปฏเิ สธ เพราะอาจารยส์ ัญชยั ถอื วา่ ตนเองเป็นเจ้าลัทธิใหญ่แล้ว การไปเป็นศิษย์ผู้อ่ืน เปรียบเสมือนกับ จระเข้อยู่ในตุ่ม๑๓๒๓ ในคัมภีร์ระบุไว้ว่า เม่ือสารีบุตรและโมคคัลลานะพาปริพาชก ๒๕๐ คน ออกจาก สานัก อาจารย์สัญชยั ถงึ กับกระอกั เลอื ด๑๓๒๔ เม่ืออาจารย์ไม่ยอมไปด้วย ทั้งอุปติสสะและโกลิตะก็ได้ชวนอันเตวาสิกของตนท้ังหมดไปเฝ้า พระศาสดา พระศาสดาขณะประทับแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ทรงทอดพระเนตรเห็นอุปติสสะและ โกลิตะเดินมาแต่ไกลก็ปรารภข้ึนว่า คู่แห่งอัครสาวกของเรามาแล้ว เม่ืออุปติสสะและโกลิตะมาถึงแล้ว ก็ ได้เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าขออุปสมบท พระศาสดาประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภายหลังอปุ สมบทแลว้ ๑๕ วัน พระสารบี ตุ รก็ได้บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ จากการได้ฟังเวทนาปริคคหสูตรที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ทีฆนขอัคคิเวสนโคตร ณ ถ้าสูกรขาตา แขวงเมืองราชคฤห์ และต่อมาก็ได้รับ การแตง่ จากพระพุทธเจา้ ให้ดารงตาแหนง่ อัครสาวกเบอื้ งขวา พระสารีบุตร มีบทบาทสาคัญต่อคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาเป็นอเนกประการ ประมวล นามากล่าวแต่พอสังเขป ดังนี้ ในมหาวิภังคแ์ หง่ พระวินัยปฎิ ก๑๓๒๕ ไดก้ ราบทลู ถามถงึ สาเหตุท่ีพรหมจรรย์ของพระศาสดาแต่ ลพระองค์ดารงอยู่ได้นานไม่เท่ากันว่าเป็นเพราะสาเหตุใด พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ที่พรหมจรรย์ของ พระศาสดาอยู่ได้นานเพราะ ทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวก ทาให้สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละของพระศาสดาพระองค์น้ันมีมาก อีกท้ังยังทรงบัญญัติ สิกขาบทไว้แก่พระสาวก บัญญัติให้มีการแสดงปาติโมกข์ แม้หมดพระพุทธเจ้าแล้วและสาวกผู้ตรัสรู้ตาม แล้ว สาวกชั้นหลังๆ ต่างช่ือ ต่างโคตร ต่างวรรณะ ได้เข้ามาบวชจากต่างตระกูล พาให้พรหมจรรย์อยู่ได้ นาน เหมือนดอกไม้นานาพรรณที่ถูกร้อยไว้ ย่อมไม่ถูกพัดกระจัดกระจายไป ส่วนที่สาเหตุที่ทาให้ พรหมจรรยอ์ ยไู่ มไ่ ด้นานก็มนี ัยตรงกันข้าม พระสารีบุตรได้ฟังคาพยากรณ์ดังกล่าวแล้ว จึงได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติ สิกขาบท ยกปาติโมกข์ข้ึนแสดงแก่พระสาวก เพื่อให้พระศาสนาดารงอยู่ได้นาน แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัส ตอบว่า รอให้ถงึ เวลาเหมาะสมก่อน ๑๓๒๒ วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๑/๗๕. ๑๓๒๓ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๑๒๘. ๑๓๒๔ วิ.ม.(ไทย) ๔/๖๑/๗๗. ๑๓๒๕ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑๘/๑๐.

๓๓๓ เมื่อคร้งั ท่ีภิกษชุ ่ืออัสสชิและปนัพพสุกะ ซ่ึงเป็นสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรและพระมหาโมค คัลลานะประพฤติเสียหายโดยประการต่าง ๆ เป็นต้นว่า ปลูกไม้ดอก ร้อยมาลัย ฉันอาหารในภาชนะ เดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน ฉันอาหารในเวลาวิกาล ดื่มน้าเมา ขับร้อง ฯลฯ คร้ังน้ี พระสารีบุตรก็ได้รับ รับสั่งจากพระพุทธเจา้ ใหท้ าปพั พาชนยี กรรมแก่พระอสั สชแิ ละพระปนุ ัพพสกุ ะ (วิ.มหา.๑/๔๓๓/๔๖๔) เม่ือคราวพระเทวทัตทาสังฆเภท พาภิกษุผู้บวชใหม่ ๕๐๐ รูป แยกออกจากคณะสงฆ์ไปตั้ง สานกั อยู่ท่ตี าบลคยาสสี ะ พระสารีบตุ รและพระมหาโมคคัลลานะก็ได้รับรับส่ังจากพระพุทธเจ้าให้ไปช้ีแจง และพาภกิ ษเุ หล่าน้นั กลบั คนื มา๑๓๒๖ ในสังคีติสูตรแห่งทีฆนิกาย๑๓๒๗ ได้พรรณนาเร่ืองราวพระสารีบุตรเห็นตัวอย่างของนิครนถ์ แตกแยกกันหลังจากศาสดาถึงแก่กรรมแล้วไม่นาน จึงชักชวนภิกษุทั้งหลายทาสังคายนา โดยเบื้องต้น ได้ แจกแจงส่ังสอนของพระพุทธเจ้าออกเป็นหมวด นับต้ังแต่หมวด ๑-๒-๓ เป็นต้น ตามลาดับ กระทั่งถึง หมวด ๑๐ เมื่อพระสารีบุตรแสดงจบ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสชื่นชมพระสารีบุตรที่ได้แสดงแนวทางแห่ง การสังคายนาแก่ภิกษทุ ัง้ หลาย๑๓๒๘ พระสารีบุตร เป็นอปุ ชั ฌาย์ของพระเถระหลายรูป เช่น พระสีวลี๑๓๒๙ พระราธะ๑๓๓๐ พระมหา โกฏฐกิ ะ๑๓๓๑ เปน็ ตน้ พระสารีบุตรเป็นแบบอย่างของพระที่ได้ทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้มารดาของตน ดังปรากฏใน สารปี ตุ ตเถรมาตเุ ปติวัตถุ๑๓๓๒ ความระบวุ ่า วนั หนึง่ ท่านไดเ้ หน็ เปรตตนหน่ึงมีร่างกายซูบผอม มีแต่ซ่ีโครง เปลอื ยเปล่า ผวิ พรรณนา่ เกลยี ด จึงได้สอบถาม นางได้เลา่ ความเป็นมาของตนว่า เป็นอดีตมารดาของท่าน เม่ือคร้ังเกิดในตระกูลศากยะ เวลานี้เสวยผลกรรม ได้รับความลาบาก ต้องกินน้าลาย น้ามูก เสมหะที่เขา ถ่มทิง้ แลว้ กินโลหติ ของคนทมี่ แี ผล ขอให้พระบตุ รชายไดช้ ่วยเหลือใหพ้ น้ จากทกุ ขน์ ้ีด้วย พระสารบี ุตรทราบเช่นนน้ั จึงได้ปรึกษาพระมหาโมคคัลลานะ พระอนุรุทธะ และพระกัปปินะ จากน้ันก็ได้สร้างกุฎี ๔ หลัง แล้วถวายแด่สงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ อุทิศส่วนกุศลให้แก่มารดา ทันทีที่พระ เถระได้อุทิศส่วนกุศล อาหาร น้าด่ืม และเครื่องนุ่งห่ม ได้เกิดข้ึนแก่เปรต นางมีร่างกายหมดจด นุ่งผ้า สะอาดได้เขา้ ไปหาพระโมคคลั ลานะ พร้อมทั้งเลา่ ถึงผลบุญที่ได้รับจากการอุทศิ ให้ครงั้ น้นั อนึ่ง เม่ือพระสารีบุตรได้พิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนส้ินแล้ว ปรารถนาจะไปโปรดมารดา เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนิพพาน เนื่องจากว่านางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดา ไม่ศรัทธาเล่ือมใสใน พระพทุ ธศาสนา และลกึ ๆ ยังมีความเสยี ใจที่พระสารีบุตรและน้อง ๆ พากันออกบวช จึงได้พยายามชักจูง มารดาใหม้ านับถือพระพุทธศาสนาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผลสาเร็จ ท่านจึงได้ใช้โอกาสสุดท้ายของชีวิต ทา่ นเพือ่ ให้บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ ๑๓๒๖ วิ.จู.(ไทย) ๗/๓๔๕/๒๐๕. ๑๓๒๗ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๙๖/๒๔๗. ๑๓๒๘ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๔๙/๓๖๖. ๑๓๒๙ ขุ.อป.(ไทย) ๓๓/๕๔/๒๙๖. ๑๓๓๐ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๒๙๖/๒๗๘. ๑๓๓๑ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๒๒๑/๒๖๘. ๑๓๓๒ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๑๑๖/๑๘๗.

๓๓๔ พระสารีบตุ รไดก้ ราบทูลลาพระพทุ ธเจ้าไปนิพพานท่ีบ้านเกิด โดยออกเดินทางกับพระจุนทะผู้ เป็นน้อง พร้อมพระท่ีเป็นบริวาร ๕๐๐ องค์ ถึงหมู่บ้านนาลันทะ นางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดา ได้จัดให้ พระสารีบุตรพกั ในห้องท่เี กิด และจัดเสนาสนะสาหรบั เป็นท่อี ยู่ของภกิ ษุ ๕๐๐ องค์ ท่ีเป็นบริวาร ในคืนวัน น้ัน ท้าวจาตมุ หาราชท้ัง ๔ องค์ มที า้ วเวสสุวัน เปน็ ต้น ได้มานมัสการพระสารีบุตรซึ่งกาลังนอนอาพาธอยู่ เมื่อท้าวจาตุมหาราชกลับไปแล้ว ท้าวสักกะได้มานมัสการ เม่ือท้าวสักกะกลับไปแล้ว ท้าวสหัมบดี มหาพรหมก็ได้มานมัสการ มีรัศมีเปล่งปลั่งดังกองเพลิง ทาให้สว่างไสวไปทั้งห้อง เม่ือท้าวมหาพรหม กลับไปแล้ว นางสารีพราหมณีจึงได้ถามพระจุนทะเถระว่า ใครเข้ามาหาพ่ีชายของท่าน พระจุนทะเถระ เลา่ รายละเอยี ดให้ฟงั นางสารีพราหมณีได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา คิดว่าพระลูกชายของเรายังเป็นใหญ่ กวา่ ท้าวจาตุมหาราช ทา้ วสักกะ และทา้ วมหาพรหม พระพทุ ธเจา้ ซงึ่ เป็นครูของพระลูกชายของเราจะต้อง มีอิทธิศักดานุภาพย่ิงใหญ่ พระสารีบุตรได้รู้ว่า บัดน้ีมารดาได้เกิดความปีติโสมนัส และศรัทธาใน พระพุทธเจ้าแล้ว ถึงเวลาท่ีจะเทศนาทดแทนพระคุณของมารดาและโปรดมารดาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงได้ เทศนาสรรเสริญพระคณุ ของพระพุทธเจา้ เมอื่ จบเทศนาแลว้ นางสารพี ราหมณกี ไ็ ดพ้ ระโสดาปตั ติผล ในเวลารุ่งเช้า พระสารีบุตรก็นิพพาน พระจุนทะเถระได้ทาฌาปนกิจสรีระพระสารีบุตร เก็บ อัฐิธาตุนาไปถวายพระพุทธเจ้า ซ่ึงประทับอยู่ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าได้โปรดให้ก่อพร ะ เจดียบ์ รรจุอัฐิธาตขุ องพระสารีบตุ รไว้ ณ ทนี่ ัน้ สาลวดี,หญิงงามเมอื ง นางสาลวดี คมั ภรี ์๑๓๓๓ ระบุว่า เป็นมารดาของหมอชีวกโกมารภัจ รายละเอียดพรรณนาไว้ว่า นางเป็นหญิงมีรูปงาม น่าดู น่าชม มีผิวพรรณผุดผ่องอย่างยิ่ง จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นหญิงงามเมือง เม่ือ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหญิงงามเมืองไม่นาน เธอก็กลายเป็นผู้ชานาญในการฟ้อนรา ขับร้อง และ ประโคมดนตรี หากใครต้องการร่วมอภิรมย์กับเธอ ต้องจ่ายค่าตัวคืนละ ๑๐๐ กหาปณะ ต่อมาเธอเกิด ตั้งครรภ์ จึงได้ใช้อุบายว่าไม่สบาย งดรับแขกกระท่ังว่าคลอดทารก ครั้นคลอดแล้วก็ส่ังให้คนนาไปทิ้งท่ี กองขยะ ตอ่ มาเจา้ ชายอภัยได้ไปพบเด็กคนน้เี ข้าในเชา้ วนั หนึ่ง จึงได้นามาชุบเล้ียงไว้ในพระราชวัง เด็กคน นีต้ ่อมาก็ปรากฏเช่ือเสียงเปน็ ท่ีรกั จักวา่ หมอชวี กโกมารภัจ สาฬหะ, นาย นายสาฬหะ เป็นหลานของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในพระวินัยปิฎก๑๓๓๔ มีเรื่องพรรณนาไว้ ว่า นางวิสาขา ประสงค์จะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์ จึงมอบหมายให้นายสาฬหะผู้เป็นหลานทาหน้าท่ี ควบคุม ดูแล การก่อสร้าง ในส่วนของภิกษุณีสงฆ์ ก็ได้มอบหมายให้ภิกษุณีสาวรูปงามนามสุนทรีนันทา เป็นผดู้ ูแลการก่อสรา้ ง อาศยั การทางานร่วมกนั บ่อยๆ ทาให้ทั้งนายสาฬหะและภิกษุณีสุนทรีนันทามีใจต่อ กัน โดยเฉพาะนายสาฬหะ ได้พยายามหาโอกาสอยกู่ ับนางภกิ ษุณสี ุนทรนี ันทาสองตอ่ สองเสมอ วันหน่ึงนายสาฬหะวางแผนนิมนต์ภิกษุณีไปฉันในบ้าน ขณะเดียวกันก็วางแผนปูอาสนะ สาหรับนางสุนทรีนันทาไว้ต่างหากพอที่จะทามิดีมิร้ายได้ แต่นางเกรงว่าจะเกิดเร่ืองอ้ือฉาว จึงไม่ยอมไป กจิ นมิ นต์ พรอ้ มกบั ฝากไปแจ้งนายสาฬหะดว้ ยวา่ ไม่สบาย ๑๓๓๓ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๓๒๗/๑๘๐. ๑๓๓๔ วิ.ภิกขฺ ณุ .ี (ไทย) ๓/๖๕๖/๑.

๓๓๕ นายสาฬหะครั้นทราบว่า นางภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่สบาย ก็สั่งให้คนอังคาสภิกษุณีสงฆ์ ส่วน ตนเองก็ไปที่วัด นางภิกษุณีเห็นนายสาฬหะมาก็แสร้งนอนเอาผ้าคลุมอยู่ เม่ือถูกนายสาฬหะถามอาการก็ ตอบไปทานองวา่ รักคนท่เี ขาไมร่ กั ก็มอี าการอย่างนีแ้ หละ นายสาฬหะได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความกาหนัด ได้ ถูกต้องตัวนางภิกษุณีนันทาผู้มีความกาหนัดเช่นกัน ซึ่งระหว่างนั้นเอง มีภิกษุณีชรารูปหนึ่ง มีอาการเจ็บ เท้า ไมไ่ ด้ไปกจิ นิมนตไ์ ด้เห็นเข้าพอดี จงึ ไดก้ ล่าวตาหนิ และนาเรื่องทง้ั หมดไปบอกแกภ่ กิ ษณุ ีท้ังหลาย ภกิ ษุณที ัง้ หลายไดน้ าเรอื่ งไปบอกแก่ภิกษุท้ังหลาย ๆ กน็ าเรอ่ื งไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้ว ก็ทรงตาหนิ จากน้ัน ทรงอาศัยเรื่องน้ีเป็นเหตุได้ทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุณีมีความกาหนัด ยินดี การจับต้อง ลูบคลาอวัยวะต้ังแต่ใต้รากขวัญ ลงมา และเหนือเข่าขึ้นไป เร่ืองราวของนายสาฬหะกับนางภิกษุณีสุนทรีนันทาน่าจะไม่จบเพียงเท่าน้ี ในคัมภีร์มี พรรณนาไว้อกี วา่ ต่อมานางก็ต้ังครรภ์กับนายสาฬหะ แต่เร่ืองถูกเก็บไว้เป็นความลับ เพราะนางถุลลนันน ทาภิกษุณีส่ังให้เอาไว้ ด้วยเกรงจะเสียหายบานปลายใหญ่โต ประเด็นดังกล่าวนี้ก็ได้เป็นที่มาของการ บญั ญัตสิ ิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแกภ่ กิ ษณุ ีผปู้ กปดิ อาบตั ิปาราชิกของภิกษุณรี ปู อื่น๑๓๓๕ สขิ ,ี พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ทรงอุบัติข้ึนในโลกนับย้อนหลังไป ๓๑ กัป๑๓๓๖ ทรงอุบัติข้ึนใน ตระกูลกษัตริย์๑๓๓๗ โกณฑัญญะโคตร๑๓๓๘ พระบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอรุณะ พระนางมารดาทรง พระนามว่าปภาวดีเทวี มีกรุงอรุณวดีเป็นราชธานี ๑๓๓๙ มีพระชนมายุ ๗๐,๐๐๐ ปี๑๓๔๐ ทรงตรัสรู้ท่ีต้น มะม่วง๑๓๔๑ มีคู่แห่งอัครสาวก ๒ รูป ได้แก่พระอภิภู และพระสัมภวะ๑๓๔๒ มีการประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง ครัง้ ที่ ๑ มภี กิ ษุ ๑๐๐,๐๐๐ รปู คร้งั ท่ี ๒ มภี กิ ษุ ๘๐,๐๐๐ รูป คร้ังที่ ๓ มีภิกษุ ๗๐,๐๐๐ รูป๑๓๔๓ มีพระ เขมงั กรเป็นอปุ ัฏฐาก๑๓๔๔ ในอรุณวตีสูตร๑๓๔๕ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสปรารภพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ได้ชวนพระ อคั รสาวกไปยงั พรหมโลก จากนั้นจึงทรงรับส่ังให้พระอภิภูแสดงธรรมแก่บริษัทของพรหม พรหมท้ังหลาย ได้ฟังธรรมแล้วก็พากันตาหนิว่า เพราะเหตุใดเมื่อพระศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า พระสาวกจึงแสดง ธรรม พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ สิขี เมอ่ื จะทรงให้พรหมเกิดความสลดใจ จึงรับส่ังให้พระอภิภูแสดงธรรมให้ ยิง่ ๆ ขึน้ ๑๓๓๕ ว.ิ ภิกขฺ ณุ .ี (ไทย) ๓/๖๖๕/๑๑. ๑๓๓๖ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๔/๒. ๑๓๓๗ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๕/๓. ๑๓๓๘ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๖/๓. ๑๓๓๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๒/๕. ๑๓๔๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๗/๓. ๑๓๔๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๘/๓. ๑๓๔๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐๙/๔. ๑๓๔๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๐/๔. ๑๓๔๔ ที.ม(ไทย) ๑๐/๑๑/๕. ๑๓๔๕ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๑๘๕/๒๕๖.

๓๓๖ พระอภิภรู บั พระดารัสแล้ว ปรากฏกายแสดงธรรมบ้าง ไม่ปรากฏกายแสดงธรรมบ้าง ปรากฏ กายเฉพาะท่อนล่าง เฉพาะท่อนบนแสดงธรรมบ้าง นอกจากน้ี เสียงแสดงธรรมของพระอภิภู ยังได้ยินไป ถึงภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในมนุษย์โลก ทาให้พรหมบริษัทเกิดความอัศจรรย์ใจว่า สมณะเหล่าน้ีมีฤทธิ์มาก มี อานภุ าพมาก สิคควะ,พระ พระสคิ ควะ เป็น ๑ ในพระเถระ ๕ รูป ผู้ทาหน้าท่ีนาพระวินัยสืบๆ กันมาในชมพูทวีป คัมภีร์ ปริวาร แห่งพระวินัยปิฎก๑๓๔๖ ระบุช่ือไว้ ๕ รูป ประกอบด้วย พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระ สิคควะ และพระโมคคลั ลบี ตุ ร สิงคาลกะ,มาณพ สงิ คาลกมาณพ เป็นบุตรคหบดีชาวเมืองราชคฤห์ผู้หนึ่ง ปรากฏในสิงคากสูตร๑๓๔๗ ความระบุ ไว้ว่า สิงคาลกมาณพได้ไหว้ทิศตามคาส่ังเสียของบิดาก่อนตาย โดยลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ มีผ้าเปียก ผมเปียก ประคองอัญชลีไว้ทิศท้ัง ๖ อยู่ (ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเบ้ืองบน และทิศเบ้ือง ลา่ ง) ขณะทาการไหว้ทิศอยนู่ นั้ พระพุทธเจา้ เสดจ็ เขา้ ไปบิณฑบาตในเมืองทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงได้ตรัส ถามสาเหตุ สงิ คาลกมาณพกก็ ราบทลู ตามความเปน็ จริงดังกล่าวข้างตน้ พระผู้มีพระภาคทรงเหตุแล้ว ก็ตรัสว่า ในอริยวินัยเขาไม่ไว้ทิศแบบน้ี จากนั้นก็ทรงแสดงการ ไหว้ทศิ ในอรยิ วนิ ัยนบั ตั้งแตก่ ารละกรรมกเิ ลส ๔ ประการ ไม่ทาบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ การไม่ข้อง แวะในอบายมขุ ๖ ประการ ทาไดเ้ ช่นน้ี ได้ชื่อวา่ เป็นผปู้ ิดปอ้ งทิศ ๖ ปฏิบัติเพ่ือครองโลกท้ังสอง ทาให้เกิด ความยินดีทงั้ ในโลกน้ี และโลกหน้า หลังจากตายไปย่อมบงั เกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ กรรมกิเลส ๔ ได้แก่ ๑) ปาณาติบาต ๒) อทินนาทาน ๓) กาเมสุมิจฉาจาร และ ๔) มุสาวาท๑๓๔๘ ไม่ทาบาปธรรมโดยเหตุ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ฉันทาคติ ๒) โทสาคติ ๓) โมหาคติ และ ๔) ภยาคต๑ิ ๓๔๙ อบายมขุ ๖ ไดแ้ ก่ ๑) เสพของมึนเมา ๒) เท่ยี วกลางคืน ๓) ดกู ารละเล่น ๔) เล่นการพนัน ๕) คบคนชั่วเป็นมติ ร และ ๖) เกยี จครา้ นทาการงาน๑๓๕๐ การไหว้ทิศในอริยวินัย ทรงแสดงเร่ืองบทบาทหน้าท่ีตามฐานะแห่งความสัมพันธ์ ๖ ประการ ประกอบด้วย ๑) หน้าท่ีบิดามารดา มีห้ามไม่ให้ทาความชั่ว ให้ต้ังอยู่ในความดี เป็นต้น หน้าท่ีบุตรธิดา มี เล้ียงเรามา เลี้ยงท่านตอบ ช่วยทากิจของท่าน เป็นต้น ๒) หน้าที่ศิษย์ มีลุกข้ึนยืนรับ คอยรับใช้ เชื่อฟัง เป็นต้น หน้าท่ีอาจารย์ มีแนะนาให้เป็นคนดี ให้เรียนดี ให้ความรู้ในศิลปวิทยาด้วยดี เป็นต้น ๓) หน้าที่ สามี มียกย่องให้เกียรติ ไม่ดูหม่ิน ไม่นอกใจ เป็นต้น หน้าที่ภรรยา มีจัดการงานดี สงเคราะห์คนข้างเคียง ไม่นอกใจ เป็นต้น ๔) หน้าที่มิตร มีแบ่งปัน กล่าววาจาเป็นที่รัก ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ เป็นต้น หน้าที่สหาย มปี อ้ งกันมิตรผู้ประมาท ป้องกันมิตรผู้ประมาท เม่ือมีภัยก็พ่ึงพิงได้ เป็นต้น ๕) หน้าที่นาย มี การจัดงานให้ตามกาลัง ให้อาหารและค่าจ้าง ดูแลรักษายามเจ็บไข้ เป็นต้น หน้าท่ีทาสกรรมกร มีถือเอา ๑๓๔๖ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓/๕. ๑๓๔๗ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๔๒/๑๔๙. ๑๓๔๘ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๔๕/๒๐๐. ๑๓๔๙ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๖/๒๐๑. ๑๓๕๐ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๗/๒๐๒.

๓๓๗ แตข่ องทนี่ ายให้ ทางานให้ดขี ้ึน สรรเสริญคณุ ของนาย เป็นตน้ ๖) หน้าที่สมณพราหมณ์ มีห้ามไม่ใช้ทาช่ัว ใหต้ ้ังอยู่ในความดี อนเุ คราะห์ดว้ ยจิตใจงาม เปน็ ตน้ หน้าท่ีศาสนิกขของศาสนา มี ทา พูด คิด ส่ิงใดก็ด้วย เมตตา เปดิ ประตูตอ้ นรับ และถวายปัจจัยเครอื่ งยังชพี จบธรรมกี ถาของพระผ้มู ีพระภาค สิงคาลกมาณพเกดิ ความเล่ือมใส ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรยั ตลอดชีวติ ๑๓๕๑ สิงคิยะ,พระ พระสิงคิยะ ปรากฏในฆฏิการสูตรแห่งสังยุตตนิกาย๑๓๕๒ ความระบุว่า ท่านเป็น ๑ ในภิกษุ ๗ รูปท่ีฆฏิการเทพบุตรกราบทูลรายงานพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็นผู้บังเกิดในพรหมโลกช้ันอวิหา ประกอบด้วย ท่านอุปกะ ท่านผลคัณฑะ ท่านปุกกุสาติ ท่านภัททิยะ ท่านขัณฑเทวะ ท่านพหุทันตี และ ทา่ นสงิ คิยะ สินีปุร, พระราชกุมาร สินีปุรราชกุมาร ทรงเป็น ๑ ใน ๔ พระราชโอรสของพระเจ้าโอกกากราช ต้นตระกูลศากยะ ในคมั ภีร์๑๓๕๓ ระบพุ ระนามดังนี้ พระเจ้าอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินิกราชกุมาร และพระสนิ ีปุรราชกมุ าร โดยท้งั ๔ พระองคน์ ี้ ถกู เนรเทศออกจากเมืองเนื่องเพราะพระเจ้าโอกกากราชได้ ยกราชสมบตั ใิ ห้แกพ่ ระราชโอรสของพระมเหสีผเู้ ปน็ ผ้โู ปรดปราน ในคัมภีร์ระบุต่อไปอีกว่า พระราชโอรสทัง ๔ พระองค์นี้ ได้ถูกเนรเทศพร้อมกับพระราชธิดา อีก ๕ พระองค์ โดยท้ังหมดได้ไปอาศัยอยู่ในราวป่าสากะใหญ่ ริ่มฝ่ังสระโบกขณี เชิงภูเขาหิมพานต์ และ ทรงอย่รู ว่ มกันฉนั สามีภรรยา เพราะเกรงพระชาติจะปนกบั ผูอ้ ่นื สิรคิ ตุ ต์,อุบาสก สิริคุตต์อุบาสก มีช่ือปรากฏอยู่ในขุททกนิกาย ธรรมบท๑๓๕๔ ในคัมภีร์อรรถกถามีประวัติ พรรณนาเพ่ิมเติมว่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และเป็นสหายของนายครหทินน์ ซึ่งเป็นสาวกของ นิครนถ๑์ ๓๕๕ นายสิริคุตต์ไดร้ ับการชักชวนจากนายครหทินนใ์ ห้หันมานับถือนคิ รนถ์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นคน มีฐานะ หากเขาหันมาเลื่อมใส ก็จะกลายเป็นกาลังสาคัญของนิครนถ์ เขาจึงได้รับการชักชวนจาก นายครหทนิ นบอ่ ยครง้ ทกุ คร้ังที่มีโอกาสนายครหทินน็ก็พยายามโน้มน้าวว่า เข้าไปหาสมณะโคดมแล้วได้ อะไร ทาไมไมเ่ ข้าไปหาอาจารย์ของเราดูบ้าง พร้อมกันน้ีก็พยายามโอ้อวดคุณสมบัติอาจารย์ของตนเองว่า เป็นผู้ล่วงรู้ทุกส่ิงทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมท้ังหมด เหตุควร ไม่ควร สิริคุตต์ได้ฟังคาของครหทินน์บ่อยๆ ก็เกิดความราคาญ ได้ทาทีเป็นเลื่อมใส และแสดงความ ประสงค์จะถวายไทยธรรมแก่นคิ รนถท์ ้งั หลาย จงึ ไดม้ อบหมายให้ครหทินน์นิมนต์นิครนถ์ทั้งหลายไปฉันใน ๑๓๕๑ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๔/๒๑๘. ๑๓๕๒ ส.สคา.(ไทย) ๑๕/๕๐/๖๔. ๑๓๕๓ ที.สี.(ไทย) ๙/๒๖๗/๙๒. ๑๓๕๔ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๕๘/๔๕. ๑๓๕๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๔๐๕.

๓๓๘ เรือนของตน ขณะเดียวกันก็วางแผนทดสอบส่ิงที่ครหทินน์ได้พูดเอาไว้ โดยการขุดหลุมพราง หลอกให้ดู เหมือนวา่ มกี ารเตรียมการเพื่อการบุญใหญ่โต ครั้นถึงเวลาอาหาร นิครนถ์ทั้งหลายมาถึง ก่อนเชื้อเชิญเข้า บา้ นก็อธิษฐานจิตว่า ถ้านิครนถ์เป็นผู้มีญาณหยั่งรู้จริงก็ขออย่าได้เข้าไปในบ้าน เพราะในบ้านไม่ได้เตรียม อาหารใดๆ ไว้เลย ด้านล่างท่ีน่ังซ่ึงเตรียมต้อนรับนิครนถ์ ก็เต็มไปด้วยคูถ ถูกวางกลเอาไว้ สามารถชัก เชือกขา้ งหนง่ึ ใหน้ คิ นถเ์ หล่าน้ันตกลงไปในหลมุ คูถได้ ฝ่ายนิครนถ์ทั้งหลายไม่ทราบเหตุท้ังปวง ด้วยตนไม่มีญาณหยั่งรู้จริง เม่ือได้รับคาเชื้อเชิญจาก สิริคุตต์ก็พากันเข้าไปประจาที่อาสนะของตน ๆ เม่ือนั่งพร้อมแล้ว สิริคุตต์ก็ให้สัญญาณบริวารของตนดึง เชือกข้างหนึ่ง ทาให้นิครนถ์ไหลล่ืนตกลงไปในหลุมคูถ จากนั้นก็สั่งให้บริวารตีส่ังสอน ทาให้นิครนถ์ได้รับ ความอับอายอย่างมาก กระท้ังมีการฟ้องร้องข้ึนโรงขึ้นศาล แต่ครหทินน์ก็ได้รับการตัดสินให้แพ้คดี ยิ่ง สรา้ งความคบั แคน้ ใจ ขณะเดียวกันก็ถูกต่อว่าจากนิครนถ์ท้ังหลายจนเข้าหน้ากันไม่ติดต้ังแต่บัดน้ันเป็นต้น มา ครั้นนานวันเข้า ครหทินน์ก็กลับคิดว่า หากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นไปเช่นน้ี ไม่เป็นผลดีกับ ตนและนิครนถ์ท้ังหลาย จึงได้ทาทีเข้าไปตีสนิทกับสิริคุตต์ผู้เป็นสหายอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กลับ เขา้ สูภ่ าวะปกติ กไ็ ด้วางแผนเตรียมล้างแค้นให้นิครนถ์ผู้เป็นอาจารย์ของตน โดยทาทีว่ามีความเล่ือมใสใน พระผู้มีพระภาคเจ้า และปรารถนาจะถวายภัตตาหารเช้า ขอให้สิริคุตต์เป็นภาระนิมนต์พระผู้มีพระภาค เจ้า พรอ้ มดว้ ยเหล่าพระภิกษสุ งฆเ์ พื่อฉนั ภตั ตาหารเช้าทเี่ รือนของตน ฝ่ายสิริคุตต์เม่อื รับปากครหทินน์แล้วก็ได้เข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้พระผู้มีพระภาค เจ้าทราบ พร้อมท้งั ข้อกงั วลตา่ ง ๆ ทีค่ ดิ ไวว้ า่ อาจเป็นแผนการของครหทินน์เตรียมล้างแค้นตนที่ได้เคยทา กบั นิครนถ์ทง้ั หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเร่ืองราวโดยตลอดว่าจะเกิดอะไรข้ึน แต่ก็ทรงรับนิมนต์ ด้วย ทรงพิจารณาเห็นประโยชน์จะเกิดขึ้นในสมาคมแห่งนนั้ ฝ่ายครหทินนเ์ ล่า เม่อื ทราบว่าพระพุทธเจ้ารับนิมนต์แล้ว ก็วางแผนการเช่นเดียวกันท่ีสิริคุตต์ ได้เคยทาเอาไว้ จะตา่ งกต็ รงท่เี ปล่ียนหลุมคูถให้เป็นหลุมถ่านเพลิง เป้าหมายคือชีวิตของพระพุทธเจ้าและ เหล่าภิกษุสงฆ์ ไม่ใช่เพียงแค่สั่งสอนให้เข็ดหลาบเหมือนอย่างที่สิริคุตต์ได้เคยทาเอาไว้กับอาจารย์ของตน เทา่ นั้น คร้ันรุ่งเช้าได้เวลาภัตตกิจ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็ไปถึงเรือนรับรอง ของครหทินน์ ได้รับการต้อนรับจากครหทินน์เหมือนดังนัยที่สิริคุตต์ต้อนรับนิครนถ์ทั้งหลายก่อนหน้านั้น โดยก่อนการอญั เชญิ เสรจ็ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ครหทินน์ได้อธิษฐานในใจว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มี ญาณหย่ังรู้จริงก็ขออย่าได้เข้าไปในบ้าน เพราะในบ้านไม่ได้เตรียมอาหารใดๆ ไว้เลย ด้านล่างที่นั่งซ่ึง เตรียมต้อนรับพระองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ ก็เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ถูกวางกลเอาไว้ สามารถชักเชือกข้าง หนง่ึ ให้พระองคแ์ ละเหลา่ ภกิ ษุสงฆต์ กลงไปในหลุมถา่ นเพลงิ ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทราบเหตุการณ์ท้ังปวง แต่ก็เสด็จพระดาเนินไปยังที่รับรองตามปกติ เสื่อลาแพนที่นิครนถ์ปูลาดไว้ ทันทีที่พระพุทธเจ้าพระบาทเหยียบไปเท่าน้ันก็อันตรธานหายไป ดอกบัว ประมาณเท่าล้อผุดขึ้นมาทาลายหลุมถ่านเพลิง พระผู้มีพระภาคทรงเหยียบกลีบดอกบัว เสด็จไปประทับ บนอาสนะทเ่ี ขาปลู าดไว้อย่างน้ัน แม้ภกิ ษุท้งั หลายกเ็ ข้าไปน่งั บนอาสนะอยา่ งนั้น ครหทินน์เห็นเช่นนั้นก็เกิดความเดือดร้อน กังวลใจ ด้วยตนเองไม่ได้เตรียมอาหารไว้แต่อย่าง ใด จึงไดว้ ่งิ ไปหาสริ ิคุตต์ และเลา่ ความเป็นจรงิ และความเดอื ดรอ้ นใจให้ฟัง พร้อมทง้ั ขอให้ช่วยเป็นท่ีพ่ึงให้

๓๓๙ ด้วย จากนัน้ สริ คิ ตุ ตจ์ งึ ได้แนะนาใหค้ รหทินไปตรวจดหู มอ้ ตมุ่ ภาชนะต่าง ๆ ท่ีได้ตระเตรียมไว้ แม้จะรู้ว่า ไม่มอี าหารท่ตี ระเตรียมไว้แตต่ น้ แต่ก็เชอ่ื ในพุทธานภุ าพ ครหทินน์เกิดความลังเลชั่วขณะ เพราะรู้ว่า ตนไม่ได้ตระเตรียมอาหารใด ๆ ไว้แต่ต้น แต่เม่ือ ไมเ่ ห็นที่พึ่งอื่น ก็ได้ไปตรวจดูภาชนะต่าง ๆ ตามคาแนะนาของสิริคุตต์ผู้เป็นสหาย ซ่ึงก็เกิดความอัศจรรย์ ใจ เพราะภาชนะเหล่าน้ัน ต่างเต็มด้วยอาหารหลากหลายชนิด เกิดความปีติยินดี ให้บริวารตักไปอังคาส พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ครั้นเสร็จภัตกิจ ได้ฟังพระธรรมเทศนา จากพระผูม้ พี ระภาคเจ้า ตง้ั อยู่ในโสดาปัตตผิ ลพร้อมกับสิริคตุ ตผ์ ู้เปน็ สหาย สิริมา, นาง นางสิริมา ปรากฏในวิมานวัตถุ๑๓๕๖ ความระบุว่า นางเป็นพระสนมของพระเจ้าพิมพิสาร มี ความชานาญในการฟ้อนรา ขับร้อง อรรถกถาขุททกนิกายธรรมบท๑๓๕๗ มีสถานะเป็นน้องสาวของหมอชี วก๑๓๕๘ และอรรถกถาขุททกนิกาย วิมานวัตถุ๑๓๕๙ เดิมเป็นหญิงโสเภณี ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าได้ บรรลุโสดาบันจึงเลิกอาชีพโสเภณี ได้ตั้งสลากภัตร ๘ ที่ (อัฏฐกภัต) ถวายสงฆ์ทุกวัน ต่อมานางป่วยหนัก เสยี ชวี ิตต้งั แตย่ งั สาว ไดไ้ ปเกิดเปน็ เทพธดิ าอยู่ในสิรมิ าวมิ าน ในอรรถกถาธรรมบทอีกแห่งหนึ่ง๑๓๖๐ ความระบุไว้ว่า นางสิริมาเคยได้รับการว่าจ้างให้ไป บาเรอสามีของนางอุตตราเป็นเวลา ๑๕ วัน ๆ ละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ต่อมานางก็เกิดสาคัญผิดคิดว่าตน เปน็ เจา้ ของท่ีแท้จริง ได้แสดงอาการหึงหวงเมื่อนางอุตตรายิ้มให้กับสามี ถึงกับลงลืมตัวเอาเนยใสเดือดเท ราดใสน่ างอตุ ตรา แต่ดว้ ยอานุภาพของเมตตา นางอตุ ตราก็พน้ ภัย สดุ ทา้ ยได้ฟังธรรมจากพระศาสดา และ ไดบ้ รรลุโสดาบนั อนึ่ง เร่ืองความงามของนางสิริมาในอรรถกถาธรรมบทพรรณนาไว้ถึงขนาดว่า พระที่ไปรับ บาตรนางทุกเช้าถึงกับกลับมาเล่าต่อ ๆ กันว่า “การได้เห็นนาง ดีเสียย่ิงกว่าไทยธรรมของนางเสียอีก” เกียรตศิ พั ท์ดงั กลา่ ว ทาให้ภิกษรุ ูปหน่ึงเกิดความรักขึ้นมาโดยที่ยังไม่เคยเห็นตัว ครั้นต่อมา เม่ือมีโอกาสได้ ไปรับบาตรทบี่ ้านนางสริ ิมา วันทีภ่ ิกษุนัน้ ไปรบั บาตร เผอิญว่าเป็นวันที่นางสริ ิมาไม่สบาย ตอ้ งให้คนใช้พยงุ ตัวมายืนอยู่ห่าง ๆ โดยมีผู้แทนช่วยจัดแจงถวายอาหารบิณฑบาตจนครบทุกรูป ครั้นเสร็จแล้ว นางก็ให้คนพยุงไปหาพระ ภิกษุรูปน้ันเห็นนางสิริมาก็เกิดความคิดว่า ขนาดนางเป็นไข้ ไม่สบายยังสวยขนาดนี้ เวลาปกติจะงดงาม เพียงไร คิดได้เท่านั้นกิเลสท่ีส่ังสมไว้กาเริบ ไม่สามารถฉันอาหารได้ ถือบาตรกลับวิหาร ปิดบาดวางไว้ ปู จีวรแลว้ กน็ อนไมย่ อมฉันอาหาร แมเ้ พอื่ นภิกษดุ ้วยกนั จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ฟงั เย็นวันน้ันเอง นางสิริมาได้ถึงแก่กรรม พระเจ้าพิมพิสารได้ส่งพระราชสาส์นไปถวายพระ ศาสดาว่า นางสิริมาได้ทากาลกิริยาแล้ว พระศาสดาทรงสดับเรื่องน้ัน จึงได้ส่งข่าวให้พระราชาทราบว่า อย่าเพิง่ ทาการฌาปนกจิ ศพนาง พระราชากส็ นองรบั ส่ัง มพี ระพระราชโองการให้นาศพนางสิริมาไปเก็บไว้ ท่ปี ่าช้าผีดบิ แล้วใหค้ นเฝา้ ป้องกันกาและสุนขั กดั กิน ถึงวนั ท่ี ๔ เม่อื สรรี ะข้ึนพอง หมู่หนอนเริ่มไต่ออกทาง ๑๓๕๖ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑๔๓/๒๕. ๑๓๕๗ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๔๘. ๑๓๕๘ ขุ.ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๑๕๐. ๑๓๕๙ ข.ุ วิ.อ.(ไทย) ๑๒๗/๘๑. ๑๓๖๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๓/๔๔๒.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook