Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทศชาติ

ทศชาติ

Published by BURINTHORNVORAVITAR, 2022-11-20 09:39:05

Description: ทศชาติ

Search

Read the Text Version

ท ศ ช า ติ ป ณิ ธ า น ม ห า บุ รุ ษ ไ ม่ เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง



ท ศ ช า ติ ป ณิ ธ า น ม ห า บุ รุ ษ ไ ม่ เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง เฉลมิ พระเกยี รติ สมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ พระบรมราชชนนีพันปหี ลวง เน่อื งในโอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕ จัดพมิ พ์เปน็ ฉบบั พิเศษโดย บรษิ ทั เมืองโบราณ จ�ำ กัด เพอ่ื เฉลมิ พระเกียรติ จำ�นวน ๑๐,๐๐๐ เลม่



ท ศ ช า ติ 3 พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระราชประวัติ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนีพนั ปีหลวง สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง พระบรมราชนิ นี าถในพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร สมเด็จพระนางเจ้า ร�ำ ไพพรรณี พระบรมราชนิ ี ในพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทาน นามว่า “สริ กิ ิต”์ิ ซึง่ มีความหมายวา่ “ผเู้ ปน็ ศรีแห่งกติ ยิ ากร” ทรงพระราชสมภพเม่ือวันศุกร์ท่ี ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ท่ีบ้านพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผเู้ ปน็ บดิ าของหมอ่ มหลวงบวั ณ บา้ นเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ต�ำ บลวงั ใหม่ อ�ำ เภอปทมุ วัน จงั หวัดพระนคร ขณะนัน้ เปน็ ระยะทปี่ ระเทศเพง่ิ เปลยี่ นแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยเ์ ปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย กอ่ นหนา้ นน้ั พระบดิ าของพระองคท์ รงด�ำ รงต�ำ แหนง่ ผชู้ ว่ ยเสนาธกิ ารทหารบก มยี ศเปน็ พนั เอก หม่อมเจ้านกั ขัตรมงคล กิตยิ ากร หลงั จากเปล่ยี นแปลงการปกครองในวนั ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศกั ราช ๒๔๗๕ หมอ่ มเจ้านักขตั รมงคลทรงออกจากราชการทหาร โดยรฐั บาลแตง่ ตัง้ ให้ ไปรับราชการในตำ�แหน่งเลขานุการเอกประจำ�สถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่ ยังคงพำ�นัก อยู่ในประเทศไทยจนให้กำ�เนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิแล้วจึงเดินทางไปสมทบ

พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ 4 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง มอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ และท้าววนดิ าพจิ ารณิ ีผ้เู ป็นบิดาและมารดาของหมอ่ มหลวงบัว หม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิต้องอยู่ห่างไกลบิดามารดาต้ังแต่อายุยังน้อย บางคราวต้องระหกระเหนิ ไปต่างจังหวัดตามเหตกุ ารณผ์ ันผวนทางการเมือง เช่น ในพทุ ธศกั ราช ๒๔๗๖ หมอ่ มเจา้ อปั ษรสมาน กติ ยิ ากร พระมารดาของหมอ่ มเจา้ นักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปสงขลาด้วย ปลายพุทธศักราช ๒๔๗๗ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจาก ราชการกลับประเทศไทยพร้อมครอบครัว อันมีหม่อมหลวงบัว หม่อมราชวงศ์ กลั ยาณกติ ิ์ บตุ รคนโต และหมอ่ มราชวงศบ์ ษุ บา บตุ รคี นเลก็ ผเู้ กดิ ทสี่ หรฐั อเมรกิ า แลว้ มารบั หมอ่ มราชวงศอ์ ดลุ กติ ์ิ บตุ รคนรอง กบั หมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ิ์ จากหมอ่ มเจา้ อัปษรสมานกลับมาอยู่รวมกันที่ตำ�หนักซึ่งต้ังอยู่ที่ถนนกรุงเกษม ปากคลอง ผดุงกรุงเกษม ริมแม่น�ำ้ เจา้ พระยา หมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ เิ์ รมิ่ เรยี นชนั้ อนบุ าลทโ่ี รงเรยี นราชนิ ี ปากคลองตลาด ในพทุ ธศกั ราช ๒๔๗๙ แตเ่ มอ่ื สงครามมหาเอเชยี บรู พาลกุ ลามมาถงึ ประเทศไทย จังหวัดพระนครถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้ง ทำ�ให้การเดินทางไม่สะดวกและ ไม่ปลอดภัย ในพุทธศักราช ๒๔๘๓ จึงย้ายไปเรียนช้ันประถมและมัธยม ท่ีโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน เพราะอยู่ใกล้บ้าน ในระยะที่พอจะเดินไปโรงเรียนเองได้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนเปียโนท่ี โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ และในเวลาต่อมาได้ตั้งใจท่ีจะมีอาชีพ เป็นนักเปียโน หม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิได้เผชิญสภาพของสงครามโลกมาเช่นเดียวกับ คนไทยทงั้ หลาย หมอ่ มเจา้ นกั ขตั รมงคลผทู้ รงเปน็ ทหารเปน็ ผปู้ ลกู ฝงั ใหบ้ ตุ รและ บุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ ความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ และ ความเสียสละ โดยอาศัยสถานการณ์ในสงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามโลก

ท ศ ช า ติ 5 พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ 6 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ก็ทำ�ให้คนไทยท้ังปวงต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่าน้ีจึง หล่อหลอมหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นและรักความมีระเบียบ แบบแผนมาตัง้ แตเ่ ยาว์วยั หลงั จากสงครามสงบแลว้ นายกรฐั มนตรใี นสมยั นนั้ คอื นายควง อภยั วงศ์ ได้แต่งตั้งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเป็นอัครราชทูตประจำ�ประเทศอังกฤษ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปด้วยในกลางพุทธศักราช ๒๔๘๙ ขณะน้ันหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนจบชั้นมัธยมปีท่ี ๓ ของโรงเรียน เซนตฟ์ รงั ซีสซาเวยี รค์ อนแวนต์แล้ว ระหว่างอยู่ท่ีประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิเรียนเปียโน ภาษา อังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ แต่อยู่ท่ีอังกฤษได้ไม่นาน พุทธศักราช ๒๔๙๐ หมอ่ มเจา้ นกั ขตั รมงคลกท็ รงยา้ ยไปเปน็ อคั รราชทตู ประจ�ำ ประเทศฝรง่ั เศส และเดนมาร์ก ก่อนจะกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำ�ประเทศอังกฤษ อกี ครงั้ หนง่ึ ระหวา่ งนห้ี มอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ย์ิ งั คงตงั้ ใจเรยี นเปยี โนอยา่ งขะมกั เขมน้ เพ่ือเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยการดนตรที ่มี ชี ่ือเสยี งของกรงุ ปารีส พุทธศักราช ๒๔๙๑ ขณะท่ีหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัว อยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จ พระราชดำ�เนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำ�รถยนต์ในกรุงปารีสอยู่เสมอ จนเป็น ท่ีคุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัย ฉะน้ัน เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบ อุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต้องประทับรักษาพระองค์ ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมใหห้ ม่อมหลวงบวั พาบุตรีทั้งสอง คือ หม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิ และหม่อมราชวงศ์บุษบา เข้าเฝ้า ทลู ละอองพระบาทเยย่ี มพระอาการเปน็ ประจ�ำ จนพระอาการประชวรทเุ ลาลง และ เสดจ็ กลับพระต�ำ หนกั ได้ สมเด็จพระราชชนนไี ด้รับสง่ั ขอให้หม่อมราชวงศส์ ิรกิ ิต์ิ อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซานน์ ในโรงเรียนประจำ�ชื่อโรงเรียน Riante Rive ซึ่ง

ท ศ ช า ติ 7 พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เป็นโรงเรียนที่มชี ื่อเสยี งในการสอนวิชาพเิ ศษแกก่ ลุ สตรี คอื ภาษา ศลิ ปะ ดนตรี ประวัตวิ รรณคดี และประวัตศิ าสตร์ ต่อมาอีก ๑ ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้า นกั ขัตรมงคลและครอบครวั มาเฝ้าทลู ละอองพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนี รบั สง่ั ขอหมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ต์ิ อ่ หมอ่ มเจา้ นกั ขตั รมงคล และทรงประกอบพธิ หี มน้ั เป็นการภายในเมอื่ วนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๔๙๒ ทรงใชพ้ ระธ�ำ มรงค์ ท่ีสมเด็จพระราชบิดาทรงหม้ันสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำ�มรงค์หม้ัน แลว้ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศส์ ริ ิกิตศิ์ ึกษาต่อไป จนถึงก�ำ หนด เสดจ็ นวิ ตั พระนคร จงึ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหห้ มอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ติ์ ามเสดจ็ กลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดอื นมีนาคม พุทธศกั ราช ๒๔๙๓ วันที่ ๒๘ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๔๙๓ มพี ระราชพิธรี าชาภเิ ษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธาน พระราชทานน้ำ�พระพุทธมนต์และเทพมนตร์ สมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชและหมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ไิ์ ดท้ รงลงพระปรมาภไิ ธย และลงนามในทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันน้ันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไดท้ รงสถาปนาหมอ่ มราชวงศส์ ิรกิ ิติ์เป็น “สมเด็จพระราชินสี ิรกิ ิติ”์ วันท่ี ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันพระราชพิธี บรมราชาภเิ ษก สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงรบั เฉลมิ พระบรมนามาภไิ ธยวา่ “พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระอิสริยยศสมเด็จพระราชินีสิริกิต์ิ เป็น “สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ กิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ”ี วนั ท่ี ๕ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๓ ทงั้ สองพระองคเ์ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ กลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะแพทย์ผู้รักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบงั คมทลู แนะน�ำ ใหท้ รงพกั รกั ษาพระองคอ์ กี ระยะหนง่ึ ในพทุ ธศกั ราช ๒๔๙๔

พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ 8 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี มีพระประสูติการสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา ฯ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมอื่ เจรญิ พระชนั ษาได้ ๗ เดอื น ทง้ั สามพระองคจ์ งึ เสดจ็ นวิ ตั ประเทศไทย ประทบั ณ พระทน่ี ง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ติ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ วชริ าลงกรณ ฯ ซงึ่ ปจั จบุ นั คอื พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ มหศิ รภมู ิพลราชวรางกรู กิตสิ ริ ิสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธเิ บศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร เทพรตั นสดุ า ฯ ซง่ึ ปจั จบุ นั ทรงไดร้ บั การสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณ วรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพฒั น รัฐสมี าคณุ ากรปิยชาติ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ฯ ซึ่งปัจจุบันทรงได้รับ การสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อคั รราชกมุ ารี กรมพระศรสี วางควฒั น วรขตั ตยิ ราชนารี ไดป้ ระสตู ติ อ่ มาตามล�ำ ดบั ณ พระทนี่ ั่งอัมพรสถาน รวมพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์ ปลายพุทธศักราช ๒๔๙๘ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำ�รงตำ�แหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย เสด็จสวรรคต พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวจึงทรงแตง่ ตั้งสมเด็จพระบรมราชนิ ี ใหท้ รงด�ำ รงต�ำ แหนง่ สภานายกิ าแทนเมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ และในปีเดียวกันน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงพระผนวช ตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งต้ัง สมเดจ็ พระบรมราชนิ เี ปน็ ผสู้ �ำ เรจ็ ราชการแทนพระองค์ ภายหลงั เมอื่ ทรงลาผนวช แล้วได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ นบั เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถ พระองค์ที่สองของไทย ต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซง่ึ ทรงปฏบิ ตั ริ าชการแทนพระองคเ์ มอ่ื ครง้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนินเยือนยโุ รป

ท ศ ช า ติ 9 พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็น สมเดจ็ พระบรมราชนิ นี าถของไทย และในฐานะคพู่ ระราชหฤทยั แหง่ พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวคือ ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำ�ริ ริเริ่มโครงการใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซ่ึงโครงการตามพระราชดำ�ริเหล่าน้ันได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมา จนทุกวันนี้

คํ า นํ า 10 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง คำ�นำ� ตามคตินิยมทางพระพุทธศาสนา ถือว่า กว่าบุคคลหนึ่งจะบังเกิด มาในโลก และตรสั รคู้ น้ พบความจรงิ อนั ยงิ่ ใหญแ่ หง่ ชวี ติ จนน�ำ ไปสคู่ วามหลดุ พน้ จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้นั้น ต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิด มาก่อนแล้วหลายชาติอสงไขย โดยอาจเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ ก็ได้ สัตว์นั้นอาจเป็นสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ มนุษย์น้ันอาจเป็นคนทุคตะเข็ญใจ พราหมณ์ เศรษฐี พระราชามหากษัตริย์ หรือเทวดาก็ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมี คำ�กลา่ ววา่ “การบงั เกิดขนึ้ ของพระพุทธเจา้ น้ัน ยากนกั หนา” ตามคตินยิ มทางพระพทุ ธศาสนาอีกเชน่ กนั ทีถ่ อื วา่ ในบรรดา “ชาต”ิ ทงั้ หลายของผูท้ ่จี ะมาตรสั รเู้ ป็นพระพุทธเจา้ น้ัน “ชาติ” สบิ ชาติสดุ ท้าย กอ่ นจะ ถือพระชาติท่ี ๑๑ ซ่ึงเสด็จมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ราชกุมารแห่งกรุง กบิลพัสดุ์ และได้เสด็จออกบวชหรือมหาภิเนษกรมณ์ จนได้ตรัสรู้ในพระชาติ ท่ีเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท้ังเป็นสิบชาติสุดท้ายท่ีใกล้ชิดติดพันกับพระชาติที่เป็น พระพทุ ธเจา้ มากทสี่ ดุ และแตล่ ะชาตไิ ดบ้ �ำ เพญ็ บารมยี งิ่ ใหญม่ หาศาล จนสามารถ นำ�ไปเปน็ แบบอย่างใหค้ นท้ังหลายประพฤติปฏบิ ตั ติ ามได้ ดงั เช่นพระชาติท่ี ๑๐ ท่ีเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ซ่ึงนิยมเรียกกันว่า “มหาชาติ” คือพระชาติ อันย่ิงใหญ่ท่ีบำ�เพ็ญทานบารมี ชาติท้ังสิบน้ีจึงเป็นชาติสำ�คัญแห่งการดำ�รงชีพ ของพระมหาโพธิสัตว์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ การดำ�รงชีพในแต่ละชาติน้ัน ก็ยากนักหนาจวนเจียนจะเสียชีวิตเสียหลายคร้ัง จนยากท่ีมนุษย์ธรรมดาทั่วไป จะอดทนมีชีวิตอยู่อีกในชาติต่อ ๆ ไปได้ คือ ในที่สุดน่าจะละความเพียร และปณิธานแห่งพระโพธิสัตว์น้ันเสีย หากแต่ยังอดทนและมั่นคงแน่วแน่ใน โพธสิ ตั วธ์ รรมไมเ่ ปลยี่ นแปลง เรยี กวา่ มปี ณธิ านทตี่ งั้ มนั่ และพยายามสรา้ งบารมี สั่งสมไว้ด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง ชนิดพร้อมท่ีจะสละทรัพย์ เลือดเน้ือ อวัยวะ บุคคลที่รัก และชีวิต เพ่ือเดินทางไปสู่การบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในพระชาติ สุดท้าย และจะไม่เสด็จมาบงั เกดิ ในโลกนีอ้ ีก

ท ศ ช า ติ 11 คํ า นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สิบชาติสำ�คัญน้ันรู้จักกันในชื่อว่าทศชาติ และเพราะแต่ละชาติ พระมหาโพธสิ ตั วไ์ ดบ้ �ำ เพญ็ บารมหี นกั เบาแตกตา่ งกนั ไป ทศชาตจิ งึ คกู่ บั ทศบารมี ซึ่งเหล่ามนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารพึงยึดเป็นแบบอย่าง นำ�มา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั เพอื่ จะสงั่ สมเปน็ แหลง่ บญุ ไปสกู่ ารบรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย ส�ำ คัญย่ิงใหญใ่ นชีวิตได้ ตามคตนิ ิยมของไทย ถอื วา่ ผู้เกดิ มาในอ�ำ นาจ และไดร้ บั การยอมรบั นับถือจากประชาชน เช่น การเป็นพระมหากษัตริย์นั้น ทรงผ่านการบำ�เพ็ญ บารมีมาแล้วเป็นอันมาก ย่ิงเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่า ในพระชาตินี้ทรงสั่งสม คณุ งามความดนี านาประการ ดว้ ยความเพยี รและความเสยี สละเปน็ ประโยชนต์ อ่ อาณาประชาราษฎร์ น่าจะเปน็ การบำ�เพญ็ พระบารมดี ุจพระมหาโพธสิ ัตว์กว็ ่าได้ คตนิ ยิ มน้จี ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั ทศชาตแิ ละทศบารมใี นพระพุทธศาสนา คณะบุคคลกลุ่มหน่ึงซึ่งมีความสุขุมลุ่มลึกในพระพุทธศาสนา ได้ พร้อมใจกันเรียบเรียงหนังสือเรื่อง “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ปรากฏอรรถรสความละเอยี ดชดั เจนและเรยี บงา่ ย ดว้ ยภาษาและสามารถสอื่ สาร ส่ิงที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เป็นอย่างดี จนมีผู้พิจารณาเห็นประโยชน์อันควรนำ�ออก เผยแพรใ่ หก้ ว้างขวาง จงึ รบั เปน็ เจ้าภาพจดั พมิ พ์เผยแพรใ่ นโอกาสพิเศษแห่งการ จัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพนั ปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕ นับเปน็ กจิ อนั ควรแก่การอนโุ มทนา ซึ่งรัฐบาลขอขอบคณุ ทกุ ฝา่ ยท่เี กี่ยวขอ้ ง และขอใหก้ ศุ ลผลบุญน้ี จงส�ำ เรจ็ เป็นพระราชกศุ ล แด่สมเด็จ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ทรงพระเจริญย่ิงยืนนาน ดำ�รงคงม่ันอยู่ใน พระบารมที ี่ทรงบำ�เพญ็ มาด้วยดีแลว้ น้นั ตลอดไป เทอญ (นายวษิ ณุ เครอื งาม) รองนายกรัฐมนตรี

อ า รั ม ภ ก ถ า 12 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง อารัมภกถา ทศชาติชาดกเป็นเร่ืองราวในพระชาติหนหลังของสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจา้ ขณะพระองค์ก�ำ ลังทรงบำ�เพญ็ พระบารมเี พ่อื บรรลุพระโพธิญาณ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยนบั แตโ่ บราณกาลมา ทรงโปรดใหน้ �ำ ทศชาตชิ าดก มาเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถจารึกไว้ตามพระอารามต่าง ๆ บอกเล่าเร่ืองราวเหตุการณ์สำ�คัญในพระชาติทั้ง ๑๐ พระชาติ ของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพ่ือให้อาณาประชาราษฎร์ได้ศึกษาเส้นทางชีวิตของ พระมหาบุรุษ ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ แต่ละพระชาติทรงบำ�เพ็ญ พระบารมีด้วยจิตใจท่ีแน่วแน่ มีปณิธานที่มั่นคง กว่าจะอุบัติมาตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าในพระชาติสดุ ท้าย ประกอบดว้ ย เตมีย์ชาดก (บำ�เพ็ญเนกขัมมบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระเตมีย์ ทรงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการเสด็จออกบรรพชา จึงทรง แกลง้ ท�ำ เปน็ คนใบ้ ดว้ ยทรงมงุ่ หวงั ทจ่ี ะละทง้ิ กามคณุ ทงั้ ๕ อนั เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ มหาชนกชาดก (บำ�เพ็ญวิริยบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระมหาชนก ขณะเสด็จลงสำ�เภาไปค้าขายได้เกิดพายุใหญ่ เรือแตกจมลงใน มหาสมุทร แม้จะมองไม่เห็นฝ่ัง แต่พระมหาชนกก็มิได้ท้อถอย ทรงแหวกว่าย อยใู่ นมหาสมทุ รถงึ ๗ วนั นางมณเี มขลาเทพธดิ าผรู้ กั ษามหาสมทุ ร ไดพ้ ดู ลองใจ ให้พระองค์เลิกล้มความพยายาม แต่พระมหาชนกไม่ทรงฟัง ยังเพียรพยายาม แหวกว่ายด้วยความมุ่งม่ัน นางมณีเมขลาเห็นเช่นนั้น จึงเกิดความเลื่อมใสใน ความเพียรและให้การช่วยเหลือด้วยการอุ้มพระมหาชนกไปขึ้นฝ่ังที่เมืองมิถิลา จนได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจา้ แผน่ ดนิ สุวรรณสามชาดก (บำ�เพ็ญเมตตาบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เปน็ พระสวุ รรณสาม เลยี้ งดบู ดิ ามารดาผตู้ าบอดอยใู่ นปา่ วนั หนง่ึ พระสวุ รรณสาม ถูกพระเจ้าปิลยักษ์ยิงด้วยลูกศร ได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส แต่ไม่ได้ผูกโกรธ

ท ศ ช า ติ 13 อ า รั ม ภ ก ถ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยอำ�นาจแหง่ เมตตาธรรม ได้ทำ�ใหพ้ ระสุวรรณสามกลับฟนื้ คืนชวี ิต และบดิ า มารดากลับมามองเห็นได้ดงั เดมิ เนมิราชชาดก (บำ�เพ็ญอธิษฐานบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นพระเจ้าเนมิราช เป็นผู้ม่ันคงในการให้ทาน ทรงเบญจศีลเป็นนิจ สมาทาน อโุ บสถทุกวนั ปักษ์ ทรงแสดงธรรมใหท้ ราบทางสวรรค์ สอนอาณาประชาราษฎร์ ให้กลัวนรก พระอินทร์ทรงพอพระทัยถึงกับให้มาตลีเทพบุตรนำ�ราชรถไปรับ พระเจ้าเนมิราช เพื่อไปเที่ยวชมเมืองนรกและเมืองสวรรค์ ในกาลต่อมา เมื่อ พระเกศาหงอกแลว้ ได้เสดจ็ ออกบรรพชา มโหสถชาดก (บำ�เพ็ญปัญญาบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระมโหสถบัณฑติ ผมู้ ีปัญญาดุจแผ่นดิน รับราชการอยปู่ ระจำ�ในราชส�ำ นักของ พระเจ้าวิเทหะแห่งกรุงมิถิลา ในท่ามกลางปัญหาและอุปสรรคนานัปการ พระมโหสถบัณฑิตได้ใช้ปัญญาที่อบรมมาดีแล้ว สามารถแก้ไขปัญหาให้สำ�เร็จ ลลุ ่วงดว้ ยดีมาโดยล�ำ ดบั ภูริทัตชาดก (บำ�เพ็ญศีลบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พญานาค ชอื่ ว่า ภูรทิ ัต รักษาอุโบสถศลี อย่ทู ี่จอมปลวกใกล้ฝงั่ แม่นำ้�ยมุนา แต่ ถูกพราหมณ์หมองูผู้รู้มนต์อาลัมพายน์ จับตัวไปเที่ยวแสดงละครหาเงินตาม สถานที่ต่าง ๆ พระภูริทัตก็มิได้มีความแค้นเคืองคิดท่ีจะทำ�ลายชีวิตพราหมณ์ หมองูนนั้ เพราะความท่ตี นสมาทานรกั ษาอุโบสถศลี อยา่ งม่ันคง จันทกุมารชาดก (บำ�เพ็ญขันติบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระจันทกุมาร ราชโอรสของพระเจา้ เอกราชแห่งเมืองปุปผวดี พระราชบดิ าทรง เชื่อคำ�หลอกลวงของขัณฑหาลปุโรหิต จึงทรงรับสั่งให้จับพระจันทกุมารพร้อม ด้วยคนและสัตว์เป็นจำ�นวนมากนำ�ไปบูชายัญ ท้าวสักกเทวราชจึงได้เสด็จลงมา ช่วยชีวิตไว้ แม้จะถูกกระทำ�เช่นนี้ พระจันทกุมารก็มิได้ผูกอาฆาตพยาบาท แตป่ ระการใด

อ า รั ม ภ ก ถ า 14 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง นารทชาดก (บำ�เพ็ญอุเบกขาบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น ทา้ วมหาพรหม ชอ่ื วา่ นารทะ ครงั้ นน้ั พระเจา้ องั คตริ าชมคี วามเหน็ ผดิ วา่ นรกไมม่ ี สวรรคไ์ มม่ ี ในเวลานนั้ ทา้ วมหาพรหมไดเ้ สดจ็ ลงมาแสดงโทษแหง่ ความเหน็ ผดิ ใหพ้ ระเจา้ องั คตริ าชสดบั  ท�ำ ใหพ้ ระองคท์ รงคลายจากมจิ ฉาทฏิ ฐลิ ะความเหน็ ผดิ กลบั มาปกครองบ้านเมอื งใหร้ ม่ เยน็ เปน็ สุขด้วยทศพธิ ราชธรรมดังเดิม วธิ รู ชาดก (บ�ำ เพญ็ สจั จบารม)ี พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ อ�ำ มาตย์ ชอื่ วา่ วธิ รู ะ เปน็ ผสู้ อนอรรถและธรรมแดพ่ ระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยะแหง่ กรงุ อนิ ทปตั ถ์ เมื่อปณุ ณกยักษม์ าทา้ พนนั เล่นสกากบั พระเจา้ ธนัญชัยโกรัพยะ โดยมีวธิ ูรบณั ฑติ เปน็ เดมิ พนั เพอื่ ใหเ้ ปน็ ทาสของปณุ ณกยกั ษ์ พระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยะทรงพา่ ยแพ้ แม้วิธูรบัณฑิตรู้ดี หากตอบว่าตนเองไม่ใช่ทาสของพระราชาก็จะพ้นจาก ความล�ำ บาก แตก่ ย็ งั ตอบไปตามความเปน็ จรงิ เพราะความยดึ มนั่ ในการบ�ำ เพญ็ สจั จบารมี เวสสันดรชาดก (บำ�เพ็ญทานบารมี) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระเวสสนั ดร พระองค์ทรงตง้ั ปณธิ านในการบริจาคทาน แมจ้ ะมใี ครขอสิง่ ท่ีรกั สิง่ ท่หี วงแหนทส่ี ุดในชีวติ ไมว่ า่ จะเป็นดวงหทัย ดวงตา เนอื้ และเลือด บตุ รธดิ า หรอื ภรรยา กท็ รงบรจิ าคเปน็ ทานได้ เพราะมงุ่ มน่ั ในพระโพธญิ าณเปน็ ปณธิ านสงู สดุ    พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมีแต่ละข้อ ละเอียดข้ึนไปตามลำ�ดับ ตั้งแต่ข้ันธรรมดา เรียกว่า “บารมี” ข้ันกลาง เรียกว่า “อุปบารมี” จนถึงขั้น สงู สดุ เรยี กวา่ “ปรมัตถบารมี” รวมเปน็ บารมี ๓๐ ประการ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวไทย มีพระบรมเดชานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงพระปรชี าในศาสตร์หลายด้าน มพี ระมนัสมนั่ ในพระกตัญญุตาธรรม มีพระราชศรัทธาเคารพหนักแน่นในพระรัตนตรัย มี พระราชหฤทยั เปย่ี มลน้ ดว้ ยพระมหากรณุ าธคิ ณุ ทรงรเู้ ทา่ ทนั ในเหตกุ ารณเ์ หตผุ ล โดยตลอด พระองคท์ รงบ�ำ เพญ็ สรรพราชกรณยี กจิ ลว้ นเปน็ หติ านหุ ติ ประโยชนแ์ ก่

ท ศ ช า ติ 15 อ า รั ม ภ ก ถ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สมณพราหมณาจารย์ ท้ังแก่พสกนิกรถ้วนทั่ว ด้วยการพระราชทานสังคหธรรม นำ�จิตอาสาให้เพิ่มพูนข้ึนเนือง ๆ ด้วยทรงรักษาปกป้องคุ้มครองโดยชอบธรรม ทรงเพียบพร้อมด้วยพระคุณสมบัติแห่งพระราชาผู้ย่ิงใหญ่เป็นอเนกประการ มี พระราชหฤทัยมุ่งม่ันที่จะสืบสานพระราชปณิธานท่ีเป็นเหตุนำ�ความเจริญรุ่งเรือง แหง่ ขอบขณั ฑสมี าสยามประเทศ อนั จะหาผใู้ ดมาปรปั วาทมไิ ด้ บดั นี้ พระจอมชน ทรงสมบรู ณด์ ว้ ยพระบญุ ญาธกิ ารบารมี เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชย์ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กติ สิ ริ สิ มบรู ณอดลุ ยเดช สยามนิ ทราธเิ บศรราชวโรดม บรมนาถบพติ ร พระวชริ เกลา้ เจ้าอยู่หัว ขอพระองค์ทรงพระเจริญย่ิงยืนนาน ปรากฏด้วยพระเกียรติยศ อนั ยงิ่ ใหญแ่ ล้วนน้ั สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระเกียรติยศปรากฏระบือไกล เป็น พระราชชนนใี นพระบาทสมเดจ็ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๑๐ แหง่ พระบรม ราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นอัครพุทธมามกชน มีพระราชหฤทัยม่ันคงในพระบวรพุทธ ศาสนา ถงึ พรอ้ มดว้ ยพระบญุ ญาธกิ ารมากลน้ เพยี บพรอ้ มดว้ ยพระราชอธั ยาศยั น้อมไปในการเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงงามพร้อม ด้วยพระสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล และพระเกียรติคุณอันสูงส่งตลอดกาล ทรง พระปรีชาสามารถใคร่ครวญด้วยเหตุและผลก่อนที่จะบำ�เพ็ญพระราชกรณียกิจ ทรงไว้ซึ่งความละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพ และทรงฉลาดหลักแหลมในอุบาย เปน็ ทปี่ ระจกั ษช์ ดั แทแ้ กใ่ จพสกนกิ รชาวไทยตลอดเวลาวา่ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชหฤทัยเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ทรง บ�ำ เพญ็ พระราชกรณยี กจิ เปน็ หติ านหุ ติ ประโยชนไ์ วน้ านปั การแกพ่ สกนกิ รชาวไทย อยา่ งหาทสี่ ดุ มไิ ด้ ทรงพร�่ำ สอน ใสพ่ ระราชหฤทยั ถงึ งานศลิ ปาชพี และศลิ ปะแหง่ การ ด�ำ เนนิ ชวี ติ อยา่ งมจี ดุ หมาย องิ อาศยั ประโยชนส์ ขุ เปน็ ส�ำ คญั ทง้ั ทรงเกอ้ื กลู งานศลิ ป์ ทุกแขนงอยา่ งแยบคาย ด้วยอบุ ายวิธีสุดล้ำ�เลศิ ได้พระราชทานและด�ำ เนนิ การ ความรใู้ นเรอ่ื งการอนรุ กั ษป์ า่ และน�ำ้ โดยชอื่ วา่ โครงการปา่ รกั น�ำ้ เพราะฉะนนั้ แล

อ า รั ม ภ ก ถ า 16 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ ฯ จึงทรงเป็นท่ีรักย่ิงของพสกนิกรชาวไทยท่ีต่างยกย่องเทิดทูนเหนือ เศียรเกล้า สถิตไว้เป็นมิ่งขวัญของปวงประชาตลอดกาล พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึง มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม เฉลมิ พระนามาภไิ ธย สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ตามทจ่ี ารกึ ในพระสพุ รรณบฏั วา่ “สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง” สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทย ทุกพระองค์ ล้วนทรงบำ�เพ็ญพระบารมีธรรมเพื่อปกครองดูแลบำ�บัดทุกข์บำ�รุงสุข ให้อาณา ประชาราษฎรไ์ ดเ้ กดิ ความรม่ เยน็ ภายใตพ้ ระบรมโพธสิ มภาร เฉกเชน่ การบ�ำ เพญ็ พระบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ ซ่ึงได้บำ�เพ็ญพระบารมีมานับด้วยอสงไขยยิ่ง ด้วยแสนกัป กล่าวเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธเิ บศรราชวโรดม บรมนาถบพติ ร พระวชริ เกล้าเจ้าอยหู่ วั พร้อมทง้ั สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่างทรงบำ�เพ็ญพระบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ เหมือนเช่นสมเด็จพระ บูรพมหากษัตรยิ าธริ าชเจ้าของชาวไทยทกุ พระองค์ไดท้ รงบ�ำ เพญ็ มาแล้วนั้น ในศุภสมัยอันเป็นมหามงคลท่ีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรม ราชินนี าถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจรญิ พระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ นี้ บรรดาอาตมภาพและพสกนิกร ทั้งปวง ตา่ งสำ�นึกในพระมหากรุณาธิคุณเปน็ ลน้ พ้น ขอถวายพระพรชัยมงคลแด่ พระองค์ ผ้ทู รงพระคุณอันประเสริฐ ดว้ ยอานภุ าพแห่งคุณพระศรรี ตั นตรัย และ เดชานุภาพแห่งพระกุศลผลบุญท่ีทรงบ�ำ เพ็ญมา ขอพระองค์ ฯ ผู้มีบุญญาธกิ าร อนั ถงึ พรอ้ มแลว้ จงทรงเจรญิ พระชนมายยุ ง่ิ ยนื นาน ด�ำ รงอยเู่ ปน็ มงิ่ ขวญั อนั ยง่ิ ใหญ่ ของพสกนิกรชาวไทยตลอดกาล ในศุภสมัยอันเป็นมหามงคลย่ิงน้ี บรรดาอาตมภาพและพสกนิกร ท้ังปวง จึงขอน้อมสนองพระเดชพระคุณแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรม

ท ศ ช า ติ 17 อ า รั ม ภ ก ถ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้พระเกียรติยศปรากฏอยู่ตลอด กาลนาน ดว้ ยการจัดพมิ พ์หนงั สือ “ทศชาติ ปณธิ านมหาบรุ ุษไม่เปล่ียนแปลง” ฉบบั ญาณวชริ ะ ซงึ่ พระเถระวดั สระเกศ ราชวรมหาวหิ าร ทงั้ ๕ รปู ประกอบดว้ ย พระธงชัย สุขาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ), พระมหาสังคม าณวฑฺฒโน (อดตี พระราชอปุ เสณาภรณ)์ , พระมหาเทอด าณวชโิ ร (อดตี พระราชกจิ จาภรณ)์ , พระมหาบุญทวี ปญฺาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์) และพระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (พระครูสิริวิหารการ) ได้มีวิริยะ อุตสาหะ เรียบเรียง ตรวจทาน แก้ไขปรับปรุงการใช้ถ้อยคำ�และสำ�นวนภาษาไทย ให้เหมาะสมกับยุคสมัย อันจะทำ�ให้ประชาชนท่ัวไปเข้าใจได้โดยง่าย สามารถเข้าถึงหลักธรรมคำ�สอน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซ่ึงปรากฏอยู่ในทศชาติชาดกน้ัน เพื่อ เผยแพร่เป็นธรรมทาน อำ�นวยประโยชน์แพร่หลายแก่ผู้สนใจในธรรมโดยท่ัวไป ท้ังจะเป็นการประกาศพระเกียรติคุณ และน้อมถวายพระพรชัยมงคล แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ปรากฏแผ่ไพศาล เสด็จเป็นมิ่งขวญั ของอาณาประชาราษฎร์ ทรงสถติ สถาพร ตลอดจิรฏั ฐติ กิ าล เทอญ คณะผู้เรียบเรียง ตรวจทานแก้ไขปรับปรงุ การใช้ถอ้ ยคำ�และส�ำ นวนภาษาไทย หนังสอื “ทศชาติ ปณธิ านมหาบุรษุ ไมเ่ ปล่ียนแปลง” ฉบับญาณวชิระ พระธงชยั สุขาโณ (อดีตพระพรหมสิทธ)ิ พระมหาสังคม าณวฑฒฺ โน (อดตี พระราชอปุ เสณาภรณ)์ พระมหาเทอด าณวชิโร (อดตี พระราชกิจจาภรณ์) พระมหาบุญทวี ปญฺาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์) พระมหาสมจติ ร จติ ตฺ ธมโฺ ม (พระครูสิริวิหารการ) วดั สระเกศ ราชวรมหาวหิ าร

ส า ร บั ญ 18 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง สารบัญ พระราชประวตั ิ ๓ ค�ำ นำ� ๑๐ อารมั ภกถา ๑๒ ความน�ำ : จากทศชาติ สู่ทศบารมี ๒๔ พระเตมีย์ : ถึงร้อยภพรอ้ ยชาติ กป็ รารถนาพระโพธญิ าณ ๓๙ ก�ำ เนดิ พระเตมีย์ ๔๑ คัดเลอื กนางนม ๔๓ ไมต่ ้องการเปน็ กษัตรยิ ์ครองแผ่นดิน ๔๕ ปณิธานพระเตมยี ์ ๔๗ ถกู ทดลอง ๔๘ ถูกนำ�ไปฝังทงั้ เป็น ๕๖ ประกาศคาถาวา่ ดว้ ยนำ้�ใจมติ ร ๖๑ สทู่ างโพธิญาณ ๖๗ กลบั ชาติมาเกดิ สมยั พุทธกาล ๗๖ พระมหาชนก : สุวรรณภูมิ แผน่ ดินทอง ๗๙ ศกึ ชิงราชบัลลังก์มิถลิ านคร ๘๐ กำ�เนิดพระมหาชนก ๘๕ แผนยดึ สวุ รรณภมู ิ ๘๖ สู่ราชบัลลังก์มิถลิ านคร ๙๓ ขุมทรัพย์จอมจกั รา ๙๕ แรงกตญั ญู ๙๙ อุทยานอมั พวนั ๑๐๑ สทู่ างโพธญิ าณ ๑๐๕ บนเส้นทางที่ตอ้ งเลือก ๑๑๒ กลับชาตมิ าเกดิ สมยั พุทธกาล ๑๑๗ พระสวุ รรณสาม : ต�ำ นานคนกตญั ญู ๑๑๙ พระภิกษุผเู้ ลยี้ งบดิ ามารดา ๑๒๐ ชีวติ ทเี่ ปล่ียนไป ๑๒๒

ท ศ ช า ติ 19 ส า ร บั ญ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ค�ำ ม่ันสัญญา ๑๒๘ กำ�เนดิ พระสุวรรณสาม ๑๓๐ เผชิญกรรมกลางป่าใหญ ่ ๑๓๑ ถูกยงิ ด้วยธนูอาบยาพษิ ๑๓๔ อานุภาพแห่งความกตญั ญ ู ๑๓๙ กลบั ชาตมิ าเกดิ สมัยพทุ ธกาล ๑๔๘ พระเนมิราช : พระมหากษัตรยิ ผ์ ้ทู รงธรรม ๑๕๑ ปฐมบรมราชวงศ์นกั บวช ๑๕๓ กำ�เนดิ พระเนมิราช ๑๕๔ ทอ่ งแดนนรก ๑๖๔ ท่องแดนสวรรค ์ ๑๗๕ สู่เทวสมาคม ๑๘๑ กลบั ชาติมาเกิดสมัยพุทธกาล ๑๘๓ พระมโหสถบณั ฑติ : อัจฉริยภาพแหง่ ปญั ญามหาบุรุษ ๑๘๗ บพุ นมิ ติ ๑๘๙ กาํ เนดิ พระมโหสถบณั ฑิต ๑๙๐ ฉายแววมหาบัณฑิต ๑๙๒ มหาบณั ฑิตแหง่ มิถิลานคร ๑๙๔ ไขปรศิ นาจอมราชนั ๒๐๗ บณั ฑิตน้อยถวายตัว ๒๑๖ เจา้ หญิงสามัญชน ๒๒๓ ศกึ ประลองปญั ญามหาบัณฑิต ๒๓๒ นางในดวงใจ ๒๓๘ เกมคนโกง ๒๔๕ หกั เหลีย่ มบณั ฑติ จอมปลอม ๒๔๘ บณั ฑติ ตกยาก ๒๕๑ ฉกี หนา้ กากมหาบัณฑิต ๒๕๙ ความลบั ของบณั ฑิต ๒๖๓ เปิดแผนยึดครองชมพทู วปี ๒๗๐ ข่าวศกึ จากสายลบั ๒๗๙ เทวี จอมนางแห่งวังหลวง ๒๘๑

ส า ร บั ญ 20 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กลศึกเกวฏั ฏะ ๒๘๘ แผนเผด็จศกึ ท่สี มรภมู ิมิถิลานคร ๒๙๒ พลกิ แผนพฆิ าตจอมราชนั ๒๙๖ สายลับจากเวหา ๓๐๕ สู่อํานาจปจั จามิตร ๓๑๑ แผนเผดจ็ ศึกที่สมรภูมิปัญจาลนคร ๓๑๓ เจ้าหญงิ เชลยศึก ๓๒๐ จากศัตรสู ู่ยอดมหามติ ร ๓๓๕ วีรบรุ ษุ จากสมรภูมิรบ ๓๓๙ เกยี รตศิ ักด์มิ หาบัณฑิต ๓๔๑ ยวุ กษัตริยพ์ ลดั แผน่ ดนิ ๓๔๗ กลบั ชาตมิ าเกดิ สมยั พทุ ธกาล ๓๕๕ พระภูริทตั : ศลี คือ อาภรณ์ประดบั กาย ๓๕๗ ศกึ นาคราช ๓๕๙ ทูตจากแดนมนษุ ย ์ ๓๖๓ ทูตจากนาคพิภพ ๓๖๕ กําเนิดพระภรู ิทตั ๓๖๘ รักษาอโุ บสถศีล ๓๗๐ จอมพราน ๓๗๒ มหาเวทยอ์ าลัมพายน ์ ๓๗๘ ไปสูอ่ าํ นาจมหาเวทย์ ๓๘๔ หัวอกแม ่ ๓๘๗ ธดิ านาคราช ๓๙๐ กรรมตามสนอง ๓๙๘ พระพรหมสร้างโลก ๓๙๙ พระโพธสิ ัตวแ์ สดงธรรม ๔๐๒ กลับชาติมาเกิดสมยั พุทธกาล ๔๐๗ พระจนั ทกมุ าร : ขันติ คอื อาภรณ์ประดบั ใจ ๔๐๙ เปิดตำ�นานชีวิตพระเทวทัต ๔๑๓ พระเทวทตั ทูลขอปกครองสงฆ ์ ๔๑๔ ก�ำ เนดิ พระจันทกุมาร ๔๒๒

ท ศ ช า ติ 21 ส า ร บั ญ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ดว้ ยแรงอาฆาต ๔๒๓ ถูกจับบูชายญั ๔๒๕ เกดิ จลาจลทั่วพระนคร ๔๓๓ พราหมณถ์ ูกรมุ ประชาทัณฑ์ ๔๓๘ กลับชาติมาเกดิ สมยั พทุ ธกาล ๔๓๙ พระนารทมหาพรหม : สตั ว์โลกย่อมเปน็ ไปตามกรรม ๔๔๑ โปรดชฎิล ๓ พ่นี ้อง ๔๔๓ ทรงแสดงปาฏหิ ารยิ ์ ๔๔๔ เสดจ็ ออกสหี บญั ชร ๔๔๘ กรรมของเสนาบดี ๔๕๓ บุญของทาส ๔๕๔ เจ้าหญงิ แหง่ อดตี ๔๕๖ อเุ บกขาพระนารทมหาพรหม ๔๖๕ สู่เสน้ ทางนรก ๔๖๘ สู่เส้นทางสวรรค์ ๔๖๙ กลบั ชาติมาเกิดสมยั พทุ ธกาล ๔๗๐ วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ๔๗๑ พระวธิ รู บัณฑติ : สจั จะมหาบรุ ษุ เหนือชวี ติ ๔๗๕ เจตนารมณแ์ หง่ อดีต ๔๗๗ บพุ เพสนั นิวาส ๔๘๑ มโนมยั ยอดอาชา ๔๘๙ แกว้ จักรพรรด ิ ๔๙๐ เดิมพันด้วยใจ ๔๙๒ ธรรมะสำ�หรบั ผู้ครองเรือน ๔๙๖ ส่งั เสียลูกเมยี ๔๙๘ ธรรมะส�ำ หรบั ขา้ ราชการ ๔๙๙ ฝา่ มรสมุ ชีวติ ๕๐๗ ผู้มปี ัญญารักษาตน ๕๑๑ ธรรมะส�ำ หรับคนด ี ๕๑๓ ภพนาคราช ๕๑๖ ปญั ญานภุ าพ ๕๒๑

ส า ร บั ญ 22 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง กลับชาตมิ าเกดิ สมัยพทุ ธกาล ๕๒๓ พระเวสสันดร : มหาชาติ มหาทาน ๕๒๗ พระนครแหง่ ราชสกลุ ๕๒๘ พร ๑๐ ประการ ๕๓๖ ก�ำ เนดิ พระเวสสนั ดร ๕๓๙ บริจาคเคร่อื งประดบั ๕๔๒ บริจาคชา้ งปจั จยนาเคนทร ์ ๕๔๓ ถกู เนรเทศ ๕๔๖ ดนิ แดนหิมพานต ์ ๕๔๘ บริจาคมหาทานราชทรพั ย ์ ๕๕๑ บริจาคม้าและราชรถ ๕๕๕ ปา่ ใหญแ่ ละไพรกว้าง ๕๕๖ ก�ำ เนิดชูชก ๕๖๒ จอมพรานเจตบตุ ร ๕๖๗ อจั จุตฤาษี ๕๖๙ แกว้ ตาดวงใจ ยอดแห่งมหาทาน ๕๗๐ ลักษณะผูท้ �ำ รา้ ยมติ ร ๑๘ ประการ ๕๗๗ ประเพณพี ระโพธิสัตว ์ ๕๘๐ พระนางเจา้ มัทรี ๕๘๒ ทุกขข์ องแม่ ๕๘๗ สละพระชายา เพอ่ื พระโพธญิ าณ ๕๙๐ พร ๘ ประการ ๕๙๒ พระมหากษตั ริยาธิราชเจ้า ๕๙๔ ฝนโบกขรพรรษ ๖๐๐ กลบั สพู่ ระนครเชตดุ ร ๖๐๔ กลับชาตมิ าเกดิ สมยั พทุ ธกาล ๖๐๖ โปรดพระพุทธบิดา ๖๐๗ โปรดพระนางยโสธรา ๖๐๙ เอกสารประกอบการเขยี น ๖๑๒ ๖๑๓ ดชั นีอธบิ ายค�ำ ทศชาติ

ขอน้อมถวาย ผลงานน้ีไว้ในพระพุทธศาสนา เพ่อื เปน็ พทุ ธบูชา กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา พุทเธ กกุ มั มัง ปะกะตงั มะยา ยัง พุทโธ ปะฏคิ คณั หาตุ อจั จะยนั ตงั กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ ฯ หากจะมีกรรมอนั น่าตเิ ตียนใด ทีข่ ้าพเจา้ ไดท้ ำ�ผดิ พลาดไว้ ต่อองคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ไมว่ า่ จะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงยกโทษล่วงเกนิ นั้น เพ่ือขา้ พเจา้ จะได้มีความสำ�รวมระวัง ต่อองคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ในกาลต่อไป ฯ

ค ว า ม นํ า 24 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ความน�ำ จากทศชาติ สู่ทศบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมี ๑๐ ประการ เพื่อปรารถนา ความเป็นพระพุทธเจ้ามาหลายภพหลายชาติจนไม่อาจกำ�หนดได้ นับต้ังแต่เกิด เป็นสัตวเ์ ดรจั ฉาน เปน็ มนษุ ยส์ ามญั เป็นมนษุ ย์ชน้ั สูง จนถงึ เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ละพระชาติทรงบำ�เพ็ญแต่ละพระบารมีด้วยจิตใจท่ีม่ันคง แน่วแน่ จนถึง ๑๐ พระชาตสิ ดุ ทา้ ยกอ่ นตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ทรงบ�ำ เพญ็ พระบารมอี ยา่ งยง่ิ ยวด ดังนี้ ๑. พระเตมีย์ ทรงบำ�เพ็ญเนกขัมมบารมี หมายถึง การบำ�เพ็ญ บารมดี ้วยการออกบวช เปน็ การปลกี ตวั ปลีกใจออกจากการครองเรือน ๒. พระมหาชนก ทรงบำ�เพ็ญวิริยบารมี หมายถึง การบำ�เพ็ญ บารมีด้วยความเพียร ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายามบากบ่ัน อตุ สาหะ ไม่ทอดทิ้งธุระหนา้ ที่ ๓. พระสวุ รรณสาม ทรงบ�ำ เพญ็ เมตตาบารมี หมายถงึ การบ�ำ เพญ็ บารมดี ว้ ยความรกั ความปรารถนาดี มไี มตรี คดิ เกอ้ื กลู ใหผ้ อู้ นื่ และเพอื่ นรว่ มโลก ทง้ั ปวง มีความสุข ความเจรญิ ๔. พระเนมิราช ทรงบำ�เพญ็ อธษิ ฐานบารมี หมายถงึ การบำ�เพ็ญ บารมีด้วยความต้ังใจมั่น การตัดสินใจเด็ดเด่ียว วางจุดหมายแห่งการกระทำ� ของตนไว้แน่นอน และดำ�เนนิ ตามนั้นแน่วแน่ ๕. พระมโหสถบณั ฑติ ทรงบ�ำ เพญ็ ปญั ญาบารมี หมายถงึ การบ�ำ เพญ็ บารมีด้วยความรอบรู้ ความหย่ังรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจรงิ และรจู้ กั แกไ้ ข ปฏบิ ัติจดั การต่าง ๆ

ท ศ ช า ติ 25 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ๖. พระภูริทัต ทรงบำ�เพ็ญศีลบารมี หมายถึง การบำ�เพ็ญบารมี ด้วยการรักษากาย วาจา ให้อยู่ในหลักความประพฤติที่เป็นแบบแผนแห่งภาวะ ของตน ความประพฤติดีงามถกู ต้องตามระเบยี บวนิ ัย ๗. พระจนั ทกมุ าร ทรงบ�ำ เพญ็ ขนั ตบิ ารมี หมายถงึ การบ�ำ เพญ็ บารมี ด้วยความอดทน ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตน ให้อยู่ในอำ�นาจเหตุผลและแนวทางความประพฤติ หรือการปฏิบัติท่ีต้ังไว้ เพือ่ จุดหมายอันชอบ ๘. พระนารทมหาพรหม ทรงบำ�เพ็ญอุเบกขาบารมี หมายถึง การบ�ำ เพญ็ บารมีดว้ ยความวางใจเปน็ กลาง ความวางใจสงบราบเรียบสม่ำ�เสมอ เท่ียงธรรม และดำ�รงอยใู่ นธรรม ไมเ่ อนเอยี ง หรือหวนั่ ไหวไป ดว้ ยความยนิ ดี ยนิ ร้าย ชอบชัง หรอื แรงเย้ายวนยั่วยุใด ๆ ๙. พระวิธรู บัณฑติ ทรงบ�ำ เพญ็ สัจจบารมี หมายถงึ การบำ�เพ็ญ บารมดี ว้ ยความตัง้ มนั่ ในสจั จะความจรงิ ๑ ๐. พระเวสสันดร ทรงบำ�เพ็ญทานบารมี หมายถึง การบำ�เพ็ญ บารมีด้วยการทมุ่ เทอุทิศตนเสียสละแม้แตส่ ิ่งทสี่ ละได้ยาก พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมีละเอียดข้ึนไปตามลำ�ดับ ต้ังแต่ ขนั้ ธรรมดา เรยี กวา่ “บารมี” ขนั้ กลาง เรียกว่า “อปุ บารม”ี และขั้นสงู สดุ เรยี กว่า “ปรมตั ถบารมี” ข้ันธรรมดา พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมีโดยไม่คำ�นึงถึงทรัพย์ สมบัติ ยศถาบรรดาศักด์ิ และคนท่ีพระองค์รัก เพ่ือบรรลุพระโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงสละได้แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติท้ังปวง ยศถาบรรดาศักดิ์ และ คนที่พระองค์รกั ขั้นกลาง พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมีโดยไม่คำ�นึงถึงอวัยวะ ร่างกาย ทรงหวงแหนพระโพธิญาณย่ิงกว่าหวงแหนอวัยวะร่างกาย เพื่อบรรลุ พระโพธญิ าณแล้ว พระองค์ทรงสละได้แมก้ ระทัง่ อวยั วะและร่างกายของตน

ค ว า ม นํ า 26 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ขั้นสูงสุด พระโพธิสัตว์ทรงบำ�เพ็ญพระบารมีโดยไม่คำ�นึงถึงชีวิต ทรง หวงแหนพระโพธญิ าณยง่ิ กวา่ หวงแหนชวี ติ เพอื่ บรรลพุ ระโพธญิ าณแลว้ พระองค์ ทรงสละไดแ้ ม้กระทง่ั ชวี ิตของตน บารมที ง้ั ๑๐ ประการ พระโพธสิ ตั วท์ รงบ�ำ เพญ็ ละเอยี ดขนึ้ ไปตามล�ำ ดบั รวมเปน็ บารมี ๓๐ ประการ ดังน้ี ๑. เนกขมั มบารมี การบ�ำ เพญ็ บารมดี ว้ ยการออกบวช เปน็ การปลกี ตวั ปลีกใจออกจากการครองเรือน ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับส่ิงย่ัวยุทางกายอันอาศัย เรือนเปน็ เหตุ แม้จะยังไม่ออกบวช กพ็ รากกายออกไปจากความว่นุ วายของโลก ในขณะนน้ั เปน็ กายวเิ วก และการตงั้ จติ ใหอ้ ยใู่ นความสงบ เปน็ จติ วเิ วก เนกขมั มะ ขั้นสงู สุด หมายถึง การออกจากกเิ ลสทง้ั ปวง โดยมคี วามดับทุกขเ์ ป็นเป้าหมาย พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิบัติในเนกขัมมบารมีมาโดยลำ�ดับ ตั้งแต่ข้ัน ธรรมดาจนถึงข้ันสูงสุด บางพระชาติก็ออกบวช บางพระชาติแม้ไม่ได้ออกบวช ก็ทรงดำ�รงตนอย่างมีสติ น้อมใจให้ออกจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่าง ๆ ทรง บ�ำ เพ็ญเนกขมั มบารมีอยา่ งแรงกลา้ ตามลำ�ดบั ดงั น้ี (๑) เนกขัมมบารมี ปลีกตัวออกไปจากความยินดีในทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศกั ดิ์ และคนทร่ี กั ดว้ ยความรกั ในพระโพธญิ าณยงิ่ กวา่ ทรพั ยส์ มบตั ิ ยศถาบรรดาศกั ด์ิ และคนทรี่ กั จงึ ตดั ความหว่ งใย ปลกี ตนเองไปบ�ำ เพญ็ กายวเิ วก คือ ความสงัดทางกาย ถึงแม้ทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักด์ิ และคนท่ีรัก จะสญู สนิ้ ไป เพราะการบ�ำ เพญ็ เนกขมั มบารมกี เ็ สยี สละได้ ไมย่ อมละทงิ้ ปณธิ าน (๒) เนกขมั มอปุ บารมี ปลกี ตวั ออกไปดว้ ยความรกั ในพระโพธญิ าณ โดยไม่ค�ำ นงึ ถงึ อวยั วะรา่ งกาย จงึ ตดั ความหว่ งใยที่มตี อ่ อวยั วะร่างกาย ปลีกตัว ออกไปบ�ำ เพญ็ จติ วเิ วก ดว้ ยการบ�ำ เพญ็ ฌานและสมาธิ เมอื่ ตอ้ งบ�ำ เพญ็ เนกขมั ม อุปบารมีเพื่อพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่ห่วงใยอวัยวะร่างกาย แม้จะต้องสูญเสีย อวัยวะร่างกายกเ็ สียสละได้ ไม่ยอมละท้ิงปณิธาน

ท ศ ช า ติ 27 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๓) เนกขัมมปรมัตถบารมี ปลีกตัวออกไปด้วยความรัก ในพระโพธิญาณโดยไม่คำ�นึงถึงชีวิต จึงตัดความอาลัยในชีวิต ปลีกตนบำ�เพ็ญ อุปธิวิเวก คือ ความสงัดจากกิเลส ด้วยอริยมรรคญาณ เมื่อต้องบำ�เพ็ญ เนกขมั มปรมตั ถบารมเี พ่ือพระโพธญิ าณแลว้ แม้จะต้องสูญเสียชวี ิตกเ็ สียสละได้ ไม่ยอมละทงิ้ ปณิธาน ๒. วิริยบารมี การบำ�เพ็ญบารมีด้วยความเพียร ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอปุ สรรค พยายามบากบั่น อตุ สาหะ ไมท่ อดทง้ิ ธรุ ะ หน้าที่ มีความ เพียรพยายามอยู่รำ่�ไป ไม่ท้อถอย จนกว่าจะประสบผลสำ�เร็จ เพียรพยายาม ไมท่ �ำ สง่ิ ทเ่ี ปน็ บาปอกศุ ล เพยี รพยายามในการท�ำ กศุ ลใหเ้ กดิ ขนึ้ และเพยี รช�ำ ระจติ ของตนใหผ้ ่องแผว้ ความเพียรพยายามมีหลายระดับ แต่ท่ีจะเป็นวิริยบารมี มุ่งเอา ความเพียรพยายามให้ตนพ้นจากทุกข์ ความเพียรท่ีจะต้องตั้งไว้อย่างสูงสุด มี ๔ ประการ คือ สังวรปธาน เพียรระวังบาปอกศุ ลท่ียังไม่เกิดไมใ่ ห้เกดิ ขึ้น ปหานปธาน เพียรละบาปอกศุ ลที่เกดิ ขนึ้ แลว้ ภาวนาปธาน เพยี รทำ�ความดีท่ียังไมเ่ กิดใหเ้ กดิ ขน้ึ อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรักษาความดที ี่เกดิ ขน้ึ แล้วใหต้ ง้ั อยู่ เม่ือพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำ�เพ็ญ วริ ิยบารมีอยา่ งแรงกล้าตามลำ�ดับ ดงั น้ี (๑) วิริยบารมี ความเพียรที่มุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักในความเพียรพยายาม เพื่อให้ได้มาซ่ึงพระโพธิญาณ ย่ิงกว่าเพียรพยายาม ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ทรพั ยส์ มบตั ิ ยศถาบรรดาศักด์ิ และคนทีร่ ัก เมื่อตอ้ งเพียรพยายาม ให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณแล้วจึงยอมตัดใจ สละได้แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ และคนท่ีรัก

ค ว า ม นํ า 28 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๒) วิริยอุปบารมี ความเพียรท่ีมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รกั ในความเพยี รพยายาม เพอ่ื รกั ษาไวซ้ ง่ึ พระโพธญิ าณ ยงิ่ กวา่ เพยี รพยายามรกั ษา อวยั วะร่างกาย เมอ่ื ต้องเพียรพยายามใหไ้ ดม้ าซง่ึ พระโพธญิ าณแลว้ ก็ไม่คำ�นงึ ถึงอวยั วะรา่ งกาย จึงยอมตดั ใจ สละไดแ้ มก้ ระท่ังอวัยวะรา่ งกาย (๓) วิริยปรมัตถบารมี ความเพียรพยายามท่ีมุ่งหวังพระโพธิญาณ เป็นเป้าหมาย รักในความเพียรพยายาม เพื่อพระโพธิญาณ ยิ่งกว่าเพียรรักษา ชีวิต เม่ือต้องเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณแล้วก็ไม่คำ�นึงถึงชีวิต จงึ ยอมตดั ใจ สละไดแ้ มก้ ระท่งั ชวี ติ ๓. เมตตาบารมี การบำ�เพ็ญบารมีดว้ ยความรกั ความปรารถนาดี มไี มตรจี ติ คดิ เกอ้ื กลู ใหผ้ อู้ นื่ และเพอ่ื นรว่ มโลกทง้ั ปวงมคี วามสขุ มงุ่ ประโยชนส์ ขุ แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ท้ังหลาย ความเมตตาเป็นพ้ืนฐานในการสร้างความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล ทัง้ เป็นพนื้ ฐานในการสรา้ งความสามัคคขี องหมชู่ น ท�ำ ให้ มองกนั ในแงด่ ี ไมม่ อี คติ ไมโ่ กรธ ไมเ่ กลยี ด ไมเ่ หน็ แกต่ วั หวงั ดตี อ่ กนั รบั ฟงั กนั ด้วยความเข้าใจ ความเมตตาประกอบด้วย เมตตากายกรรม การช่วยเหลือเก้ือกูล ซง่ึ กนั และกนั เมตตาวจกี รรม การพดู จากนั ดดี ว้ ยถอ้ ยค�ำ สภุ าพออ่ นโยน วา่ กลา่ ว ตกั เตอื นดว้ ยความหวงั ดี เมตตามโนกรรม การมองกนั ในแงด่ ี มคี วามปรารถนาดี มคี วามหวงั ดี มีความสงสาร มคี วามเหน็ ใจ อยากชว่ ยเหลอื ใหพ้ น้ ทุกข์ คิด ทำ� แต่ส่งิ ทีจ่ ะอำ�นวยประโยชนส์ ุขให้แกก่ นั เม่ือพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำ�เพ็ญเมตตาบารมี อย่างแรงกล้าตามลำ�ดับ ดังนี้ (๑) เมตตาบารมี ความเมตตาท่ีมีพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย เมตตาตนเสมอด้วยเมตตาผู้อื่นและสัตว์อ่ืน รักความมีเมตตายิ่งกว่ารักทรัพย์ สมบัติ เม่ือต้องบำ�เพ็ญเมตตาบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้ทรัพย์สมบัติ กส็ ละได้

ท ศ ช า ติ 29 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๒) เมตตาอุปบารมี ความเมตตาท่ีมีพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย เมตตาตนเสมอด้วยเมตตาผู้อื่นและสัตว์อ่ืน รักความมีเมตตาย่ิงกว่ารักอวัยวะ ร่างกาย เมื่อต้องบำ�เพ็ญเมตตาอุปบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้อวัยวะ รา่ งกายกส็ ละได้ (๓) เมตตาปรมัตถบารมี ความเมตตาท่ีมีพระโพธิญาณเป็น เป้าหมาย เมตตาตนเสมอด้วยเมตตาผูอ้ นื่ และสตั วอ์ น่ื รกั ความมีเมตตายง่ิ กว่า รักชีวิต เม่ือต้องบำ�เพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้ชีวิต ก็สละได้ ๔. อธษิ ฐานบารมี การบ�ำ เพญ็ บารมดี ว้ ยความตง้ั ใจมนั่ การตดั สนิ ใจ เด็ดเดีย่ ว วางจดุ หมายแห่งการกระท�ำ ของตนไวแ้ น่นอน แล้วด�ำ เนินไปตามสิ่งท่ี ตง้ั ใจไว้ การอธิษฐานที่จะเป็นเหตใุ ห้ได้บรรลผุ ลท่พี ึงประสงค์นั้นต้องมวี ริ ิยะ คือ ความเพียรพยายามอยูร่ ำ�่ ไป ไมท่ ้อถอย มีขันติ คอื ความอดทน มสี ัจจะ คอื ความจรงิ ใจ และรักษาความตัง้ ใจไว้อย่างม่งุ มนั่ ไม่หวัน่ ไหว ลักษณะอธิษฐานธรรม ต้องประกอบด้วยปัญญา สิ่งน้ันต้องเป็นจริง และมีความจริงใจ ซื่อตรงตอ่ ส่งิ ที่อธษิ ฐาน ส่ิงที่ต้องอธิษฐานไว้เป็นเป้าหมายสูงสุด คือ อธิษฐานให้สามารถ พ้นทุกข์ได้ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำ�เพ็ญ อธษิ ฐานบารมอี ย่างแรงกลา้ ตามลำ�ดบั ดังนี้ (๑) อธิษฐานบารมี อธิษฐานใจ ต้ังม่ันไว้ เพ่ือให้ได้พระโพธิญาณ รักษาคำ�อธิษฐานเพื่อพระโพธิญาณย่ิงกว่ารักษาทรัพย์สมบัติ เมื่อต้องบำ�เพ็ญ อธษิ ฐานบารมเี พอ่ื พระโพธญิ าณแลว้ แมจ้ ะตอ้ งเสยี สละทรพั ยส์ มบตั ไิ ป กไ็ มย่ อม ละทิ้งปณิธานทตี่ ง้ั มนั่ อธษิ ฐานไว้

ค ว า ม นํ า 30 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (๒) อธษิ ฐานอปุ บารมี อธษิ ฐานใจ ตง้ั มนั่ ไว้ เพอื่ ใหไ้ ดพ้ ระโพธญิ าณ รักษาคำ�อธษิ ฐานเพ่ือพระโพธญิ าณยิ่งกว่ารกั ษาอวยั วะร่างกาย เมอ่ื ตอ้ งบ�ำ เพ็ญ อธิษฐานอุปบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้จะต้องเสียสละอวัยวะร่างกายไป ก็ไม่ยอมละทงิ้ ปณธิ านทต่ี ั้งมัน่ อธิษฐานไว้ (๓) อธิษฐานปรมัตถบารมี การอธิษฐานใจ ตั้งม่ันไว้ เพ่ือให้ได้ พระโพธิญาณ รักษาคำ�อธิษฐานเพ่ือพระโพธิญาณย่ิงกว่ารักษาชีวิต เมื่อต้อง บำ�เพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้จะต้องสละชีวิตไป กไ็ มย่ อมละทิ้งปณธิ านท่ีตั้งมนั่ อธิษฐานไว้ ๕. ปัญญาบารมี การบำ�เพ็ญบารมีด้วยความรอบรู้ ความหยั่งรู้ เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง ความรอบรู้เป็นพื้นฐาน ท่ีใช้พิจารณาไตร่ตรอง รู้จริงตามเหตุและผล ช่วยในการวินิจฉัยเร่ืองราวท่ีผ่าน เขา้ มา ใหร้ ู้ว่า ผิด ถูก ช่ัว ดี อย่างไร อะไรจรงิ อะไรเทจ็ และอะไรเป็นสจั ธรรม เลอื กยึดถือเอาแตส่ งิ่ ทีถ่ ูกต้อง ละทงิ้ สงิ่ ท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง ปญั ญาบารมขี นั้ สงู สดุ มงุ่ ใหเ้ กดิ ความพน้ ทกุ ข์ ดว้ ยการอบรมศลี ใหเ้ จรญิ ศีลอบรมสมาธิ และสมาธิอบรมปัญญา จนเกิดความรู้ในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมทุ ยั นโิ รธ และมรรค ท�ำ ใหเ้ ขา้ ใจสภาพธรรมตามความเปน็ จริง จนสามารถ ตดั กิเลสได้อยา่ งสนิ้ เชงิ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ยงั ไมไ่ ดต้ รสั รู้ ยงั เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ทรงบ�ำ เพญ็ ปญั ญา บารมีอยา่ งแก่กลา้ ตามล�ำ ดบั ดงั นี้ (๑) ปัญญาบารมี การใช้ปัญญาเพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็น เบ้ืองหน้า รักการแสวงหาปัญญาเพ่ือพระโพธิญาณย่ิงกว่าการแสวงหาทรัพย์ สมบัติ เม่ือต้องบำ�เพ็ญปัญญาบารมีเพ่ือพระโพธิญาณแล้ว แม้ทรัพย์สมบัติ กเ็ สียสละได้ (๒) ปัญญาอุปบารมี การใช้ปัญญาเพ่ือมุ่งหวังพระโพธิญาณ เป็นเบื้องหน้า รักการแสวงหาปัญญาเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย

ท ศ ช า ติ 31 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือต้องบำ�เพ็ญปัญญาอุปบารมีเพื่อพระโพธิญาณแล้ว แม้อวัยวะร่างกาย ก็เสียสละได้ (๓) ปัญญาปรมัตถบารมี การใช้ปัญญาเพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณ เปน็ เบอื้ งหนา้ รกั การแสวงหาปญั ญาเพอ่ื พระโพธญิ าณยง่ิ กวา่ ชวี ติ เมอื่ ตอ้ งบ�ำ เพญ็ ปญั ญาปรมตั ถบารมีเพือ่ พระโพธิญาณแลว้ แมช้ ีวติ กเ็ สยี สละได้ ๖. ศลี บารมี การบำ�เพ็ญบารมีดว้ ยการรกั ษากายวาจาใหอ้ ยู่ในหลกั ความประพฤติท่ีเป็นแบบแผนแห่งภาวะของตน ความประพฤติดีงามถูกต้อง ตามระเบียบวินัย ระวังกายไม่ให้ทำ�ร้ายผู้ใดหรือสัตว์ใดจนเกิดความลำ�บาก เดอื ดรอ้ น การระวงั วาจาไมใ่ หก้ ระทบกระทง่ั ผใู้ ดหรอื สตั วใ์ ดจนเกดิ ความล�ำ บาก เดอื ดรอ้ น ขน้ั สงู สดุ เพอ่ื จะรกั ษาศลี ไมใ่ หถ้ กู ท�ำ ลาย จงึ ยอมสละไดแ้ มก้ ระทงั่ ชวี ติ เม่ือพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำ�เพ็ญศีล บารมีอยา่ งแรงกล้าตามลำ�ดบั ดงั นี้ (๑) ศีลบารมี การรักษาศีลโดยมีพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักการรักษาศีลเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าทรัพย์ เม่ือต้องบำ�เพ็ญศีลบารมีเพ่ือ พระโพธญิ าณแล้ว แมท้ รัพยส์ มบตั กิ เ็ สียสละได้ (๒) ศีลอุปบารมี การรักษาศีลโดยมีพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย รักการรักษาศีลเพ่ือพระโพธิญาณยิ่งกว่าอวัยวะร่างกาย เม่ือต้องบำ�เพ็ญ ศีลอุปบารมีเพือ่ พระโพธญิ าณแล้ว แมอ้ วัยวะร่างกายกเ็ สยี สละได้ (๓) ศลี ปรมตั ถบารมี การรกั ษาศลี โดยมพี ระโพธญิ าณเปน็ เปา้ หมาย รักการรักษาศีลเพ่ือพระโพธิญาณย่ิงกว่าชีวิต เม่ือต้องบำ�เพ็ญศีลปรมัตถบารมี เพอ่ื พระโพธญิ าณแล้ว แม้ชีวิตก็เสียสละได้ ๗. ขันติบารมี การบำ�เพ็ญบารมีด้วยความอดทน ความทนทาน ของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำ�นาจเหตุผล และแนวทาง ความประพฤติหรือการปฏิบัติที่ตั้งไว้ เพื่อจุดหมายอันชอบในเบ้ืองต้น อดทน ต่อความตรากตร�ำ ทัง้ หนาว รอ้ น หิว กระหาย อดทนต่อทุกขเวทนา ในเวลา

ค ว า ม นํ า 32 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ย ขนั้ สูงสุดสามารถทนต่อความเจบ็ ปวดใจอย่างไมเ่ ป็นธรรม อดทน ต่อถอ้ ยค�ำ ทคี่ นอืน่ ดถู ูกเหยยี ดหยาม เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำ�เพ็ญขันติ บารมอี ยา่ งแรงกลา้ ตามล�ำ ดบั ดังน้ี (๑) ขนั ตบิ ารมี ขนั ตทิ บ่ี �ำ เพญ็ ดว้ ยมงุ่ หวงั พระโพธญิ าณเปน็ เบอ้ื งหนา้ รักขันติเพ่ือพระโพธิญาณย่ิงกว่าทรัพย์สมบัติ เมื่อต้องบำ�เพ็ญขันติบารมีเพ่ือ พระโพธิญาณแลว้ แม้ทรพั ย์สมบตั ิก็เสยี สละได้ (๒) ขันติอุปบารมี ขันติที่บำ�เพ็ญด้วยมุ่งหวังพระโพธิญาณเป็น เบื้องหน้า รักขันติเพื่อพระโพธิญาณย่ิงกว่าอวัยวะร่างกายของตน เมื่อต้อง บ�ำ เพญ็ ขนั ติอปุ บารมเี พอื่ พระโพธิญาณแล้ว แม้อวัยวะรา่ งกายก็เสยี สละได้ (๓) ขันติปรมัตถบารมี ขันติที่บำ�เพ็ญด้วยมุ่งหวังพระโพธิญาณ เป็นเบื้องหน้า รักขันติเพื่อพระโพธิญาณยิ่งกว่าชีวิตของตน เม่ือต้องบำ�เพ็ญ ขันติปรมัตถบารมีเพอ่ื พระโพธญิ าณแล้ว แมช้ ีวติ ก็เสียสละได้ ๘. อเุ บกขาบารมี การบ�ำ เพญ็ บารมดี ว้ ยความวางใจเปน็ กลาง ความ วางใจสงบราบเรยี บ สม�ำ่ เสมอ เทย่ี งธรรม และด�ำ รงอยใู่ นธรรม ไมเ่ อนเอยี งหรอื หว่นั ไหวไปด้วยความยนิ ดยี นิ รา้ ย ชอบ ชัง หรอื แรงเย้ายวนยวั่ ยุใด ๆ แม้จะมี เหตกุ ารณท์ ที่ �ำ ใหเ้ กดิ ความล�ำ บาก ยงุ่ ยากใจ กม็ ใี จเปน็ กลาง ไมโ่ กรธ ไมเ่ กลยี ด มองทุกส่ิงและยอมรับตามความเป็นจริง อุเบกขาในเบ้ืองต้นเป็นการยอมรับ ความจริงที่เกิดขึ้นโดยไม่ให้อคติมามีอิทธิพล ทำ�ให้เอนเอียงไปด้านใดด้านหน่ึง ด้วยอ�ำ นาจของความรัก ชงั อุเบกขาอยา่ งสงู ได้แก่ อเุ บกขาในฌาน อันเป็นผล มาจากก�ำ ลังสมาธิท่เี กดิ จากความสงบระงับอยา่ งสงู เมื่อพระพุทธเจา้ ยงั ไมต่ รสั รู้ ยงั เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบ�ำ เพญ็ อุเบกขา อย่างสูงสุด ขณะเกิดเป็นนารทมหาพรหม ดำ�รงอยู่ในอุเบกขาฌานอันเป็นสุข แต่เพ่ือพระโพธิญาณแล้ว ทรงละวางความสุขจากอุเบกขาฌานน้ัน ตั้งมั่นใน

ท ศ ช า ติ 33 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พรหมวิหารธรรมอันบริสุทธิ์ คอยช่วยเหลือสัตว์โลก ผู้ประสบกับความลำ�บาก ดังนี้ (๑) อุเบกขาบารมี อุเบกขาอันเกิดจากปัญญาของผู้บำ�เพ็ญเพ่ือ ประโยชนแ์ หง่ พระโพธญิ าณ รักษาอเุ บกขาอันเกดิ จากปญั ญายิง่ กว่าทรัพย์สมบัติ เมอื่ ตอ้ งบ�ำ เพญ็ อเุ บกขาบารมเี พอื่ พระโพธญิ าณแลว้ แมท้ รพั ยส์ มบตั กิ เ็ สยี สละได้ (๒) อุเบกขาอุปบารมี อุเบกขาอันเกิดจากปัญญาของผู้บำ�เพ็ญเพ่ือ ประโยชนแ์ หง่ พระโพธญิ าณ รกั ษาอเุ บกขาอนั เกดิ จากปญั ญา ยง่ิ กวา่ รกั ษาอวยั วะ ร่างกาย เม่ือต้องบำ�เพ็ญอุเบกขาอุปบารมีเพื่อพระโพธิญาณแล้ว แม้อวัยวะ รา่ งกายกเ็ สียสละได้ (๓) อเุ บกขาปรมตั ถบารมี อเุ บกขาอนั เกดิ จากปญั ญาของผบู้ �ำ เพญ็ เพ่ือประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษาอุเบกขาอันเกิดจากปัญญายิ่งกว่ารักษา ชวี ติ ของตน เมอ่ื ตอ้ งบ�ำ เพญ็ อเุ บกขาปรมตั ถบารมเี พอื่ พระโพธญิ าณแลว้ แมช้ วี ติ ก็เสยี สละได้ ๙. สัจจบารมี การบำ�เพ็ญบารมีด้วยความตั้งม่ันในสัจจะความจริง คอื ความซ่ือตรง พูดไว้อยา่ งไรก็ยอมรับอยา่ งน้นั ตัง้ ใจไวอ้ ยา่ งไรกท็ �ำ อยา่ งน้ัน มงุ่ แสวงหาความจรงิ หรอื ความถกู ตอ้ ง เทยี่ งธรรม และรกั ษาความเทยี่ งธรรมไว้ ลกั ษณะแหง่ สจั จบารมที างกาย ไดแ้ ก่ การตง้ั สจั จะกบั ตนไวว้ า่ จะไมท่ �ำ สงิ่ ชวั่ รา้ ย จะไมพ่ ดู สงิ่ ชว่ั รา้ ย จะท�ำ แตส่ ง่ิ ทด่ี งี าม จะพดู แตค่ �ำ จรงิ ค�ำ ออ่ นโยน ค�ำ ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ความสามคั คี กอ่ ให้เกิดประโยชน์ จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไมห่ ลง ไมอ่ ิจฉาตาร้อน เมื่อต้ังสัจจะไว้อย่างนี้แล้ว ก็ต้ังหน้ารักษาสัจจะด้วยความซ่ือสัตย์ต่อความตั้งใจ ของตน สจั จบารมใี นข้ันต้น ไดแ้ ก่ ความซ่ือสตั ย์ตอ่ หนา้ ที่ ซือ่ สัตยต์ อ่ การงาน ซอ่ื สตั ยต์ อ่ บุคคล และซอ่ื สัตย์ต่อความเทย่ี งธรรม สัจจบารมีข้ันสูงสดุ เม่ือต้อง รกั ษาสัจจะก็ยอมสละไดแ้ มก้ ระทั่งชวี ติ

ค ว า ม นํ า 34 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือคร้ังพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำ�เพ็ญ สัจจบารมอี ย่างแรงกล้าตามล�ำ ดบั ดงั นี้ (๑) สัจจบารมี สัจจะที่บำ�เพ็ญด้วยความหนักแน่น แน่นอน ยึดถือ สัจจะต่อพระโพธิญาณย่ิงกว่าทรัพย์สมบัติ เมื่อต้องรักษาสัจจบารมีเพื่อ พระโพธญิ าณแลว้ แม้ทรัพย์สมบัติกเ็ สียสละได้ (๒) สัจจอุปบารมี สัจจะท่ีบำ�เพ็ญด้วยความหนักแน่น แน่นอน ยึดถือสัจจะต่อพระโพธิญาณยิ่งกว่ายึดถืออวัยวะร่างกายของตน เมื่อต้องรักษา สัจจอปุ บารมีเพอื่ พระโพธิญาณแลว้ แม้อวยั วะรา่ งกายกเ็ สยี สละได้ (๓) สัจจปรมตั ถบารมี สัจจะท่ีบ�ำ เพ็ญด้วยความหนักแน่น แนน่ อน ยดึ ถอื สัจจะต่อพระโพธิญาณย่ิงกว่ายึดถอื ชีวติ ของตน เมื่อต้องรกั ษาสจั จปรมตั ถ บารมเี พ่อื พระโพธิญาณแล้ว แมช้ วี ิตก็เสียสละได้ ๑๐. ทานบารมี การบำ�เพ็ญบารมีด้วยการทุ่มเทอุทิศตนเสียสละ แมแ้ ตส่ ง่ิ ทสี่ ละไดย้ าก การใหเ้ พอ่ื สงเคราะหผ์ ทู้ ข่ี าดแคลน เพอื่ สงเคราะหผ์ ทู้ ค่ี วร สงเคราะห์ เพื่อผูกมิตรภาพ เพ่ือบูชาผู้ท่ีควรบูชา เพื่อตอบแทนคุณ หรือเพื่อ การบำ�เพญ็ บุญ ในข้นั ตน้ ได้แก่ การสงเคราะห์ผอู้ ่นื และสัตวอ์ ่ืนดว้ ยวัตถสุ ง่ิ ของ เรียกว่า “อามิสทาน” นับตั้งแต่ญาติพี่น้อง พวกพ้อง สมณะ และพราหมณ์ ผู้ทรงศีล และสัตว์เดรัจฉานตามโอกาส โดยไม่คำ�นึงถึงทรัพย์สมบัติ อวัยวะ ร่างกาย และชวี ติ ทานบารมสี งู ขน้ึ ไป ไดแ้ ก่ การใหธ้ รรมะเปน็ ทาน ตลอดจนการแนะน�ำ สง่ั สอนใหผ้ อู้ น่ื คดิ ดี ท�ำ ดี ใหเ้ ขาสามารถครองชวี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ยความดงี าม เปน็ การ สงเคราะห์โดยธรรม เป็นการให้ปัญญา สามารถดำ�เนินชีวิตอย่างถูกต้องและ มีคุณค่า เรยี กวา่ “ธรรมทาน” พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ ทรงสั่งสมทานบารมีมาช้านาน ทรงสละทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความยากลำ�บาก สละอวัยวะร่างกายท่ี

ท ศ ช า ติ 35 ค ว า ม นํ า ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง หวงแหนยงิ่ และสละชวี ิตทีส่ ละได้แสนยาก ทานบารมขี องพระโพธิสัตว์ พอกพนู ยิ่งขึน้ ตามล�ำ ดบั จนเปน็ ทานทม่ี คี วามมนั่ คงต่อการปรารถนาพระโพธญิ าณ ดงั น้ี (๑) ทานบารมี ทานทบี่ �ำ เพญ็ ดว้ ยการสละทรพั ยโ์ ดยมพี ระโพธญิ าณ เปน็ เปา้ หมาย หวงแหนพระโพธญิ าณยงิ่ กวา่ หวงแหนทรพั ยส์ มบตั ิ เมอื่ ตอ้ งบ�ำ เพญ็ ทานบารมเี พอ่ื พระโพธญิ าณแลว้ แมท้ รพั ยส์ มบตั ทิ หี่ ามาไดด้ ว้ ยความยากล�ำ บาก กย็ อมสละได้ (๒) ทานอปุ บารมี ทานทบ่ี �ำ เพญ็ ดว้ ยการสละอวยั วะรา่ งกาย หวงแหน พระโพธิญาณย่ิงกว่าหวงแหนอวัยวะร่างกาย เมื่อต้องบำ�เพ็ญทานอุปบารมี เพ่อื พระโพธญิ าณแลว้ แมอ้ วัยวะรา่ งกายซึ่งเป็นสิ่งท่ีหวงแหนยง่ิ บุคคลเสียสละ ได้ยากกย็ อมสละได้ (๓) ทานปรมัตถบารมี ทานท่ีบำ�เพ็ญด้วยการสละชีวิต หวงแหน พระโพธิญาณยิ่งกว่าหวงแหนชีวิต เม่ือต้องบำ�เพ็ญทานปรมัตถบารมีเพ่ือ พระโพธญิ าณแลว้ แมช้ วี ติ ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทห่ี วงแหนยง่ิ เสยี สละไดย้ ากยงิ่ กย็ อมสละได้

36 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

ท ศ ช า ติ 37 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

พ ร ะ เ ต มี ย์ 38 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

พระเตมยี ์ ถึงร้อยภพร้อยชาติ กป็ รารถนาพระโพธิญาณ “แมเ้ ลอื ดเนื้อจะเหือดแห้งไป แม้ร่างกายจะแตกดับ เราจะไมท่ ำ�ลายปณธิ าน”

40 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระเตมยี เ์ ป็นชาดกทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรัสเลา่ ถึงเร่ืองราว ในอดีตชาติของพระองค์ เม่อื คร้งั เกิดเป็นพระเตมยี ์ กมุ าร ทรงมปี ณธิ านทจ่ี ะบ�ำ เพญ็ “เนกขมั มบารม”ี ตงั้ ใจอยา่ งเดด็ เดยี่ วทจี่ ะสละ ราชบลั ลังก์ออกบวช แมจ้ ะได้รับความทกุ ข์ทรมานทงั้ ทางร่างกายและการบบี คัน้ ทางด้านจิตใจอย่างไร ก็ไม่ทำ�ให้ปณธิ านของพระองค์แปรเปล่ียนไป เตมีย์ชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต และอรรถกถา ขทุ ทกนิกาย ชาดก มหานิบาต ขณะตรัสเล่าเร่ืองเตมีย์นั้น พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน มหาวหิ าร อารามของทา่ นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ขณะนนั้ เปน็ เวลาบา่ ยแลว้ อาทติ ย์ ยา้ ยดวงคลอ้ ยตำ�่ ลง หมภู่ กิ ษุตา่ งออกจากสถานท่ีส�ำ หรับทำ�สมาธิ มานง่ั ประชมุ กันในอาคารสำ�หรับแสดงธรรม ได้สนทนาถึงการออกบวชของพระพุทธองค์ว่า เปน็ เรอื่ งนา่ อศั จรรย์ เนอื่ งจากพระองคเ์ ปน็ พระมหากษตั รยิ ์ พรง่ั พรอ้ มดว้ ยสมบตั ิ แหง่ ความเปน็ พระราชา แตพ่ ระองคก์ ลบั เลอื กทจ่ี ะออกบวช จงึ เปน็ สงิ่ นา่ อศั จรรย์ ขณะน้ัน พระพุทธองค์เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังอาคารส�ำ หรับ แสดงธรรม ตรัสถามภิกษุถึงเร่ืองราวท่ีกำ�ลังสนทนากัน เม่ือภิกษุเหล่าน้ัน กราบทูลให้ทรงทราบจึงตรัสว่า พระองค์บำ�เพ็ญบารมีมาจนเต็มเป่ียมแล้ว จึงสละราชสมบัติออกบวชเพื่อตรัสรู้ในชาติน้ี การสละราชบัลลังก์ออกบวช ของผู้ที่มีบารมีเต็มเป่ียมแล้วเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ แต่การออกบวชของ พระองค์ในอดีตชาติขณะญาณยังไม่แก่กล้า ก�ำ ลังบำ�เพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ได้ สละราชสมบัติออกบวช นัน่ ตา่ งหากเป็นเร่อื งนา่ อัศจรรย์ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั เลา่ เรอ่ื งพระเตมยี ก์ มุ าร ผตู้ ง้ั ปณธิ านทจ่ี ะออกบวช อยา่ งแนว่ แน่

ท ศ ช า ติ 41 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ก�ำ เนดิ พระเตมยี ์ ในอดตี ชาติ ไดม้ พี ระเจา้ แผน่ ดนิ พระนามวา่ กาสกิ ราช ครองราชสมบตั ิ ในกรงุ พาราณสี แควน้ กาสี ดว้ ยทศพธิ ราชธรรมเสมอมา พระองคม์ พี ระสนม ถึง ๑๖,๐๐๐ คน แม้เช่นนั้นก็หาได้มีพระโอรสหรือพระธิดากับพระสนม เหล่านั้นไม่ ชาวพระนครเดือดร้อนใจด้วยเกรงว่า หากพระราชาไม่มีพระโอรส หรือพระธิดาแล้วจะไม่มีผู้สืบสันตติวงศ์ จึงรวมตัวกันชุมนุมที่ท้องสนามหลวง กราบทูลให้พระราชาปรารถนาพระโอรส พระราชาจึงรับสั่งกับพระสนมทุกคน ให้ปรารถนาบุตร พระสนมเหล่าน้ันได้ประกอบพิธีต่าง ๆ บนบานศาลกล่าว อ้อนวอน บวงสรวงเทวดาทั้งหลาย มพี ระจนั ทร์ เป็นต้น แม้เชน่ นัน้ กไ็ มม่ ีพระสนมองค์ใด ทรงครรภ์ ฝ่ายเจ้าหญิงจันทา อัครมเหสีพระเจ้ากาสิกราช พระธิดาเจ้าเมือง มัททรัฐ มีพระจริยาวัตรงดงามเพียบพร้อมด้วยศีล เมื่อพระราชารับส่ังให้ต้ัง ความปรารถนาให้ได้พระโอรส แทนท่ีพระองค์จะบวงสรวงเทวดาบนบานอย่าง คนอื่น พระองค์กลับสมาทานศีลอุโบสถในวันเพ็ญ ทรงเปลื้องเคร่ืองประดับ ต่าง ๆ ออก บรรทมบนท่ีนอนปูลาดบนพื้น ทรงรำ�ลึกถึงศีลของพระองค์ แล้ว ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าข้าพเจ้ารักษาศีลไม่ขาด ขอบุตรของข้าพเจ้า จงเกดิ ข้ึน ดว้ ยสจั จวาจานี้” ดว้ ยเดชานภุ าพแหง่ ศลี ทพี่ ระนางจนั ทาเทวสี มาทานรกั ษา พลนั บนั ดาล ให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ อันเป็นทิพยอาสน์ของท้าวสักกเทวราชเกิดรุ่มร้อน เม่ือท้าวสักกะตรวจดูสาเหตุก็ทราบว่า พระนางจันทาเทวีปรารถนาพระโอรส จึงตกลงใจจะให้พระโอรสที่เหมาะสมแก่พระนาง พิจารณาเห็นว่า พระโพธิสัตว์ เป็นผทู้ เี่ หมาะสม

พ ร ะ เ ต มี ย์ 42 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติอยู่ในกรุง พาราณสเี ปน็ เวลา ๒๐ ปี จึงสวรรคตไปบังเกดิ ในอสุ สุทนรก รบั กรรมอยู่เปน็ เวลายาวนานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พ้นจากนรกแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ อยู่ในสวรรค์ช้ันดาวดึงส์จนสิ้นบุญ ครั้นส้ินบุญจะต้องเคลื่อนจากสวรรค์ช้ัน ดาวดึงส์นัน้ มีความประสงค์จะไปเกดิ บนเทวโลกชั้นสงู ขึ้นโดยลำ�ดับ ท้าวสักกะจึงเสด็จไปเชิญพระโพธิสัตว์ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ พร้อมกับ ใหเ้ หตผุ ลวา่ “ขณะน้ี พระนางจนั ทาเทวี อคั รมเหสขี องพระเจา้ กาสกิ ราช ปรารถนาพระโอรส ท่านจงอบุ ัตใิ นพระครรภ์ของพระนาง เมอ่ื เกิดใน โลกมนุษย์แล้ว จะมีโอกาสบำ�เพ็ญบารมีให้เต็มเปี่ยมได้ ความเจริญ จะมีแกท่ า่ น แก่มหาชน และแก่พระชนก พระชนนขี องทา่ นดว้ ย” พระโพธิสัตว์รับคำ�ท้าวสักกะ แล้วได้เสด็จลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ ของพระนางจันทาเทวี พร้อมเทพบุตร ๕๐๐ องค์ท่ีหมดบุญ ต้องจุติ ได้มาถือ ปฏสิ นธใิ นครรภ์เหล่าภรรยาอ�ำ มาตย์ในพระนครน้นั ในกาลน้นั พระครรภข์ องพระนางจันทาเทวีเปน็ ประหนง่ึ วา่ เตม็ ไปดว้ ย แก้ววิเชยี ร พระนางทราบว่าตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระเจ้ากาสิกราชทรงทราบว่าพระมเหสีทรงครรภ์จึงได้ปฏิบัติอย่างดี เมอ่ื ครรภค์ รบก�ำ หนดแลว้ กป็ ระสตู พิ ระโอรสสมบรู ณด์ ว้ ยลกั ษณะผมู้ บี ญุ ญาธกิ าร สว่ นภรรยาอ�ำ มาตย์ทง้ั หมดก็คลอดเดก็ ทารก ๕๐๐ คน ในวันน้ันเช่นกนั ขณะนั้น พระราชากำ�ลังเสด็จออกว่าราชการ ประทับอยู่ท่ามกลาง เหลา่ เสนาอ�ำ มาตย์ แวดลอ้ มไปดว้ ยขา้ ราชบรพิ าร เจา้ หนา้ ทกี่ ราบทลู ใหท้ รงทราบ ว่าพระราชโอรสของพระองคป์ ระสตู แิ ลว้ พระเจ้ากาสิกราชสดบั ค�ำ ถวายรายงาน จากเจ้าหน้าที่ ความรักพระโอรสในฐานะความเป็นบิดาก็เกิดขึ้น ทรงสัมผัสได้ ถึงความรู้สึกของบิดาเป็นคร้ังแรก พระองค์เกิดปีติซาบซ่านอยู่ภายในพระหทัย แม้เหล่าอ�ำ มาตยข์ ้าราชบริพารตา่ งกย็ ินดีปรีดาเป็นสขุ โดยท่วั กนั

ท ศ ช า ติ 43 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือพระโพธิสัตว์ประสูติน้ันได้เกิดฝนตกอย่างหนัก ทำ�ให้เกิดความ ชุ่มฉำ่�ไปทั่วท้ังแคว้นกาสี เหมือนการประสูติของพระโพธิสัตว์จะทำ�ให้พระราชา เบกิ บานพระทัย และทำ�ให้หวั ใจแห่งหมู่อ�ำ มาตย์ ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ ชุ่มเย็นโดยทั่วกัน พระราชาตรัสถามเหล่าอำ�มาตย์เป็นเชิงสัพยอกว่า “ท่านทั้งหลาย ดใี จหรอื ที่เราไดล้ กู ชาย” พวกอ�ำ มาตย์กราบทูลว่า “ไยพระองค์ตรสั ถามเช่นนนั้ เม่ือก่อน พวกขา้ พระองคเ์ หมอื นคนไรท้ พ่ี งึ่ บดั นี้ พวกขา้ พระองคม์ ที พ่ี ง่ึ เพราะได้ เจา้ นายแลว้ ” พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำ�ของเหล่าอำ�มาตย์ ก็เกิดปีติปล้ืม พระทยั ตรสั เรยี กมหาเสนาบดมี าสงั่ วา่ พระโอรสควรจะมบี รวิ าร ใหไ้ ปตรวจดวู า่ วันน้ีมีเดก็ เกิดในเรอื นอำ�มาตย์ท่านใดบา้ ง มหาเสนาบดีไดไ้ ปตรวจดู เห็นทารก ในเรอื นอ�ำ มาตย์ ๕๐๐ คน จงึ กราบทลู ใหท้ รงทราบ พระราชารบั สง่ั ใหพ้ ระราชทาน เครอ่ื งประดบั และนางนมแกท่ ารกท่วั ทุกคน คัดเลือกนางนม สว่ นนางนมของพระโอรสนน้ั พระเจา้ กาสกิ ราชใหค้ ดั เลอื กมาเฉพาะแต่ ผู้มีลักษณะดี ๆ จ�ำ นวน ๖๔ นาง ตอ้ งไมส่ ูงจนเกนิ ไป เตา้ นมต้องไมห่ ยอ่ นยาน และน้�ำ นมต้องมรี สหวาน ถ้านางนมสูงเกินไป เม่ือทารกน่ังด่ืมนม จะทำ�ให้คอทารก ยาวผิดส่วน ถ้าสตรีเต้ียเกินไป จะทำ�ให้กระดูกคอทารกหดส้ันเข้า ถ้าสตรีผอมเกนิ ไป จะท�ำ ใหข้ าของทารกเสยี ดสกี นั ถา้ สตรีอว้ นเกนิ ไป จะท�ำ ใหเ้ ท้าทง้ั สองของทารกเมื่อยขบ ถ้าสตรีผิวดำ�นกั จะท�ำ ให้น�ำ้ นม

พ ร ะ เ ต มี ย์ 44 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เย็นเกินไป สตรีมีผิวขาวนัก จะทำ�ให้นำ้�นมร้อนเกินไป สตรีมีถัน หย่อนยาน จะทำ�ให้ทารกด้ังหัก สตรีเป็นโรคหืด จะมีนำ้�นมเปรี้ยว สตรเี ปน็ โรคมองครอ่ ๑ จะมีนำ�้ นมรสเฝ่ือนเผด็ พระเจ้ากาสิกราชทรงดีพระทัย จึงให้พระนางจันทาเทวีขอพรได้ตาม ปรารถนา พระนางรบั พรแล้วถวายฝากคืนไว้กอ่ น ในวันขนานนามพระโพธิสัตว์ พระเจ้ากาสิกราชบูชาเหล่าพราหมณ์ ผู้รู้ลักษณะพยากรณ์ด้วยสักการะอย่างมากมาย แล้วตรัสถามถึงสิ่งที่จะเป็น อันตรายต่อพระโอรส พวกพราหมณ์เห็นลักษณะพระโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า “พระโอรส ของพระองค์ สมบรู ณด์ ว้ ยลกั ษณะแหง่ บคุ คลผมู้ บี ญุ ญาธกิ าร อยา่ วา่ แต่ ทวีปเพียงหนึ่งเดียวเลย พระโอรสสามารถครองความเป็นพระเจ้า จกั รพรรดไิ ดต้ ลอดมหาทวปี ทงั้ ๔ มที วปี นอ้ ย ๒,๐๐๐ เปน็ บรวิ าร จะไมม่ ี อันตรายใด ๆ เกดิ ข้ึนกับพระโอรส” พระเจา้ กาสกิ ราชสดบั ค�ำ พยากรณข์ องพราหมณเ์ หลา่ นน้ั ทรงดพี ระทยั เปน็ อยา่ งมาก ทรงขนานพระนามพระโอรสวา่ “เตมยี ก์ มุ าร” แปลวา่ “พระกมุ าร ผู้ทำ�ให้โลกเกิดความชุ่มเย็นใจ” เพราะถือเอานิมิตวันที่พระกุมารประสูติ ฝนตกทวั่ กาสกิ รัฐ หัวใจพระราชา อ�ำ มาตย์ และข้าราชบรพิ าร ตลอดจนอาณา ประชาราษฎรต์ ่างช่มุ เย็นใจ เหมอื นถกู รดดว้ ยน้�ำ ฝนใหเ้ กิดความชุ่มฉ�่ำ โดยท่ัวกัน ๑ โรคมองคร่อ คือ โรคหลอดลมโป่งพอง มีเสมหะแห้งติดอยู่ในช่องหลอดลม ทำ�ใหม้ อี าการไอเรอื้ รงั หา้ มไมใ่ หผ้ ้ทู ี่เปน็ โรคนีบ้ วชเป็นพระภกิ ษุ

ท ศ ช า ติ 45 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ไมต่ อ้ งการ เปน็ กษัตริย์ครองแผน่ ดิน เมอ่ื พระโพธิสัตว์มพี ระชนมไ์ ด้ ๑ เดอื น นางนมไดน้ �ำ เข้าเฝา้ พระบดิ า พระราชาทอดพระเนตรเหน็ พระโอรสแลว้ เกดิ ความรกั เปน็ อยา่ งยงิ่ ทรงสวมกอด จุมพิตพระโอรสท่ีพระเศียร อุ้มให้บรรทมบนพระเพลา ประทับน่ังช่ืนชมอยู่กับ พระกมุ าร แม้ขณะทรงปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจ ขณะนน้ั เจ้าหน้าท่เี รอื นจำ�ไดค้ วบคุมตัวนกั โทษ ๔ คน เข้ามายังหนา้ พระทน่ี ง่ั เพอ่ื ใหท้ รงตดั สนิ ลงพระราชอาญา พระราชาตดั สนิ ลงโทษตามความผดิ ดงั น้ี นักโทษคนท่ี ๑ ให้เอาหวายท่ียังมีหนามเฆี่ยน ๑,๐๐๐ ครั้ง แล้วราดด้วยนำ้�เกลือ นักโทษคนท่ี ๒ ให้ตีตรวน แล้วส่งตัวไปคุมขัง ในเรือนจำ� นักโทษคนที่ ๓ ให้เอาหอกแทง ส่วนนักโทษ คนท่ี ๔ ใหเ้ อาหลาวเสยี บ พระโพธสิ ตั วไ์ ดฟ้ งั ค�ำ ตดั สนิ ลงโทษของพระบดิ ากส็ ะดงุ้ กลวั ทรงร�ำ พงึ วา่ “พระชนกของเราอาศัยราชสมบัติทำ�กรรมหนักเหลือเกิน จะทำ�ให้ไป เกดิ ในนรก” คืนนั้น พ่ีเล้ียงนางนมให้พระกุมารบรรทมเหนือพระแท่นที่ตกแต่งไว้ อย่างดีภายใต้มหาเศวตฉัตร พระกุมารบรรทมได้ครู่หน่ึงก็สะดุ้งตื่น พระองค์ ไมอ่ าจขม่ ตาหลบั ตอ่ ไปไดอ้ กี จงึ ทอดพระเนตรมหาเศวตฉตั ร ไดเ้ หน็ สริ ริ าชสมบตั ิ อันย่ิงใหญ่ตระการตา พลันน้ันพระกุมารเกิดความกลัวอย่างจับจิต ทรงสะดุ้ง อยู่ตลอดจนมิอาจจะอดกลั้นได้ พระองค์ลืมตาในความมืดมิดของราตรีอัน ยาวนาน พยายามคดิ ทบทวนวา่ พระองคม์ าจากไหน จงึ ไดม้ าสพู่ ระราชมณเฑยี ร ภายใตม้ หาเศวตฉตั รแห่งนี้

พ ร ะ เ ต มี ย์ 46 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เมือ่ ทรงใครค่ รวญดู ก็กลับระลึกชาติไดว้ า่ พระองคจ์ ตุ มิ าจากสวรรค์ ชน้ั ดาวดงึ ส์ พระองคท์ รงทบทวนตอ่ ไปอกี ก็ทราบว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยใู่ น อุสสุทนรกเป็นเวลายาวนาน ทรงทบทวนต่อไปอีกว่า ทำ�ไมจึงได้ไปเกิดในนรก ก็ทราบว่า พระองค์เคยเป็นพระราชาปกครองแผ่นดินภายใต้มหาเศวตฉัตรน้ี น่ันเอง ทรงพิจารณาอยู่ก็ทราบว่า พระองค์ได้ครองราชสมบัติอยู่ในกรุง พาราณสีน้ีเป็นเวลา ๒๐ ปี หลังจากสวรรคตแล้วได้ไปเกิดในนรกหมกไหม้ อยู่ยาวนานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี บัดนี้ได้กลับมาเกิดในปราสาทราชฐาน ซ่ึงเปรียบ ประหนงึ่ เรอื นโจรภายใตเ้ ศวตฉตั รนอ้ี กี ครงั้ พระกมุ ารทบทวนเหตกุ ารณท์ ผี่ า่ นมา ขณะเจ้าหน้าท่ีควบคุมตัวนักโทษ ๔ คนมา เห็นพระบิดากล่าวคำ�หยาบ อันจะ เปน็ เหตใุ หต้ กนรกเชน่ นนั้ หากพระองคเ์ องไดค้ รองราชสมบตั ิ กจ็ ะกลบั ไปบงั เกดิ ในนรกรบั กรรมอกี ครง้ั เปน็ แน่ พระกมุ ารเกดิ ความกลวั อยา่ งมาก จนท�ำ ใหผ้ วิ พรรณ ดุจทองคำ�ซูบซีด เหี่ยวแห้ง เศร้าหมองลง เหมือนดอกบัวท่ีถูกคนเอามือขยำ� จนเหย่ี วเฉา พระองค์บรรทมรำ�พึงอยู่ในความมืดมิดของราตรีว่า ทำ�อย่างไรจึงจะ พ้นจากพระราชมณเฑียร ซึง่ เปรยี บประหนง่ึ เรอื นโจรนี้ไปให้ได้ เทพธิดาผู้สิงสถิตอยู่ท่ีมหาเศวตฉัตร เคยเป็นมารดาพระเตมีย์ใน ชาติหนึ่ง เห็นเช่นน้ันก็เห่กล่อมพร้อมท้ังปลอบโยนพระกุมารให้สบายพระทัยว่า “เตมีย์ ลูกแม่ ลูกอย่าเศร้าโศก อย่าคิดมาก อย่าหวาดกลัวไปเลย ถ้าลูกปรารถนาจะพ้นจากราชสมบัตินี้ ลูกแม่ไม่ได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ก็จงทำ�เป็นเหมือนคนง่อยเปลี้ย ลูกไม่ได้เป็นคนหูหนวก ก็จงทำ�เป็น เหมอื นคนหูหนวก ไม่ไดเ้ ป็นใบ้ กจ็ งทำ�เปน็ เหมือนคนใบ้เถดิ จงตงั้ ใจ อธษิ ฐาน ๓ อยา่ งน้ี อยา่ แสดงใหเ้ ขาเหน็ วา่ เปน็ คนฉลาด จงใหค้ นทง้ั ปวง รกู้ นั วา่ ลกู เปน็ คนโงเ่ ขลาเบาปญั ญา คนเหลา่ นนั้ จะไดก้ ลา่ วโทษดหู มนิ่ ลูกว่าเป็นกาลกิณี ความปรารถนาของลกู จะสำ�เรจ็ ไดด้ ว้ ยวิธนี ้ี”

ท ศ ช า ติ 47 พ ร ะ เ ต มี ย์ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระกมุ ารกลบั บงั เกดิ ความอบอนุ่ พระทยั ขนึ้ มาได้ เพราะค�ำ ปลอบโยน ของเทพธิดา จึงตอบว่า “แม่เทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำ�ตามคำ�ของท่าน ท่านเหน็ ประโยชน์จึงไดเ้ ก้ือกลู ขา้ พเจ้าอย่างมากมายเช่นน้”ี ครนั้ แลว้ พระกมุ ารกไ็ ดต้ งั้ จติ อธษิ ฐานตามค�ำ แนะน�ำ ของเทพธดิ า แลว้ เทพธดิ าก็ไดอ้ ันตรธานหายไปในความมืดมดิ ของราตรีกาลนั้น ปณธิ านพระเตมีย์ ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราชเกรงพระโอรสจะเหงา ทรงดำ�ริว่า พระโอรส ควรไดเ้ ดก็ ๕๐๐ คน มาเปน็ เพอื่ นเลน่ จะไดเ้ บกิ บานใจ จงึ รบั สงั่ ใหน้ �ำ เดก็ ทง้ั หมด มาเลยี้ งในราชส�ำ นักของพระเตมยี ์ พวกเด็กคนอนื่ ๆ ตา่ งรอ้ งดมื่ นมกระจองอแง แต่พระเตมีย์กลับนิ่งเฉยไม่ทรงกรรแสงร้องไห้ เพราะถูกสะกดด้วยภาพนรก อันน่าหวาดกลัว ทรงครุ่นคิดว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป แม้เลือดเนื้อจะ เหอื ดแหง้ ไป แมร้ า่ งกายจะแตกดบั เราจะไมท่ �ำ ลายปณธิ าน” แลว้ ไมท่ รง กรรแสงรอ้ งไห้อีกเลย เหล่านางนมเห็นผิดปกติ ได้กราบทูลให้พระนางจันทาเทวีทราบ พระนางจึงกราบทูลแด่พระเจ้ากาสิกราช พระราชารับสั่งให้เรียกประชุมเหล่า พราหมณ์ ตรัสถามถึงความผิดปกติของพระโอรส พราหมณ์กราบทูลพระราชา ให้นางนมถวายนมพระกุมารช้ากว่าปกติ เม่ือทำ�เช่นน้ีก็จะทำ�ให้พระกุมารทรง กรรแสงขอดมื่ นมเอง นางนมท้งั หลายกป็ ฏิบัตติ าม ได้ถวายน้ำ�นมแดพ่ ระเตมีย์กมุ ารชา้ กว่า ปกติ บางครงั้ ถวายนมชา้ กวา่ มอื้ หนง่ึ บางครง้ั ไมถ่ วายตลอดทง้ั วนั แมพ้ ระเตมยี ์ จะหวิ แสนหวิ ก็ไมท่ รงกรรแสงรอ้ งขอเสวยนม

พ ร ะ เ ต มี ย์ 48 ท ศ ช า ติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง พระมารดาเห็นพระโอรสอดนมนานขนาดนั้นก็สงสาร ทรงร้อนรน พระทยั วา่ ลกู หวิ จงึ ใหเ้ สวยน�ำ้ นมจากพระถนั ของตนเอง ทารกคนอน่ื เมอื่ ไดด้ ม่ื นม ชา้ กว่าเวลาบ้าง ไมไ่ ด้นอนตามเวลาบ้าง ตา่ งกร็ ้องไหร้ ะงมไปทวั่ แตพ่ ระเตมีย์ กมุ ารไมท่ รงกรรแสง ไมท่ รงคร่�ำ ครวญ ไมค่ ู้พระหตั ถแ์ ละพระบาท ไม่สง่ เสียง ใด ๆ เพราะถูกภยั จากนรกคกุ คามใหห้ วาดกลัว นางนมทงั้ หลายตา่ งวเิ คราะหก์ นั วา่ มอื และเทา้ ของคนงอ่ ยเปลย้ี กต็ าม ปลายคางของคนใบ้ก็ตาม ช่องหูของคนหูหนวกก็ตาม ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ จะต้องมีอะไรสักอย่างเป็นสาเหตุทำ�ให้พระกุมารกลายเป็นเช่นน้ี จึงคิดกันว่า จะทดลองพระกุมารเรื่องน้ำ�นมก่อน แล้วไม่ถวายน้ำ�นมพระกุมารตลอดทั้งวัน แม้ร่างกายพระเตมีย์จะอ่อนระโหยโรยแรง ก็ไม่กรรแสงร้องขอนม แม้นางนม จะทดลองไม่ใหด้ ่ืมนมตลอดทั้งวนั โดยท�ำ นองนเ้ี ปน็ เวลาหนึ่งปเี ตม็ ก็ไมเ่ หน็ พริ ธุ ของพระกมุ ารแต่อยา่ งใด ถูกทดลอง เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑ ชันษา พวกอำ�มาตย์กราบทูลพระราชาว่า “ตามปกติ เดก็ ทม่ี อี ายหุ นงึ่ ขวบชอบขนมและของเคยี้ ว พวกขา้ พระองค์ จะทดลองพระกุมารด้วยขนมและของเค้ียว” จึงทดลองนำ�เด็กบริวาร ทั้งหมดมาน่ังห้อมลอ้ มพระราชกุมาร ให้นำ�ขนมและของเคยี้ วมากมายไปวางไว้ ใกล้ ๆ พระเตมีย์ปล่อยให้เด็กท้ังหมดยื้อแย่งกันกินขนมตามชอบใจ ส่วนพวก อ�ำ มาตย์พากนั ยืนแอบสังเกตดู เด็กคนอ่ืน ๆ ทั้งทะเลาะทง้ั ย้ือแย่งกนั กนิ ขนม ส่วนพระเตมีย์ แม้จะหิวแสนหิวก็อดกล้ัน บอกตัวเองว่า “เตมีย์ ถ้าต้องการไปนรก ก็กินขนมและของเค้ียวน้ัน” เพราะกลัวภัยในนรกซึ่ง ปรากฏอยใู่ นหว้ งส�ำ นกึ จงึ ไมท่ อดพระเนตรดขู นมและของเคย้ี วเลย แมพ้ ระเตมยี ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook