183 รัฐธรรมนญู ของฟิ ลิปปินส์ว่าจดั วางโครงสร้างอํานาจของสถาบนั ตลุ าการไว้เช่นไรในระบบการเมืองและ โครงสร้างรัฐ ทงั้ นีเ้พราะตวั บทกฎหมายย่อมเป็นปัจจยั พืน้ ฐานท่ีสดุ ในการพิจารณาสถานะทางกฎหมาย ของศาลสงู สดุ (the Supreme Court) ของฟิ ลิปปินส์ หวั ข้อถดั ไปคือ ปฏิบัติการและผลกระทบของ การเมืองเชิงตุลาการในฟิ ลิปปิ นส์ เพราะปัญหาการเมืองในแต่ละสงั คมย่อมแตกต่างกนั ฟิ ลิปปินส์ เป็นประเทศท่ีอย่ภู ายใต้เผด็จการของประธานาธิบดี Marcos จนถึง ค.ศ. 1987 จากนนั้ ก็เผชิญหน้ากบั อํานาจของประธานาธิบดีเพียงคนเดียวเช่น Gloria Macapagal – Arroyo อย่างตอ่ เนื่องมานานกว่าสิบ ปี3 เง่ือนไขทางการเมืองดงั กลา่ วย่อมประเมินในเบือ้ งต้นได้ถึงอํานาจนําของฝ่ ายบริหาร (hegemony of government) และลกั ษณะท่ีแตกตา่ งดงั กลา่ วย่อมทําให้การประเมินสถานะภาพและบทบาทหน้าที่ท่ีพงึ ปฏิบตั ิของผ้พู ิพากษาและศาลสงู สดุ อาจต้องแตกต่างไปจากสงั คมอ่ืน บนเงื่อนไขทางสงั คมที่ต่างกัน ความคาดหวังของประชาชนและปฏิบัติการทางการเมืองของศาลย่อมผันไปตามบริบททางสังคม ดงั กล่าว เนือ้ หาในส่วนนีจ้ ึงเน้นศึกษาปฏิบัติการของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อํานาจในการ พิจารณาพิพากษาคดีทางการเมือง ซึง่ เป็นอํานาจเฉพาะของสถาบนั ตลุ าการว่ามีนยั หรือก่อให้เกิดผล ทางการเมืองอย่างไรบ้าง และเมื่อมีการกระทําทางการเมืองของสถาบนั ตลุ าการแล้วจากนนั้ ก็หลีกเล่ียง ไม่ได้ท่ีจะต้องบรรยายถึงปฏิกิริยาตอบโต้ของการเมืองเชิงตลุ าการในสงั คมฟิ ลิปปินส์ เพราะเมื่ออํานาจ ตลุ าการเข้าไปพวั พนั กบั ข้อขดั แย้งทางการเมืองแล้วก็อาจมีแนวโน้มจะจะสญู เสียความเป็นอิสระและ ความเป็นกลางเชิงการเมืองไปได้ ภายใต้เงื่อนไขดงั กล่าวสาธารณชนของฟิ ลิปปินส์มีทศั นะต่อสถาบนั ตลุ าการอยา่ งไร และสดุ ท้ายตามเปา้ ประสงค์ของงานวิจยั ชิน้ นี ้คือ การประเมนิ และถอดบทเรียนจาก ฟิ ลิปปิ นส์ เพื่อย้อนพินิจพิจารณาว่าประสบการณ์การเมืองเชิงตุลาการในสงั คมฟิ ลิปปินส์อาจทําให้ เข้าใจสงั คมไทยในมติ กิ ารเมืองเชิงตลุ าการได้กว้างขวางขนึ ้ 1. บริบทและความเป็ นมาของรัฐธรรมนูญฟิ ลิปปิ นส์ จากบทเรียนท่ีชาวฟิ ลิปปินส์ได้รับในช่วงสมัยการปกครองของ Marcos ซ่ึงของศาลสูงสุดได้ แสดงบทบาทวา่ เป็นสถาบนั หนึ่งที่มีช่วยสนบั สนนุ ให้ Marcos สามารถก้าวขนึ ้ สอู่ ํานาจและสนบั สนนุ ให้ รัฐบาลใช้การปกครองแบบเผด็จการ ดังนัน้ หลังจากเกิดการปฏิวัติประชาชนและมีการสถาปนา 3 Raul C. Pangalangan, “Philippine Constitutional Law: Majoritarian Courts and Elite Politics” in Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 295
184 รัฐธรรมนูญเมื่อ ค.ศ. 1987 ศาลสงู สดุ จึงถกู สร้างและกําหนดอํานาจหน้าที่ขึน้ ใหม่ การกําหนดอํานาจ หน้าที่ขึน้ ใหม่ดงั กลา่ วนีว้ างอย่บู นเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ศาลสงู สดุ เป็นปราการสําคญั ในการค้มุ ครอง สิทธิของประชาชน และตอ่ ส้กู บั ความไมช่ อบธรรมทางการเมือง เพ่ือปอ้ งกนั มิให้เกิดเหตกุ ารณ์ดงั เช่นยคุ สมยั ของ Marcos ขนึ ้ มาอีก รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 กําหนดให้มีผู้พิพากษาในศาลสงู สดุ 15 คน ประกอบด้วย ผ้พู ิพากษา หัวหน้าศาล (Chief Justice) 1 คน และผู้พิพากษาร่วมองค์คณะ (Associate Justices) อีก 14 คน มี หน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีต่างๆ ท่ีถกู ส่งมาจากศาลอทุ ธรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคดีทางอาญา ทางแพ่ง หรือคดีปกครองก็ตาม4 อีกทงั้ มาตรา 4 (1) ในหมวด 8 แห่งรัฐธรรมนญู ดงั กล่าวยงั กําหนดให้ อํานาจตลุ าการเป็นของศาลสงู สดุ และศาลลําดบั รองอื่นๆ เท่านนั้ องค์กรอื่นอย่างฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ หรือ ฝ่ ายบริหาร จะเข้ามาแทรกแซงหรือใช้อํานาจตุลาการไม่ได้5 การกําหนดหลักการดังกล่าวไว้ใน รัฐธรรมนูญถือเป็นการคุ้มครองและประกันสิทธิให้แก่ผู้พิพากษาอย่างชัดเจนว่า ในการพิจารณา พิพากษาคดีอย่างใดๆ นนั้ ผ้พู ิพากษาจะไม่ถกู แทรกแซงโดยบคุ คลหรือสถาบนั อื่น อนั ถือเป็นการได้รับ ความค้มุ ครองตามหลกั ความเป็นอิสระในการในพิจารณาคดีของศาล ซง่ึ ส่งผลให้ศาลสามารถใช้ดลุ ย พนิ ิจในการอํานวยความยตุ ธิ รรมให้แก่คคู่ วามได้อยา่ งเตม็ ท่ี อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอํานาจหน้าท่ีของศาลสงู สดุ ตามรัฐธรรมนญู ค.ศ. 1987 จะพบว่า อํานาจดงั กลา่ วสามารถแบง่ ได้ออกเป็น 2 ลกั ษณะ ได้แก่ 1.1 อาํ นาจทางตลุ าการ อํานาจทางตลุ าการหรืออํานาจในการตดั สินระงบั ข้อพิพาทในเรื่องต่างๆ ของศาล ถกู ระบไุ ว้ใน มาตรา 5 (2) หมวดท่ี 8 แห่งรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 เช่น อํานาจในการตรวจสอบ ตรวจทาน หรือแก้ไข 4 Constitution of the Republic of the Philippines article 8 Section 4(1). The Supreme Court shall be composed of a Chief Justice and fourteen Associate Justices. It may sit en banc or in its discretion, in division of three, five, or seven Members. Any vacancy shall be filled within ninety days from the occurrence thereof. 5 Constitution of the Republic of the Philippines article 8 Section 1. The judicial power shall be vested in one Supreme Court and in such lower courts as may be established by law.
185 บรรดาคดีต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากศาลล่าง อํานาจในการวินิจฉัยข้อพิพาททางภาษี หรืออํานาจในการ วินิจฉยั ข้อพิพาทท่ีเป็นประเด็นทางสงั คมอนั มีเร่ืองของปัญหาทางข้อกฎหมายเข้ามาเก่ียวข้อง6 การเปิด โอกาสให้ศาลสูงสุดเข้าไปตดั สินหรือระงับข้อพิพาทในประเด็นที่เป็นประเด็นทางการทูตหรือกงสุล ตา่ งประเทศ ประเด็นเกี่ยวกบั การกระทําของรัฐบาลในเร่ืองการจดั ทําประโยชน์สาธารณะ หรือประเด็น เก่ียวกบั รัฐมนตรี เป็นต้น7 ศาลสามารถใช้อํานาจของฝ่ายตลุ าการในการเข้าไปควบคมุ จดั การ หรือระงบั ข้อพิพาทให้แก่คนและองค์กรต่างๆ เหล่านีไ้ ด้ การใช้อํานาจของศาลสงู สดุ ในลกั ษณะดงั กล่าวถือเป็น อํานาจทางศาลโดยทวั่ ไปที่นานาประเทศต่างกําหนดไว้และใช้อย่างแพร่หลาย แตค่ วามพิเศษของระบบ ศาลฟิ ลิปปินส์ คือมีการเปิดช่องทางให้ศาลสูงสดุ สามารถใช้อํานาจทางตุลาการเข้าไปมีบทบาททาง การเมืองได้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งท่ีตรงข้ามกับหลักการแบ่งแยกอํานาจ (separation of powers) ท่ีนานา ประเทศได้ยดึ ถือเป็นแนวปฏิบตั ใิ นการกําหนดความสมั พนั ธ์ระหวา่ งฝ่ายตลุ าการและฝ่ายอื่นๆ 6 Constitution of the Republic of the Philippines article 8 Section 5. The Supreme Court shall have the following powers: (2). Review, revise, reverse, modify, or affirm on appeal or certiorari, as the law or the Rules of Court may provide, final judgments and orders of lower courts in: (a) All cases in which the constitutionality or validity of any treaty, international or executive agreement, law, presidential decree, proclamation, order, instruction, ordinance, or regulation is in question. (b) All cases involving the legality of any tax, impost, assessment, or toll, or any penalty imposed in relation thereto. (c) All cases in which the jurisdiction of any lower court is in issue. (d) All criminal cases in which the penalty imposed is reclusion perpetua or higher. (e) All cases in which only an error or question of law is involved. 7 Constitution of the Republic of the Philippines article 8 Section 5. The Supreme Court shall have the following powers: (1) Exercise original jurisdiction over cases affecting ambassadors, other public ministers and consuls, and over petitions for certiorari, prohibition, mandamus, quo warranto, and habeas corpus.
186 1.2 อาํ นาจทางการเมือง ตามรัฐธรรมนญู ค.ศ. 1987 นอกจากจะกําหนดให้ศาลสงู สดุ สามารถใช้อํานาจทางตลุ าการใน การระงบั ข้อพิพาทในประเด็นต่างๆ อนั เกิดระหว่างเอกชนกบั เอกชนหรือเอกชนกบั รัฐแล้ว รัฐธรรมนูญ ฉบบั ดงั กลา่ วยงั กําหนดให้ศาลสงู สดุ สามารถใช้อํานาจของฝ่ายตลุ าการเข้าไปควบคมุ ตดั สิน บรรดาการ กระทําทางการบริหารประเภทต่างๆ ของรัฐบาลได้ด้วย เช่น การให้ศาลมีอํานาจในการตรวจสอบ ความชอบธรรมของการทําสนธิสญั ญาระหวา่ งประเทศ รวมถึงข้อตกลงทางการบริหารตา่ งๆ การให้ศาล ฎีกาเข้าไปมีบทบาทในการตดั สนิ ความชอบธรรมต่อ ประกาศ/คําสงั่ ของประธานาธิบดี หรือกฎระเบียบ ตา่ งๆ ที่ออกโดยฝ่ายบริหาร8 อีกทงั้ ศาลสงู สดุ ยงั มีอํานาจในการตรวจสอบบรรดาคําร้องตา่ งๆ ท่ีถกู สง่ มา จากประชาชนโดยตรง ในกรณีท่ีประชาชนกลมุ่ นนั้ ๆ ได้รับผลกระทบจากการท่ีรัฐบาลประกาศกฎอยั การ ศกึ หรือสงั่ ระงบั สทิ ธิบางประการของประชาชนได้อีกด้วย9 นอกจากนี ้ ตามมาตรา 4 วรรคท้ายแห่งรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 ยงั ได้กําหนดบทบาททางการ เมืองที่สําคญั อีกประการหน่ึงให้แก่ศาลสงู สดุ ได้แก่ การถกู มอบหมายให้เป็นผ้ใู ห้การรับรองคณุ สมบตั ิ ของบคุ คลท่ีจะลงสมคั รเพ่ือรับเลือกตงั้ เป็นประธานาธิบดี รวมถึงเป็นผ้ใู ห้การรับรองผลโหวดหรือผลการ เลือกตงั้ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี10 ซง่ึ เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายการเมืองด้วย การให้ 8 Constitution of the Republic of the Philippines article 8 Section 4(2) All cases involving the constitutionality of a treaty, international or executive agreement, or law, which shall be heard by the Supreme Court en banc, and all other cases which under the Rules of Court are required to be heard en banc, including those involving the constitutionality, application, or operation of presidential decrees, proclamations, orders, instructions, ordinances, and other regulations, shall be decided with the concurrence of a majority of the Members who actually took part in the deliberations on the issues in the case and voted thereon. 9 Constitution of the Republic of the Philippines article 7 Section 18 three paragraph. The Supreme Court may review, in an appropriate proceeding filed by any citizen, the sufficiency of the factual basis of the proclamation of martial law or the suspension of the privilege of the writ of habeas corpus or the extension thereof, and must promulgate its decision thereon within thirty days from its filing. 10 Constitution of the Republic of the Philippines. Article 7 Section 4. last paragraph. The Supreme Court, sitting en banc, shall be the sole judge of all contests relating to the election, returns, and qualifications of the President or Vice-President, and may promulgate its rules for the purpose.
187 อํานาจแก่ศาลฎีกาในการเข้าไปมีบทบาททางการเมืองในรูปแบบตา่ งๆ ดงั กลา่ วจึงเป็นสงิ่ ที่แสดงให้เห็น อย่างชดั ว่า รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1987 ได้พยายามสร้างให้ฝ่ ายตลุ าการเป็นองค์กรที่คอยตรวจสอบถ่วงดลุ การกระทําของรัฐบาล โดยม่งุ หวงั ป้องกันมิให้เกิดการเผด็จการโดยฝ่ ายบริหารดงั เช่นที่เกิดปรากฏขึน้ ในช่วงสมยั ของ Marcos ขนึ ้ มาอีก อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1987 จะเปิดช่องให้ศาลสงู สดุ สามารถใช้อํานาจตลุ าการเข้า ไปควบคมุ ตรวจสอบอํานาจของรัฐบาลได้ก็ตาม แตข่ อบขา่ ยอํานาจดงั กลา่ วก็มีอย่เู พียงตามท่ีกําหนดไว้ ในมาตรา 5 หมวดที่ 8 แห่งรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 เท่านัน้ ซึ่งหมายความว่าหากมีกรณีท่ีเป็ น ปรากฏการณ์นอกเหนือจากขอบข่ายอํานาจตามมาตราดงั กล่าว ศาลสงู สดุ ก็ไม่สามารถที่จะใช้อํานาจ ของตนเพ่ือเข้าไปใช้ดุลยพินิจหรือตดั สินอย่างใดๆ ได้ หากแต่ต้องขอความเห็นหรือนําปรากฏการณ์ ดังกล่าวเข้าสู่สภาคองเกรส (Congress) เพ่ือให้บรรดาผู้แทนในสภาพิจารณาตัดสินว่าศาลสูงสุด สามารถใช้อํานาจกบั เรื่องท่ีอยนู่ อกเหนือเขตอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 5 ได้หรือไม1่ 1 การกําหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนีจ้ ึงเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชดั เจนว่า แม้รัฐธรรมนูญจะมุ่ง สร้ างให้ศาลสูงสุดเป็นองค์กรท่ีพิทักษ์สิทธิมนุษยชนไปพร้ อมๆ กับการป้องกันการเผด็จการของฝ่ าย บริหารก็ตาม แตภ่ าพเม่ือครัง้ อดีตที่ศาลสงู สดุ เคยถกู ใช้เป็นเครื่องมือของ Marcos ก็ยงั คงเป็นบทเรียนที่ สําคญั เช่นกนั การกําหนดหรือจํากดั ขอบเขตอํานาจของศาลไว้ และการกําหนดกระบวนการให้ต้องขอ การอนมุ ตั จิ ากสภาคองเกรสจงึ ถือเป็นกระบวนการท่ีใช้ควบคมุ และปอ้ งกนั ไมใ่ ห้ศาลสงู สดุ ลแุ ก่อํานาจ 2. โครงสร้างและตาํ แหน่งแห่งท่ขี องอาํ นาจตลุ าการฟิ ลิปปิ นส์ 2.1 พลวัตของระบบศาลในฟิ ลิปปิ นส์ นับตัง้ แต่การได้รับอิสรภาพจากการปกครองของญ่ีป่ ุนเม่ือครัง้ สิน้ สุดสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 ฟิ ลิปปินส์คือประเทศหน่ึงที่มีการพฒั นาหลกั ประชาธิปไตยมาอย่างตอ่ เนื่อง โดยศาลสงู สดุ ได้กลายเป็น กลไกอย่างหน่ึงที่ฟิ ลิปปินส์กําหนดให้มีบทบาทในการนํามาพัฒนาหลักประชาธิปไตยและส่งเสริม 11 Constitution of the Republic of the Philippines. Article 8 Section 2. The Congress shall have the power to define, prescribe, and apportion the jurisdiction of the various courts but may not deprive the Supreme Court of its jurisdiction over cases enumerated in Section 5 hereof.
188 คุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คนในประเทศ แต่กว่าศาลสูงสุดจะกลายมาเป็นหน่ึงในองค์กรที่มี บทบาทสําคญั ตอ่ การช่วยเหลือค้มุ ครองสทิ ธิดงั กลา่ วนนั้ ศาลสงู สดุ ได้ผ่านการเปล่ียนแปลงสําคญั ๆ มา หลายครัง้ อีกทงั้ การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านนั้ ก็มีทงั้ ส่งเสริมหลกั ประชาธิปไตย และส่งเสริมเกือ้ หนุนต่อ ระบอบเผด็จการ เพราะฉะนนั้ การทําความเข้าใจกบั ความเปล่ียนแปลงในตําแหน่งแห่งที่และโครงสร้าง ของศาลสงู สดุ รวมถึงทําความเข้าใจกบั สาเหตหุ รือปัจจยั ต่างๆ อนั ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะ กลายมาเป็ นองค์กรที่ช่วยส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของประชาชนภายหลังการล่มสลายของ ประธานาธิบดี Marcos สามารถจําแนกได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ 2.1.1 ระบบศาลในยุคก่อนอาณานิคม12 ก่อนท่ีฟิ ลิปปินส์จะตกเป็นอาณานิคมของสเปน ความเป็นรัฐของฟิ ลิปปินส์ยงั ไม่มีความชดั เจน นกั การปกครองในห้วงเวลานีจ้ ึงเป็นการปกครองในลกั ษณะของชมุ ชน โดยแตล่ ะชมุ ชนสามารถออกกฎ หรือข้อกําหนดเพ่ือใช้ปกครองตนเอง ฉะนนั้ การระงบั ข้อพิพาทในคดีต่างๆ จึงเป็นเร่ืองของชมุ ชนท่ีจะ จดั การกันเอง ซ่ึงระบบเช่นว่านัน้ เป็นระบบท่ีมีรูปแบบโบราณ โดยการระงับข้อพาทนัน้ รัฐจะแต่งตงั้ หวั หน้าหม่บู ้านขึน้ (datu) ในแตล่ ะหม่บู ้าน (barangay) เพ่ือเคยดแู ลคนในหม่บู ้านแทนรัฐ ซง่ึ ตําแหน่ง datu นีจ้ ะตกทอดแก่ทายาทต่อเน่ืองประหนึ่งด่ังมรดกในตระกูล หากใครได้รับแต่ตัง้ ให้เป็น datu ลกู หลานในครอบครัวนนั้ ๆ ก็จะเป็นผ้สู ืบทอดตําแหน่ง datu ตอ่ ไป ในแต่ละหม่บู ้านจะมีอํานาจเป็นของตวั เอง สามารถออกกฎหมายขึน้ ปกครองตนเองได้ สร้าง รัฐบาลเพื่อดแู ลหม่บู ้านของตนเองได้ และสามารถออกข้อกําหนดเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีในหม่บู ้าน ของตนเองได้ด้วยเช่นกัน ซ่ึงกระบวนการต่าง ๆ นีจ้ ะกระโดยหรือกระทําผ่าน datu หรือผู้ที่ได้รับการ แต่งตงั้ จาก datu อีกทีหน่ึง โดย datu เหล่านีก้ ็จะมีผ้อู าวโุ สของหม่บู ้าน (elders) เป็นท่ีปรึกษา และให้ คําแนะนําในการตดั สินใจในเร่ืองต่างๆ เช่น เร่ืองของการประกาศใช้กฎหมาย การพิจารณาคดี การ ประกาศสงคราม หรือการเจรจาสนธิสญั ญาตา่ งๆ กบั หมบู่ ้านอื่น เป็นต้น ระบบกฎหมายในช่วงเวลานี ้ มีทัง้ ระบบที่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และระบบจารีตประเพณี ซ่ึง กฎหมายที่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรนนั้ ส่วนมากสญู หาย คงเหลือให้เห็นแต่เพียง Code of Maragtas กบั 12 Raul C. PANGALANGAN, The Philippine Judicial System, IDE Asian Law Series No. 5 : Judicial System and Reforms in Asian Countries (Philippines), University of the Philippines Institute, March 2001, pp. 1–2
189 the Code of Kalantiaw ซ่ึงได้แสดงให้เห็นถึงระบบการระงับข้อพิพาทในช่วงเวลานัน้ ว่ามีลกั ษณะที่ คล้ายคลงึ กบั การระงบั ข้อพิพาทโดยศาลในยคุ ปัจจบุ นั กลา่ วคือ หากมีข้อพิพาทระหว่างหม่บู ้านเกิดขนึ ้ ลกั ษณะของการระงบั ข้อพิพาทก็จะมีการแบ่งเป็น datu ศาลสงู สดุ (superior datus) ซึง่ เป็นบุคคลท่ีรัฐ กําหนด กบั datu ศาลลา่ ง (subordinate or lesser datus) ซงึ่ ก็คอื datu ของแตล่ ะหมบู่ ้าน และเมื่อมีข้อ พิพาทอย่างใดๆ เกิดขนึ ้ superior datu จะเรียกบรรดา subordinate datu ที่เกี่ยวข้องกบั การพิพาทมาท่ี บ้านพร้อมกบั อธิบายว่ากฎหมายท่ีกําหนดหรือกฎหมายตา่ งๆ ท่ีจะใช้จดั การกบั ข้อพิพาทในเรื่องนนั้ เป็น หรือควรจะเป็นอย่างไร ซง่ึ บรรดา subordinate datus ก็จะทําการบนั ทึกส่ิงที่ superior datu บอกเอาไว้ และจะนําไปใช้เป็นบรรทดั ฐานในการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป แตห่ ากเป็นเร่ืองภายในหม่บู ้านหนึ่งๆ ก็ให้ datu ของหม่บู ้านนนั้ ๆ เป็นผ้ทู ําหน้าที่เป็นพิพากษาไปตามกฎหมายหรือข้อตกลงที่แต่ละหม่บู ้าน กําหนดไว้ โดยในชนั้ กระบวนพิจารณาคดีนนั้ จะมีผ้อู าวโุ สในหมบู่ ้านทําหน้าท่ีเป็นคณะลกู ขนุ (barangay elders) ซ่ึงบรรยากาศของการพิจารณาก็เป็นดงั่ ศาลในยุคปัจจุบนั คือมีการซกั ถาม และ สืบพยานทงั้ ฝ่ ายโจทก์ฝ่ ายจําเลย 2.1.2 ระบบศาลภายใต้การปกครองของสเปน13 ใน ค.ศ. 1564 – 1899 ดินแดนท่ีเป็นฟิ ลิปปินส์ในปัจจุบนั ได้ตกเป็นอานานิคมของสเปน และ สเปนได้เข้ามาจดั ระบบการเมืองการปกครอง รวมถึงการจดั ระบบศาลให้แก่ฟิ ลิปปินส์ใหม่ โดยรวมศนู ย์ อํานาจทงั้ หมดไว้ท่ีมะนิลา ระบบศาลในช่วงการปกครองของสเปนจะประกอบด้วย ศาลสงู สดุ อนั ได้แก่ Audencia Territorial de Manila และ Audencia de lo Criminal de Cebu และ Audencia de lo Criminal de Vigan สว่ นศาลชนั้ ลา่ ง ได้แก่ Courts of First Instance กบั Justice of the Peace Courts ซ่ึงศาลทงั้ สองชนั้ นีไ้ ด้รับการรับรองหรือถูกสถาปนาขึน้ โดยอํานาจของรัฐธรรมนูญสเปน กษัตริย์แห่ง สเปนจะเป็นผ้มู ีอํานาจในการแต่งตงั้ ผ้พู ิพากษาให้มาดํารงตําแหน่งในศาลสงู สดุ (Audencia) โดยการ แตง่ ตงั้ ดงั กลา่ วจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา สว่ นศาลลา่ ง บรรดาผ้พู ิพากษาทงั้ หลายจะได้รับการแตง่ ตงั้ จากข้าหลวง (Governor General) ที่ทางสเปนมอบอํานาจและสง่ มาทําการปกครองฟิ ลปิ ปินส์ 13 Raul C. PANGALANGAN, The Philippine Judicial System, IDE Asian Law Series No. 5 : Judicial System and Reforms in Asian Countries (Philippines), University of the Philippines Institute, March 2001, pp. 2–3
190 ระบบศาลของฟิ ลปิ ปินส์ในช่วงเวลาดงั กลา่ วจะกําหนดให้ศาลสงู สดุ (superior courts) มีสองชนั้ และศาลชนั้ ลา่ ง (local courts) อีกสองชนั้ โดยจะกําหนดให้ justice of the peace courts เป็นศาลแรก ในการพจิ ารณาพพิ ากษาบรรดาอรรถคดีตา่ งๆ ทงั้ คดีแพง่ และคดีอาญา ซง่ึ justice of the peace courts นีจ้ ะถกู สร้างขนึ ้ และกําหนดให้ประจําอยทู่ กุ จงั หวดั โดยมีจงั หวดั ละหนึ่งศาล หากคคู่ วามไม่เห็นด้วยหรือ ยังไม่พอใจกับผลคําพิพากษาของศาล คู่ความสามารถที่จะอุทธรณ์ไปยัง Courts of First Instance เพื่อให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือข้อพิพาทต่างๆ อีกครัง้ หนึ่งได้ Courts of First Instance จะมีอยู่แต่ เพียงในเขตเมืองหรือเขตปริมณฑลเท่านนั้ โดยศาลดงั กล่าวถือเป็นศาลล่างอีกศาลหนึ่งท่ีจะทําหน้าท่ี พจิ ารณาพิพากษาคดตี า่ งๆ ทงั้ คดีแพง่ และคดอี าญาท่ีถกู ร้องหรือถกู สง่ มาจาก the justice of the peace courts ซ่ึงหากคู่ความยังไม่พอใจในคําตดั สินดงั กล่าวอีก ก็ต้องอุทธรณ์เพื่อต่อสู้หรือฟ้องร้ องต่อศาล สงู สดุ ตอ่ ไป ศาล Audencia คือศาลอทุ ธรณ์ที่จะเคยพิจารณาคดีความตา่ งๆ ที่ถกู ร้องร้องหรือถกู อทุ ธรณ์มา จาก Courts of First Instance โดยจะมีการแบง่ เขตอํานาจกนั อยา่ งชดั เจน กลา่ วคอื ศาล Audencia de lo Criminal of Vigan จะมีเขตอํานาจในการพิจารณาคดีแต่เพียงบริเวณเหนือเกาะ Luzon กับเกาะ Batanes ส่วนศาล Audencia de lo Criminal de Cebu จะมีเขตอํานาจเหนือบริเวณ Visayas กบั พืน้ ที่ บางส่วนทางตอนเหนือของจงั หวดั มินดาเนา ทงั้ สองศาลนีจ้ ะมีเขตอํานาจในการพิจารณาคดีแต่เฉพาะ คดีอาญาเท่านนั้ ส่วนศาล Audencia Territorial de Manila ถกู สร้างและกําหนดให้มีเขตอํานาจอย่ใู น เขตเมือง (กรุงมะนิลา) ดงั นนั้ บรรดาคดีต่างๆ ที่ไม่ใช่คดีอาญาอนั อย่ใู นเขตอํานาจของศาล Audencia de lo Criminal of Vigan และ ศาล Audencia de lo Criminal de Cebu จะถูกส่งมาให้ศาล Audencia Territorial of Manila พจิ ารณาพิพากษาทงั้ หมด นอกจากศาล Audencia Territorial of Manila จะมีเขตอํานาจในการพิจารณาบรรดาคดีที่ได้มี การอุทธรณ์มาจากศาลชัน้ ล่างแล้ว ศาลดังกล่าวยังทําหน้าสําคัญอีกประการหน่ึงคือ เป็นองค์กรที่ ควบคมุ การใช้อํานาจ รวมถึงให้คําปรึกษาแก่รัฐบาลหรือฝ่ ายบริหารตอ่ การปฏิบตั ิหรือกระทําการอย่าง ใดๆ ด้วยเช่นกนั อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลอทุ ธรณ์เหล่านีจ้ ะได้มีคําวินิจฉยั ตดั สินมาแล้ว แตค่ ําพิพากษา ดงั กล่าวก็หาถือเป็นท่ีสุดไม่ หากแต่คู่ความยงั สามารถอุทธรณ์คดีดงั กล่าวไปยงั ศาลสูงสุดแห่งสเปน (Supreme Court of Spain) ได้อีกเชน่ กนั และคําพพิ ากษาในชนั้ นีใ้ ห้ถือเป็นท่ีสดุ
191 จะเห็นได้ว่าระบบศาลในห้วงเวลานีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์หลกั ด้วยกนั สองประการ ประการแรก ได้แก่ การระงบั ข้อพิพาทหรือข้อขดั แย่งอนั เกิดในพืน้ ที่ของฟิ ลิปปินส์ และประการที่สอง คือ เป็นองค์กรท่ีถูก สร้ างขึน้ เพ่ือตรวจสอบถ่วงดุลอํานาจของข้าหลวง นายพล และเจ้าหน้าที่อ่ืนๆ สิ่งนีค้ ือเครื่องมือที่มี ประสิทธิภาพสําหรับประเทศเจ้าอาณานิคม (สเปน) ท่ีใช้สําหรับควบคุม หรือเป็นสิ่งท่ีคอยยบั ยงั้ การ กระทําอนั ย่ามใจต่างๆ ของบรรดากลมุ่ บคุ คลของประเทศเจ้าอาณานิคมที่ถกู สง่ มาให้ปกครองประเทศ อาณานิคมดงั กลา่ ว 2.1.3 ระบบศาลภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา14 ในช่วงการปกครองของอเมริกา ได้มีการยกเลิกระบบศาลในรูปแบบเดิมทงั้ หมด และสถาปนา ระบบศาลขึน้ มาใหม่โดยยึดตามรูปแบบของสหรัฐฯ ซ่ึงระบบใหม่ดงั กล่าวจะกําหนดให้ผู้พิพากษาของ Peace Courts กลายมาเป็นศาลยตุ ิธรรม (courts of justice) ประจําอย่ใู นทกุ จงั หวดั ของฟิ ลิปปินส์ เพื่อ คอยระงบั ข้อพิพาทและพิจารณาอรรถคดีท่ีต่างๆ มีการแบ่งจงั หวดั ออกเป็นเขตตา่ งๆ และกําหนดให้มี ศาลชัน้ ต้น (Courts of First Instance) ประจําอยู่ในเขตจังหวดั เขตละหนึ่งศาล เพ่ือทําหน้าท่ีเป็นศาล อทุ ธรณ์ และกําหนดให้มีศาลสงู สดุ (Supreme Court) ขนึ ้ เพื่อรับเร่ืองหรือบรรดาอรรถคดตี า่ งๆ ที่มีการสง่ เร่ืองมาจาก Courts of First Instance นอกจากนีร้ ะบบใหม่ดงั กลา่ วยงั ได้กําหนดให้อํานาจตลุ าการท่ีแต่ เดิมเคยอย่ใู นการควบคมุ ของฝ่ ายรัฐบาล (ช่วงการปกครองของสเปน) นนั้ ให้กลายมาเป็นของฝ่ ายตลุ า การที่จะออกกฎ หรือควบคุมตรวจสอยภายในกันเอง โดยกําหนดให้ศาลสูงสุดเป็นผู้กําหนดและใช้ อํานาจเชน่ วา่ นนั้ ผ้พู ิพากษาในศาลสงู สดุ จะได้รับการแตง่ ตงั้ จากประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึง่ ได้ผ่านการ แนะนําและความยินยอมจากวฒุ ิสภามาแล้ว ซง่ึ ศาลสงู สดุ ในห้วงเวลานีป้ ระกอบด้วยผ้พู ิพากษาหวั หน้า ศาล (Chief Justice) 1 คน กบั ผ้พู ิพากษาอีก 6 คน (Associate Judges) ส่วนในศาลชนั้ ต้น (Court of First Instance) จะประกอบด้วยผ้พู พิ ากษา 4 คนหรือมากกวา่ นนั้ (เป็นคนอเมริกนั 2 คน คนฟิ ลปิ ปินส์ 2 คน) ซงึ่ จะได้รับการแต่งตงั้ จากข้าหลวง (Civil Governor) ที่สหรัฐฯ สง่ มาประจําการ และผ่านการได้รับ ความยินยอมและคําแนะนําจากคณะกรรมาธิการแห่งฟิ ลปิ ปินส์ (Philippine Commission) 14 Raul C. PANGALANGAN, The Philippine Judicial System, pp. 3 – 4
192 แม้ศาลสงู สดุ ของฟิ ลิปปินส์จะมีเขตอํานาจในการวินิจฉัยตรวจสอบบรรดาคดีรวมถึงกระบวน พิจารณาของศาลล่างต่างๆ ก็ตาม แต่ศาลสูงสุดฟิ ลิปปินส์ก็ยงั คงตกอยู่ภายใต้อํานาจของศาลสูงสุด อเมริกาด้วย กล่าวคือ ศาลสงู สดุ ของอเมริกานนั้ มีเขตอํานาจในการวินิจฉัยตรวจสอบหรือแก้ไขบรรดา คําวินิจฉยั ของศาลสงู สดุ ของฟิ ลิปปินส์ท่ีเก่ียวกบั เร่ืองของสิทธิ สนธิสญั ญา รัฐธรรมนญู หรือข้อขดั แย้ง ทางการเงินท่ีมีมลู ค่าสูง รวมไปถึงเรื่องอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้องรัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครองบรรดาเมืองขึน้ ต่างๆ (Constitution of the Commonwealth) ด้วย การพิจารณาคดีของศาลในห้วงเวลานีก้ ็จะมีขัน้ ตอนค่อนข้างที่เป็นระบบมากขึน้ กล่าวคือ ภายในศาลจะมีเสมียนศาล (clerks of court) คอยรับเร่ืองราวและบนั ทึกการพิพากษา มีทนายความ พิเศษ (notary public) ซงึ่ ถกู แตง่ ตงั้ ขนึ ้ โดยศาล ทําหน้าท่ีช่วยเหลือให้คาํ ปรึกษา หรือช่วยในเร่ืองของการ ดาํ เนินคดีในลกั ษณะตา่ งๆ ให้แก่ผ้พู ิพากษาในศาลชนั้ ต้นของแตล่ ะจงั หวดั 2.1.4 ระบบศาลในช่วงระหว่างสงครามโลกครัง้ ท่สี อง15 ในช่วงของสงครามโลกครัง้ ท่ีสอง ฟิ ลิปปินส์ตกอย่ภู ายใต้การยึดครองของญ่ีป่ นุ ซ่งึ หลงั จากถกู ยดึ ครองนนั้ ญ่ีป่นุ ได้ออกกฎอยั การศกึ (martial law) ขนึ ้ ปกครองและจดั การระบบตา่ งๆ ในฟิ ลปิ ปินส์ แต่ ยงั คงระบบศาลรวมถึงเขตอํานาจต่างๆ ของศาลไว้เช่นเดิม รวมถึงรูปแบบการบริหารประเทศและการ ออกกฎหมายของฟิ ลิปปินส์ด้วย การปกครองของญ่ีป่ นุ นนั้ ถือเป็นการปกครองที่ให้อิสระแก่ฟิ ลิปปินส์ คอ่ นข้างมาก กลา่ วคอื มีการกําหนดให้ฟิ ลปิ ปินส์สามารถสร้างรัฐธรรมนญู เพ่ือปกครองกนั เองได้ สามารถ กําหนดขอบเขตรวมถึงกิจการอนั เก่ียวกบั การบริหารของฝ่ายรัฐบาลได้ และรวมถึงให้ความเป็นอิสระแก่ ศาลสาํ หรับการพจิ ารณาพิพากษาบรรดาอรรถคดีตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ ้ ได้ด้วยเช่นกนั เพียงแตก่ ารจะพิพากษา ตดั สินคดีอะไรนนั้ จะต้องพิพากษาคดี การออกกฎหมาย หรือการกระทําของรัฐบาลสําหรับการบริหาร ประเทศนนั้ จะต้องเป็นไปตามกรอบหรือได้รับความเห็นชอบจาก Commander in Chief of the Imperial Japanese Forces เป็นผ้กู ําหนด หลงั จากปกครองฟิ ลิปปินส์ได้ช่วงระยะหนึ่ง ญ่ีป่ นุ ได้ออก Commonwealth Act No. 682 ซงึ่ ผล ของการออกกฎหมายดังกล่าวได้กําหนดให้มีศาลประชาชน (People’s Court) อันประกอบด้วย ผู้ พิพากษาหวั หน้าศาล 1 คน และผ้พู ิพากษาในองคณะอีก 14 คน ซง่ึ ได้รับการแต่งตงั้ จากประธานาธิบดี 15 Raul C. PANGALANGAN, The Philippine Judicial System, p. 5
193 และได้รับความยินยอมจาก Commission on Appointments ซ่ึงศาลประชาชนนนั้ มีเขตอํานาจในการ ตดั สินคดีได้ทกุ คดี หากคดีดงั กล่าวเป็นคดีที่มีเกี่ยวข้องหรือมีผลตอ่ ความมนั่ คงของฟิ ลิปปินส์ในฐานะท่ี เป็นเมืองขนึ ้ (Japanese Occupation) ญี่ป่นุ อย่างไรก็ตาม เม่ือฟิ ลิปปินส์หลดุ พ้นจากการเป็นเมืองขึน้ ของญี่ป่ นุ ศาลสงู สดุ ก็ได้กลบั มาเป็น ศาลที่มีอํานาจสงู สุด และไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์อนั ยากลําบากเก่ียวกบั การพิพากษาคดีดงั เช่น ตอนเป็นเมืองขึน้ ของญี่ป่ นุ อีกต่อไป ซง่ึ การกลบั มาใช้ระบบศาลแบบเดิม (ระบบอเมริกา) นนั้ ทําให้ ณ ช่วงเวลาหลงั พ้นจากการเป็นอานานิคมนี ้ศาลสงู สดุ ได้กลบั มาเป็นท่ีเคารพศรัทธาของผ้คู นอีกครัง้ เป็น สถาบนั ที่ม่งุ ระงบั การพิพาทในลกั ษณะต่างๆ ท่ีเกิดภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ณ ห้วงเวลานีศ้ าล ของฟิ ลปิ ปินส์โดยเฉพาะศาลสงู สดุ จะมีลกั ษณะของการวางตวั ท่ีไมส่ นใจหรือพยายามวางบทบาทไม่ให้ เข้าไปเกี่ยวกบั ประเด็นปัญหาทางการเมือง หรือเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซง่ึ การวางตวั ของศาลของใน ลกั ษณะท่ีไม่ข้องเกี่ยวกับการเมืองในลกั ษณะนีไ้ ด้ดําเนินต่อเน่ืองมา จนกระทั่งเข้าสู่ยุคสมัยของการ ปกครองแบบเผดจ็ การของประธานาธิบดี Marcos16 2.1.5 ระบบศาลในสมัยของประธานาธิบดี Ferdinand Marcos ภายหลงั จากได้รับเอกราช ฟิ ลิปปินส์ได้นําเอารัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1935 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญท่ีใช้ ปกครองประเทศในช่วงที่ตกอย่ภู ายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา รัฐธรรมนญู ฉบบั ดงั กล่าวโดยมาก เป็นเนือ้ หาท่ีคดั ลอกมาจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ดงั นนั้ รูปแบบการปกครองของฟิ ลิปปินส์ใน ช่วงเวลาหลงั ได้รับเอกราชนี ้จึงมีลกั ษณะท่ีคล้ายคลงึ กบั สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก กล่าวคือมีการใช้ ระบบประธานาธิบดีเป็นรูปแบบของการปกครองของประเทศ กําหนดให้อํานาจนิติบญั ญตั ิอย่ทู ี่รัฐสภา ซึง่ มีลกั ษณะเป็นสภาค่อู นั ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวฒุ ิสภา และกําหนดให้อํานาจ ตลุ าการ มีศนู ย์กลางอยทู่ ี่ศาลสงู สดุ โดยกําหนดให้ศาลสงู สดุ มีอํานาจสงู สดุ ในการพิจารณาตดั สินคดีอนั เกี่ยวกบั การพิพาทกนั ของคนในรัฐ รวมตลอดถึงบรรดาข้อกฎหมายหรือบทบญั ญตั ิตา่ งๆ ท่ีไม่สอดคล้อง 16 C. NEAL TATE, The Judicialization of Politics in the Philippines and Southeast Asia, International Political Science Review / Revue internationale de science politique, Vol. 15, No. 2, The Judicialization of Politics. La judicialisation de la politique (Apr., 1994), p.188-189
194 หรือขดั กบั รัฐธรรมนญู 17 ศาลสงู สดุ ของฟิ ลปิ ปินส์ในห้วงเวลานีย้ ดึ มน่ั ในหลกั การเรื่องการแบง่ แยกอํานาจ อย่างมากโดยจะไม่เข้าไปย่งุ หรือแทรกแซงเรื่องทางการหรือประเด็นทางการเมืองตา่ งๆ เร่ืองเดียวที่ศาล จะเข้ าไปเกี่ยวข้ องกับประเด็นทางการเมืองมีเพียงการพิจารณาพิพากษาว่าบรรดาการกระทําหรื อ ข้อกําหนดที่ออกมาจากฝ่ายบริหารเป็นไปตามหลกั การที่รัฐธรรมนญู กําหนดหรือไมเ่ ทา่ นนั้ ซง่ึ การกระทํา ดงั กลา่ วนีถ้ ือเป็นหลกั การถ่วงดลุ ตรวจสอบทว่ั ไปท่ีศาลใช้สาํ หรับถ่วงดลุ กบั อํานาจของฝ่ายนิตบิ ญั ญตั อิ ยู่ แล้ว หากเป็นประเดน็ ท่ีนอกเหนือจากนีศ้ าลสงู สดุ จะไมเ่ ข้าไปแทรกแซงหรือยงุ่ เก่ียว18 ต่อมาหลังจากที่ Ferdinand Marcos ได้รับเลือกตัง้ ให้ดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1965 และ 1969 ซงึ่ ตลอดระยะเวลาการปกครองของ Marcos นี ้เขาได้อาศยั นโยบายประชานิยมเพ่ือจงู ใจผ้คู นในฟิ ลปิ ปินส์ให้เห็นด้วยและสนบั สนนุ ตนกระทงั่ สง่ ผลให้ตนเป็นที่นิยมและได้รับการสนบั สนนุ จาก ประชาชนเป็นจํานวนมาก19 นอกจากนี ้ในช่วงเวลาท่ี Marcos ดํารงตําแหน่งประธานาธิบดี Marcos ได้ ค่อยๆ ขยายอํานาจและอิทธิพลของตนเข้าครอบงําไปยงั รัฐสภาและศาล กระทงั่ ถึงช่วง ค.ศ. 1972 ซ่ึง เป็นช่วงปลายของการดํารงตําแหน่ง ประธานาธิบดี Marcos ได้พยายามทําให้ตนเองสามารถดํารง ตําแหน่งประธานาธิบดีได้ต่อไป ทงั้ นี ้เพราะรัฐธรรมนูญของฟิ ลิปปินส์ (รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1935) ได้วาง หลกั การสําคัญที่ห้ามประธานาธิบดีคนเดิมดํารงตําแหน่งเกินสองสมยั เอาไว้ ข้อกําหนดดังกล่าวจึง กลายเป็นอปุ สรรคสําคญั ท่ีสง่ ผลต่อการสืบตอ่ อํานาจของ Marcos ดงั นนั้ เพ่ือเป็นการรักษาอํานาจของ ตนให้คงอยู่ต่อไป Marcos จึงได้ประกาศใช้กฎอยั การศึก (martial law) และรวบอํานาจทงั้ หมดมาไว้ที่ ตนแต่เพียงผ้เู ดียว พร้อมทงั้ ใช้อํานาจดงั กล่าวในการสถาปนารัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ (รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1973) เพ่ือรับรองอํานาจของตนท่ีจะมีตอ่ ไปในอนาคต20 17 Bryan Dennis G. Tiojanco and Leandro Angelo Y. Aguirre, THE SCOPE, JUSTIFICATIONS AND LIMITATIONS OF EXTRADECISIONAL JUDICIAL ACTIVISM AND GOVERNANCE IN THE PHILIPPINES, pp. 138-139 18 สีดา สอนศรี, ฟิ ลิปปิ นส์ : จากสงครามโลกครั้งท่ี 2 สู่พลังประชาชน, พิมพ์ครัง้ แรก (กรุงเทพฯ: สาํ นกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2537), หน้า 47 – 49 19 ธงชัย วินิจจะกูล, ระบอบอภิสิทธ์ิคืออะไร มาร์ ค = มาร์ คอส, [ระบบออนไลน์] เว็บไซต์ : http://prachatai.com/journal/2010/06/30014, สบื ค้นวนั ท่ี 21 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559. 20 Dante Gatmaytan – Magno, Changing Constitutions: Judicial Review and Redemption in the Philippines, Pacific Basin Law Journal, 25(1) 2007, p. 5
195 หลงั จากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1973 Marcos ได้อาศยั อุดมการณ์เร่ืองเศรษฐกิจ และความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง โดยการชีใ้ ห้ประชาชนเห็นว่าประเทศมีความจําเป็นท่ีจะต้อง เดินหน้าและพฒั นาต่อไป ปัญหาเศรษฐกิจตกตํ่าที่กําลงั เกิดจากผ้นู ําประเทศไม่เข้มแข็งและรัฐบาลไม่มี เสถียรภาพ จึงจําเป็นที่จะต้องมีผ้นู ําท่ีมีความเข้มแข็ง อีกทงั้ ระบอบเผดจ็ การก็ไมใ่ ช่สิ่งท่ีเลวร้าย หากแต่ เป็นเคร่ืองมือสําคญั อยา่ งหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งและทําให้ประเทศอย่รู อด อีกทงั้ Marcos ยงั ใช้ การซือ้ เสยี ง สําหรับเป็นเคร่ืองเพื่อชว่ ยให้ตนได้รับการสนบั สนนุ จากประชาชนด้วย และด้วยการสร้างชดุ อดุ มการณ์และการซือ้ เสียงนีเ้ อง ทําให้ Marcos ได้รับการเลือกตงั้ ให้เป็นประธานาธิบดีอีกครัง้ ใน ค.ศ. 1973 และสามารถท่ีจะรักษารวมถึงสืบตอ่ อํานาจของตนได้ตราบจนกระทงั่ เกิดการปฏิวตั ิโดยประชาชน ใน ค.ศ. 198621 ก่อนสมยั การปกครองของ Marcos ศาลสงู สดุ เป็นสถาบนั ท่ีได้รับการเคารพและได้รับยกยอ่ งว่า มีความน่าเช่ือถือจากชาวฟิ ลิปปินส์เป็นอย่างมาก ซึ่งการได้รับการเคารพนีม้ ีมาตัง้ แต่ครัง้ ได้รับการ สถาปนาขนึ ้ ในช่วงการปกครองของอเมริกา จนกระทง่ั ใน ค.ศ. 1972 ประธานาธิบดี Marcos ได้ประกาศ กฎอยั การศกึ (martial law) และสถาปนาตนเองเป็นผ้มู ีอํานาจสงู สดุ จากนนั้ ก็ได้ทําการยกเลิกสภาคอง เกรส ยกเลกิ พรรคการเมือง รวมถึงจํากดั สทิ ธิเสรีภาพสอื่ และสทิ ธิเสรีภาพอื่นๆ ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ Marcos หาได้ยกเลกิ ศาลฎีกาหรือทําการเปลี่ยนแปลงสมาชิกตลอดจนโครงสร้างของศาลแตอ่ ยา่ งใด ไม่ เพราะเขาต้องการท่ีจะใช้ศาลสงู สดุ เป็นเครื่องมือสําหรับสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองของ ตนเอง โดยแสดงให้เห็นว่าการท่ียงั ไม่ยุบเลิกหรือเปลี่ยนโครงสร้ างของศาลสูงสุดนัน้ ก็เพราะยงั คงให้ ความเคารพและให้เกียรตศิ าลสงู สดุ ในฐานะที่เป็นสถาบนั ที่ได้รับความเคารพเชื่อถือของคนฟิ ลปิ ปินส์อยู่ อีกทงั้ Marcos ยงั ปฏิบตั ิตามบรรดาคําพิพากษาหรือข้อกําหนดที่ออกโดยศาลสงู สดุ โดยตลอด ซึ่งการ กระทําทัง้ หลายเหล่านีไ้ ด้ช่วยสร้ างความชอบธรรมแก่เขา และสามารถยกเป็นข้ออ้างต่อบรรดาผู้ที่ กล่าวหาว่า Marcos ปกครองบ้านเมืองอย่างเผด็จการได้อีกด้วย ซงึ่ ในความเป็นจริง Marcos ได้ขยาย อํานาจและอิทธิพลของตนเข้าควบคมุ ศาลสงู สดุ ไว้เรียบร้อยแล้ว22 ศาลสูงสุดในช่วงเวลานีไ้ ด้ถูกทําให้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ Marcos ใช้สําหรับปกครอง ฟิ ลิปปินส์ เหตกุ ารณ์ที่พิสจู น์ได้อย่างชดั เจนวา่ ศาลสงู สดุ ได้กลายเป็นหนงึ่ ในเคร่ืองมือของ Marcos ก็คือ 21 สดี า สอนศรี, ฟิ ลปิ ปิ นส์: จากสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 สู่พลังประชาชน, หน้า 79 – 80 22 C. NEAL TATE, The Judicialization of Politics in the Philippines and Southeast Asia, p.190
196 การให้การรับรองตอ่ การประกาศใช้รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1973 ทงั้ ท่ีรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วถกู ออกแบบมาเพื่อ สบื ตอ่ และรับรองอํานาจของ Marcos โดยจํานวนของผ้พู ิพากษาที่ให้การรับรองรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วนนั้ มี ผ้พู ิพากษากว่ามากคร่ึงท่ีตดั สินเห็นชอบ การที่เหลา่ ผ้พู ิพากษาศาลสงู สดุ กว่าคร่ึงได้ให้การเห็นชอบกบั รัฐธรรมนญู ค.ศ. 1973 เป็นตวั อย่างท่ีชดั เจนอย่างหนึ่งอนั แสดงให้เห็นว่าในห้วงเวลานีศ้ าลสงู สดุ ได้ตก อย่ภู ายใต้การควบคมุ ของ Marcos ชื่อเสียงของศาลสงู สดุ ในช่วงการปกครองของ Marcos จึงได้รับการ กลา่ วขานจากประชาชนวา่ เป็นศาลท่ีกเฬวราก (dissipated) ที่สดุ นบั ตงั้ แตเ่ คยมีมา23 2.2 ระบบศาลในปัจจุบนั ฟิ ลิปปินส์เป็นประเทศท่ีใช้ระบบศาลเด่ียว มีศาลสูงสดุ (Supreme Court) เป็นศาลท่ีมีอํานาจ สูงสุด และมีศาลลําดบั รองประเภทต่างๆ กระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อจัดการหรือระงบั ข้อพิพาทให้แก่ ประชาชน ประเทศฟิ ลปิ ปินส์มีการแบง่ พืน้ ที่การปกครองออกเป็นเขตเมืองหลวง เขตรอบนอกเมืองหลวง เขตภมู ิภาคหรือท้องถ่ิน และเขตปกครองพิเศษ ซ่ึงตามพระราชบญั ญัติการปฏิรูปตลุ าการ (Judiciary Reorganization Act) ค.ศ. 1980 กําหนดให้ระบบการพจิ ารณาคดีตา่ งๆ ของฟิ ลปิ ปินส์ให้เป็นไปตามเขต อํานาจของแตล่ ะศาล ดงั ตอ่ ไปนี ้ 2.2.1 ศาลสูงสุด(Supreme Court) ศาลสงู สดุ คือศาลที่มีลําดบั ชนั้ สงู สดุ มีเขตอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดีทุกทุกประเภทที่ ถกู ส่งมาจากศาลอทุ ธรณ์และศาลพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง มาตรการทางภาษี หรือการทําอาชญากรรมหรือการทจุ ริตของเจ้าหน้าท่ีรัฐ เป็นต้น และคําพิพากษาของศาลสงู สดุ ให้ถือเป็น ท่ีสดุ ค่คู วามไม่สามารถอทุ ธรณ์โต้แย้งได้อีกแล้ว นอกจากนีศ้ าลสงู สดุ ยงั สามารถพิจารณาคดีต่างๆ ท่ี ไมไ่ ด้เป็นคดที ี่ถกู สง่ ขนึ ้ มาจากศาลลําดบั รองได้อีกด้วย เชน่ คดที ี่เก่ียวกบั ทตู กงสลุ หรือรัฐมนตรี เป็นต้น 23 C. NEAL TATE, The Judicialization of Politics in the Philippines and Southeast Asia, pp. 188 – 189
197 2.2.2 ศาลลาํ ดบั ล่าง (Lower Court)24 ศาลลําดบั ล่างมีหน้าท่ีเหมือนศาลชนั้ ต้นท่ีจะคอยทําหน้าท่ีพิจารณาพิพากษาคดีที่ถกู สง่ มาจาก ตวั ค่คู วามในพืน้ ที่หรือเขตจงั หวดั ต่างๆ ศาลดงั กล่าวเป็นด่านแรกในการแก้ปัญหาหรือระงบั ข้อพิพาท ให้แก่ประชาชน ซ่ึงถ้าสามารถระงับข้อพิพาทให้แก่คู่ความหรือไประชาชนได้คดีก็จะจบลง แต่หาก คคู่ วามไม่พอใจในผลของคําพิพากษาบรรดาศาลลําดบั ลา่ งเหลา่ นีก้ ็จะสง่ เรื่องไปให้กบั ศาลอทุ ธรณ์เพ่ือ พพิ ากษาคดตี อ่ ไป ซง่ึ บรรดาศาลลาํ ดบั ลา่ งที่กลา่ วไปนนั้ ประกอบด้วย 1) Municipal Trial Courts and Municipal Circuit Trial Courts ศาลดังกล่าวนีเ้ ป็นศาลที่มีเขตอํานาจพิจารณาบรรดาอรรถคดีท่ีอยู่ในบริเวณเขตพืน้ ท่ีของ จงั หวดั ต่างๆ ที่อยู่นอกเขตเมืองหลวงและเขตปริมณฑลรอบเมืองหลวง (มีลกั ษณะคล้ายคลึงกับศาล แขวงหรือศาลจงั หวดั ของไทย) และเมื่อใดก็ตามท่ีมีข้อพาทเกิดขนึ ้ ในเขตพืน้ ท่ีดงั กลา่ ว คคู่ วามจะต้องทํา การฟ้องร้ องต่อ Municipal Trial Courts เท่านัน้ จะฟ้องร้ องท่ีศาลอื่นไม่ได้ แต่หากมีกรณีท่ีศาล Municipal Trial Courts ถกู กําหนดให้ท่ีมีเขตอํานาจครอบคลมุ มากกว่าหนึ่งจงั หวดั ศาลดงั กล่าวจะถกู เรียกในอีกชื่อหน่ึงว่า Municipal Circuit Trial Courts ซ่งึ ก็ยงั คงทําหน้าที่พิพากษาบรรดาอรรถคดีต่างๆ เชน่ เดมิ เพียงแตม่ ีเขตอํานาจเพ่ิมขนึ ้ เทา่ นนั้ 2) Metropolitan Trial Courts and Municipal Trial Courts in Cities Metropolitan Trial Courts คือ ศาลที่มีเขตอํานาจในการพิจารณาคดีต่างๆ ที่เกิดขึน้ เฉพาะใน เขตเมืองมะนิลาซง่ึ เป็นเมืองหลวงเท่านนั้ สว่ นบรรดาคดีท่ีเกิดขึน้ ในพืน้ ท่ีเขตรอบนอกหรือเขตจงั หวดั ใน ปริมณฑลของเมืองหลวงค่คู วามจะต้องฟ้องต่อ Municipal Trial Courts in Cities ศาลทงั้ สองมีอํานาจ ในการพิจารณาพพิ ากษาคดีในลกั ษณะเดยี วกนั เพียงแตเ่ ขตอํานาจในการรับคดีมาพิจารณาแตกตา่ งกนั เท่านนั ้ กล่าวโดยสรุปคือ หากมีข้อพิพาทอย่างใดๆ เกิดขึน้ ในเมืองหลวง คู่ความจะต้องฟ้องร้ องต่อ Metropolitan Trial Courts หากข้อพิพาทเกิดขนึ ้ ในเขตจงั หวดั รอบเมืองหลวง คคู่ วามจะต้องฟอ้ งร้องตอ่ Municipal Trial Courts in Cities และหากข้อพิพาทเกิดขึน้ นอกเหนือจากสองเขตพืน้ ท่ีดงั กลา่ ว คคู่ วาม 24 CHAN ROBLES VIRTUAL LAW LIBRARY, BACKGROUND ON THE PHILIPPINE JUDICIAL SYSTEM, [ระบบออนไลน์] ที่มา: http://www.chanrobles.com/courtsinthephilippines.htm#.V2f_M_lTLIV, (27 มิถนุ ายน 2559)
198 จะต้องฟ้องร้ องต่อ Municipal Trial Courts หรือ Municipal Circuit Trial Courts ณ เขตจังหวัดหรือ เทศบาลท่ีเกิดข้อพพิ าทนนั้ ๆ ด้วย 3) Sharia Circuit Courts เป็นศาลที่มีเขตอํานาจในการพิจารณาอรรถคดีต่างๆ เช่นเดียวกับศาลชัน้ ต้นอ่ืนๆ แต่ความ แตกต่างระหว่าง Sharia Circuit Courts กบั ศาลอื่นก็คือ Sharia Circuit Courts จะมีเขตอํานาจในการ พิจารณาพิพากษาคดีท่ีเกี่ยวกับคนมสุ ลิม และจะใช้กฎหมายมสุ ลิม (Muslim Code) ซ่ึงเป็นกฎหมาย พิเศษในการตดั สินกับบรรดาชาวมุสลิมดงั กล่าว อีกทัง้ Sharia Circuit Courts ยังมีเขตอํานาจอยู่แต่ เพียงในจงั หวดั มินดาเนา ซงึ่ ถกู กําหนดให้เป็นเขตปกครองพเิ ศษเทา่ นนั้ 2.2.3 ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeals and Shari'a District Courts) ซึ่งศาลทงั้ สองคือศาลอทุ ธรณ์ที่จะทําหน้าท่ีปรับ แก้ไข ยืนยนั หรือเพ่ิมเติมคําวินิจฉัยของศาล ลําดบั ลา่ งที่ถกู อทุ ธรณ์ขนึ ้ มาโดยคคู่ วาม ทกุ คดีความไม่ว่าจะเกิดขนึ ้ ในเขตพืน้ ที่ใดหากมีการอทุ ธรณ์คํา พพิ ากษาของศาลชนั้ ต้นขนึ ้ บรรดาศาลตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ จะต้องสง่ เรื่องมาให้ศาลอทุ ธรณ์ เพื่อให้พจิ ารณา พิพากษาต่อไป แต่หากคดีท่ีอุทธรณ์มานัน้ เป็นคดีที่เก่ียวกับคนมุสลิม และเป็นคดีท่ีอุทธรณ์มาจาก Sharia Circuit Courts ศาลท่ีมีอํานาจในการพิจารณาจะเป็น Sharia District Courts 2.2.4 ศาลพเิ ศษ 1) Court of Tax Appeals ศาลพิเศษที่เขตอํานาจแยกจากศาลชนั้ ต้นอ่ืนๆ ศาลดงั กล่าวมีหน้าท่ีพิจารณาพิพากษาคดีอนั เก่ียวกบั การประกาศคาํ สงั่ หรือการใช้ดลุ ยพินิจอนั เกี่ยวกบั มาตรการทางภาษีของข้าราชการกรมสรรพกร และศุลกากร คดีที่เก่ียวกับมาตรการทางภาษีเหล่านีจ้ ะต้องฟ้องร้ องมาทาง Court of Tax Appeals เท่านนั ้ 2) Sandiganbayan คือ ศาลพิเศษท่ีมีเขตอํานาจแยกจากศาลชนั้ ต้นอ่ืนๆ กลา่ วคือ ศาลดงั กล่าวมีเขตอํานาจในการ พิจารณาคดีท่ีเกี่ยวกบั การทจุ ริต และการกระทําอนั เป็นอาชญากรรมของเหลา่ เจ้าหน้าท่ีรัฐ พนกั งานของ รัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงลกู จ้างของรัฐ ซงึ่ หากมีบุคคลพบเห็นการกระทําดงั กล่าวจะต้องฟ้องร้องต่อศาล Sandiganbayan เท่านนั้ จะไปฟอ้ งร้องตอ่ ศาลชนั้ ต้นอื่นไมไ่ ด้
199 3. ปฏบิ ตั กิ ารและผลกระทบของการเมืองเชงิ ตุลาการในฟิ ลิปปิ นส์ ประธานาธิบดี Marcos ได้มีอํานาจปกครองมาจนกระทั่งใน ค.ศ. 1986 ได้เกิดการปฏิวัติ ประชาชน (People Power Revolution) เพ่ือโค่นล้ม Marcos ภายหลังจากนัน้ Cory Aquino ได้ถูก แต่งตงั้ ให้ขึน้ มาเป็นผู้นําประเทศ25 และประธานาธิบดี Aquino ได้ทําการรือ้ เครือข่ายทางอํานาจของ Marcos ไม่ว่าจะเป็นทางด้านนิติบญั ญัติ ทางการเมือง ทางทหาร รวมถึงทางศาล โดยได้มีการปลดผู้ พิพากษาในศาลสูงสุดรวมถึงศาลอื่นๆ พร้ อมกับเลือกสรรคนเข้ามาใหม่ หลงั จากที่รือ้ ถอนเครือข่าย อํานาจของ Marcos แล้ว Aquino ก็ได้ทําการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ซึ่งได้แก่รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 และรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วก็มีผลใช้บงั คบั สืบเนื่องมาจนกระทง่ั ปัจจบุ นั 26 รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 ได้นําพาฟิ ลิปปินส์เข้าส่กู ารปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และ เพ่ือเป็นการรักษาความเป็นประชาธิปไตยให้คงอย่มู น่ั คง รัฐธรรมนญู ฉบบั ดงั กล่าวได้เพ่ิมบทบาทให้แก่ ฝ่ายตลุ าการมากขนึ ้ กลา่ วคือมีการขยายอํานาจรวมถึงความเป็นอิสระของฝ่ายตลุ าการมากขนึ ้ กวา่ ท่ีเคย มีมา มีการกําหนดให้ฝ่ ายตลุ าการสามารถใช้อํานาจล่วงลํา้ เข้าไปยงั พืน้ ที่ของฝ่ ายนิติบญั ญัติหรือฝ่ าย บริหารได้ เพื่อทําการตรวจสอบถ่วงดลุ การใช้อํานาจหรือการกระทําอย่างใดๆ ขององค์กรทงั้ สองฝ่ าย ดงั กลา่ ว การขยายพืน้ ที่ทางอํานาจเช่นวา่ นีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้องการจะควบคมุ การใช้อํานาจรัฐเพ่ือไม่ให้ เกิดสภาวะเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการของฝ่ ายบริหาร ดงั ท่ีเคยเกิดขึน้ ในช่วง สมยั ของ Marcos27 อีกทงั้ การขยายอํานาจดงั กลา่ วยงั มีจดุ มงุ่ หมายท่ีมงุ่ ให้ฝ่ายตลุ าการเป็นปอ้ มปราการ สําคญั ในการปกปอ้ งประชาชนจากบรรดาการกระทําทงั้ หลายท่ีถือเป็นการละเมดิ สทิ ธิมนษุ ยชนหรือสทิ ธิ ตามรัฐธรรมนญู ของคนในประเทศทงั้ ตอ่ รัฐหรือต่อเอกชนด้วยกนั การให้การรับรองและสถาปนาอํานาจ ให้แก่ศาลตามรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วจึงกลายเป็นปัจจยั สําคญั ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ท่ีเรียกวา่ การเมือง 25 HENRY S. TOTANES ,A Timeline of Philippine History, [ร ะ บ บ อ อ น ไ ล น์ ] ท่ี ม า : http://rizal.lib.admu.edu.ph/reserve/12012/Kasaysayan%20Vol10%20%20A%20Timeline%20of%20Phil%20 History.pdf (18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559), หน้า 247 – 250 26 DANTE M. GATMAYTAN, The Judicial Review of Constitutional Amendments: The Insurance Theory in Post-Marcos Philippines ,PHILIPPINE LAW AND SOCIETY REVIEW VOL. 1 NO. 1 OCTOBER 2011, p. 76 27 DANTE M. GATMAYTAN, The Judicial Review of Constitutional Amendments: The Insurance Theory in Post-Marcos Philippines , p. 84
200 เชิงตุลาการขึน้ ในฟิ ลิปปินส์ และได้กลายเป็นเครื่องมือสําหรับสถาปนาอํานาจนําทางประชาธิปไตย (hegemony in the face of democratization) เพื่อให้เป็นกลไกสาํ หรับตอ่ ส้หู รือปอ้ งกนั การเกิดเผดจ็ การ ในรูปแบบต่างๆ อีกทงั้ กลไกดงั กล่าวยงั ช่วยให้การปกปอ้ งค้มุ ครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน สามารถทําได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากขนึ ้ 28 อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 จะกําหนดให้ศาลสูงสุดสามารถใช้อํานาจในการ ควบคุมตรวจการกระทําของฝ่ ายบริหารหรือฝ่ ายนิติบญั ญัติได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าศาลสงู สุดจะ สามารถใช้อํานาจดงั กล่าวเข้าควบคมุ ปฏิบตั ิการขององค์กรทงั้ สองได้ทงั้ หมด หากมีแต่เพียงประเด็นท่ี เกี่ยวข้องกบั สทิ ธิตามรัฐธรรมนญู ของประชาชนหรืออาจเป็นกรณีที่อาจสง่ ผลกระทบตอ่ ประชาชนเท่านนั้ ศาลสงู สดุ จงึ จะสามารถใช้อํานาจดงั กลา่ วเข้าไปควบคมุ ตรวจสอบปฏบิ ตั กิ ารของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติ บญั ญตั ไิ ด้ ซง่ึ เกี่ยวกบั เร่ืองการจํากดั ขอบข่ายอํานาจดงั กล่าวนีศ้ าลสงู สดุ ได้อธิบายไว้อยา่ งชดั เจนในคํา พิพากษาคดี Angara v. Electoral Commission วา่ “การแผ่ขยายอํานาจเข้าไปตรวจสอบควบคมุ ปฏิบตั ิการขององค์กรอื่นๆ นนั้ แม้จะได้ การสนบั สนนุ จากรัฐธรรมนญู ก็ตาม แตก่ ็ไมไ่ ด้หมายความวา่ จะใช้อํานาจดงั กลา่ วได้กบั ทุกเร่ืองหรือทุกกรณี หากสามารถใช้ได้เพียงกับกรณีท่ีปฏิบตั ิการของฝ่ ายนิติบญั ญัติ หรือฝ่ายบริหารได้สง่ ผลกระทบตอ่ สทิ ธิเสรีภาพของประชาชนที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนญู เท่านนั้ เร่ืองอ่ืนท่ีนอกเหนือจากนีศ้ าลสงู สดุ ไมส่ ามารถท่ีจะเข้าไปยงุ่ เก่ียวได้”29 การจํากดั อํานาจหรือการนิยามอํานาจที่ใช้ในการควบคมุ ตรวจสอบองค์กรอ่ืนๆ ไว้เพียงแต่เรื่อง ท่ีกระทบต่อประชาชนหรืออาจส่งผลกระทบกบั สิทธิเสรีภาพของประชาชนนนั้ เกิดมาจากการยดึ มนั่ ใน เรื่องหลกั การแบง่ แยกอํานาจ(separation of power) ที่องค์กรผ้ถู ืออํานาจอธิปไตยทงั้ สามจะไมก่ ้าวก่าย ซงึ่ กนั และกนั แต่ด้วยบทเรียนจากอดีตภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการท่ีมกั มองข้ามประชาชน และละเมิดสิทธิของประชาชนอย่บู ่อยครัง้ ทําให้การให้ความสําคญั กบั สิทธิของประชาชนถกู กําหนดให้ เป็นหนึ่งในเจตนารมณ์หลกั ของรัฐธรรมนูญ ค.ศ 1987 ฉะนัน้ ด้วยเจตนารมณ์ดังกล่าวศาลสูงสุดจึง 28 DANTE M. GATMAYTAN, The Judicial Review of Constitutional Amendments: The Insurance Theory in Post-Marcos Philippines, pp. 76 – 77 29 Dante B. Gatmaytan, POLITICISATION AND JUDICIAL ACCOUNTABILITY IN THE PHILIPPINES, 87 Phil. L.J. 21 2012-2013, p. 29
201 สามารถใช้อํานาจเข้าไปตรวจสอบถ่วงดลุ องค์กรผ้ถู ืออํานาจอธิปไตยอ่ืนได้ ตราบเท่าที่การใช้อํานาจใน เรื่องนัน้ ๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวพนั กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือประเด็นอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อ ประชาชน ซง่ึ คําพพิ ากษาคดี Mantruste Systems, Inc. v. Court of Appeals ก็ได้สะท้อนให้เห็นถงึ การ ให้ความสาํ คญั ตอ่ หลกั การแบง่ แยกอํานาจของศาลสงู สดุ เชน่ กนั วา่ “กรณีที่มีการพดู ถึงการขยายอํานาจของฝ่ ายตลุ าการนนั้ ความจริงก็คือ รัฐธรรมนูญได้ สร้างระบบในการจดั สรรอํานาจหรือแบง่ แยกอํานาจเอาไว้ ซงึ่ ภายใต้ระบบการแบง่ แยก อํานาจนีไ้ ม่ใช่ว่าศาลจะมีอํานาจเข้าไปตดั สินก้าวก่ายการทํางานของฝ่ ายนิติบญั ญัติ หรือฝ่ ายบริหารได้ทุกเรื่อง หากแต่การใช้อํานาจทางตุลาการเพื่อจํากัดอํานาจของ องค์กรอื่นๆ นนั้ จะกระทําได้แต่เพียงเร่ืองที่อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เท่านนั้ เรื่องที่ไม่เก่ียวข้องอย่างเช่น การเข้าซือ้ กิจการ การโอนย้ายทรัพย์สิน หรือการ กระทําในรูปแบบอ่ืนๆ ที่ไมก่ ระทบตอ่ สทิ ธิของประชาชน ศาลสงู สดุ จะไมส่ ามารถเข้าไป ก้าวก่ายได้ เพราะฉะนนั้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางปกครอง การบริหารจดั การ ฯลฯ ถ้าการ กระทําเหลา่ นีไ้ มก่ ระทบตอ่ สทิ ธิของประชาชน ศาลสงู สดุ จะไมม่ ีอํานาจทนั ที”30 คําพิพากษาทัง้ สองคดีดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นถึงการตีความอํานาจตามรัฐธรรมนูญท่ี กําหนดให้ศาลสูงสุดสามารถใช้เพื่อควบคุมตรวจสอบองค์กรอ่ืนๆ อย่างชดั เจนว่า แม้บทบญั ญัติตาม รัฐธรรมนูญจะเปิดกว้างให้ศาลใช้ดุลยพินิจในการอํานาจดงั กล่าวได้อย่างเต็มที่และอิสระ แต่ในทาง ปฏิบตั ศิ าลกลบั ใช้อํานาจดงั กลา่ วเฉพาะกบั กรณีท่ีกระทําตอ่ ประชาชนหรือละเมิดตอ่ สิทธิของประชาชน เท่านนั้ ด้วยเพราะศาลสงู สดุ ตระหนกั ยึดมน่ั และให้ความสําคญั กบั หลกั การแบ่งแยกอํานาจเป็นที่ตงั้ การตีความโดยยดึ มนั่ ในหลกั การดงั กลา่ วจงึ ทําให้คดีท่ีปรากฏบทบาทของศาลในการเข้าไปก้าวลว่ งหรือ ควบคมุ ตรวจสอบนนั้ มกั จะเป็นคดีที่มีประชาชนเข้ามาเป็นองค์ประกอบเสมอ ทงั้ นี ้แม้ศาลสงู สดุ จะมีการตีความหรือกําหนดขอบเขตอํานาจของตนไว้อย่างชดั เจนเพื่อไม่ให้ ละเมิดตอ่ หลกั การแบง่ แยกอํานาจก็ตาม แต่ในความเป็นจริงศาลสงู สดุ รวมถึงองค์กรตลุ าการกลบั ต้อง เผชิญกบั การเข้าครอบงําหรือแทรกแซงจากฝ่ายบริหารอย่เู สมอโดยเฉพาะในช่วงสมยั ของประธานาธิบดี Gloria Macapagal – Arroyo ซ่ึงการเข้าแทรกแซงของฝ่ ายบริหารดังกล่าวได้ส่งผลอย่างมากต่อการ 30 Dante B. Gatmaytan, POLITICISATION AND JUDICIAL ACCOUNTABILITY IN THE PHILIPPINES, p 30
202 พิพากษาเพ่ือค้มุ ครองสิทธิของประชาชนและควบคมุ ตรวจสอบการใช้อํานาจของฝ่ ายนิติบญั ญัติและ ฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะการใช้อํานาจเพ่ือควบคมุ ฝ่ายบริหารท่ีหากพิจารณาจากบริบททางประวตั ศิ าสตร์ การเมืองของฟิ ลิปปินส์แล้วจะพบว่าศาลสูงสุดมีอุปสรรคอยู่พอสมควรต่อการใช้อํานาจเพ่ือควบคุม องค์กรดงั กล่าว โดยเฉพาะเมื่อฝ่ ายบริหารเป็นเผด็จการอํานาจนิยมดงั ที่เคยเกิดขึน้ ก่อนหน้านีใ้ นสมยั ของประธานาธิบดี Marcos ซึ่งหากพิจารณาจากคําวินิจฉัยของศาลท่ีปรากฏขึน้ ในประเด็นที่มีการโต้แย้งเก่ียวกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และปัญหาที่เกี่ยวพนั กบั สถาบนั การเมืองที่มาจากการเลอื กตงั้ ก็จะทําให้สามารถ มองเห็นถึงบทบาทของฝ่ายตลุ าการได้อยา่ งชดั เจนมากขนึ ้ 3.1 ประเดน็ สิทธิเสรีภาพของประชาชน สําหรับการพิจารณาคําวินิจฉัยในประเด็นสิทธิเสรีภาพในฟิ ลิปปินส์ บทบาทที่เห็นได้อย่าง เดน่ ชดั ก็คอื คาํ ตดั สนิ ที่มีผลเป็นการให้ความค้มุ ครองตอ่ ผ้คู นกลมุ่ ตา่ งๆ ซงึ่ อาจจําแนกได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ 3.1.1 คาํ วินิจฉัยในประเดน็ เร่ืองเพศ คดี ประชาชน กับ โอเบเควีย31 (G.R. No. 143716, April 31, 2002) คดีนีเ้ ป็นคดีเป็นคดีข่มขืนซง่ึ การพิจารณาว่าคดีใดเป็นการข่มขืนหรือไม่นนั้ ในหลกั ปฏิบตั ิศาล มกั จะตดั สินเอาจากร่องรอยการต่อส้ทู างกายภาพอนั แสดงให้เห็นถึงการไม่ยินยอมท่ีจะมีสมั พนั ธ์ทาง เพศกนั ของระหว่างบุคคล แต่ในคดีดงั กล่าวนีศ้ าลได้วิเคราะห์และวางหลกั ในการค้มุ ครองผ้เู สียหายไว้ อย่างก้าวหน้า โดยพิพากษาว่าการต่อส้ทู างกายภาพไม่ใช้สาระสําคญั ของการพิสจู น์กรณีข่มขืน โดย ข้อเท็จจริงในคดีดงั ตอ่ ไปนี ้ โจทก์มีอาชีพเป็นพนกั งานขายของในห้างสรรพสนิ ค้าซง่ึ อยทู่ ่ีเดียวกบั จําเลย คนื หนง่ึ ขณะท่ีโจทก์ นําขยะออกไปทิง้ นอกห้าง จําเลยก็ลากโจทก์เข้าไปใต้สะพาน จากนัน้ ก็ใช้มีดเพ่ือขู่ให้โจทก์ยอมมี เพศสมั พนั ธ์กับตน จากข้อเท็จจริงดงั กล่าวจําเลยถูกตงั้ ข้อหาฐานข่มขืนกระทําชําเรา ในการต่อส้คู ดี จําเลยอ้างวา่ โจทก์เป็นครู่ ักของตนและโจทก์ยนิ ยอมที่จะมีเพศสมั พนั ธ์กบั ตน 31 วราภรณ์ แช่มสนิท, เพศภาวะกับศาลยุติธรรม : กรณีศึกษาจากประเทศฟิ ลิปปิ นส์, ส่วนท่ี 2, พฤษภาคม ( 2006 ), หน้า 4 – 5
203 จากข้อเท็จจริงดงั กล่าวศาลได้มีคําตดั สินว่าในการพิสจู น์ความผิดฐานข่มขืนนนั้ การใช้กําลงั บงั คบั หรือข่มขไู่ มจ่ ําเป็นต้องมีระดบั ความรุนแรงถึงขนั้ เหยื่อไมส่ ามารถต้านทานได้ การใช้กําลงั หรือขม่ ขู่ เพียงในระดบั ที่ทําให้ผ้ปู ระทษุ ร้ายสามารถก่ออาชญากรรมได้สําเร็จก็ถือเป็นหลกั ฐานว่าผ้เู สียหายไม่ได้ ยินยอม การพิสูจน์การข่มขืนไม่จําเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเหยื่อได้ทําการต่อสู้ขัดขืนในทางกายภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ประทษุ ร้ายขม่ ขเู่ หย่ือจนเหยื่อยอมทําตามคําสงั่ เพื่อแลกกบั ชีวิต ในคดีนีก้ ารขม่ ขแู่ ละ การใช้กําลงั บงั คบั ตามที่โจทก์ระบกุ ็เพียงพอท่ีจะถือว่าได้มีการข่มขืนเกิดขนึ ้ ส่วนข้ออ้างของจําเลยท่ีว่า โจทก์เป็นครู่ ักของตนนนั้ ก็ไมม่ ีหลกั ฐานท่ีจะพิสจู น์ได้ โดยทว่ั ไปแล้วผ้หู ญิงจะไมป่ ัน้ แตง่ เรื่องการถกู ขม่ ขืน และต้องยอมทนกบั ความอบั อายและผลกระทบทางจิติใจที่ตามมา ยกเว้นแตว่ ่าเธอจะมีแรงโจงใจอย่าง แรงกล้าที่จะเรียกความยตุ ธิ รรมให้ตนเอง การพิพากษาคดีในลักษณะดังกล่าวได้ วางหลักการอันช่วยให้ โจทก์ ได้ รับการค้ ุมครองและ สามารถตอ่ ส้ใู นกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาได้มากขนึ ้ หลกั การท่ีกลา่ วว่าการตอ่ ส้ทู างกายภาพไมใ่ ช่ สาระสําคญั ของการพิสจู น์กรณีขม่ ขืน จงึ เป็นหลกั ฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชดั เจนวา่ ศาลฎีกาพยายามให้ ความเป็นธรรมและค้มุ ครองสิทธิของความเป็นผ้หู ญิงอย่างมาก ซง่ึ การให้สิทธิและค้มุ ครองหญิงเพื่อให้ สามารถต่อส้ใู นกระบวนยตุ ิธรรมทางอาญาได้มากขึน้ นนั้ ยงั สะท้อนให้เห็นผ่านคดีต่าง ๆ อีกมากมาย ดงั เช่น คดีของนบู ลา ท่ีจะกลา่ วตอ่ ไป คดปี ระชาชนกับนูบลา (G.R. No. 137164, June 19, 2001)32 ใบรับรองแพทย์คือเอกสารสําคญั ท่ีถกู อ้างเป็นหลกั ฐานในการพิสจู น์ความผิดหรือพิสจู น์ความ บริสุทธ์ิของคู่ความในคดีในศาล โดยเฉพาะกับคดีข่มขืนที่มีความจําเป็นอย่างย่ิงต่อการใช้ใบรับรอง แพทย์ ทงั้ นีเ้ พราะการจะพิสจู น์ว่าฝ่ ายหญิงถกู ข่มขืน ถกู วางยา หรือถกู สารกระต้นุ อย่างใดๆ ทําให้ขาด สติหรือไม่นัน้ การตรวจพิสจู น์ดงั กล่าวล้วนต้องอาศยั แพทย์ผู้เช่ียวชาญพร้ อมกับใบรับรองของแพทย์ ดงั กลา่ วด้วย ศาลถึงจะสามารถพิพากษาตดั สนิ ตอ่ ไปได้ อย่างไรก็ตาม ในคดีดงั กล่าวนีแ้ ม้โจทก์ (ผ้เู สียหาย) จะไม่ใบรับรองแพทย์เพ่ือยืนยนั วา่ ตนได้รับ ความเสียหายก็ตาม แต่ศาลก็พิพากษาค้มุ ครองโจทก์โดยวางหลกั การไว้ว่าใบรับรองแพทย์ว่าเหย่ือถกู วางยาไมจ่ ําเป็นตอ่ การพิสจู น์การขม่ ขืน ดงั จะเห็นได้จากข้อเท็จจริงดงั ตอ่ ไปนี ้ 32 วราภรณ์ แช่มสนิท, เพศภาวะกับศาลยุตธิ รรม : กรณีศกึ ษาจากประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์, หน้า 12 – 13
204 โจทก์อายุ 19 ปี และเป็นนกั ศึกษาได้รู้จกั กับจําเลยผ่านเพื่อนของครอบครัว วนั หนึ่งโจทก์พบ จําเลยในบาร์แห่งหนึ่ง และโจทก์สง่ั ชาเย็นมาด่ืม ภายหลงั จากด่ืมชาได้หนึ่งในสามโจทก์รู้สึกมึนศีรษะ โจทก์จงึ ขอให้จําเลยไปสง่ ท่ีบ้าน จําเลยบอกให้โจทก์ด่ืมชาที่เหลือให้หมด โจทก์ทําตามและหลงั จากนนั้ ก็ หมดสติไป เม่ือจําเลยปลกุ ให้โจทก์ตื่นขึน้ ในตอนเช้า โจทก์ตกใจท่ีเห็นตนเองนอนเปลือยอยู่กบั จําเลย นอกจากนนั้ โจทก์ยงั รู้สกึ เจ็บที่บริเวณบนั้ ท้ายและอวยั วะเพศ และพบว่ามีรอยถกู จบู บริเวณหน้าอกและ ต้นขาของตน จําเลยถูกตงั้ ข้อหาว่าข่มขืนโจทก์ แต่จําเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยินยอมอีกทัง้ ยงั ไม่มีหลกั ฐาน ประการใดท่ีแสดงให้เห็นวา่ โจทก์ถกู ตนวางยาจนทําให้หมดสติ ศาลสงู สดุ พิพากษาวา่ ในคดีนีโ้ จทก์ไมส่ ามารถให้การได้ว่าการร่วมประเวณีเกิดขนึ ้ ได้อย่างไรใน สถานท่ีแห่งนนั้ สิ่งที่โจทก์สามารถระบไุ ด้ชดั เจนมีแตเ่ พียงเหตกุ ารณ์แวดล้อมในเย็นวนั ก่อนที่จะเกิดการ ขม่ ขืน แตก่ ารท่ีโจทก์ไม่สามารถให้การได้นนั้ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ปัน้ แต่งเรื่องข้อกลา่ วหาขนึ ้ มาเอง แตเ่ ป็นเพราะโจทก์หมดสตใิ นระหวา่ งที่มีการขม่ ขืนเกิดขนึ ้ เหตกุ ารณ์ตอ่ เนื่องตามท่ีโจทก์เลา่ แสดงให้เห็น ถึงแผนการของจําเลยที่จะกระทําการละเมิดทางเพศตอ่ โจทก์ การปราศจากหลกั ฐานทางการแพทย์หรือ ทางเคมีวา่ โจทก์ถกู วางยาไมไ่ ด้หมายความวา่ โจทก์ไม่ได้ถกู วางยาจริง ในช่วงหลงั เกิดเหตโุ จทก์ไมท่ นั คิด วา่ ตนเองถกู วางยาจงึ ไมไ่ ด้เข้ารับการตรวจร่างกายเพ่ือหาหลกั ฐานดงั กลา่ ว คดี Ang Ladlad LGBT v. COMMISSION ON ELECTIONS, G.R. No. 190582 : April 8, 201033 Ang Ladlad เป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของบรรดาชายหญิงและเพศหลากหลาย อ่ืน ๆ (LGBTs) สําหรับการต่อส้ใู นประเด็นท่ีเก่ียวกบั เร่ืองเพศ การเลือกปฏิบตั ิทางเพศ รวมถึงประเด็น เร่ืองความรุนแรง ซงึ่ ต่อมาองค์กรดงั กล่าวได้ทําการขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับคณะกรรมการการ เลอื กตงั้ (Commission on Elections) อยา่ งไรก็ตาม คาํ ขอดงั กลา่ วกลบั ได้รับการปฏเิ สธ จากคณะกรรมการการเลือกตงั้ ด้วยเหตผุ ลว่า ความต้องการสถาปนาชุมชนเพศหลากหลายให้กลายเป็นนิติบคุ คลนนั้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เน่ืองจาก การกระทําเช่นนีถ้ ือเป็นการขัดต่อมาตรา 695(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งฟิ ลิปปินส์ ซึ่งเป็นเรื่อง เกี่ยวกับการกระทําที่ขัดต่อหลกั ศีลธรรมอันดีของประเทศ อีกทัง้ ข้อกําหนดภายในองค์กรอันเปรียบ 33 Ang Ladlad LGBT v. COMMISSION ON ELECTIONS. G.R. No. 190582 : April 8, 2010, Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 308
205 เหมือนนโยบายของกลมุ่ ยงั กําหนดให้สามารถละเมิดศีลธรรมอนั ดีหรือกฎหมายบางอยา่ งได้หากเป็นไป เพื่อประโยชน์ของกล่มุ หรือท่ีกล่มุ เห็นสมควร ซึ่งการออกข้อกําหนดในลกั ษณะนีถ้ ือเป็นสิ่งท่ีขดั กบั ประ กฎหมายแพ่งมาตรา 1306 อย่างชดั เจน คณะกรรมการการเลือกตงั้ จงึ ปฏิเสธการขอจดทะเบียนเป็นนิติ บคุ คลดงั กลา่ ว ประเดน็ จงึ มีวา่ การขอจดทะเบยี นนิตบิ คุ คลของ Ang Ladlad ควรได้รับการยอมรับตามกฎหมาย หรือไม่ ซงึ่ ในเรื่องนีศ้ าลสงู สดุ ฟิ ลปิ ปินส์วินิจฉยั วา่ เพ่ือประโยชน์แหง่ เสรีภาพและความเทา่ เทียมบคุ คลไม่ วา่ จะเป็นชาย หญิง เลสเบีย้ น หรือเกย์กะเทย ตา่ งมีสิทธิที่เท่าเทียมกนั อยา่ งเสมอภาค การรวมกลมุ่ และ ขอจดทะเบียนตอ่ รัฐไม่ว่าจะเป็นนิติบคุ คลหรือกระทงั่ จดทะเบียนพรรคการเมืองบคุ คลเหล่านีก้ ็สามารถ ทําได้ อีกทัง้ ข้อกําหนดหรือนโยบายของกลุ่ม ท่ีมีลักษณะเก่ียวกับการเชิญชวนให้ละเมิดกฎหมาย บางอยา่ ง หากเป็นกรณีที่กฎหมายเช่นวา่ นนั้ สง่ ผลกระทบตอ่ กลมุ่ หรือความหลากหลายทางเพศ ก็เป็นสงิ่ ท่ีสามารถกระทําได้บนวิถีทางแห่งประชาธิปไตยท่ีทกุ คนสามารถแสดงออกในสงิ่ ท่ีตนคดิ หรือต้องการได้ นอกจากนีค้ ําตดั สินของคณะกรรมการการเลือกตงั้ ท่ีปฏิเสธการร้องขอขอจะทะเบียนนิติบคุ คล ของกลมุ่ Ang Ladlad ยงั ถือเป็นการเลือกปฏิบตั ิโดยอาศยั กรอบแห่งเรื่องเพศและชาตพิ นั ธ์มุ าเป็นเครื่อง ตดั สิน ซงึ่ ถือเป็นการละเมิดสทิ ธิขนั้ พืน้ ฐานตามท่ีรัฐธรรมนญู กําหนดด้วย ดงั นนั้ คําปฏิเสธการรับรองการ จดทะเบยี นของคณะกรรมการการเลือกตงั้ จงึ ถือเป็นคาํ สงั่ ท่ีไมช่ อบด้วยกฎหมาย คดี Duncan Association of Detailman-PTGWO vs. Glaxo Phils, G.R. No.162994. September 17, 200434 Pedro A. Tecson ได้เข้าทํางานกับบริษัท Glaxo Wellcome Philippines ในตําแหน่งตวั แทน ทางการแพทย์ (medical representative) ซึ่งก่อนเข้ าทํางานนัน้ Tecson ได้ ลงนามในสัญญาที่ กําหนดให้ต้องปฏิบตั ิตามกฎของบริษัทว่า พนกั งานจะต้องเก็บข้อมลู เก่ียวกบั ยาไว้เป็นความลบั โดยท่ี ห้ามเปิดเผยให้แก่ผ้ใู ดทงั้ สิน้ ไม่ว่าจะเป็นกบั ญาติพี่น้อง เพ่ือนร่วมบริษัท และที่สําคญั ต้องไม่เปิดเผยแก่ บริษัทค่แู ข่ง และห้ามแตง่ งานกบั พนกั งานของบริษัทค่แู ข่งเป็นอนั ขาด อย่างไรก็ตาม หลงั จากทํางานได้ 34 Duncan Association of Detailman-PTGWO vs. Glaxo Phils, G.R. No.162994. September 17, 2004, [ระบบออนไลน์] ท่ีมา: http://politicallawreviewblog.blogspot.com/2014/10/case-digest_31.html, ( 7 กรกฎาคม 2559)
206 ช่วงระยะเวลาหน่ึง Tecson ได้แต่งงานกับ Robert Bettsy ซึ่งเป็นคู่รักร่วมเพศและเป็นพนักงานของ บริษัทของ Tecson หลงั จากแต่งงานฝ่ ายบริหารของบริษัท Glaxo Wellcome Philippines ได้มีหนงั สือเตือนไปถึง Tecson เกี่ยวกบั เงื่อนไขของบริษัทที่เกี่ยวกบั การเปิดเผยข้อมลู แก่พนกั งานของบริษัทคแู่ ขง่ พร้อมกนั นนั้ ยงั มีการระบใุ ห้เขาหรือ Bettsy ต้องลาออกจากบริษัทท่ีทํางานอยู่ ซงึ่ หลงั จากได้รับหนงั สือเตือน Tecson ไมเ่ ห็นด้วยจึงได้ทําการย่ืนเรื่องตอ่ ศาลเพ่ือขอให้มีการวินิจฉยั ในประเด็นว่า การกําหนดให้ Tecson ต้อง ลาออก และข้อสญั ญาท่ีกําหนดวา่ พนกั งานต้องห้ามเปิดเผยหรือแตง่ งานกบั พนกั งานของบริษัทคแู่ ขง่ นนั้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีดงั กลา่ วศาลสงู สดุ ฟิ ลปิ ปินส์วินิจฉยั วา่ สญั ญารวมถึงข้อกําหนดอื่น ๆ ในสญั ญานนั้ ชอบด้วย กฎหมายแล้ว โดยศาลให้เหตผุ ลว่า การกําหนดให้พนกั งานของบริษัทต้องปกปิดสตู รการผลิตยาของ บริษัทไว้เป็นความลบั นัน้ ถือเป็นเรื่องท่ีกระทําได้ทงั้ นีเ้ พ่ือประโยชน์ของบริษัท รวมถึงการกําหนดห้าม ไมใ่ ห้แต่งงานกบั พนกั งานของบริษัทคแู่ ขง่ ก็เช่นเดียวกนั เพราะความสมั พนั ธ์สว่ นตวั อาจเป็นสาเหตหุ น่ึง ที่ทําให้ความลบั ของบริษัทถกู แพร่งพายไปยงั บริษัทของคแู่ ข่งได้ การกระทําของบริษัท Glaxo ที่กําหนด ข้อปฏิบตั ิในลกั ษณะต่าง ๆ ดงั กล่าวจึงไม่ใช่ส่ิงท่ีละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากแต่เป็นสิ่งที่ บริษัทสามารถกระทําได้เพ่ือปกปอ้ งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบริษัท อย่างก็ตาม แม้กฎหมายแรงงานพยายามกําหนดเนือ้ หาให้มีความสอดคล้องกบั ข้อกําหนดท่ีใน รัฐธรรมนญู ในสว่ นที่เก่ียวกบั ความยตุ ิธรรมทางสงั คมและการค้มุ ครองแรงงาน แตก่ ็ไม่ได้หมายความว่า ข้อพิพาทแรงงานทุกข้อจะต้องถูกพิจารณาให้เป็นประโยชน์แก่ผ้ใู ช้แรงงานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ กฎหมายยงั ต้องเคารพและบงั คบั ใช้เพ่ือให้เกิดประโยชน์อยา่ งเป็นธรรมแก่ฝ่ายนายจ้างด้วย คดี Silverio v. Republic, GR. No. 174689, October 22, 200735 วนั ที่ 26 พฤศจิกายน ปี 2002 Jacinto ได้ทําการย่ืนคําร้องเพ่ือขอเปล่ียนชื่อและเพศท่ีปรากฏอยู่ ในสตู ิบตั รของตน จากชื่อ“Rommel Jacinto” เป็น “Mely” และจากเพศชายเป็นเพศหญิง ด้วยเหตเุ พราะ Jacinto ไม่ได้มีภาวะทางอารมณ์หรือจิตใจท่ีเป็นผ้ชู าย อีกทงั้ ด้านกายวิภาคก็ไม่ได้มีลกั ษณะท่ีเป็นเพศ 35 Silverio v. Republic, GR. No. 174689, October 22, 2007, [ระบบออนไลน์] ที่มา: http://skinnycases.blogspot.com/2013/10/silverio-vs-republic.html (12 กรกฎาคม 2559)
207 ชายอีกต่อไปแล้ว ด้วยเพราะ Jacinto ได้ทําการผ่าตดั แปลงเพศจากเพศชายเป็นเพศหญิงแล้ว ดงั นนั้ ด้วยทงั้ สภาพทางกายและทางใจท่ีไม่ได้เป็นชายอีกต่อไปจึงมีการยื่นคําร้องเพ่ือขอเปล่ียนแปลงชื่อและ คาํ นําหน้าช่ือท่ีถกู กําหนดหรือระบไุ ว้ในสตู บิ ตั ร เก่ียวกบั กรณีดงั กลา่ วศาลชนั้ ต้น (Regional Trial Court) พิพากษาว่า การกระทําดงั กลา่ วของผู้ ร้องเป็นเร่ืองท่ีสามารถกระทําได้เพราะการเปลย่ี นช่ือหรือเปลย่ี นสถานะทางเพศนีเ้ป็นตามหลกั แหง่ ความ ยตุ ธิ รรมและความเสมอภาคท่ีกําหนดไว้ในรัฐธรรมนญู อยา่ งไรก็ตาม สาธารณรัฐ (The Republic) ได้ทํา การย่ืนเรื่องต่อศาลอทุ ธรณ์ต่อกรณีที่เกิดขึน้ ดงั กล่าวโดยให้เหตผุ ลว่า หาได้มีกฎหมายใดในฟิ ลิปปินส์ที่ กําหนดวา่ บคุ คลสามารถเปล่ยี นเพศหรือคาํ นําหน้าช่ือของตนด้วยเหตผุ ลวา่ ได้ไปทําการแปลงเพศมาแล้ว ได้ ฉะนนั้ เมื่อไมม่ ีกฎหมายให้สทิ ธิไว้อย่างเป็นกิจจะลกั ษณะ Jacinto ยอ่ มไม่สามารถที่จะกระทําการใน ลกั ษณะดงั กลา่ วได้ จากกรณีข้างต้นศาลสงู สดุ ฟิ ลปิ ปินส์ได้มีคําวินิจฉยั ว่า การเปล่ียนช่ือของตนมนั ไม่ใช่สิทธิพิเศษ หรือเป็นเร่ืองหน้าท่ีตามรัฐธรรมนูญอะไรเลย การเปลี่ยนช่ือสามารถทําได้เลยหากพบว่าช่ือท่ีปรากฏใน สตู ิบตั รนัน้ เขียนยากหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในความหมายหรือการสะกดอยู่บ่อยครัง้ หรือชื่อมี ความหมายที่หยาบคายไมเ่ หมาะสม เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม คาํ นําหน้าชื่อก็ไมไ่ ด้เป็นสาระสําคญั ของเพศ กําเนิด แม้ผ้รู ้องจะได้เข้ารับการผา่ ตดั แปลงเพศมาแล้วก็ตาม การยงั คงใช้คํานําหน้าชื่อแบบเดิมอย่กู ็หา ได้ส่งผลเสียหรือทําให้ผ้รู ้องได้รับความอบั อายแต่อย่างใดไม่ อีกทงั้ การเปล่ียนแปลงคํานําหน้าช่ือจาก การเปล่ียนแปลงเพศก็ไม่ได้มีกฎหมายได้บญั ญัติอนุญาตไว้ ด้วยเหตผุ ลดงั กล่าวศาลจึงปฏิเสธคําร้อง ของผ้รู ้อง 3.1.2 คาํ วินิจฉัยประเดน็ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม คดี Metropolitan Manila Development Authority v. Concerned Residents of Manila Bay, GR No. 171947-48 December 18, 200836 Metropolitan Manila Development Authority (MMDA) เป็นองค์กรของนครหลวงมะนิลาท่ีมี หน้าท่ีดแู ลควบคุมและจดั ระเบียบกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รอบอ่าว Manila Bay ซึ่งในคดีนีไ้ ด้มี 36 Metropolitan Manila Development Authority v. Concerned Residents of Manila Bay GR No. 171947-48 December 18, 2008, [ระบบออนไลน์] ท่ีมา: http://victormorvis.blogspot.com/2014/04/mmda-v- concerned-residents-of-manila.html (7 กรกฎาคม 2559)
208 การร้ องเรียนนครหลวงมะนิลาต่อศาลสูงสุดฟิ ลิปปินส์จากผู้อยู่อาศัยและผู้ประกอบบริเวณอ่าวว่า คณุ ภาพของนํา้ ใน Manila Bay ในตอนนีต้ ํ่ากว่าค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายสิ่งแวดล้อมของฟิ ลิปปินส์ กําหนด ด้วยเพราะ MMDA ละเลยต่อการปฏิบตั ิหน้าที่โดยไม่มีการจดั การหรือควบคมุ ดแู ลกิจกรรมใน พืน้ ที่ดงั กลา่ วอยา่ งเป็นระบบอนั สง่ ผลเสียตอ่ กิจการและสภาพความเป็นของผ้คู นบริเวณนนั้ ฉะนนั้ กลมุ่ ผู้ ร้องจึงได้ย่ืนเรื่องต่อศาลเพื่อขอให้มีคําสง่ั บงั คบั ให้มีการลงมือฟื ้นฟูหรือสร้างมาตรการในการแก้ไขให้ คณุ ภาพกลบั มาดีดงั เดมิ เพื่อให้สามารถจดั ให้เป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ียว เช่น วา่ ยนํา้ ลอ่ งเรือ หรือกิจกรรมนนั ท การอื่น ๆ ดงั ท่ีเคยเป็นมาได้ จากข้อเท็จจริงดงั กลา่ วศาลสงู สดุ ฟิ ลิปปินส์พิพากษาว่า การจดั การสิ่งแวดล้อมหรือการบริการ ทรัพยากรในประเทศเป็นเร่ืองของฝ่ายบริหารหรือรัฐ ซงึ่ การจดั พืน้ ที่บริเวณรอบอา่ ว Manila Bay ให้เป็น สถานท่ีท่องเที่ยวพร้อมทงั้ สง่ เสริมการประการและนนั ทการในพืน้ ที่ดงั กลา่ วก็เป็นเร่ืองการบริหารจดั การ ทรัพยากรของรัฐ เป็นนโยบายของรัฐที่มุ่งนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เป็นเคร่ืองในการส่งเสริมและ พฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ อีกทงั้ บริเวณพืน้ ที่ดงั กลา่ วนครหลวงมะนิลายงั มีการออกกฎระเบียบตา่ ง ๆ ขนึ ้ มาพร้อมกบั ตงั้ องค์กร (MMDA) ให้ขนึ ้ มาดแู ลเป็นการเฉพาะ เรื่องนีจ้ ึงถือเป็นการกระทําทางรัฐบาล ซง่ึ ผ้ทู ่ีมีอํานาจจดั การหรือบงั คบั ให้เป็นไปตามกฎหมายคือรัฐมนตรีส่งิ แวดล้อม เรื่องดงั กลา่ วจงึ หาได้อยู่ ในเขตอํานาจของศาลไม่ แตห่ ากมีพฤตกิ ารณ์พเิ ศษท่ีสามารถแสดงให้เห็นอยา่ งชดั เจนวา่ องค์กร MMDA ที่นครหลวงมะนิลาตงั้ ให้มาดแู ลจัดการพืน้ ท่ีรอบอ่าว Manila Bay นนั้ ได้มีการเพิกเฉยต่อการดแู ละ จดั การสง่ิ แวดล้อมตามกฎหมายพเิ ศษของพืน้ ท่ีและกฎหมายสงิ่ แวดล้อมฟิ ลปิ ปินส์ เช่นนีศ้ าลจึงสามารถ เข้าไปพิพากษาตดั สนิ หรือกําหนดมาตรการในการฟื น้ ฟเู ยียวยาได้ คดี Laguna Lake Development Authority v CA, GR No. 110120 March 16, 199437 องค์กร LLDA Legal ซง่ึ เป็นองค์กรเกี่ยวกบั การส่งเสริมปกปอ้ งและพฒั นาส่ิงแวดล้อมได้พบว่า รัฐบาลเมือง Caloocan ได้มีการเปิดพืน้ ท่ีบริเวณท่ีมีชื่อว่า Camarin ให้เป็นพืน้ ที่สําหรับการทิง้ และ จดั การขยะของเมือง แต่การเปิดพืน้ ท่ีรวมถึงแผนการดําเนินงานในการจดั การขยะของพืน้ ที่ดงั กล่าวนนั้ รัฐบาลไมไ่ ด้กระทําตามมาตรฐานความปลอดภยั Environmental Compliance Certificate หรือ ECC 37 Laguna Lake Development Authority v CA, GR No. 110120 March 16, 1994, [ระบบออนไลน์] ที่มา: http://digestingcases.blogspot.com/2015/06/laguna-lake-development-authority-vs-ca.html, (10 กรกฎาคม 2559)
209 กําหนดไว้ ซงึ่ ถือเป็นการละเมดิ ตอ่ กฎหมายสง่ิ แวดล้อมฟิ ลปิ ปินส์ด้วย ซง่ึ หลงั จากพบข้อเท็จจริงดงั กลา่ ว LLDA Legal ได้ทําการฟ้องร้ องรัฐบาลเมือง Caloocan เพื่อขอให้มีการหยุดการกระทําและบงั คับให้ รัฐบาลปฏิบตั ิตามขนั้ ที่กฎหมายกําหนด แต่รัฐบาลให้การตอ่ ส้วู ่า LLDA Legal ไม่มีทงั้ อํานาจฟ้องและ อํานาจท่ีจะบงั คบั ให้ทางรัฐบาลหยดุ การกระทําในเร่ืองดงั กลา่ ว ในเร่ืองนีศ้ าลสูงสุดฟิ ลิปปินส์มีคําวินิจฉัยออกมาสองประเด็น โดยในประเด็นแรกนัน้ ศาล พิพากษาว่าเนื่องจาก LLDA Legal เป็นหน่วยงานที่ได้รับคําส่ังโดยเฉพาะภายใต้พระราชบัญญัติ สาธารณรัฐฉบบั ท่ี 4850 และ mandatory laws สําหรับการจดั การด้านสิ่งแวดล้อมและการควบคมุ การ เก็บรักษาคณุ ภาพของชีวิตมนษุ ย์และระบบนิเวศและการปอ้ งกนั การรบกวนระบบนิเวศเกินควรหรือการ กระทําอย่างใด ๆ ที่ก่อให้เกิดมลพิษ จึงเป็นท่ีแน่ชดั ว่า LLDA Legal มีความรับผิดชอบท่ีจะต้องปกปอ้ ง คนที่อาศยั อย่ใู นภมู ิภาคทะเลสาบลากนู ่าจากผลกระทบที่เป็นอนั ตรายของสารพิษหรือมลพิษที่เกิดจาก การจัดการขยะหรือปล่อยของเสียออกจากพืน้ ที่โดยรอบ จึงถือได้ว่า LLDA Legal มีอํานาจฟ้องใน ประเดน็ ดงั กลา่ ว ประการที่สอง กฎหมาย EO 927 Section 4 ยังได้กําหนดไว้ชัดเจนอีกว่า LLDA Legal เป็น หน่วยงานของรัฐและมีอํานาจในการตรวจสอบบรรดาการกระทําทัง้ หลายที่อาจส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม พร้อมทงั้ มีอํานาจในการสง่ั ให้ระงบั หรือยตุ ิการดําเนินการชว่ั คราวเพื่อบงั คบั ให้ผู้ท่ีดําเนิน โครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมนัน้ กลบั ไปทําตามขัน้ ตอนตามกฎหมายหรือตามคําสงั่ ที่ LLDA Legal กําหนดหรือตดั สนิ ไว้ ดงั นนั้ จากกรณีดงั กลา่ ว LLDA Legal จงึ เป็นผ้ทู ่ีมีอํานาจเตม็ ในการท่ี จะออกคําสง่ั และบงั คบั ให้รัฐบาลกลบั ไปดําเนินการตามกระบวนการกฎหมายให้ถูกต้อง คําสงั่ ให้ยุติ โครงการหรือการกระทําของรัฐบาลท่ีจะเปิดพืน้ ที่บริเวณ Camarin เป็นท่ีทิง้ และจดั การขยะของเมืองจึง ชอบแล้ว คดี Henares v LTFRB, GR No. 158290 October 23, 2006 38 เร่ืองนีเ้ ป็นคดีเกี่ยวกบั การพิพาทกนั รัฐกบั ชาวบ้าน เนื่องจากเมือง Princesa City ได้มีการออก กฎหมายเก่ียวกับการรักษาสภาพแวดล้ อมและลดมลพิษทางอากาศโดยการกําหนดให้ ประชาชนผ้ ู 38 Henares v LTFRB, GR No. 158290 (October 23, 2006), [ระบบออนไลน์] ที่มา: http://victormorvis.blogspot.com/2014/04/henares-v-ltfrb-environmental-law.html (10 กรกฎาคม 2559)
210 ต้องการสนั จรไปไหนมาไหนนนั้ จะต้องใช้รถโดยสารประจําทางซง่ึ ยานพาหนะสาธารณะ (PUVs) ท่ีทาง เมืองกําหนดไว้ให้ หรือหากจะใช้ยานพาหนะสว่ นตวั ยานพาหนะนนั้ ๆ ก็ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติ (CNG) ซงึ่ เป็นเชือ้ เพลงิ ทางเลอื กและเป็นมิตรกบั สงิ่ แวดล้อม เพ่ือลดมลพิษหรือมลภาวะตา่ ง ๆ ในอากาศ ชาวบ้าน จึงได้รวมตวั กันและร้ องต่อศาลเพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษายกเลิกกฎหมายหรือข้อกําหนดของเมือง Princesa City ในเร่ืองดงั กลา่ ว ซึ่งในคดีนีศ้ าลสงู สดุ ฟิ ลิปปินส์มีคําพิพากษาว่า การกระทําทางรัฐบาลหรือบริหารจดั การของ รัฐบาลในเร่ืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองเศรษฐกิจ สงั คม หรือสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีความชอบธรรม และมีอํานาจในการจะกําหนดคําสง่ั หรือข้อปฏิบตั ิอย่างใดก็ได้ในกรอบภายใต้ของการบริหารจัดการ ดงั กล่าว ซ่ึงแน่นอนว่าการกําหนดให้ประชาชนใช้พลงั งานเชือ้ เพลิงที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม(CNG) รวมถึงบงั คบั ให้ประชาชนใช้ยานพาหนะสาธารณะของรัฐที่ใช้ CNG หากเป็นกรณีท่ีประชาชนไม่ได้ เปล่ียนไปใช้พลงั งานทางเลือกนนั้ ก็สามารถกระทําได้เช่นกนั ทงั้ นีใ้ ห้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อกําหนด ท่ีเมือง Princesa City ได้ตราขนึ ้ ซงึ่ แม้ชาวบ้านจะมีการรวมตวั กนั เพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษาระงบั หรือ ยกเลือกข้อกําหนดดงั กล่าวก็ตาม แต่การท่ีศาลจะสามารถเข้าไปวินิจฉัยหรือกําหนดมาตรการการ เยียวยาโดยเฉพาะในคดีสงิ่ แวดล้อมได้นนั้ จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงวา่ มีการออกกฎหมายหรือมาตรการ ท่ีขดั แย้งกบั กฎหมายสง่ิ แวดล้อม รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยตอ่ การบงั คบั ใช้หรือปฏิบตั ติ ามกฎหมาย ต้องปรากฏข้อเท็จจริงเหล่านีเ้ ท่านัน้ ศาลถึงจะสามารถเข้าไปวินิจฉัยตดั สินได้ แต่จากข้อเท็จจริงไม่ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ละเลยต่อการปฏิบตั ิหน้าท่ีหรือข้อกําหนดดงั กล่าวขดั ต่อกฎหมายส่ิงแวดล้อมแต่ อย่างใด ดงั นนั้ จากกรณีดงั กล่าวนีศ้ าลจึงไม่สามารถท่ีจะเข้าไปตดั สินเพื่อยกเลิกข้อกําหนดของเมือง ดงั กลา่ วได้ คดี La Bugal-B'laan Tribal Association v Secretary of Environment and Natural Resources, G.R. No. 127882. December 1, 200439 ในช่วงปี 1995 รัฐบาลฟิ ลิปปินส์ได้ประกาศใช้กฎหมาย The Philippine Mining Act ซ่ึงเป็น กฎหมายท่ีอนญุ าตให้ชาวตา่ งชาติสามารถเป็นเจ้าของที่ดนิ ทําธุรกิจ ประกอบกิจการ ตลอดจนสามารถ 39 La Bugal-B'laan Tribal Association v Secretary of Environment and Natural Resources, G.R. No. 127882. (December 1, 2004), [ระบบออนไลน์] ท่ีมา: http://digestingcases.blogspot.com/2015/06/la-bugal- blaan-tribal-association-inc.html (10 กรกฎาคม 2559)
211 ครอบครองปัจจัยการผลิตและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในประเทศฟิ ลิปปินส์ได้อย่างเต็มที่ ประหน่ึงดงั่ เป็นคนชาติ ทงั้ นีเ้พื่อเป็นการพฒั นาและสง่ เสริมระบบเศรษฐกิจ ซงึ่ การประกาศใช้กฎหมาย ดงั กลา่ วได้นําผลกระทบมาสชู่ าวฟิ ลปิ ปินส์อยา่ งมาก เพราะนอกจากจะไมส่ ามารถตอ่ ส้ใู นระบบตลาดได้ แล้ว ชาวฟิ ลิปปินส์ยงั แทบท่ีจะไม่สามารถใช้ทรัพย์กรในพืน้ ที่ของตนได้ เพราะพืน้ ที่ต่างๆ ดงั กล่าวได้ กลายเป็นกรรมสิทธ์ิของชาวตา่ งชาติโดยผลของกฎหมาย The Philippine Mining Act ทําให้ไม่สามารถ ปกปอ้ ง ครอบครอง ขบั ไล่ พืน้ ท่ีท่ีตนได้รับสทิ ธิในการบริหารจดั การได้ จากผลกระทบดังกล่าวทําให้มีการฟ้องคดีต่อศาลสูงสุดฟิ ลิปปินส์ขึน้ ซ่ึงเก่ียวกับประเด็น ดงั กล่าวศาลได้มีการตัดสินให้ยกเลิกกฎหมาย The Philippine Mining Act ด้วยเหตุผลว่า กฎหมาย ดงั กลา่ วได้สร้างสง่ิ ที่เรียกวา่ service contracts กบั ตา่ งชาตมิ ากเกินไป มากจนกระทง่ั ทําให้คนฟิ ลปิ ปินส์ ซ่ึงมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญไมสามารถรอบครองหรือเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพืน้ ท่ีของตนได้ นอกจาก service contracts ดงั กลา่ วยงั ถือเป็นการทําสญั ญาที่ละเมดิ อํานาจอธิปไตยอยา่ งร้ายแรง ด้วย เปิดให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของหรือบริหารจดั การทรัพยากรของฟิ ลิปปินส์ได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ กฎหมายฉบบั ดงั กล่าวจึงละเมิดต่อหลกั อํานาจอธิปไตยและสิทธิที่ กําหนดในรัฐธรรมนญู อยา่ งชดั เจน 3.1.3 การคุ้มครองสิทธิแก่ชนพืน้ เมือง คดี Cruz vs. Secretary of DENR G.R. No. 135385. December 6, 200040 คดีนีเ้ ป็นคดีเก่ียวกับการต่อสู้เคล่ือนไหวของชนพืน้ เมืองฟิ ลิปปินส์ (Indigenous Cultural Communities/Indigenous Peoples) เน่ืองด้วยหลงั จากที่ฟิ ลิปปินส์ได้หลดุ พ้นจากการเป็นอาณานิคม ของประเทศมหาอํานาจ ฟิ ลิปปินส์ก็ดีมีการสถาปนารัฐธรรมนูญ พร้ อมกับกําหนดสิทธิต่างๆ เพื่อ ค้มุ ครองคนในประเทศ ซง่ึ การให้การค้มุ ครองและรับสทิ ธิของชนพืน้ เมืองดงั้ เดิมท่ีอยมู่ าก่อนฟิ ลปิ ปินส์จะ สถาปนาตัวเองเป็ นรัฐนัน้ ก็ถูกให้ การรับรองไว้ ในรัฐธรรมเช่นกัน พร้ อมทัง้ ได้ มีการออกเป็ น พระราชบญั ญัติค้มุ ครองสิทธิของชนพืน้ เมือง (Indigenous Peoples Rights Act) ขึน้ เพื่อบงั คบั ใช้และ ค้มุ ครองสทิ ธิให้กบั ชนพืน้ เมือง เพื่อให้การค้มุ ครองแก่คนกลมุ่ นีด้ ้วย 40 Cruz vs Secretary of DENR, Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 306
212 ในคดีนีฝ้ ่ ายชาวบ้าน (Cruz) ถกู ฟ้องจากฝ่ ายรัฐว่าบุกรุกและใช้ประโยชน์ในพืน้ ท่ีของรัฐ อีกทงั้ การบุกรุกและใช้ประโยชน์ดังกล่าวยังมุ่งกระทําเพ่ือประโยชน์ของชุมชนของตนเท่านัน้ มีการกีดกัน บคุ คลภายนอก โดยการอาศยั พระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองสทิ ธิของชนพืน้ เมืองเป็นเคร่ืองมือในการกีดกนั ทํา ให้บุคคลภายนอกไม่ให้สามารถเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ ในพืน้ ที่นัน้ ได้ ทัง้ ที่พืน้ ที่ ดงั กล่าวเป็นพืน้ ท่ีของรัฐอนั ถือเป็นท่ีสาธารณประโยชน์ (public domain) ท่ีประชาชนฟิ ลิปปินส์ทุกคน สามารถเข้าถึงได้ การกระทําของฝ่ายชาวบ้านจึงถือเป็นการกระทําอนั มิชอบและถือเป็นการกระทําที่ขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู อย่างไรก็ตาม ในคดีนีศ้ าลกลบั พิพากษาว่าการกระทําของฝ่ ายชาวบ้านเป็นการกระทําอนั ชอบ แล้ว และพระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองสทิ ธิของชนพืน้ เมืองก็ไม่ใช่กฎหมายที่ขดั กบั รัฐธรรมนญู โดยศาลฎีกา ให้เหตผุ ลว่าพืน้ ที่พิพาทดงั กล่าวนนั้ ไม่ถือว่าเป็นพืน้ ที่ของรัฐ หรือเป็นพืน้ ที่สาธารณะประโยชน์ท่ีใครก็ สามารถเข้าถึงได้ หากแต่เป็นพืน้ ที่ท่ีเรียกว่า “พืน้ ท่ีของบรรพบุรุษ” (ancestral lands) ท่ีชนพืน้ เมือง ดงั้ เดมิ ทิง้ ไว้เป็นมรดกและสบื ตอ่ กนั ภายในชมุ ชนจากรุ่นสรู่ ุ่น พืน้ ที่ดงั กลา่ วเปรียบเสมือนพืน้ ท่ีท่ีเป็นโฉนด ที่ดินของเอกชนที่รัฐจะไม่สามารถเข้าไปจดั การหรือย่งุ เกี่ยวได้ แตถ่ ึงแม้จะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั โฉนด ของเอกชน ชาวบ้านในพืน้ ที่ดงั กล่าวก็ไม่สามารถท่ีจะจดทะเบียน หรือทําการซือ้ ขายพืน้ ที่ดงั กล่าวกบั บคุ คลภายนอกได้ ชาวบ้านมีแต่เพียงสิทธิอาศยั และสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรจากพืน้ ที่เท่านนั้ ทงั้ นี ้ เป็นไปตามหลกั การให้ความค้มุ ครองชนพืน้ เมืองดงั้ เดิมตามหลกั การของพระราชบญั ญัติค้มุ ครองสิทธิ ของชนพืน้ เมือง 3.1.4 การคุ้มครองสิทธิแรงงาน ( Employees Compensation vs. Court of Appeals G.R. No. 121545, November 14, 1996)41 โจทก์ เป็ นลูกจ้ างตําแหน่งเทคนิคในห้ องปฏิบัติการทางเคมีและภายหลังได้ เป็ นวิศวกรใน สํานักงานสอบสวนแห่งชาติ (The National Bureau of Investigation) โจทก์ต้องทนทุกข์กับความ เจ็บปวดบริเวณสีข้างซ้าย พร้อมกบั มีอาการคล่ืนไส้ อาเจียน อาการดงั กลา่ วแพทย์ตรวจพบวา่ มีก้อนนิ่ว ในท่อปัสสาวะด้านซ้าย โจทก์ได้เข้ารับการผ่าตดั เอาก้อนนิ่วออก พร้อมกบั ต้องพกั ฟื น้ เป็นเวลากว่า 1 41 วาทิศ โสตถิพนั ธ์ุ, บทบาทชองศาลยุติธรรมกับความเป็ นธรรมด้านเพศสภาวะในการพิจารณา พพิ ากษาคดี, พิมพ์ครัง้ แรก (กรุงเทพฯ: สํานกั งานคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชน, 2553), หน้า 129 – 130
213 เดือน ทําให้โจทก์ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายไปกวา่ 16,019 เปโซ จากนนั้ โจทก์ได้ย่ืนคาํ ร้องเจ้าหน้าท่ีระบบประกนั การบริการของรัฐ (Government Service Insurance System หรือ GSIS) เพื่อขอรับค่าทดแทนซึ่งเป็น สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย แต่ GSIS ได้ปฏิเสธการขอเบิกค่าทดแทนดงั กล่าว ด้วยเหตผุ ลว่าการเกิด ก้อนนิ่วในท่อปัสสาวะไม่อยู่ในรายการของโรคที่เกิดจากการทํางานตามกฎหมาย อีกทัง้ โจทก์ยังไม่ สามารถแสดงให้เห็นได้วา่ ตําแหน่งหน้าที่ของตนเป็นสาเหตหุ รือเป็ฯสงิ่ ท่ีเพ่ิมความเส่ียงตอ่ ความเจ็บป่วย ด้วยโรคดงั กลา่ ว โจทก์ย่ืนอทุ ธรณ์ตอ่ จําเลย (คณะกรรมการคา่ ทดแทนลกู จ้าง) เพ่ือให้วินิจฉยั ตดั สินใน เร่ืองดังกล่าว แต่จําเลยยังคงยืนยันตามคําตดั สินของ GSIS โจทก์จึงยื่นคําร้ องต่อศาลสูงสุดเพื่อให้ ทบทวนคําตดั สนิ ของจําเลยอีกครัง้ หนง่ึ ศาลสูงสดุ ตดั สินว่า โจทก์ควรได้รับเงินทดแทนตามพระราชกฤษฎีกา (presidential decree) เลขท่ี 626 พร้อมกบั วางหลกั การไว้ว่า แม้ความเจ็บป่ วยหรือโรคของโจทก์ผ้รู ้องเรียนจะไมอ่ ย่ใู นรายการ ของโรคท่ีเกิดจากการทํางานตามข้อบงั คบั ว่าด้วยคา่ ทดแทนของลกู จ้าง แตล่ กู จ้างยงั คงมีสิทธิที่จะได้รับ คา่ ทดแทน หากสามารถพิสจู น์ได้วา่ มีความเส่ียงในการเจ็บป่ วยหรือเป็นโรคเพม่ิ ขนึ ้ จากสภาพการทํางาน ของตน ในกรณีนีง้ านของโจทก์ทําให้โจทก์ต้องสมั ผสั กบั ยา สารฆ่าแมลง ไอของสารพิษ สารเชือ้ เพลิง และสารอนินทรีย์ และอปุ กรณ์ในห้องปฏิบตั ิการเคมี นอกจากนีง้ านของโจทก์ยงั ทําให้โจทก์ต้องละเลย กิจกรรมท่ีจําเป็นตอ่ สขุ อนามยั เช่น การดม่ื นํา้ ให้เพียงพอและการถ่ายปัสสาวะ ด้วยเหตนุ ี ้แม้นิ่วท่ีเกิดขนึ ้ ในท่อปัสสาวะจะไม่ได้เกิดจากภาระหน้าท่ีของโจทก์โดยตรง แต่ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดงั กล่าวได้ เพิ่มขึน้ เพราะภาระงานของโจทก์ท่ีต้องเร่งรัดให้ทนั กบั ความต้องการให้งานมีประสิทธิภาพ การตีความ กฎหมายจึงควรตคี วามไปในลกั ษณะท่ีเอือ้ อาทรตอ่ หรือเป็นคณุ แก่บรุ ุษ สตรีท่ีกําลงั ทํางานอยเู่ ป็นสําคญั และหน่วยงานราชการตามกฎหมายก็ต้ องปฏิบัติให้ เกิดความยุติธรรมทางสังคมตามที่รั บรองใน รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 ดงั นนั้ หน่วยงานราชการก็ควรจะมีความเอือ้ เฟื อ้ ต่อลกู จ้างในการพิจารณาคํา ร้องขอคา่ ทดแทน เพ่ือให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมดงั กลา่ วด้วย คดี Lakpue Group of companies vs. Belga42 G.R. No. 166379, October 20, 2005 คดีนีเ้ป็นคดเี ก่ียวกบั การการเลิกจ้างเนื่องจากมีการปกปิดการตงั้ ครรภ์ โดยข้อเท็จจริงมีวา่ จําเลย เป็นผู้ดแู ลบญั ชีให้แก่บริษัทของโจทก์และกําลงั ตงั้ ครรภ์อยู่ ต่อมาจําเลยได้ลากิจกับทางบริษัทเพื่อพา 42 วาทิศ โสตถิพันธ์ุ, บทบาทชองศาลยุติธรรมกับความเป็ นธรรมด้านเพศสภาวะในการพิจารณา พพิ ากษาคดี, หน้า 166 – 167
214 บตุ รไปรักษาอาการหลอดลมอกั เสบท่ีโรงพยาบาล ขณะอยทู่ ่ีโรงพยาบาลนนั้ จําเลยรู้สกึ เจ็บท้องจะคลอด ลกู หลงั จากตรวจสอบอยา่ งละเอียดแพทย์ก็ได้ทําคลอดให้แก่จําเลยท่ีโรงพยาบาลเดียวกนั สองวนั ตอ่ มาขณะท่ีจําเลยพกั ฟื น้ อยทู่ ่ีโรงพยาบาล จําเลยถกู โจทก์เรียกตวั ให้ไปทํางานแตจ่ ําเลย ตอบไปว่ายงั ทํางานไม่ไหวเพราะตนยงั อย่ใู นระยะของการพกั ฟื น้ หลงั คลอด โจทก์ส่งบนั ทึกช่วยจําสงั่ ให้ จําเลยไปทํางานและแจ้งให้จําเลยทราบเก่ียวกบั เร่ืองกําหนดการประชมุ จําเลยขอให้เลื่อนไปอีกสองวนั เนื่องจากหมอนดั จําเลยเพื่อตรวจสขุ ภาพของตนและลกู ท่ีเพ่ิงคลอดซงึ่ ตรงกบั วนั นดั ประชุมพอดี ต่อมา เมื่อจําเลยกลบั ไปทํางานจําเลยได้รับแจ้งวา่ ตนถกู เลกิ จ้างแล้วและมีผลตงั้ แตเ่ วลานนั้ คดีดงั กล่าวศาลสงู สดุ ตดั สินว่าการเลิกจ้างจําเลยเป็นการกระทําท่ีมิชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ เหตุผลว่าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าการปกปิดเรื่องการตงั้ ครรภ์ของจําเลยถือเป็นการกระทําที่ไม่ซื่อสตั ย์ รวมถึงการที่โจทก์แสดงให้ศาลเห็นถึงผลกระทบจากการขาดงานของจําเลยท่ีขาดงานไปอย่างกะทนั หนั ถือเป็นการประพฤติโดยมิชอบอนั สามารถเป็นเหตใุ ห้เลิกจ้างได้นนั้ กรณีนีศ้ าลได้วางหลกั เรื่องของการ ประพฤติมิชอบเพ่ิมเติมไว้ว่า การกระทําที่จะถือเป็นการประพฤติชอบจะต้องเป็นการกระทําท่ีเกิน ขอบเขตที่กําหนดไว้ในกฎ หรือแนวปฏิบตั ิอย่างชัดเจน เป็นการกระทําในสิ่งต้องห้ามหรือ การละทิง้ หน้าที่ เป็นต้น ซ่ึงบรรดาการกระทําดงั กล่าวผู้กระทําจะต้องมีความตงั้ ใจและมีนยั ของเจตนาร้าย การ ประพฤติมิชอบต้องเป็นการกระทําผิดในเรื่องที่มีความร้ายแรงและเลวร้าย มิใช่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องไมส่ าํ คญั และการประพฤตมิ ิชอบดงั กลา่ วต้องมีความเก่ียวโยงกบั หน้าที่การงานของลกู จ้าง เพื่อจะได้ถือเป็นเหตุผลท่ีชอบธรรมในการให้ออกจากงาน ซึ่งในคดีนีพ้ ฤติกรรมของจําเลยยงั ไม่เพียง พอท่ีจะกล่าวว่าเป็นการประพฤติอนั ไม่ชอบ ทงั้ นีเ้ พราะการขาดงานเป็นเวลา 16 วนั ของจําเลยถือว่า สมควรแก่เหตเุ น่ืองจากจําเลยเพิ่งให้กําเนิดบตุ รซง่ึ ไม่ควรถือให้เป็นการกระทําที่ต้องห้ามหรือการละทิง้ หน้าท่ี อีกทัง้ การขาดงานของจําเลยยังไม่สามารถเข้าใจโดยปริยายได้ว่าจําเลยมีเจตนาทุจริต ส่วน ประเดน็ ที่โจทก์กลา่ วอ้างว่าจําเลยปกปิดข้อเท็จจริงเก่ียวกบั การตงั้ ครรภ์ของตนนนั้ ข้อโต้แย้งนีท้ ําให้เกิด คําถามว่าบุคคลสามารถปกปิดการตงั้ ครรภ์ขนั้ สดุ ท้ายได้อย่างไร ศาลเห็นด้วยกบั จําเลยว่าคงเป็นเรื่อง ยากที่โจทก์จะไม่สงั เกตเห็นว่าตนตวั ใหญ่ขนึ ้ ทกุ วนั ๆ และแม้จะเคยมีตวั อย่างว่าการตงั้ ครรภ์อาจไม่เห็น เดน่ ชดั แตโ่ จทก์ก็ไม่ได้พิสจู น์ให้ศาลเห็นอยา่ งเพียงพอว่ากรณีของจําเลยเป็นเช่นนนั้ ดงั นนั้ การที่จําเลย ไมไ่ ด้แจ้งอยา่ งเป็นทางการแก่โจทก์วา่ ตนตงั้ ครรภ์จึงไม่อาจถือได้วา่ เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงซงึ่ เก่ียวข้องโดยตรงกบั งานจองจําเลยในลกั ษณะท่ีเป็นเหตอุ นั ควรให้เลกิ จ้าง
215 นอกจากนี ้ การตงั้ ข้อหาว่าจําเลยฝ่ าฝืนคําสงั่ จากกรณีท่ีไม่ได้ทําตามบนั ทึกช่วยจํานนั้ ก็ยงั ไม่ สามารถรับได้ เพราะการฝ่ าฝืนคําสงั่ อนั เป็นเหตใุ ห้เลิกจ้างได้นนั้ ยงั ไม่พอที่จะฟังได้ว่าเป็นการกระทําที่ เกิดจากความตงั้ ใจหรือโดยเจตนาที่จะทําให้โจทก์เสียหาย เพราะบนั ทึกช่วยจําได้ถกู ส่งไปให้กบั จําเลย เพียงสองวนั หลงั จากที่เธอคลอด ด้วยเหตนุ ีจ้ ําเลยย่อมไม่อาจจะเดินทางไปรายงานตวั เพ่ือปฏิบตั ิงาน และอธิบายถึงการขาดงานของตนตามคาํ สงั่ ได้ 3.2 คดเี ก่ียวกับสถาบันการเมืองท่มี าจากการเลือกตงั้ คดี Lambino vs. COMELEC, G.R. No. 174153 October 25, 200643 15 ก.พ. 2006 Raul L. Lambino and Erico B. Aumentado (\"Lambino Group\") แลมบีโนก่ รุ๊ฟ ได้ทําการรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตัง้ และได้ทําเป็นหนังสือคําร้ องยื่นคําร้ องยื่นต่อ คณะกรรมการการเลือกตัง้ (Commission on Elections) เพ่ือขอใช้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญในแก้ ไข บทบญั ญตั ิในรัฐธรรมนญู แห่งฟิ ลปิ ปินส์ ค.ศ. 1987 ในหมวดที่ 5 ซง่ึ เป็นหมวดที่เกี่ยวกบั อํานาจของฝ่าย นิติบัญญัติและ หมวดที่ 7 ซึ่งเป็นหมวดที่เกี่ยวกับอํานาจของฝ่ ายบริหาร อีกทัง้ ยังมีการเสนอให้ เปล่ียนแปลงรูปแบบการปกครองจากระบอบประธานาธิบดีไปสกู่ ารปกครองในระบอบรัฐสภา อย่างไรก็ ตาม การย่ืนข้อเรียกร้องดงั กลา่ วก็ถกู คณะกรรมการการเลือกตงั้ ปฏิเสธทนั ที กลมุ่ แลมบีโนจงึ นําเร่ืองขนึ ้ สู่ กระบวนพิจารณาทางศาล ในเรื่องดงั กลา่ วนีศ้ าลสงู สดุ ฟิ ลิปปินส์เห็นว่า การตดั สินระงบั ข้อเรียกร้องของคณะกรรมการการ เลือกตัง้ นัน้ ชอบแล้ว เพราะแม้รัฐธรรมนูญแห่งฟิ ลิปปินส์จะมีบทบัญญัติที่เปิดช่องในการแก้ ไข รัฐธรรมนญู ได้ก็ตาม แตก่ ารย่ืนข้อเรียกร้องของกลมุ่ แลมบีโนในเรื่องดงั กลา่ วนนั้ ไมไ่ ด้ปฏบิ ตั ติ ามหลกั การ แห่งรัฐธรรมนูญที่กําหนดให้ต้องเร่ิมต้นจากเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน (ไม่มีการทําประชามติ) อีกทัง้ ลําพังแต่เพียงการรวบรวมรายชื่อและอ้ างว่ารายช่ือเหล่านัน้ คือผู้สนับสนุนและต้ องการ เปลี่ยนแปลงบทบญั ญัติแห่งรัฐธรรมนูญก็ยงั ไม่เพียงพอต่อการฟังว่าเป็นความต้องการของประชาชนท่ี อ้างช่ือมาจริง ดงั นนั้ การตดั สนิ ของคณะกรรมการการเลือกต้องจงึ ชอบแล้ว 43 Lambino vs. COMELEC, G.R. No. 174153 October 25, 2006, Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 304
216 คดี Santiago v COMELEC, G.R. No. 127325, March 19, 199744 วนั ที่ 6 ธันวาคม 1996 Jesus S. Delfin ได้ย่ืนหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตงั้ แห่งชาติ (COMELEC) เพ่ือขอแก้ไขบทบญั ญตั ใิ นรัฐธรรมนญู เก่ียวกบั การจํากดั ช่วงเวลาและอํานาจของเจ้าหน้าที่ รัฐที่ถกู เลือกโดยประชาชน ซงึ่ เกี่ยวกบั การยื่นเรื่องดงั กลา่ วนี ้คณะกรรมการการเลือกตงั้ แห่งชาตเิ ห็นชอบ ด้วยโดยมีการวินิจฉัยว่า Delfin เป็นบุคคลที่มีสิทธิสามารถยื่นเรื่องดังกล่าวได้ อีกทัง้ การขอแก้ไข รัฐธรรมนูญถือเป็นสิทธิตามท่ีรัฐธรรมนูญแห่งฟิ ลิปปินส์ ปี 1987 กําหนดไว้ พร้ อมกับไม่การปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า Delfin ได้กระทําการผิดขนั้ ตอนตามที่กฎหมายกําหนดแต่อย่างใด การยื่นหนงั สือขอแก้ รัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วจงึ ชอบด้วยกฎหมายและสามารถกระทําได้ ต่อมาในวนั ท่ี 18 ธันวาคม 1996 Santiago ได้ยื่นเร่ืองต่อศาลเพื่อขอให้มีคําสง่ั ยกเลิกผลการ ตดั สินของคณะกรรมการการเลือกตงั้ แห่งชาติตอ่ การตดั สินในประเด็นดงั กลา่ วโดยให้เหตผุ ลว่า การยื่น เร่ืองของ Delfin นนั้ มีลกั ษณะท่ีขดั ตอ่ กฎหมายประชามติ (The Initiative and Referendum Act) อีกทงั้ การย่ืนเรื่องดงั กลา่ วยงั ขดั ต่อหลกั การของรัฐธรรมนญู ท่ีกําหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเริ่มต้นท่ี ความต้องการของประชาชนและจะต้องมีการรับรองโดยรัฐสภา (Congress) อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงดงั กล่าวข้างต้นศาลสูงสุดฟิ ลิปปินส์กลบั วินิจฉัยว่า คําตัดสินของ คณะกรรมการการเลือกตงั้ ถือเป็นคําตดั สิทธิที่มิชอบ เพราะแม้ว่าการยื่นเรื่องขอแก้รัฐธรรมนญู จะเป็น สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งฟิ ลิปปินส์ ปี 1978 กําหนดเอาไว้ ซ่ึงการย่ืนเร่ืองขอแก้ ไขบทบัญญัติใน รัฐธรรมนญู นนั้ นอกจากจะต้องมีการทําประชามติเพ่ือแสดงให้เห็นวา่ การขอแก้ไขบญั ญตั ใิ นรัฐธรรมนญู นนั้ เกิดจากความต้องการของประชาชนจริง ๆ แล้ว ยงั ต้องมีกระบวนการเสนอเร่ืองดงั กล่าวส่รู ัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาออกกฎหมายหรือให้การรับรองเก่ียวกบั การขอแก้ไขในประเดน็ ดงั กลา่ วนนั้ ด้วย ทงั้ นีเ้พื่อให้ รัฐสภาในฐานะท่ีเป็นตวั แทนของประชาชนได้ทําการพิจารณาก่อนวา่ ข้อเสนอที่ข้อให้แก้ไขบทบญั ญตั ใิ น รัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วนนั้ ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นประโยชน์ตอ่ ประชาชานชาวฟิ ลปิ ปินส์หรือไมต่ อ่ ไป 44 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 8
217 คดี David v. Macapagal – Arroyo, G.R. No. 171396, May 3 200645 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 ประธานาธิบดี Gloria Macapagal – Arroyo ได้ทําการ ประกาศสภาวะฉกุ เฉินในประเทศ โดยให้เหตผุ ลวา่ ฟิ ลปิ ปินส์ในช่วงเวลานนั้ จําเป็นอยา่ งยงิ่ ท่ีจะต้องมีการ ออกกฎหมายหรือมาตรการอะไรบางอย่างขึน้ มาเพื่อป้องกนั และปราบปรามการจลาจลท่ีเกิดขึน้ ด้วย เพราะ Arroyo ทราบว่ากําลงั มีกล่มุ บุคคลท่ีกําลงั วางแผนเพ่ือทําการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของตน และได้มีการอาศยั อํานาจของประกาศดงั กลา่ วในการเรียกผ้ตู ้องสงสยั ว่าเป็นก่อความไม่สงบมาลงโทษ เป็นจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม การประกาศสภาวะฉกุ เฉินดงั กลา่ วสง่ ผลให้ประชาชนชาวฟิ ลิปปินส์หวน่ั ใจว่าจะถูกผู้นําลิดรอนสิทธิเสรีภาพ จึงได้ มีการรวมกลุ่มและร่วมกันประณามการกระทําของ ประธานาธิบดีและได้มีการยื่นคําร้องตอ่ ศาลสงู สดุ เพ่ือขอให้มีการวินิจฉยั เก่ียวกบั การออกคําสงั่ และการ ประกาศสภาวะฉกุ เฉินดงั กลา่ ว เก่ียวกับประเด็นดังกล่าวศาลสูงสุดฟิ ลิปปินส์วินิจฉัยว่า การประกาศสภาวะฉุกเฉินของ ประธานาธิบดี Arroyo ถือเป็นการกระทําท่ีมชิ อบและสง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ ประโยชน์ของปัจเจกบคุ คล และประโยชน์สาธารณะ อีกทงั้ สถานการณ์ในช่วงเวลาดงั กล่าวยงั หาได้ปรากฏเหตกุ ารณ์หรือปัจจยั ท่ี สามารถแสดงให้เห็นอย่างชดั ว่ากําลงั จะเกิดการจลาจลหรือความความไม่สงบขึน้ ในฟิ ลิปปินส์ขึน้ การ ประกาศสภาวะฉกุ เฉินดงั กลา่ วจงึ เป็นการกระทําท่ีกระทําโดยปราศจากอํานาจตามที่รัฐธรรมนญู กําหนด นอกจากนีก้ ารออกกฎหมายหรือประกาศคําสง่ั ภายใต้กฤษฎีกา (decree) เพื่อหมายเรียกหรือลงโทษ บุคคลท่ีถกู สงสยั ว่าเป็นผู้ท่ีวางแผนโค่นล้มรัฐบาลมาลงโทษนนั้ ก็ถือเป็นการกระทําท่ีมิชอบเช่นกนั ซึ่ง นอกจากจะละเมิดต่อบทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู แล้วการกระทําดงั กล่าวยงั ละเมิดตอ่ หลกั การแบง่ แยก อํานาจที่กําหนดให้การการออกกฎหมายอย่างใด ๆ นนั้ ต้องออกโดยรัฐสภาหรือผ่านการเห็นชอบจาก รัฐสภาเสียก่อน 45 David v. Macapagal – Arroyo, G.R. No. 171396, (May 3 2006), Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 301
218 คดี Tecson vs. Commission on Elections, G.R. No. 151434, 3 March 200446 วนั ท่ี 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฟิ ลิปปินส์ได้จัดการเลือกตงั้ ประธานาธิบดีขึน้ โดย Fernando Poe ได้ลงสมัครรับเลือกตัง้ แต่เธอถูกตัง้ ข้อสงสัยจากคณะกรรมการการเลือกตัง้ ว่าขาดคุณสมบัติ เนื่องจากอย่ใู นประเทศไม่ครบ 6 ปี และไม่มีสถานะเป็นพลเมืองของประเทศ โดยประเด็นสําคญั คือเธอ เรียนหนงั สือในสหรัฐฯ และได้ตดิ ตามพอ่ แมบ่ ญุ ธรรมไปตงั้ รกรากอยทู่ ่ีสหรัฐฯ แตเ่ ม่ือกลบั มายงั ฟิ ลปิ ปินส์ เธอจะลงรับสมคั รเลือกตงั้ แม้ไมไ่ ด้อยใู่ นฟิ ลปิ ปินส์มาเป็นเวลานาน คณะกรรมการการเลอื กตงั้ จึงปฏิเสธ สิทธิลงสมัครรับเลือกตัง้ ประธานาธิบดี โดยให้เหตุผลว่าขาดคุณสมบัติตามท่ีรัฐธรรมนูญกําหนด Fernando Poe จงึ ยื่นเร่ืองตอ่ ศาลสงู สดุ ฟิ ลปิ ปินส์เพ่ือให้มีคําตดั สนิ ในเร่ืองดงั กลา่ ว ศาลสงู สดุ ได้ตดั สิน 9 ตอ่ 6 เสียง กลบั คําตดั สินของคณะกรรมการการเลือกตงั้ ที่ ด้วยเหตผุ ลว่า แม้ในสมยั เดก็ เธอจะถกู ทิง้ และได้รับการเลีย้ งดจู ากพอ่ แมบ่ ญุ ธรรมชาวฟิ ลปิ ปินส์ ถกู สง่ ไปเรียนหนงั สือที่ อเมริกาและมีครอบครัวอย่ทู ่ีอเมริกานนั้ แต่ข้อเท็จจริงดงั กล่าวไม่ถือว่าทําให้เธอขาดคณุ สมบตั ิ ตรงกนั ข้าม การนําข้ออ้างว่าไมไ่ ด้เป็นคนฟิ ลิปปินส์หรือไม่ได้อย่ใู นฟิ ลิปปินส์เป็นเวลานานมาเป็นเหตผุ ลในการ ตดั สิทธินัน้ การกระทําดงั กล่าวย่อมถือเป็นการเลือกปฏิบตั ิและกีดกันบุคคลไม่ให้เข้าถึงสิทธิตามท่ี รัฐธรรมนญู กําหนด คดี Estrada vs. Arroyo, G.R. No. 146738 March 2, 200147 Joseph Estrada เคยดํารงตําแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็ถูกขบั ไล่ออกจากตําแหน่งไปใน ค.ศ. 2001 ภายหลงั ดํารงตําแหน่งได้ไมถ่ ึงคร่ึงวาระ ในข้อกลา่ วหาเร่ืองคอรัปชนั่ และใช้อํานาจประธานาธิบดี ตดั สินใจทางนโยบายเพื่อให้การช่วยเหลือกล่มุ ที่ชื่อว่า “คณะรัฐมนตรีเที่ยงคืน” ซึ่งเป็นเพื่อนและกลุ่ม เครือขา่ ยทางผลประโยชน์ของตน นอกจากนี ้Estrada ยงั ถกู ดําเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงใน ค.ศ. 2007 และ ถกู ตดั สินจําคกุ ตลอดชีวิต แต่ได้รับการนิรโทษกรรมหลงั จากนนั้ ประมาณ 2 – 3 สปั ดาห์ โดย Arroyo ผู้ 46 Tecson vs. Commission on Elections, G.R. No. 151434 (3 March 2004), Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 312 47 Estrada vs. Arroyo, G.R. No. 146738 (March 2, 2001), Albert H. Chen, Constitutionalism in Asia in the Early Twenty-First Century, (Cambridge: 2014), p. 315
219 ที่มาดํารงตาํ แหน่งประธานาธิบดแี ทน ซง่ึ การนิรโทษกรรมดงั กลา่ วนีอ้ ยภู่ ายใต้ข้อตกลงที่วา่ ห้าม Estrada กลบั เข้ามาเลน่ การเมืองหรือมีบทบาททางการเมืองอีกตอ่ ไป อยา่ งไรก็ตาม Estrada ก็ไม่ได้ทําตามสญั ญา และลงสมคั รรับเลือกตงั้ ตําแหน่งประธานาธิบดใี น ค.ศ. 2010 อนั เป็นการผิดข้อตกลงของการนิรโทษกรรมดงั กล่าวจึงทําให้มีการยื่นฟ้องต่อศาล ซึ่งก็เกิด ประเดน็ ให้ศาลสงู สดุ ฟิ ลปิ ปินส์ต้องพจิ ารณาวา่ การผดิ ข้อตกลงดงั กลา่ วนีเ้ป็นเรื่องทางการเมืองของฝ่าย บริหาร หรือข้อตกลงเป็นเร่ืองทางกฎหมาย ประเด็นสําคญั จึงมีว่าศาลมีอํานาจในการพิจารณาเร่ือง ดงั กลา่ วหรือไม่ ซง่ึ ในประเด็นนีศ้ าลตดั สินว่า ข้อเท็จจริงดงั กล่าวเป็นประเด็นทางกฎหมายไมใ่ ช่ประเด็น ทางการเมืองโดยให้เหตผุ ลว่า แม้ประเด็นข้างต้นจะเป็นประเดน็ ทางการเมืองแตป่ ระเดน็ ทางการเมืองใน ลักษณะดังกล่าวได้สัมพันธ์กับประชาชนและเป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฉะนัน้ กรณีการผิด ข้อตกลงของ Estrada จงึ ถือเป็นประเดน็ ทางกฎหมายที่ศาลสามารถมีอํานาจเข้าไปพจิ ารณาตดั สนิ ได้ 4. บทสรุปและบทเรียนจากการเมืองเชิงตุลาการของฟิ ลิปปิ นส์ การอบุ ตั ิขึน้ ของการเมืองเชิงตลุ าการ (Judicialization of Politics) ในฟิ ลิปปินส์เกิดมาจากการ เรียนรู้บริบททางการเมืองในอดีต และการตระหนกั ถึงความเลวร้ายของเผด็จการอํานาจนิยมในยคุ สมยั ของประธานาธิบดี Marcos ที่ฝ่ ายบริหารใช้อํานาจอย่างเกินขอบเขตและเข้าครอบงําแทรกแซงองค์กร ผ้ถู ืออํานาจอธิปไตยอ่ืนๆ เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความมนั่ คงทางอํานาจของตน ซงึ่ การเรียนรู้ และตระหนกั ต่อปัญหาในเรื่องดงั กล่าวทําให้เกิดการออกแบบระบบเพื่อใช้ควบคมุ ไม่ให้ฝ่ ายบริหารหรือ รัฐบาลมีอํานาจมากจนเกินไป โดยมีการบญั ญตั ิอํานาจในการควบคมุ ตรวจสอบการกระทําของฝ่ ายนิติ บญั ญัติและบริหารลงในรัฐธรรมนูญแห่งฟิ ลิปปินส์ ค.ศ. 1987 พร้ อมกับกําหนดให้อํานาจตรวจสอบ ควบคมุ เช่นว่านีเ้ ป็นขององค์กรฝ่ ายตุลาการ ดงั นนั้ ศาลสงู สุด(Supreme Court) จึงค่อนข้างมีบทบาท อยา่ งสําคญั ตอ่ การควบคมุ อํานาจของฝ่ายนิตบิ ญั ญตั แิ ละฝ่ายบริหารไปพร้อมๆ กบั การปกปอ้ งสิทธิของ
220 ประชาชนคนฟิ ลิปปินส์ ทัง้ นีเ้ พราะสถาบนั ตุลาการเป็นองค์กรเพียงหน่ึงเดียวที่ได้รับการเคารพและ คาดหวงั วา่ จะสามารถปกปอ้ งสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนให้พ้นจากเผดจ็ การอํานาจนิยมได้48 การเมืองเชิงตลุ าการในฟิ ลปิ ปินส์ขบั เคลื่อนโดยการให้อํานาจแก่ศาลสงู สดุ ในการเข้าไปควบคมุ ตรวจสอบการกระทําของฝ่ ายบริหารและนิติบัญญัติท่ีมีแนวโน้มหรืออาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของ ประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ โดยลกั ษณะการควบคมุ ตรวจสอบนัน้ ศาลสูงสดุ จะใช้วิธีการ สร้างหลกั ปฏิบตั ิ (Gran Normative) ขนึ ้ มาเป็นบรรทดั ฐานผ่านทางคําพิพากษา ซงึ่ หากมีการกระทําหรือ กฎหมายใดท่ีออกมาโดยขดั กบั หลกั การท่ีศาลสงู สดุ วางเป็นบรรทดั ฐานเอาไว้ บรรดากฎหมายหรือคําสงั่ เหลา่ นนั้ จะมีแนวโน้มที่จะถกู วนิ ิจฉยั ให้ตกไปทนั ที49 และด้วยเพราะรัฐธรรมนญู ของฟิ ลปิ ปินส์ ค.ศ. 1987 มีความเป็นประชาธิปไตยทีค่อนข้างสงู และมีเจตนารมณ์ท่ีม่งุ จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็น สําคญั ศาลสงู สดุ ในฐานะสถาบนั ผ้ขู บั เคลื่อนเจตนารมณ์ดงั กลา่ วจึงมกั ให้ความสําคญั กบั ประเด็นเรื่อง สทิ ธิเสรีภาพเป็นอยา่ งมาก50 การให้ความสําคญั กบั ประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนสะท้านให้เห็นอย่างชดั เจนผ่าน คําพิพากษาท่ีมีการตีความและใช้ กฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนอย่างกว้ างขวางตัง้ แต่เรื่อง สิทธิความเป็นส่วนตวั อย่างเช่นเร่ืองเพศหลากหลาย ผู้หญิง การสมรส ไปจนถึงสิทธิทางการเมือง ของบุคคลท่ีจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี หรือกรณีของสิทธิทางสังคมอย่างเช่นเรื่อง การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิชุมชน แรงงาน หรื อแม้ กระท่ังการให้ ความคุ้มครองกับสิทธิของ ชนพืน้ เมืองศาลสงู สดุ จะให้ความสําคญั เป็นอย่างมาก แนวทางการตดั สินในคดีประเภทดงั กลา่ วหากมี ข้ อเท็จจริ งท่ีเช่ือมโยงให้ เห็นว่าสิทธิของประชาชนอาจได้ รับผลกระทบจากการออกกฎหมายและการ บริหารของรัฐ แนวโน้มของคําพิพากษาจะออกมาในรูปของการค้มุ ครองป้องสิทธิของประชาชนทันที 48 Bryan Dennis G. Tiojanco and Leandro Angelo Y. Aguirre, THE SCOPE, JUSTIFICATIONS AND LIMITATIONS OF EXTRADECISIONAL JUDICIAL ACTIVISM AND GOVERNANCE IN THE PHILIPPINES, p. 77 49 Bryan Dennis G. Tiojanco and Leandro Angelo Y. Aguirre, THE SCOPE, JUSTIFICATIONS AND LIMITATIONS OF EXTRADECISIONAL JUDICIAL ACTIVISM AND GOVERNANCE IN THE PHILIPPINES, p. 77 50 Bryan Dennis G. Tiojanco and Leandro Angelo Y. Aguirre, THE SCOPE, JUSTIFICATIONS AND LIMITATIONS OF EXTRADECISIONAL JUDICIAL ACTIVISM AND GOVERNANCE IN THE PHILIPPINES, p. 80
221 ซงึ่ เก่ียวกบั การใช้อํานาจทางตลุ าการเพ่ือค้มุ ครองสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนนีถ้ ือเป็นจดุ แข็งและปรากฏ อยา่ งชดั เจนมากในฟิ ลปิ ปินส์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพิพากษาคดีเก่ียวกบั สทิ ธิและเสรีภาพของ ประชาชน แตห่ ากข้อพิพาทท่ีนําขนึ ้ สศู่ าลเป็นคดีเกี่ยวกบั การเมืองหรือสถาบนั ทางการเมืองท่าทีของศาล จะมีลกั ษณะที่แตกต่างออกไปทนั ซง่ึ จดุ สําคญั ที่แสดงออกมาอย่างเด่นชดั ก็คือ แนวทางการพิพากษา ของศาลสงู สดุ นนั้ จะมีลกั ษณะที่แปรเปล่ียนไปตามระบอบการปกครองในช่วงเวลาตา่ งๆ เช่น หากอย่ใู น บรรยากาศของการปกครองแบบประชาธิปไตยการทําพิพากษาของศาลก็จะออกมาในรูปแบบหนึ่ง ตรงกันข้าม หากอยู่ในบรรยากาศการปกครองแบบเผด็จการอํานาจนิยมคําพิพากษาของศาลก็จะ ออกมาในอีกรูปแบบหนง่ึ การเลื่อนไหลไปตามระบอบการปกครองของคําพิพากษาศาลสูงสดุ ท่ีปรากฏในคดีการเมือง สะท้อนให้เห็นอยา่ งชดั เจนผา่ นคดี Javellana v. Executive Secretary และคดี Lambino v. COMELEC โดยทงั้ สองคดีดงั กล่าวเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกนั แต่เกิดต่างช่วงเวลากนั คดี Javellana เป็นคดีท่ี เกิดขึน้ ในช่วงบรรยากาศที่ฟิ ลิปปินส์กําลังอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการอํานาจนิยมของ ประธานาธิบดี Marcos ที่กําลงั จะเปล่ียนแปลงรูปแบบการปกครองจากระบบประธานาธิบดีไปส่รู ะบบ รัฐสภาเพื่อขยายฐานอํานาจของตนให้ยาวนานขนึ ้ ผ่านการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ (ค.ศ. 1973) ซงึ่ ข้อเท็จจริงดงั กลา่ วนีอ้ งค์กรตลุ าการรู้ดี แตเ่ สียงเกือบทงั้ หมดของผ้พู ิพากษาศาลสงู สดุ ที่เป็นองค์คณะ ต่างให้การรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ดงั กล่าว โดยเหตุผลว่าการจัดทําร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ดงั กล่าว เป็นไปตามขนั้ ตอนทางกฎหมาย ไม่ขดั กับหลกั การตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีผลกระทบต่อประชาชน แต่อย่างใด51 การพิพากษาให้ การรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจึงนํามาสู่การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1973 ทําให้ประธานาธิบดี Marcos สามารถควบคมุ รัฐสภาจนกระทงั่ สามารถดํารง ตําแหนง่ ในฐานะผ้มู ีอํานาจสงู สดุ ในรัฐได้ยาวนานกวา่ 1 ทศวรรษ แต่เม่ือฟิ ลิปปินส์กลบั เข้าสู่บรรยากาศการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดคี Lambino กลบั แสดงให้เห็นว่าในข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เดียวกนั ซึง่ เป็นกรณีท่ีประธานาธิบดี Arroyo พยายามจะ แก้ไขรัฐธรรมนญู เพ่ือเปล่ียนแปลงระบบการปกครองจากระบบประธานาธิบดีไปสรู่ ะบบรัฐสภาเพื่อขยาย 51 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 6
222 อํานาจอยา่ งที่ประธานาธิบดี Marcos เคยทํา แตใ่ นคดีนีเ้สียงสว่ นใหญ่ของศาลสงู สดุ กลบั วินิจฉยั ว่าการ กระทําของของ Arroyo เป็นการกระทําอันมิชอบ โดยให้ เหตุผลว่าแม้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1987 จะ กําหนดให้สามารถแก้ไขบทบญั ญตั ิในรัฐธรรมนญู ได้ แต่การเสนอแก้กฎหมายในเร่ืองดงั กล่าวไม่ได้ทํา ตามขนั้ ตอนตามที่กฎหมายกําหนด อีกทงั้ การเสนอแก้กฎหมายดงั กล่าวยงั ไม่ได้ผ่านการทําประชามติ หรือรับฟังความคดิ เห็นของประชาชน ฉะนนั้ หากศาลสงู สดุ ให้การรับรองหรืออนญุ าตให้แก้ไขรัฐธรรมนญู ได้ยอ่ มถือเป็นการเพิกเฉยตอ่ การค้มุ ครองสทิ ธิตามรัฐธรรมนญู ของประชาชน52 ซ่ึงปัจจยั ที่ทําให้เกิดการเล่ือนไหลของคําพิพากษาดงั กล่าวเป็นผลมาจากรูปแบบในการเลือก บคุ คลเข้าไปทําให้หน้าที่เป็นผ้พู ิพากษาศาลสงู สดุ ที่จะต้องถกู แตง่ โดยประธานาธิบดี การเข้ารับตําแหน่ง ตุลาการศาลสูงสดุ จึงสมั พนั ธ์อย่างมากกับตําแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในช่วงสมยั ของประธานาธิบดี Marcos ผ้พู ิพากษาศาลสงู ในห้วงเวลานนั้ ส่วนใหญ่ต่างเป็นคนของ Marcos ทงั้ สิน้ คําพิพากษาในห้วง เวลานีจ้ ึงมักคล้อยตามหรือรับรองการกระทําของฝ่ ายบริหารอยู่เสมอ ส่วนกรณีของประธานาธิบดี Arroyo ท่ีไมส่ ามารถผลกั ดนั ให้เปล่ยี นระบอบการปกครองอยา่ ง Marcos ได้ก็เพราะ ในช่วงเวลาดงั กลา่ ว ฟิ ลิปปินส์กําลงั อย่ใู นบรรยากาศของประชาธิปไตยและการต่ืนตวั ทางการเมืองของประชาชน ประกอบ กบั Arroyo ได้แต่งตงั้ คนของตนเข้าไปดํารงตําแหน่งผ้พู ิพากษาศาลสงู สดุ เพียงแคส่ องถึงสามคน ทําให้ ไม่มีพลงั เพียงพอที่จะควบคมุ ศาลสงู สดุ ดงั เช่นสมยั ของ Marcos53 คําพิพากษาในประเด็นทางการเมือง ของศาลสงู สดุ ในห้วงเวลานีจ้ งึ เป็นไปในทิศทางท่ีมงุ่ กํากบั ควบคมุ การกระทําของฝ่ายบริหารมากกวา่ การ ให้การรับรองหรือสนบั สนนุ ฝ่ายบริหาร ดงั นนั้ ระบบการแตง่ ตงั้ ผ้พู ิพากษาศาลสงู สดุ ที่มีความสมั พนั ธ์กบั ตําแหน่งของประธานาธิบดีจงึ มีผลอย่างสําคญั ตอ่ แนวทางการพิพากษาในคดีประเภทต่างๆ โดยเฉพาะ คดีที่เก่ียวกบั การเมืองและสถาบนั ทางการเมือง ปัจจยั อีกประการหน่ึงที่สง่ ผลตอ่ การพิพากษาคดีของศาลสงู สดุ ก็คือ ความกลวั อนั เกิดจากการ ตระหนกั วา่ หากเป็นศตั รูกบั รัฐบาลในช่วงเวลาท่ีประเทศตกอย่ใู นบรรยากาศแบบเผดจ็ การอํานาจนิยมนี ้ อาจนํามาส่คู วามไม่มน่ั คงในชีวิตหรือหน้าที่การงานในลกั ษณะต่างๆ ได้ การตระหนกั ดงั กล่าวจึงทําให้ 52 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 10 53 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 22
223 สถาบนั ตุลากการต้องปรับตวั โดยการสอดรับหรือให้การรับรองการกระทําของฝ่ ายบริหารให้มากขึน้ 54 ตรงกันข้าม เม่ือฟิ ลิปปินส์เข้าสู่บรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยความกลัวของศาลต่อเร่ือง ดงั กล่าวก็จะหายไปทนั ที สงั เกตได้จากคดีทางการเมืองในลกั ษณะต่างๆ ท่ียกมาเป็นตวั อย่างในหวั ข้อ ก่อนหน้านีท้ ี่แทบจะไม่มีคดีไหนเลยท่ีศาลสงู สดุ จะพิพากษาเข้าข้างฝ่ ายบริหาร โดยเฉพาะคดี Lambino ที่ศาลสงู สดุ แสดงเจตนาอย่างชดั เจนว่า จะพิพากษาโดยคํานึงถึงสิทธิของประชาชนเป็นสําคญั และจะ พิจารณาพิพากษาอย่างระวงั เพื่อให้ประชาชนลืมการพิพากษาในคดี Javellana อนั ท่ีถือเป็นตราบาป และข้อผดิ พลาดของศาลสงู สดุ อยา่ งที่สดุ 55 จึงเห็นได้ว่าความกลวั เป็นอีกหนึ่งปัจจยั สําคญั เช่นกนั ท่ีทําให้สถาบนั ตลุ าการเกิดความอ่อนแอ จนกระทง่ั ถกู ทําให้เข้าใจวา่ ได้กลายเป็นเคร่ืองมือหรือเครือขา่ ยของฝ่ายเผดจ็ การอํานาจนิยม กล่าวโดยสรุปคือ การเมืองเชิงตลุ าการในฟิ ลิปปินส์แม้ในเชิงหลกั การจะดมู ีพลงั และสามารถ เป็นที่พงึ่ ของประชาชนได้ แตใ่ นความเป็นจริงการขยายอํานาจของสถาบนั ตลุ าการเพ่ือค้มุ ครองสทิ ธิของ ประชาชนนนั้ เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น องค์กรตลุ าการของฟิ ลิปปินส์แม้ไม่ได้เป็นเคร่ืองมือของรัฐ หรือเป็นเครือขา่ ยของเผดจ็ การอํานาจนิยมก็ตาม แตบ่ ทเรียนจากประวตั ศิ าสตร์ได้แสดงให้เห็นวา่ แม้ศาล สงู สดุ จะมีเจตนารมณ์ที่ม่งุ ให้ความสําคญั กบั สทิ ธิและเสรีภาพของประชาชนก็ตาม แตอ่ งค์กรนีก้ ็ออ่ นแอ เกินกว่าท่ีจะใช้อํานาจที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ได้ ด้วยเพราะองค์กรตุลาการไม่กล้าที่จะ เผชิญหน้าหรือตอ่ ส้กู บั องค์กรทางการเมืองท่ีเป็นเผด็จการอํานาจนิยม การพิพากษาในคดีการเมืองหรือ การคุ้มครองสิทธิของประชาชนโดยศาลสูงสุดจึงมกั แปรเปล่ียนไปตามไปตามเวลาและลกั ษณะการ ปกครอง ซึ่งแม้ในปัจจุบนั จะปรากฏว่าศาลสงู สุดได้ใช้อํานาจเพื่อคุ้มครองประชาชนในประเด็นสิทธิ เสรีภาพอย่างมากก็ตาม แต่ก็เพราะคดีต่างๆ ท่ีเกิดขึน้ เหล่านีไ้ ด้เกิดขึน้ ในห้วงบรรยากาศของความเป็น ประชาธิปไตย จึงมีความน่าสนใจว่าหากฟิ ลิปปินส์ตกอย่ใู นบรรยากาศของเผด็จการอํานาจนิยมอีกครัง้ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในลกั ษณะต่างๆ เหล่านีก้ ็อาจจะหายไปด้วยเช่นกัน ดงั ทีเคย ปรากกฎมาแล้วในยคุ ของประธานาธิบดี Marcos 54 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 22 55 Dante Gatmaytan-Magno, CHANGING CONSTITUTIONS: JUDICIAL REVIEW AND REDEMPTION IN THE PHILIPPINES, p. 11
224
225 ส่วนท่ี 3 บทท่ี 7 กาํ เนิดและพลวัตของศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญไทย 1. อาํ นาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญไทย ปมประเด็นสําคญั ประการหน่งึ ของการปกครองภายใต้ระบอบรัฐธรรมนญู ก็คือ องค์กรใดจะเป็น ผู้มีอํานาจวินิจฉัยชีข้ าดในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ บางประเทศซ่ึงไม่ได้มีการจดั ตงั้ องค์กรขนึ ้ ทําหน้าท่ีเป็นการเฉพาะก็มกั จะเป็นหน้าที่ของศาลยตุ ธิ รรม ในขณะท่ีหลายประเทศโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในกล่มุ ประเทศประชาธิปไตยใหม่ มกั จะมีการจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ขึน้ มาทําหน้าที่ดงั กล่าวนี ้ อย่างชัดเจน และดูราวกับว่าการจัดตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นแนวโน้มท่ีปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ภายใต้กระแสรัฐธรรมนุญาภิวตั น์ ซ่ึงดําเนินมานบั ตงั้ แต่ปลายศตวรรษท่ี 20 ต่อเนื่องมาจนกระทงั่ ต้น ศตวรรษที่ 211 สําหรับสงั คมไทย ในระยะเร่ิมต้นของระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ได้มีการ บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา 61 วา่ “บทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายใดๆ มีข้อความแย้งหรือขดั แก่รัฐธรรมนญู นี ้ท่านวา่ บทบญั ญัตินนั้ ๆ เป็นโมฆะ” และมาตรา 62 บญั ญัติว่า “ท่านว่าสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซ่ึงสิทธิ เด็ดขาดในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญนี”้ รัฐธรรมนูญฉบบั นีไ้ ด้กําหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทํา หน้าท่ีในการตีความโดยมิได้มีการจดั ตงั้ องค์กรอื่นใดมาทําหน้าท่ีดงั กลา่ ว ซงึ่ บทบญั ญตั ใิ นมาตรานีก้ ็ได้ ถกู พิจารณาวา่ อาจเป็นปัญหาขนึ ้ ได้ ไพโรจน์ ชยั นาม ได้ชีใ้ ห้เห็นวา่ “ใครเล่าจะเป็นผู้ท่ีชีว้ ่าบทบญั ญัตินัน้ ๆ เป็นโมฆะ รัฐสภาจะชีข้ าดเองหรือก็ย่อมจะ เป็นไปไม่ได้ เพราะสภาเป็นผ้อู อกกฎหมายเอง จะว่ารัฐบาลหรือ รัฐบาลก็ไม่มีหน้าที่ท่ี 1 Tom Ginsburg, Judicial Review in New Democracies (New York: Cambridge University Press, 2003) p. 2
226 จะพิจารณาว่าบทบญั ญตั ใิ ดขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู หรือไม่ เพราะเป็นฝ่ ายบริหาร เหลืออย่กู ็ แตศ่ าลเท่านนั้ ”2 ประเด็นดงั กล่าวก็ได้กลายเป็นข้อถกเถียงขึน้ เม่ือมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. อาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 อนั เป็นห้วงเวลาภายหลงั จากสงครามโลกครัง้ ที่สองได้ยตุ ิลง พ.ร.บ. ฉบบั นีบ้ ญั ญัติให้การ กระทําใดๆ ตามท่ีกฎหมายกําหนดไว้ทงั้ ที่ “ได้กระทําก่อนและหลงั ”3 ประกาศใช้กฎหมายเป็นความผิด และก็ได้มีการฟ้องร้องบคุ คลท่ีดํารงตําแหน่งในรัฐบาลในช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกครัง้ ที่สอง นําโดย จอมพล ป. พิบลู สงคราม ในคดีนี ้ศาลฎีกาได้มีคําวินิจฉยั ท่ี 1/2489 สรุปได้ว่า รัฐธรรมนญู ได้บญั ญตั ิให้ ศาลมีอํานาจในการพจิ ารณาคดี เม่ือศาลจะใช้กฎหมายก็ยอ่ มมีหน้าที่แปลความของกฎหมาย หากแปล ความไมไ่ ด้ ศาลก็จะใช้กฎหมายไมไ่ ด้ สว่ นบทบญั ญตั มิ าตรา 624 เป็นเพียงแตว่ า่ สภาผ้แู ทนราษฎรมีสทิ ธิ เด็ดขาดในการตีความไม่ใช่ข้อบัญญัติท่ีจะตัดอํานาจของศาลไม่ให้ ตีความ ศาลฎีกาได้อธิบาย ความหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 14 ซ่ึงรับรองเสรีภาพของบุคคล “ภายในบงั คบั แห่งกฎหมาย” ว่า หมายถึงกฎหมายในเวลาท่ีกระทํา พดู เขียน จะหมายถึงกฎหมายที่จะออกต่อไปในภายภาคหน้าไม่ได้ และได้วินิจฉยั วา่ พ.ร.บ. อาชญากรสงครามท่ีลงโทษการกระทําก่อนวนั ประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบบั นีข้ ดั ตอ่ รัฐธรรมนญู จงึ ไมส่ ามารถนํามาใช้บงั คบั ใช้ ภายหลงั จากคําพพิ ากษาท่ี 1/2489 ได้นํามาซงึ่ ความเห็นที่แตกตา่ งกนั วา่ องค์กรใดควรทําหน้าท่ี วินิจฉัยชีข้ าดกรณีที่กฎหมายขดั หรือแย้งต่อรัฐธรรมนญู แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าศาลเป็นผ้มู ีอํานาจ ดงั กล่าวแต่กรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภามีความเห็นว่าอํานาจในการตีความรัฐธรรมนูญควรเป็น อํานาจของสภาผ้แู ทนราษฎร จากกรณีดงั กลา่ วในรัฐธรรมนญู ฉบบั ต่อมาคือ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2489 ก็ 2 ไพโรจน์ ชัยนาม, รัฐธรรมนูญ บทกฎหมายและเอกสารสําคัญในทางการเมืองของประเทศไทย (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2519) หน้า 56 3 พระราชบญั ญัตอิ าชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 “มาตรา 3 การกระทําใดๆ อันบุคคลได้กระทําลงไม่ว่าในฐานะเป็นตวั การ หรือผู้สมรู้ ต้องตามที่บัญญัติไว้ ต่อไปนี ้ให้ถือวา่ เป็นอาชญากรสงคราม และผ้กู ระทําเป็นอาชญากรสงคราม ทงั้ นี ้ไม่ว่าการกระทํานนั้ จะได้กระทําก่อน หรือหลงั วนั ใช้พระราชบญั ญตั ินี”้ 4 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 “มาตรา 62 ทา่ นวา่ สภาผ้แู ทนราษฎรเป็นผ้ทู รงไว้ซง่ึ สทิ ธิเดด็ ขาดในการตีความแหง่ รัฐธรรมนญู นี”้
227 ได้มีบทบญั ญตั ิให้มีคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู เกิดขนึ ้ เป็นครัง้ แรก แม้วา่ จะยงั คงมีบทบญั ญตั ิที่กําหนดให้ รัฐสภามีสทิ ธิเดด็ ขาดในการตคี วามรัฐธรรมนญู ก็ตาม5 การจดั ตงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2489 ด้วยการกําหนดให้ศาลสง่ ประเดน็ ไปให้คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู พิจารณาในกรณีที่เห็นวา่ บทกฎหมายนนั้ ขดั หรือแย้งกบั รัฐธรรมนญู และ คําวินิจฉยั นีจ้ ะถือว่าเป็นเด็ดขาดและให้ศาลปฏิบตั ิตาม การจดั ตงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ดงั กล่าวถือ เป็นการกําเนิดขึน้ ครัง้ แรกขององค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการชีข้ าดในประเด็นความขดั แย้ง ระหว่างกฎหมายกับรัฐธรรมนูญ โดยประกอบด้วยบุคคลซึ่งรัฐสภาแต่งตัง้ ขึน้ เป็นประธานตุลาการ รัฐธรรมนญู 1 คน และตลุ าการรัฐธรรมนญู อีก 14 คน ซง่ึ จะต้องมีการแต่งตงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนูญ ทุกครัง้ ที่มีการเลือกตงั้ ส.ส. หากพิจารณาในแง่นี ้คณะตลุ าการรัฐธรรมนูญชุดแรกจึงมีลกั ษณะที่เป็น องค์กร “กง่ึ การเมือง”6 นับจากนัน้ เป็นต้นมา แนวความคิดในการจัดตัง้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อทําหน้ าที่ ตรวจสอบความชอบด้ วยรัฐธรรมนูญก็ได้ ปรากฏสืบเน่ืองต่อมาในรัฐธรรมนูญของไทยแทบทุกฉบบั นับตัง้ แต่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490, รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492, รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 แก้ ไข 2495, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2511, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2517, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2521, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2534 ยกเว้น ในรัฐธรรมนูญชวั่ คราวบางฉบบั ซ่งึ ได้ถูกประกาศใช้ภายหลงั การรัฐประหาร ซึ่งอาจไม่ได้มีการบญั ญัติ เกี่ยวกบั คณะตลุ าการรัฐธรรมนูญเอาไว้ การจดั ตงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนูญได้มาปรากฏอีกครัง้ ขึน้ ใน รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2549 ภายหลงั การยดึ อํานาจเมื่อเดือนกนั ยายน พ.ศ. 2549 ทงั้ นี ้จากบทบญั ญตั ิในส่วนท่ีเก่ียวกบั คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ที่เคยปรากฏขึน้ ในรัฐธรรมนูญ ไทยจํานวน 8 ฉบบั (นับตงั้ แต่ พ.ศ. 2475 – 2560) สามารถจําแนกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เป็นสี่ รูปแบบสําคญั ดงั นี ้ 5 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 “มาตรา 86 ภายใต้บงั คบั มาตรา 88 รัฐสภาทรงไว้ซงึ่ สทิ ธิเดด็ ขาดในการตีความแหง่ รัฐธรรมนญู นี”้ 6 กล้า สมุทวณิช, ขอบเขตอํานาจหน้าท่ีศาลรัฐธรรมนูญ เพ่ือการส่งเสริมการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยและคุ้มครองสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน (กรุงเทพฯ: สถาบนั พระปกเกล้า, 2558) หน้า 118
228 รูปแบบแรก องค์ประกอบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู เป็นบคุ คลท่ีรัฐสภาแต่งตงั้ ขนึ ้ ในกรณีนี ้ จะไมม่ ีบคุ คลมาเป็นตลุ าการรัฐธรรมนญู อนั เนื่องมาจากการดํารงตาํ แหน่งใดตําแหนง่ หนง่ึ เป็นการเฉพาะ รูปแบบนีป้ รากฏอยใู่ นรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2489 รูปแบบที่สอง องค์ประกอบของคณะกรรมตุลาการรัฐธรรมนูญจะประกอบด้วยตุลาการโดย ตําแหน่ง และจากบคุ คลอ่ืนท่ีเป็นผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ ในส่วนของตลุ าการโดยตําแหน่งก็อาจมาจากฝ่ ายตลุ า การ ฝ่ ายนิติบัญญัติ ทัง้ นี ้ จํานวนของตุลาการโดยตําแหน่งและตุลาการท่ีเป็ นบุคคลอ่ืนที่เป็ น ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิอาจมีสดั ส่วนท่ีแตกต่างกนั ไปในแต่ละยคุ สมยั ได้ ตวั อย่างของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ใน รูปแบบนีป้ รากฏอย่ใู นรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2492, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2475 แก้ไข 2495, รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2521, รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2534 เป็นต้น รูปแบบที่สาม องค์ประกอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากฝ่ ายนิติบญั ญัติ ฝ่ ายบริหาร และฝ่ายตลุ าการ โดยแตล่ ะฝ่ายจะทําการคดั เลือกผ้มู าดํารงตําแหน่งเป็นอิสระจากกนั โดยไมม่ ีตลุ าการ โดยตําแหน่งเช่นเดียวกับรูปแบบอ่ืนๆ คณะตลุ าการรัฐธรรมนูญในรูปแบบนีป้ รากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 25177 รูปแบบท่ีส่ี องค์ประกอบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ทงั้ หมดมาจากฝ่ายตลุ าการ โดยไมม่ ีตลุ า การที่มาจากฝ่ ายๆ อ่ืนเลย รูปแบบนีเ้ กิดขึน้ เป็นครัง้ แรก และครัง้ เดียวในรัฐธรรมนูญของไทยใน รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2549 (และดําเนินไปเพียงชว่ั ระยะเวลาสนั้ ๆ ภายหลงั การรัฐประหารเม่ือ พ.ศ. 2549 และสิน้ สุดลงเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550) ซ่ึงกําหนดให้องค์ประกอบของคณะตุลาการ รัฐธรรมนญู คือ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสงู สดุ ผ้พู ิพากษาจากศาลฎีกา 5 คน และตลุ า การจากศาลปกครองอีก 2 คน รวมเป็นคณะตลุ าการทงั้ หมดจํานวน 9 คน จะสงั เกตได้ว่าสดั ส่วนขององค์ประกอบในคณะตลุ าการรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละ ช่วงเวลาสามารถแสดงให้เห็นถึงสมั พนั ธภาพทางอํานาจภายใต้บรรยากาศทางสงั คมที่แตกตา่ งกนั ได้ไม่ 7 มีการตงั้ ข้อสงั เกตวา่ ที่มาของตลุ าการรัฐธรรมนญู ในรูปแบบนีม้ ีความคล้ายคลงึ กบั คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ฝร่ังเศส ตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1958 แต่ตุลาการรัฐธรรมนูญของฝร่ังเศสจะมาจากฝ่ ายการเมืองทัง้ หมด โดย ประธานาธิบดี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา แต่งตงั้ ฝ่ ายละ 3 คน กล้า สมุทวณิช, ขอบเขตอํานาจหน้าท่ีศาล รัฐธรรมนูญ เพ่ือการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน, หน้า 125
229 น้อย อํานาจในการแต่งตงั้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญในช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้กระแสประชาธิปไตยจะ พบวา่ รัฐสภาหรือสถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ จะมีบทบาทอยคู่ อ่ นข้างมาก ดงั เช่นคณะตลุ าการ รัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2489 ตรงกนั ข้าม ภายใต้บรรยากาศการเมืองท่ีอย่ภู ายใต้รัฐธรรมนญู ของคณะรัฐประหาร รัฐสภาก็จะมีบทบาทลดน้อยไปตามแต่ละช่วงจงั หวะ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ภายหลงั การยึดอํานาจเม่ือ พ.ศ. 2549 ซงึ่ การแตง่ ตงั้ ไม่ได้สมั พนั ธ์กบั สถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ แม้แตน่ ้อยเป็นภาพสะท้อนได้เป็นอยา่ งดี อย่างไรก็ตาม การจดั ตงั้ ตลุ าการรัฐธรรมนญู ดงั ที่กล่าวมาทงั้ 4 รูปแบบ ก็ยงั อย่ใู นรูปแบบของ “ตลุ าการรัฐธรรมนญู ” มิใช่เป็นรูปแบบของ “ศาลรัฐธรรมนญู ” เนื่องจากองค์กรท่ีจดั ตงั้ ขนึ ้ เหล่านีย้ งั คงมี ลกั ษณะของการเป็นองค์กรก่ึงการเมือง เน่ืองจากต้องมีการเปล่ียนตวั บคุ คลผ้ดู ํารงตําแหน่งไปตามการ เปลยี่ นแปลงทางการเมือง เช่น ต้องมีการเปล่ียนแปลงตลุ าการเม่ือมีการเลอื กตงั้ ทว่ั ไปเกิดขนึ ้ เป็นต้น อนั ทําให้บุคคลท่ีดํารงตําแหน่งมิได้อย่ใู นรูปแบบของ “ศาล” ท่ีทําหน้าท่ีในการวินิจฉัยข้อพิพาทต่างๆ แต่ เพียงอย่างเดียว และมีวาระการดํารงอย่ใู นตําแหน่งท่ีไม่ผกู พนั กบั ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของ ระบบรัฐสภา โครงสร้างและการทําหน้าที่ของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู เท่าท่ีผ่านมาก็ได้ถกู ประเมินมาอย่าง ต่อเนื่องว่ามีปัญหาในหลายแง่มุม ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญอาจ พจิ ารณาได้ในประเดน็ สาํ คญั ดงั นี ้ - ปัญหาเกี่ยวกบั องค์ประกอบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมกั จะมีการกําหนดให้มี คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู โดยตําแหน่งทงั้ จากฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจํา จะทําให้ไม่มีความเป็น อิสระขององค์กรดงั กล่าว ดงั เช่นที่เคยมีการกําหนดให้อธิบดีกรมอยั การ หรือการกําหนดให้ประธาน รัฐสภาเป็นตลุ าการรัฐธรรมนญู โดยตาํ แหนง่ - ปัญหาเก่ียวกบั องค์กรท่ีมีอํานาจในการสรรหาและให้ความเห็นชอบตอ่ การแตง่ ตงั้ ตลุ าการศาล รัฐธรรมนญู ซงึ่ อยภู่ ายใต้อํานาจของสถาบนั การเมืองที่มาจากการเลอื กตงั้ - ปัญหาเกี่ยวกบั วาระการดํารงตําแหน่งของตลุ าการรัฐธรรมนูญท่ีขึน้ อย่กู บั การเลือกตงั้ ทว่ั ไป ของ ส.ส. อนั ทําให้องค์กรไม่มีความต่อเน่ืองและพฒั นาให้เป็นองค์กรท่ีมีความรู้ความสามารถในการ วินิจฉยั
230 - ปัญหาเก่ียวกบั การพฒั นาความรู้และองค์กรให้มีความเช่ียวชาญเพิ่มมากขึน้ ดงั จะพบได้ว่า นบั ตงั้ แต่มีตลุ าการรัฐธรรมนญู ตงั้ แต่ พ.ศ. 2489 จนมาถึง พ.ศ. 2540 มีคําวินิจฉยั ทงั้ สิน้ เพียง 13 ฉบบั เท่านนั้ 8 และวางหลกั ทางรัฐธรรมนญู ไว้เพียง 5 ประการ9 การจดั ตงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู จึงมีผลต่อ การพฒั นาแนวคดิ และความรู้ในทางรัฐธรรมนญู ในระดบั ที่ตาํ่ หากพิจารณาความเห็นจากแวดวงนักกฎหมายที่มีต่อองค์กรชีข้ าดปัญหาทางรัฐธรรมนูญใน รูปแบบของตลุ าการรัฐธรรมนญู ก็จะพบวา่ ต่างมีความเห็นสอดคล้องกนั ว่ารูปแบบดงั กล่าวเป็นส่ิงที่ควร ต้องปรับปรุงแก้ไข เช่น ไพโรจน์ ชยั นาม เห็นว่า “เมื่อพิจารณาดลู กั ษณะของวิธีการแต่งตงั้ และอํานาจ หน้าที่แล้วก็เห็นว่ามิใช่เป็นศาลธรรมดา แต่เป็นศาลทางการเมือง ท่ีนําเอาประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้ พิพากษาศาลอุทธรณ์ เข้าร่วมเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย ก็ไม่ทําให้เปล่ียนความมุงหมายในทาง การเมืองไป ตรงกนั ข้ามกลบั เป็นการนําศาลเข้าไปพวั พนั กบั การเมืองด้วย”10 ขณะที่บรรเจิด สิงคะเนติ เห็นวา่ องค์กรเช่นนีม้ ี “ปัญหาความเป็นอสิ ระและปัญหาความตอ่ เนื่องในการปฏิบตั หิ น้าท่ี เนื่องจากวาระ การดํารงตําแหนง่ ของตลุ าการรัฐธรรมนญู สนิ ้ สดุ ลงตามวาระของสภาผ้แู ทนราษฎร จงึ ไมม่ ีลกั ษณะท่ีเป็น องค์กรถาวร ไม่มีลกั ษณะที่เป็นองค์กรกลางท่ีมีความเป็นอิสระ รูปแบบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู มี องค์ประกอบท่ีมาจากทางการเมือง”11 ความเห็นดงั กลา่ วสะท้อนถงึ ความเห็นในแวดวงทางด้านกฎหมาย มหาชนที่มีความตระหนกั วา่ ต้องมีการปรับปรุงแก้ไของค์กรที่ทําหน้าที่ชีข้ าดข้อพิพาททางรัฐธรรมนญู ให้ บงั เกิดขนึ ้ ความเปล่ียนแปลงอย่างสําคัญเก่ียวกับองค์กรที่ทําหน้ าที่วินิจฉัยชีข้ าดความชอบด้วย รัฐธรรมนญู ได้มาปรากฏขนึ ้ ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 โดยรัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ด้กําหนดให้มีองค์กรที่อยู่ 8 กมลชยั รัตนสกาววงศ์, ศาลรัฐธรรมนญู และวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนญู , ใน ธนาพล อ๋ิวสกลุ (บรรณาธิการ), การปฏิรูปการเมืองไทย: ฐานคิดและข้อเสนอว่าด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 (กรุงเทพฯ: สาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั , 2560) หน้า 513 9 ชยั วฒั น์ วงศ์วฒั นศานต์, “คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู : บทวิเคราะห์” ใน รวมบทความทางวิชาการเน่ืองใน โอกาสครบรอบ 80 ปี ศาสตราจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2535, หน้า 41 10 อ้างใน สรุ พล นิติไกรพจน์ และคณะ, ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิบัติตามพันธกิจตามรัฐธรรมนูญ, หน้า 74 11 บรรเจิด สงิ คะเนต,ิ ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับศาลรัฐธรรมนูญ (กรุงเทพฯ: วิญญชู น, 2544) หน้า 129
231 ในรูปแบบของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เกิดขึน้ เป็นครัง้ แรก และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้กลายเป็นรูปแบบของ องค์กรที่ทําหน้าที่ชีข้ าดเกี่ยวกบั ปัญหาทางรัฐธรรมนญู สืบเนื่องต่อมาในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 รวมถึง ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 อนั แสดงให้เห็นถึงการยอมรับต่อการจดั ตงั้ องค์กรในลกั ษณะดงั กล่าวขึน้ ใน รัฐธรรมนูญ แม้จะมีช่วงระยะเวลาสนั้ ๆ ที่ได้มีการยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญภายหลงั การรัฐประหารเม่ือ พ.ศ. 2549 ซง่ึ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชว่ั คราว พ.ศ. 2549 ทางคณะรัฐประหารได้หนั กลบั ไปใช้ รูปแบบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ในระหวา่ งนนั้ แตต่ ลุ าการรัฐธรรมนญู ชดุ นีก้ ็หมดหน้าท่ีลงเม่ือมีการ แตง่ ตงั้ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ตามบทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 โดยก็ได้หนั กลบั มาใช้รูปแบบ ของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป อันปรากฏให้เห็นในแง่ของท่ีมาและองค์ประกอบ อํานาจหน้าท่ีในการ ปฏิบตั ิงาน (อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าศาลรัฐธรรมนญู ใน 2 ช่วงเวลานีจ้ ะมีลกั ษณะท่ีเหมือนกนั ทกุ ประการแตอ่ ยา่ งใด ซง่ึ ประเดน็ ปัญหาดงั กลา่ วจะได้อภปิ รายตอ่ ไป) สําหรับเนือ้ หาในบทนีจ้ ะเป็นการพิจารณาศาลรัฐธรรมนญู ผา่ นบทบญั ญตั ติ ามรัฐธรรมนญู วา่ ได้ มีการออกแบบโครงสร้างไว้อย่างไร หรือกล่าวอีกนยั หน่ึง ศาลรัฐธรรมนูญได้ “ถกู สร้าง” ขึน้ บนเง่ือนไข ทางการเมืองอย่างไร และนําไปสกู่ ารออกแบบโครงสร้างในลกั ษณะเช่นใด การออกแบบเชิงโครงสร้างมี ผลอยา่ งสาํ คญั ตอ่ การแสดงบทบาทผา่ นคําวินิจฉยั ท่ีจะปรากฏขนึ ้ ตอ่ ไป 2. กาํ เนิดศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 2.1 กระแสการปฏริ ูปการเมืองและรัฐธรรมนูญฉบบั ประชาชน สามารถกลา่ วได้วา่ การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ขนึ ้ เป็นส่วนหน่ึงของกระแส “การปฏิรูปการเมือง” ท่ีปรากฏขึน้ ก่อนนํามาส่กู ารจดั ทํารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยภายหลงั จากเหตกุ ารณ์พฤษภาประชา ธรรมเม่ือ พ.ศ. 2535 ประเด็นในการปฏิรูปการเมืองได้กลายเป็นกระแสที่มีความเข้มข้นเพ่ิมมากขึน้ มี การเคลื่อนไหวและนําเสนอความคิดท่ีจะปรับปรุงระบบการเมืองในเชิงโครงสร้างท่ีดํารงอย่ใู นห้วงเวลา นนั้ ความรุนแรงจากเหตกุ ารณ์เดอื นพฤษภาและการผลกั ดนั อยา่ งตอ่ เนื่องของหลากหลายกลมุ่ ได้นําไปสู่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพ่ือให้มีการจดั ทํารัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ ซ่ึงต่อมาได้ปรากฏเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 หรือที่มกั ถกู เรียกกนั โดยทวั่ ไปวา่ “รัฐธรรมนญู ฉบบั ประชาชน”
232 หากมองในภาพรวม รัฐธรรมนญู ฉบบั นีอ้ ยภู่ ายใต้กระแสการปฏิรูปของ 2 แนวคิดสําคญั คือ การ ปฏิรูปแบบเสรีนิยมและการปฏิรูปแบบประชาธิปไตย12 การปฏิรูปตามแนวทางแบบเสรีนิยมเห็นวา่ ระบบ การเมืองท่ีพึงปรารถนาก็คือการจํากดั การแทรกแซงของรัฐ ให้ความสําคญั กบั ระบบตลาดเสรีที่ปลอด จากการควบคุม สร้ างกลไกในการตรวจสอบการใช้อํานาจให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนการปฏิรูป ประชาธิปไตยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเท่าเทียม ต่อต้านความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สงั คมและนิเวศวทิ ยา ทงั้ สองแนวความคิดเป็นแรงผลกั ดนั ที่กลมุ่ ตา่ งๆ ให้การสนบั สนนุ และได้ปรากฏตวั ออกมาเป็นบทบญั ญตั ติ า่ งๆ ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ทงั้ นี ้หากจากพิจารณาทรรศนะของอมร จนั ทรสมบรู ณ์ ผ้เู ป็นบคุ คลสําคญั ต่อแนวความคดิ การ ปฏิรูปการเมืองในครัง้ นี1้ 3 เขาได้ชีถ้ ึงพฒั นาการของระบบรัฐสภาในยคุ สมยั ดงั้ เดิมว่าเป็นระบบรัฐสภา แบบอํานาจคู่ (dualistic) อนั หมายถึงฝ่ายบริหารและฝ่ายนิตบิ ญั ญตั จิ ะมีท่ีมาแตกตา่ งกนั โดยกษัตริย์จะ แตง่ ตงั้ บคุ คลเข้ามาทําหน้าที่บริหารประเทศในนามของกษัตริย์ ขณะท่ีจะมีตวั แทนจากประชาชนเข้ามา ทําหน้าท่ีควบคมุ ดูแลและให้ความเห็นชอบกับกษัตริย์ในการเก็บภาษีหรือการออกกฎหมายต่างๆ แต่ ภายหลงั ระบบรัฐสภาเปลี่ยนไปเป็นระบบรัฐสภาแบบอํานาจเด่ียว (monist) อันเป็นผลมาจากการท่ี อํานาจทางการเมืองของกษัตริย์ได้ลดลง และกษัตริย์ก็ได้ยนิ ยอมแตง่ ตงั้ บคุ คลท่ีได้รับความนิยมจากสภา ผ้แู ทนราษฎรมาดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นที่ยอมรับว่ากล่มุ การเมืองหรือพรรคการเมือง ใดท่ีคมุ เสียงข้างมากในสภาผ้แู ทนราษฎรก็ย่อมมีความชอบธรรมในการจดั ตงั้ รัฐบาล ทงั้ ฝ่ายบริหารและ ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั จิ งึ ตา่ งมีท่ีมาจากกลมุ่ เดียวกนั ทําให้การควบคมุ ตรวจสอบรัฐบาลโดยฝ่ายนิตบิ ญั ญตั นิ นั้ ไม่สามารถเกิดขึน้ ได้ในความเป็นจริง โดยโครงสร้ างของระบบการเมืองในลักษณะเช่นนีจ้ ะนําไปสู่ ปรากฏการณ์ “เผดจ็ การทางรัฐสภาโดยธรรมชาต”ิ 14 12 การจําแนกกระแสแนวความคิดดังกล่าวเป็นของนักรัฐศาสตร์อย่าง เกษียร เตชะพีระ สามารถอ่าน รายละเอียดได้ใน เกษียร เตชะพีระ, จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549: วิกฤตประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: มลู นิธิ 14 ตลุ า, 2550) หน้า 53 – 56 13 อมร จนั ทรสมบรู ณ์ ได้อธิบายกรอบความคิดของเขาในการวิเคราะห์อย่างละเอียดในงานท่ีตีพิมพ์เผยแพร่ เม่ือ พ.ศ. 2537 ในงานเร่ือง อมร จนั ทรสมบูรณ์, คอนสติติวช่ันแนลลิสม์ (Constitutionalism): ทางออกประเทศ ไทย (กรุงเทพฯ: สถาบนั นโยบายศกึ ษา, 2537) 14 อมร จนั ทรสมบรู ณ์, เพง่ิ อ้าง, หน้า 24
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 467
Pages: