233 สภาพปัญหาดังกล่าวเป็นส่ิงที่หลายประเทศต้องเผชิญทัง้ ในช่วงก่อนและภายหลังจาก สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 ซ่ึงก็ได้นําไปส่กู ารปฏิรูประบบรัฐสภาแบบดงั้ เดิมไปสู่ระบบรัฐสภาสมยั ใหม่ หรือ rationalized parliament system15 เพ่ือเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องแบบเดิมบนฐานของแนวความคดิ ที่จะ ใช้ รัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษรเป็ นเคร่ื องมือในการกํ าหนดรู ปแบบการปกครองและกลไกอันเป็ น โครงสร้างพืน้ ฐานในการจดั องค์กรบริหารของรัฐ หรือท่ีเรียกวา่ Constitutionalism รัฐธรรมนญู ตามแนวทางนีจ้ ะมีสาระสําคญั แตกต่างไปจากรัฐธรรมนญู ท่ีปรากฏขึน้ ในอดีต จาก เดิมที่สาระสําคญั ของรัฐธรรมนญู มงุ่ รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการจํากดั อํานาจของกษัตริย์ เพ่ือแก้ไขการใช้อํานาจโดยมิชอบของกษัตริย์ แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 สาระสําคัญของ รัฐธรรมนญู ได้ขยายตวั ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยมีบทบญั ญตั ิท่ีเก่ียวกบั การจดั ตงั้ สถาบนั หรือองค์กร อสิ ระตา่ งๆ เข้ามาทําหน้าท่ีตรวจสอบการใช้อํานาจของนกั การเมืองและผ้บู ริหารรัฐในระดบั สงู เช่น ศาล รัฐธรรมนญู ศาลปกครอง สถาบนั การตรวจเงินแผน่ ดิน เป็นต้น การจดั ตงั้ องค์กรในลกั ษณะนีเ้ป็นผลสืบ เน่ืองมาจากการขยายบทบาทของรัฐในการทําหน้าที่ด้านตา่ งๆ ที่เพิ่มมากขนึ ้ และในลกั ษณะงานตา่ งๆ ก็ มีความสลบั ซบั ซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจําเป็นต้องมีการออกแบบและสร้างองค์กรเหลา่ นี ้ซง่ึ ถกู พิจารณา วา่ เป็นโครงสร้างพืน้ ฐาน (infrastructure) ที่จําเป็นสําหรับรัฐในยคุ สมยั ใหม่ สําหรับในสังคมไทย การนําเสนอกรอบความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองผ่านการเขียน รัฐธรรมนญู นนั้ ได้เป็นส่ิงที่เกิดขนึ ้ มานบั ตงั้ แตภ่ ายหลงั การยดึ อํานาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย แห่งชาติ (รสช.) เมื่อเดือนกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2534 โดยระหว่างท่ีมีการยกร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่อย่นู นั้ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2534 อมร จนั ทรสมบูรณ์ ได้นําเสนอข้อเขียนเร่ือง “โครงสร้างรัฐธรรมนูญใน อนาคต” สาระสําคญั ของข้อเขียนดังกล่าวก็คือ การเสนอโครงสร้ างของรัฐธรรมนูญที่มีกลไกในการ ตรวจสอบการใช้อํานาจของสถาบนั การเมือง รวมทงั้ การเสนอให้มีการจดั ตงั้ สถาบนั และกลไกใหม่ๆ ที่ สมควรจะบญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู เช่น สถาบนั เก่ียวกบั การตรวจเงินแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนญู เป็นต้น16 โดยมีคําอธิบายว่าการปรับเปลี่ยนในลกั ษณะดงั กลา่ วนีจ้ ะทําให้สามารถเกิดการแก้ไขปัญหาโครงสร้าง การเมืองอยา่ งเป็นระบบให้เกิดขนึ ้ 15 อมร จนั ทรสมบรู ณ์, เพง่ิ อ้าง, หน้า 13 16 นนั ทวฒั น์ บรมานนั ท์, ถกรัฐธรรมนูญ 2540 (กรุงเทพฯ: บริษัท พี เพรส จํากดั , 2540) หน้า 1
234 ตอ่ มาอมร ก็ได้เป็นประธาน “โครงการศกึ ษาเพ่ือการปฏิรูปรัฐธรรมนญู สําหรับประเทศไทย” โดย มีเป้าหมายคือเพ่ือศึกษารูปแบบของรัฐธรรมนูญตามแนวความคิดสมัยใหม่ โดยกําหนดหัวข้อใน การศึกษาไว้ 11 หัวข้อ17 คือ 1. ระบบการควบคุมวินัยทางการเมือง 2. ศาลรัฐธรรมนูญ 3. สถาบัน เกี่ยวกบั การตรวจเงินแผ่นดิน 4. สถาบนั เก่ียวกบั สภาแห่งรัฐ 5. คณะกรรมการป้องกนั และปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ 6. วิธีการหาเสียงเลือกตงั้ และการกําหนดค่าใช้จ่ายในการ เลือกตงั้ 7. ระบบการออกเสียงเลือกตงั้ โดยมีการควบคมุ โดยคณะกรรมการการเลือกตงั้ 8. ระบบการ ออกเสียงเลือกตงั้ แบบการลงคะแนนเลือกบญั ชีรายชื่อ 9. ระบบการออกเสียงประชามติ 10. รัฐธรรมนญู ของประเทศตา่ งๆ ท่ีมีประเดน็ ดงั กลา่ วข้างต้นกําหนดไว้ในตวั บทรัฐธรรมนญู 11. ระบบการตรากฎหมาย ก่ึงรัฐธรรมนญู เมื่อกระแสการเรียกร้ องการปฏิรูปการเมืองขยายตวั มากขึน้ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2537 นาย มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภา ได้มีคําสง่ั แต่งตงั้ คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) โดยมี ประเวศ วะสี เป็นประธาน ซงึ่ ประเวศก็แสดงความเห็นด้วยกบั การปฏิรูปทางการเมืองตามแนวทางของ อมร ทาง คพป. ก็มีความเห็นสอดคล้องวา่ “เม่ือระบบการเมืองมีปัญหาเฉพาะจดุ ใดจดุ หนึ่งก็ต้องมีการ แก้ไขเฉพาะจดุ นนั้ ๆ แตถ่ ้าระบบการเมืองมีปัญหาทงั้ ระบบ การแก้ปัญหาเฉพาะจดุ ก็ไมไ่ ด้ผล ต้องมีการ ปฏิรูปการเมืองทงั้ ระบบ”18 วาระของการปฏิรูปการเมืองในช่วงเวลานีจ้ งึ มิใช่เพียงแคก่ ารแก้ไขบทบญั ญตั ิ ในรัฐธรรมนญู เพียงประเดน็ ใดประเดน็ หนงึ่ เทา่ นนั้ ทาง คพป. ก็ได้กําหนดหวั ข้อในการวจิ ยั 15 หวั ข้อ19 ซงึ่ นบั ได้ว่าเป็นครัง้ แรกที่ได้มีการศกึ ษาวจิ ยั เพ่ือวิเคราะห์สภาพปั ญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ ไขปั ญหาทางการเมืองไว้ อย่างเป็ นระบบและเป็ น 17 นนั ทวฒั น์ บรมานนั ท์, ถกรัฐธรรมนูญ 2540 (กรุงเทพฯ: บริษัท พี เพรส จํากดั , 2540) หน้า 2 18 คณะกรรมการพฒั นาประชาธิปไตย, ข้อเสนอกรอบความคิดในการปฏิรูปการเมืองไทย, พิมพ์ครัง้ ที่ 2 (กรุงเทพฯ: สํานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั ร่วมกบั คณะกรรมการพฒั นาประชาธิปไตย, 2538) หน้า 15 19 โดยงานวิจยั ทงั้ หมดก็ได้มีการพิมพ์เผยแพร่ในเดือนกนั ยายน พ.ศ. 2538 ด้วยการสนบั สนนุ ของสํานกั งาน กองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) ซ่ึงงานชุดนีไ้ ด้กลายเป็นโครงร่างในเบือ้ งต้นสําหรับการจัดทํารัฐธรรมนูญที่เกิดขึน้ ต่อมาในภายหลงั สําหรับบุคคลผ้ทู ําการวิจยั ในชดุ วิจยั นีส้ ่วนใหญ่ก็จะเป็นผ้ทู ี่ได้ทําการวิจยั ในโครงการศึกษาเพื่อการ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญสําหรับประเทศไทย โดยมีบุคคลเพียงไม่กี่รายที่ได้เปล่ียนแปลงไปบุคคลท่ีร่วมในชุดวิจัยนี ้ ประกอบด้วยสมคิด เลศิ ไพฑรู ย์, พนู ศกั ดิ์ ไวสํารวจ, วรพจน์ วิศรุตพิชญ์, นนั ทวฒั น์ บรมานนั ท์, บญุ ศรี มีวงศ์อโุ ฆษ, ธง
235 รูปธรรมก่อนกระบวนการจดั ทํารัฐธรรมนญู จะเร่ิมขึน้ และแนวทางของการศกึ ษาก็ได้สง่ ผลอย่างชดั เจน ตอ่ กรอบการร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ที่ได้ดําเนินตามกรอบการวิเคราะห์ที่ได้นําเสนอไว้ในชดุ งานวจิ ยั เรื่องการปฏิรูปการเมือง แม้ว่าบทบญั ญตั ิในบางประเด็นอาจมีการปรับแก้ให้แตกตา่ งไปบ้างก็ตาม แต่ก็ หากพจิ ารณาในภาพรวมก็จะพบวา่ งานวจิ ยั ชดุ “การปฏิรูปการเมือง” มีอิทธิพลอยา่ งสําคญั ตอ่ การจดั ทํา รัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ที่เกิดขนึ ้ ภายหลงั การเผยแพร่งานชิน้ นี ้ดงั จะพบว่ากรอบแนวความคิดและข้อเสนอ “ใหม่” หลายประการท่ีมีความแตกต่างไปจากบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนญู ก่อนหน้า ซ่งึ ได้มีการศึกษาไว้ ในงานวิจัยก็ได้ถูกนํามาบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตัง้ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ เป็นต้น เมื่อพิจารณาจากงานวิจยั ในภาพรวมจะพบว่าชดุ วิจยั เรื่องการปฏิรูปการเมืองได้ให้ความสําคญั กับประเด็นใน 3 กลุ่มสําคญั คือ (1) โครงสร้ างรัฐธรรมนูญและสิทธิเสรีภาพของประชาชน (2) การ ปรับปรุงกลไกและสถาบนั ของระบบรัฐสภา และ (3) การจดั ตงั้ องค์กรอสิ ระ โดยเฉพาะการวิจยั ในกลุ่มที่สามจะเป็นการศึกษาเก่ียวกับแนวคิดและรูปแบบของการจัดตงั้ องค์กรอิสระ ซง่ึ ถือเป็น “นวตั กรรม” ในทางรัฐธรรมนญู เพราะเป็นแนวความคิดที่แตกตา่ งไปจากเดมิ ซง่ึ งานภายในกลมุ่ นีจ้ ะประกอบไปด้วย 1. องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ โดย วษิ ณุ วรัญญู 2. ศาลรัฐธรรมนญู และวิธีพิจารณาคดรี ัฐธรรมนญู โดย กมลชยั รัตนสกาววงศ์ 3. ระบบการตรวจสอบการทจุ ริตของผ้ดู ํารงตําแหน่งระดบั สงู โดย บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ 4. การจดั ตงั้ องค์กรเพ่ือสนบั สนุนการเลือกตงั้ ให้เป็นไปด้วยความบริสทุ ธ์ิยตุ ิธรรม โดย ไพฑรู ย์ บญุ วฒั น์ 5. รูปแบบองค์กรที่ปรึกษาและให้คําแนะนําทางเศรษฐกิจและสงั คม เพ่ือประกอบการยกร่าง บทบญั ญตั แิ ห่งรัฐธรรมนญู โดย ทิวา เงินยวง การนําเสนอในประเด็นองค์กรอิสระถือว่าเป็นการเปิดทางให้กบั การจดั ตงั้ องค์กรแบบใหม่ซงึ่ มี หน้าท่ีควบคุมตรวจสอบสถาบันการเมืองท่ีมาจากการเลือกตัง้ โดยข้อเสนอดงั กล่าวเป็นผลมาจาก ทอง จนั ทรางศ,ุ ไพฑรู ย์ บญุ วฒั น์, สรุ พล นิติไกรพจน์, มนตรี รูปสวุ รรณ, อรพิน ผลสวุ รรณ์ สบายรูป, ทวิ า เงินยวง, บวร ศกั ด์ิ อวุ รรณโณ, กมลชยั รัตนสกาววงศ์ และวษิ ณุ วรัญญู
236 บทเรียนภายในสงั คมไทยที่ประสบกบั ความล้มเหลวในการจดั ตงั้ องค์กรต่างๆ เพ่ือกํากบั หรือตรวจสอบ นกั การเมืองที่ไม่สามารถทําหน้าที่ได้อย่างจริงจัง เช่น คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการจริต (ป.ป.ป.) เนื่องจากองค์กรเหล่านีม้ กั อยู่ภายใต้อํานาจการควบคุมของนกั การเมือง องค์กรอิสระได้ถูก ออกแบบให้มีความเป็นอิสระจากการควบคมุ ของนกั การเมือง และถกู คาดหมายว่าจะมีบทบาทสําคญั ตอ่ การทําให้การปฏริ ูปการเมืองเกิดขนึ ้ ได้จริง เป็นท่ีสงั เกตวา่ ข้อเสนอเกี่ยวกบั การจดั ตงั้ องค์กรอิสระ (รวมถึงองค์กรตา่ งๆ ท่ีใช้อํานาจตลุ าการ) แต่ในชดุ งานวิจยั นีย้ งั คงให้ความสําคญั กบั สถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ การศกึ ษาเร่ือง “ศาล รัฐธรรมนญู และวิธีพิจารณาคดรี ัฐธรรมนญู ”20 โดยกมลชยั รัตนสกาววงศ์ นบั เป็นตวั อยา่ งหน่งึ ที่แสดงให้ เห็นรูปแบบขององค์กรอิสระที่ยงั ต้องยดึ โยงกบั สถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ ได้เป็นอยา่ งดี ในการศกึ ษาเกี่ยวกบั การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู กมลชยั ได้มีข้อเสนอแนะใน 6 ประเดน็ ดงั นี ้(1) องค์ประกอบ (2) ท่ีมาและวิธีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (3) วาระการดํารงตําแหน่ง (4) คณุ สมบตั ิของตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู (5) การเข้ารับตําแหน่งตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู (6) การพ้นจาก ตาํ แหนง่ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู เฉพาะในส่วนของที่มาและวิธีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้ องมีการจัดตัง้ คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซ่ึงคณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยผู้แทนจากพรรค การเมืองทุกพรรคที่มี ส.ส. เป็นผู้เสนอรายช่ือจํานวน 15 คน เพ่ือให้สภาผ้แู ทนราษฎรลงคะแนนเลือก จํานวน 9 คน จะเห็นได้ว่าในด้านของการจดั ทํารายชื่อและการพิจารณาให้ความเห็นชอบจะสมั พนั ธ์กบั สถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ อยา่ งมาก ซง่ึ กระบวนการดงั กลา่ วในความเห็นของกมลชยั “เป็นวิธีการ ท่ีมีความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย”21 เป็นที่เข้าใจได้ว่าการให้สภาผ้แู ทนราษฎรเป็นองค์กรที่ทํา หน้าที่จดั ทําและตดั สนิ ใจเลอื กตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู เนื่องจากองค์กรดงั กลา่ วถือได้วา่ เป็นตวั แทนของ ประชาชนจากระบบการเลือกตงั้ การสรรหาบุคคลที่มาดํารงตําแหน่งแม้จะเป็นองค์กรอิสระแต่ก็ยงั มี ความจําเป็นในเชิงโครงสร้างที่ต้องสมั พนั ธ์กบั สถาบนั ท่ีมาจากการเลือกตงั้ 20 กมลชยั รัตนสกาววงศ์, ศาลรัฐธรรมนญู และวิธีพจิ ารณาคดีรัฐธรรมนญู , ใน ธนาพล อิว๋ สกลุ (บรรณาธิการ), การปฏิรูปการเมืองไทย: ฐานคิดและข้อเสนอว่าด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540, หน้า 508 – 553 21 กมลชยั รัตนสกาววงศ์, ศาลรัฐธรรมนญู และวธิ ีพจิ ารณาคดีรัฐธรรมนญู , หน้า 522
237 นอกจากนี ้ในข้อเสนอเรื่องคณุ สมบตั ิของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญ กมลชยั เห็นว่าภาระหน้าที่ ของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญต้องอาศยั ปรัชญากฎหมายแตกต่างไปจากกฎหมายเอกชนหรือกฎหมาย อาญา ดงั นัน้ บุคคลที่จะมาทําหน้าท่ีวินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญ “นอกจากจะมีความรู้และประสบการณ์ ในทางกฎหมายแล้วต้องมีผลงานเก่ียวกบั กฎหมายรัฐธรรมนญู เป็นท่ีประจกั ษ์”22 คณุ สมบตั ิของบคุ คลท่ี จะมาดํารงตําแหน่งเป็ นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีความสําคัญเป็ นอย่างยิ่งโดยเฉพาะความร้ ู ที่ เกี่ยวข้องกบั รัฐธรรมนญู หรือในสาขาวชิ าที่เก่ียวข้อง “ถ้าจะจดั ตงั้ องค์กรชีข้ าดข้อพิพาททางรัฐธรรมนญู ในรูปของศาลรัฐธรรมนญู แล้ว ตลุ า การศาลรัฐธรรมนญู ควรจะต้องมีความรู้ทางนิตศิ าสตร์ในทางกฎหมายมหาชน หรือทาง รัฐศาสตร์ท่ีเช่ียวชาญด้านกฎหมายมหาชน จึงจะมีความสามารถในการพัฒนา กฎหมายรั ฐธรรมนูญด้ วยบรรทัดฐานที่ มีคุณภาพของคําวินิจฉัยศาลรั ฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลท่ีเป็นประธานศาลรัฐธรรมนญู ต้องมีความรู้และปรัชญาทาง กฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างแตกฉาน จึงจะสร้ างความเช่ือถือและการยอมรับในคํา วนิ ิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ”23 หากพิจารณาในประเด็นข้อเสนอเรื่องคณุ สมบตั ิประกอบกบั ที่มาและกระบวนการสรรหาตลุ า การศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าในมุมมองของกมลชัย บุคคลที่จะดํารงตําแหน่งตุลาการศาล รัฐธรรมนญู จึงไม่ได้มีบุคคลท่ีมาจากผ้พู ิพากษาอาชีพ ไม่ว่าจะมาเป็นผ้พู ิพากษาที่มาจากศาลยตุ ิธรรม หรือตลุ าการท่ีมาจากศาลปกครองก็ตาม องค์ประกอบของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ถกู นําเสนอใน งานของกมลชยั มีความแตกตา่ งไปจากท่ีปรากฏในบทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ซง่ึ กําหนดให้ มีผ้พู ิพากษาอาชีพเป็นส่วนหนึ่งของตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู และความแตกตา่ งดงั กลา่ วย่ิงเพ่ิมมากขึน้ ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 (ประเดน็ ดงั กลา่ วนีจ้ ะได้พจิ ารณาโดยละเอียดตอ่ ไป) จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแนวความคิดการปฏิรูปการเมืองในปลายทศวรรษ 2530 ท่ีส่งผลให้เกิด กระแสการปฏิรูปการเมืองในสงั คมไทยก่อนจะปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 นอกจากจะเป็ นความพยายามในการตอบสนองต่อสภาพปั ญหาทางการเมืองซ่ึงถูกพิจารณาว่าเป็ น ปัญหาสําคัญของสังคมไทย อันนํามาซ่ึงการผลักดันและการขับเคลื่อนอย่างกว้างขวางจากผู้คน 22 กมลชยั รัตนสกาววงศ์, “ศาลรัฐธรรมนญู และวธิ ีพจิ ารณาคดีรัฐธรรมนญู ”, หน้า 524 23 กมลชยั รัตนสกาววงศ์, “ศาลรัฐธรรมนญู และวธิ ีพจิ ารณาคดีรัฐธรรมนญู ”, หน้า 524
238 หลากหลายกล่มุ แต่ในอีกด้านหน่ึงก็อาจนบั ได้ว่าเป็นสว่ นหนึ่งของกระแสทางความคิดในระดบั โลกที่มี ความเปล่ียนแปลงเกิดขึน้ ในห้วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสืบเน่ืองมาระบอบอํานาจนิยมตัง้ แต่ภายหลัง สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 เป็นต้นมา ส่งผลให้เกิดกระบวนการรัฐธรรมนุญาภิวตั น์ อนั มีผลให้เกิดการจดั ทํา รัฐธรรมนูญท่ีเกิดขึน้ ในหลายประเทศโดยได้ให้ความสําคญั กับ 2 ประเด็นสําคญั คือ การรับรองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและการขยายอํานาจตรวจสอบโดยตลุ าการ เฉพาะอยา่ งยงิ่ ในชว่ งปลายศตวรรษท่ี 20 เป็นต้นมา อํานาจตลุ าการได้เข้ามามีบทบาทในการวินิจฉยั ชีข้ าดต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ในหลาย ประเทศ เช่น การตดั สินใจต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล การปกปอ้ งสภาพแวดล้อม การรับรอง หรือปฏิเสธผลการเลอื กตงั้ เป็นต้น24 การทําหน้าที่ในลกั ษณะดงั กลา่ วยอ่ มมีความแตกตา่ งไปจากแนวความคิดและบทบาทของฝ่ าย ตลุ าการท่ีมีตอ่ สถาบนั การเมืองอื่นๆ ในแบบดงั้ เดิมซงึ่ จะยึดถือแนวคดิ เร่ืองอํานาจสงู สดุ เป็นของรัฐสภา (the supremacy of the parliament) และฝ่ายตลุ าการจะไมเ่ ข้าไปทําการวนิ ิจฉยั ในประเดน็ ปัญหาท่ีเป็น ข้อถกเถียงทางการเมืองแตอ่ ย่างใด ขณะที่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 สืบเน่ืองมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 สถาบนั ตลุ าการจะกลายเป็นองค์กรที่มีบทบาทอย่างเด่นชดั ในการเข้ามาทําหน้าที่วินิจฉยั ข้อพิพาทใน ประเดน็ ปัญหาตา่ งๆ ท่ีกว้างขวางกว่าเดิม ซงึ่ ไม่จํากดั ไว้เพียงประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านนั้ หากยงั รวมถึงประเดน็ ท่ีเคยถกู พจิ ารณาวา่ เป็นข้อพพิ าททางการเมืองด้วย 2.2 ข้อถกเถยี งเร่ืองศาลรัฐธรรมนูญในการพจิ ารณาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีความแตกต่างอย่างสําคัญจากรัฐธรรมนูญท่ี ประกาศใช้ก่อนหน้า ทงั้ ในด้านของเนือ้ หาที่ได้มีการรับรองสทิ ธิเสรีภาพประชาชนเกิดขนึ ้ อยา่ งกว้างขวาง รวมถึงการจัดตัง้ องค์กรใหม่ที่มีโครงสร้ างและอํานาจหน้าที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ซ่ึงศาล รัฐธรรมนญู ก็เป็นองค์กรหนงึ่ ในนนั้ อย่างไรก็ตาม ความแตกตา่ งของรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ไม่ใช่เป็นเพียงเฉพาะทางด้านเนือ้ หาที่ ได้มีการบญั ญตั ิขึน้ เท่านนั้ แต่ในด้านของกระบวนการการจดั ทําก็เป็นรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึน้ มาก่อนแต่ อย่างใด โดยในแง่ขององค์กรจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ก็ได้มีการจดั ตงั้ สภาร่างรัฐธรรมนญู ซงึ่ ประกอบด้วย 24 งานท่ีชีใ้ ห้เห็นถึงการขยายตวั ของอํานาจตลุ าการนบั ตงั้ แต่ปลายศตวรรษท่ี 20 สืบเนื่องมาจนกระทง่ั ถึงต้น ศตวรรษท่ี 21 ได้อย่างกว้างขวางชิน้ หน่ึงดูใน Tom Ginsburg, Judicial Review in New Democracies (New York: Cambridge University Press, 2003) p. 2
239 สมาชิก 2 ประเภท คือ ประเภทแรก เป็นสมาชิกท่ีมาจากตวั แทนของจงั หวดั ต่างๆ จงั หวดั ละ 1 คน รวม ทงั้ หมด 76 คน ประเภทท่ีสอง สมาชิกซงึ่ รัฐสภาเลือกจากผ้เู ชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชน รัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และผ้มู ีประสบการณ์ทางการเมือง การบริหารราชการหรือการร่างรัฐธรรมนูญ อีกจํานวน 23 คน รวมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนญู จํานวน 99 คน รวมทงั้ ได้มีการรับฟังความคิดเห็น และประชาพิจารณ์จากประชาชนเกิดขึน้ อย่างกว้างขวาง อนั ถือเป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดการมีส่วน ร่วมมากกวา่ การจดั ทํารัฐธรรมนญู ท่ีเกิดขนึ ้ ในสงั คมไทย และภายหลงั จากการยกร่างรัฐธรรมนญู สําเร็จก็ ได้เข้าสกู่ ารพิจารณาของรัฐสภา ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาซงึ่ ประกอบไปด้วย ส.ส. และ ส.ว. โดยเฉพาะในประเดน็ เรื่อง การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญขึน้ ก็พบว่ามีการอภิปรายเกิดขึน้ ไม่น้อยเช่นกัน หากพิจารณาจากบุคคลที่มี ส่วนในการอภิปรายนนั้ บุคคลที่ตงั้ คําถามรวมทงั้ การโต้แย้งส่วนใหญ่จะมาจากสมาชิกท่ีดํารงตําแหน่ง เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. อยใู่ นช่วงเวลาดงั กลา่ ว ขณะที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนญู (สสร.) ซง่ึ ทําหน้าท่ียกร่าง รัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วก็มีหน้าที่ในการให้คาํ อธิบายและชีแ้ จงถงึ ประเดน็ ท่ีถกู ตงั้ เป็นข้อสงสยั การพิจารณาร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 โดยที่ประชมุ ร่วมของรัฐสภา ทาง สสร. ได้มีการชีแ้ จง ถึงเหตุผลของจัดตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดขึน้ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ว่ามาจากความต้องการที่จะ ปรับเปลี่ยนองค์กร “ตุลาการรัฐธรรมนูญ” ท่ีมีอยู่เดิมให้มีความชัดเจนในเรื่องอํานาจ และให้องค์กร ดงั กล่าวมีความเป็นอิสระมากขึน้ 25 โดยเห็นว่าเน่ืองจากก่อนหน้านนั้ มิได้มีการกําหนดให้คณะตลุ าการ รัฐธรรมนญู แยกออกจากกระทรวงยตุ ิธรรม องค์กรดงั กลา่ วจึงมกั ถกู แทรกแซงโดยองค์กรอ่ืนๆ แต่ในร่าง รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 นีไ้ ด้กําหนดให้มีการแยกศาลรัฐธรรมนญู เป็นอิสระออกจากกระทรวงยตุ ธิ รรม ซงึ่ ทาง สสร. มีความเห็นวา่ ได้ทําให้การคานอํานาจกนั ของฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตลุ าการ อนั เป็นรูปแบบสากลจึงได้ถือกําเนิดและเป็นรูปเป็นร่างมากขึน้ 26 ความเห็นดงั กล่าวนีส้ ามารถกล่าวได้ว่า เป็ นกระแสทางความคิดของนักกฎหมายมหาชนที่เป็ นผ้ ูมีส่วนต่อการผลักดันให้ เกิดการออกแบบ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 และนํามาซง่ึ การจดั ตงั้ องค์กรและกลไกใหมท่ ่ีแตกตา่ งไปจากเดมิ 25 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 207 26 สรรเสริญ ไกรจิตติ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมัยสามัญ ครัง้ ที่สอง) วันจันทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น.171
240 บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ (ส.ส.ร. ประเภทผ้เู ชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน) ซง่ึ เป็นผ้ทู ่ีมีบทบาทสําคญั ตอ่ การจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ได้ยืนยนั ถึงเจตนารมณ์ของการก่อตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ไว้วา่ “การปรับคณะตลุ าการรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีลกั ษณะเป็นองค์กรทางการเมืองมากกว่าศาล ให้มีลกั ษณะเป็นศาลอยา่ งแท้จริง โดยขจดั ตลุ าการโดยตําแหน่งท่ีเป็นฝ่ายการเมืองออก จากองค์ประกอบ กําหนดให้มีกระบวนสรรหาท่ีเป็นอิสระเพ่ือให้ได้ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ แต่ให้ กระบวนการเลือกชนั้ สดุ ท้ายอย่ทู ่ีรัฐสภาซ่ึงเป็นองค์กรทางการเมืองเพ่ือเชื่อมโยงการ ได้มาของตลุ าการให้มีฐานความชอบธรรมมาจากองค์กรที่ทําหน้าที่ผู้แทนประชาชน เพราะศาลรัฐธรรมนญู จะกลบั ไปควบคมุ การใช้อํานาจขององค์กรเหลา่ นนั้ ”27 ขณะที่ในด้านองค์ประกอบ ศาลรัฐธรรมนูญตามร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประกอบด้วยตลุ า การศาลรัฐธรรมนญู จํานวน 15 คน โดยมาจากผ้พู ิพากษาศาลฎีกา 5 คน ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ 2 คน ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิสาขานิติศาสตร์ 5 คน ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิสาขารัฐศาสตร์ 3 คน28 ดํารงตําแหน่งคราวละ 9 ปี สามารถดาํ รงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียวเท่านนั้ ในด้านของอํานาจหน้าที่ ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้มีการกําหนดเพิ่มอํานาจให้แก่ศาล รัฐธรรมนญู 3 ประการด้วยกนั 29 ประการแรก คืออํานาจท่ีให้สมาชิกของพรรคการเมืองหรือ ส.ส. ของพรรคการเมืองสามารถ โต้แย้งมติหรือข้อบงั คบั ของพรรคการเมืองได้ หากมติหรือข้อบงั คบั ของพรรคการเมืองนนั้ ขดั ต่อสถานะ และการปฏิบัติต่อหน้ าท่ีของ ส.ส. หรือขัดแย้ งกับหลักการพืน้ ฐานแห่งการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ประการที่สอง ศาลรัฐธรรมนญู มีอํานาจวนิ ิจฉยั ตรวจสอบวา่ กฎหมายท่ีใช้บงั คบั อยใู่ นปัจจบุ นั ขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู หรือไม่ ภายใต้การตรวจสอบและสง่ เรื่องจากผ้ตู รวจการรัฐสภา 27 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, ศาลรัฐธรรมนูญกับการพัฒนาประชาธิปไตยในระบบนิติรัฐ (กรุงเทพฯ: สํานกั งานศาลรัฐธรรมนญู , 2546) หน้า 59 28 วฒั นา เมืองสขุ , รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 5 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น.114 – 115 29 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง)วนั จันทร์ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 208 – 209
241 ประการท่ีสาม ศาลรัฐธรรมนญู มีอํานาจในการวนิ ิจฉยั ตรวจสอบเร่ืองที่ถกู สง่ มาโดยอยั การสงู สดุ จากกรณีท่ีมีบุคคลหรื อพรรคการเมืองใช้ สิทธิและเสรี ภาพตามรัฐธรรมนูญเพ่ือล้ มล้ างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ หรือกระทําการใดๆ เพ่ือให้ได้มาซงึ่ อํานาจการ ปกครองโดยไมช่ อบด้วยรัฐธรรมนญู ทงั้ นี ้ได้มีการนําเสนอวา่ หากเปรียบเทียบกบั รัฐธรรมนญู ที่ใช้บงั คบั ก่อนหน้า (ซง่ึ ยงั คงใช้รูปแบบ ของตลุ าการรัฐธรรมนญู ) ได้กําหนดให้มีอํานาจ 6 ประการด้วยกนั 30 ได้แก่ 1. อํานาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระร่างบญั ญัติที่สภาให้ความเห็นชอบแล้วนนั้ ขดั หรือแย้งกับ รัฐธรรมนญู หรือไม่ 2. อํานาจในการวินิจฉัยว่ากฎหมายหรือร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใดขดั หรือแย้งต่อ รัฐธรรมนญู หรือไม่ 3. อํานาจในการวนิ ิจฉยั วา่ กฎหมายที่ศาลใช้บงั คบั แก่คดนี นั้ ขดั หรือแย้งกบั รัฐธรรมนญู หรือไม่ 4. อํานาจในการวินิจฉัยว่าร่างข้อบงั คบั การประชุมของรัฐสภาหรือของสภาผ้แู ทนราษฎรหรือ ของวฒุ สิ ภานนั้ ขดั หรือยงั กบั รัฐธรรมนญู หรือไม่ 5. อํานาจท่ีจะวินิจฉัยว่าร่างพระราชกําหนดที่ออกโดยฝ่ ายบริหารนัน้ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่ 6. อํานาจในการวินิจฉยั ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภาสิน้ สดุ ลงหรือไม่ จากการนําเสนอของทางด้าน ส.ส.ร. ในประเด็นดงั กล่าว การประชุมของรัฐสภาซึ่งทําหน้าท่ี พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็ได้มีการอภิปรายถกเถียงอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่จะเป็นการ อภิปรายซกั ถามและการแสดงความไม่เห็นด้วยจากทางด้าน ส.ส. และ ส.ว. ซ่ึงเป็นสมาชิกรัฐสภาใน ขณะนนั้ โดย สสร. จะเป็นฝ่ ายชีแ้ จง ซงึ่ มี 4 ประเด็นสําคญั ที่ได้มีการโต้แย้งเกิดขนึ ้ ได้แก่ สถานะความ 30 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชมุ ร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 4 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง)วนั จนั ทร์ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 207 – 208
242 เป็นศาลของศาลรัฐธรรมนูญ อํานาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ความยึดโยงของศาลรัฐธรรมนูญกับ ประชาชน และผ้ทู ี่เป็นประมขุ ของฝ่ายตลุ าการ บคุ คลท่ีร่วมการถกเถียงในประเดน็ เก่ียวกบั ศาลรัฐธรรมนญู มีอยหู่ ลายคน แตท่ ี่เป็นแกนหลกั ของ การตงั้ กระท้ถู ามคือ สรรเสริญ ไกรจิตติ (ส.ว.) และวฒั นา เมืองสขุ (ส.ส. ปราจีนบรุ ี) ในขณะที่บคุ คลซง่ึ มี บทบาทในการเป็นผ้ตู อบคําถามจากทางด้าน สสร. อย่างแข็งขนั ได้แก่ บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ และ พงษ์ เทพ เทพกาญจนา ซงึ่ ในแตล่ ะประเดน็ มีรายละเอียดดงั นี ้ 1) สถานะความเป็ นศาล ประเด็นในเรื่องสถานะความเป็น “ศาล” ของศาลรัฐธรรมนูญดูจะเป็นประเด็นสําคญั ท่ีมีการ ถกเถียงมาอย่างกว้างขวางนบั ตงั้ แต่ในขนั้ ตอนของการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู เนื่องจากการจดั ตงั้ องค์กร ในลกั ษณะเช่นนีเ้พ่ิงถกู นําเสนอเป็นครัง้ แรกในรัฐธรรมนญู ของไทย ในระหว่างการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู บรรดาองค์กรต่างๆ ท่ีมีความเก่ียวข้องต่างก็ได้นําเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง โดยทางฝ่ ายศาล ยุติธรรมได้มีการจัดตัง้ คณะกรรมการและทําความเห็นต่อการจัดตัง้ ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทัง้ ได้มี ความเห็นสรุปว่าสถานะของศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมีสถานะเป็นศาล เพราะมีลกั ษณะการทํางานเป็น องค์กรทางการเมือง การจดั รูปแบบองค์กรนีใ้ นรูปแบบของ “ศาล” จะทําให้ถกู มองว่าเข้าไปก้าวก่ายงาน ของฝ่ายนิตบิ ญั ญตั แิ ละอาจนํามาซงึ่ ความขดั แย้งระหวา่ งองค์กรทงั้ สองฝ่ายนี3้ 1 ขณะที่ฝ่ ายวุฒิสภามีความเห็นว่าการใช้ช่ือศาลอาจไม่เหมาะสม เพราะงานในการวินิจฉัย ประเด็นต่างๆ ไม่ใช่การพิจารณาคดีของศาล และเรื่องที่กําหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจในการ วินิจฉัยก็เป็นเร่ืองที่ตลุ าการรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 มีอํานาจในการพิจารณา ดงั นัน้ องค์กรดงั กลา่ วควรใช้ชื่อวา่ ตลุ าการรัฐธรรมนญู น่าจะมีความเหมาะสมกวา่ 32 เมื่อร่างรัฐธรรมนญู เข้าสกู่ ารพิจารณาของรัฐสภา ประเดน็ ที่เก่ียวกบั สถานะของความเป็น “ศาล” ก็ได้มีการอภิปรายเกิดขึน้ ในท่ีประชุม สรรเสริญ ไกรจิตติ (ส.ว.) เป็นบุคคลสําคญั ที่ได้ทําการอภิปราย 31 ความเห็นของคณะกรรมการวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนญู ในที่เกี่ยวกบั ศาลเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน อ้างใน มานิตย์ จมุ ปา, คําอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 (กรุงเทพฯ: สํานกั พิมพ์นิติธรรม, 2548) หน้า 437 32 คณะกรรมการติดตามศึกษาบทบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของวุฒิสภา อ้างใน มานิตย์ จุมปา, คาํ อธบิ ายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540, หน้า 438
243 คดั ค้านการจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีความเห็นว่าการจดั ตงั้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 นีข้ าดหลกั การสําคญั ของความเป็นศาล กลา่ วคือศาลนนั้ ไม่ว่าจะเป็นศาลอะไรก็ตาม อย่าง น้อยต้องมี 2 ชนั้ เพื่อจะได้มีการตรวจสอบซึ่งกนั และกนั ภายในระบบศาลด้วยกนั เอง ตามหลกั สากลท่ี เรียกวา่ การทบทวนโดยอํานาจตลุ าการ ดงั นนั้ “ถ้าเป็นศาลจะต้องมีจูดิเชียล รีวิว (Judicial review) คือจะต้องมี 2 ชนั้ ศาลเป็นอย่าง น้อย ศาลชนั้ ต้น, กบั ศาลสงู สดุ เพื่อทบทวนหรือตรวจสอบความถกู ต้องเป็นธรรมของคํา วินิจฉัย... แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีศาลเพียงชัน้ เดียวใช้อํานาจเบ็ดเสร็จในการพิจารณา พพิ ากษาคด”ี 33 นอกจากนี ้เขายงั ได้แสดงความเห็นวา่ ศาลรัฐธรรมนญู ขดั ตอ่ หลกั การของความเป็นศาลในอีก 2 ประเด็นสําคญั คือ ศาลต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการท่ีศาลรัฐธรรมนูญได้รับการออกแบบให้มี อํานาจเหนือกว่าองค์กรอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ ายนิติบญั ญัติ สําหรับประเด็นที่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับ การเมืองนนั้ สืบเนื่องมาจากร่างรัฐธรรมนญู กําหนดให้บคุ คลท่ีมีความเก่ียวข้องทางการเมือง ทงั้ ตวั แทน พรรคการเมือง คณบดีนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการสรรหา ซง่ึ ทําให้ถกู พิจารณาวา่ เป็นประเด็นที่เก่ียวกบั ทางการเมือง ในสว่ นประเด็นเร่ืองอํานาจเหนือกว่าองค์กรนิติบญั ญตั ิ สรรเสริญ ได้อภิปรายว่าในกรณีที่ร่างพระราชบญั ญตั ไิ ด้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว หาก ส.ส. หรือ ส.ว. ร้องให้ศาลรัฐธรรมนญู พจิ ารณา ศาลรัฐธรรมนญู ก็ยงั สามารถกระทําได้ ซงึ่ เขามีความเห็นวา่ “น่ีเป็นการก้าวก่ายอํานาจนิติบญั ญัติ ก้าวก่ายรัฐสภา ถึงขนาดท่ีว่าเมื่อรัฐสภาลงมติ เห็นชอบพร้อมกนั หมดแล้ว ยงั อาจจะร้องขอ หมายความว่าฝ่ ายท่ีแพ้นนั้ ก็อาจจะร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนญู ตีความพระราชบญั ญตั ิได้อีก ซงึ่ อนั นีเ้ป็นหลกั การใหมท่ ่ีสดุ ซง่ึ ผม ไมเ่ คยได้ยิน และไมท่ ราบวา่ มีประเทศไหนเขาทํากนั บ้าง”34 33 สรรเสริญ ไกรจิตติ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมัยสามัญ ครัง้ ที่สอง) วันจันทร์ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 172 – 173 34 สรรเสริญ ไกรจิตติ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 4 (สมัยสามัญ ครัง้ ท่ีสอง) วันจันทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 175
244 ท้ายที่สดุ สรรเสริญได้สรุปว่าในความเห็นของเขาแล้วสถานะของศาลรัฐธรรมนญู เป็น “เสมือน หนง่ึ สร้างยกั ษ์ไว้พิทกั ษ์รัฐธรรมนญู ”35 นอกจากนีก้ ็ยงั มีสมาชิกอื่นได้อภิปรายถงึ ประเดน็ นีด้ ้วยเชน่ กนั เช่น ดนยั ฤทธิ์ วชั รภรณ์ (ส.ส. ศรี สะเกษ)36 หรือ วิชยั โถสวุ รรณจินดา (ส.ว.)37 ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกนั กบั สรรเสริญ แต่ วีระชยั สตู รสวุ รรณ ได้ลกุ ขึน้ อภิปรายในประเด็นดงั กล่าวด้วยมมุ มองท่ีแตกต่างกับผู้อภิปรายคนอ่ืนๆ ว่า โดย หลกั การของความเป็นศาลนนั้ ศาลจะมีอํานาจท่ีเรียกวา่ อํานาจพจิ ารณาคดี ซงึ่ หากพิพากษาไปแล้วก็จะ เกิดผลผูกพนั คู่ความอันสามารถนําไปส่กู ารบงั คบั คดีกันได้ บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับคําพิพากษาจะต้อง ผกู พนั และต้องทําตามคําพพิ ากษานนั้ อนั มีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากการใช้อํานาจของศาลรัฐธรรมนญู “อํานาจพิพากษาคดีนี ้ คืออํานาจในการที่จะตัดสินลงโทษใคร ยกฟ้องใครนะครับ พิพากษาให้ใครล้มละลาย คืออํานาจในการท่ีจะตดั สินลงโทษใคร ยกฟ้องใครนะครับ พพิ ากษาให้ใครล้มละลาย ... แตอ่ ํานาจวนิ ิจฉยั (ของศาลรัฐธรรมนญู – ผ้วู ิจยั ) น่ีไมไ่ ด้มี อย่างนีค้ รับ เพียงแต่ว่าชีว้ ่าควรเป็นอย่างนนั้ เป็นอย่างนี ้แล้วก็มีอํานาจส่วนใหญ่ก็อยู่ กบั ตามกฎหมายรัฐธรรมนญู ฉบบั ปัจจบุ นั นะครับ มีอยแู่ คน่ นั้ จะมากกว่าก็นิดหน่อยนะ ครับ ไมส่ มควรท่ีจะมาใช้ชื่อศาล ควรใช้ช่ือคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู อยา่ งเก่า”38 สาํ หรับประเดน็ เร่ืองการจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู วา่ ขดั ตอ่ หลกั การของความเป็นศาลนนั้ ทาง สสร. ได้มีการให้คาํ อธิบายเป็น 2 ประเดน็ ได้แก่ ประเด็นแรก กรณีท่ีมีการกล่าวว่าหากจะเป็นศาลต้องมีอย่างน้อยสองชัน้ พงษ์เทพ เทพ กาญจนา (สสร.) อธิบายว่าในคดีท่ีฟ้องเกี่ยวกบั การเลือกตงั้ ส.ส. ในปัจจบุ นั ของไทย ศาลที่ตดั สินก็คือ 35 สรรเสริญ ไกรจิตติ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 4 (สมัยสามัญ ครัง้ ที่สอง) วันจันทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 176 36 ดนยั ฤทธิ์ วชั รภรณ์ (ส.ส. ศรีสะเกษ), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 5 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ท่ี 9 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 50 37 วิชยั โถสวุ รรณจินดา (ส.ว.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 5 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง) วนั จนั ทร์ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 172 – 173 38 วีระชัย สูตรสุวรรณ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ที่ 6 (สมัยสามัญ ครัง้ ที่สอง) วันพุธท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 14 – 15
245 ศาลฎีกาเพียงศาลเดียว ศาลชนั้ ต้นเพียงแต่พิจารณาคดีแล้วก็ส่งให้ศาลฎีกาตดั สิน จึงมีศาลฎีกาเพียง ศาลเดยี วเท่านนั้ ที่ทําการตดั สนิ ในคดีท่ีเป็นการฟอ้ งการเลือกตงั้ สมาชิกสภาเทศบาลก็มีเพียงศาลชนั้ ต้น เพียงชนั้ เดียวท่ีตดั สิน คําตดั สินของศาลชนั้ ต้นถือเป็นเด็ดขาดเลย หรือแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาคดีที่ ฟอ้ งเอกอคั รราชทตู นนั้ ศาลสงู สดุ ของสหรัฐอเมริกาเพียงศาลเดยี วเท่านนั้ ที่ตดั สนิ และถือเป็นเดด็ ขาด39 ประเด็นท่ีสอง พงษ์เทพ ได้ชีแ้ จงว่าหากพิจารณาในด้านของการทํางาน การปฏิบตั ิหน้าท่ีของ ศาลย่อมต้องเป็นกลางทางการเมือง ไม่ฝักใฝ่ เอนเอียงเข้าข้างฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งทางการเมือง แต่ในส่วน ของที่มานนั้ อาจสมั พนั ธ์กบั การเมืองได้ “แต่ท่ีมาของผู้พิพากษานนั้ ไม่จําเป็นที่จะต้องไม่เก่ียวข้องกับทางการเมือง แม้แต่ใน ระบบของศาลไทย ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยตุ ิธรรมเป็นผ้เู สนอชื่อท่านผ้พู ิพากษา ให้ดํารงตําแหน่งใดสู่คณะกรรมการตุลาการ ในต่างประเทศเองหลายๆ ประเทศนัน้ ผ้บู ริหารอาจจะเป็นทางรัฐบาลเสนอช่ือผ้สู มควรได้รับแต่งตงั้ เป็นผ้พู ิพากษาต่อรัฐสภา เพราะฉะนัน้ ท่ีมาของผู้พิพากษาอาจจะเก่ียวข้องกับทางรัฐสภา ซ่ึงเป็นอํานาจที่ เชื่อมโยงมาจากอํานาจของประชาชนได้”40 2) อาํ นาจหน้าท่ี สําหรับประเดน็ อํานาจหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนญู พชร ยตุ ิธรรมดํารง (ส.ว.) ได้อภิปรายถึงกรณี ขอบเขตอํานาจโดยเฉพาะในกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนญู มีอํานาจในการเรียกใครมาสอบสวนก็ได้ รวมทงั้ มี อํานาจที่จะเรียกศาล เช่น ศาลยตุ ิธรรมมาสอบถามก็ได้ รวมถึงมีอํานาจท่ีจะออกวิธีพิจารณากฎหมาย ของตนเองได้เอง41 อีกทงั้ ยงั ให้อํานาจแก่ศาลรัฐธรรมนญู อย่างมาก กลา่ วคือด้วยผลของมาตราดงั กลา่ ว ทําให้คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นคําวินิจฉัยท่ีเด็ดขาดถือเป็นที่สุด และผูกพันรัฐสภา 39 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชุมร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 210 40 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 210 41 พชร ยุติธรรมดํารง, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ที่ 2 (สมัยสามัญ ครัง้ ท่ีสอง) วันจันทร์ท่ี 4 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 168 – 169
246 คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นๆ ของรัฐ42 การให้อํานาจในลกั ษณะดงั กล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจึงถูก พิจารณาว่ามีอํานาจล้นฟ้ามหาศาล มากเสียย่ิงกว่าองค์กรนิติบญั ญตั ิที่ยึดโยงสมั พนั ธ์กบั คนในรัฐไทย โดยตรง ซง่ึ บทบญั ญตั ิเช่นนีไ้ ม่มีในรัฐธรรมนญู ฉบบั ท่ีผา่ นๆ มา อีกทงั้ คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ก็ไม่ได้มี อํานาจมากมายขนาดนี ้การให้อํานาจแก่ศาลรัฐธรรมนญู ดงั กล่าวจึงกลายเป็นโครงสร้างใหม่ที่ถกู สร้าง ขนึ ้ เพ่ือให้ศาลรัฐธรรมนญู มีอํานาจเสร็จเดด็ ขาดและทําให้ศาลรัฐธรรมนญู สามารถไปก้าวลว่ งเขตอํานาจ ศาลอ่ืน รัฐสภา ตลอดจนองค์กรอ่ืนๆ ของรัฐ อีกทงั้ องค์กรที่ถกู ก้าวลว่ งเหลา่ นนั้ ก็ไมส่ ามารถท่ีจะอทุ ธรณ์ ได้เพราะศาลรัฐธรรมนญู มีเพียงชนั้ เดยี ว43 ทางด้าน สสร. 2 คน ได้แก่ พงษ์เทพ เทพกาญจนา และบวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ ได้ให้คําตอบไปใน ทิศทางเดียวกนั ว่าศาลรัฐธรรมนญู จะไม่ได้เป็นองค์กรที่มีอํานาจเหนือกว่าองค์กรอื่น สําหรับประเด็นที่ เกรงวา่ ศาลรัฐธรรมนญู จะกลายเป็นองค์กรที่มีอํานาจมากกว่าองค์กรอ่ืนๆ หรืออาจกลายเป็นองค์กรที่ส่ี เพ่ิมเตมิ ขนึ ้ มา ทาง สสร. เห็นวา่ หาได้เป็นเชน่ นนั้ ไม่ กลา่ วคอื ศาลรัฐธรรมนญู ท่ีเกิดขนึ ้ ใหมน่ ีไ้ ด้พฒั นามา จากคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ท่ีมีอยเู่ ดมิ แตเ่ พื่อให้มีความเป็นอิสระมากขนึ ้ และอํานาจสว่ นใหญ่ของศาล รัฐธรรมนญู ก็คืออํานาจที่มีอย่เู ดิมของตลุ าการรัฐธรรมนญู ทงั้ สิน้ 44 โดยอํานาจที่เพ่ิมขึน้ มานนั้ มีเพียง 3 ประการ45 ได้แก่ ประการที่หน่ึง เพื่อค้มุ ครอง ส.ส. ในกรณีที่พรรคการเมืองที่ ส.ส. ผ้นู นั้ สงั กดั มีมติที่ไม่ชอบด้วย รัฐธรรมนญู ซึง่ ส.ส.ผ้นู นั้ ไม่เห็นด้วยกบั มติดงั กล่าวและถกู ไล่ออกจากการไม่เห็นด้วยกบั มติดงั กล่าวซึ่ง เรื่องนีเ้ป็นเร่ืองที่ค้มุ ครอง ส.ส. โดยแท้ ประชาชนธรรมดาไมอ่ าจจะใช้สทิ ธิตามมาตรานีไ้ ด้ 42 มนั่ พธั โนทยั , รายงานประชุมร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง) วนั จนั ทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 243 43 พินิจ จนั ทรสรุ ินทร์, รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 6 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั พธุ ท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 62 – 63 44 พงษ์เทพ เทพกาญจนา, รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 4 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 209 45 บวรศกั ดิ์ อุวรรณโณ, รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ที่ 6 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 51 – 52
247 ประการท่ีสอง อํานาจที่สามารถรับเรื่องจากผ้ตู รวจการแผ่นดินของรัฐสภาและพิจารณาเร่ืองที่ ถกู สง่ มานนั้ จากกรณีที่ผ้ตู รวจการแผน่ ดินของรัฐสภาตรวจพบว่ามีบทบญั ญตั หิ รือกฎหมายอยา่ งใดๆ ท่ี ขดั หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนญู ประการที่สาม อํานาจของศาลรัฐธรรมนญู ท่ีจะวนิ ิจฉยั เรื่องที่เก่ียวกบั การใช้สทิ ธิเสรีภาพเพื่อล้ม ล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจโดยไม่ถกู วิถีทางรัฐธรรมนูญนนั้ และ เรื่องนีจ้ ะต้องเป็นเรื่องท่ีถกู สง่ มาโดยอยั การสงู สดุ ก่อนจะสง่ ให้ศาลรัฐธรรมนญู ทําการวินิจฉยั ในประเด็นดงั กลา่ วนี ้บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ ได้ทําการอภิปรายและชีใ้ ห้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนญู นนั้ มีอํานาจจํากดั เป็นอย่างย่ิง เพราะการนําคดีไปส่ศู าลรัฐธรรมนูญต้องผ่านองค์กรตามรัฐธรรมนญู ก่อน ประชาชนไมส่ ามารถใช้อํานาจดงั กลา่ วได้โดยตรง “ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจเป็นยกั ษ์ใหญ่ได้ เพราะบุคคลธรรมดาไม่อาจจะเข้าไปฟ้อง ศาลรัฐธรรมนญู ได้ ... หลกั การในรัฐธรรมนญู ปัจจบุ นั คือการท่ีจะเข้าส่ศู าลรัฐธรรมนญู นนั้ จะต้องผา่ นองค์กรซงึ่ ใช้อํานาจในรัฐธรรมนญู อยไู่ ม่วา่ จะเป็นนายกรัฐมนตรี สมาชิก รัฐสภา หรือศาล”46 “ศาลยุติธรรมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีทัง้ ปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนีห้ รือ กฎหมายบญั ญัติให้อยู่ในเขตอํานาจของศาล อ่านอย่างนีก้ ็ต้องเข้าใจว่าศาลยุติธรรม เป็นศาลหลกั ที่มีอํานาจกวาดกอง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลยกเว้นที่มีอํานาจเฉพาะ 9 อํานาจท่ีรัฐธรรมนูญกําหนดไว้ เกินกว่านีศ้ าลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิท่ีจะพิจารณา พิพากษา ย่ิงกวา่ นนั้ ท่านประธานท่ีเคารพ การเข้าสศู่ าลรัฐธรรมนญู นนั้ ต้องผา่ นองค์กร ในรัฐธรรมนญู ทงั้ สิน้ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีร้องขอ ต้องเป็นสมาชิกรัฐสภาร้องขอ ต้อง เป็นเรื่องที่ศาลสถิตยุติธรรมหรือศาลปกครองส่งไป หรือต้องเป็นเรื่องท่ีผู้ตรวจการ แผน่ ดนิ ของรัฐสภาสง่ ไป”47 46 บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ, รายงานประชุมร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 6 (สมยั สามัญ ครัง้ ท่ีสอง) วนั จันทร์ท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 51 47 บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ (สสร.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 6 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง) วนั จนั ทร์ท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 52
248 บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ ได้ยํา้ อีกครัง้ อนั ทําให้สมาชิกในที่ประชุมเข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนญู จะไม่ได้ เป็นองค์กรที่มีอํานาจมหาศาลหรือกลายเป็นยกั ษ์อีกตวั หนึ่ง เน่ืองจาก “การตรวจสอบโดยองค์กรใน รัฐธรรมนญู กนั เองทําให้ศาลรัฐธรรมนญู ไมม่ ีทางที่จะเป็นยกั ษ์ตวั ท่ีสไ่ี ปได้”48 3) ความยดึ โยงกับประชาชน โดยที่อํานาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนญู ตามร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ได้ถกู สมาชิกท่ีเป็น ส.ส. และ ส.ว. พิจารณาวา่ มีอย่อู ยา่ งกว้างขวางและมากกว่าองค์กรอื่นๆ ทงั้ ท่ีเป็นองค์กรของรัฐหรือองค์กรที่ ใช้อํานาจอธิปไตยเหมือนกัน และเม่ือมาถึงการพิจารณาในประเด็นที่มาในการคดั เลือกบุคคลเข้าสู่ ตําแหน่งก็ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงขึน้ มาอีกประเด็นหนึ่ง วัฒนา เมืองสุข มีความเห็นว่าศาล รัฐธรรมนญู ไมม่ ีความยดึ โยงกบั ประชาชน หากเปรียบเทียบกบั ที่มาของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ซง่ึ มีอยู่ ก่อนหน้าจะพบว่ายงั มีความยดึ โยงกบั ประชาชนแม้จะเป็นการยึดโยงโดยทางอ้อม เพราะองค์ประกอบ ของตลุ าการรัฐธรรมนญู ประกอบด้วย ประธานรัฐสภา ประธานวฒุ ิสภา ประธานศาลฎีกา อยั การสงู สดุ และผ้ทู รงคณุ วฒุ ิสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ซงึ่ ประธานรัฐสภาและประธานวฒุ ิสภาจะเป็นส่วนหน่ึงอยู่ ในองค์คณะ อันเป็ นการให้ ความสําคัญกับฝ่ ายรัฐสภาที่มาจากการเลือกตัง้ ของประชาชน แต่ องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนญู จะแตกตา่ งออกไป “แต่องค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญนนั้ ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกา ตลุ าการศาล ปกครองสูงสุด ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และสาขารัฐศาสตร์ ไม่มีการให้ ความสาํ คญั กบั รัฐสภา ไมม่ ีการยดึ โยงใดๆ กบั ประชาชนแม้แตน่ ้อย”49 นอกจากนีก้ ็ยงั ได้มีการโต้แย้งอีกวา่ ในร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ดงั กลา่ วยงั กําหนดให้ศาลรัฐธรรมนญู สามารถออกหรือกําหนดวิธีพิจารณาคดีเองได้50 ซึ่งโดยหลกั การแล้วกฎหมายอย่างใดๆ ท่ีใช้บังคับ ภายในรัฐจะต้องผา่ นความเห็นชอบจากรัฐสภา กฎหมายท่ีเก่ียวกบั วธิ ีพจิ ารณาคดีก็เชน่ เดียวกนั ต้องผา่ น 48 บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ (สสร.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 6 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 10 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, หน้า 52 49 วฒั นา เมืองสขุ , รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 5 (สมยั สามญั ครัง้ ท่ีสอง) วนั จนั ทร์ท่ี 9 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น.114 – 115 50 พชร ยตุ ิธรรมดํารง (ส.ว.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 2 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 4 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 168 – 169
249 ความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อให้มีสถานะเป็นพระราชบญั ญัติเสียก่อน เช่น กระบวนพิจารณาคดีของ ศาลแรงงานก็อาศยั อํานาจจาก พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ดงั นนั้ การกําหนดให้ศาลรัฐธรรมนญู มีอํานาจสามารถกําหนดหรือสร้างวิธีพิจารณาคดีได้เองนนั้ จึงเป็นเรื่องที่ ไมส่ มควร51 ทางด้าน ส.ส.ร. ได้ชีแ้ จงประเด็นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญสามารถออกวิธีพิจารณาเองได้นนั้ ไม่ใช่ เป็นเร่ืองที่ขดั กบั หลกั การแตอ่ ยา่ งใด “ปกติแล้ ววิธีพิจารณาจะออกโดยรัฐสภาแต่รัฐสภาเองก็ยินยอมให้ อธิบดีผ้ ูพิพากษา ต่างๆ (ศาลแรงงาน ศาลภาษี ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ) สามารถที่จะออกข้อกําหนดเกี่ยวกบั วิธีพิจารณาโดยความเห็นชอบของประธานศาล ฎีกามาใช้บงั คบั เองได้ ฉะนนั้ กรณีของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่และไม่แตกต่างไปจาก ทางปฏิบตั เิ ดมิ ”52 4) สถานะของประมุขฝ่ ายตุลาการ การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญขึน้ มาควบค่ไู ปกบั ศาลยตุ ิธรรมได้นํามาซึ่งคําถามว่าแต่ละศาลจะมี ความสมั พนั ธ์ในลกั ษณะใด หรือวา่ ใครจะเป็นประมขุ ของฝ่ ายตลุ าการ ประเด็นนีไ้ ด้ก็มีการนําเสนอในที่ ประชุม กล่าวคือมีการกังวลจากฝ่ ายของสมาชิกรัฐสภาอย่างมากว่าระหว่างประธานศาลฎีกากับ ประธานศาลรัฐธรรมนญู ใครควรท่ีจะเป็นประมขุ ของฝ่ายตลุ าการ พนู ศกั ด์ิ วรรณพงษ์ (ส.ว.) ได้ตงั้ ข้อสงั เกตไว้ ดงั นี ้ “แนวคิดที่เก่ียวกบั ศาลในรัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ด้มีแนวคิดท่ีจะเพ่ิมศาลรัฐธรรมนญู ศาล ปกครอง ศาลอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง และอ่ืนๆ เพ่ิมเติมจากศาล ยุติธรรมท่ีมีอยู่ ประเด็นก็มีต่อไปว่าอีกหน่อยใครจะเป็นประมุขของฝ่ ายตุลาการ อีก หน่อยมีประธานศาลรัฐธรรมนญู มีประธานศาลฎีกาปกติ และก็มีประธานศาลปกครอง 51 วิชยั โถสวุ รรณจินดา (ส.ว.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 5 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 172 – 173 52 พงษ์เทพ เทพกาญจนา (สสร.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 4 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ ท่ี 8 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 209
250 สูงสุด เวลามีพระราชพิธี เอ๊ะใครจะต้องยืนก่อนใคร ซ่ึงเร่ืองนีส้ ัมพันธ์กับการยืน ตามลําดบั ก่อนหลงั ”53 สอดคล้องกบั วฒั นา เมืองสขุ (ส.ส.) ที่มีความกงั วลอย่างมากวา่ ใครจะถือว่าเป็นประมขุ ของฝ่าย ตลุ าการ เพราะในร่างรัฐธรรมนญู มกั มีการพดู ถงึ ศาลรัฐธรรมนญู ก่อนศาลยตุ ธิ รรมหรือศาลอ่ืน “การเรียงลาํ ดบั ในรัฐธรรมนญู นนั้ ดปู ระหนง่ึ วา่ ศาลรัฐธรรมนญู นนั้ ใหญ่กวา่ ศาลยตุ ธิ รรม เพราะมกั มีการพดู ถงึ ศาลรัฐธรรมนญู ก่อนศาลอ่ืนๆ ในตวั บทของรัฐธรรมนญู เองก็มีการ เขียนถึงศาลรัฐธรรมนญู ก่อนศาลยตุ ธิ รรมอ่ืน และในบทบญั ญตั ทิ ่ีพดู ถงึ ศาลรัฐธรรมนญู นี่ก็จะขึน้ ด้วยศาลรัฐธรรมนูญก่อนศาลยุติธรรมเสมอ ดังนัน้ จึงอยากจะฝากไปถึง สมาชิกสภาร่างฯ วา่ ใครคอื ประมขุ ที่แท้จริงของศาล”54 สําหรับประเด็นท่ีถกเถียงกนั ว่าใครจะเป็นประมขุ ของฝ่ ายตลุ าการ บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ (สสร.) ได้อธิบายวา่ ศาลตา่ งๆ อนั ประกอบด้วยศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนญู ศาลปกครอง และศาลทหาร “ไมม่ ีใคร ใหญ่กว่าใคร” ทุกศาลต่างมีฐานะท่ีเท่าเทียมกัน และต่างเป็นผู้ปฏิบัติงานภายใต้พระปรมาภิไธย เหมือนกนั “เร่ืองศาล พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอํานาจทางศาล ดังเช่นที่ปรากฏในระบบ รัฐธรรมนูญปัจจุบนั นี ้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบบั นีเ้ ขียนไว้ชดั ว่า ผ้พู ิพากษาหรือตลุ าการ ศาลทงั้ หลายนนั้ พระมหากษัตริย์ต้องทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตงั้ แตท่ ่ีเป็นสิง่ ใหมก่ ็คือ การ ท่ีจะเสนอพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตงั้ นนั้ ให้ส่วนหนึ่งของรัฐสภา คือวฒุ ิสภาเป็นผ้ถู วายคาํ แนะนํา ศาลเหลา่ นีต้ งั้ ขนึ ้ โดยแบง่ แยกอํานาจกนั ครับ ไมม่ ีศาล ใดใหญ่กว่าศาลใด ศาลรัฐธรรมนญู นนั้ จะพิจารณาเฉพาะปัญหารัฐธรรมนญู เหมือนกบั ศาลปกครองก็จะพิจารณาเฉพาะปัญหาที่ฝ่ ายปกครองถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องตาม กฎหมายปกครอง ถ้าไม่ได้อย่ใู นอํานาจของศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง ซ่ึงเป็น 53 พนู ศกั ด์ิ วรรณพงษ์ (ส.ว.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ที่ 2 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 4 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 74 – 76 54 วฒั นา เมืองสขุ (ส.ว.), รายงานประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 2 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 4 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 127
251 ศาลยกเว้นแล้ว ศาลสถิตยตุ ิธรรมธรรมดาก็เป็นผ้มู ีอํานาจพิจารณาพิพากษาเช่นเดิม ครับ”55 สําหรับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ภายหลังท่ีได้มีการพิจารณาของรัฐสภาและรัฐสภามีมติ เห็นชอบ หากพิจารณาจากคําอภิปรายจะพบว่ายงั ไม่เป็นท่ียอมรับกนั มากเท่าใด โดยทาง สสร. ซงึ่ ได้ยก ร่างรัฐธรรมนญู และนําเสนอสกู่ ารพิจารณาของรัฐสภาได้เป็นฝ่ายที่นําเสนอและอภิปรายให้การสนบั สนนุ ต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี ้ และรวมถึงการสนับสนุนต่อการจัดตัง้ องค์กรชีข้ าดในรูปแบบของศาล รัฐธรรมนูญท่ีมีความแตกต่างไปจากเดิม ขณะที่ทาง ส.ส. และ ส.ว. จะเป็นฝ่ ายที่ตงั้ คําถามและแสดง ความเห็นคดั ค้านตอ่ การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ขนึ ้ อยา่ งสําคญั อยา่ งไรก็ตาม ท่ีประชมุ ของรัฐสภาก็ได้ลง มติเห็นชอบ ก่อนท่ีจะประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนญู เม่ือวนั ท่ี 11 ตลุ าคม พ.ศ. 2540 ภายหลงั จากนนั้ ก็ได้มี การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญขึน้ เป็นครัง้ แรก โดยได้มีการแต่งตงั้ คณะตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญขึน้ เม่ือ 11 เมษายน พ.ศ. 2541 2.3 ชะตากรรมของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยท่ีรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” มีการบญั ญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้อย่าง กว้างขวาง ทําให้มีการเคล่ือนไหวจากทางภาคประชาชนเกิดขนึ ้ บนการอ้างอิงถึงสิทธิตามที่รัฐธรรมนญู ได้รับรองไว้ ซึ่งภายในระยะเวลา 4 ปี ก็ได้มีการประเมินถึงความสําเร็จ อุปสรรค และเง่ือนไขท่ีควร ปรับแก้จากกล่มุ องค์กรที่ทํางานทางด้านสิทธิชมุ ชน สิทธิของผ้ใู ช้แรงงาน การค้มุ ครองผ้บู ริโภค สิทธิใน ที่ดินทํากิน รวมถึงการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจสอบผ้ใู ช้อํานาจรัฐ56 ซง่ึ หากพิจารณาในภาพรวมก็จะพบว่า แม้รัฐธรรมนญู จะได้รับสทิ ธิในด้านตา่ งๆ เอาไว้ แตใ่ นการทําให้บทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู ปรากฏขนึ ้ จริง ในทางปฏิบตั ิก็ยงั คงเผชิญกบั อปุ สรรคในหลายด้าน เช่น กรณีของสทิ ธิชมุ ชน ซง่ึ แม้จะได้รับการรับรองไว้ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรครัง้ แรกในรัฐธรรมนญู นี ้แตก่ ็ยงั คงเผชิญปัญหากบั แนวทางในการปฏิบตั ิงานของ เจ้าหน้าท่ีรัฐท่ีเก่ียวข้องเฉพาะอย่างย่ิงอํานาจของรัฐสว่ นกลาง อนั เป็นผลให้สิทธิชุมชนไม่มี “นอกพาน 55 บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ (สสร.), รายงานประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภา ครัง้ ท่ี 2 (สมยั สามญั ครัง้ ที่สอง) วนั จนั ทร์ที่ 4 กนั ยายน พ.ศ. 2540 ณ ตกึ รัฐสภา, น. 198 56 ธนาพล อ๋ิวสกุล และคณะ (ผู้จดั ทํา). 4 ปี รัฐธรรมนูญกับการเมืองภาคประชาชน (กรุงเทพฯ: คณะ ดําเนินงานเฉลมิ ฉลองเปิดอนสุ รณ์สถานวีรชนประชาธิปไตย, 2544)
252 รัฐธรรมนญู ”57 หรือกรณีของสทิ ธิผ้บู ริโภคก็ต้องพบวา่ ยงั คงมีอปุ สรรคในหลายระดบั นบั ตงั้ แตห่ น่วยงาน รัฐที่ไม่เป็นเอกภาพ และถูกแทรกแซงทัง้ จากนักการเมืองและนักธุรกิจ ไม่มีการจัดตัง้ องค์กรอิสระ ค้มุ ครองผ้บู ริโภคตามที่ได้มีการกําหนดเอาไว้58 แม้ในกรณีสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องเผชิญกบั ปัญหาอย่างมาก แตใ่ นอีกด้านหน่ึง การ ตรวจสอบผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองในระยะเวลาเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญฉบบั นีก้ ลบั แสดงให้เห็นถึง ความคืบหน้าไปได้ไม่น้อย ดงั จะพบว่ามีการเคล่ือนไหวให้เกิดการตรวจสอบกบั นกั การเมืองระดบั ชาติ เกิดขนึ ้ โดยองค์กรอสิ ระที่จดั ตงั้ ขนึ ้ ใหม่ เช่น กรณีของ พล.ต. สนนั่ ขจรประศาสน์ ศาลรัฐธรรมนญู ได้มีคํา วินิจฉยั ว่าจงใจย่ืนบญั ชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนีส้ ินอนั เป็นเท็จ59 หรือนายรักเกียรติ์ สขุ ธนะ ได้ถกู ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองพิพากษาวา่ มีความผิดในฐานะผิดตอ่ ตําแหน่ง หน้าที่ทางราชการ60 แต่ด้วยเง่ือนไขของสถานการณ์การเมืองในช่วงทศวรรษที่ 2540 ภายหลงั การขึน้ ส่อู ํานาจของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวตั ร (ยศในขณะนนั้ ) และพรรคไทยรักไทย ได้ส่งผลให้เกิดความเข้าใจว่ามีการใช้ อํานาจเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระเกิดขึน้ เฉพาะอย่างย่ิงในคําวินิจฉัยในกรณีท่ี พ.ต.ท. ทกั ษิณ ชินวตั ร ถกู กล่าวหาว่ากระทําการฝ่ าฝืนรัฐธรรมนูญในการจงใจย่ืนบญั ชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนีส้ ินด้วย ความอนั เป็นเท็จ โดยยงั มีทรัพย์สินซง่ึ เป็นของคสู่ มรสแตใ่ ห้ผ้อู ื่นถือแทนอยู่ แตศ่ าลได้ยกคําร้องดงั กลา่ ว เน่ืองจากไม่มีพยานหลกั ฐานเพียงพอที่จะชีช้ ดั ถึงความผิด61 ซ่ึงคําวินิจฉัยดงั กล่าวแตกต่างไปจากคํา วินิจฉัยในคดีก่อนหน้า ซ่ึงนายประยุทธ มหากิจศิริ ถูกยื่นฟ้องในข้อหาลักษณะเดียวกัน แต่ศาล รัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยว่านายประยุทธ และคู่สมรสเป็นสามีภริยากัน ย่อมต้องทราบถึงสถานะทาง 57 สันติ โชคชัยชํานาญกิจ และไอดา อรุณวงศ์, “สิทธิชุมชนไม่มีนอกพานรัฐธรรมนูญ กรณีการคัดค้าน โรงไฟฟา้ ถา่ นหิน จ. ประจวบฯ” ใน ธนาพล อ๋ิวสกลุ และคณะ (ผ้จู ดั ทํา). 4 ปี รัฐธรรมนูญกับการเมืองภาคประชาชน , หน้า 96 – 104 58 สารี อ๋องสมหวงั , “สถานการณ์ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนกบั การมีสว่ นร่วมในการค้มุ ครองผ้บู ริโภค”, ใน ธนาพล อ๋วิ สกลุ และคณะ (ผ้จู ดั ทํา). 4 ปี รัฐธรรมนูญกับการเมืองภาคประชาชน, หน้า 182 – 210 59 “การตรวจสอบผ้ดู ํารงตําแหนง่ ทางการเมือง กรณีการเคล่ือนไหวของนายวีระ สมความคิด”,ใน ธนาพล อิว๋ ส กลุ และคณะ (ผ้จู ดั ทํา). 4 ปี รัฐธรรมนูญกับการเมืองภาคประชาชน, หน้า 262 – 293 60 คําพพิ ากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ้ดู ํารงตําแหนง่ ทางการเมืองคดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2546 61 คําวนิ ิจฉยั ท่ี 20/2544
253 การเงิน ทรัพย์สินและหนีส้ ินของกันและกัน กรณีนีศ้ าลจึงวินิจฉัยว่านายประยทุ ธ จงใจย่ืนบญั ชีแสดง ทรัพย์สินด้วยข้อความอนั เป็นเท็จ62 อาจกล่าวได้ว่ากรณีนีน้ บั เป็นหลกั หมายท่ีสําคญั ต่อการตงั้ ข้อสงสยั ในการเข้าแทรกแซงของนกั การเมืองตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู หรือองค์กรอิสระท่ีจะกลายเป็นเปา้ หมายของการ วิพากษ์วิจารณ์ในห้วงเวลาตอ่ มา และดเู หมือนวา่ รัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ด้ถกู ปรับให้รับใช้กบั รัฐบาลอํานาจ นิยม – ประชานิยม หรือเปรียบเสมือนความใฝ่ ฝันของบรรดานกั ปฏิรูปหลงั พ.ศ. 2535 ถกู ปรับยีนส์ให้ กลายสภาพเป็น “ปีศาจ”63 โดยในส่วนขององค์กรอิสระซึ่งรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องเผชิญกับการ แทรกแซง การคดั เลือก การขดั ขวางการทํางานหรือแม้กระทงั่ การให้สินบน จากผ้มู ีอํานาจทางการเมือง จากสถาบนั ท่ีมาจากการเลือกตงั้ สมคิด เลิศไพฑูรย์ (ผ้ซู ึ่งต่อมาได้มีบทบาทอย่างมากต่อการจดั ทํารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550) ได้ ประเมินถึงสภาพปัญหาโดยรวมที่เกิดขึน้ จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ว่ามีประเด็นสําคญั อยู่ด้วยกนั 4 กรณี64 ได้แก่ หนงึ่ ปัญหาเรื่องการค้มุ ครองสทิ ธิและเสรีภาพของประชาชน - การที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพไว้ แต่ก็มักจะเขียนให้มีรายละเอียดให้เป็นไปตามท่ี กฎหมายบัญญัติ ในทางปฏิบัติพบว่ามีกฎหมายจํานวนมากไม่ได้รับการตราขึน้ ตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนีน้ กั กฎหมายสว่ นใหญ่ยงั ตีความวา่ ตราบใดท่ียงั ไม่มีกฎหมายบญั ญตั ขิ นึ ้ รัฐธรรมนญู ที่รับรอง สทิ ธิเสรีภาพไว้ก็ยงั ไมส่ ามารถใช้บงั คบั ได้ สทิ ธิเสรีภาพหลายประการของปวงชนชาวไทยจงึ ยงั ไมเ่ กิดขนึ ้ - การที่รัฐธรรมนญู บญั ญตั ิสทิ ธิและเสรีภาพไว้แตก่ ารใช้สิทธิและเสรีภาพดงั กลา่ วเป็นไปได้ยาก หรือมีความสลบั ซบั ซ้อนเกินไป เช่น การเข้าชื่อของประชาชนเสนอร่างกฎหมายที่เกิดขนึ ้ แทบไมไ่ ด้เพราะ กําหนดจํานวนไว้ถงึ 50,000 คน 62 คําวินิจฉยั ท่ี 19/2544 63 เกษียร เตชะพีระ, จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549: วกิ ฤตประชาธิปไตยไทย, หน้า 70 64สมคิด เลิศไพฑรู ย์, ความเป็นมาและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2550 สบื ค้นระบบออนไลน์ http://kpi.ac.th/media/pdf/M7_117.pdf, หน้า 11 – 14
254 - ปัญหาที่รัฐธรรมนญู นนั้ ยงั ไมม่ ีการรับรองสทิ ธิและเสรีภาพใหม่ๆ เช่นสิทธิและเสรีภาพของผ้ใู ช้ แรงงาน ผ้ไู ร้ที่อยอู่ าศยั ผ้ใู ห้ข้อมลู ขา่ วสารท่ีเป็นประโยชน์แก่รัฐ ฯลฯ ไว้อยา่ งเหมาะสม สอง ปัญหาเร่ืองการผกู ขาดอํานาจรัฐและการใช้อํานาจอยา่ งไมเ่ ป็นธรรม ก่อนการรัฐประหารเมื่อวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ.2549 อํานาจรัฐทัง้ หมดหรือเกือบทัง้ หมดถูก ผูกขาดอย่ใู นเมืองของคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียวไม่ว่าจะเป็นฝ่ ายนิติบญั ญัติกับฝ่ ายบริหารท่ีเป็นพวก เดยี วกนั และไมม่ ีทางท่ีจะตรวจสอบกนั และกนั ได้ ย่ิงกวา่ นนั้ ยงั มีการแทรกแซงองค์กรตามรัฐธรรมนญู ทกุ องค์กร อนั ทําให้ระบบการตรวจสอบล้มเหลวโดยสิน้ เชิง ไม่เว้นแม้แต่ศาล เช่น ศาลรัฐธรรมนูญก็ถูก แทรกแซงจนขาดความเป็นกลางในการวนิ ิจฉยั ชีข้ าดคดีหลายคดี สาม การขาดคณุ ธรรมและจริยธรรมของผ้ดู าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมือง แม้มาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 จะบญั ญตั ใิ ห้มีการจดั ทํามาตรฐานทางคณุ ธรรมและ จริยธรรม ขึน้ ก็ตาม แต่ในทางปฏิบตั ิก็พบว่ามาตรฐานทางคณุ ธรรมและจริยธรรมดงั กล่าวยงั ไม่มีผล บงั คบั ใช้ ในขณะเดียวกนั การละเมิดคณุ ธรรมและจริยธรรมก็เกิดขนึ ้ ตลอดเวลา เช่นการใช้อํานาจโดยไม่ ชอบ การอภิปรายท่ีไม่มีสาระ เสียดสีและบางกรณีขดั แย้งกับความเป็นจริง การทะเลาะวิวาทในสภา ระบบการตรวจสอบทางการเมืองก็ไม่สามารถทํางานได้ “เพราะมีพลังฝ่ ามือหนุนหลัง” อยู่ในสภา ผ้แู ทนราษฎรคอยปกปอ้ งไว้ ซงึ่ กรณีผลประโยชน์ทบั ซ้อนของรัฐบาลชดุ ท่ีผา่ นมาก็ได้สร้างความเสียหาย อยา่ งใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ สี่ ปัญหาการแทรกแซงองค์กรตรวจสอบทําให้ระบบตรวจสอบไมม่ ีประสทิ ธิภาพ องค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนญู จํานวนมากไมส่ ามารถทํางานอย่างมีประสทิ ธิภาพ โดยระบวุ ่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีการแทรกแซงผ่านกระบวนการสรรหาผ้ดู ํารงตําแหน่งในองค์กร เหล่านี ้ขณะท่ีศาลยตุ ิธรรมและศาลปกครอง เป็นองค์กรท่ีผู้มีอํานาจแทรกแซงได้น้อยและทํางานได้มี ประสทิ ธิภาพมาก (ซง่ึ จะเห็นได้อย่างชดั เจนเม่ือมีการปรับแก้กระบวนการของการสรรหาและสดั สว่ นของ บคุ คลที่จะทําหน้าที่ในศาลรัฐธรรมนญู ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550) ซง่ึ ภายหลงั จากการรัฐประหารในวนั ท่ี 19 กนั ยายน พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนญู ก็ได้ถกู ยกเลกิ ไป พร้ อมกับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ก็ได้
255 กําหนดให้ใช้รูปแบบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู แทน65 และก็ได้กําหนดให้บรรดาคดีที่เคยอยใู่ นอํานาจ ของศาลรัฐธรรมนญู ก่อนการรัฐประหารโอนมาอยภู่ ายใต้การพิจารณาของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ชดุ นี ้ ถือได้วา่ เป็นจดุ จบของความพยายามในการสร้างสถาบนั ศาลรัฐธรรมนญู ภายใต้กระแสปฏริ ูปการเมืองท่ี ดําเนินมาตงั้ แต่ทศวรรษ 2530 และนับจากนีไ้ ปก็จะเป็นศาลรัฐธรรมนูญในอีกยุคสมัยหน่ึงที่มีความ แตกตา่ งไปอยา่ งสาํ คญั ทงั้ ในแง่ของปัจจยั แวดล้อม โครงสร้าง และบทบาทหน้าท่ีในทางการเมือง 3. ศาลรัฐธรรมนูญภายใต้กระแส “ตลุ าการภวิ ัตน์” และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 3.1 ตุลาการภวิ ัตน์ภายใต้พระราชดาํ รัส บทบาทของฝ่ายตลุ าการในทางการเมืองได้เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งสําคญั ภายหลงั จากรัชกาลท่ี 9 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอกั ขราทร จฬุ ารัตน ประธานศาลปกครองสงู สดุ นําตลุ าการศาล ปกครองสงู สดุ เข้าเฝา้ เพ่ือถวายสตั ย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตําแหน่ง และนายชาญชยั ลิขิตจิตถะ ประธาน 65 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 “มาตรา 35 บรรดาการใดท่ีมีกฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจของศาลรัฐธรรมนญู หรือเม่ือมีปัญหาว่ากฎหมาย ใดขดั ต่อรัฐธรรมนญู หรือไม่ ให้เป็นอํานาจของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ซง่ึ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสงู สดุ เป็นรองประธาน ผ้พู ิพากษาในศาลฎีกาซ่ึงดํารงตําแหน่งไม่ตํ่ากว่าผ้พู ิพากษาศาลฎีกาซ่ึง ได้รับเลือกโดยท่ีประชมุ ใหญ่ของศาลฎีกาโดยวิธีลงคะแนนลบั จํานวนห้าคนเป็นตลุ าการรัฐธรรมนญู และตลุ าการใน ศาลปกครองสงู สดุ ซ่ึงได้รับเลือกโดยท่ีประชมุ ใหญ่ศาลปกครองสงู สดุ โดยวิธีลงคะแนนลบั จํานวนสองคน เป็นตลุ าการ รัฐธรรมนญู ” “ให้สํานกั งานศาลรัฐธรรมนญู ตามกฎหมายว่าด้วยสํานกั งานศาลรัฐธรรมนญู ทําหน้าท่ีธุรการและการอื่นใด ตามที่ประธานคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู มอบหมาย” “องค์คณะในการพิจารณาพิพากษา วิธีพิจารณา และการทําคําวินิจฉัย ให้เป็นไปตามที่คณะตุลาการ รัฐธรรมนญู กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา” “บรรดาอรรถคดีหรือการใดท่ีอยู่ในระหว่างการดําเนินการของศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันท่ี 19 กันยายน พทุ ธศกั ราช 2549 ให้โอนมาอยใู่ นอํานาจและความรับผดิ ชอบของคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ” สําหรับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดนีน้ ับเป็นครัง้ แรกท่ีได้มีการกําหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยผ้พู ิพากษาอาชีพทงั้ หมด กลา่ วคือประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ผ้พู ิพากษาศาลฎีกา 5 คน และ ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ 2 คน แต่คณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ชดุ นีก้ ็ดํารงอย่เู พียงชว่ั ระยะเวลาสนั้ ๆ และสิน้ สดุ ลงเม่ือ ได้มีการแตง่ ตงั้ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ชดุ ใหมเ่ ม่ือ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 อนั เป็นไปตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550
256 ศาลฎีกา นําผ้พู ิพากษาประจําศาลยตุ ิธรรม เข้าเฝา้ เพ่ือถวายสตั ย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตําแหน่งเม่ือวนั ท่ี 25 เมษายน พ.ศ. 2549 ในการนีท้ รงมีพระบรมราโชวาทแก่คณะตลุ าการ ทงั้ 2 คณะ เกี่ยวกบั แนวทาง แก้ไขวิกฤตการเมืองของชาติ ที่เกิดขนึ ้ ในห้วงเวลานนั้ 66 บางสว่ นในสว่ นพระราชดํารัสที่ให้แก่ผ้พู ิพากษาศาลยตุ ธิ รรม “ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นสําคญั ที่จะบอกได้ ศาลอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอะไร ไม่มีข้ออ้างที่จะอ้างได้มากกว่าศาลฎีกา เพราะว่าผ้พู ิพากษาศาลฎีกาที่จะมี สทิ ธิท่ีจะพดู ท่ีจะตดั สนิ ” และบางสว่ นในพระราชดํารัสท่ีให้แก่ตลุ าการศาลปกครอง “ท่ีได้ปฏิญาณนนั้ มีความสําคญั มาก เพราะว่ากว้างขวาง หน้าที่ของผ้พู ิพากษา หน้าที่ ของผู้ที่เก่ียวข้องกบั การปกครอง มีหน้าที่กว้างขวางมาก ซึ่งเกรงว่าท่านอาจจะนึกว่า หน้าท่ีของผ้ทู ี่เป็นศาลปกครองมีขอบขา่ ยท่ีไมก่ ว้างขวาง ท่ีจริงกว้างขวางมาก” พระราชดํารัสดงั กลา่ วได้กลายเป็นหมดุ หมายท่ีสําคญั ตอ่ มาตอ่ การพลกิ เปลี่ยนบทบาทของฝ่าย ตลุ าการ ธีรยทุ ธ บญุ มี ในฐานะปัญญาชนสาธารณะคนสาํ คญั ของสงั คมไทยมีความเห็นวา่ พระราชดาํ รัส ครัง้ นีเ้ ป็น “พระราชวิสยั ทศั น์ท่ีสําคญั ท่ีสดุ ครัง้ หน่ึง”67 ในรัชสมยั ของพระองค์ และเขาได้นําเสนอกรอบ การพิจารณาพระราชดํารัสดงั กล่าวในเดือนถดั มา (31พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ณ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวณั ) โดยได้ให้คําอธิบายตอ่ พระราชดํารัสว่ามีความสําคญั เป็นอย่างมากตอ่ กระบวนการตลุ าการภิ วตั น์ “เป็นการมองอํานาจศาลอย่างกว้างขวาง แนวท่ีเปิดทางให้กบั สง่ิ ที่ประเทศยโุ รปเรียกวา่ กระบวนการตุลาการภิวัตน์ของระบบการปกครอง (judicialization of politics) และ สหรัฐอเมริกาเรียกการตรวจสอบฝ่ ายบริหารและนิติบญั ญตั ิโดยระบบตลุ าการ (power 66 สืบค้นระบบออนไลน์ https://www.matichonweekly.com/featured/article_11279 เป็นท่ีน่าสงั เกตว่าการ เข้าเฝา้ ในครัง้ นีเ้ ป็นเฉพาะตลุ าการจากศาลปกครองสงู สดุ และผ้พู ิพากษาจากศาลยตุ ิธรรมเพียงเท่านนั้ ในขณะท่ีใน ห้วงเวลาดงั กล่าว ศาลรัฐธรรมนูญถกู วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าถกู แทรกแซงอํานาจของฝ่ ายบริหาร ทําให้ไม่ สามารถปฏิบตั หิ น้าที่ของตนเองได้อยา่ งเตม็ ท่ี 67 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), (กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พ์วิญญชู น, 2549) หน้า 41
257 of judicial review) ซึ่งคือการท่ีอํานาจตลุ าการเข้าตรวจสอบการออกกฎหมาย การใช้ อํานาจของนกั การเมืองอยา่ งจริงจงั ”68 ในมุมมองของธีรยุทธ เขาได้ให้การสนับสนุนต่อบทบาทของฝ่ ายตุลาการในการทําหน้าท่ี ตรวจสอบการปฏิบตั หิ น้าท่ีของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ โดยเขาได้วิเคราะห์ให้เห็นถงึ สภาพปัญหา และความจําเป็นในการต้องใช้ตลุ าการภวิ ตั น์เข้ามาแก้ไขปัญหา ดงั นี6้ 9 จดุ เริ่มต้น ปัญหาจากระบบการเลือกตงั้ ซง่ึ “เน้นการเลือกตงั้ การซือ้ เสียง การโฆษณาชวนเชื่อ แตเ่ กิดผลกว้างขวางขนึ ้ ก็ช่วงทกั ษิณ (ชินวตั ร) ซง่ึ มีการใช้การตลาดและนโยบายประชานิยม ใช้เงินของ ประเทศซอื ้ ความนิยมจากประชาชนรากหญ้า” ผลสืบเนื่องก็คือ “ทําให้การปกครองระบอบรัฐสภากลายเป็นลทั ธิรัฐสภาท่ีถือเอาสภามีอํานาจ สูงสุดเพราะเป็นตัวแทนของประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตย แต่รัฐสภานีก้ ลับไม่ได้มุ่งหมายให้ ความสําคญั แก่การออกกฎหมายที่ปกป้องผลประโยชน์ประชาชน แต่เป็นรัฐสภาท่ีให้ความสําคญั กับ รัฐบาล นโยบายรัฐบาลหรือพรรคตนเอง ... หากก้าวไปสดุ ขวั้ ก็จะกลายเป็นระบบเผด็จการหรือเผดจ็ การ โดยรัฐสภาได้” และผลสืบเน่ืองถดั มา “ทําให้อํานาจและกระบวนการตรวจสอบไม่ทํางาน ส่งผลให้เกิด คอร์รัปชนั่ และผลประโยชน์ทบั ซ้อน” ดงั นนั้ เหตผุ ลสําคญั ในการสนบั สนุนบทบาทการแก้ไขปัญหาโดยฝ่ ายตลุ าการในสงั คมไทย ธีร ยทุ ธ เน้นว่ากระบวนการดงั กล่าวเป็นส่วนหนึ่งในกระแสเดียวกนั กบั ที่ปรากฏขึน้ ในหลายประเทศท่ีต้อง เผชิญกบั ปัญหาจากระบอบประชาธิปไตย พร้อมกบั การเพิ่มบทบาทของฝ่ ายตลุ าการเข้ามาในทําหน้าท่ี ตรวจสอบฝ่ายบริหารและฝ่ายนิตบิ ญั ญตั เิ พม่ิ ขนึ ้ “ประชาธิปไตยทกุ แห่งในโลกประสบปัญหาคล้ายๆ กนั คือ การที่กลมุ่ ทนุ บรรษัทขนาด ใหญ่ กลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่ เข้ามามีอํานาจเหนือรัฐ ฉกฉวยประโยชน์ไปเป็น เฉพาะของส่วนตน รัฐสภาอ่อนแอ ถูกครอบงําโดยฝ่ ายบริหาร ทําให้แยกอํานาจ ตรวจสอบ ถ่วงดลุ ภายในของอํานาจอธิปไตยไม่สามารถเกิดเป็นจริงได้ เกิดใช้อํานาจ แนวเบ็ดเสร็จเผด็จการขึน้ จึงมีกระบวนการตลุ าการภิวตั น์ คือการให้อํานาจอํานาจแก่ 68 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), หน้า 16 69 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), หน้า 14
258 ฝ่ายตลุ าการในการตรวจสอบถ่วงดลุ สองอํานาจใหญ่คือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ ได้”70 อทิ ธิพลทางแนวคดิ ของธีรยทุ ธ ในการตีความหมายพระราชดาํ รัสและเชื่อมโยงมาถงึ บทบาทของ ฝ่ายตลุ าการได้สง่ ผลกระทบอยา่ งมาก ดงั จะพบวา่ “ตลุ าการภวิ ตั น์” ได้กลายเป็นกระแสการเคลอื่ นไหวท่ี สาํ คญั ในสงั คมไทยนบั จากนนั้ เป็นต้นมา มีการให้ความเห็นในทิศทางที่เป็นการสนบั สนนุ ให้ฝ่ายตลุ าการ เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดํารงอยู่ในห้วงเวลานัน้ เกิดขึน้ อย่าง กว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลท่ีมีบทบาทสําคญั ในทางสาธารณะก็ต่างให้ความเห็นไปใน ทิศทางร่วมกนั นับตงั้ แต่ความเห็นของปัญญาชนสาธารณะอย่างประเวศ วะสี ซ่ึงอธิบายว่า “ทัง้ อํานาจนิติ บญั ญัติและอํานาจบริหารเสียไปแล้ว จะเหลือเพียงอํานาจเดียวคืออํานาจตุลาการ ท่ีเราจะสามารถ พงึ่ พาอาศยั ได้” (บทบาทศาลยตุ ธิ รรม ในทรรศนะ “ประเวศ – คณิต – วษิ ณ”ุ )71 ความเห็นของผ้พู ิพากษา ในศาลฎีกา ทงั้ ประธานศาลฎีกาในขณะนนั้ (ชาญชยั ลขิ ิตจิตถะ)72 จรัล ภกั ดีธนากลุ เลขาธิการประธาน ศาลฎีกา วิรัช ชินวินิจกลุ เลขานกุ ารศาลฎีกา73 หรือผ้ทู ่ีมีบทบาทสําคญั ในแวดวงทางด้านกฎหมาย เช่น บวรศกั ดิ์ อวุ รรณโณ74 มีชยั ฤชพุ นั ธ์ุ75 หรือนกั วชิ าการทางด้านรัฐศาสตร์อยา่ ง ทินพนั ธ์ุ นาคะตะ76 รวมทงั ้ มีงานเขียนจํานวนมากท่ีได้เสนอความเห็นไปในทางสนบั สนนุ บทบาทที่กว้างขวางเพ่ิมขนึ ้ ของฝ่ ายตลุ า 70 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), หน้า 25 71 หนงั สือพมิ พ์มติชนรายวนั , 10 สงิ หาคม พ.ศ. 2549 72 หนงั สือพิมพ์ มตชิ นรายวนั , 2 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2549 หน้า 2 73 ดรู ายละเอียดใน พิเชษฐ เมาลานนท์ และคณะ, “องค์ความรู้, นานาทศั นะ และคดีโดยศาลไทยในเร่ืองตลุ า การภิวตั น์” ใน วารสารกฎหมายใหม่ ปีท่ี 4 ฉบบั ท่ี 77 (พฤศจิกายน พ.ศ. 2549) หน้า 36 - 38 74 หนงั สอื พมิ พ์ มติชนรายวนั , 11 มิถนุ ายน พ.ศ. 2549, หน้า 2 75 \"6 ทศวรรษ...อจั ฉริยภาพทางรัฐธรรมนญู \", หนงั สือพิมพ์ มติชนรายวนั , 12 มิถนุ ายน พ.ศ. 2549, หน้า 11 76 พิเชษฐ เมาลานนท์ และคณะ, “องค์ความรู้, นานาทศั นะ และคดีโดยศาลไทยในเรื่องตลุ าการภิวตั น์” ใน วารสารกฎหมายใหม่ ปีท่ี 4 ฉบบั ท่ี 77 (พฤศจิกายน พ.ศ. 2549) หน้า 37
259 การเกิดขนึ ้ มาอยา่ งตอ่ เนื่อง77 จงึ สามารถกลา่ วได้วา่ กระแสความคดิ เร่ือง “ตลุ าการภวิ ตั น์” ได้ถกู “จดุ ตดิ ” และกลายเป็นประเด็นท่ีสาธารณะได้ให้ความสนใจ รวมทงั้ ได้ถกู พิจารณาว่าเป็นทางออกหน่ึงสําหรับ ปัญหาความขดั แย้งของสงั คมไทยในห้วงเวลานนั้ อนั เป็นเง่ือนปัจจยั สําคญั ต่อการนํามาซง่ึ บทบาทของ ตลุ าการท่ีตา่ งไปจากเดมิ (แต่พึงตระหนกั เช่นเดียวกันว่าท่ามกลางการเสนอแนวความคิดกล่าวก็มีบุคคลอีกไม่น้อยท่ีมี ความเห็นแตกต่างออกไป โดยมีความเห็นว่าบทบาทของตุลาการในทางการเมืองโดยเฉพาะที่มุ่ง ตอบสนองเปา้ หมายทางการเมืองของตนเป็นการสมุ่ เสี่ยง และอาจสง่ ผลเป็นการทําลายรัฐธรรมนญู และ สถานะขององค์กรตลุ าการในระยะยาว78 เช่น เกษียร เตชะพีระ79, พิชิต ลิขิตกิจสมบรู ณ์80, หรือกล่มุ นิติ ราษฎร์81 เป็นต้น) งานเขียนอีกชิน้ หนงึ่ ซงึ่ ให้ความสาํ คญั ตอ่ การพจิ ารณาประเดน็ เร่ืองตลุ าการภวิ ตั น์อยา่ งมากก็คอื งานวิจยั ของพิเชษฐ์ เมาลานนท์, นิลบุ ล ชยั อิทธิพรวงศ์ และพรทิพย์ อภสิ ทิ ธิวาสนา เรื่อง ตลุ าการภิวตั น์ ไทยและสากล กระแสการตีความขยายตวั บทเพื่อความเป็นธรรมทางสงั คม82 โดยงานของพิเชษฐ และ 77 เช่น อวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร, “บทบาทของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ศึกษากรณีวิกฤตการณ์ทางการเมือง 2549” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั อสั สมั ชัญ, 2551, ธนัย เกตุวงกต, บทบาทของสถาบนั ศาล รัฐธรรมนญู กบั ตลุ าการภิวฒั น์ สบื ค้นระบบออนไลน์ http://public-law.net/publaw/view.aspx?id=1477 เป็นต้น 78 แม้จะมีแนวความคิดโดยรวมในทางที่เห็นว่าบทบาทของตลุ าการภิวตั น์ควรมีจํากดั แต่ในหากพิจารณาใน รายละเอียดบคุ คลที่เหน็ ตา่ งเหลา่ นีก้ อ็ าจมีทงั้ ประเด็นท่ีเหมือนและแตกตา่ งกนั ออกไปได้ แตเ่ น่ืองจากไม่ใช่ประเดน็ หลกั ของงานชิน้ นีจ้ งึ ไมไ่ ด้ทําการวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดแตอ่ ยา่ งใด 79 เกษียร เตชะพีระ, ทางแพร่งและพงหนาม: ทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: สํานกั พิมพ์มติชน, 2551), หน้า 211-216 80 พิชิต ลขิ ิตกิจสมบรู ณ์, “วิพากษ์ตลุ าการภิวตั น์” กรุงเทพธุรกจิ 2 สงิ หาคม พ.ศ. 2549 81 ประกาศนิติราษฎร์ ฉบบั ที่ 8 ตลุ าการภิวตั น์กบั การบิดเบือนการใช้อํานาจตลุ าการ ใน วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ด้วยกฎหมายและอุดมการณ์ รวมบทอภิปรายและบทสมั ภาษณ์ (กรุงเทพฯ: ไชน์พบั ลิชช่ิงเฮ้าส์, 2558) หน้า 169 – 175 82 พเิ ชษฐ เมาลานนท์ และคณะ, ตุลาการภวิ ัตน์ไทยและสากล กระแสการตีความขยายตวั บทเพ่อื ความ เป็ นธรรมทางสังคม (Expansive Interpretation for Social Justice) รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ โครงการ “ตลุ าการภิ วตั น์เพื่อสิทธิเสรีภาพ & ความเป็นธรรมในสงั คม” พิมพ์ครัง้ ที่ 1 (กรุงเทพฯ: สถาบนั ตุลาการภิวตั น์กบั สขุ ภาพสงั คม, 2551)
260 คณะ ได้ให้เหตผุ ลท่ีสนบั สนนุ ตอ่ การขยายบทบาทของตลุ าการในประเด็นสําคญั ทงั้ ในระดบั ของแนวคิด และในระดบั ปรากฏการณ์ด้วยข้อมลู ที่กว้างขวางเพิ่มมากขนึ ้ ในระดบั ของแนวคิด พิเชษฐ และคณะ ได้โต้แย้งต่อแนวความคิดสําคญั 2 ประการท่ีมกั จะถกู หยิบขนึ ้ มาเพ่ือจํากดั การใช้อํานาจของฝ่ายตลุ าการในสงั คมไทย คือ แนวความคดิ ว่าระบบกฎหมายไทย เป็นแบบ Civil Law ซึ่งแนวคิดในระบบกฎหมายดงั กล่าวนี ้บทบาทของฝ่ ายตลุ าการคือการวินิจฉัยข้อ พิพาทให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ฝ่ ายตุลาการไม่มีอํานาจในการที่จะขยายความจน กลายเป็นการบญั ญัติกฎหมายขึน้ ใหม่ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ซ่ึงจะเป็นการกระทําที่ขดั กับ แนวความคดิ เร่ืองหลกั การแบง่ แยกอํานาจ (Separation of Powers) แนวความคิดอีกประการหน่ึงก็คือ หลกั เร่ืองอํานาจสงู สดุ ของรัฐสภา (Parliament Supremacy) โดยถือว่าบทบาทในการบัญญัติกฎหมายจะต้องเป็นของฝ่ ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาเท่านัน้ ตาม แนวความคิดนีเ้ ม่ือรัฐสภาบญั ญตั ิกฎหมายใดขึน้ มาใช้บงั คบั แล้ว ศาลก็จะต้องวินิจฉัยด้วยบทบญั ญัติ ดงั กล่าวจนกว่ารัฐสภาจะทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่พิเชษฐ และคณะ ให้คําอธิบายว่าได้มีความ เปล่ียนแปลงเกิดขึน้ โดยมีแนวความคิดเร่ืองอํานาจสงู สดุ ของรัฐธรรมนญู (Constitutional Supremacy) ได้ถ่ายโอนอํานาจไปสฝู่ ่ายตลุ าการในการวนิ ิจฉยั ชีข้ าดข้อพพิ าทตา่ งๆ ท่ีอาจขดั แย้งกบั รัฐธรรมนญู สําหรับในระดบั ปรากฏการณ์ งานของพิเชษฐ และคณะ ได้ให้ข้อมลู ถึงปรากฏการณ์ของตลุ า การภิวตั น์ไว้อย่างกว้างขวางและมีรายละเอียดท่ีชดั เจน (มากกว่าท่ีธีรยทุ ธ บญุ มี ได้นําเสนอเอาไว้เป็น อย่างมาก) โดยได้แสดงให้เห็นถึงการขยายบทบาทของฝ่ ายตลุ าการในแผ่กว้างไปทว่ั โลก โดยแบ่งเป็น กลมุ่ ประเทศตะวนั ตกท่ีใช้ระบบ Common Law ได้แก่ สหรัฐฯ องั กฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา ประเทศใน ยโุ รปที่ใช้ระบบ Civil Law ได้แก่ อิตาลี ฝร่ังเศส เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น กลมุ่ ประเทศท่ีอยู่ แม้ว่างานวิจัยชิน้ นีจ้ ะพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2551 แต่เนือ้ หาของงานวิจัยก็ได้มีการทยอยพิมพ์เผยแพร่เป็น บทความในวารสาร “กฎหมายใหม่” มาตงั้ แต่เมื่อเดือนตลุ าคม พ.ศ. 2549 (ดู พิเชษฐ และคณะ, “ตลุ าการภิวตั น์คือ อะไร”, วารสารกฎหมายใหม่ ปีท่ี 4 ฉบบั ที่ 76 ตลุ าคม 2549 หน้า 41 – 45) และสืบเน่ืองต่อมาเป็นประจําในวารสาร ฉบบั นี ้ก่อนที่ทางผู้เขียนจะนําเนือ้ หาทงั้ หมดมารวบรวมและสงั เคราะห์เป็นงานในภาพรวมขึน้ เม่ือ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ดงั นนั้ งานวิจยั ชิน้ นีจ้ ึงย่อมเป็นบทสนทนากบั กระแสตลุ าการภิวตั น์โดยตรง สําหรับการอ้างอิงข้อมลู ในท่ีนี ้ จะยึดจากตวั งานวิจยั ที่ได้จดั พิมพ์เผยแพร่ขึน้ เป็นหลกั หากในท่ีใดจะใช้ข้อมลู ที่อย่ใู นบทความใดก็จะได้มีการอ้างอิง เอาไว้เป็นการเฉพาะ
261 ในช่วงเปล่ียนผา่ น เช่น รัสเซีย ฟิ ลปิ ปินส์ ประเทศในทวีปอฟั ริกา เป็นต้น83 การชีใ้ ห้เห็นตวั อย่างของฝ่าย ตลุ าการที่กว้างขวางมากขนึ ้ ทงั้ ในประเทศตะวนั ตก ในเอเชีย และเป็นปรากฏการณ์ซงึ่ สามารถบงั เกิดขนึ ้ ได้ทงั้ ในระบบกฎหมายแบบ Common Law และ Civil Law การให้คําอธิบายของพิเชษฐ และคณะ ย่อมถือได้ว่าเป็นงานอีกชิน้ หนึ่งท่ีช่วยสร้างความชอบ ธรรมให้แก่การถือกําเนิดขนึ ้ ของตลุ าการภิวตั น์ในสงั คมไทย ทงั้ ในการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดและ ปรากฏการณ์จริงที่สอดรับกบั แนวความคิดดงั กล่าวท่ีขยายตวั อย่างกว้างขวางในหลายประเทศ โดยไม่ ถกู จํากดั ไว้ด้วยความแตกตา่ งของระบอบการปกครองหรือระบบกฎหมายก็ตาม84 แม้จะเป็นท่ียอมรับกันว่าเหตุการณ์ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นจุดหมายสําคญั ของความ เปลี่ยนแปลงในบทบาทของฝ่ ายตลุ าการ อย่างไรก็ตาม กระบวนการ “ตลุ าการภิวตั น์” ก็ยากที่จะบงั เกิด ขนึ ้ ได้หากปราศจากการสงั่ สมวฒั นธรรมทางความคิดท่ีเป็นพืน้ ฐานมาก่อนหน้า สายชล สตั ยานรุ ักษ์ ได้ อธิบายให้เห็นถึงความคิดของชนชนั้ กลางไทยซ่ึงเติบโตมาภายใต้ระบอบเผด็จการที่ไม่อาจต่อรองและ ตรวจสอบได้ จึงต้องหันไป “พึ่งพระบารมี” ในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ และเม่ือเกิดปัญหากับ นกั การเมืองในระบบรัฐสภาในห้วงเวลาท่ีอดุ มการณ์กษัตริย์นิยมขยายตวั อย่างกว้างขวางทําให้บทบาท ทางการเมืองของพระมหากษัตริย์มีความชอบธรรมมากขึน้ ในทศวรรษ 2530 เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ การเมืองในทศวรรษ 2540 ฝ่ ายตลุ าการก็ได้กลายเป็นสถาบนั การเมืองที่ถกู พิจารณาว่าจะสามารถทํา 83 ข้อมลู สําคญั ในการใช้อ้างอิงของพิเชษฐ เมาลานนท์ และคณะ มาจากหนงั สอื C. Neal Tate and Torbjorn Vallinder (ed.) The Global Expansion of Judicial Power (New York University Press, 1995) ซ่ึงเป็นการศึกษา เปรียบเทียบบทบาทของฝ่ายตลุ าการในหลายประเทศท่ีได้แสดงบทบาท “ตลุ าการภิวตั น์” นบั ตงั้ แตช่ ่วงหลงั สงครามโลก ครัง้ ท่ี 2 เป็นต้นมาถงึ ปลายศตวรรษท่ี 20 84 อย่างไรก็ตาม การอ่านงานของพิเชษฐ และคณะ ควรจะต้องตระหนกั ไว้เป็นอย่างย่ิงว่าสถานะและจุดยืน ของพิเชษฐ นนั้ ให้ความชื่นชมกบั สถาบนั ตลุ าการเป็นอย่างมาก ดงั ที่ได้มีการอทุ ิศความดีของงานชิน้ นีใ้ ห้แก่วิกรม เมา ลานนท์ ผ้ซู งึ่ เป็น “พ่อและครู” ของพิเชษฐ โดยในคําอทุ ิศได้เขียนว่า “(พ.ศ.) 2520 ในวยั 59 พอ่ (หมายถงึ วิกรม เมาลา นนท์) ทํางานประธานศาลฎีกา 2551 ในวยั 59 ลกู (หมายถงึ พิเชษฐ เมาลานนท์ – ผ้วู ิจยั ) ทํางานสร้างองค์ความรู้ ‘ตลุ า การภิวตั น์’ ตอบแทนพระคณุ วงการตลุ าการไทย” ดรู ายละเอียดใน พิเชษฐ เมาลานนท์ และคณะ, ตลุ าการภิวตั น์ไทย และสากล กระแสการตีความขยายตวั บทเพื่อความเป็นธรรมทางสงั คม (Expansive Interpretation for Social Justice) หน้า 5
262 หน้าที่ได้อยา่ งเหมาะสมในการควบคมุ และตรวจสอบนกั การเมือง85 ดงั เช่นความเห็นของชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช ได้กล่าววา่ “ในการควบคมุ ตรวจสอบนกั การเมืองนนั้ เรายงั มีศาลยตุ ธิ รรมเป็นปราการสดุ ท้ายอย่”ู หรือ “การที่ศาลต้องเข้ามาจดั การปัญหาทางการเมือง เพราะเป็นสถาบนั หน่ึงในสามอํานาจอธิปไตย แสดงวา่ การเมืองไทยพบทางตนั จริงๆ”86 งานเขียนซง่ึ ชว่ ยปทู างให้กบั การเกิดขนึ ้ ของกระแสตลุ าการภิวตั น์อยา่ งมากก็คือ พระราชอํานาจ เขียนโดยประมวล รุจนเสรี87 หนงั สือเล่มนีถ้ กู พิมพ์เผยแพร่เม่ือ พ.ศ. 2548 (ก่อนหน้าพระราชดํารัสของ รัชกาลท่ี 9 เม่ือ 25 เมษายน พ.ศ. 2549) และได้ถูกพิมพ์เผยแพร่ 9 ครัง้ ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี หนงั สือเล่มนีจ้ ึงถกู พิจารณาว่าได้ทําหน้าที่ “ปทู างอนั มน่ั คง”88 ให้แก่การเกิดขนึ ้ ของตลุ าการภิวตั น์ โดย หนังสือพระราชอํานาจได้ แสดงให้ เห็นถึงวัฒนธรรมทางการเมืองภายใต้ ระบอบประชาธิ ปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และชีใ้ ห้เห็นว่ายามท่ีเกิดวิกฤตการณ์ใดขึน้ ในบ้านเมืองจนเกินกว่า ความสามารถที่จะใช้กลไกในสภาวะปกตแิ ก้ไขได้ พระมหากษัตริย์ก็จะทรงแก้ไขวิกฤตการณ์เหลา่ นนั้ ได้ เสมอ ในส่วนของบทบาทตลุ าการเขาก็ได้เน้นให้เห็นถึงการทําหน้าที่ของฝ่ ายตลุ าการต้องตระหนกั ถึง พระมหากษัตริย์ “ศาลทุกศาลตัง้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ... จําเป็นจะต้อง คํานึงถึงสตั ย์ปฏิญาณและพระปรมาภิไธยของพระเจ้าอย่หู วั ฯ มิใช่วินิจฉยั พิพากษาตามบทบญั ญตั ิแห่ง กฎหมายเทา่ นนั ้ ”89 ดังนัน้ ภายใต้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็ นประมุขซึ่งสถานะของ พระมหากษัตริย์ต้องดํารงอยู่ “เหนือการเมือง” ทําให้สถาบนั ตลุ าการจึงกลายเป็นองค์กรที่มีความชอบ ธรรมในอนั ท่ีจะทําหน้าที่ดงั กลา่ ว การขยายบทบาทของฝ่ายตลุ าการจงึ เป็นผลสืบเนื่องมาจากวฒั นธรรม ความคดิ ที่ได้สง่ั สมมาก่อนจะแสดงออกอยา่ งชดั เจนภายหลงั 25 เมษายน พ.ศ. 2549 85 สายชล สัตยานุรักษ์, “มรดกทางประวัติศาสตร์และการบังเกิด ‘ตุลาการภิวัตน์’ ในรัฐไทย” ใน นิติ สังคมศาสตร์ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2559) หน้า 8 – 51 86 ความเห็นของ ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช อ้างใน สายชล สตั ยานรุ ักษ์, “มรดกทางประวตั ิศาสตร์และการบงั เกิด ‘ตลุ าการภิวตั น์’ ในรัฐไทย”, หน้า 42 – 43 87 ประมวล รุจนเสรี, พระราชอาํ นาจ, พิมพ์ครัง้ ท่ี 5 (กรุงเทพฯ: มปป., 2548) 88 สายชล สตั ยานรุ ักษ์, “มรดกทางประวตั ิศาสตร์และการบงั เกิด ‘ตลุ าการภิวตั น์’ ในรัฐไทย” หน้า 46 89 ประมวล รุจนเสรี, พระราชอาํ นาจ, พิมพ์ครัง้ ที่ 5 (กรุงเทพฯ: มปป., 2548) หน้า 149
263 ข้อสงั เกตเบือ้ งต้นบางประการตอ่ การตีความเร่ืองตลุ าการภิวตั น์ ซงึ่ จะช่วยสามารถทําให้เข้าใจ การเกิดขนึ ้ การดํารงอยู่ รวมถึงความพลิกผนั ของบทบาทฝ่ ายตลุ าการท่ีได้ปรากฏขึน้ ในห้วงเวลาต่อมา ในภายหลงั (จากวนั ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549) มีประเดน็ สาํ คญั ดงั นี ้ ประการแรก พระราชดํารัสของรัชกาลท่ี 9 ซ่ึง “เปิดทาง” ให้กับกระบวนการตลุ าการภิวตั น์ได้ เกิดขนึ ้ ภายใต้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 บทบาทท่ีเปล่ยี นแปลงไปอยา่ งมากของฝ่ายตลุ าการ ซง่ึ รวมถึงศาล รัฐธรรมนูญด้วยแสดงให้เห็นว่าการพลิกเปล่ียนบทบาทของฝ่ ายตุลาการสามารถบังเกิดขึน้ ได้ตาม เง่ือนไขของสถานการณ์ทางการเมือง หากเปรียบเทียบกบั บทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ท่ีดําเนินมาก่อน หน้าจะพบว่ามีความแตกต่างกนั เป็นอย่างมาก โครงสร้างหรือการ “ถกู สร้าง” ของฝ่ ายตลุ าการจึงมิได้ เป็นข้อจํากดั ต่อบทบาทของฝ่ ายตลุ าการอย่างเด็ดขาดเสมอไป (ประเด็นดงั กล่าวจะได้อภิปรายอย่าง ละเอียดตอ่ ไปข้างหน้า) ประการที่สอง แม้วา่ แนวความคดิ เรื่องตลุ าการภิวตั น์จะได้รับการตอบสนองอยา่ งกว้างขวาง แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นท่ีเห็นพ้องกนั ทงั้ หมดแต่อย่างใด มีการแสดงความเห็นคดั ค้านต่อบทบาท ของการทําหน้าที่ของฝ่ายตลุ าการในทางการเมืองเกิดขนึ ้ ด้วยเช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ด้วยการอ้างอิง ถึงหลกั การแบ่งแยกอํานาจท่ีกําหนดให้ฝ่ ายตลุ าการควรทําหน้าท่ีในการวินิจฉยั ข้อพิพาทเป็นหลกั โดย ไม่ควรเข้ามาชีข้ าดในประเด็นท่ีเป็นข้อถกเถียงทางการเมือง ธีรยทุ ธ บุญมี ก็ตระหนกั ว่าประเด็นนีอ้ าจ เป็นข้อโต้แย้งท่ีเกิดขนึ ้ ได้ ในงานของเขาจึงได้ชีใ้ ห้เห็นวา่ บทบาทของฝ่ายตลุ าการในลกั ษณะเช่นนี ้เขาได้ อธิบายในเชิงทฤษฎีว่าสามารถกระทําได้ด้วยเหตุผลว่าฝ่ ายตุลาการมาจากเจตจํานงของประชาชน, ระบบการแบ่งแยกอํานาจไม่ได้แบ่งแยกกันแบบเด็ดขาด, ฝ่ ายตุลาการมองผลประโยชน์ในระยะยาว, ฝ่ายตลุ าการอย่หู ่างจากกลมุ่ ธุรกิจมากที่สดุ และฝ่ายตลุ าการมีความรู้ความชํานาญทางด้านกฎหมายดี ที่สดุ 90 ประการท่ีสาม เฉพาะการพิจารณาในสว่ นของพระราชดํารัสในวนั ท่ี 25 เมษายน พ.ศ. 2549 แม้ ในฝ่ ายของผู้ที่สนับสนุนต่อบทบาทของฝ่ ายตุลาการเองก็ได้มีการให้คําอธิบายที่แตกต่างกันอย่างมี 90 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), หน้า 26 – 28
264 นยั สาํ คญั ตอ่ พระราชดํารัสและการปฏิบตั งิ านตอบสนองพระราชดํารัสดงั กลา่ วซง่ึ เกิดขนึ ้ สืบเนื่องมา โดย อยา่ งน้อยปรากฏเป็น 2 แนวทางด้วยกนั 91 แนวทางแรก พระราชดํารัสท่ีเกิดขึน้ เป็ นไปตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ (convention of the constitution) ท่ีจะทรงสนบั สนนุ และตกั เตอื น (advisory power) ไมใ่ ช่อํานาจในการ ตดั สินชีข้ าด (decision – making power) ซง่ึ ยงั คงเป็นไปตามหลกั พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงกระทําผิด เลย (King can do no wrong) เพราะสิ่งท่ีเกิดขึน้ เป็นเพียงการให้คําแนะนําหรือเสนอแนะ ส่วนการ ดําเนินการใดๆ สนองพระราชดํารัสก็ย่อมเป็นไปตามอํานาจหน้าที่ของแต่ละองค์กร รวมถึงความ รับผิดชอบจากการกระทําดงั กลา่ วก็ยอ่ มเป็นของแตล่ ะองค์กรท่ีได้ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีนนั้ แนวทางท่ีสอง แม้ จะเป็ นครัง้ แรกในประวัติศาสตร์ ของระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมขุ ของไทย แตก่ ็ได้มีการให้ความหมายวา่ พระราชดํารัสนนั้ เป็นไปตามมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งรับรองว่า “อธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผ้ทู รงเป็น ประมขุ ทรงใช้อํานาจนนั้ ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู นี”้ พระราช ดํารัสดงั กล่าวจึงสอดคล้องกบั รัฐธรรมนญู แต่ในด้านการปฏิบตั ิงานสนองพระราชดํารัสดงั กล่าวอาจมี ความแตกต่างกันในการตีความอยู่บ้างว่าองค์กรท่ีได้ปฏิบัติงานนัน้ จะถือว่าเป็นการปฏิบัติตาม รัฐธรรมนญู หรือเป็นความรับผดิ ชอบของแตล่ ะองค์กรเองโดยไมเ่ กี่ยวกบั พระมหากษัตริย์แตอ่ ยา่ งใด ความแตกต่างของการให้คําอธิบายต่อพระราชดํารัสและการปฏิบตั ิงานสนองที่สืบเน่ืองต่อมา จะนําไปสปู่ ระเดน็ เก่ียวกบั การจดั วางสถานะของสถาบนั พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย รวมถึง ความรับผิดชอบ (accountability) ท่ีตดิ ตามมาจากการกระทําดงั กลา่ ว ประการท่ีส่ี กระแสความคิดเรื่องตลุ าการภิวตั น์ที่ถกู นําเสนอขึน้ มาได้มีการชีใ้ ห้เห็นบทบาทใน หลากหลายด้านของฝ่ ายตลุ าการ ในการนําเสนอของธีรยทุ ธ บญุ มี ได้ชีใ้ ห้เห็นวา่ ปรากฏการณ์ดงั กลา่ ว ไม่ใช่เพียงการขยายบทบาทของฝ่ ายตุลาการในประเด็นปัญหาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว หากยงั 91 เกษียร เตชะพีระ ได้ชีใ้ ห้เห็นถึงความหมายและนัยสําคญั ของการตีความพระราชดํารัสของแต่ละฝ่ ายที่ แตกตา่ งกนั ใน เกษียร เตชะพีระ, ทางแพร่งและพงหนาม: ทางผ่านสู่ประชาธิปไตยไทย (กรุงเทพฯ: สํานกั พิมพ์มติ ชน, 2551) เฉพาะในสว่ นของการอธิบายเก่ียวกบั การตีความพระราชดํารัสปรากฏอย่ใู นบทความ “ตลุ าการภิวตั น์: การ ตีความสองแนวทาง”, หน้า 217 – 221, “ตลุ าการภิวตั น์ในมมุ มองบวรศกั ด์ิ: ทศพิธราชธรรมกบั มาตรา 7”, หน้า 222 – 227 และ “ตลุ าการภิวตั น์ในมมุ มองมีชยั : พระอจั ฉริยภาพทางรัฐธรรมนญู กบั มาตรา 3”, หน้า 228 – 232
265 หมายความรวมถึงการทําหน้าที่ในการเสริมสร้างและขยายสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนให้กว้างขวางและ มนั่ คงยง่ิ ขนึ ้ เชน่ การปกปอ้ งผลประโยชน์ของประชาชนจากบรรษัทขนาดใหญ่ การให้ความเป็นธรรมทาง อาชีพ สวสั ดกิ ารแก่เดก็ ผ้หู ญิงชนกลมุ่ น้อย การสร้างความยตุ ธิ รรมทางสงั คม เป็นต้น92 บทบาทของฝ่าย ตลุ าการท่ีขยายเพ่ิมมากขึน้ ในแง่มมุ การปกปอ้ งและค้มุ ครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ได้รับการเน้น ยํา้ ในงานของพิเชษฐ และคณะ โดยงานชิน้ นีก้ ็ดรู าวกบั ว่าจะให้ความสําคญั กบั บทบาทของฝ่ายตลุ าการ ในด้านสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนเป็นอยา่ งมาก ทงั้ การพิจารณาจากตวั อย่างท่ีเกิดขนึ ้ ในตา่ งประเทศไม่ ว่าจะในยโุ รปหรือในเอเชียที่แสดงให้เห็นประเด็นสิทธิในส่ิงแวดล้อม สิทธิชนพืน้ เมือง ความเสมอภาค สทิ ธิในกระบวนการยตุ ธิ รรม ฯลฯ ที่ได้รับการรับรองผา่ นคาํ วนิ ิจฉยั ของฝ่ายตลุ าการ แต่หากหันมาพิจารณาถึงบทบาทของตุลาการภิวัตน์ในปฏิบตั ิการของความเป็นจริงภายใน สงั คมไทย ก็อาจมีคําถามได้ว่านอกจากการเข้ามาวินิจฉยั ชีข้ าดในประเด็นปัญหาทางการเมืองแล้ว ใน บทบาทที่เก่ียวกบั ประเดน็ ด้านสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนนนั้ ศาลรัฐธรรมนญู ได้มีคําวินิจฉยั อนั เป็นการ วางบรรทดั ฐานเกี่ยวกบั สทิ ธิเสรีภาพหรือปกปอ้ งสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ อยา่ งไร การพจิ ารณา ในประเด็นทงั้ สองควบคกู่ นั ไปทงั้ ทางด้านแนวความคิดและปฏิบตั กิ ารที่เกิดขนึ ้ ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็จะช่วยทําให้สามารถมองเห็นถึงสถานะและบทบาทที่เป็นจริงของกระแสตลุ าการภวิ ตั น์ในสงั คมไทย ทงั้ นี ้ในด้านของการปฏิบตั ิหน้าที่ของฝ่ายตลุ าการก็จะเห็นการวินิจฉยั และคําตดั สนิ ในหลายคดี ท่ีฝ่ายตลุ าการได้เข้ามาทําหน้าท่ีตดั สินคดีทางการเมืองอย่างรวดเร็ว เช่น เพียง 2 วนั ภายหลงั จากมีพระ ราชดํารัสแก่ฝ่ ายตุลาการ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2549 ศาลปกครองได้ไต่สวนฉุกเฉินกรณีพรรค ประชาธิปัตย์ยื่นคําร้องของให้เพิกถอนการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรเมื่อวนั ที่ 2 และ 23 เมษายน พ.ศ. 2549 รวมถึงการเลือกตงั้ ท่ีจะเกิดขึน้ ในวนั ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2549 ด้วย เนื่องจากเห็นเป็นการ เลือกตงั้ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตอ่ มาศาลปกครองได้ออกมาตรการค้มุ ครองชวั่ คราวสง่ั ให้คณะกรรมการ การเลอื กตงั้ (กกต.) ระงบั การเลือกตงั้ ดงั กลา่ วไว้จนกวา่ ศาลจะมีคําพพิ ากษา ในวนั ท่ี 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนญู เองก็ได้มีคําวินิจฉยั ว่าการเลือกตงั้ ส.ส. เม่ือ วนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและให้เพิกถอนรวมทงั้ จดั การเลือกตงั้ ใหม่ ต่อมา วนั ท่ี 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนญู รับคาํ ร้องของอยั การสงู สดุ ให้ยบุ 5 พรรคการเมือง รวมถึง พรรคไทยรั ก ไทย และพ รรคประชาธิ ปั ตย์ ใน ข้ อหากระทํ า คว า ม ผิดตามพระราชบัญญัติประกอบ 92 ธีรยทุ ธ บญุ มี, ตุลาการภวิ ัตน์ (Judicial review), หน้า 30, 44
266 รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ภายหลงั พระราชดํารัสนบั วา่ เป็นประเดน็ ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เน่ืองจากเป็นท่ีชดั เจนว่าการทําหน้าท่ี ของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าที่จะมีพระราชดํารัสขึน้ ได้ถูกมองว่ามีการแทรกแซงและมีแนวทางการ วินิจฉัยที่โน้มเอียงไปในทางสนบั สนุนสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ และบทบาทท่ีเปลี่ยนแปลงไป เช่นนีไ้ ด้บงั เกิดขึน้ โดยที่ยงั ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงกบั ตวั บคุ คลที่ดํารงตําแหน่งอย่ใู นขณะนนั้ หรือยงั ไมไ่ ด้มีการปรับเปลีย่ นในเชิงโครงสร้างของศาลรัฐธรรมนญู แตอ่ ยา่ งใด เพราะฉะนนั้ หากพจิ ารณาในแง่นี ้ จึงย่อมแสดงให้เห็นความสําคญั ของกระแสตลุ าการภิวตั น์ที่เกิดและขยายตวั อย่างสําคญั นบั จากเดือน เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา จากการพิจารณาถึงกระแสความเคลื่อนไหวท่ีเกิดขนึ ้ นบั ตงั้ แต่พระราชดํารัสของรัชกาลท่ี 9 จึง ทําให้หมดุ หมายของตลุ าการภิวตั น์ในสงั คมไทยถกู พิจารณาวา่ เริ่มต้น ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2549 หรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นตุลาการภิวตั น์ที่บงั เกิดขึน้ ภายใต้ “พระราชอํานาจนํา” ในแง่นีจ้ ึงเป็นประเด็นท่ีมี ความแตกต่างอย่างสําคญั กับกระแสการขยายตวั ของบทบาทตุลาการในประเทศต่างๆ รวมทัง้ อาจ กลายเป็นปัจจยั ภายในท่ีทําให้บทบาทของฝ่ ายตลุ าการมีทิศทางที่ผนั แปรไปจากปรากฏการณ์ซงึ่ เกิดขึน้ ในดนิ แดนอื่นๆ ต่อมาได้เกิดการรัฐประหารเม่ือวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซ่ึงคณะรัฐประหารได้ยกเลิก รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และได้ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 โดยได้มีการกําหนดให้ มีการ กระบวนการจดั ทํารัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ขนึ ้ โดยสภาร่างรัฐธรรมนญู สมคิด เลิศไพฑรู ย์ ซง่ึ ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั นี ้ได้ให้คําอธิบายถึงสถานการณ์ในห้วงเวลาของการร่าง รัฐธรรมนญู ครัง้ นีว้ า่ “ร่างขึน้ บนเง่ือนไขของสถานการณ์ท่ี ‘ไม่ปรกติ’ ของสงั คมไทย สถานการณ์ดงั กล่าว ได้แก่สถานการณ์ที่คนในชาตแิ บง่ เป็น 2 ฝักฝ่ายอยา่ งชดั เจนอนั ได้แก่ ฝ่าย ‘เอาทกั ษิณ’ กบั ฝ่าย ‘ไมเ่ อาทกั ษิณ’ อนั นํามาซง่ึ การรัฐประหารเมื่อวนั ที่ 19 กนั ยายน พ.ศ. 2549”93 93 สมคิด เลิศไพฑรู ย์, ความเป็นมาและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2550 สบื ค้นระบบออนไลน์ http://kpi.ac.th/media/pdf/M7_117.pdf, หน้า 23
267 สภาวะความ “ไม่ปรกติ” ของสงั คมไทยท่ีมีผลตอ่ ร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ม่เพียงการแบ่งฝักแบ่ง ฝ่ายออกเป็นสองข้างเท่านนั้ หากความไม่ปรกตินีก้ ็ยงั หมายความรวมไปถึงกระบวนการในการคดั เลือก บคุ คลท่ีมาทําหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนญู รวมไปถึงการพจิ ารณาให้ความเห็นชอบในขนั้ ตอนสดุ ท้าย 3.2 ข้อถกเถยี งเร่ืองศาลรัฐธรรมนูญในการพจิ ารณาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในกระบวนการจดั ทํารัฐธรรมนญู ครัง้ นี ้เร่ิมตงั้ แตก่ ารกําหนดให้มีสมชั ชาแห่งชาติจํานวน 2,000 คน และให้สมาชิกสมชั ชาแห่งชาติคดั เลือกกนั เองให้เหลือจํานวน 200 คน ก่อนส่งให้คณะมนตรีความ มน่ั คงแห่งชาติ (คมช.) คดั เลือกบุคคลดงั กล่าวให้เหลือเพียง 100 คน โดยมีสดั ส่วนคือ ภาครัฐ 30 คน ภาควิชาการ 27 คน ภาคเอกชน 25 คน และภาคสังคม 18 คน หากพิจารณาจากท่ีมาของสภาร่าง รัฐธรรมนูญในครัง้ นีจ้ ะมีความแตกต่างไปจากสภาร่างรัฐธรรมนญู ในการจดั ทํารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 อย่างชดั เจน โดยในครัง้ นีจ้ ะไม่ได้มีสดั ส่วนของสมาชิกท่ีมาจากการเลือกตงั้ ของประชาชน และอํานาจ สดุ ท้ายในการตดั สินใจคดั เลือกบุคคลเข้าส่สู ภาร่างรัฐธรรมนญู ก็กระทําโดย คมช. อนั เป็นองค์กรที่สืบ เนื่องมาจากการรัฐประหาร กระบวนการคดั เลือกในลกั ษณะเช่นนีย้ อ่ มสง่ ผลตอ่ แนวความคดิ ของบรรดา สมาชิกที่อาจไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มมุ ของจุดยืนทาง การเมือง ทงั้ นี ้ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2549 ก็ได้กําหนดให้มีการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู โดยคณะกรรมาธิการ ยกร่างและจากนนั้ ก็จะได้นําเสนอตอ่ เข้าส่กู ารพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนญู เพ่ือทําการพิจารณา ซงึ่ ในขนั้ ตอนของการพิจารณาโดยที่ประชมุ ของสภาร่างรัฐธรรมนญู ก็ได้มีการอภิปรายกนั ในประเด็นตา่ งๆ ซงึ่ เร่ิมจากเหตผุ ลของการจดั ตงั้ /ปรับปรุงศาลรัฐธรรมนญู ซง่ึ ภายใต้การขยายตวั ของ “ระบอบทกั ษิณ” ได้ ส่งผลให้ความพยายามในการออกแบบสถาบันทางการเมืองเชิงโครงสร้ างเพ่ือปฏิรูปการเมืองตาม รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ไม่สามารถประสบผลสําเร็จได้ องค์กรอิสระซ่ึงรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญได้ถูก ประเมินว่าไมส่ ามารถทําหน้าท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพอนั เนื่องมาจากการถกู แทรกแซงโดยนกั การเมือง จากสถาบนั ที่มาจากการเลือกตงั้ เพราะฉะนนั้ เปา้ หมายสําคญั ในการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ที่ เกิดขนึ ้ ภายใต้อํานาจของคณะรัฐประหารก็คือ การออกแบบโครงสร้างขององค์กรอิสระให้พ้นไปจากการ แทรกแซงของทางฝ่ ายการเมืองจากการเลือกตงั ้ วิชา มหาคุณ (กรรมาธิการ) ได้ให้เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ให้มีความแตกตา่ งไปจากศาลรัฐธรรมนญู ที่เคยเกิดขนึ ้ ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ว่ามาจาก
268 ความต้องการท่ีจะยกระดบั สถานะของศาลรัฐธรรมนญู ไทยให้กลายเป็นศาลท่ีมีความยตุ ิธรรม ศกั ดิส์ ิทธ์ิ และมีมาตรฐานหรือประสทิ ธิภาพท่ีเทียบเท่ากบั ศาลรัฐธรรมนญู อ่ืนทว่ั โลก “ในการออกแนววินิจฉัยหรื อวางกฎเกณฑ์ อะไรในทางที่ทําให้ เห็นได้ ว่าศักด์ิศรี หรื อ กระบวนการในการวินิจฉยั นนั้ มนั ลดต่ําลงเหมือนกบั ร้านค้าแบกะดิน เพราะฉะนนั้ เรา จําเป็นอย่างยิ่ง ในร่างรัฐธรรมนูญฉบบั นีต้ ้องยกระดบั สถานะของศาลรัฐธรรมนูญให้ กลับสู่สถานะเดิมสู่สถานะเดิม ไม่ได้หมายความว่าสู่สถานะเดิมของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 แต่สู่สถานะเดิมของศาลรัฐธรรมนูญทั่วโลกครับ ไม่ต้องศาลรัฐธรรมนูญของ ประเทศไหนหรอกครับ ของประเทศที่เพิง่ เกิดใหมน่ ่ีเราจะเห็นได้เลยวา่ สดุ ยอดทงั้ นนั้ เลย นะครับ นกั กฎหมาย นกั รัฐศาสตร์นี่ท่ีนงั่ อยใู่ นศาลรัฐธรรมนญู ไปดเู ขาแล้วก็มาดขู องเรา เศร้ าใจ”94 การอภิปรายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในมุมมองของวิชา มหาคุณ แล้ว ศาล รัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ไม่ประสบความสําเร็จแตอ่ ยา่ งใด การสร้างระบบศาลที่สามารถ ปฏิบตั หิ น้าท่ีได้โดย “สจุ ริต” จึงเป็นประเดน็ สําคญั หนง่ึ สอดคล้องกบั ท่ีเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ก็ได้บญั ญตั ไิ ว้วา่ ต้องการท่ีจะ “ค้มุ ครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการ ปกครองและตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐอยา่ งเป็นรูปธรรม การกําหนดกลไกสถาบนั ทาง การเมือง ทงั้ ฝ่ายนิติบญั ญตั ิและฝ่ ายบริหารให้มีดลุ ยภาพและประสทิ ธิภาพตามวิถีการ ปกครองแบบรัฐสภา รวมทงั้ ให้สถาบนั ศาลและองค์กรอิสระอ่ืนสามารถปฏิบตั ิหน้าที่ได้ โดยสจุ ริตและเท่ียงธรรม” ในสว่ นขององค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ สภาร่างรัฐธรรมนญู มีมติให้ระยะเวลาของการดํารง ตําแหน่งของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญตามร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เป็นไปเช่นเดียวกบั รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 คือตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญสามารถดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียวเป็นระยะเวลา 9 ปี95 94 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 142 95 รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 181
269 และกําหนดให้ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ต้องเป็นผ้ทู ่ีมีความรู้ความสามารถและมาจากผ้เู ชี่ยวชาญด้าน นิตศิ าสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และผ้เู ช่ียวชาญด้านสงั คมศาสตร์อื่นๆ96 หากพิจารณาถึงประเด็นของการอภิปรายที่มีตอ่ ร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 เม่ือเปรียบเทียบกบั การอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จะพบข้อแตกต่างอย่างสําคญั ประการหน่ึงคือ ในการประชุม ของรัฐสภาในการพิจารณารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีการถกเถียงกันอย่างมากในประเด็นเกี่ยวกับ ประเด็นปัญหาว่าจําเป็นที่จะต้องมีการจัดตัง้ ศาลรัฐธรรมนูญขึน้ หรือไม่ แต่ในการพิจารณาร่าง รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ไมป่ รากฏการอภปิ รายหรือถกเถียงในประเดน็ เกี่ยวกบั สถานะหรือความจําเป็นท่ี จะต้องมีศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึน้ หรือไม่ การอภิปรายส่วนมากจะเป็นการถกเถียงเก่ียวกับรูปแบบ องค์ประกอบ การเข้าถึงอํานาจศาล เช่น ในประเด็นเกี่ยวกบั คณุ สมบตั ิของผ้ทู ี่จะมาสมคั รเป็นตลุ าการ ศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการสรรหาควรจะมีจํานวนเท่าใด หรือควรจะให้ประชาชนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ โดยตรงได้หรือไม่ เป็นต้น จึงสามารถกล่าวได้ว่ากรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญรวมทัง้ สสร. ต่างก็มี ความเห็นชอบต่อการจัดตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการโต้แย้งเกิดขึน้ แต่ก็มิใช่เป็นการโต้แย้งในเชิง หลักการพืน้ ฐานของการจัดตัง้ เพียงแต่ต้องมีการปรับปรุงแก้ ไขเพื่อเป็นการ “ยกระดับ” ให้ศาล รัฐธรรมนญู ทําหน้าที่ได้ดียิ่งขนึ ้ ประเด็นถกเถียงและการโต้แย้งที่เกิดขึน้ ในการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญมี 4 ประเด็น สําคญั ได้แก่ คุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสรรหา อํานาจหน้าที่ของศาล รัฐธรรมนูญ และสถานะประมขุ ของฝ่ ายตุลาการ ซึ่งแทบทัง้ หมดก็ล้วนเป็นการถกเถียงบนแนวทางที่ ยอมรับความชอบธรรมของการจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ไว้แล้ว 1) คุณสมบัติ สําหรับเร่ืองของการได้มาซง่ึ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญหรือคณุ สมบตั ิของผ้ทู ่ีจะมาเป็นตลุ าการ ศาลรัฐธรรมนูญนนั้ มีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้น ทัง้ นีเ้ พราะบรรดา สสร. รวมถึงกรรมาธิการมีความ ต้องการท่ีจะหาตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ที่มีความรู้ความสามารถเพ่ือแก้ไขปัญหาและข้อบกพร่องท่ีศาล รัฐธรรมนูญชดุ ก่อนได้เคยกระทําไว้ วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ) ได้เปรียบเปรยว่าการทํางานของศาล 96 รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 133
270 รัฐธรรมนญู ในชดุ ก่อนนนั้ เหมือนกบั “ร้านค้าแบกะดนิ ”97 ซงึ่ สะท้อนให้เห็นถึงมมุ มองผ้มู ีหน้าที่จดั ทําร่าง รัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ท่ีมีต่อศาลรัฐธรรมนูญทงั้ ในแง่ขององค์กรและบุคคลผู้ดํารงตําแหน่งในของศาล รัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ในประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการนําเสนอความเห็นและข้อ ถกเถียงในประเดน็ ตา่ งๆ ดงั นี ้ ประเด็นแรก บุคคลท่ีจะเข้ามาดํารงตําแหน่งต้องมีความรู้ความสามารถหรือจบสาขาวิชาไหน อย่างไร เพราะตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 กําหนดคณุ สมบตั ิของการเป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ไว้ว่า ต้องเป็นผ้มู ีความรู้ความเชียวชาญทางด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ แตใ่ นรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้มี การกําหนดคณุ สมบตั ิเพ่ิมขึน้ มา กล่าวคือมีการเพ่ิมคําว่าเป็นผ้มู ีความรู้ด้านสงั คมศาสตร์อื่นๆ ด้วย จึง เกิดประเด็นคําถามว่า “สงั คมศาสตร์อื่นๆ” มีความหมายและขอบเขตกว้างขวางเพียง จะหมายความ รวมถึงทางด้านสงั คมวิทยาหรือรวมไปถึงเศรษฐศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์หรือศาสตร์อ่ืนๆ ด้วยหรือไม9่ 8 ซง่ึ วิชา มหาคณุ ให้คําตอบวา่ สงั คมศาสตร์อ่ืนๆ ก็คือการกําหนดนิยามกว้างๆ เพ่ือให้ผ้มู ีความรู้ ความสามารถในด้านศาสตร์อื่นที่นอกเหนือจากนิตศิ าสตร์ รัฐศาสตร์ ได้เข้ามาทํางานซง่ึ อาจหมายความ รวมถงึ เศรษฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ ด้วยเช่นกนั “ความจริงคณะกรรมาธิการยกร่างน่ีได้ตระหนกั ถึงกระบวนการท่ีได้มาซง่ึ ตลุ าการศาล รัฐธรรมนูญนะครับแล้วก็เราได้พิจารณาในรอบแรกนี่เรามีเฉพาะสาขารัฐศาสตร์แล้วก็ ปรากฏวา่ ถกู ทกั ท้วงมาอย่างมากจากสงั คมศาสตร์อ่ืนนะครับ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเขาไม่ เห็นด้วยว่าจํากัดครัดเคร่งเฉพาะรัฐศาสตร์ น่ีมันเป็นการตัดสิทธิของผู้ท่ีได้มาซึ่ง ปริญญาในทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งก็เป็นการศึกษาถึงการบริหารราชการ แผน่ ดนิ เหมือนกนั นะครับสว่ นสงั คมศาสตร์อื่นนี่ก็เปิดกว้างสําหรับการสรรหาที่จะได้คน 97 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 142 98 เจิมศักด์ิ ปิ่นทอง (ส.ส.ร.), รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จันทร์ท่ี 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550, หน้า 133
271 ที่มีความรู้อยา่ งเรา จะเห็นได้วา่ ขณะนีท้ ่านผ้วู า่ ราชการจงั หวดั ก็มีท่ีมาจากสงั คมศาสตร์ อ่ืนอีกมากมายนะครับ เพราะฉะนนั้ กระผมก็อยากจะให้โอกาสกบั พวกทา่ นเหลา่ นนั้ ”99 ประเด็นที่สอง เป็นการถกเถียงเก่ียวกับคุณสมบตั ิของตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นว่า รัฐมนตรีสามารถท่ีจะมาเป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ได้หรือไม่ เน่ืองจากเหตผุ ลท่ีว่าผ้ทู ่ีเคยเป็นรัฐมนตรี มาก่อนนัน้ ย่อมมีความเกี่ยวข้องในทางการเมือง ซ่ึงอาจทําให้ขาดความเป็นกลางในการวินิจฉัยหรือ พจิ ารณาคดี100 แตข่ ้อทกั ท้วงดงั กลา่ วก็ไมเ่ ป็นผล ผ้รู ่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ตา่ งยงั คงยืนในเปา้ หมาย ที่ตงั้ ไว้ กล่าวคือหากเป็นบคุ คลท่ีมีความรู้ความสามารถและเป็นผ้ทู ่ีมีคณุ สมบตั ิครบถ้วนตามเงื่อนไขท่ี กําหนดไมว่ า่ ใครก็สามารถถกู เลือกสรรเพื่อให้เป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ได้ แม้วา่ บคุ คลนนั้ จะเป็นหรือ เคยเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นผ้ทู ี่มีความเกี่ยวข้องกบั การเมืองก็ตาม “แต่เมื่อเราได้ พิจารณาโดยตระหนักโดยกว้ างขวางแล้ วนี่เราก็เห็นกันว่าตําแหน่ง รัฐมนตรีน่ีก็มีหลายท่านแล้วก็มีความรู้ความสามารถจริงๆ เราต้องยอมรับถึงความรู้ ความสามารถของท่านในเร่ืองของการบริหารราชการแผ่นดินแล้วก็เป็นประโยชน์ซง่ึ ใน ตา่ งประเทศน่ีเมื่อเราตรวจสอบดรู ัฐธรรมนญู ของตา่ งประเทศก็พบวา่ คณะกรรมการตลุ า การรัฐธรรมนูญหรือศาลรัฐธรรมนญู นี่นะครับเขาก็ให้โอกาสกบั พวกท่ีเคยเป็นรัฐมนตรี เพราะว่ามีความรู้ความชํานาญมีความเช่ียวชาญเหมือนอย่างท่านอาจารย์หลายๆ ท่าน”101 ประเด็นท่ีสาม คือการถกเถียงวา่ ก็คือผ้สู มคั รต้องมีตําแหน่งระดบั ไหนจึงจะตรงตามคณุ สมบตั ทิ ่ี ร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 กําหนด เน่ืองจากเป็นท่ีคาดหมายว่าตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู จะต้องเป็นผ้ทู ่ี มีความเช่ียวชาญทางด้านนิตศิ าสตร์และรัฐศาสตร์อย่างแท้จริง เฉพาะในสว่ นของผ้พู พิ ากษาอาชีพนนั้ มี 99 วิชา มหาคณุ (กรรมธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 133 100 อาภา อรรถบรู วงศ์ (ส.ส.ร.), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 135 101 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 135 – 136
272 ความเห็นวา่ “จะต้องเป็นระดบั ผ้พู ิพากษาศาลฎีกาหรือผ้พู ิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ด้วยจงึ จะครบตาม คณุ สมบตั ”ิ 102 ประเดน็ ดงั กลา่ วนีด้ จู ะไมป่ รากฏข้อโต้แย้งเกิดขนึ ้ แตอ่ ยา่ งใด แต่ปัญหาการให้ความหมายถึงผ้เู ช่ียวชาญท่ีเป็นผ้ทู รงคณุ วฒุ ิอื่นๆ จะต้องเป็นผ้มู ีคณุ สมบตั ิใน ลกั ษณะเช่นใด วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ) ได้กลา่ ววา่ กรณีผ้สู มคั รท่ีมาจากสาขาอ่ืนๆ นนั้ ก็ควรที่จะต้อง เป็นระดบั ที่ไม่ต่ํากว่าผ้พู ิพากษาศาลฎีกาหรือผ้พู ิพากษาศาลปกครองสงู สดุ 103 ซง่ึ ระดบั ที่จะเทียบเท่ากบั ผ้พู ิพากษาดงั กลา่ วก็คือระดบั อธิบดีกรม และเม่ือมีการกําหนดเช่นนีป้ ระเด็นข้อถกเถียงก็ขยายไปอีกว่า แล้วถ้ามีบุคคลท่ีไม่ได้เป็นอธิบดีแต่อยู่ในตําแหน่งท่ีเทียบเท่าอธิบดี กล่าวคือเป็นข้าราชการ C10 เหมือนกนั หรือบางคนท่ีเป็นทหารตํารวจ เป็นพลเอกหรือพลตํารวจเอก เชน่ นีจ้ ะทําอยา่ งไร บคุ คลเหลา่ นี ้ สามารถเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่104 ในประเด็นที่เกี่ยวกับตําแหน่งใดจึงจะมีคุณสมบตั ิ ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญก็ได้มีการถกเถียงกันต่ออย่างยืดยาว105 อีกทัง้ ยังขยายไปอีกว่าหากไม่ใช่ ข้าราชการพลเรือนแตเ่ ป็นข้าราชการจากองค์กรอสิ ระ เช่น เลขาธิการกรรมการการเลือกตงั้ บคุ คลเหลา่ นี ้ ยังจะถือว่าเทียบเท่าข้าราชการพลเรือนระดับ C10 หรือไม่106 ซึ่งคําตอบของคําถามเหล่านีก้ ็มีทาง คณะกรรมาธิการก็ได้ชว่ ยกนั ให้คาํ อธิบายท่ีชดั เจนขนึ ้ ทงั้ นี ้วชิ า มหาคณุ ได้ให้คาํ อธิบายตอ่ ประเดน็ ปัญหาวา่ “ส่วนกรณีบคุ คลที่มาจากสาขาอื่นๆ จะต้องเป็นข้าราชการในระดบั C10 และต้องเป็น ตําแหน่งนักบริหารด้วย ทุกตําแหน่งท่ีสมาชิก สสร. ถามมาล้วนแต่เป็นตําแหน่งที่ เทียบเท่า C10 ทงั้ สนิ ้ ดงั นนั้ บคุ คลเหลา่ นนั้ ก็ถือเป็นผ้ทู ่ีมีคณุ สมบตั ิทงั้ หมด เว้นแตง่ าน หรือตําแหน่งของบคุ คลเช่นว่านนั้ ไม่ได้เป็นตําแหน่งท่ีเก่ียวกบั งานบริหารประเทศ หาก 102 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 141 103 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 142 104 การุณ ใสงาม (สสร.), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 144 105 รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 144 – 163 106 วชั รา หงส์ประภศั ร (สสร.), รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 162
273 เป็นข้าราชการระดบั 10 หรือเทียบเท่าและงานท่ีบคุ คลนนั้ ทําหรือดํารงตําแหน่งอย่เู ป็น งานท่ีเก่ียวกบั บริหารราชการแผ่นดิน เช่นนีก้ ็ถือว่าครบถ้วนถกู ต้องตามคณุ สมบตั ิแล้ว ทัง้ นีเ้ พ่ือเป็นการคดั หรือสรรหาบุคคลที่มีความเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับบ้านเมือง อยา่ งแท้จริง”107 ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบุคคลที่จะมีคุณสมบตั ิต่อได้รับการคดั เลือกเข้าดํารงตําแหน่งให้ ความสําคญั กบั ข้าราชการระดบั สงู เป็นสําคญั ซึ่งคําอธิบายดงั กล่าวดจู ะเป็นท่ียอมรับของสมาชิกในท่ี ประชมุ ดงั จะเห็นได้วา่ การอภิปรายในประเดน็ ปัญหาดงั กลา่ วก็ได้ผา่ นไปด้วยการยอมรับถึงความหมาย ของผ้เู ชี่ยวชาญให้หมายถงึ บคุ คลที่เคยมีประสบการณ์ในการดํารงตาํ แหนง่ ข้าราชการระดบั สงู 2) คณะกรรมการสรรหา ในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 กําหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทําการสรรหาตุลาการศาล รัฐธรรมนญู เป็นจํานวน 5 คน ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสงู สดุ ประธานสภา ผ้แู ทนราษฎร ผ้นู ําฝ่ายค้านในสภาผ้แู ทนราษฎร และประธานองค์กรอสิ ระ ซงึ่ ทงั้ 5 คนจะทําการพิจารณา ร่วมกนั เพื่อตรวจสอบว่าบคุ คลใดมีหรือไมม่ ีคณุ สมบตั ทิ ่ีจะเป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู (เฉพาะในสว่ นท่ี เป็นผ้ทู รงคณุ วฒุ ิเท่านนั้ ) และการพิจารณาดงั กลา่ วนีถ้ กู กําหนดให้ต้องได้รับเสียงจากกรรมการผ้สู รรหา นนั้ ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจํานวนกรรมการทงั้ หมดเท่าท่ีมีอยู่ การกําหนดเช่นนีจ้ ึงก่อให้เกิดข้อถกเถียง ขึน้ ว่า ถ้าหากกรรมการอยู่ไม่ครบ 5 คน กล่าวคือหากมีเหตุอย่างใดๆ เช่น มีการยุบสภาทําให้ขาด ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรและผ้นู ําฝ่ายค้านไป เป็นผลให้เหลือกรรมการเพียงแคส่ ามคน ซงึ่ 3 ใน 4 ของ สามคนก็เท่ากบั สามคน หมายความวา่ เสยี งจะต้องเป็นเอกฉนั ท์ ซง่ึ เสยี งที่เป็นเอกฉนั ท์นีห้ ากมีเพียงเสียง เดียวไม่เห็นด้วยย่อมส่งผลต่อการปฏิบตั ิงานของกรรมการ อีกทงั้ ยงั อาจส่งผลต่อความเป็นธรรมต่อตวั ผ้สู มคั รอีกด้วย108 นอกจากนีก้ ็มีการโต้แย้งวา่ การใช้มติ 3 ใน 4 ของจํานวนกรรมทงั้ หมดเป็นเกณฑ์ในการตดั สนิ นนั้ ยงั นําไปส่ปู ัญหาอีกอย่างหน่ึงซึง่ ได้แก่ ปัญหาการบล็อกโหวด (block vote) ซ่ึงเป็นปัญหาที่เกิดขึน้ จริง 107 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 163 108 การุณ ใสงาม (สสร.), รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 165
274 ในทางปฏิบตั ิ หากมีคน กลมุ่ บคุ คล หรือฝ่ ายการเมือง ไมพ่ อใจผ้สู มคั รคนใดแค่ทําการบล็อกโหวตเพียง สองเสียงก็สามารถกําจัดผู้สมคั รคนนนั้ ๆ ไปได้ ดงั นัน้ เพื่อแก้ปัญหาดงั กล่าวจึงได้มีการเสนอจากฝ่ัง ส.ส.ร. ให้เปล่ียนเกณฑ์การตดั สินจาก 3 ใน 4 เป็น ใช้เสียงเกินก่ึงหนงึ่ แทน เพราะการกําหนดให้เสยี งเกิน ก่ึงหน่ึงมนั ทําให้การบล็อกโหวตเกิดขนึ ้ ได้ยาก ถึงแม้สามารถบล็อกโหวตได้แตก่ ารบล็อกนนั้ ก็ต้องทําให้ ได้ถึงสามเสียงซง่ึ ก็ถือวา่ เกินกึง่ หนง่ึ อยดู่ ี109 อยา่ งไรก็ตาม เนื่องจากข้อถกเถียงเก่ียวกบั กรรมการสรรหานี ้ มิได้เป็นมาตราที่ถกู แปรญัตติไว้ การถกเถียงจึงถูกตดั บทลงโดยประธาน สสร. และกรรมาธิการ และ ข้อสรุปของปัญหาดงั กลา่ วทางกรรมาธิการจะรับไปพิจารณาตอ่ ไป110 3) อาํ นาจหน้าท่ี สําหรับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของอํานาจของศาลรัฐธรรมนูญนัน้ มีการพูดคุยถกเถียงกันอยู่ ด้วยกนั 3 ประเดน็ ได้แก่ ประเดน็ ท่ีหนงึ่ ร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้มีการเพมิ่ เตมิ อํานาจประการหนงึ่ ที่แตกตา่ งไปจาก เดิม ได้แก่ ”อํานาจในการรับเรื่องโดยตรงจากประชาชน” ในกรณีที่บุคคลถกู ละเมิดสิทธิเสรีภาพตามที่ รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ กล่าวคือในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้กําหนดให้การส่งเร่ืองไปยังศาล รัฐธรรมนูญจะต้องกระทําผ่านองค์กรท่ีเป็นองค์กรของรัฐหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ผู้ตรวจการ แผ่นดินของรัฐสภา ศาล หรืออยั การสงู สดุ เป็นต้น ประชาชนไม่สามารถเป็นผ้ยู ่ืนเรื่องโดยตรงต่อศาล รัฐธรรมนญู หากแตต่ ้องกระทําผา่ นองค์กรดงั กลา่ ว แตใ่ นร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 กําหนดให้ประชาชน สามารถย่ืนเรื่องโดยตรงตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้โดยตรง หากแตต่ ้องเป็นกรณีท่ีประชาชนคนนนั้ ถกู ละเมิด สิทธิตามรัฐธรรมนญู เสียก่อน อีกทงั้ การยื่นเร่ืองตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้นนั้ จะต้องเป็นกรณีท่ีไปยื่นเรื่องที่ อ่ืนมาแล้ว เช่น ย่ืนตอ่ ผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ แตอ่ งค์กรเหลา่ นนั้ ปฏเิ สธ หรือไมส่ ง่ เร่ืองให้ ในประเด็นดงั กล่านีก้ ็ได้มีการอภิปรายว่าควรกําหนดให้ประชาชนสามารถยื่นได้โดยตรงเลยได้ หรือไม่ มิฉะนนั้ ประชาชนก็จะยงั ไม่สามารถใช้สิทธิได้โดยตรงเนื่องจากมีองค์กรตา่ งๆ ทําหน้าท่ีอย่แู ล้ว 109 เจิมศกั ดิ์ ปิ่นทอง (สสร.), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 166 – 170 110 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 182
275 ไพฑูรย์ วราหะไพบูลย์ (กรรมาธิการ) ได้อธิบายว่าในกรณีการใช้ สิทธิของประชาชนยื่นต่อศาล รัฐธรรมนูญจําเป็นต้องใช้ช่องทางอื่นๆ ก่อน อันประกอบด้วยการโต้แย้งในชนั้ ศาลว่าบทบญั ญัติของ กฎหมายท่ีจะใช้บงั คบั แก่คดีขดั แย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือว่าประชาชนเข้าช่ือไปร้ องเรียนต่อผู้ตรวจการ แผ่นดนิ ของรัฐสภา ถ้าผ้ตู รวจการส่งมาศาลรัฐธรรมนญู ก็วินิจฉยั ได้ หรือย่ืนผ่านทางคณะกรรมการสิทธิ มนษุ ยชนแห่งชาติ ในกรณีท่ีบทบญั ญตั นิ นั้ ละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน “คือประชาชนต้องไปผ่านสอง สามช่องทางนีก้ ่อนในวรรคสอง ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาไม่สง่ เขาจึงจะมาใช้สทิ ธิตามวรรคสอง ถ้ากรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนไม่สง่ ก็จะ มาใช้สิทธิตามวรรคสอง ซงึ่ หลกั เกณฑ์การใช้สิทธิดงั กล่าวนี ้ในเรื่องนีถ้ ามว่าในระบบ สากลมีท่ีใดบ้าง เท่าท่ีศึกษามาก็จะพบว่าในการเยียวยาแก้ไขของศาลรัฐธรรมนญู ใน ตา่ งประเทศจะมีในเยอรมนั ในเบลเย่ียม โปรตเุ กส สเปน ส่วนมากภาคพืน้ ยโุ รปก็จะมี การใช้สทิ ธิของประชาชนโดยตรง” จากการอภิปรายในที่ประชมุ จึงเป็นที่เข้าใจร่วมกนั ว่าในกรณีที่บคุ คลซง่ึ ถกู ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนญู จะยื่นคาํ ร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้ต้องมีการดาํ เนินตามกระบวนการอ่ืนๆ ก่อน ไมไ่ ด้เป็น กรณีที่ประชาชนจะสามารถยื่นคําร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้โดยตรง ประเด็นที่สอง การให้สิทธิประชาชนในการยื่นคําร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ที่มีความเปลี่ยนแปลง ไปอีกประการหนง่ึ ก็คือ สิทธิในการพิทกั ษ์รัฐธรรมนญู ซงึ่ บญั ญตั ิให้เป็นสิทธิของบคุ คลที่จะนําเรื่องเสนอ อยั การสงู สดุ ก่อนเสนอส่กู ารวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู เม่ือทราบว่ามีบคุ คลหรือพรรคการเมืองกระทํา การอย่างหนึ่งอย่างใดอนั เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง รวมถึงการกําหนดบทลงโทษจากการกระ ทําดงั กลา่ วให้สามารถยบุ พรรคการเมืองนนั้ ได้ในกรณีที่ศาลเห็นวา่ กระทําความผิดจริง (โดยบทบญั ญตั นิ ี ้ ได้ปรากฏอยใู่ นรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ในมาตรา 68 แตใ่ นร่างรัฐธรรมนญู นนั้ อยใู่ นมาตรา 67) สําหรับข้อถกเถียงในร่างของมาตรานีอ้ ยใู่ นประเด็นเรื่องของการเปล่ยี นถ้อยคําจากท่ีเคยปรากฏ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จาก “ผู้รู้เห็น” ให้กลายเป็น “ผ้ทู ราบ” เน่ืองจากได้มีความเห็นว่าคําว่า “ผ้รู ู้ เห็น” นนั้ ต้องรอให้เกิดเหตกุ ารณ์ขึน้ ก่อนจึงจะสามารถใช้สิทธิตามมาตรานีไ้ ด้ แตห่ ากใช้คําว่า “ผ้ทู ราบ” แม้จะไม่รู้ตวั ผ้กู ระทําความผิดก็ควรต้องสามารถใช้สทิ ธิตามมาตรานีไ้ ด้เพราะเป็นประเด็นท่ีความสําคญั ซงึ่ ที่ประชมุ ก็ได้มีความเห็นชอบ และอีกประเด็นท่ีมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางก็เป็นประเด็นเก่ียวกับ โทษจากการกระทําความผิดตามมาตรานีว้ า่ ควรจะกําหนดไว้เพียงใด โดยตามร่างรัฐธรรมนญู กําหนดไว้
276 ให้ตดั สิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่สมาชิกบางฝ่ ายเห็นว่า “5 ปี มนั น่าจะน้อยไป ถ้ามีความผิด อย่างนี ้น่าจะห้ามไม่ให้สิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต” แตภ่ ายหลงั จากการอภิปรายก็เป็นที่ยอมรับให้มี การตดั สทิ ธิทางการเมืองด้วยการเพิกถอนสทิ ธิเลือกตงั้ เป็นเวลา 5 ปี สําหรับการอภิปรายในร่างบทบัญญัติของมาตรานี ้ มีข้อสังเกตบางประการต่อสิทธิของ ประชาชนในการใช้สิทธิยื่นต่อศาลรัฐธรรมนญู ได้โดยตรง หากพิจารณาจากถ้อยคําของการอภิปรายถึง การใช้สิทธิในมาตราดงั กล่าวนี ้ พบว่าไม่มีการถกเถียงกนั ว่าหากประชาชนต้องการใช้สิทธิในมาตรานี ้ จําเป็นจะต้องยื่นผ่านอยั การสงู สดุ ก่อนหรือว่าสามารถยื่นโดยตรงตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้ด้วยตนเอง การ อภิปรายประเดน็ ในมาตรานี ้ผ้อู ภปิ รายตา่ งก็กลา่ วถึงวา่ ประชาชนต้องย่ืนตอ่ อยั การสงู สดุ ทงั้ สนิ ้ ไมม่ ีการ กลา่ วถงึ การที่ประชาชนจะใช้สทิ ธิโดยตรงตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู แตอ่ ยา่ งใด ดงั เชน่ สรุ ชยั เลีย้ งบญุ เลศิ ชยั อภปิ รายวา่ “บทบญั ญตั ิในมาตรา 76 นี ้ได้บญั ญตั ิให้เป็นสิทธิของบคุ คลที่จะใช้สิทธิในการนําเรื่อง เสนอตอ่ อยั การสงู สดุ ในกรณีท่ีทราบว่ามีบคุ คลหรือมีพรรคการเมือง กระทําการอย่าง ใดอยา่ งหนงึ่ เพื่อเป็นการล้มล้างการปกครอง” เจิมศกั ด์ิ ป่ินทอง ได้อภิปรายถึงประสบการณ์ในการใช้สิทธิดงั กล่าว (ซ่ึงอย่ใู นมาตรา 63) ตาม รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 “ท่ีวา่ เป็นผ้รู ู้เห็น ผมต้องกราบเรียนท่านประธานอย่างตรงๆ นะครับว่า ผมไป ผมก็ พยายามรวบรวมเอกสารทงั้ หลายเท่าท่ีผมมีไปยื่นให้อยั การ แต่ผมกราบเรียนว่า พวก ผมน่ีประหวนั่ ใจเหลือเกินว่า ถ้าอยั การตีความอย่างเคร่งครัด รู้เห็น ต้องเป็นผ้รู ู้ แล้วก็ เห็น ผมเสร็จเลย” จากพิจารณาถึงถ้ อยคําในการอภิปรายจะพบว่าเมื่อได้ กล่าวถึงอุปสรรคจากการใช้ สิทธิตาม มาตรานี ้แตก่ ็ไม่มีการอภปิ รายกนั ถงึ สทิ ธิในการพิทกั ษ์รัฐธรรมนญู วา่ ประชาชนจะสามารถกระทําได้ด้วย ตนเอง นอกจากนี ้ประพนั ธ์ นยั โกวทิ (กรรมาธิการ) ก็ยงั ได้ยํา้ วา่ ถ้าอยั การสงู สดุ ไมย่ ื่นตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ก็ยงั มีช่องทางอ่ืนๆ ที่สามารถกระทําได้ โดย “นายทะเบียนพรรคการเมืองก็สามารถไปดําเนินการได้ตาม พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง” กรณีนีจ้ ึงย่อมสรุปได้ว่าหากพิจารณาจาก
277 ความเห็นและความเข้าใจร่วมกันของสมาชิกในท่ีประชุมแล้ว การใช้สิทธิของประชาชนในการพิทักษ์ รัฐธรรมนญู จะต้องกระทําผา่ นอยั การสงู สดุ อยา่ งชดั เจน ประเด็นท่ีสาม ประเด็นเรื่องอํานาจท่ีให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเรียกเอกสารหรือบุคคลมาให้ ถ้อยคํา เนื่องจากในทางปฏิบตั ิมีการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อํานาจเรียกบุคคลเข้ามาให้ปากคํา แต่ บคุ คลดงั กลา่ วกลบั ไม่มาให้ปากคํา การถกเถียงในประเด็นนีจ้ ึงเพื่อหาข้อสรุปวา่ จะสามารถกําหนดโทษ อย่างใดๆ แก่ผู้ท่ีถูกเรียกแล้วไม่มาได้หรือไม่ ในลกั ษณะอย่างไรบ้าง111 ซ่ึงในเร่ืองประเด็นนี ้ ทางฝ่ าย กรรมาธิการกันเองก็ยงั มีการถกเถียงกันอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ตา่ งกําหนดให้ศาลรัฐธรรมนญู สามารถออกข้อกําหนดเพ่ือกําหนดวิธีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู ได้เอง แต่การจะอาศยั ข้อกําหนดดงั กล่าวไปกําหนดโทษเอาผิดแก่บคุ คลท่ีไมย่ อมมาตามคําสงั่ ก็ดจู ะไม่ เหมาะสม เพราะข้อกําหนดนนั้ ไม่ได้ออกโดยรัฐสภา การจะเรียกบคุ คลใดมาลงโทษโดยอาศยั แต่เพียง ข้อกําหนดของศาลรัฐธรรมนญู อยา่ งเดียวดไู มเ่ หมาะสมและไมค่ วรอยา่ งย่ิง ดงั นนั้ การกําหนดบทลงโทษ นนั้ เป็นเร่ืองท่ีถกู ต้องเหมาะสมแล้ว แตก่ ารกําหนดโทษเชน่ วา่ นนั้ ควรอยใู่ นกฎหมายวิธีพิจารณาของศาล รัฐธรรมนญู ที่ออกโดยรัฐสภา112 ประเด็นที่สี่ กรณีอํานาจของศาลรัฐธรรมนูญท่ีกําหนดให้คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็น เด็ดขาดและผกู พนั รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นๆ ของรัฐ ซงึ่ ประเด็นนีท้ าง สสร. โดยคณะ ของวัชรา หงส์ประภัศร ได้ขอให้มีการเพ่ิมข้อความว่า “ให้คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผล เปล่ียนแปลงมติ ข้อวินิจฉยั หรือข้อตดั สินที่ได้ยตุ ิไปแล้ว เว้นแต่รัฐธรรมนญู หรือกฎหมายได้บญั ญัติไว้ เป็นอย่างอื่น” โดยวชั รา ให้เหตผุ ลว่า หากมีมติหรือหรือคําวินิจฉัยท่ีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว มีผลในทาง ปฏิบตั ิแล้วหากมีผลย้อนหลงั อีกย่อมท่ีจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่ิงที่ได้ปฏิบตั ิไปแล้ว และด้วยเหตุ ดงั กลา่ วจงึ ได้มีการขอให้เพมิ่ เตมิ ข้อความดงั ที่กลา่ วไปข้างต้นขนึ ้ ในร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ประเด็นดงั กล่าวนีม้ ีการถกเถียงกนั อย่างต่อเน่ือง บรรดากรรมาธิการต่างพากนั ลกุ ขึน้ อภิปราย ข้อความดงั กลา่ ว เชน่ ไพบลู ย์ วราหะไพฑรู ย์ อชั พร จารุจินดา และวิชา มหาคณุ ตา่ งไมเ่ ห็นด้วยกบั การ 111 กล้าณรงค์ จนั ทิก (สสร.), รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550, หน้า 191 – 192 112 ไพบลู ย์ วราหะไพฑรู ย์ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 163
278 เพ่ิมข้อความ และได้อธิบายเพื่อตอบข้อกงั วลของวชั ราอย่หู ลายครัง้ แตว่ ชั รา ยงั คงไม่ยอมและต้องการ จะให้เพิ่มข้อความดงั กล่าวให้ได้ และเม่ือข้อถกเถียงในประเด็นดงั กล่าวนีไ้ ม่มีท่าทีจะจบลง นรนิตย์ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ จึงสง่ั ให้มีการโหวตออกเสียงจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทัง้ หมดว่าจะแก้ไขตามถ้อยคําของวัชรา หรือไม่ ซึ่งผลของการลงมติก็คือยืนตามคณะกรรมาธิการ กลา่ วคอื ไมม่ ีการแก้ไขข้อบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว113 4) สถานะประมุขของฝ่ ายตุลาการ ประเดน็ สถานะประมขุ ของฝ่ ายตลุ าการได้มีการถกเถียงกนั มาตงั้ แตร่ ่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 และก็ได้สบื เนื่องมาจนถึงร่างรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 แตใ่ นครัง้ นี ้การถกเถียงปรากฏอย่ไู มม่ ากนกั ใน วชั รา หงส์ประภศั ร (สสร.) ได้มีการเสนอต่อคณะกรรมาธิการว่าควรที่จะกําหนดตําแหน่งประมขุ ของฝ่ าย ตลุ าการให้ชดั เจนโดยเสนอวา่ “เนื่องจากศาลยตุ ิธรรมเป็นศาลแรกและเป็นศาลหลกั ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตัง้ ขึน้ ในการปรับระบบศาลและเป็นผู้ใช้อํานาจตุลาการในพระ ปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ซง่ึ เป็นหน่ึงในอํานาจอธิปไตยมาตงั้ แตใ่ นโบราณกาล และ ตามนิติราชประเพณี ประกอบกบั ในรัฐธรรมนญู ฉบบั เดิมได้กําหนดลําดบั ของศาลฎีกา อยใู่ นลาํ ดบั ท่ีสงู ที่สดุ เพราะฉะนนั้ กระผมจงึ ขอเสนอให้ได้กําหนดไว้วา่ ประธานศาลฎีกา เป็ นประธานของผ้ ูพิพากษาตุลาการในศาลให้ ประธานศาลฎีกาเป็ นประธานของผ้ ู พพิ ากษาตลุ าการในศาลทงั ้ หลาย”114 โดยเขามีความเห็นวา่ การกําหนดประมขุ ฝ่ายตลุ าการท่ีชดั เจนจะทําให้สามารถตอบคําถามได้วา่ ประธานของศาลใดคือผ้ดู าํ รงตาํ แหน่งนี ้ 113 รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 196 – 205 114 วชั รา หงส์ประภศั ร (สสร.), รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 126 – 127
279 “ประมุขที่แท้จริงสามฝ่ ายของเมืองไทยนี่ เท่าท่ีทราบว่ามีนายกรัฐมนตรีนะครับ มี ประธานศาล มีประธานรัฐสภา แล้วประธานศาลคนไหนกันแน่ช่วยระบุหน่อย ระบบ สากลนี่ไมแ่ นใ่ จวา่ ประมขุ ของอํานาจอธิปไตยอีกอํานาจหนงึ่ น่ีเป็นใคร”115 ทางคณะกรรมาธิการก็ได้อธิบายว่าหลงั จากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประเทศ ไทยได้เปล่ียนไปใช้ระบบศาลคู่อนั ส่งผลให้แต่ละศาลไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาล ปกครอง หรือศาลทหาร แยกเป็นอิสระจากกนั แตล่ ะองค์กรมีระบบบริหารที่เป็นอิสระ และแตล่ ะศาลก็มี อํานาจแยกจากกนั ดงั นนั้ ด้วยการเปล่ียนมาใช้ระบบศาลคู่ ธรรมเนียมหรือครรลองที่ยกให้ประธานศาล ฎีกาเป็นประมขุ ของฝ่ ายตลุ าการทงั้ หลายในแบบเดิมนนั้ จึงถกู ปรับเปล่ียนไปและก่อให้เกิดครรลองทาง ศาลอย่างใหม่ๆ ท่ีมงุ่ ให้องค์กรศาลดงั กลา่ วมีอิสระจากกนั “แตศ่ าลตา่ งๆ ก็ยงั คงมีการทํางานร่วมกนั อยู่ ซ่งึ ในทางปฏิบตั ิก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ศาลต่างๆ เองก็พอใจและไม่ได้มีอะไรขดั แย้งกัน”116 พร้อมกับได้ ยกตวั อยา่ งในประเทศอื่นๆ ใช้ระบบศาลคเู่ ป็นตวั อยา่ งวา่ ในรัฐธรรมนญู ของประเทศเหลา่ นนั้ ก็ไมไ่ ด้มีการ บญั ญตั ปิ ระมขุ ของฝ่ายตลุ าการไว้117 ภายหลงั ท่ีได้มีการชีแ้ จงจากคณะกรรมาธิการ ทางฝ่ายผ้เู สนอก็ได้ ถอนข้อเสนอดงั กลา่ วออก 3.3 ชะตากรรมของรัฐธรรมนูญภายใต้กระแสตลุ าการภวิ ัตน์ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้มีผลใช้บงั คบั สืบเน่ืองตอ่ มา ตราบจนกระทงั่ ได้เกิดวิกฤตทางการเมือง เกิดขึน้ อีกครัง้ ตงั้ แต่ช่วงปลายปี 2556 ต่อเน่ืองถึง พ.ศ. 2557 มีการคดั ค้านรัฐบาลท่ีนําโดย กปปส.118 โดยได้ทําการเคลื่อนไหวเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพ้นไปจากตําแหน่ง แม้ว่านายกรัฐมนตรี ยิ่งลกั ษณ์ ชินวตั ร จะได้ทําการยบุ สภาเพ่ือให้มีการเลือกตงั้ ใหม่แล้วก็ตาม แต่ทางฝ่ าย กปปส. ก็ยงั คงคดั ค้านการจดั การ 115 ปริญญา ศิริสารการ, รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550, หน้า 128 116 วิชา มหาคณุ (กรรมาธิการ), รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ท่ี 33/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 127 – 128 117 อัครวิทย์ สุมาวงศ์ (กรรมาธิการ) รายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ครัง้ ที่ 33/2550 วันจันทร์ที่ 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 130 118 ช่ือเตม็ วา่ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบรู ณ์ แบบอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ ”
280 เลอื กตงั้ อย่างตอ่ เน่ือง ในท่ีสดุ ทางฝ่ายทหารในนามของคณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) ก็ได้เข้ายดึ อํานาจเมื่อวนั ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และก็ได้ประกาศยกเลกิ รัฐธรรมนญู ท่ีใช้บงั คบั อยใู่ นขณะนนั้ อยา่ งไรก็ตาม เป็นท่ีน่าสงั เกตว่าในการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนญู ของ คสช. นนั้ ก็กลบั ยงั คงให้ “ศาลทงั้ หลาย คงมีอํานาจดําเนินการพิจารณาและพพิ ากษาอรรถคดตี ามบทกฎหมายและประกาศคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ”119 ซึ่งมีความหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญท่ีได้จัดตงั้ ขึน้ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก็ยงั ปฏิบตั หิ น้าท่ีตอ่ ไปได้ กรณีเช่นนีจ้ งึ แตกตา่ งไปอยา่ งสาํ คญั กบั ศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 เพราะในการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว คณะรัฐประหารไม่ได้มีการยกเว้นศาล รัฐธรรมนูญจึงทําให้สถานะของศาลรัฐธรรมนญู ก็เป็นอนั สิน้ สดุ ไปพร้อมกนั แต่ในการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 คสช. กลบั ไม่ได้ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ปรากฏการณ์เช่นนีย้ ่อมแสดงให้เห็นท่าทีของ ทางคณะรัฐประหารท่ีมีต่อการทําบทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญชุดนีไ้ ด้เป็นอย่างดี ตุลาการศาล รัฐธรรมนูญก็ได้ดํารงอยู่มาอย่างต่อเน่ือง รวมทัง้ ในระหว่างนัน้ ก็ยังได้มีการแต่งตัง้ ตุลาการศาล รัฐธรรมนญู เข้าดํารงตําแหน่งอีก 2 คน คือ นายปัญญา อดุ ชาชน และนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ก่อนที่ จะได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2560 ดงั นนั้ แม้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 จะมีอนั สิน้ ผลลงไปแต่ ศาลรัฐธรรมนญู ที่ถกู จดั ขนึ ้ ตามรัฐธรรมนญู ฉบบั นีก้ ลบั สามารถสืบทอดตอ่ มาได้อย่างน่าประหลาดใจไม่ น้อย 4. การถกู สร้างของศาลรัฐธรรมนูญไทย: จากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนสู่ตลุ าการภวิ ัตน์ ภายหลงั จากการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2549 ซงึ่ ได้มีการยกเลิกรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 อนั สง่ ผล ให้ศาลรัฐธรรมนญู ก็ได้ถกู ยบุ เลิกไปด้วย ในช่วงเวลาที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนญู ชวั่ คราว พ.ศ. 2549 รัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ด้หนั กลบั ใช้รูปแบบคณะตลุ าการรัฐธรรมนญู ซงึ่ ได้ทําหน้าท่ีสืบเนื่องตอ่ มาจนกระทง่ั เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งได้มีบทบญั ญัติรับรองศาลรัฐธรรมนูญไว้ แม้องค์กร ดงั กล่าวจะถกู กําหนดให้เป็นศาลรัฐธรรมนูญเฉกเช่นที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ตาม บทบญั ญตั ิที่เก่ียวกับ ศาลรัฐธรรมนญู ในรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหมน่ ีม้ ีความแตกต่างอยา่ งสําคญั ในเชิงโครงสร้าง นบั ตงั้ แตจ่ ํานวน 119 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับท่ี 5/2557 เร่ืองการสิน้ สุดชั่วคราวของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย ข้อ 4
281 องค์ประกอบ ผู้สรรหา อํานาจในการคดั เลือก ขอบเขตอํานาจในการปฏิบตั ิหน้าที่ การตรวจสอบ/ถอด ถอนตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ความแตกต่างท่ีปรากฏขึน้ ในบทบญั ญัติท่ีเก่ียวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงสมั พนั ธภาพทางอํานาจทางการเมืองและความ คาดหมายที่มีตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ซงึ่ เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งสําคญั
282 ตารางท่ี 7.1 เปรียบเทยี บโครงสร้างในด้านท่มี าและองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จาํ นวนและวาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จาํ นวนและวาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วาระ 9 ปี จํานวน 15 คน วาระ 9 ปี จํานวน 9 คน องค์ประกอบ องค์ประกอบ ตลุ าการทงั้ 15 คน มาจาก ตลุ าการทงั้ 9 คน มาจาก 1) ผู้พิพากษาอาชีพ 7 คน (ผู้พิพากษาศาลฎีกา 5 คน 1) ผ้พู ิพากษาอาชีพ 5 คน (ผ้พู ิพากษาศาลฎีกา 3 คน ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ 2 คน) ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ 2 คน) 2) ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ 8 คน (สาขานิติศาสตร์ 5 คน และสาขา 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ4 คน (สาขานิติศาสตร์ 2 คน สาขา รัฐศาสตร์ จํานวน 3 คน) รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสงั คมศาสตร์ 2 คน คณะกรรมการสรรหา (เฉพาะผู้ทรงคุณวุฒ)ิ คณะกรรมการสรรหา (เฉพาะผู้ทรงคุณวุฒ)ิ จํานวน 13 คน จํานวน 5 คน 1) ประธานศาลฎีกา 1) ประธานศาลฎีกา 2) คณะบดีคณะนิตศิ าสตร์ของรัฐ 4 คน 2) ประธานศาลปกครองสงู สดุ 3) คณะบดีรัฐศาสตร์ของรัฐ 4 คน 3) ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร 4) ผู้แทนพรรคการเมืองในสภาพรรคละหน่ึงคนเลือก 4) ผ้นู ําฝ่ายค้านในสภาผ้แู ทนราษฎร กนั เองให้เหลอื 4 คน 5) ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งเลือก กนั เองให้เหลอื 1 คน อาํ นาจในการคัดเลือก อาํ นาจในการคัดเลือก วฒุ สิ ภา (เฉพาะในสว่ นผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ) วฒุ ิสภา (เฉพาะในส่วนผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ) โดยวฒุ ิสภามา จากการเลอื กตงั้ 74 คน และแตง่ ตงั้ จํานวน 76 คน การตรวจสอบ/ถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบ/ถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 1) ผ้มู ีสทิ ธิย่ืนถอดถอน 1) ผ้มู ีสทิ ธิย่ืนถอดถอน - ส.ส. จํานวนไมน่ ้อยกวา่ หนง่ึ ในส่ี - ส.ส. จํานวนไมน่ ้อยกวา่ หนงึ่ ในสี่ - ประชาชนจํานวนไมน่ ้อยกวา่ 50,000 คน - ประชาชนผ้จู ํานวนไมน่ ้อยกวา่ 20,000 คน 2) เหตแุ หง่ การยื่น 2) เหตแุ หง่ การยื่น ปรากฏการกระทําท่ีส่อว่าจะเป็นการปฏิบัติท่ีผิดต่อ ปรากฏการกระทําท่ีส่อว่าจะเป็นการปฏิบัติที่ผิดต่อ ตําแหน่งหน้าที่ หรือการมีคําวินิจฉัยท่ีส่อว่าจงใจใช้ ตําแหน่งหน้าที่ หรือการมีคําวินิจฉัยท่ีส่อว่าจงใจใช้ อํานาจหน้าท่ีให้ขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู หรือบทกฎหมาย อํานาจหน้าท่ีให้ขดั ตอ่ รัฐธรรมนญู หรือบทกฎหมาย 3) องค์กรพจิ ารณา 3) องค์กรพจิ ารณา วฒุ สิ ภา วฒุ ิสภา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 467
Pages: