383 หม่ินประมาทบุคคลธรรมดา จึงถือได้ว่าการกระทําดงั กล่าวเป็นความผิดท่ีร้ายแรงย่ิง กวา่ การดหู มนิ่ หรือหม่นิ ประมาทบคุ คลธรรมดา” ประเด็นที่โต้แย้งว่ามาตรา 112 ขดั หรือตอ่ รัฐธรรมนญู มาตรา 3 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญเห็น วา่ “การท่ีประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ โดยรัฐธรรมนูญบญั ญัติให้พระมหากษัตริย์เป็นสถาบนั หน่ึงในรัฐธรรมนูญนนั้ สืบเน่ืองมาจากเหตผุ ลทางประวตั ศิ าสตร์ โบราณราชประเพณี นิตปิ ระเพณี ซง่ึ นอกจาก จะมีลกั ษณะเป็นสถาบนั หลกั ของประเทศแล้ว องค์พระมหากษัตริย์ยงั ทรงดํารงอย่ใู น ฐานะอนั เป็นท่ีเคารพสกั การะท่ีผ้ใู ดจะละเมิดมิได้ จะกล่าวหาหรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้ และด้วยพระเกียรติคณุ ของสถาบนั พระมหากษัตริย์ เป็นการผดงุ ไว้ซ่ึงเกียรติยศ ของประเทศ และรักษาคุณลักษณะประการสําคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มี การละเมิดพระมหากษัตริ ย์ ในฐานะท่ี ทรงเป็ นประมุขของรั ฐและสถาบันหลักของ ประเทศ ตามท่ีรัฐธรรมนญู ได้ให้การรับรองและค้มุ ครองไว้” สว่ นประเด็นท่ีโต้แย้งว่ามาตรา 112 เป็นการจํากดั สิทธิและเสรีภาพตามท่ีได้รับการรับรองไว้ใน รัฐธรรมนญู ศาลรัฐธรรมนญู เห็นวา่ “มาตรา 112 เป็นบทบญั ญัติกําหนดลกั ษณะความผิดเป็นพิเศษเพื่อค้มุ ครองสถาบนั พระมหากษัตริย์ ซง่ึ การกระทําความผดิ ดงั กลา่ วยอ่ มก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ ความมนั่ คง ของรัฐ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสถาบนั หลกั ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ ตามท่ีรัฐธรรมนญู บญั ญตั ริ ับรองและค้มุ ครองไว้ จงึ เป็นบทบญั ญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึน้ เพื่อการรักษาความมนั่ คงของรัฐ หรือเพื่อรักษา ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชนตามรัฐธรรมนญู ... นอกจากนีก้ าร กําหนดอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เป็นการกําหนดเท่าท่ี จําเป็นและเหมาะสมกบั ลกั ษณะของการกระทําความผิด เพราะเป็นลกั ษณะของการ กระทําความผิดท่ีมีความร้ ายแรงมากกว่าการดูหมิ่น หรือหม่ินประมาทต่อบุคคล ธรรมดาประกอบกับเพ่ือพิทักษ์ ปกป้องพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ
384 ผ้สู ําเร็จราชการแทนพระองค์มิให้ถกู ลว่ งละเมิดโดยการหมิ่นประมาท ดหู ม่ิน หรือแสดง ความอาฆาตมาดร้ายได้โดยง่าย จงึ ไม่มีการบญั ญตั ิเหตยุ กเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษ ไว้ (ในกรณีเดยี วกนั กบั การหมน่ิ ประมาทบคุ คลธรรมดา – ผ้วู ิจยั )” ศาลรัฐธรรมนญู จึงวินิจฉยั วา่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไมข่ ดั หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนญู สามารถใช้บงั คบั ได้อย่างสมบรู ณ์ ด้วยการให้เหตผุ ลรองรับว่าสถานะของพระมหากษัตริย์มีความสําคญั ของการปกครองมาตัง้ แต่ประวัติศาสตร์ และเป็นสถาบันสําคัญใน “ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข” จึงจําเป็นที่บทบญั ญัติดงั กล่าวจะมีลกั ษณะท่ีแตกต่างไปจากการหม่ิน ประมาทบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา และบทบญั ญัติที่แตกต่างออกไปนีก้ ็ไม่ถือว่าเป็น การละเมิดต่อหลกั ความเสมอภาคและการเลือกปฏิบตั ิในรัฐธรรมนญู แตอ่ ย่างใด การให้ความหมายถึง ความเสมอภาคระหว่างบคุ คลจงึ ไมอ่ าจนํามาบงั คบั ใช้กบั สถาบนั พระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบนั หลกั ของ ประเทศได้ 2.4 สิทธิชุมชน แม้จะได้มีการยกเลกิ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ในการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2549 แตแ่ นวความคดิ เร่ืองสิทธิชุมชนก็ยงั คงได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และได้มีการกําหนดหมวดหม่ใู ห้มี ความชดั เจนมากขึน้ โดยบญั ญัติไว้ในหมวดสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ 12 เรื่องสิทธิชุมชน ซ่ึง ปรากฏอย่ใู นมาตรา 66 และมาตรา 6737 ความเปลี่ยนแปลงอย่างสําคญั ที่ปรากฏก็คือ สิทธิชมุ ชนตาม 37 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 66 บุคคลซึ่งรวมกนั เป็นชมุ ชน ชุมชนท้องถิ่น หรือชมุ ชนท้องถิ่นดงั้ เดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื น้ ฟู จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การ บํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดลุ และยง่ั ยืน” “มาตรา 67 สทิ ธิของบคุ คลท่ีจะมีสว่ นร่วมกบั รัฐและชมุ ชนในการอนรุ ักษ์ บํารุงรักษา และการได้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม เพื่อให้ดํารงชีพอยไู่ ด้อย่างปกติและต่อเนื่องในส่ิงแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอนั ตรายต่อสขุ ภาพอนามยั สวสั ดิภาพ หรือ คณุ ภาพชีวติ ของตน ยอ่ มได้รับความค้มุ ครองตามความเหมาะสม” “การดําเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทัง้ ทางด้านคุณภาพ ส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทํามิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพ
385 รัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ม่ได้จํากดั ไว้เพียงว่าต้องเป็นชมุ ชนท้องถ่ิน “ดงั้ เดมิ ” เท่านนั้ แต่รับรองให้รวมถึงสิทธิ ของชมุ ชนและชมุ ชนท้องถ่ิน อนั หมายความวา่ เง่ือนไขทางด้านระยะเวลาไมเ่ ป็นปัจจยั ตอ่ การได้รับสทิ ธินี ้ เม่ือพิจารณาแล้วย่อมมีความหมายว่าสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ขยายขอบเขตให้ ครอบคลมุ กว้างขวางมากกว่าเดมิ รวมทงั้ ในส่วนเรื่องสิทธิชมุ ชนก็ได้มีการตดั ทอนข้อความ “ทงั้ นี ้ตามท่ี กฎหมายบญั ญตั ิ” ซง่ึ เคยเป็นเหตผุ ลในการปฏิเสธสทิ ธิชมุ ชนในคําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ก่อนหน้า จึงอาจสะท้อนให้เห็นความตงั้ ใจของผ้รู ่างรัฐธรรมนูญที่ได้นําเอาประสบการณ์ และสภาพปัญหาที่เคย ปรากฏขึน้ ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทําบทบญั ญัติเรื่องสิทธิชุมชนที่ เกิดขนึ ้ ใหม่ ทงั้ นี ้ประเด็นเรื่องสิทธิชมุ ชนก็ได้กลายเป็นข้อโต้แย้งและขนึ ้ สกู่ ารพิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู ซงึ่ ก็ได้มีคําวินิจฉยั ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการวินิจฉยั ท่ีไม่ได้มีความแตกต่างไปจากเดิมแตอ่ ย่างใด โดยปรากฏขนึ ้ ในข้อโต้แย้งท่ีมีตอ่ พ.ร.บ. อทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พ.ร.บ. อทุ ยานแห่งชาติ เป็นกฎหมายฉบบั หนึ่งในกฎหมายเกี่ยวกบั การจดั การทรัพยากรป่ าไม้ หลายฉบบั เช่น พ.ร.บ. ป่าไม้, พ.ร.บ. ป่ าสงวนแหง่ ชาต,ิ พ.ร.บ. สงวนและค้มุ ครองสตั ว์ป่า เป็นต้น ซงึ่ ได้ ถกู โต้แย้งมาอย่างตอ่ เนื่องว่าเป็นกฎหมายท่ีขดั กบั สทิ ธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู เน่ืองจากกฎหมายเหลา่ นี ้ ได้กําหนดให้หน่วยงานของรัฐมีอํานาจในการกําหนดพืน้ ท่ีในลกั ษณะตา่ งๆ และเมื่อมีผลบงั คบั แล้วพืน้ ที่ เหลา่ นนั้ ก็จะตกอยภู่ ายใต้อํานาจการดแู ลของหน่วยงานรัฐอยา่ งเดด็ ขาด เช่น เขตป่ าสงวนแห่งชาต,ิ เขต อทุ ยานแห่งชาติ โดยที่ชมุ ชนไม่สามารถเข้าไปมีสว่ นร่วมนบั ตงั้ แตใ่ นขนั้ ตอนของการพิจารณา ตดั สินใจ หรือในการร่วมบริหารจดั การหรือดแู ล ภายหลงั การประกาศเป็นพืน้ ท่ีตา่ งๆ แล้ว โดยได้มีการโต้แย้งเกิดขึน้ ว่า พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ มีบทบัญญัติท่ีขัดกับสิทธิชุมชนขึน้ เน่ืองจากกฎหมายนีไ้ ด้ให้อํานาจรัฐบาลกําหนดให้บริเวณท่ีดินแห่งใดที่มีสภาพธรรมชาติเป็นท่ีน่าสนใจ สงิ่ แวดล้อมและสขุ ภาพของประชาชนในชมุ ชน และจดั ให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผ้มู ีสว่ นได้ เสียก่อน รวมทัง้ ได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทน สถาบนั อดุ มศกึ ษาท่ีจดั การการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสขุ ภาพ ให้ความเห็นประกอบ ก่อนมีการดําเนินการดงั กลา่ ว “สทิ ธิของชมุ ชนที่จะฟอ้ งหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการสว่ นท้องถิ่นหรือองค์กรอื่นของรัฐ ที่เป็นนิติบคุ คล เพื่อให้ปฏิบตั ิหน้าที่ตามบทบญั ญตั ินี ้ยอ่ มได้รับความค้มุ ครอง”
386 ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ38 โดยมิได้ให้ความสําคัญกับสิทธิชุมชนในการเปิดโอกาสให้ประชาชน สามารถเข้ามามีสว่ นร่วมในการจดั การ คาํ วนิ ิจฉยั ที่ 33/2554 ศาลรัฐธรรมนญู มีความเห็นวา่ “แม้ว่าพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 6 จะให้อํานาจรัฐบาล สามารถดําเนินการประกาศพระราชกฤษฎีกากําหนดให้บริเวณดงั กลา่ วเป็นเขตอทุ ยาน แห่งชาติ และไมไ่ ด้มีสาระเกี่ยวกบั การใช้สทิ ธิและกระบวนการมีสว่ นร่วมของบคุ คลหรือ ชมุ ชนก็ตาม แตก่ ็มิได้หมายความว่ารัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดําเนินการได้ ตามอําเภอใจโดยไม่ต้องคํานึงถึงสิทธิตามท่ีบญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในทางกลบั กัน หากรัฐบาลหรือ เจ้าหน้าท่ีของรัฐไมป่ ฏิบตั หิ น้าที่ตามที่รัฐธรรมนญู และกฎหมายกําหนด ไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขนั้ ตอนหรือวิธีการอนั เป็นสาระสําคญั ท่ีกําหนดไว้สําหรับการกระทํานนั้ หรือเป็นการ กระทําที่มีลกั ษณะเป็นการเลือกปฏิบตั ิท่ีไม่เป็นธรรม และการกระทําดงั กลา่ วไปกระทบ หรือละเมิดสทิ ธิทําให้ได้รับความเดอื ดร้อนเสียหายหรือ อาจจะเดอื ดร้อน หรือเสยี หาย ก็ มไิ ด้ตดั สทิ ธิของชมุ ชนท่ีจะฟอ้ งหนว่ ยราชการหรือหน่วยงานของรัฐรวมทงั้ เจ้าหน้าท่ีของ รัฐเพื่อให้ปฏิบตั ิหน้าที่ตามบทบญั ญัติของรัฐธรรมนูญ ... สําหรับความเดือดร้อนหรือ ผลกระทบท่ีชุมชนอาจได้ รับอันเกิดจากการปฏิบัติหน้ าที่ของหน่วยงานของรัฐหรื อ เจ้าหน้าที่ของรัฐนัน้ เป็นเร่ืองท่ีจะต้องดําเนินการฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอํานาจตาม กฎหมายที่เก่ียวข้องตอ่ ไป ดงั นนั้ พระราชบญั ญตั อิ ทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 6 จงึ ไม่ขดั หรือแย้งรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 มาตรา 66 และ มาตรา 67” 38 พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 “มาตรา 6 เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกําหนดบริเวณที่ดินแห่งใดท่ีมีสภาพธรรมชาติ เป็นท่ีน่าสนใจให้คงอยู่ใน สภาพธรรมชาติเดิม เพ่ือสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและร่ืนรมย์ของประชาชน ก็ให้มีอํานาจกระทําได้ โดย ประกาศพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนท่ีแสดงแนวเขตแหง่ บริเวณท่ีกําหนดนนั้ แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย บริเวณท่ี กําหนดนีเ้รียกว่า ‘อทุ ยานแห่งชาติ’ ท่ีดินที่จะกําหนดให้เป็นอทุ ยานแห่งชาตินนั้ ต้องเป็นท่ีดินท่ีมิได้อย่ใู นกรรมสิทธิ์หรือ ครอบครอง โดยชอบด้วยกฎหมายของบคุ คลใด ซงึ่ มิใช่ทบวงการเมือง”
387 แม้ว่าตอ่ มาจะไมป่ รากฏว่าได้มีการโต้แย้งตอ่ กฎหมายท่ีเก่ียวกบั การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ฉบบั อ่ืนๆ ที่เกี่ยวข้องกัน แต่โดยท่ีกฎหมายเหล่านีม้ ีบทบญั ญัติที่คล้ายคลึงกันให้การกําหนดอํานาจ หน้าท่ีของหน่วยงานรัฐ ก็ย่อมทําให้สามารถคาดหมายได้ว่าคําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ต่อประเด็น ปัญหาดงั กลา่ วก็ยอ่ มจะดาํ เนินไปในทิศทางเดยี วกนั นอกจากการโต้แย้งต่อกฎหมายที่เก่ียวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ก็ยังได้มีการ โต้ แย้ งเก่ียวกับการใช้ อํานาจของหน่วยงานรัฐในกรณีการใช้ อํานาจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้ อม แห่งชาติตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ซึ่งกฎหมายฉบบั นีต้ ราขึน้ ใช้ บงั คบั ก่อนรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 โดยมีเจตนารมณ์เพ่ือสง่ เสริมประชาชนและองค์กรเอกชนให้เข้ามามี สว่ นร่วมในการสง่ เสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม รวมทงั้ กําหนดมาตรการควบคมุ และแก้ไขปัญหา สง่ิ แวดล้อมเพื่อมิให้มีผลกระทบตอ่ การดํารงชีวิตและคณุ ภาพชีวติ ที่ดีของประชาชน แตเ่ นื่องจาก มาตรา 46 วรรคหน่ึง39 บญั ญตั ิให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ มีอํานาจ ประกาศกําหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการของสว่ นราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนท่ีมี ผลกระทบส่ิงแวดล้อม ซึ่งต้องจดั ทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยไม่เปิดโอกาสให้ ชมุ ชนสามารถเข้าไปมีสว่ นร่วมในกระบวนการดงั กลา่ ว คําวินิจฉัยที่ 3/2552 ศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่ามาตรา 46 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริม และรักษาคณุ ภาพฯ “จึงเป็นมาตรการทางกฎหมายประการหนง่ึ ที่ใช้บงั คบั กบั สว่ นราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ เอกชนที่มีการดําเนินโครงการหรือกิจการท่ีมีผลกระทบส่ิงแวดล้อม หากรัฐมนตรีโดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาตไิ ด้ประกาศให้โครงการหรือกิจการ ใดต้องจดั ทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนท่ีดําเนินโครงการหรือกิจการนัน้ ต้องดําเนินการให้เป็นไปตามประกาศ 39 พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่งิ แวดล้อม พ.ศ. 2535 “มาตรา 46 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ มีอํานาจประกาศในราชกิจจานเุ บกษากําหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือ กิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนท่ีมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมซ่งึ ต้องจดั ทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สงิ่ แวดล้อม เพื่อเสนอขอความเหน็ ชอบตามมาตรา 47 มาตรา 48 และมาตรา 49”
388 เพื่อให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของกฎหมาย และเป็นบทบญั ญัติที่ค้มุ ครองประโยชน์ของรัฐ และชุมชนในการส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 67 วรรคสองแล้ ว ดังนัน้ พระราชบญั ญัติส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 46 วรรคหน่ึง จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2550 มาตรา 67 วรรคสอง” ข้อสงั เกตประการหนึ่งที่ไม่อาจละเลยไปก็คือ ภายหลงั จากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้มีความพยายามในการจดั ทําร่าง พ.ร.บ. ป่าชมุ ชน ขนึ ้ แตก่ ฎหมายฉบบั นีไ้ ด้ถกู โต้แย้งวา่ ไมไ่ ด้ให้ การรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรป่ าไม้ เน่ืองจากจํากัดสิทธิการจัดตัง้ ป่ าชุมชนในพืน้ ที่ อนรุ ักษ์อนั ทําให้ชมุ ชนจํานวนมากจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้40 แม้ว่าจะผ่านการพิจารณาจากสภานิติ บญั ญตั แิ ห่งชาติ แตก่ ็ได้มีการนําเสนอส่กู ารพิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู เพราะเห็นว่ากฎหมายนีจ้ ํากดั สิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วมจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก็ได้มีคําวินิจฉัยให้กฎหมายฉบบั นีต้ กไป แต่ ด้วยเหตผุ ลวา่ กระบวนการในการตรากฎหมายไมช่ อบด้วยรัฐธรรมนญู เนื่องจากในที่ประชมุ ของสภานิติ บญั ญตั แิ ห่งชาติมีสมาชิกไมค่ รบองค์ประชมุ เป็นผลให้ศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั ว่าเป็นการลงมติที่ไมช่ อบ ด้วยรัฐธรรมนูญ41 การวินิจฉัยว่ากฎหมายป่ าชุมชนขดั กับรัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียงการพิจารณาในเชิง กระบวนการวา่ มิได้เป็นไปตามท่ีรัฐธรรมนญู กําหนดไว้ แตม่ ิได้เป็นการวินิจฉยั ในเชิงเนือ้ หาของกฎหมาย 40 https://prachatai.com/journal/2007/10/14544 41 คําวินิจฉยั ท่ี 15/2552 ศาลรัฐธรรมนญู วนิ ิจฉยั ดงั นี ้ “ในวาระท่ีหนึ่ง ขัน้ รับหลกั การแห่งพระราชบญั ญัติป่ าชุมชน พ.ศ. ... มีสมาชิกสภานิติบญั ญัติแห่งชาติเข้า ประชมุ 114 คน จากจํานวนสมาชิกสภานิติบญั ญัติแห่งชาติท่ีมีอยจู่ ริง 240 คน จึงไม่ถึงก่ึงหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภา นิติบญั ญัติแห่งชาติในขณะนนั้ คือ ไม่ถึง 120 คน จึงไม่ครบองค์ประชุม และไม่อาจถือการออกเสียงคะแนนท่ีไม่ครบ องค์ประชุมดงั กล่าวเป็นการลงมติของสภานิติบญั ญัติแห่งชาติโดยชอบด้วยรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย ...ใน วาระท่ีสอง มีสมาชิกเข้าประชมุ ในการพิจารณาร่างมาตรา 25 ซงึ่ กรรมาธิการผ้ขู อสงวนคําแปรญตั ตติ ดั ความในหมวด 5 การจดั ตงั้ ป่าชมุ ชนในเขตอนรุ ักษ์ออกทงั้ หมวด มีสมาชิกเข้าประชมุ เพียง 89 คน เก่ียวกบั ร่างมาตรา 25 ซงึ่ กรรมาธิการผู้ ขอสงวนความเห็นโดยแก้ไขความของความของมาตรา 25 มีสมาชิเข้าประชุมเพียง 94 คน เก่ียวกับร่างมาตรา 35 มี สมาชิกเข้าประชมุ 61 คน ส่วนในวาระท่ีสาม มีสมาชิกเข้าประชมุ เพียง 60 คน ไม่ถึงก่ึงหน่ึงของจํานวนสมาชิกทงั้ หมด เท่าท่ีมีอย่ขู องสภานิติบญั ญัติแห่งชาติในขณะนนั้ คือไม่ถึง 121 คน จึงไม่ครบองค์ประชุมและไม่อาจถือการออกเสียง ลงคะแนนท่ีไมค่ รบองค์ประชมุ ดงั กลา่ วเป็นการลงมตขิ องสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติโดยชอบด้วยรัฐธรรมนญู ฯ”
389 ว่าขดั กบั รัฐธรรมนญู หรือไม่ อย่างไร ในแง่นีจ้ ึงทําให้ประเด็นสิทธิชุมชนไม่ได้มีความชดั เจนเพ่ิมมากขึน้ แตอ่ ยา่ งใด หากพิจารณาจากทิศทางในคําวินิจฉยั ท่ีบงั เกิดขึน้ สืบเนื่องมานบั ตงั้ แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กระทง่ั ถึงรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ก็ล้วนแต่ยงั คงดําเนินไปในทิศทางที่ยงั คงรับรองอํานาจของรัฐในการ จดั การทรัพยากร แม้จะไม่ได้กําหนดให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมก็ตาม การรับรองสิทธิชมุ ชนตามท่ีได้รับ การรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้นํามาซึ่งการสร้ าง “บรรทัดฐานใหม่” เก่ียวกับประเด็นในการจัด ทรัพยากรธรรมชาติให้บงั เกิดขึน้ แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างย่ิงอํานาจเหนือของหน่วยงานรัฐท่ีมีต่อ ทรัพยากรธรรมชาตกิ ็ยงั คงสามารถดําเนินสบื เนื่องตอ่ ไปได้เชน่ เดมิ (หากพิจารณาถึงการโต้แย้งในประเด็นเรื่องสิทธิชุมชน จะพบว่าไม่ใช่เพียงการนําคดีมาส่กู าร พิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู แตเ่ พียงอย่างเดียว ได้ปรากฏการโต้แย้งสศู่ าลปกครองซงึ่ ก็ได้มีคําวินิจฉยั จํานวนไม่น้อยปรากฏขึน้ คําวินิจฉัยของศาลปกครองได้วางหลกั ว่าแม้จะยงั ไม่มีกฎหมายกําหนดใน รายละเอียดเร่ืองสทิ ธิชมุ ชนไว้ก็ตาม แตก่ ็ไม่เป็นเหตใุ ห้การบงั คบั ใช้สิทธิชมุ ชนต้องชะลอไว้ ประชาชนจึง สามารถนําคดีมาส่ศู าลปกครองเพ่ือให้มีคําสง่ั ในทางป้องกนั ความเสียหายได้ในโครงการต่างๆ ท่ีอาจ ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง อยา่ งไรก็ตาม การบงั คบั ใช้ดงั กลา่ วก็ยงั ไม่มีความสมํ่าเสมอมากเท่าใด เนื่องจากในหลายคดีก็ไมไ่ ด้มีการบงั คบั ใช้42) แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จะได้พยายามแก้ไขบทบญั ญัติในประเด็นเร่ืองสิทธิชุมชนด้วยการ พิจารณาจากปัญหาท่ีเคยเกิดขึน้ ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่ก็จะพบว่าในคําวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนญู ก็ไมไ่ ด้แสดงให้เห็นถงึ แนวทางการวนิ ิจฉยั ที่เปลยี่ นแปลงไปแตอ่ ยา่ งใด การไมม่ ีผลบงั คบั ของ สิทธิชุมชนจึงไม่อาจไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาในเชิงของการใช้ถ้อยคําท่ีหละหลวม หรือการขาดกฎหมาย ระดบั พ.ร.บ. มากําหนดรายละเอียดเท่านนั้ แตใ่ นอีกด้านหนงึ่ แนวความคดิ เร่ืองสทิ ธิชมุ ชนจะมีผลอยา่ ง สําคญั ตอ่ อํานาจอนั สงู สดุ ของรัฐหรือความเป็นเจ้าของ (ownership) เหนือดนิ แดนตา่ งๆ เฉพาะอย่างย่ิง ในพืน้ ที่ท่ีมิได้ตกอย่ภู ายใต้กรรมสิทธ์ิของเอกชน รวมถึงหากมีการยอมรับแนวคิดสิทธิชมุ ชนก็อาจส่งผล ตอ่ แนวความคิดในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ บบรัฐนิยม ซง่ึ ดําเนินมาตอ่ เนื่องนบั ตงั้ แตก่ ารเกิดขนึ ้ 42 สมชาย ปรีชาศิลปกุล และคณะ, การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ โดยการสนบั สนนุ ของสํานกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) 2557 หน้า 136
390 ของรัฐสมยั ใหม่ในช่วงรัชกาลท่ี 5 เป็นต้นมา และกลายเป็นรากฐานของการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ภายในรัฐไทยแม้จะได้มีการเปลย่ี นผา่ นจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์มาสรู่ ะบอบประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. 2475 แล้วก็ตาม 3. คดที ่เี ก่ียวกับสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ ในการพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับสถาบนั ที่มาจากการเลือกตงั้ นนั้ มีความหมายถึงข้อโต้แย้ง เก่ียวกบั พรรคการเมือง รัฐสภา และรัฐบาล ซง่ึ ภายหลงั จากประกาศใช้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้มีคดี จํานวนไมน่ ้อยท่ีเก่ียวพนั กบั สถาบนั ท่ีมาจากการเลอื กตงั้ เข้าสกู่ ารพิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู และการ วนิ ิจฉยั ในประเดน็ เหลา่ นีส้ ามารถสะท้อนให้เห็นแนวความคดิ ของศาลรัฐธรรมนญู ที่มีตอ่ สถาบนั ท่ีมาจาก การเลอื กตงั้ ได้เป็นอยา่ งดี อาจกล่าวได้ว่าแนวทางในการวินิจฉัยข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับสถาบนั การเมืองท่ีมาจากการ เลือกตงั้ ซง่ึ มาส่ศู าลรัฐธรรมนญู นบั ตงั้ แตภ่ ายหลงั ประกาศใช้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 มีความแตกตา่ งไป อยา่ งสําคญั จากแนวทางการวนิ ิจฉยั ท่ีศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ได้เคยวินิจฉยั ไว้ แนว ทางการวนิ ิจฉยั ท่ีเกิดขนึ ้ สามารถกลา่ วได้วา่ สว่ นหนง่ึ เป็นผลมาจากเง่ือนไขทางการเมืองที่เปลยี่ นแปลงไป นับตงั้ แต่ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา อันนํามาซ่ึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่มีผลให้องค์ประกอบและการ คดั เลือกตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู เปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ อยา่ งสาํ คญั โดยแนวทางการวนิ ิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ที่เปลี่ยนแปลงซงึ่ เห็นได้อยา่ งชดั เจนก็คอื การเข้ามา วินิจฉยั ในประเด็นข้อโต้แย้งท่ีแตเ่ ดิมอาจเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนญู จะไม่เข้ามา ทําการชีข้ าดเนื่องจากไม่ได้เป็นประเด็นเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนญู หรือไม่ แตค่ ําวินิจฉยั ในหลายคดี ได้แสดงให้เห็นวา่ แนวทางคําวินิจฉยั ดงั กลา่ วได้เปลยี่ นแปลงไป อยา่ งไรก็ตาม การขยายบทบาทของศาล รัฐธรรมนญู ในการวินิจฉยั ข้อโต้แย้งเก่ียวกบั สถาบนั ทางการเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ ไม่ได้เกิดขนึ ้ อยา่ ง สมํ่าเสมอกับทุกพรรคการเมือง หรือรัฐบาล แนวทางคําวินิจฉัยสะท้อนให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมี แนวโน้มท่ีจะเข้าทําหน้าท่ีควบคมุ และตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนญู ของสถาบนั การเมืองท่ีมาจาก เสียงข้างมากในการเลือกตงั้ เป็นสําคญั ขณะท่ีจะมีแนวทางคําวินิจฉยั ที่แตกตา่ งออกไปหากเป็นสถาบนั การเมืองซงึ่ เป็นฝ่ ายเสียงข้างน้อย การทําหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนญู จงึ มีบทบาทท่ีผนั แปรไปกบั สถาบนั การเมืองวา่ เป็นฝ่ายเสยี งข้างมากหรือเสียงข้างน้อยเป็นสําคญั
391 ในเบือ้ งต้น ภายหลงั จากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้มีการจดั ให้มีการเลือกตงั้ ทวั่ ไปเกิดขึน้ 2 ครัง้ ครัง้ แรกเกิดขึน้ เม่ือ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และครัง้ ที่สองเม่ือ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ซงึ่ ผลการเลือกตงั้ ทว่ั ไปก็ปรากฏว่าพรรคพลงั ประชาชน และพรรคเพื่อไทยประสบความสําเร็จใน การเลือกตงั้ โดยได้รับคะแนนเสียงมากเป็นลําดับแรก พรรคการเมืองทัง้ สองพรรคนีต้ ่างก็เป็นพรรค การเมืองที่สืบเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทย โดยภายหลงั ท่ีตลุ าการรัฐธรรมนูญมีมติให้ยบุ พรรคไทยรัก ไทย เมื่อวนั ท่ี 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 สมาชิกพรรคไทยรักไทยก็ได้สมคั รเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลงั ประชาชน รวมทงั้ ได้มีการส่งสมาชิกลงรับสมคั รเลือกตงั้ เป็น ส.ส. ซงึ่ ผ้สู มคั รจากพรรคพลงั ประชาชนก็ ได้รับเลือกตงั้ มากท่ีสดุ ต่อมาศาลรัฐธรรมนญู ก็วินิจฉยั ให้ยุบพรรคพลงั ประชาชน เม่ือวนั ท่ี 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ซง่ึ ทาง ส.ส. และสมาชิกพรรคเกือบทงั้ หมดได้ย้ายเข้าสงั กดั พรรคเพ่ือไทย เมื่อมีการเลือกตงั้ อีกครัง้ เม่ือ พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยก็ประสบความสําเร็จในการเลือกตงั้ อีกครัง้ หนงึ่ และในการเลือกตงั้ ครัง้ หลงั นีท้ างพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตงั้ เป็นจํานวนมากกว่าคร่ึงหนึง่ อนั แสดงให้เห็นถึงความนิยมและ ความสําเร็จของพรรคในการเลอื กตงั้ ได้เป็นอยา่ งดี
392 ตาราง 9.1 ผลการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2550 พรรค หวั หน้าพรรค ระบบแบง่ ระบบ รวม ร้อยละ เขต สดั สว่ น พรรคพลงั ประชาชน นายสมคั ร สนุ ทรเวช 199 34 233 48.54 พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสทิ ธิ์ เวชชาชีวะ 132 33 165 34.37 พรรคชาตไิ ทย นายบรรหาร ศิลปะอาชา 33 4 37 7.71 พรรคเพื่อแผน่ ดิน นายสวุ ิทย์ คณุ กิตติ 17 7 24 5 พรรครวมใจไทยชาตพิ ฒั นา พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร 8 1 9 1.87 ตาราง 9.2 ผลการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 พรรค หวั หน้าพรรค ระบบแบง่ บญั ชี รวม ร้อยละ เขต รายช่ือ พรรคเพ่ือไทย นางสาวยง่ิ ลกั ษณ์ ชินวตั ร 204 61 265 53 พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสทิ ธิ์ เวชชาชีวะ 115 44 159 31.8 พรรคภมู ิใจไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกลุ 29 5 34 6.8 พรรคชาติไทยพฒั นา นายชมุ พล ศิลปอาชา 15 4 19 3.8 พรรคชาติพฒั นาเพ่ือแผน่ ดิน นายชาญชยั ชยั รุ่งเรือง 5 2 7 1.4 แม้พรรคการเมืองที่สืบเนื่องจากพรรคไทยรักไทยจะประสบความสําเร็จได้รับคะแนนเสียงมาก เป็นอนั ดบั ท่ีหน่ึงจากการเลือกตงั้ แต่การจดั ตงั้ รัฐบาลก็มิได้เป็นไปโดยพรรคการเมืองท่ีมีขนาดใหญ่เป็น แกนนําในการจดั ตงั้ ทกุ ครัง้ ไป ภายหลงั จากการเลือกตงั้ พ.ศ. 2550 พรรคพลงั ประชาชนได้เป็นแกนนํา ในการจดั ตงั้ รัฐบาล แตภ่ ายหลงั จากที่พรรคพลงั ประชาชนถกู ยบุ พรรคเมื่อเดือนธนั วาคม พ.ศ. 2551 ทาง พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นแกนนําในการจดั ตงั้ รัฐบาลแทน โดยมีพรรคการเมืองที่เคยสนบั สนนุ พรรคเพ่ือ ไทยหนั ไปให้การสนบั สนนุ กบั พรรคประชาธิปัตย์ ซงึ่ ทําให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ทําหน้าท่ีเป็นรัฐบาลจวบ จนกระทง่ั การเลือกตงั้ ทว่ั ไปอีกครัง้ เม่ือ พ.ศ. 2554 ทางพรรคเพื่อไทยก็สามารถประสบความสําเร็จในการ
393 เลือกตงั้ และได้จดั ตงั้ รัฐบาลอีกครัง้ หนง่ึ จนกระทง่ั มีการยบุ สภาเม่ือ 9 ธนั วาคม พ.ศ. 2556 ก่อนที่จะเกิด การยดึ อํานาจขนึ ้ เม่ือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 การจําแนกการพิจารณาแนวทางคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนญู ด้วยการแบ่งเป็นข้อโต้แย้งท่ีมี ต่อสถาบันการเมืองท่ีมาจากเสียงข้างมากกับสถาบันการเมืองท่ีไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก จะช่วย สะท้อนภาพถึงแนวทางในการตดั สินของศาลรัฐธรรมนญู ภายใต้รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้ชดั เจนมาก ขึน้ ว่ามิได้มุ่งควบคุมสถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ หากมีความม่งุ หมายท่ีจะควบคมุ สถาบนั การเมืองที่มาจากการเลือกตงั้ ซ่ึงเป็นฝ่ ายเสียงข้างมากหรือประสบความสําเร็จจากการเลือกตงั้ เป็น เปา้ หมายสาํ คญั 3.1 คาํ วินิจฉัยท่มี ีต่อสถาบนั การเมืองท่มี าจากเสียงข้างน้อย แม้จะเป็นที่เข้าใจกนั โดยทวั่ ไปว่าศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 มีบทบาทอย่าง สําคญั ต่อการทําหน้าท่ีตรวจสอบสถาบนั การเมืองที่มาจากการเลือกตงั้ ดงั จะเห็นได้จากคําวินิจฉยั ใน หลายคดีที่ปรากฏขึน้ มาตงั้ แต่ พ.ศ. 2551 คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้เข้าไปตรวจสอบอํานาจ หน้าที่ของทงั้ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ รวมถึงสถาบนั พรรคการเมือง อนั เป็นบทบาทท่ีเปลี่ยนแปลงไป อย่างสําคญั หากเปรียบเทียบกบั คําวินิจฉัยที่ได้ปรากฏขึน้ ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า การทําหน้าท่ีอย่างเข้มข้นของศาลรัฐธรรมนญู ในลกั ษณะดงั กล่าวนีจ้ ะดําเนินไปในลกั ษณะท่ีสมํ่าเสมอ กนั ในทุกช่วงเวลา ตรงกนั ข้าม ในห้วงเวลาท่ีพรรคการเมืองท่ีมิใช่เสียงข้างมากเข้าส่กู ารดํารงตําแหน่ง สถาบนั การเมือง คําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ที่มีตอ่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ รวมถึงการตรวจสอบ พรรคการเมือง ก็จะพบความแตกต่างไปอย่างสําคญั ซง่ึ สามารถพิจารณาได้คําวินิจฉยั จํานวนไม่น้อยท่ี ปรากฏขนึ ้ ในช่วงเวลาท่ีพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าดํารงตําแหน่งเป็นรัฐบาล (20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 - 9 สงิ หาคม พ.ศ. 2554) โดยปรากฏในสองประเดน็ สาํ คญั ดงั นี ้ ประเดน็ แรก การตรวจสอบการใช้อาํ นาจในฐานะฝ่ ายบริหาร ตามที่คณะรัฐมนตรี (โดยนายอภสิ ทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ ดาํ รงตาํ แหนง่ นายกรัฐมนตรี) ได้มีมตเิ ห็นชอบ ในการตรา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพ่ือฟื น้ ฟแู ละสง่ เสริมความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.
394 2552 ทาง ส.ส. มีความเห็นวา่ การตรา พ.ร.ก. ดงั กลา่ วมิได้เป็นไปตามเง่ือนไขท่ีบญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนงึ่ และวรรคสอง43 จงึ เข้าช่ือเพื่อศาลรัฐธรรมนญู พจิ ารณาวนิ ิจฉยั คาํ วนิ ิจฉยั ท่ี 11/2552 รัฐบาลอภสิ ทิ ธิ์ ศาลได้พจิ ารณาใน 2 ประเดน็ คอื ประเด็นที่หน่ึง พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพื่อฟื น้ ฟูและเสริมสร้างความ มน่ั คงทางเศรษฐกิจได้ตราขึน้ เพื่อประโยชน์ในอนั ท่ีจะรักษาความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนงึ่ หรือไม่ “ข้อเท็จจริงปรากฏว่า แม้ว่ารัฐบาลจะได้ดําเนินมาตรการต่างๆ ทงั้ มาตรการช่วยเหลือ ภาคอสงั หาริมทรัพย์มาตรการทางภาษีเพื่อกระต้นุ เศรษฐกิจ มาตรการเพื่อช่วยเหลือ สภาพคลอ่ งทางการเงินให้แก่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง มาตรการเพ่ือช่วยเหลือเกษตรกร และเศรษฐกิจฐานราก มาตรการเพ่ือลดภาระคา่ ใช้จ่ายของประชาชน มาตรการจดั ทํา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือมาตรการเร่งรัดการ เบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐก็ตาม ก็ยงั ไม่อาจทําให้เกิดความเชื่อมนั่ วา่ จะสามารถ แก้ไขปัญหาภาวะวิกฤตเิ ศรษฐกิจที่ชะลอตวั ลงอยา่ งตอ่ เน่ืองได้แน่” “การท่ีคณะรัฐมนตรีตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพ่ือฟื น้ ฟแู ละ เสริมสร้ างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ขึน้ มาก็เพื่อแก้ไขวิกฤติการณ์ทาง เศรษฐกิจของประเทศมิให้ตกต่ําไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบนั ทัง้ เพ่ือให้ภาครัฐใน 43 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 184 ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอนั ท่ีจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมนั่ คงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือปอ้ งปัดภยั พิบตั ิสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกําหนดให้ ใช้บงั คบั ดงั เช่นพระราชบญั ญัติก็ได้ การตราพระราชกําหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําได้เฉพาะเม่ือคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นกรณีฉกุ เฉินที่มีความจําเป็นรีบดว่ นอนั มิอาจจะหลกี เลยี่ งได้” “ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกําหนดนนั้ ต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาโดยไม่ ชกั ช้า ถ้าอย่นู อกสมยั ประชมุ และการรอการเปิดสมยั ประชมุ สามญั จะเป็นการชกั ช้า คณะรัฐมนตรีต้องดําเนินการให้มี การเรียกประชมุ รัฐสภาสมยั วิสามญั เพื่อพิจารณาอนมุ ตั ิหรือไม่อนมุ ตั ิพระราชกําหนดโดยเร็ว ถ้าสภาผ้แู ทนราษฎรไม่ อนมุ ตั ิ หรือสภาผู้แทนราษฎรอนุมตั ิแต่วุฒิสภาไม่อนมุ ตั ิ และสภาผู้แทนราษฎรยืนยนั การอนุมตั ิด้วยคะแนนเสียงไม่ มากกว่าก่ึงหน่ึงของจํานวนสมาชิกทัง้ หมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ให้พระราชกําหนดนัน้ ตกไป แต่ทงั้ นี ้ ไม่ กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหวา่ งท่ีใช้พระราชกําหนดนนั้ ”
395 ฐานะท่ีเป็นแรงขบั เคลือ่ นเศรษฐกิจที่จะช่วยสร้างกําลงั ซือ้ อยา่ งเร่งดว่ นในระบบในช่วงท่ี กําลงั ซอื ้ จากตา่ งประเทศและในประเทศหดตวั ลงจากวิกฤตกิ ารณ์ทางเศรษฐกิจของโลก ที่จําเป็ นต้ องรี บดําเนินมาตรการแก้ ไขวิกฤติเศรษฐกิจโดยเร่ งด่วนเพื่อป้องกันปั ญหา ก่อนที่ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจจะลุกลามไปในทุกภาคส่วน อันเป็นการทําหน้าที่ พืน้ ฐานทางเศรษฐกิจของรัฐในการสร้างความมน่ั คงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็น การกระทําที่มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อประโยชน์ในอนั ที่จะรักษาความมนั่ คงในทางเศรษฐกิจ ของประเทศตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนง่ึ ” ประเด็นที่สอง พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพ่ือฟื น้ ฟูและเสริมสร้างความมนั่ คงทาง เศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ตราขึน้ เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ตาม รัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคสองหรือไม่ มีประเด็นต้องพิจารณาว่า กรณีใดจะถือว่าเป็นกรณีฉกุ เฉินตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรค สอง หรือไม่ นนั้ ศาลรัฐธรรมนญู พิจารณาแล้วเห็นวา่ ต้องเป็นกรณีที่เร่งดว่ นท่ีจะต้องรีบปอ้ งกนั แก้ไขโดย พลัน หรือเป็นท่ีคาดหมายได้ว่าหากไม่เร่งรีบดําเนินการป้องกันและวางแนวทางแก้ไขไว้ก่อนย่อม ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ ายแรงยากต่อการแก้ไขเยียวยาในภายหลงั ทงั้ นี ้ การท่ีจะพิจารณาว่า สถานการณ์ใดเป็นกรณีฉกุ เฉิน หรือไมน่ นั้ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นแตล่ ะกรณีไป “ข้อเท็จจริงที่ผ้เู สนอความเห็นตอ่ ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรและผ้แู ทนคณะรัฐมนตรี รับ กนั มีวา่ คณะรัฐมนตรีได้ตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพื่อฟื น้ ฟู และเสริมสร้างความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพ่ือให้กระทรวงการคลงั โดยอนมุ ตั ิ ของคณะรัฐมนตรีมีอํานาจก้เู งินบาทในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจกั รไทย เพื่อนําไปใช้ ในการดาํ เนินมาตรการเพื่อฟื น้ ฟแู ละเสริมสร้างความมน่ั คงทางเศรษฐกิจของประเทศ มี มลู ค่ารวมกนั ไม่เกินวงเงิน 400,000 ล้านบาท และขณะเดียวกนั คณะรัฐมนตรีได้เสนอ ร่างพระราชบญั ญตั ใิ ห้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพ่ือฟื น้ ฟเู ศรษฐกิจ พ.ศ. ... ตอ่ สภา ผ้แู ทนราษฎร อีกจํานวน 400,000 ล้านบาท โดยสาระสําคญั ในพระราชกําหนดและร่าง พระราชบัญญัติคล้ ายกัน นัน้ ย่อมแสดงให้ เห็นว่า คณะรัฐมนตรีได้ จัดลําดับ ความสําคัญเร่งด่วนเพื่อยับยัง้ และบรรเทาความเสียหายท่ีเกิดปัญหาขึน้ จากวิกฤติ เศรษฐกิจตกตํ่า และเพื่อรักษาความม่ันคงทางเศรษฐกิจไว้มิให้เกิดความเสียหายที่
396 มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี ้ อนั เป็นการแก้ไขปัญหาความมนั่ คงในทางเศรษฐกิจของ ประเทศตามความจําเป็นรีบดว่ นที่ลดหลน่ั เป็นลําดบั ” ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉนั ท์วินิจฉัยว่า พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลงั กู้เงินเพื่อฟื น้ ฟูฯ ตราขนึ ้ เพ่ือประโยชน์ในอนั ที่จะรักษาความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นกรณีฉกุ เฉินที่มี ความจําเป็นรีบดว่ นอนั มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ อนั เป็นไปตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนึ่งและวรรค สอง นอกจากกรณีการตรา พ.ร.ก. เพื่อดําเนินการทางด้านเศรษฐกิจแล้วก็ได้มีการโต้แย้งเก่ียวกับ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 1644 ซึ่งบัญญัติให้ข้อกําหนด ประกาศ คําสงั่ หรือการกระทําตาม พ.ร.ก. นีไ้ ม่อย่ใู นบงั คบั ของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบตั ิราชการทาง ปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจดั ตงั้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง อนั ทําให้ศาลปกครอง ไม่สามารถเข้าทําการวินิจฉัยชีข้ าดในการกระทําของเจ้าหน้าที่รัฐที่อาศยั อํานาจตามกฎหมายนี ้ดงั นนั้ มาตราดงั กล่าวถือว่าขดั แย้งกบั รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 มาตรา 22345 ซง่ึ ให้อํานาจศาลปกครองในการ วินิจฉยั ความผิดท่ีเจ้าหน้าท่ีเป็นผ้กู ่อให้เกิดขนึ ้ คําวินิจฉัยที่ 9/2553 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยถึงความสําคัญของมาตรา 16 ตาม พ.ร.ก. ฉกุ เฉินฯ พ.ศ. 2548 ดงั นี ้ 44 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 “มาตรา 16 ข้อกําหนด ประกาศ คําสง่ั หรือการกระทําตามพระราชกําหนดนีไ้ ม่อยู่ ในบงั คบั ของกฎหมายว่า ด้วยวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง และกฎหมายวา่ ด้วยการจดั ตงั้ ศาล ปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครอง” 45 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 223 ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนญู หรือเจ้าหน้าท่ี ของรัฐกบั เอกชน หรือระหวา่ งหน่วย ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือองค์กรตามรัฐธรรมนญู หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยกนั อนั เนื่องมาจากการใช้อํานาจทางปกครอง ตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดําเนินกิจการทางปกครองของ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน หรือองค์กรตามรัฐธรรมนญู หรือเจ้าหน้าท่ีของ รัฐ ทงั้ นี ้ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ รวมทงั้ มีอํานาจพิจารณาพิพากษาเร่ืองที่รัฐธรรมนญู หรือกฎหมายบญั ญัติ ให้อย่ใู น อํานาจของศาลปกครอง”
397 “เป็นการบญั ญัติจํากัดอํานาจการตรวจสอบควบคมุ การออกกฎ และการกระทําของ ฝ่ายบริหารของศาลปกครอง โดยมีเจตนารมณ์ให้ฝ่ายบริหารมีอํานาจพิเศษบางประการ สําหรับบริหารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉิน อนั เป็นเคร่ืองมือในการรักษาความมน่ั คง ของรัฐ ความปลอดภยั ของประเทศ และปอ้ งปัดภยั พิบตั สิ าธารณะ ซงึ่ เป็นประโยชน์ตอ่ สงั คมสว่ นรวมยงิ่ กวา่ ประโยชน์ของปัจเจกชนแตล่ ะรายในสถานการณ์ฉกุ เฉิน” “การมีมาตรา 16 แห่งพระราชกําหนดนี ้บญั ญตั มิ ิให้ข้อกําหนด ประกาศ คําสงั่ หรือการ กระทําตามพระราชกําหนดนี ้อยใู่ นอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองก็เพื่อให้ รัฐสามารถดําเนินการแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองให้บรรลผุ ลสําเร็จและเป็นไปตามความ จําเป็นของสถานการณ์ของบ้านเมืองเท่านนั้ ซง่ึ เป็นระยะเวลาชวั่ คราว จนกว่าจะมีการ ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ทัง้ มิได้หมายความว่า สิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนท่ีอาจได้รับผลกระทบจากการดําเนินการตามพระราชกําหนดดงั กลา่ วจะมิได้ รับความคุ้มครอง เพราะผู้ได้รับความเสียหายยังสามารถนําคดีเข้าสู่กระบวนการ พิจารณาของศาลยตุ ิธรรมได้ ตามความในมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญ รวมทงั้ มีสิทธิ เรี ยกร้ องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้ วยความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ตามมาตรา 17 ของพระราชกําหนดฉบบั เดียวกนั จึงมิได้เป็นบทบญั ญตั ิแห่ง กฎหมายที่มีลกั ษณะจํากดั สิทธิของบคุ คลในการนําคดีเข้าสกู่ ระบวนการตรวจสอบของ องค์กรตลุ าการแตป่ ระการใด” สําหรับ พ.ร.ก. ฉกุ เฉินฯ พ.ศ. 2548 ก็ได้มีประเด็นโต้แย้งขึน้ อีกว่าการห้ามมิให้มีการชุมนมุ ใด ตามมาตรา 9 (2)46 และการให้อํานาจเจ้าหน้าที่จบั กุมและควบคมุ ตวั บุคคลที่ต้องสงสยั ว่ากระทําหรือ 46 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 “มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจําเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิด เหตกุ ารณ์ร้ายแรงมากขนึ ้ ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจออกข้อกําหนด ดงั ตอ่ ไปนี”้ “(1) ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาท่ีกําหนด เว้นแต่จะได้รับ อนญุ าตจากพนกั งาน เจ้าหน้าท่ี หรือเป็นบคุ คลซง่ึ ได้รับยกเว้น” “(2) ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือม่ัวสุมกัน ณ ท่ีใด ๆ หรือกระทําการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบ เรียบร้ อย”
398 ร่วมทําให้เกิดสถานการณ์ฉกุ เฉิน ตามมาตรา 11 (1)47 เป็นบทบญั ญตั ทิ ี่ขดั หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ในประเดน็ สทิ ธิในกระบวนการยตุ ธิ รรม สทิ ธิในเคหะสถาน และสทิ ธิในการชมุ นมุ คําวนิ ิจฉยั ท่ี 10 – 11/2553 ศาลรัฐธรรมนญู มีความเห็นวา่ บทบญั ญตั ทิ งั้ สองมาตรานนั้ “เป็นมาตรการหรือเคร่ืองมือที่สําคญั ของฝ่ ายบริหารท่ีพระราชกําหนดนีใ้ ห้อํานาจไว้ เพ่ือปอ้ งกนั มิให้เกิดเหตกุ ารณ์ร้ายแรงหรือเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉกุ เฉินให้ยตุ ิลงโดยเร็ว อีกทงั้ ในการปฏิบตั ิตามมาตรา 9 (2) พระราชกําหนดนีไ้ ด้กําหนดเง่ือนไขไว้ คือจะต้อง กํ าหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้ อกํ าหนดหรื อเง่ื อนไขในการปฏิบัติงานของ พนกั งานเจ้าหน้าที่ หรือมอบหมายให้พนกั งานเจ้าหน้าท่ีกําหนดพืน้ ท่ีและรายละเอียด อ่ืนเพิ่มเติม เพ่ือมิให้มีการปฏิบตั ิที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่ เหตุ ส่วนการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลผู้ต้องสงสัยตามมาตรา 11 (1) เป็นเพียง ขัน้ ตอนในการจับกุมและควบคุมตวั บุคคลท่ีสงสยั ว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทําการให้เกิด สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนบั สนุนการกระทําเช่นว่านัน้ หรือปกปิด ข้อมลู เก่ียวกับการกระทําให้เกิดสถานการณ์ฉกุ เฉินเท่านนั้ เพ่ือป้องกนั มิให้บุคคลนนั้ กระทําการหรือร่วมมือกระทําการใดๆ อนั จะทําให้เกิดเหตกุ ารณ์ร้ายแรง หรือเพ่ือให้เกิด ความร่วมมือในการระงบั เหตกุ ารณ์ร้ายแรง อีกทงั้ การจบั กมุ และควบคมุ ตวั บคุ คลที่ต้อง 47 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 “มาตรา 11 ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้ าย การใช้กําลงั ประทุษร้ าย ต่อชีวิต ร่างกาย หรือ ทรัพย์สิน หรือมีเหตอุ นั ควรเชื่อได้ว่ามีการกระทําท่ีมีความรุนแรงกระทบต่อ ความมน่ั คงของรัฐ ความปลอดภยั ในชีวิต หรือทรัพย์สินของรัฐหรือบคุ คล และมีความจําเป็นท่ีจะต้อง เร่งแก้ไขปัญหาให้ยตุ ิได้อย่างมีประสิทธิภาพและทนั ท่วงที ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรีมีอํานาจประกาศให้สถานการณ์ฉกุ เฉินนนั้ เป็นสถานการณ์ท่ีมี ความร้ายแรง และให้นําความในมาตรา 5 และมาตรา 6 วรรคสอง มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม” “เมื่อมีประกาศตามวรรคหน่ึงแล้ว นอกจากอํานาจตามมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 10 ให้ นายกรัฐมนตรีมีอํานาจดงั ตอ่ ไปนีด้ ้วย” “(1) ประกาศให้พนกั งานเจ้าหน้าท่ีมีอํานาจจบั กมุ และควบคมุ ตวั บคุ คลที่สงสยั ว่าจะเป็นผ้รู ่วมกระทําการให้ เกิดสถานการณ์ฉกุ เฉิน หรือเป็นผ้ใู ช้ผ้โู ฆษณา ผ้สู นบั สนนุ การกระทําเช่นว่านนั้ หรือปกปิดข้อมลู เก่ียวกบั การกระทําให้ เกิดสถานการณ์ฉกุ เฉิน ทงั้ นี ้เท่าที่มีเหตจุ ําเป็นเพ่ือปอ้ งกนั มใิ ห้บคุ คลนนั้ กระทําการหรือร่วมมือกระทําการใดๆ อนั จะทํา ให้เกิดเหตกุ ารณ์ร้ายแรง หรือเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงบั เหตกุ ารณ์ร้ายแรง”
399 สงสัยก็มิใช่เป็นการใช้ อํานาจตามอําเภอใจของพนักงานเจ้ าหน้าที่ แต่พนักงาน เจ้าหน้าที่จะต้องร้องขอตอ่ ศาลท่ีมีเขตอํานาจหรือศาลอาญาเพ่ือขออนญุ าตดําเนินการ เม่ือได้รับอนญุ าตจากศาลแล้ว ให้พนกั งานเจ้าหน้าท่ีมีอํานาจจบั กมุ และควบคมุ ตวั ได้ ไมเ่ กินเจ็ดวนั และต้องควบคมุ ไว้ในสถานท่ีที่กําหนดซง่ึ ไมใ่ ชส่ ถานีตาํ รวจ ที่คมุ ขงั ทณั ฑ สถาน หรือ เรือนจํา โดยจะปฏิบตั ติ อ่ บคุ คลนนั้ ในลกั ษณะเป็นผ้กู ระทําความผิดมไิ ด้” คําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ในกรณี พ.ร.ก. ฉกุ เฉินฯ ท่ีให้อํานาจแก่เจ้าหน้าท่ีรัฐมากกว่าการ จดั การกบั สถานการณ์ในยามปกติ ในความเห็นจากคําวินิจฉยั ดงั กลา่ วเห็นวา่ เป็นความจําเป็นท่ีสามารถ จะกระทําได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสว่ นที่เป็นการกระทําตอ่ ประชาชนซงึ่ แตกต่างไปจากบทบญั ญตั ิเร่ือง สทิ ธิในกระบวนการยตุ ธิ รรม ทงั้ เห็นวา่ ได้มีการวางมาตรการและกระบวนตรวจสอบโดยฝ่ายตา่ งๆ รองรับ ไว้ บทบญั ญตั ใิ น พ.ร.ก. ฉกุ เฉินฯ จงึ ไมข่ ดั แย้งกบั รัฐธรรมนญู แตอ่ ยา่ งใด ประเดน็ ท่สี อง การตรวจสอบการทาํ หน้าท่ขี องพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตัง้ (กกต.) ยื่นคําร้ อง ลงวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 ขอให้ศาล รัฐธรรมนูญมีคําสง่ั ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 เนื่องจากใช้ จา่ ยเงินสนบั สนนุ พรรคการเมืองไมเ่ ป็นไปตามกฎหมาย ประเด็นเบือ้ งต้นท่ีได้มีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็คือ กระบวนการย่ืนคําร้องขอให้ยุบ พรรคผ้ถู กู ร้องชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ กรณีพรรคการเมืองใช้จ่ายเงินสนบั สนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามท่ีบญั ญัติไว้ในกฎหมาย หรือไม่จดั ทํารายงานการใช้จ่ายเงินให้ถกู ต้องตามความเป็นจริงย่ืน นายทะเบียนพรรคการเมือง (ซง่ึ คือ กกต. คนหน่ึงคือนายอภิชาต สขุ คั คานนท์) โดยความเห็นชอบของ กกต. มีอํานาจพิจารณาย่ืนคําร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู เพ่ือให้มีคําสง่ั ยบุ พรรคการเมืองนนั้ ด้วยอํานาจของ กกต. ตามมาตรา 93 วรรคสอง48 ซง่ึ 48 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 “มาตรา 93 ในกรณีท่ีพรรคการเมืองใดมีเหตตุ ้องเลิกตามข้อบงั คบั พรรคการเมืองแต่พรรคการเมืองนนั้ ยงั มี สมาชิกเป็นสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรอยู่ หรือในกรณีที่พรรคการเมืองใดไม่ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 42 วรรคสอง หรือมาตรา 82 ให้ยบุ พรรคการเมืองนนั้ ” เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตตุ ามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการการเลือกตงั้ ยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนญู ภายในสิบห้าวนั นบั แต่วนั ท่ีความปรากฏต่อนายทะเบียน เม่ือ
400 ต้องกระทําภายใน 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ท่ีความปรากฏแก่นายทะเบียน หรืออีกทางหนึ่งก็ยื่นให้อยั การเป็น ผ้ดู ําเนินการตอ่ ตามมาตรา 9549 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ตรวจสอบว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทําการอนั ฝ่าฝืน พ.ร.ป. วา่ ด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 รวม 2 กรณี คอื (1) การ ที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จํากดั (มหาชน) จ่ายเงินคา่ จ้างทําส่ือโฆษณาให้กบั บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชน่ั จํากดั เป็นการอําพรางการบริจาคเงินของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จํากดั (มหาชน) ให้กบั ผ้ถู กู ร้อง และ (2) การใช้เงินสนบั สนุนพรรคการเมืองของผู้ร้องไม่เป็นไปตามกฎหมายและรายงานการใช้เงินไม่ ถกู ต้องตามความเป็นจริง หลงั จากได้รับแจ้งแล้ว นายอภิชาต ได้นําเร่ืองเข้าที่ประชุม กกต. เมื่อวนั ที่ 30 เมษายน 2552 คณะกรรมการการเลือกตงั้ ได้มีมติให้ตงั้ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเรื่องดงั กล่าว ตอ่ มาเมื่อวนั ท่ี 17 ธนั วาคม พ.ศ. 2552 กกต. ได้ประชมุ พิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน แล้วมีมตดิ ้วย เสียงข้างมากเห็นว่าการกระทําของพรรคประชาธิปัตย์เข้าขา่ ยความผิดตามกฎหมาย จงึ ให้นายทะเบียน พรรคการเมืองคําเนินการต่อด้วยการแจ้งให้อัยการสูงสุดตามมาตรา 95 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรค การเมือง พ.ศ. 2550 ทงั้ สองกรณี ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึน้ กับพรรคการเมืองตามคําร้ องของนายทะเบียน ให้ศาล รัฐธรรมนญู สงั่ ให้ยบุ พรรคการเมืองนนั้ 49 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 “มาตรา 95 เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรค การเมืองและได้ตรวจสอบแล้วเหน็ วา่ พรรคการเมืองใดกระทําการตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนโดยความเหน็ ชอบของ คณะกรรมการการเลือกตงั้ แจ้งต่ออยั การสงู สดุ พร้อมด้วยหลกั ฐาน เมื่ออยั การสงู สดุ ได้รับแจ้งให้พิจารณาเรื่องดงั กลา่ ว ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั ท่ีได้รับแจ้ง ถ้าอยั การสงู สดุ เห็นสมควร ก็ให้ย่ืนคําร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนญู มี คําสง่ั ยบุ พรรคการเมืองดงั กลา่ ว ถ้าอยั การสงู สดุ ไม่ย่ืนคําร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ให้นายทะเบียนตงั้ คณะทํางานขนึ ้ คณะ หน่งึ โดยมีผ้แู ทนจากนายทะเบียนและผ้แู ทนจากสํานกั งานอยั การสงู สดุ เพ่ือดําเนินการรวบรวมพยานหลกั ฐาน แล้วสง่ ให้อยั การสงู สุดเพ่ือย่ืนคําร้ องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทํางานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการ ดําเนินการยื่นคําร้ องได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีแต่งตัง้ คณะทํางาน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ มีอํานาจย่ืนคําร้องเอง”
401 แต่หลังจาก กกต. มีมติดงั กล่าวแล้วก็ยังมีแต่งตงั้ คณะกรรมการตรวจสอบอีก และได้มีการ ประชุม กกต. ในวนั ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553 โดยได้นําผลการตรวจสอบของคณะกรรมการดงั กล่าว เสนอให้ท่ีประชุม ท่ีประชุม กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้ อง และมติเสียงข้างมากให้นาย ทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งตอ่ อยั การสงู สดุ พร้อมด้วยหลกั ฐาน เพื่อให้อยั การสงู สดุ ย่ืนคําร้องเพ่ือให้ศาล รัฐธรรมนญู มีคําสง่ั ยบุ พรรคผ้ถู กู ร้อง ตามมาตรา 95 แตน่ ายนายอภิชาต มีความเห็นสว่ นตนว่าให้ กกต. เป็นผ้ยู ่ืนตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ตอ่ มาเม่ือวนั ที่ 21 เมษายน 2553 กกต. ได้ประชมุ กนั อีกครัง้ โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองใน ฐานะประธานกรรมการการเลือกตงั้ มิได้เข้าร่วมประชมุ ด้วย ที่ประชมุ ได้มีมติเป็นเอกฉนั ท์ เห็นชอบให้ นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนญู ให้ยบุ พรรคผ้ถู กู ร้อง ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรค การเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 93 โดยถือว่า ความเห็นส่วนตนของนายอภิชาต ที่ลงมติไว้ในการประชุม กกต. เม่ือวนั ท่ี 12 เมษายน 2553 เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นที่น่าสงั เกตวา่ การเลือกใช้ช่องทางในการดําเนินคดีเพ่ือยบุ พรรคการเมืองตามมาตรา 93 นนั้ จะต้องกระทําภายในสิบห้าวัน และได้กลายมาเป็นประเด็นชีข้ าดในการวินิจฉัยคดีนี ้ คําวินิจฉัยท่ี 15/2553 ศาลได้วนิ ิจฉยั วา่ “การที่ผ้รู ้องมีคาํ สง่ั แตง่ ตงั้ คณะกรรมการตรวจสอบ และคณะกรรมการการเลือกตงั้ มีมติ เสียงข้างมากในการประชุมเม่ือวนั ท่ี 12 เมษายน 2553 เห็นชอบให้ผู้ร้ องแจ้งอัยการ สูงสุดเพื่อยื่นคําร้ องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคําส่ังยุบพรรคผู้ถูกร้ อง ต่อมาวันท่ี 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการการเลือกตงั้ มีมตเิ ป็นเอกฉนั ท์ในการประชมุ เห็นชอบให้ผู้ ร้ องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นคําร้ องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคําสง่ั ยุบ พรรคผ้ถู กู ร้องนนั้ กระบวนการดงั กลา่ วข้างต้นเป็นการตรวจสอบภายในองค์กร และเป็น เพียงการยืนยนั การปรับบทบงั คบั ใช้กฎหมายให้ชดั เจนภายในองค์กรท่ียงั คงต้องอย่ใู น บงั คบั ตามระยะเวลาท่ีพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 93 วรรคสองกําหนด เป็นกรณีต้องย่ืนคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน สิบห้าวนั นับแต่วนั ที่ 17 ธันวาคม 2552 อนั เป็นวนั ที่คณะกรรมการการเลือกตงั้ มีมติ เสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน และถือเป็น วนั ที่ความปรากฏตอ่ ผ้รู ้องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย เมื่อผ้รู ้องยื่นคําร้อง
402 คดีนีใ้ นวนั ที่ 26 เมษายน 2553 จึงพ้นระยะเวลาสิบห้าวนั ตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว กระบวนการย่ืนคําร้องขอให้ยบุ พรรคผ้ถู กู ร้องจงึ ไมช่ อบด้วยกฎหมาย” ศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั โดยเสียงข้างมาก (4 ต่อ 2)50 ว่า กระบวนการยื่นคําร้องขอให้ยบุ พรรคผู้ ถกู ร้องไมช่ อบด้วยกฎหมาย กรณีไมจ่ ําต้องวนิ ิจฉยั ในประเดน็ อ่ืนอีกตอ่ ไป คาํ วินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ในกรณีการร้องให้ยบุ พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นอนั ตกไปโดยไม่จําเป็นต้องมีการพิจารณาตอ่ ว่าได้มีการ กระทําความผิดตามท่ีได้มีการกลา่ วหาหรือไม่ การยกคาํ ร้องดงั กลา่ วของทาง กกต. จงึ เป็นการวินิจฉยั ใน ประเดน็ เชิง “เทคนิค” ทางกฎหมายโดยท่ีไมไ่ ด้ทําการพจิ ารณาถึงเนือ้ หาของประเดน็ ท่ีได้มีการยื่นคําร้อง มาแตอ่ ยา่ งใด สําหรับกรณีการยกคําร้ องให้ ยุบพรรคประชาธิปัตย์นัน้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็ นส่ิงที่สืบ เนื่องมาจากการปฏบิ ตั หิ น้าที่ของทาง กกต. เป็นสาํ คญั จนทําให้ศาลรัฐธรรมนญู ได้มีคําสง่ั ให้ยกคําร้องใน ที่สดุ ทงั้ ที่การยื่นคําร้องเพ่ือให้ยบุ พรรคการเมืองนนั้ ทาง กกต. ได้ดําเนินการมาอยา่ งตอ่ เนื่องและไมเ่ คย ปรากฏกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนญู ยกคําร้องแต่อยา่ งใด จึงย่อมเป็นข้อสงั เกตว่าเพราะเหตใุ ดในกรณีการยบุ พรรคประชาธิปัตย์จึงสามารถเกิดความบกพร่องต่อการทําหน้าท่ีดังกล่าวได้ และประเด็นที่ศาล รัฐธรรมนญู ได้ใช้เป็นเหตใุ นการยกคาํ ร้องก็มใิ ช่ประเดน็ ท่ีมีความสลบั ซบั ซ้อนแตอ่ ยา่ งใด 50 โดยในเสียงข้างมากจํานวน 4 เสียงนนั้ 1 เสียงให้เหตผุ ลว่า คดีนีถ้ ือว่าความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรค การเมืองและคณะกรรมการการเลือกตงั้ ได้ให้ความเหน็ ชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองย่ืนคําร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้ตงั้ แต่วนั ท่ี 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552 แล้วการย่ืนคําร้องตามข้อกล่าวหาคดีนีจ้ ึงพ้นระยะเวลาสิบห้าวนั ตามท่ีกฎหมาย กําหนด สว่ นฝ่ายข้างมาก 3 เสียงให้เหตผุ ลวา่ ความยงั ไม่ปรากฏตอ่ นายทะเบียนพรรคการเมืองวา่ มีการกระทําฝ่าฝืน กฎหมาย อนั จะเป็นเหตใุ ห้ต้องยบุ พรรคผ้ถู กู ร้อง และนายทะเบียนพรรคการเมืองยงั มิได้มีความเห็นวา่ มีเหตใุ ห้ต้องยบุ พรรคผ้ถู กู ร้องตามมาตรา 93 วรรคสอง ทงั้ นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ยงั มิเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการ การเลอื กตงั้ แตอ่ ยา่ งใด สําหรับความเหน็ ของประธานกรรมการการเลอื กตงั้ ในการประชมุ คณะกรรมการการเลือกตงั้ เมื่อ วนั ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553 มิใช่การทําความเหน็ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กระบวนการย่ืนคําร้องขอให้ยบุ พรรคผ้ถู กู ร้องจงึ ไมช่ อบด้วยกฎหมาย
403 3.2 คาํ วินิจฉัยท่มี ีต่อสถาบนั การเมืองท่มี าจากเสียงข้างมาก ประเดน็ แรก การใช้อาํ นาจในฐานะฝ่ ายบริหาร ข้อโต้แย้งเก่ียวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญที่มีต่อรัฐบาลซึ่งจดั ตงั้ โดยฝ่ ายเสียงข้างมากจาก การเลือกตงั้ ได้ปรากฏให้เห็นภายหลงั จากท่ีพรรคพลงั ประชาชนประสบชยั ชนะในการเลือกตงั้ และได้เข้า มาเป็นรัฐบาลเม่ือ พ.ศ. 2551 การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลต้องเผชิญกับข้อโต้แย้งเกิดขึน้ หลายครัง้ ประเด็นสําคญั ในช่วงแรกของการทําหน้าที่ฝ่ ายรัฐบาลเกิดขึน้ เมื่อทางรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรีเม่ือ วนั ที่ 17 มถิ นุ ายน 2551 ให้ความเห็นชอบการขนึ ้ ทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ตอ่ มาวนั ท่ี 18 มถิ นุ ายน 2551 รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการตา่ งประเทศ นายนพดล ปัทมะ ได้ลงนามในคําแถลงการณ์ ร่วม (หรือ Joint Communiqué) ให้ความเห็นชอบการขึน้ ทะเบียนเป็นมรดกโลกของรัฐบาลกัมพูชา ตลอดจนการรับรองและจํากดั สทิ ธิบางประการของประเทศไทยในแถลงการณ์ร่วมดงั กลา่ ว ได้เกิดการโต้แย้งว่าคําแถลงการณ์ร่วมดงั กล่าวได้ดําเนินการโดยชอบและเข้าข่ายตามมาตรา 190 วรรคสอง51 ของรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 หรือไม่ เนื่องจากประเด็นสําคญั ในการโต้แย้งครัง้ นีก้ ็คือว่า คําแถลงการณ์ร่วมกบั ทางฝ่ ายกมั พชู านนั้ จะถือว่าเป็น “หนงั สือสญั ญา” หรือไม่ ถ้าหากเข้าข่ายว่าเป็น หนงั สือสญั ญาก็ต้องผา่ นความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนตามบทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู คาํ วนิ ิจฉยั ท่ี 6 – 7/2551 “สําหรับคําแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวนั ที่ 18 มิถุนายน 2551 นัน้ แม้จะ ไม่ได้ปรากฏสาระสาํ คญั อยา่ งชดั เจนว่าเป็นหนงั สือสญั ญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพืน้ ท่ี อันเป็ นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้ อบททัง้ หมดในคํา 51 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 190 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซงึ่ พระราชอํานาจในการทําหนงั สือสญั ญาสนั ติภาพ สญั ญาสงบศกึ และ สญั ญาอื่น กบั นานาประเทศหรือกบั องค์การระหวา่ งประเทศ” “หนงั สือสญั ญาใดมีบทเปล่ียนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพืน้ ที่นอกอาณาเขตซงึ่ ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอํานาจตามหนังสือสญั ญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบญั ญัติเพื่อให้การ เป็นไปตามหนงั สือสญั ญา หรือมีผลกระทบต่อความมน่ั คง ทางเศรษฐกิจหรือสงั คมของประเทศอยา่ งกว้างขวาง หรือมี ผลผกู พนั ด้านการค้า การลงทนุ หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนยั สําคญั ต้องได้รับความเหน็ ชอบของรัฐสภา ใน การนี ้รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสบิ วนั นบั แตว่ นั ที่ได้รับเรื่องดงั กลา่ ว”
404 แถลงการณ์ร่วมประกอบกบั แผนที่หรือแผนผงั แนบท้ายซงึ่ จดั ทําขนึ ้ โดยประเทศกมั พชู า แตเ่ พียงฝ่ ายเดียว อนั ประกอบเป็นสว่ นหน่ึงของคําแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่าง ชดั เจนว่าแผนท่ีดงั กล่าวได้กล่าวอ้างถึงพืน้ ท่ี N.1 N.2 และ N.3 โดยไม่ได้มีการกําหนด เขตของพืน้ ที่ N.1 N.2 และ N.3 ให้ชดั เจนว่ามีบริเวณครอบคลมุ สว่ นใด ของประเทศใด เป็นจํานวนเท่าใด ซึง่ เป็นการส่มุ เส่ียงต่อผลกระทบในเร่ืองอาณาเขตของประเทศไทย อนั เป็นปัญหาที่ละเอียดออ่ นและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอ่ ไปภายหน้า ได้ ประกอบกบั การที่ประเทศกมั พชู าขอขนึ ้ ทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนนั้ มีความเป็นมาทางประวตั ิศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกนั ในเรื่องของเส้นเขตแดนและ ขอบเขตท่ีปราสาทตงั้ อยู่ ทงั้ เป็นประเดน็ ท่ีมีความเห็นแตกตา่ งกนั ทงั้ ทางด้านสงั คมและ การเมืองมาโดยตลอด การท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดําเนินการ เจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคําแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว พึง เลง็ เห็นได้วา่ หากลงนามคาํ แถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกนั ทางด้าน ความคิดเห็นของคนในสงั คมประเทศทัง้ สองประเทศ อีกทัง้ อาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อนั มีผลกระทบต่อความมน่ั คง ทางสงั คมอยา่ งกว้างขวาง คําแถลงการณ์ร่วมดงั กลา่ วจงึ เป็นหนงั สือสญั ญาที่อาจมีบท เปล่ียนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนงั สือสญั ญาท่ีรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กําหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา” ด้วยเหตผุ ลดงั กล่าว ศาลรัฐธรรมนญู จึงวินิจฉัยชีข้ าดว่า คําแถลงการณ์ร่วมไทย – กมั พชู า เป็น หนงั สอื สญั ญาที่อาจมีบทเปล่ียนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทงั้ ยงั มีผลกระทบตอ่ ความมนั่ คงทางสงั คม ของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซงึ่ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนญู มาตรา 190 วรรคสอง ในกรณีดงั กล่าวนีเ้ ป็นท่ีชดั เจนว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มถ้อยคําว่า “อาจ” มีผลเปล่ียนแปลง อาณาเขตซึ่งเท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ “เขียนมาตรา 190 ขึน้ ใหม่”52 เน่ืองจากหากพิจารณาตาม บทบญั ญตั ิเป็นข้อความท่ีไม่ได้มีอย่ใู นรัฐธรรมนญู แตอ่ ย่างใด หากเป็นไปตามการวินิจฉยั ในคดีนีก้ ็ย่อม 52 ความเหน็ ของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ [ระบบออนไลน์] แหลง่ ที่มา https://prachatai.com/journal/2008/07/17353
405 หมายความว่าอํานาจในการทําสนธิสัญญาอยู่ท่ีศาล53 กรณีดงั กล่าวนีจ้ ึงเป็นตวั อย่างของการสร้ าง อํานาจด้วยคําวนิ ิจฉยั หรือเป็นการ “สร้างตนเอง” ขนึ ้ ของศาลรัฐธรรมนญู ที่ชดั เจน คําวินิจฉยั ในคดีนีไ้ ด้แสดงให้เห็นอย่างชดั เจนว่าแม้บทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู จะจํากดั ขอบเขต อํานาจรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบไว้คอ่ นข้างชดั เจน อนั จะทําให้รัฐบาลสามารถทําข้อตกลงดงั กลา่ ว โดยไม่จําเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ศาลก็ได้เพ่ิมเติมอํานาจในการวินิจฉัยคดี ในคํา วินิจฉยั นีจ้ ึงไม่ใช่ผลของการใช้อํานาจที่รัฐธรรมนญู ได้กําหนดไว้ หากแตศ่ าลรัฐธรรมนญู ได้สร้างอํานาจ ใหมใ่ ห้องค์กรของตนในการวินิจฉยั ในขอบเขตที่กว้างขวางขนึ ้ เป็นอยา่ งมาก ไม่เพียงการสร้างความหมายใหมใ่ ห้กบั บทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู เทา่ นนั้ ศาลรัฐธรรมนญู ยงั ได้ ใช้แนวทางการตีความข้อโต้แย้งที่ไม่ใช่เป็นหลกั วิชาทางด้านกฎหมาย หากแต่ใช้ความหมายโดยทวั่ ไป ตามพจนานกุ รม ซงึ่ เกิดขนึ ้ ในคดที ี่นายสมคั ร สนุ ทรเวช ผ้ซู งึ่ ดํารงตําแหน่งนายรัฐมนตรี (ในขณะนนั้ ) ถกู ร้องวา่ กระทําการฝ่าฝืนรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 มาตรา 26754 ซงึ่ บญั ญตั หิ ้ามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เป็นลูกจ้างของบุคคลใดเพ่ือให้การปฏิบตั ิหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นไปโดยชอบ แต่ ปรากฏว่านายสมัคร ได้เป็นพิธีกรให้กับบริษัท เฟซ มีเดีย จํากัด หลายรายการ ซึ่งคําว่า “พิธีกร” ถูก กล่าวหาว่าเป็นการดํารงตําแหน่งใดหรือเป็นลกู จ้างซ่ึงต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ในกรณีนี ้ ปมประเดน็ สําคญั ก็คือ หากพจิ ารณาความหมายของลกู จ้างตามกฎหมายอื่นๆ โดยเฉพาะตามกฎหมาย 53 ความเหน็ ของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ [ระบบออนไลน์] แหลง่ ท่ีมา https://prachatai.com/journal/2008/07/17353 ทงั้ นี ้วรเจตน์ ได้วพิ ากษ์วจิ ารณ์ตอ่ แนวคําวินิจฉยั นีต้ อ่ ไปอยา่ งสนใจ วา่ \"มนั ต้องดกู อ่ นวา่ อํานาจอยทู่ ี่ใคร เมื่อเขาเขียนวา่ หนงั สือสนธิสญั ญาแบบนีต้ ้องขอความเหน็ ชอบจากสภาฯ ก็ หมายความวา่ หนงั สอื สญั ญาอ่ืนๆ ไมต่ ้องขอความเหน็ ชอบใช่ไหม หลกั ทวั่ ไปคือไมต่ ้องขอความเหน็ ชอบ ข้อยกเว้นคือ ต้องมาขอความเหน็ ชอบตามที่กําหนดในมาตรา 190 เม่ือเราได้หลกั แบบนีก้ ต็ ้องเขียนข้อยกเว้นท่ีมนั จํากดั ครัดเคร่ง บงั เอิญเรามีปัญหาวา่ มาตรา 190 เขียนไว้เป็นทะเล เมื่อกฎหมายมนั กว้างอยแู่ ล้ว ศาลยงั จะตีความขยายออกไปได้อีก หรือครับ เขาบอกวา่ มีบทเปล่ียนแปลงอาณาเขตไทย แล้วไปตีความวา่ อาจจะมีบทเปลย่ี นแปลงอาณาเขตไทย มนั เป็น ข้อยกเว้น คณุ ตีความขยายข้อยกเว้นออกไปอีก ก็เทา่ กบั วา่ ตอ่ ไปหลกั ก็คือ ณ บดั นีป้ ระเทศไทยอํานาจในการทํา สนธิสญั ญาโดยแท้จริงอยทู่ ่ีศาลบญั ญตั ิ อยา่ งนนั้ หรือครับ\" 54 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 267 ให้นําบทบญั ญัติมาตรา 265 มาใช้บงั คบั กบั นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีด้วย เว้นแต่เป็นการ ดํารงตําแหน่งหรือดําเนินการตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย และจะดํารง ตําแหน่งใดในห้างห้นุ สว่ น บริษัท หรือองค์การ ท่ีดําเนินธุรกิจโดยมงุ่ หาผลกําไรหรือรายได้มาแบง่ ปันกนั หรือเป็นลกู จ้างของบคุ คลใดก็มไิ ด้ด้วย”
406 แพ่งและพาณิชย์ การกระทําของนายสมคั ร ก็จะไม่เข้าข่ายนีแ้ ต่อย่างใด แต่การวินิจฉัยในคดีนี ้ ศาล รัฐธรรมนญู ก็ได้ใช้ความหมายโดยทวั่ ไปตามพจนานกุ รม คาํ วินิจฉยั ท่ี 12 – 13/ 2551 ศาลรัฐธรรมนญู เห็นวา่ “การทําให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วบรรลผุ ลจงึ มิใช่แปลความคําวา่ ‘ลกู จ้าง’ ในรัฐธรรมนญู มาตรา 267 เพียงหมายถึงลกู จ้างตามความหมายแห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ ตามกฎหมายค้มุ ครองแรงงาน หรือตามกฎหมายภาษีอากร เท่านนั้ เพราะกฎหมายแตล่ ะฉบบั ย่อมมีเจตนารมณ์แตกตา่ งกนั ไปตามเหตผุ ลแห่งการบญั ญตั ิ กฎหมายนัน้ ๆ ทัง้ กฎหมายดงั กล่าวเป็นกฎหมายท่ีมีศักดิ์ต่ํากว่ารัฐธรรมนูญซ่ึงเป็น กฎหมายสงู สดุ ท่ีใช้ในการปกครองประเทศ และยงั มีเจตนารมณ์เพื่อปอ้ งกนั การกระทํา ท่ีเป็นการขดั กนั แห่งประโยชน์แตกต่างจากกฎหมายดงั กลา่ วอีกด้วย อน่ึง รัฐธรรมนญู เป็นกฎหมายท่ีกําหนดหลักเกณฑ์การปกครองประเทศ มุ่งจัดตัง้ รับรองสถานะของ สถาบนั และสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กําหนดพืน้ ฐานในการดําเนินการของรัฐ เพื่อให้รัฐได้ใช้เป็นหลักในการปรับใช้กับสภาวการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่าง ถกู ต้องตามเจตนารมณ์” “ดงั นนั้ คําว่า ‘ลกู จ้าง’ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 267 จงึ มีความหมายกว้างกว่าคํานิยาม ของกฎหมายอื่น โดยต้องแปลความตามความหมายทวั่ ไป ซ่ึงตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของคําว่า ‘ลกู จ้าง’ ว่าหมายถึง ‘ผู้รับ จ้างการทํางาน; ผ้ซู ง่ึ ตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับคา่ จ้าง ไมว่ า่ จะเรียกชื่ออยา่ งไร’ โดย มิได้คํานึงวา่ จะมีการทําสญั ญาจ้างเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรหรือไม่ หรือได้รับคา่ ตอบแทน เป็นคา่ จ้าง สนิ จ้าง หรือคา่ ตอบแทนในลกั ษณะที่เป็นทรัพย์สินอยา่ งอื่น หากมีการตกลง เป็นผ้รู ับจ้างทําการงานแล้ว ย่อมอย่ใู นความหมายของคําว่า ‘ลกู จ้าง’ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 267 ทงั้ สนิ ้ ” ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์จึงวินิจฉัยว่านายสมัคร กระทําการอันต้องห้ามตาม รัฐธรรมนญู ความเป็นนายกรัฐมนตรีจงึ สนิ ้ สดุ ลง แม้ จะดูราวกับว่าแนวคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ อํานาจตรวจสอบและกํากับการใช้ อํานาจของสถาบันการเมืองที่มาจากเสียงข้างมากอย่างเข้มงวด แต่จะพบว่าในบางช่วงจังหวะ
407 โดยเฉพาะในระยะเร่ิมต้นของรัฐบาลชดุ ใหม่ คําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ก็ยงั มีความแตกตา่ งออกไป ให้เห็น ดงั การปฏิเสธการโต้แย้งต่อการยื่นคําร้ องให้มีการตรวจสอบการใช้อํานาจของรัฐบาลเกิดขึน้ เชน่ กนั โดยคณะรัฐมนตรีเสนอร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สภา ผ้แู ทนราษฎรมีมติในวาระท่ีหนึ่งขนั้ รับหลกั การ และตงั้ คณะกรรมาธิการวิสามญั พิจารณา หน่วยงาน ตา่ งๆ ส่งคําขอเพ่ิมงบประมาณไปยงั สํานกั งบประมาณ และคณะรัฐมนตรีมตอิ นมุ ตั ิ การเสนอคําขอเพ่ิม งบประมาณรายจา่ ย และการพจิ ารณาของคณะกรรมาธิการวิสามญั ได้ปรับลด ได้มีกรณีท่ีสมาชิกเห็นวา่ การเพ่ิมงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2552 มีการกระทําฝ่าฝืนบทบญั ญตั ริ ัฐธรรมนญู มาตรา 168 วรรคหก55 ซง่ึ ห้ามมิให้ ส.ส. หรือ ส.ว. มีสว่ นในการใช้จา่ ยงบประมาณดงั กลา่ ว คําวินิจฉยั ท่ี 14/2551 ศาลให้ความเห็นวา่ “ที่ผ้รู ้องให้ข้อเท็จจริงในการชีแ้ จงตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญว่า งบประมาณรายจ่ายท่ีตงั้ เพิ่ม เป็นการแปรญตั ติเพ่ือผลประโยชน์ของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรนนั้ ไมป่ รากฏหลกั ฐาน ใดแสดงให้เห็นว่าเป็นการตงั้ เพ่ิมเพ่ือประโยชน์ของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรในพืน้ ท่ีใด หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสัดส่วนในเขตใด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ กรรมาธิการวิสามัญจะมีส่วนในขัน้ ตอนการใช้งบประมาณรายจ่ายที่ขอเพิ่มเติม ดังกล่าวไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมอย่างไร กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า มีการกระทําให้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา หรือกรรมาธิการคนใด เข้าไปมีสว่ นในการใช้ งบประมาณรายจ่ายท่ีขอเพิ่มเติมดงั กล่าวไม่วา่ โดยทางตรงหรือทางอ้อมอนั จะเป็นการ กระทําท่ีฝ่าฝืนบทบญั ญตั ริ ัฐธรรมนญู มาตรา 168 วรรคหก” คําวินิจฉยั ตอ่ มาเกิดขนึ ้ ในระยะเร่ิมต้นของรัฐบาลที่นําโดยนางสาวยิ่งลกั ษณ์ ชินวตั ร รัฐบาลได้ ออก พ.ร.ก. กู้เงินเพ่ือการวางระบบบริหารจดั การนํา้ และสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 และ พ.ร.ก. 55 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 168 (วรรคหก) ในการพิจารณาของสภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ ิสภา หรือของคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใดๆ ท่ีมีผลให้สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา หรือกรรมาธิการ มี สว่ นไมว่ า่ โดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจา่ ย จะกระทํามไิ ด้”
408 ปรับปรุงการบริหารหนีเ้ งินกู้เพ่ือช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื ้นฟูและพฒั นาระบบสถาบนั การเงิน พ.ศ. 2555 ซง่ึ ได้ถกู โต้แย้งและนําไปส่กู ารวินิจฉัยว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหน่ึงและวรรค สอง หรือไม่ กรณีแรก พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลงั กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการนํา้ และสร้ าง อนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 เป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันท่ีจะรักษาความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจของ ประเทศหรือปอ้ งปัดภยั พิบตั สิ าธารณะ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนง่ึ หรือไม่ คําวนิ ิจฉยั ที่ 5 – 7/ 2555 เห็นวา่ “การตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั กู้เงินเพ่ือวางระบบบริหารจดั การ นํา้ และสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ก็เพื่อประโยชน์ในการปอ้ งกนั และบรรเทาความ เสียหายที่เกิดขึน้ จากปัญหาอทุ กภยั รวมทงั้ การสร้างความเช่ือมน่ั ทางเศรษฐกิจให้แก่ นักลงทุนและประชาชนโดยท่ัวไป เนื่องจากปัญหาอุทกภัยดังกล่าวได้สร้ างความ เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรุนแรง และมีความเสียหายต่อ ทรัพย์สินของประชาชนเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะความเสียหายท่ีเกิดขนึ ้ กบั ผ้ปู ระกอบ กิจการในนิคมอตุ สาหกรรมที่ถูกนํา้ ท่วม มีโรงงานได้รับผลกระทบทงั้ สิน้ 841 โรงงาน ซงึ่ โรงงานสว่ นใหญ่เป็นแหลง่ ผลติ วตั ถดุ บิ ของอตุ สาหกรรมที่สาํ คญั ของประเทศ” จึงเห็นว่าเป็นกรณีเพ่ือประโยชน์ในอนั ที่จะรักษาความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และ ปอ้ งปัดภยั พบิ ตั สิ าธารณะ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนง่ึ ประเด็นพิจารณาว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตาม รัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคสองหรือไม่ เห็นวา่ “การที่รัฐบาลจดั ให้มีการดําเนินการเพ่ือวางระบบบริหารจดั การนํา้ ตามยทุ ธศาสตร์การ บรรเทาอุทกภัยในพืน้ ที่ลุ่มนํา้ เจ้าพระยา แบบบูรณาการและย่ังยืนที่จะต้องใช้เงิน จํานวน 350,000 ล้านบาท ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั กู้เงินเพื่อ การวางระบบบริหารจัดการนํา้ และสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 จึงเป็นการสร้ าง ความเช่ือมนั่ ในการประกอบอาชีพของประชาชนและผู้ลงทุนท่ีอยู่ในพืน้ ท่ีดําเนินการ ตามยทุ ธศาสตร์ และเป็นการปอ้ งกนั ภยั พิบตั ทิ ี่จะเกิดขนึ ้ ในเวลาอนั ใกล้จะถงึ ”
409 ศาลรัฐธรรมนญู จึงวินิจฉยั ว่า การตรา พ.ร.ก. ฉบบั นีจ้ ึงเป็นกรณีฉกุ เฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วน อนั มอิ าจจะหลกี เลีย่ งได้ตามรัฐธรรมนญู กรณีท่ีสอง การตรา พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนีเ้ งินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือ กองทุนเพื่อการฟื ้นฟูและพฒั นาระบบสถาบนั การเงิน พ.ศ. 2555 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคหน่ึงและวรรคสองหรือไม่ ประเด็นพิจารณาว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะแก้ ไขปัญหาหนี ้ สาธารณะของรัฐบาล เน่ืองจาก กระทรวงการคลังต้องตัง้ งบประมาณรายจ่ายอันเป็นเงินภาษีของ ประชาชนเพื่อชําระหนีเ้งินต้นหรือดอกเบีย้ อนั เกิดจากปัญหาวกิ ฤตกิ ารณ์ทางการเงินเมื่อปี พ.ศ. 2540 ซง่ึ รัฐบาลได้ตงั้ งบประมาณรายจ่ายสําหรับการชําระดอกเบีย้ ของหนีเ้ งินกู้ดงั กล่าวตลอดระยะเวลา 15 ปี แต่ชําระเงินต้นไปได้เพียงร้ อยละ 13 ของหนีเ้ งินกู้ ซ่ึงในปัจจุบนั ยงั คงมีหนีค้ ้างชําระอยู่ถึง 1,140,000 ล้านบาท หากรัฐบาลต้องตงั้ งบประมาณรายจ่ายเพ่ือชําระเงินกู้ดงั กล่าวต่อไปอีก ย่อมเป็นภาระต่อ งบประมาณที่รัฐบาลต้องจัดหามาให้ ซึ่งในปีงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2555 รัฐบาลได้ตัง้ งบประมาณรายจา่ ยเพ่ือการชําระดอกเบีย้ เงินก้ดู งั กลา่ วเป็นเงินจํานวน 68,430 ล้านบาท ทําให้รัฐบาลมี เงินสําหรับลงทนุ ในโครงสร้างพืน้ ฐานของระบบเศรษฐกิจและสงั คมลดน้อยลง ศาลมีความเห็นวา่ “การท่ีรัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยควบคมุ ดแู ลการชําระหนีเ้ งินกู้ ของกองทนุ เพ่ือการฟื น้ ฟแู ละพฒั นาระบบสถาบนั การเงินโดยนํากําไรสทุ ธิของธนาคาร แห่งประเทศไทย เงินหรือทรัพย์สินของกองทุนเพื่อการฟื น้ ฟูและพฒั นาระบบสถาบนั การเงิน รวมทงั้ การนําสง่ เงินที่สถาบนั การเงินสง่ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เกินร้อย ละ 1 ของยอดเงินที่สถาบนั การเงินได้รับจากประชาชน ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาหนี ้ เงินก้ทู ี่รัฐบาลนํามาชว่ ยเหลือสถาบนั การเงินอยา่ งเป็นระบบ และเป็นผลให้รัฐบาลมีเงิน งบประมาณที่ไมต่ ้องจดั สรรไปชําระดอกเบีย้ เงินก้ใู นแตล่ ะปี เพื่อนํามาใช้ในการพฒั นา ประเทศ จงึ เห็นว่า เป็นกรณีเพ่ือประโยชน์ในอนั ท่ีจะรักษาความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจ ของประเทศตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนงึ่ ” ประเด็นพิจารณาว่า เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเล่ียงได้ ตาม รัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคสอง หรือไม่ เห็นวา่
410 “การตราพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนีเ้งินก้ทู ี่กระทรวงการคลงั ก้เู พ่ือช่วยเหลือ กองทนุ เพ่ือการฟื น้ ฟแู ละพฒั นาระบบสถาบนั การเงิน พ.ศ. 2555 มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือให้ การบริหารจดั การหนีข้ องกองทนุ เพ่ือการฟื น้ ฟูและพฒั นาระบบสถาบนั การเงินเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือสร้ างความเชื่อมน่ั ในทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรัฐบาล สามารถนําเงินท่ีต้องจ่ายดอกเบีย้ กู้เงินประมาณปี ละกว่า 60,000 ล้านบาท มา ดําเนินการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมโดยสว่ นรวม” ในกรณีการตรา พ.ร.ก. ทงั้ สองฉบบั ศาลรัฐธรรมนญู เห็นว่าเป็นไปเพ่ือประโยชน์ในอนั ที่จะรักษา ความม่ันคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นกรณีฉุกเฉินท่ีมีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะ หลีกเลี่ยงได้ ตามรัฐธรรมนญู มาตรา 184 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การยอมรับอํานาจของฝ่ ายบริหารใน การตรา พ.ร.ก. จึงช่วยแสดงให้เห็นว่าคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มิได้เป็นปฏิปักษ์กับสถาบัน การเมืองที่มาจากเสียงข้างมากโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในกรณีทงั้ สองนีส้ ว่ นหนึ่งอาจเป็นแรงกดดนั มา จากประเด็นทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอยา่ งมาก อนั จําเป็นต้องมีการก้เู งินเพื่อนํามาใช้ในกิจกรรม ตา่ งๆ เพ่ือกระต้นุ ความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ ประเดน็ ท่สี อง การใช้อาํ นาจในฐานะฝ่ ายนิตบิ ัญญัติ การใช้อํานาจในฐานะฝ่ ายนิติบญั ญัติที่สําคญั ซ่ึงต้องเผชิญกบั การโต้แย้งจากอํานาจของศาล รัฐธรรมนญู เป็นผลมาจากการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเตมิ รัฐธรรมนญู ซง่ึ มีสาระสําคญั คอื การกําหนดให้ มีวิธีการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ขนึ ้ ใหมท่ งั้ ฉบบั เพ่ือเป็นพืน้ ฐานสําคญั ในการปฏิรูปการเมือง โดยให้มีสภา ร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วย สมาชิกสองประเภท ประเภทหน่ึง มาจากการเลือกตงั้ ในจังหวัด และ ประเภทที่สอง มาจากรัฐสภาคัดเลือกบุคคลจากหลายสาขาอาชีพรวมเป็นองค์กรในการจัดทําร่าง รัฐธรรมนญู ซงึ่ ที่ประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภาก็ได้มีมตเิ ห็นชอบในวาระท่ีหนึ่ง ขนั้ รับหลกั การ และวาระท่ีสอง ก็ ได้มีการพิจารณาเรียงมาตรา56 ก่อนท่ีจะมีการลงมติเห็นชอบในวาระท่ีสาม ต่อมา พล.อ. สมเจตน์บุญ 56 ยุติธรรม ปัทมะ, “บทความวิชาการ เร่ืองการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291”, (ไม่ปรากฏช่ือ วารสาร แต่เป็นของสํานกั วิชาการ สํานักงานเลขาธิการวฒุ ิสภา) ปีที่ 3 ฉบบั ที่ 5 เมษายน 2556, หน้า 5 – 6. สืบค้น ระบบออนไลน์ http://library.senate.go.th/document/Ext6023/6023007_0002.PDF
411 ถนอม และคณะ ได้ยื่นคําร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉยั ว่าการจดั ทําร่างรัฐธรรมนูญนีม้ ีผลเป็น การยกเลิกรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 อนั เป็นการกระทําเพ่ือล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ และเพ่ือให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางที่บญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 มาตรา 6857 คาํ วินิจฉยั ที่ 18 – 22/2555 ศาลรัฐธรรมนญู ได้คําวนิ ิจฉยั ในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปนี ้ ประเด็นที่หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีอํานาจรับคําร้ องนีไ้ ว้ พิจารณาวินิจฉัยตาม รัฐธรรมนญู มาตรา 68 ประเด็นท่ีสอง การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 โดยการยกร่างใหม่ ทงั้ ฉบบั แม้จะเป็นอํานาจของรัฐสภาก็ตามก็ยงั ไม่สอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู มาตรา 291 เน่ืองจากรัฐธรรมนญู ฉบบั ปัจจบุ นั นีไ้ ด้มาโดยการลงประชามตขิ องประชาชน ก็ควรจะได้ให้ประชาชนผ้มู ี อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่หรือไม่ หรือ รัฐสภาจะใช้อํานาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนญู เป็นรายมาตราก็เป็นความเหมาะสมและเป็นอํานาจ ของรัฐสภาที่จะดําเนินการดงั กล่าวนีไ้ ด้ซงึ่ จะเป็นการสอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 57 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนญู เพ่ือล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ ตามรัฐธรรมนญู นี ้หรือเพ่ือให้ได้มาซงึ่ อํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทางท่ีบญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนญู นี ้มไิ ด้” ในกรณีท่ีบุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหน่ึง ผ้ทู ราบการกระทําดงั กล่าวย่อมมีสิทธิเสนอ เร่ืองให้อยั การสงู สดุ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและย่ืนคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั สงั่ การให้เลิกการกระทําดงั กลา่ ว แตท่ งั้ นี ้ไมก่ ระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาตอ่ ผ้กู ระทําการ ดงั กลา่ ว ในกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั สงั่ การให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทําการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนญู อาจ สงั่ ยบุ พรรคการเมืองดงั กลา่ วได้ ในกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนญู มีคําสงั่ ยบุ พรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตงั้ ของหวั หน้าพรรค การเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองท่ีถกู ยบุ ในขณะท่ีกระทําความผิดตามวรรคหน่งึ เป็นระยะเวลาห้าปีนบั แตว่ นั ที่ศาลรัฐธรรมนญู มีคําสงั่ ดงั กลา่ ว
412 ประเด็นท่ีสาม การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไม่ถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ หรือเพื่อให้ได้มาซ่ึงอํานาจในการปกครอง ประเทศโดยวธิ ีการซง่ึ มไิ ด้เป็นไปตามวถิ ีทางที่บญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู นี ้ เพราะฉะนัน้ จึงไม่จําต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจะถือเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องสง่ั ยุบ พรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิเลือกตงั้ ของหวั หน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือไม่ สําหรับคําวินิจฉัยนีไ้ ด้ทําให้เกิดข้อโต้แย้งในประเด็นท่ีนํามาซ่ึงถามต่อการใช้อํานาจของศาล รัฐธรรมนญู อยา่ งสําคญั ใน 2 ประเดน็ ประเด็นแรก กระบวนการในการนําคดีไปสู่ศาล ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับคดีด้วยการอ้างถึง มาตรา 68 วรรค 8 อย่างไรก็ตาม ได้ปรากฏการโต้แย้งอย่างกว้างขวางว่ากรณีนีบ้ ทบัญญัติตาม รัฐธรรมนูญได้เขียนไว้อย่างชดั เจนว่าผ้รู ้องต้องยื่นผ่านอยั การสงู สดุ “และ” อยั การสงู สดุ จะเป็นผู้ยื่นสู่ ศาลรัฐธรรมนญู ประชาชนไมส่ ามารถใช้สทิ ธินําคดีไปสศู่ าลรัฐธรรมนญู ได้โดยตรง รวมทงั้ หากพิจารณา จากการอภิปรายของสมาชิกในที่ประชมุ ตามรายงานการประชมุ ของสภาร่างรัฐธรรมนญู ก็จะพบวา่ เป็น ท่ีเข้าใจร่วมกนั ว่าการย่ืนคําร้องตามมาตรานีจ้ ะกระทําผ่านอยั การสงู สดุ 58 ไม่ว่ากรณีนีจ้ ะถกู อธิบายว่า เป็นการตีความแบบกว้างหรือเป็นการ “ตีความผิด”59 ก็ตาม แต่การรับคดีดงั กล่าวไว้พิจารณาก็เห็นได้ ชดั เจนวา่ เป็นการ “สร้างตนเอง” ขนึ ้ ของศาลรัฐธรรมนญู ประเด็นท่ีสอง กรณีท่ีจะเข้ามาตรา 68 ต้องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนญู เพื่อนําไปสู่ การล้มล้างการปกครองหรือเพ่ือให้ได้มาซง่ึ อํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญมิได้เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือพรรค การเมือง หากเป็นการกระทําของรัฐสภา 58 การอภิปรายเกี่ยวกบั ร่างมาตรา 68 นี ้ปรากฏอยใู่ น รายงานประชมุ สภาร่างรัฐธรรมนญู ครัง้ ที่ 27/2550 วนั จนั ทร์ท่ี 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2550, หน้า 3 – 34 อย่างไรก็ตาม ในรายงานการประชุมมาตราดงั กล่าวยงั เป็นมาตรา 67 ก่อนท่ีจะปรับแก้เป็นมาตรา 68 ภายหลงั จากรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ประกาศใช้ 59 ความเห็นของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ใน “วรเจตน์ - คํานูณ ถกผ่าน \"ตอบโจทย์\" เร่ืองคําสง่ั ศาลรัฐธรรมนูญ” [ระบบออนไลน์] แหลง่ ที่มา https://prachatai.com/journal/2012/06/40874
413 ทัง้ นี ้ เป็นท่ีน่าสนใจเป็นอย่างมากว่าในระหว่างที่ได้รับคําร้ องดังกล่าวไว้พิจารณา ศาล รัฐธรรมนูญมีหนังสือมายังเลขาธิ การสภาผ้ ูแทนราษฎรให้ แจ้ งประธานรัฐสภาให้ รอการดําเนินการ เก่ียวกบั การแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนญู จะมีคําวินิจฉยั 60 ซึง่ กรณีดงั กล่าวนีถ้ ือเป็น การใช้อํานาจที่มิได้มีบทบญั ญตั ิตามรัฐธรรมนญู รองรับไว้แต่อย่างใด หากพิจารณาถึงบทบาทของศาล รัฐธรรมนญู ในกรณีดงั กลา่ วนบั ว่าเป็นการใช้อํานาจท่ีไม่ได้จํากดั เฉพาะเพียงการวินิจฉยั ข้อโต้แย้งในข้อ พิพาทเท่านัน้ อย่างไรก็ตาม การใช้อํานาจนีก้ ็ได้มีการโต้แย้งเกิดขึน้ อย่างกว้างขวางว่าคําสั่งศาล รัฐธรรมนญู ฉบบั นีไ้ ม่ถือเป็นการใช้อํานาจตามรัฐธรรมนญู แตอ่ ย่างใด ทางประธานศาลรัฐธรรมนญู ก็ได้ ให้คําชีแ้ จงเพม่ิ เตมิ วา่ “ศาลไมไ่ ด้สงั่ ให้รัฐสภาหยดุ การพจิ ารณา”61 ต่อมา ทางรัฐสภาได้ทําการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเปล่ียนแปลงให้ ส.ว. มาจากการเลือกตัง้ โดยตรง จากเดิมรัฐธรรมนญู กําหนดให้ ส.ว. จํานวนหนง่ึ มาจากการเลือกตงั้ และอีกสว่ นหน่งึ มาจากการ สรรหา62 ในการแก้ไขรัฐธรรมนญู นีท้ างฝ่ายผ้เู สนอแก้ไขก็ได้ดําเนินการตามกระบวนการท่ีได้บญั ญตั ไิ ว้ใน รัฐธรรมนญู ทางผู้ร้ องท่ี 1 (พลเอกสมเจตน์ บุญคณะ กับคณะ) อ้างว่า หลักการและเหตุผลของร่าง รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่กําหนดให้ ส.ว. มาจากการเลือกตงั้ โดยตรงจากประชาชนเช่นเดียวกบั ส.ส. ทําให้วฒุ ิสภาไม่อาจทําหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ ายบริหาร และทําให้หลกั การ 60 หนงั สือที่ ศร 006/440 ลงวนั ที่ 1 ม.ิ ย. 2555 61 คําชีแ้ จงของ วสนั ต์ สร้อยพิสทุ ธ์ิ วนั ที่ 6 มิถนุ ายน พ.ศ. 2555 “ปธ.ศาล รธน. ชีส้ ภาต้องรับผิดชอบ-ถ้า ดาํ เนินการแล้วมีอะไรเกดิ ขนึ้ ” [ระบบออนไลน์] แหลง่ ท่ีมา https://prachatai.com/journal/2012/06/40906 นายวสนั ต์ กล่าวว่า “ตามคําร้องอ้างว่าการแก้รัฐธรรมนญู ครัง้ นี ้เป็นผลให้ยกเลิกรัฐธรรมนญู 2550 ทงั้ ฉบบั ซึ่งเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ให้เป็นการปกครองอย่างอ่ืน ข้อกล่าวหาอย่างนีใ้ หญ่พอให้ศาล พิจารณา เรื่องจะพลกิ ฟ้าพลิกแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงการปกครอง จะให้เป็นอํานาจของอยั การสงู สดุ เพียงอยา่ งเดียวหรือ และขณะนีย้ งั อย่ใู นชนั้ รับคําร้อง ซ่ึงศาลไม่ได้สง่ั ให้รัฐสภาหยดุ การพิจารณา แต่มีหนงั สือแจ้งสํานกั เลขาธิการสภาว่า ขอให้แจ้งประธานสภา สว่ นสภาจะดําเนินอยา่ งไรเป็นเร่ืองของสภา หากเกิดอะไรขนึ ้ สภาต้องรับผดิ ชอบ” 62 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 111 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวมหนึ่งร้ อยห้าสิบคน ซ่ึงมาจาก การเลือกตัง้ ในแต่ละ จงั หวดั จงั หวดั ละหน่ึงคน และมาจากการสรรหาเท่ากบั จํานวนรวมข้างต้น หกั ด้วยจํานวนสมาชิกวฒุ ิสภาที่มาจากการ เลือกตงั้ ”
414 ตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อํานาจรัฐถูกทําลาย ประกอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมในส่วน คณุ สมบตั ิและลกั ษณะต้องห้ามของผ้สู มคั รรับเลือกตงั้ เป็นสมาชิกวฒุ ิสภาได้เปิดโอกาสให้บคุ คลท่ีเป็น บพุ การี ค่สู มรส หรือบุตรของผ้ดู ํารงตําแหน่ง ส.ส. หรือผ้ดู ํารงตําแหน่งทางการเมืองสามารถสมคั รรับ เลอื กตงั้ เป็น ส.ว. ได้ ผู้ร้ องจึงเห็นว่าการใช้ สิทธิแก้ ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้ องทัง้ หมดมีผลเป็ นการ เปลย่ี นแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ หรือเปล่ียนแปลง รูปของรัฐและมีเจตนาเพื่อให้ได้มาซงึ่ อํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซง่ึ มิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู อนั เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนญู มาตรา 68 วรรคหนง่ึ ในคดีนีก้ ็ได้มี คําวินิจฉัยท่ี 15 - 18/2556 โดยศาลรัฐธรรมนูญก็ได้รับไว้พิจารณาโดยเห็นว่า เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนญู มาตรา 68 วรรค 2 โดยอ้างว่าผ้ถู กู ร้องได้ทําการเพ่ือล้มล้างการปกครอง หรือเพ่ือให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซ่ึงไม่ได้บญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี ้ ศาล รัฐธรรมนญู จงึ มีอํานาจที่จะพจิ ารณาวินิจฉยั ได้อนั เป็นไปตามแนววินิจฉยั ที่ได้เคยวางไว้ก่อนหน้า การยื่น คําร้ องโดยตรงของประชาชนสามารถเกิดขึน้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ “เร่ิมต้นรับ”63 แม้ว่าจะถูก โต้แย้งถงึ ความชอบด้วยบทบญั ญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู ก็ตาม สําหรับปัญหาการแก้ไขเพิ่มเติมเนือ้ หาของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมว่ามีลกั ษณะเป็นการ กระทําเพ่ือให้ได้มาซง่ึ อํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซง่ึ มิได้เป็นไปตามวิถีทางท่ีบญั ญตั ิไว้ใน รัฐธรรมนญู นีห้ รือไม่ ศาลให้เหตผุ ลตอ่ การวินิจฉยั ในเบือ้ งต้นถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ซึ่งกําหนดให้รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร เพ่ือให้มีดุลยภาพต่าง ระหว่างกนั โดยได้กําหนดบทบาทของวฒุ ิสภาให้เป็นองค์กรตรวจทานกลนั่ กรองการทํางานและถ่วงดลุ อํานาจกบั ส.ส. โดยให้อํานาจ ส.ว. ในการตรวจสอบถอดถอน ส.ส. ในกรณีท่ีถกู กลา่ วหาว่ามีพฤตกิ รรม ร่ํารวยผิดปกติ สอ่ ไปในทางทจุ ริตตอ่ หน้าท่ี สอ่ ว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขดั ตอ่ บทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู หรือกฎหมายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรฐานจริยธรรมอยา่ งร้ายแรง ซง่ึ เม่ือพจิ ารณาจากอํานาจหน้าที่ แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ ส.ว. เป็นอิสระจาก ส.ส. อย่างแท้จริง จึงได้ 63 นันทวัฒน์ บรมานันท์, “บทบรรณาธิการ” PUBLIC LAW NET เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย. [ระบบ ออนไลน์] แหลง่ ที่มา http://public-law.net/publaw/view.aspx?id=1888
415 บญั ญตั หิ ้ามความสมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกนั ดงั กลา่ วเพราะหากยอมให้ ส.ว. และ ส.ส. มีความสมั พนั ธ์ใกล้ชิด กนั ยอ่ มไมอ่ าจหวงั ได้วา่ จะมีการตรวจสอบอยา่ งตรงไปตรงมา อนั เป็นการขดั หลกั การดลุ และคานอํานาจ ซง่ึ กนั และกนั อนั เป็นหลกั การพืน้ ฐานของรัฐธรรมนญู นี ้ “สําหรับการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญตามคําร้องนี ้เป็นการแก้กลบั ไปส่จู ุดบกพร่องที่ เคยปรากฏมาแล้วในอดีต เป็นจุดบกพร่องท่ีล่อแหลม เสี่ยงต่อการสญู สิน้ ศรัทธาและ สามคั คีธรรมของมวลหมมู่ หาชนชาวไทย เป็นความพยายามนําประเทศชาติให้ถอยหลงั เข้าคลอง ทําให้วุฒิสภากลบั ไปเป็นสภาญาติพี่น้อง สภาครอบครัว และ สภาผัวเมีย สญู เสียสถานะและศกั ยภาพแห่งการเป็นสติปัญญาให้แก่สภาผ้แู ทนราษฎรกลายเป็น เพียงเสียงสะท้อนของมวลชนกล่มุ เดียวกัน ทําลายสาระสําคญั ของการมีสภา นําพา ไปสกู่ ารผกู ขาดอํานาจรัฐ ตดั การมีสว่ นร่วมของปวงประชาหลากสาขาหลายอาชีพ เป็น การเปิดช่องให้ผ้รู ่วมกระทําการครัง้ นีก้ ลบั มีโอกาสได้มาซ่ึงอํานาจในการปกครองโดย วิธีการท่ีมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี ้ คือ รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ซ่ึงได้รับความเห็นชอบจากการออกเสียงแสดง ประชามตขิ องมหาชนชาวไทย” “การแก้ไขที่มาและคณุ สมบตั ิของสมาชิกวฒุ ิสภาให้มีความสมั พนั ธ์เกี่ยวข้องกับฝ่ าย การเมืองหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ย่อมทําให้หลกั การตรวจสอบและถ่วงดุล อํานาจซึ่งกันและกันของระบบสองสภาต้องสูญเสียไปอย่างมีนัยสําคัญ ทําให้ฝ่ าย การเมืองสามารถควบคมุ อํานาจเหนือรัฐสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดปราศจากการ ตรวจสอบและถ่วงดุลซ่ึงกันและกัน อันเป็นการกระทบต่อการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์เป็นประมขุ และเปิดทางให้บคุ คลท่ีเกี่ยวข้องกบั การ ดําเนินการครัง้ นีไ้ ด้อํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่ บญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู นี”้ คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครัง้ นี ้ย่อมมีผลทําให้การแก้ไข เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนญู ต้องอย่ภู ายใต้การตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญก่อนว่าจะสามารถกระทําได้ หรือไม่ ทงั้ ที่ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ได้กําหนดขนั้ ตอนและองค์กรท่ีมีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการ ไว้อย่างชดั เจน แต่คําวินิจฉัยในคดีนีศ้ าลได้โต้แย้งอํานาจดงั กล่าวด้วยการอ้างอิงถึงหลกั นิติธรรมและ
416 หลกั ประชาธิปไตยไว้ในคําวินิจฉยั 64 เพื่อมาโต้แย้งกบั การใช้อํานาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนญู กรณีนีย้ อ่ มเป็นการชดั เจนว่าศาลรัฐธรรมนญู ได้สถาปนาอํานาจของตนเองเหนืออํานาจสถาบนั การเมือง ที่มาจากการเลือกตัง้ ท่ีได้รับการรับรองไว้อย่างชัดเจน ความเปล่ียนแปลงดงั กล่าวจึงทําให้สามารถ พิจารณาได้ว่าเป็นสภาวะของระบอบ “ตลุ าการธิปไตย” อนั หมายถึงระบอบการเมืองการปกครองท่ีฝ่ าย ตลุ าการมีอํานาจเหนือกวา่ สงู กวา่ ชอบธรรมกวา่ สถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลอื กตงั้ ประเดน็ ท่สี าม การควบคุมตรวจสอบพรรคการเมือง อยั การได้ย่ืนคําร้องให้มีการยบุ พรรคพลงั ประชาชนเป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาได้มีคําสง่ั ที่ 5019/2551 วินิจฉยั ว่านายยงยทุ ธ ติยะไพรัช รองหวั หน้าพรรคผ้ถู กู ร้อง กระทําการฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วย การเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและการได้มาซงึ่ สมาชิกวฒุ สิ ภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 และมีผลทํา ให้การเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจงั หวดั เชียงราย มิได้เป็นไปโดยสจุ ริตและเท่ียงธรรม 64 “หลกั นิติธรรมถือเป็นแนวทางในการปกครองท่ีมาจากหลกั ความยตุ ิธรรมตามธรรมชาติอนั เป็นความเป็น ธรรมท่ีบริสทุ ธ์ิ ปราศจากอคติ โดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้องและแอบแฝง หลกั นิติธรรมจึงเป็นหลกั การ พืน้ ฐานสําคญั ของกฎหมายท่ีอยเู่ หนือบทบญั ญัติที่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ซง่ึ รัฐสภาก็ดี คณะรัฐมนตรีก็ดี ศาลก็ดี รวมทงั้ องค์กรตามรัฐธรรมนญู และหนว่ ยงานตา่ งๆ ของรัฐก็ดีจะต้องยดึ ถือเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ” “ส่วนหลกั การการปกครองแบบประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประ ชาชน มิใช่การปกครองตามแนวความคดิ ของบคุ คลใด และมิใชก่ ารปกครองที่อ้างองิ แตเ่ พียงฐานอํานาจที่มาจากระบบ การเลือกตงั้ เท่านนั้ ทงั้ นีเ้ นื่องจากหลกั การปกครองในระบอบประชาธิปไตยยงั มีองค์ประกอบสําคญั อีกหลายประการ การท่ีองค์กรหรือสถาบนั การเมือง ในฐานะผ้ใู ช้อํานาจรัฐมกั จะอ้างอย่เู สมอวา่ ตนมาจากการเลือกตงั้ ของประชาชนแต่ กลบั นําแนวความคิดของบคุ คลใดบุคคลหน่ึงมาปฏิบตั ิหาใช่วิธีการปกครองแบบประชาธิปไตยท่ีมีความม่งุ หมายเพื่อ ประโยชน์สขุ ของประชาชนโดยส่วนรวม ภายใต้หลกั นิติธรรมไม่ เนื่องจากประชาธิปไตยมิได้หมายถึงเพียงการได้รับ เลือกตงั้ หรือชนะเลือกตงั้ ของฝ่ ายการเมืองเท่านนั้ เพราะเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตงั้ มีความหมายเพียงสะท้อนถึง ความต้องการของ ประชาชนผ้มู ีสิทธิออกเสียงเลือกตงั้ ในแต่ละครัง้ เท่านนั้ หาใช่เป็นเหตใุ ห้ตวั แทนใช้อํานาจได้โดยไม่ ต้องคํานงึ ความถกู ต้องและชอบธรรมตามหลกั นิติธรรมแตอ่ ยา่ งใด”
417 ซ่ึงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสอง65 ได้กําหนดบทสนั นิษฐานเด็ดขาดโดยให้ถือว่าการ กระทําความผิดดงั กล่าวเป็นการกระทําของพรรคการเมืองอนั สามารถนําไปสู่การพิจารณายุบพรรค การเมืองนนั้ ได้ คาํ วนิ ิจฉยั ท่ี 20/2551 ศาลรัฐธรรมนญู ได้ตดั สนิ วา่ “แม้ข้อเท็จจริง พรรคการเมือง หวั หน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคจะไมไ่ ด้ เป็นผ้กู ระทําก็ตาม กฎหมายยงั ให้ถือว่าเป็นผ้กู ระทํา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ได้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่อาจวินิจฉัยเป็นอ่ืนได้ ทัง้ นี ้ เน่ืองจากความผิดในการ ทุจริตซือ้ สิทธิซือ้ เสียงในการเลือกตงั้ เป็นความผิดที่มีลกั ษณะพิเศษที่ผู้กระทําจะใช้ วิธีการอนั แยบยลยากที่จะจับได้ กฎหมายจึงบญั ญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหารพรรค จะต้องคดั เลอื กบคุ คลท่ีจะเข้าร่วมทํางานกบั พรรค และคอยควบคมุ ดแู ล สอดสอ่ งไมใ่ ห้ คนของพรรคกระทําความผิด โดยมีบทบัญญัติให้พรรคการเมืองและผู้บริหารพรรค จะต้องรับผิดในการกระทําของกรรมการบริหารพรรคคนที่ไปกระทําผิดด้วย ในทํานอง เดียวกันกับหลกั ความรับผิดของนิติบุคคลทั่วไปท่ีว่า ถ้าผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มี อํานาจทําการแทนนิติบคุ คลไปกระทําการใดท่ีอย่ใู นขอบวตั ถปุ ระสงค์ของนิติบคุ คลนนั้ แล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่บคุ คลอ่ืน นิตบิ คุ คลจกั ต้องรับผิดชอบตอ่ การกระทําของ ผ้แู ทนหรือผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลนนั้ ด้วย จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้ 65 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 237 ผู้สมัครรับเลือกตัง้ ผู้ใดกระทําการ ก่อ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทําการ อันเป็นการฝ่ าฝืน พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและ การได้มาซงึ่ สมาชิกวฒุ ิสภา หรือ ระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการเลือกตงั้ ซง่ึ มีผลทําให้ การเลือกตงั้ มิได้เป็นไปโดยสจุ ริตและเที่ยงธรรม ให้ เพิกถอนสทิ ธิเลอื กตงั้ ของบคุ คลดงั กลา่ วตาม พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทน ราษฎรและการได้มาซง่ึ สมาชิกวฒุ ิสภา” “ถ้าการกระทําของบุคคลตามวรรคหน่ึง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้า พรรคการเมืองหรือ กรรมการบริหารของพรรคการเมืองผ้ใู ด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทํานนั้ แล้ว มิได้ยบั ยงั้ หรือแก้ไขเพ่ือให้การเลอื กตงั้ เป็นไปโดยสจุ ริตและเที่ยงธรรม ให้ถือวา่ พรรคการเมืองนนั้ กระทําการเพื่อให้ได้มาซงึ่ อํานาจ ในการปกครองประเทศโดยวิธีการซ่ึงมิได้ เป็นไปตามวิถีทางท่ีบญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนญู นีต้ ามมาตรา 68 และในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนญู มีคําสง่ั ให้ยบุ พรรคการเมืองนนั้ ให้เพิกถอนสทิ ธิเลือกตงั้ ของหวั หน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหาร พรรคการเมืองดงั กลา่ วมีกําหนดเวลาห้าปีนบั แตว่ นั ที่มีคําสง่ั ให้ยบุ พรรคการเมือง”
418 คดีนีจ้ ึงถือได้วา่ มีเหตตุ ามกฎหมายที่ศาลจะต้องวินิจฉยั วา่ สมควรยบุ พรรคการเมืองผู้ ถกู ร้องหรือไม”่ “โดยท่ีผ้ถู กู ร้องเป็นพรรคการเมืองอนั เป็นองค์กรที่มีความสําคญั ยิ่งของการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็นแบบอย่างที่ถกู ต้อง ชอบธรรม และสจุ ริต การได้มาซ่ึง สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรของผ้ถู กู ร้องควรได้มาด้วยความบริสทุ ธิ์ ด้วยความนิยมในตวั ผู้สมคั รรับเลือกตงั้ และพรรคการเมืองผู้ถกู ร้องเป็นหลกั มิใช่ได้มาเพราะผลประโยชน์ หรื ออามิสสินจ้ างที่เป็ นเหตุจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตัง้ ให้ ลงคะแนนเลือกตัง้ ให้ กรรมการบริหารพรรคทกุ คนก็ควรต้องช่วยกนั ทําหน้าท่ีควบคมุ ดแู ลผ้สู มคั รรับเลือกตงั้ ที่ พรรคส่ง ตลอดจนกรรมการบริหารพรรคด้วยกนั เอง มิให้กระทําการอย่างหน่ึงอย่างใด ฝ่ าฝืนต่อกฎหมาย แต่นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร พรรค ผ้ถู กู ร้องกลบั ใช้วิธีการอนั ผิดกฎหมายเพ่ือให้ตนเองได้รับเลือกตงั้ ทําให้ผ้ถู กู ร้อง ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพ่ิมขึน้ ซ่ึงต้องถือว่าผู้ถูกร้องได้รับประโยชน์แล้ว กรณีจึง เป็ นเรื่องร้ ายแรง” ศาลรัฐธรรมนญู โดยมตเิ อกฉนั ท์ จงึ วินิจฉยั วา่ ให้ยบุ พรรคพลงั ประชาชน อนั สืบเน่ืองมาจากการ กระทําผิดของนายยงยทุ ธ ติยะไพรัช รองหวั หน้าและกรรมการบริหารพรรค และให้เพิกถอนสทิ ธิเลือกตงั้ ของหวั หน้าและกรรมการบริหารพรรคซง่ึ ดํารงตําแหน่งอย่ใู นขณะท่ีกระทําความผิด เป็นระยะเวลาห้าปี นบั แตว่ นั ที่ศาลรัฐธรรมนญู มีคําสงั่ ให้ยบุ พรรคการเมือง 3.3 คาํ วินิจฉัยท่มี ีต่อสถาบันการเมืองในห้วงวิกฤต พ.ศ. 2557 อาจกลา่ วได้ว่าการแสดงบทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ได้ปรากฏอย่างชดั เจนในห้วงเวลาที่ความ ขดั แย้งทางการเมืองได้ขึน้ ส่คู วามตงึ เครียดอย่างมากด้วยการชมุ นุมของกล่มุ กปปส. นบั ตงั้ แต่ปลายปี 2556 สืบเน่ืองมาจนถึงต้นปี 2557 นบั ตงั้ แต่การชมุ นมุ Shut Down Bangkok การขดั ขวางการเลือกตงั้ การเรียกร้องให้นางสาวย่ิงลกั ษณ์ ลาออกตําแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร ขึน้ เม่ือเดือนพฤษภาคม ซง่ึ ในห้วงเวลาก็จะปรากฏคําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ขนึ ้ อย่างต่อเนื่องด้วย เช่นกัน และคําวินิจฉัยเหล่านีล้ ้วนเป็นไปในด้านลบต่อฝ่ ายนักการเมืองที่เป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา อยา่ งตอ่ เน่ือง รวมทงั้ มีผลทําให้กระบวนการทางการเมืองตามรัฐธรรมนญู ไมส่ ามารถดําเนินตอ่ ไปได้
419 นับตัง้ แต่การมีคําวินิจฉัยที่ 3 – 4/2557 เป็นกรณีที่ได้มีการโต้แย้งว่าร่าง พ.ร.บ. ให้อํานาจ กระทรวงการคลงั ก้เู งินเพื่อการพฒั นาโครงสร้างพืน้ ฐานด้านคมนาคมขนสง่ ของประเทศ (หรือที่รู้จกั กนั โดยทวั่ ไปวา่ คดีรถไฟความเร็วสงู ) มีหลกั การและเนือ้ หาสาระสําคญั ขดั หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนญู หรือไม่ ทางศาลรัฐธรรมนญู รับคําร้องไว้พิจารณาแล้ว วินิจฉยั แยกเป็นประเดน็ ในสองประเดน็ กลา่ วคือ เป็นการพจิ ารณาเชิงกระบวนการ และเชิงเนือ้ หาของร่าง พ.ร.บ. ฉบบั นี ้ ประเดน็ ท่ีหนง่ึ ศาลเห็นวา่ มี ส.ส. ใช้บตั รแสดงตนและลงมติแทน ส.ส. รายอื่น ถือเป็นการละเมิด หลกั การพืน้ ฐานของการเป็น ส.ส. ซง่ึ ต้องปฏบิ ตั หิ น้าที่ด้วยความซ่อื สตั ย์สจุ ริต เพื่อประโยชน์สว่ นรวมของ ปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขัดต่อหลักความซ่ือสตั ย์สุจริตที่ ส.ส. ได้ ปฏิญาณตนไว้ และขดั ต่อหลกั การออกเสียงลงคะแนนท่ีให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออก เสียงลงคะแนน เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ไมช่ อบด้วยรัฐธรรมนญู มตขิ องสภาผ้แู ทนราษฎรก็เกิดขนึ ้ โดยไมถ่ กู ต้องตามบทบญั ญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู นี ้ ประเด็นท่ีสอง ร่าง พ.ร.บ. ฉบบั นีม้ ีข้อความขดั หรือแย้งต่อรัฐธรรมนญู หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลงั และงบประมาณ หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนญู ได้วินิจฉยั วา่ ร่าง พ.ร.บ. ฉบบั นี ้ “บญั ญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจดั ทํารายละเอียดการดําเนินโครงการเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีเพ่ือพิจารณาอนุมตั ิการดําเนินโครงการและอนุมตั ิการจดั สรรเงินกู้ตาม โครงการดังกล่าว ซึ่งเป็ นผลให้ การจ่ายเงินเพื่อดําเนินโครงการต่างๆ ในแต่ละ ปีงบประมาณไมไ่ ด้ผา่ นการตรวจสอบของรัฐสภา รวมทงั้ ไมม่ ีการควบคมุ ตรวจสอบ การ ใช้ จ่ายเงินดังกล่าวอย่างชัดเจนดังเช่นการใช้ จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กรณีจึงเป็นร่างพระราชบญั ญตั ิท่ี บญั ญตั ิให้การจ่ายเงินแผ่นดนิ กระทําได้โดยไมเ่ ป็นไปตามที่มาตรา 169 วรรคหนงึ่ ของ รัฐธรรมนญู ” ซงึ่ ผลจากบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วทําให้คณะรัฐมนตรี “นําเงินก้ตู ามร่างพระราชบญั ญัตินีไ้ ปใช้จ่ายตามวตั ถปุ ระสงค์ได้โดยไม่ต้องนําส่งคลงั ตามกฎหมายว่าด้วยวิธการงบประมาณและกฎหมายวา่ ด้วยเงินคงคลงั และกําหนดให้ คณะรัฐมนตรีรายงานการกู้เงิน ผลการดําเนินงานและการประเมินผลการดําเนินการ
420 ตามแผนงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพ่ีอทราบเท่านัน้ ซ่ึงแตกต่างจากที่ พระราชบญั ญตั ิวิธีการงบประมาณฯ บญั ญตั ิไว้ ทําให้การควบคมุ ตรวจสอบการใช้จ่าย งบประมาณไม่เป็ นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้ อง ประกอบกับร่าง พระราชบญั ญตั ินีใ้ ห้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินจํานวนมากถึงสองล้านล้านบาท แต่ ไม่มีความชดั เจนในรายละเอียดของแผนงานหรือโครงการท่ีจะใช้จ่ายเงินอนั เก่ียวกับ การวางแผนการเงิน การจดั หารายได้เพ่ือชดใช้หนี ้หรือการบริหารจดั การกํากบั การใช้ จา่ ยเงิน อีกทงั้ เป็นการสร้างภาระผกู พนั ทางการเงินแก่ประเทศเป็นจํานวนมหาศาลและ เป็นระยะเวลายาวนาน โดยไม่มีหลกั ประกันความเสี่ยงภัยทางการเงินการคลงั และ ระบบเศรษฐกิจของประเทศอยา่ งเพียงพอ” ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่าการใช้จ่ายเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัตินีจ้ ึงมิได้ ดําเนินการตามกรอบวินยั การเงินการคลงั ตามหมวด 8 ของรัฐธรรมนญู ร่าง พ.ร.บ. นีจ้ ึงขดั หรือแย้งต่อ มาตรา 17066 วรรคสอง ของรัฐธรรมนญู ตามมาด้วย คําวนิ ิจฉยั ที่ 5/2557 ซงึ่ วินิจให้การเลือกตงั้ ท่ีจดั ขนึ ้ ในวนั ท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยศาลให้เหตผุ ลว่าการที่ พ.ร.ฎ. ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ พ.ศ. 2556 และ กําหนดให้มีการเลือกตงั้ ส.ส. เป็นการเลือกตงั้ ทว่ั ไปในวนั ที่ 2 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2557 “แตไ่ ม่สามารถจดั ให้มีการเลือกตงั้ ใน 28 เขตเลือกตงั้ ซง่ึ ยงั ไม่เคยมีการรับสมคั รรับเลือกตงั้ มาก่อนเลย จงึ ถือได้ว่าในวนั ท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ มิได้เป็นวนั ท่ีมีการเลือกตงั้ ส.ส. เป็นการเลือกตงั้ ทวั่ ไปวนั เดียวกนั ทวั่ ราชอาณาจกั ร ไม่ถือ เป็นการเลือกตงั้ ท่ีชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” อนั เป็นผลให้ พ.ร.ฎ. ยุบสภาผู้แทนราษฎร เฉพาะในส่วนที่ กําหนดให้มีการเลือกตงั้ ส.ส. เป็นการเลือกตงั้ ทวั่ ไปในวนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบ ด้วยรัฐธรรมนญู 67 66 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 170 เงินรายได้ของหน่วยงานของรัฐใดที่ไม่ต้องนําส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ให้หน่วยงานของรัฐนนั้ ทํา รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินดงั กล่าว เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อสิน้ ปีงบประมาณทกุ ปี และให้คณะรัฐมนตรีทํา รายงานเสนอตอ่ สภาผ้แู ทนราษฎรและวฒุ ิสภาตอ่ ไป” “การใช้จา่ ยเงินรายได้ตามวรรคหนงึ่ ต้องอยภู่ ายใต้กรอบวนิ ยั การเงินการคลงั ตามหมวดนีด้ ้วย” 67 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
421 คําวินิจฉยั ซง่ึ ถือได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ในทางการเมืองอย่าง สําคญั ก็คือ คําวินิจฉยั ที่ 9/2557 ซึง่ เป็นการพิจารณาถึงความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลกั ษณ์ โดย ข้อเท็จจริงในคดีเป็นผลสืบเน่ืองมาจากศาลปกครองสงู สดุ ได้มีคําพิพากษาว่าการท่ีนางสาวย่ิงลกั ษณ์ ออกคําสงั่ ให้นายถวิล เปล่ียนศรี พ้นจากตําแหน่งเลขาธิการสภาความมน่ั คงแห่งชาติไปดํารงตําแหน่งท่ี ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นคําสง่ั ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย68 จากนนั้ ส.ว. จํานวนหน่ึงก็ได้มาร้องต่อศาล รัฐธรรมนญู วา่ ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวย่ิงลกั ษณ์ จะต้องสิน้ สดุ ลงเน่ืองจากรัฐธรรมนญู ได้บญั ญตั ิ ห้ามไว้ ซึง่ ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้พิจารณาในคําวินิจฉัยที่ 7/2557 โดยการให้เหตผุ ลว่าศาลรัฐธรรมนูญ ต้องผกู พนั ตามผลวินิจฉยั ของศาลปกครองสงู สดุ เพราะเป็นข้อเท็จจริงและกฎหมายท่ีมีความเก่ียวเนื่อง กบั คดีนี ้สําหรับประเด็นในคดีท่ีร้องตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู ก็ได้มีคําวินิจฉัยว่ามีเหตอุ นั เช่ือได้ว่าการกระทํา ของนางสาวยง่ิ ลกั ษณ์ เป็นการกระทําเพ่ือประโยชน์ของตนเองในทางการเมือง และเป็นไปเพ่ือประโยชน์ ของผ้อู ื่นซง่ึ เป็นเครือญาติ อนั เป็นการก้าวก่าย แทรกแซง การบรรจแุ ตง่ ตงั้ โยกย้าย และการให้ข้าราชการ พ้นจากตําแหน่งโดยตรง อนั เป็นการกระทําที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนญู 69 มาตรา 108 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรใหม่ การยบุ สภาผ้แู ทนราษฎรให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา ซง่ึ ต้องกําหนดวนั เลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร ใหม่เป็นการเลือกตงั้ ทวั่ ไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าส่ีสิบห้าวนั แต่ไม่เกิน หกสิบวนั นบั แต่วนั ยุบสภาผ้แู ทนราษฎร และวนั เลือกตงั้ นนั้ ต้องกําหนดเป็นวนั เดียวกนั ทว่ั ราชอาณาจกั ร 68 คดีหมายเลขแดงท่ี อ. 33/2557 69 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 “มาตรา 266 สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ ิสภาต้องไมใ่ ช้สถานะหรือ ตําแหน่งการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรค การเมือง ไมว่ า่ โดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเร่ืองดงั ตอ่ ไปนี”้ “(1) ...” “(2) การบรรจุ แต่งตัง้ โยกย้าย โอน เลื่อนตําแหน่ง และเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการ ซึ่งมีตําแหน่งหรือ เงินเดือนประจําและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลกู จ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการท่ีรัฐถือห้นุ ใหญ่ หรือราชการสว่ นท้องถิ่น หรือ”
422 คําวินิจฉัยนีก้ ็ได้ถกู โต้แย้งอย่างกว้างขวางเพราะเนื่องจากได้ตดั สินภายหลงั ท่ีได้มีการยบุ สภา ผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 แต่คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเม่ือวันท่ี 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 อันเป็นคําวินิจฉัยในช่วงเวลาที่นางสาวย่ิงลักษณ์ ดํารงตําแหน่งรักษาการ นายกรัฐมนตรี ทําให้เกิดข้อถกเถียงอย่างสําคญั ว่าบุคคลซ่ึงดํารงตําแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรียงั สามารถที่จะถกู วินิจฉัยให้พ้นไปจากตําแหน่งได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ภายหลงั จากคําวินิจฉยั ดงั กล่าว นายนิวฒั น์ธํารง บุญทรงไพศาล ก็เป็นผ้ปู ฏิบตั ิหน้าท่ีแทนนายกรัฐมนตรีตราบจนกระทง่ั การยดึ อํานาจ เม่ือ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 4. จากตลุ าการภวิ ัตน์สู่ “ตุลาการธิปไตย” ศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 อย่ภู ายใต้ความเข้มข้นของกระแสตลุ าการภิวตั น์ท่ี สืบเน่ืองมานบั ตงั้ แต่พระราชดํารัสเม่ือ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 อนั มีผลอย่างสําคญั ต่อการปรับเปลี่ยน ศาลรัฐธรรมนญู ทงั้ ในเชิงโครงสร้างและอํานาจหน้าที่ และมีผลอย่างสําคญั ต่อแนวทางการวินิจฉยั ของ ศาลรัฐธรรมนญู ให้แตกตา่ งไปจากเดมิ หากพิจารณาคําวินิจฉยั ในประเด็นเรื่องสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนในภาพรวมแล้ว จะพบว่าใน การพจิ ารณาประเดน็ ดงั กลา่ วแม้อาจมีคําวินิจฉยั ที่แตกตา่ งจากเดมิ ปรากฏขนึ ้ เชน่ กรณีเรื่องสทิ ธิของคน พิการในการสมคั รรับราชการฝ่ ายตลุ าการ หรือกรณีการค้มุ ครองแก่เจ้าของท่ีดนิ โดย กปภ. ซงึ่ อาจทําให้ มีการพิจารณาว่าบทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ในการค้มุ ครองสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนนัน้ “ชัดเจนโดดเด่นขึน้ มาอย่างยิ่ง”70 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงคําวินิจฉัยท่ี กว้างขวางและรอบด้านมากเพียงพอก็อาจทําให้มองเห็นภาพที่แตกตา่ งออกไปได้เชน่ กนั “(3) การให้ข้าราชการซง่ึ มีตําแหนง่ หรือเงินเดือนประจําและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนกั งาน หรือลกู จ้างของ หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกิจ กิจการที่รัฐถือห้นุ ใหญ่ หรือราชการ สว่ นท้องถ่ิน พ้นจากตําแหน่ง” “มาตรา 268 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะกระทําการใดท่ีบญั ญัติไว้ในมาตรา 266 มิได้ เว้นแต่เป็นการ กระทําตามอํานาจหน้าท่ีในการบริหารราชการตามนโยบายท่ีได้แถลงตอ่ รัฐสภา หรือตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ” 70 กล้า สมทุ วณิช, ขอบเขตอํานาจหน้าท่ีศาลรัฐธรรมนูญ เพ่ือการส่งเสริมการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยและคุ้มครองสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน (กรุงเทพฯ: สถาบนั พระปกเกล้า, 2558) หน้า 27
423 ทงั้ นี ้หากพิจารณาในประเด็นเร่ืองกรรมสิทธิ์เอกชนและความเสมอภาค จะพบว่าในกรณีท่ีเป็น ประเด็นโต้แย้งระหว่างอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานรัฐฝ่ ายหนึ่งกับประชาชนแล้ว คําวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนญู มีแนวโน้มจะให้ความสําคญั กบั หน่วยงานรัฐค่อนข้างมาก ดงั จะเห็นได้ว่าการใช้อํานาจของ หน่วยงานรัฐเหนือกรรมสิทธิ์เอกชนเป็นส่ิงท่ีได้รับการรับรองไว้อย่างชดั เจน ศาลรัฐธรรมนญู ได้ค้มุ ครอง เฉพาะในกรณีที่แตเ่ ดมิ หนว่ ยงานรัฐไมไ่ ด้ให้คา่ ชดเชยแก่เจ้าของกรรมสทิ ธิ์เทา่ นนั้ โดยที่หน่วยงานรัฐก็ยงั สามารถมีอํานาจเหนือกรรมสทิ ธ์ิเอกชนได้เพียงแตว่ า่ อาจต้องมีการใช้ชดเชยเกิดขนึ ้ หรือหากพจิ ารณาใน ประเดน็ เร่ืองสทิ ธิของคนพิการที่ศาลได้วินิจฉยั ไปในทิศทางตรงกนั ข้ามกบั คาํ วินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 แม้ว่าจะอ้างถึงการเข้าร่วมในอนสุ ญั ญาระหว่างประเทศรวมทงั้ บทบญั ญตั ิ ของรัฐธรรมนญู ท่ีแตกตา่ งออกไป แตส่ ําหรับประเด็นปัญหานีจ้ ะเห็นได้ว่าก็มิได้เป็นการโต้แย้งตอ่ อํานาจ หน้าที่ของหน่วยงานรัฐโดยตรงในการปฏิบตั ิหน้าท่ี หากเป็นเพียงการวางกฎเกณฑ์ในการเข้าส่ตู ําแหน่ง ของบคุ ลากรเท่านนั้ ประเดน็ ที่สะท้อนให้เห็นถงึ การให้ความสําคญั กบั อํานาจหน้าท่ีของหนว่ ยงานรัฐปรากฏขนึ ้ อยา่ ง ชัดเจนในกรณีของการโต้แย้งเร่ืองสิทธิชุมชน แม้จะได้มีความพยายามในการปรับแก้บทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ให้มีความหมายท่ีครอบคลุมกว้างขวางมากขึน้ รวมทัง้ การตดั ถ้อยคํา “ทัง้ นี ้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ” ซงึ่ เคยเป็นสิ่งท่ีทําให้ศาลรัฐธรรมนญู นํามาเป็นเหตผุ ลในการปฏิเสธสิทธิชมุ ชน แต่คําวินิจฉัยที่เกิดขึน้ ในประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนก็ยังคงดําเนินไปในลักษณะเช่นเดิมโดยไม่มีความ เปล่ียนแปลงแตอ่ ย่างใด กรณีดงั กลา่ วนีส้ ะท้อนให้เห็นได้ว่าหากเป็นกรณีที่มีผลกระทบตอ่ อํานาจหน้าท่ี ของรัฐแล้ว การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยคําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ก็จะยงั คงเป็นไปได้ อยา่ งจํากดั อย่างไรก็ตาม แนวความคิดสําคญั ที่ศาลรัฐธรรมนญู นํามาใช้ในการพิจารณาสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนนนั้ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรมก็คือ หลกั การของกฎหมายอาญา ดงั จะเห็นได้ว่าในคําวินิจฉัยได้มีการนําเอาหลกั การของกฎหมายอาญามาเป็นประเด็นของการตดั สิน หากบทบญั ญตั ิของกฎหมายฉบบั ใดมีลกั ษณะที่ขดั แย้งกบั หลกั กฎหมายอาญาอยา่ งชดั เจน ก็มีแนวโน้ม ท่ีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าประเด็นดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (อันสืบเน่ืองมาจาก รัฐธรรมนญู ได้รับรองสทิ ธิในกระบวนการยตุ ธิ รรมไว้) แตใ่ นขณะที่หากประเด็นใดที่ดเู หมือนกบั วา่ อาจขดั หรือแย้งกบั สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนญู แตไ่ ม่ได้ขดั แย้งกบั หลกั กฎหมายอาญาอย่างชดั เจน เช่น กรณี
424 บทลงโทษสืบเน่ือง ซงึ่ ถกู พิจารณาว่าไม่ได้เป็นอยู่ในขอบเขตของกฎหมายอาญา ศาลรัฐธรรมนญู ก็จะ วินิจฉยั ว่าไม่มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนญู ในแง่นี ้จึงสามารถกลา่ วได้ว่าในการพิจารณาประเด็น ปัญหาเรื่องสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน ศาลรัฐธรรมนญู ได้ให้ความสําคญั กบั หลกั กฎหมายอาญาและจะ นํามาปรับใช้ในกรณีพิพาทตา่ งๆ ซึง่ ในด้านหนึ่งก็อาจเป็นคําตอบได้ว่าเพราะเหตใุ ดคําวินิจฉยั ของศาล รัฐธรรมนญู ในประเด็นสิทธิเสรีภาพด้านอื่นๆ ศาลรัฐธรรมนญู จึงไม่สามารถให้เหตผุ ลหรือคําอธิบายท่ีมี แนวคดิ ด้านตา่ งๆ มาเป็นเครื่องมือประกอบการวนิ ิจฉยั มากกวา่ การอ้างถงึ “ประโยชน์ของสว่ นรวม” หรือ “ความมนั่ คงของรัฐ” ความเปลี่ยนแปลงอย่างสําคัญในแนวคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ปรากฏอยู่ในการ พจิ ารณาประเดน็ ท่ีเกี่ยวกบั สถาบนั การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ จะเห็นได้วา่ นบั ตงั้ แตก่ ระแสตลุ าการภิ วตั น์ที่เข้มข้นขึน้ ศาลรัฐธรรมนญู ได้เข้ามาทําหน้าท่ีชีข้ าดในประเด็นปัญหาตา่ งๆ อยา่ งกว้างขวาง ซง่ึ จะ เห็นได้ว่าได้มีการเข้ามาตรวจสอบและควบคมุ สถาบนั การเมืองที่มาจากการเลือกตงั้ อย่างเข้มงวด ซงึ่ ก็ หมายถึงพรรคการเมืองและการเข้าไปทําหน้าที่ในฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ การแสดงบทบาทหน้าท่ีใน ลกั ษณะเช่นนีม้ ีความแตกต่างไปจากบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซ่ึงการ ขยายบทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ในห้วงเวลาดงั กล่าวนีม้ ีการใช้เทคนิคทงั้ ในด้านของการตีความ แปล ความ บทบญั ญัติในรัฐธรรมนญู ซึ่งเป็นการขยายอํานาจของศาลรัฐธรรมนูญออกไปอย่างมาก และใน บางคําพิพากษาก็ได้ถกู โต้แย้งอย่างรุนแรงว่าเป็นการ “สร้างอํานาจ” ให้เหนือกว่าสถาบนั การเมืองที่มา จากการเลือกตงั้ หรือเป็นการทําให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจสงู กว่าอํานาจของฝ่ ายอื่นๆ ตามหลกั การ แบง่ แยกอํานาจแบบดงั้ เดมิ แต่ทงั้ นีก้ ็พงึ ตระหนกั ว่าบทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ในลกั ษณะที่กล่าวมา จะมีความแตกตา่ งออกไป อย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกบั การเข้าไปทําหน้าที่ตรวจสอบฝ่ ายบริหารหรือพรรคการเมืองท่ีมิได้เป็นเสียงข้าง มากจากการเลือกตงั้ ซงึ่ การทําหน้าที่เช่นนีก้ ็ไมไ่ ด้จํากดั ไว้เพียงกบั ศาลรัฐธรรมนญู เท่านนั้ หากยงั มีแนวทางท่ี ใกล้เคียงกนั ในส่วนขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนญู ดงั จะเห็นได้ว่าในการตรวจสอบพรรคการเมืองและฝ่ าย บริหารท่ีมิได้มาจากเสียงข้างมาก คําวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ก็มกั จะให้การสนบั สนนุ ตอ่ การปฏิบตั ิหน้าที่ ของฝ่ ายดงั กล่าว หรือในกรณีท่ีเป็นการวินิจฉยั การกระทําที่ถกู กลา่ วหาว่าเป็นการกระทําผิดก็มกั จะพ้นไปจาก ข้อกลา่ วหาได้อยา่ งตอ่ เนื่อง ดงั นนั้ ในกรณีเช่นนีย้ อ่ มเป็นภาพให้เห็นวา่ การทําหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนญู นนั้ ม่งุ ที่จะตรวจสอบและควบคมุ อํานาจของสถาบนั ทางการเมืองท่ีมาจากเสียงข้างมากเป็นสาํ คญั
425 บทท่ี 10 บทสรุปและข้อเสนอแนะ ศาลรัฐธรรมนญู ได้ถือกําเนิดขนึ ้ ในสงั คมไทยโดยรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 และสืบเน่ืองตอ่ มาใน รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ซ่งึ ศาลรัฐธรรมนญู ได้กลายเป็นองค์กรที่มีบทบาทตอ่ การวินิจฉยั ชีข้ าดประเด็น ปัญหาตา่ งๆ ในทางรัฐธรรมนญู รวมทงั้ ได้ถกู คาดหมายวา่ จะเป็นสว่ นสําคญั ตอ่ การปกปอ้ งสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนและการสร้างความมนั่ คงให้กบั ระบอบประชาธิปไตยในสงั คมไทย อยา่ งไรก็ตาม นบั ตงั้ แต่ การจดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ก็ได้ปรากฏการวิพากษ์วิจารณ์เกิด ขึน้ กับศาลรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวางอันเนื่องจากการถูกแทรกแซง แม้จะได้มีความพยายามแก้ไข ปรับเปล่ียนโครงสร้างและอํานาจหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แต่ข้อโต้แย้งก็ ยังคงปรากฏขึน้ และดําเนินต่อไปโดยดูราวกลับว่าจะเพ่ิมทวีความเข้มข้นและกว้างขวางมากย่ิงขึน้ ปรากฏการณ์ในลักษณะเช่นนีย้ ่อมสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามในการออกแบบและจัดวางศาล รัฐธรรมนญู ในสงั คมไทยมีปัญหาอยา่ งสําคญั งานวิจยั เรื่อง การเมืองเชิงตลุ าการและศาลรัฐธรรมนญู ไทย ต้องการทําความเข้าใจถึงแนวคิด โครงสร้ าง บทบาทหน้าที่ และปฏิบตั ิการของศาลรัฐธรรมนูญ อนั จะช่วยให้สามารถมองเห็นถึงปัจจัย ตา่ งๆ ที่มีผลตอ่ องค์กรดงั กลา่ ว รวมไปถึงการพยายามออกแบบศาลรัฐธรรมนญู ในอนาคตข้างหน้า โดย ต้องการตอบคาํ ถามใน 4 ประเดน็ สําคญั คือ หนึ่ง เพื่อศึกษาถึงปัจจยั ต่างๆ ท่ีมีความสําคญั ต่อการปรากฏตวั ของแนวความคิดและความ เปลีย่ นแปลงเรื่องการเมืองเชิงตลุ าการ สอง เพื่อศกึ ษาถึงปัจจยั ท่ีมีความสําคญั ตอ่ การสร้างการยอมรับ/การโต้ตอบตอ่ บทบาทการเมือง เชิงตลุ าการในประเทศตา่ งๆ ซง่ึ จะเน้นในกลมุ่ ประเทศท่ีเป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่ สาม เพื่อศกึ ษาถึงปัจจยั ตา่ งๆ ที่สง่ ผลตอ่ การปรากฏตวั ของศาลรัฐธรรมนญู ในสงั คมไทย
426 สี่ เพ่ือศึกษาถึงปัจจยั ท่ีมีความสําคญั ต่อการสร้างการยอมรับ/การโต้ตอบต่อบทบาทของศาล รัฐธรรมนญู ในสงั คมไทย และประเดน็ สดุ ท้าย จะนําเสนอประเดน็ สําคญั ในการพิจารณาถึงแนวทางการออกแบบสถาบนั ศาลรัฐธรรมนญู ท่ีก้าวให้พ้นจากสภาพปัญหาท่ีเกิดขนึ ้ ในสงั คมไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผา่ นมา จากการศึกษาตามกรอบของการวิจัยดังท่ีได้นําเสนอมา งานวิจัยชิน้ นีม้ ีประเด็นนําเสนอ ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. ปัจจัยสําคัญส่งผลต่อการปรากฏตัวของแนวความคิดและความเปล่ียนแปลงเร่ืองการเมือง เชิงตุลาการ กระแสรัฐธรรมนุญาภิวตั น์ท่ีแผ่กระจายอย่างกว้างขวางภายในปลายศตวรรษที่ 20 สืบเนื่อง มาถึงต้นศตวรรษท่ี 21 ได้สง่ ผลตอ่ อํานาจตรวจสอบของฝ่ายตลุ าการ (judicial review) ในหลายประเทศ อยา่ งสําคญั เฉพาะอยา่ งยิง่ ในดินแดนที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยใหม”่ โดยฝ่ายตลุ าการได้เข้ามามีบทบาท เพิ่มมากขนึ ้ ในการทําหน้าท่ีวินิจฉยั ชีข้ าดประเด็นต่างๆ ท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั ข้อขดั แย้งในทางสาธารณะ เชน่ ข้อพพิ าทเรื่องความเท่าเทียม สทิ ธิในสง่ิ แวดล้อม สทิ ธิของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ นโยบายทางด้านการศกึ ษา เป็นต้น รวมไปถึงประเด็นปัญหาที่เป็นข้อพิพาททางการเมืองโดยตรง (core politics) ไม่ว่าจะเป็นการ ตัดสินถึงความสมบูรณ์ของการเลือกตัง้ การดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล การบัญญัติ กฎหมายของรัฐสภา บทบาทท่ีเพิ่มขนึ ้ ของฝ่ายตลุ าการในการทําหน้าที่ชีข้ าดประเด็นปัญหาท่ีกว้างขวาง มากขึน้ ได้ถูกพิจารณาและถูกให้ความหมายโดยรวมว่าคือ “การเมืองเชิงตลุ าการ” (judicialization of politics) หากพิจารณาในเชิงกรอบแนวคิด การเมืองเชิงตลุ าการคือการทําหน้าที่ของฝ่ ายตลุ าการในการ ควบคมุ ตรวจสอบฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ฝ่ ายบริหาร อนั เป็นสถาบนั การเมืองที่มาจากการเลือกตงั้ อนั เป็นผล มาจากประสบการณ์ ของหลายประเทศในตะวันตกที่ต้ องเผชิญหน้ ากับระบอบอํานาจนิยมจากการ เลือกตงั้ การจดั ทํารัฐธรรมนญู และการจดั ตงั้ องค์กรทําหน้าที่ชีข้ าดความชอบด้วยรัฐธรรมนญู ในการทํา หน้าท่ีของสถาบนั การเมืองจากการเลอื กตงั้ ก็เป็นกลไกหนงึ่ ในการปกปอ้ งสทิ ธิเสรีภาพของประชาชนจาก การล่วงละเมิดของอํานาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรม และด้วยความไว้วางใจว่าฝ่ ายตลุ าการเป็นองค์กรท่ีมี
427 สถานะทางสงั คม ความเป็นกลางทางการเมือง รวมทงั้ มีความนา่ เช่ือถือ จงึ ทําให้ฝ่ายตลุ าการ “ถกู สร้าง” ให้มีอํานาจที่กว้างขวางมากขนึ ้ กวา่ เดมิ แนวความคิดของกระแสรัฐธรรมนญุ าภิวตั น์ได้เสริมความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายตลุ าการในการทํา หน้ าที่ซึ่งมีความแตกต่างไปจากเดิมท่ีวางอยู่บนแนวความคิดเรื่ องหลักการแบ่งแยกอํานาจซ่ึงดํารง สบื เน่ืองมาอยา่ งยาวนาน การจดั ทํารัฐธรรมนญู ที่เกิดขนึ ้ ในประเทศประชาธิปไตยใหมก่ ็มกั จะมีการจดั ตงั้ องค์กรมาทําหน้าที่ชีข้ าดข้อพิพาทในทางรัฐธรรมนญู ซ่ึงได้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ การทําหน้าท่ีวินิจฉัยข้อ พพิ าทในลกั ษณะดงั กลา่ วได้ทําให้บทบาทของฝ่ายตลุ าการจงึ มใิ ชเ่ พียงการชีข้ าดในประเดน็ “ปัญหาทาง กฎหมาย” แตเ่ พียงอยา่ งเดียว จะพบวา่ ในหลายประเทศฝ่ายตลุ าการได้เข้ามามีสว่ นสําคญั ในการตดั สิน ประเดน็ ปัญหาทางการเมืองอยบู่ อ่ ยครัง้ บทบาทของฝ่ายตลุ าการที่เพมิ่ มากขนึ ้ สามารถเห็นได้ในหลายประเทศที่ประชาธิปไตยได้ลงหลกั ปักฐานอยา่ งมน่ั คง ซงึ่ ได้มีการตดั สนิ ในประเดน็ ปัญหาที่สมั พนั ธ์กบั สทิ ธิเสรีภาพของประชาชนทงั้ ในด้าน ของการรับรองสทิ ธิ หรือการให้ความหมายตอ่ สิทธิเสรีภาพในลกั ษณะที่กว้างขวางมากขนึ ้ หากพจิ ารณา โดยรวม การทําหน้าที่ของฝ่ายตลุ าการในแนวทางเช่นนีไ้ ด้ถกู พิจารณาว่าเป็นบทบาทท่ีเป็นคณุ ปู การต่อ สงั คมไม่น้อย รวมทัง้ มุมมองท่ีมีต่อฝ่ ายตุลาการก็จะเป็นไปในทิศทางที่เห็นความสําคญั และให้การ สนบั สนุนต่อการทําหน้าท่ีดงั กล่าว ดงั ปรากฏงานวิชาการจํานวนมากท่ีกล่าวถึงบทบาทท่ีแสดงให้เห็น การทําหน้าท่ีในเชิงก้าวหน้าของฝ่ ายตลุ าการเกิดขนึ ้ ซง่ึ จะเห็นได้อยา่ งชดั เจนในช่วงปลายศตวรรษท่ี 20 รวมทงั้ มีการใช้ถ้อยคําซงึ่ เป็นรู้จกั กนั ดีในต้นศตวรรษที่ 21 วา่ “judicial activism” (หรือที่ถกู แปลวา่ “ตลุ า การภวิ ตั น์” ในภาษาไทย) ปมประเด็นพืน้ ฐานประการหนึ่งของปรากฏการณ์การเมืองเชิงตลุ าการก็คือ ระหว่างตลุ าการท่ี ไม่ได้มาจากการเลือกตงั้ (unelected judges) กบั สถาบนั การเมืองท่ีมาจากเสียงข้างมาก (majoritarian institute) ฝ่ายใดควรจะเป็นผ้ทู ่ีมีความชอบธรรมในการพิจารณาข้อโต้แย้งท่ีเข้ามาเก่ียวพนั กบั สาธารณะ ประโยชน์ส่วนรวม หรือข้อพิพาทท่ีเป็นนโยบายทางการเมือง สถาบนั การเมืองย่อมอ้างอิงถึงความชอบ ธรรมอันมาจากการเป็นตวั แทนของประชาชนผ่านระบบการเลือกตงั้ อันเป็นหลกั การพืน้ ฐานในการ ปกครองของระบอบเสรีประชาธิปไตยท่ีถือว่าอํานาจสงู สดุ มาจากประชาชน ขณะท่ีฝ่ ายตลุ าการอ้างอิง อํานาจที่ได้รับมอบหมายมาจากรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาสําคญั ก็คือองค์กรใดจะทํา หน้าที่ตรวจสอบการ “ทําหน้าที่ตรวจสอบ” ของฝ่ายตลุ าการ
428 2. ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อการสร้างการยอมรับ/การโต้ตอบต่อบทบาทของการเมืองเชงิ ตลุ าการ ดงั ท่ีได้ชีใ้ ห้เห็นว่าการให้ความสําคญั กบั บทบาทของฝ่ ายตลุ าการก็ได้แพร่ขยายไปในประเทศ ประชาธิปไตยใหม่ และก็ได้นํามาซง่ึ ปรากฏการณ์ท่ีการทําหน้าท่ีของฝ่ายตลุ าการกลบั มีความพลกิ ผนั ไป อยา่ งมาก บทบาทของฝ่ายตลุ าการในหลายประเทศกลบั มีความแตกตา่ งออกไปอยา่ งมาก งานศกึ ษาชิน้ สําคัญของ Tom Ginsburg เรื่อง Judicial Review in New Democracies (ค.ศ. 2003) ได้ ชีเ้ ห็นถึง บทบาทของฝ่ ายตลุ าการในประเทศประชาธิปไตยใหม่ในเอเชียที่สามารถมีความผนั แปรไปตามเง่ือน ปัจจัยภายในของแต่ละสงั คมได้ ขณะท่ี Bjorn Dressel เร่ือง The Judicialization of Politics in Asia: toward a framework of analysis (ค.ศ. 2013) ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการเมืองของฝ่ายตลุ าการในเอเชียว่า สามารถเกิดขนึ ้ ได้ใน 4 รูปแบบ นบั ตงั้ แตต่ ลุ าการเงียบเสียง (judicial muteness), ตลุ าการจํากดั ตนเอง (judicial restraint), ตุลาการภิวัตน์ (judicial activism) และตุลาการการเมือง (politicization of the judiciary) ก็ยํา้ ให้เห็นว่าแนวความคดิ ท่ีขยายบทบาทของฝ่ายตลุ าการให้เป็นการเมืองเชิงตลุ าการ ไม่ได้ จะนําไปสกู่ ารทําหน้าท่ีในเชิงก้าวหน้าแตเ่ พียงด้านเดียว ปัจจยั ภายในของแตล่ ะสงั คมมีผลอย่างสําคญั ตอ่ การ “ถกู สร้าง” และการ “สร้างตนเอง” ของฝ่ายตลุ าการ ดงั นนั้ บทบาทของฝ่ายตลุ าการก็อาจพลกิ ผนั ไปสกู่ ารทําหน้าท่ีอนั นํามาซงึ่ การตงั้ คําถาม การโต้แย้ง หรือการวิพากษ์วิจารณ์ตอ่ ฝ่ายตลุ าการให้เกิดขนึ ้ อย่างมากได้เช่นเดียวกนั การชีใ้ ห้เห็นถึงบทบาทในการรักษาอํานาจนําดงั้ เดิมของสงั คม (hegemonic preservation) ของฝ่ ายตลุ าการในงานของ Ran Hirsch เป็นปรากฏการณ์ในอีกรูปแบบหนึ่งที่สะท้อน อํานาจท่ีดํารงอย่ใู นฝ่ ายตลุ าการจนอาจทําให้ระบอบการเมืองแปรสภาพไปส่สู ภาวะ “ตลุ าการธิปไตย” หรือฝ่ายตลุ าการมีอํานาจเหนือกวา่ องค์กรอ่ืนใดของรัฐ แม้กระทง่ั สถาบนั การเมืองที่มาจากการเลือกตงั้ ก็ ตาม หากพิจารณาจากบทเรียนที่เกิดขึน้ ดงั ท่ีปรากฏในงานวิจยั ชิน้ นี ้จะพบว่ามีปัจจยั สําคญั ที่มีผล อยา่ งสาํ คญั ตอ่ การถือกําเนิดและดาํ รงอยขู่ องการเมืองเชิงตลุ าการที่แตกตา่ งกนั ไป ดงั นี ้ ประการแรก ความเข้มแขง็ ของสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ บทบาทของสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ มีผลอยา่ งมากต่อการทําหน้าที่ของฝ่ ายตลุ าการท่ี อาจแสดงออกทงั้ ในทางท่ีกระตือรือร้นหรือในแบบน่ิงเฉย ในเบือ้ งต้น การพิจารณาถึงความเข้มแข็งของ สถาบนั การเมืองอาจมาจากความสําเร็จของพรรคการเมืองในการเลือกตงั้ ที่ว่าจะสามารถดํารงสถานะ ความเป็นเสียงข้างมากจากระบบการเลือกตงั้ ได้หรือไม่ รวมทงั้ สามารถดํารงสถานะนนั้ ได้อย่างตอ่ เนื่อง
429 ยาวนานหรือไม่ การดํารงสถานะดงั กลา่ วยอ่ มมีผลกระทบตอ่ การทําหน้าที่ของฝ่ายตลุ าการในประเดน็ ท่ี เป็นข้อขดั แย้งเกี่ยวกบั สถาบนั ทางการเมือง เพราะฝ่ายตลุ าการอาจได้รับผลติดตามมาในกรณีที่ได้แสดง บทบาทในเชิงท้าทายหรือลดทอนอํานาจของสถาบนั การเมือง แตค่ วามเข้มแข็งของสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ ก็ไม่อาจจํากดั ไว้เพียงแคผ่ ลของการเลือก ตงั้ แต่เพียงด้านเดียว ในอีกด้านหนึ่ง การดํารงความชอบธรรมในทางการเมืองก็มีความหมายท่ีสําคญั ด้วยเช่นกัน โดยหากพรรคการเมืองสามารถประสบชัยชนะในระบบการเลือกตงั้ แต่ไม่สามารถดํารง ความชอบธรรมในสงั คมนนั้ ๆ ได้ สถาบนั การเมืองดงั กลา่ วก็อาจไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะตอบโต้ กบั ปฏิบตั ิการของฝ่ ายตลุ าการได้ แม้ทางฝ่ ายตลุ าการจะทําหน้าท่ีในการควบคมุ สถาบนั การเมืองจาก การเลอื กตงั้ ก็ตาม ประการที่สอง ปฏิสมั พนั ธ์ฝ่ายตลุ าการเชิงโครงสร้างและอดุ มการณ์ ปัจจยั สําคญั ประการหนึ่งตอ่ การแสดงบทบาทของฝ่ ายตลุ าการได้อย่างกว้างขวางเพียงใดสว่ น หน่ึงก็เป็นผลมาจากความสมั พนั ธ์ของฝ่ ายตลุ าการกบั ฝ่ ายอื่นๆ ว่าจะดํารงอย่โู ดยมีความเชื่อมโยงหรือ เกี่ยวข้องกบั สถาบนั อื่นอย่างไรบ้าง แม้ว่าโดยทวั่ ไปในการพิจารณาประเด็นดงั กล่าวนีก้ ็มกั จะอย่ภู ายใต้ ความเข้าใจเร่ืองความอิสระของฝ่ ายตลุ าการ แต่เนื่องจากไม่มีสถาบนั ตลุ าการใดดํารงอย่ไู ด้อย่างเป็น อิสระเป็นปราศจากความเก่ียวโยงกับฝ่ ายอื่น ดงั นัน้ การพิจารณาสถานของฝ่ ายตุลาการจึงต้องอยู่ ภายใต้ “ปฏิสมั พนั ธ์” มากกวา่ โดยทั่วไป ในการพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องกับฝ่ ายอ่ืนนัน้ การออกแบบในเชิงโครงสร้ าง นบั ตงั้ แต่คณุ สมบตั ิ กระบวนการคดั เลือก บุคคลท่ีทําหน้าที่ในการคดั เลือก องค์กรให้ความเห็นชอบใน การแต่งตงั้ การตรวจสอบการทําหน้าที่ เป็นต้น ก็ล้วนเป็นปัจจยั สําคญั ที่มีผลต่อการกําหนดทิศทางใน การแสดงบทบาทของฝ่ายตลุ าการอย่างสําคญั ในสงั คมท่ีสถานะของฝ่ายตลุ าการอยภู่ ายใต้อํานาจของ ฝ่ายใดฝ่ ายหนึ่งอย่างชดั เจนก็จะมีผลอย่างมากในการปฏิบตั ิหน้าท่ี ในบางประเทศได้มีการออกแบบให้ สถาบนั ตลุ าการไมอ่ าจถกู แทรกแซงได้โดยง่ายจากผ้มู ีอํานาจทางการเมืองฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง ทําให้ปฏิบตั ิ สมั พนั ธ์ระหวา่ งฝ่ ายตลุ าการและฝ่ ายการเมืองจงึ ดําเนินไปในลกั ษณะที่ไม่นําไปสสู่ ภาวะการเผชิญหน้า อยา่ งรุนแรงขนึ ้ แต่ไม่เพียงประเด็นในเชิงโครงสร้างเท่านนั้ ปฏิสมั พนั ธ์ในเชิงอดุ มการณ์ของฝ่ ายตลุ าการก็ยงั มี ความสําคญั ไมน่ ้อยไปกว่ากนั การนิยามความหมายของตนเองในความสมั พนั ธ์กบั สถาบนั อื่นๆ ในผ่าน
430 อุดมการณ์ท่ีครองอํานาจนําในสงั คมนนั้ ๆ ก็จะช่วยหล่อหลอมและกํากบั ทิศทางการปฏิบตั ิหน้าท่ีฝ่ าย ตุลาการด้วยเช่นกัน ไม่ว่าการตระหนักว่าฝ่ ายตุลาการก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องสร้ างความม่ันคงแก่ สว่ นรวม หรือการผนวกตนเองเป็นสว่ นหนงึ่ ของสถาบนั ตามจารีตประเพณีก็ตาม ประการท่ีสาม ความตน่ื ตวั ของการเคล่ือนไหวทางสงั คมด้านกฎหมาย ลกั ษณะสําคญั ประการหนึ่งของศาลรัฐธรรมนญู ภายใต้กระแสรัฐธรรมนญุ าภิวตั น์ก็คือ การทํา ให้การเข้าถึงศาลนัน้ สามารถเกิดขึน้ ได้สะดวกกว่าศาลโดยทั่วไป แม้ว่าการนําข้อพิพาทไปสู่ศาล รัฐธรรมนญู โดยทวั่ ไปจะต้องมีองค์กรท่ีมาทําหน้าท่ีกลนั่ กรองหรือพิจารณาก่อนสง่ ไปสกู่ ารพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบทบัญญัติจํานวนไม่น้อยท่ีเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้ สิทธิตาม รัฐธรรมนญู ได้โดยตรง ซงึ่ การเปิดพืน้ ที่ดงั กลา่ วก็มีผลกบั ความเคลื่อนไหวทางสงั คมของบางกลมุ่ เฉพาะ อยา่ งย่ิงกลมุ่ ท่ีให้ความสนใจกบั การใช้กฎหมายเป็นเคร่ืองมือในการพทิ กั ษ์หรือค้มุ ครองสทิ ธิเสรีภาพของ ประชาชนตามท่ีรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ ายเสียงข้างน้อยในการโต้แย้งกบั ฝ่ าย การเมืองท่ีมาจากการเลือกตงั้ แม้ว่าการเคล่ือนไหวในลกั ษณะเช่นนีอ้ าจมีความแตกตา่ งเป็นอย่างมาก กบั การเคลื่อนไหวของกล่มุ ผลประโยชน์ตา่ งๆ เช่น กรรมกร ชาวนา กลมุ่ อนรุ ักษ์ส่ิงแวดล้อม แตใ่ นหลาย กรณีก็ได้ประสบความสําเร็จจากการดําเนินคดีในชัน้ ศาล โดยท่ีศาลอาจมีการตีความหรือปรับใช้ กฎหมายที่สอดคล้องกับอดุ มการณ์ของฝ่ ายตน อนั นํามาซ่ึงการผลกั ดนั การโต้แย้งด้วยการใช้แนวทาง ดําเนินคดีเป็นยทุ ธวิธีหลกั อนั หนึ่ง พร้อมไปกนั กบั การขยายบทบาทและรวมถึงความชอบธรรมของฝ่ าย ตลุ าการที่เพ่มิ มากขนึ ้ ด้วยเช่นกนั 3. ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อการปรากฏตวั ของศาลรัฐธรรมนูญในสังคมไทย การจดั ตงั้ องค์กรเพ่ือทําหน้าที่ชีข้ าดปัญหาเก่ียวกบั รัฐธรรมนญู ในรูปแบบของศาลรัฐธรรมนญู ใน สงั คมไทย ได้ปรากฏขึน้ ครัง้ แรกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับ ความเปลี่ยนแปลงของฝ่ ายตุลาการที่เกิดขึน้ ในระดบั โลก และจะสามารถเห็นถึงอิทธิพลของกระแส ความคดิ ได้จากงานท่ีให้ความชอบธรรมตอ่ การจดั ตงั้ องค์กรเพื่อทําหน้าท่ีชีข้ าดปัญหาในทางรัฐธรรมนญู โดยกลมุ่ นกั วิชาการ (โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งนกั กฎหมายมหาชนภายใต้การนําของอมร จนั ทรสมบรู ณ์) ด้วย การอ้างอิงถึงรูปแบบและแนวทางท่ีเกิดขนึ ้ ในหลายประเทศ ท่ีสําคญั คือในกล่มุ ประเทศที่ประชาธิปไตย ลงหลกั ปักฐานอย่างมน่ั คง ผนวกเข้ากับกระแสการปฏิรูปการเมืองท่ีแผ่กระจายอยู่ในสงั คมไทยหลงั
431 เหตกุ ารณ์เดือนพฤษภา พ.ศ. 2535 อนั นํามาสกู่ ารจดั ทํารัฐธรรมนญู ฉบบั ใหมภ่ ายใต้แนวทางปฏริ ูปแบบ เสรีนิยมและแบบประชาธิปไตย การออกแบบโครงสร้ างของศาลรัฐธรรมนูญจึงดําเนินไปด้วยการให้ ความสําคญั กบั หลกั การของระบอบประชาธิปไตย ดงั เช่นอํานาจในการให้ความเห็นชอบตอ่ บุคคลท่ีจะ มาดํารงตําแหน่งตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจากวฒุ ิสภา (ซงึ่ มาจากการเลือกตงั้ ทงั้ หมด) แม้วา่ แนวโน้มในระยะเร่ิมต้น ศาลรัฐธรรมนญู จะสามารถทําหน้าท่ีในการตรวจสอบและชีข้ าดใน ประเด็นการตรวจสอบนักการเมืองในหลายคดี แต่เม่ือพรรคไทยรักไทย ประสบความสําเร็จในการ เลือกตงั้ และได้จัดตงั้ รัฐบาลท่ีนําโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวตั ร (ยศในขณะนัน้ ) ก็ดูราวกับว่าภายหลงั จากนนั้ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญก็จะถกู วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางใน การถกู แทรกแซงจากนกั การเมืองหรือผ้มู ีอํานาจในทางการเมือง เฉพาะอย่างย่ิงภายหลงั การตดั สินคดี ของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการย่ืนบญั ชีทรัพย์สินและหนีส้ ินอนั เป็นเท็จของ พ.ต.ท. ทักษิณ ซ่ึงศาล รัฐธรรมนญู ได้มีคําวินิจฉยั ว่าการกระทําดงั กล่าวไม่เป็นความผิดตามบทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู ขณะที่ ได้มีกรณีคล้ายคลงึ กนั เกิดขนึ ้ ในห้วงระยะเวลาเดียวกนั แตศ่ าลรัฐธรรมนญู ได้วินิจฉยั วา่ เป็นการกระทําที่ เป็นความผิด อนั ทําให้ปมประเด็นเร่ือง “การแทรกแซง” ต่อการปฏิบตั ิหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนูญจาก นักการเมืองก็ได้กลายเป็นปัญหาสําคญั ท่ีนําไปสู่การออกแบบศาลรัฐธรรมนูญที่แตกต่างออกไปใน รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 บทบาทของฝ่ ายตลุ าการได้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างสําคญั ภายหลงั จากวนั ท่ี 25 เมษายน พ.ศ. 2549 จะพบวา่ ทงั้ 3 ศาล คือ ศาลยตุ ธิ รรม ศาลปกครอง และรวมทงั้ ศาลรัฐธรรมนญู ตา่ งได้เข้ามา ทําหน้าที่ในการวินิจฉยั ประเด็นปัญหาทางการเมืองอย่างเข้มข้น กล่าวเฉพาะศาลรัฐธรรมนญู แม้ว่าใน ขณะนนั้ จะยงั เป็นศาลรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 แตก่ ารแสดงบทบาทหน้าท่ีก็กลบั มีความ แตกต่างออกไปอย่างมาก ในด้านหน่ึงจึงย่อมแสดงให้เห็นว่าการแสดงบทบาทของฝ่ ายตุลาการใน สงั คมไทยสามารถบงั เกิดขึน้ ได้ภายใต้อํานาจนําทางการเมืองที่เข้มแข็ง แม้จะยงั ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน ศาลรัฐธรรมนูญในเชิงโครงสร้ างบงั เกิดขึน้ ในแง่นีจ้ ึงย่อมแสดงให้เห็นถึงลกั ษณะของฝ่ ายตลุ าการใน สงั คมไทยท่ีมีความแตกตา่ งไปอยา่ งมากกบั ฝ่ายตลุ าการในประเทศอื่นๆ บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างสําคญั ภายหลงั จากการประกาศใช้ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ศาลรัฐธรรมนญู ท่ีถกู สร้างขนึ ้ ในช่วงเวลานีอ้ ย่ภู ายใต้กระแสตลุ าการภิวตั น์ และ
432 กระบวนการจดั ทําร่างรัฐธรรมนญู ก็อยภู่ ายใต้อํานาจของคณะรัฐประหารและเครือขา่ ยของฝ่ายที่ตอ่ ต้าน ระบอบทกั ษิณ ซง่ึ ตกอย่ภู ายใต้ความหวาดกลวั และเกลียดชงั ต่อระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตงั้ เน่ืองจากเห็นวา่ จะเป็นเง่ือนไขทําให้เกิดระบอบ “เผดจ็ การรัฐสภา” อนั มีความหมายถงึ ระบอบการเมืองท่ี ฝ่ ายเสียงข้างมากสามารถมีอํานาจเหนือฝ่ ายนิติบญั ญัติและฝ่ ายบริหารได้อย่างเด็ดขาด การออกแบบ ศาลรัฐธรรมนูญในเชิงโครงสร้ างตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จึงมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อ เปรียบเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญที่ได้เคยจัดตงั้ ขึน้ ด้วยการให้ความสําคญั ต่อบทบาทของผู้พิพากษา อาชีพ ลดทอนอํานาจของสถาบนั การเมืองจากการเลือกตงั้ ในกระบวนการคดั เลือก รวมถึงการขยาย อํานาจหน้าท่ีของศาลรัฐธรรมนญู ในการตรวจสอบนกั การเมืองและสถาบนั การเมืองที่เพ่ิมมากขนึ ้ และก็ ได้นํามาซงึ่ ข้อวิพากษ์วจิ ารณ์ที่เกิดขนึ ้ อยา่ งแพร่หลายในสงั คมไทย การปฏิบตั ิหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2550 ภายใต้การ “ครอบงํา” ของกระแส ตลุ าการภิวตั น์ได้กําหนดให้ผ้พู ิพากษาอาชีพเป็นผ้แู สดงบทบาทอย่างสําคญั ต่อการทําหน้าท่ีวินิจฉัยชี ้ ขาดปัญหาข้อขดั แย้งตา่ งๆ การออกแบบศาลรัฐธรรมนญู เชิงโครงสร้างในลกั ษณะดงั กล่าวได้กลายเป็น เง่ือนไขสําคญั ต่อการแสดงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญที่ “ใหญ่” มากขึน้ กว่าเดิมผ่านการตดั สินข้อ พิพาทตา่ งๆ ที่ขนึ ้ มาสกู่ ารพิจารณา 4. ปั จจัยท่ีส่งผลต่อการสร้ างการยอมรับ/การโต้ตอบต่อบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญใน สังคมไทย หากพิจารณาถงึ บทบาทของศาลรัฐธรรมนญู ในสงั คมไทยที่ปรากฏขนึ ้ นบั ตงั้ แตร่ ัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาโดยผ่านคําวินิจฉยั ท่ีได้ตดั สินในข้อพิพาทตา่ งๆ ซง่ึ อาจจดั แบง่ ใน 2 ประเด็นสําคญั คือ ประเดน็ แรก สทิ ธิเสรีภาพของประชาชน และประเด็นท่ีสอง ข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกบั สถาบนั ทางการเมืองท่ีมา จากการเลือกตงั้ จะทําให้สามารถมองเห็นได้อยา่ งชดั เจนมากขนึ ้ วา่ ศาลรัฐธรรมนญู ซง่ึ ถกู สร้างขนึ ้ ในสอง ชว่ งเวลาได้ใช้อํานาจผา่ นการวนิ ิจฉยั เพื่อ “สร้างตนเอง” ขนึ ้ มาหรือไม่ อยา่ งไร ประการแรก หากพิจารณาในประเดน็ ที่เป็นข้อพิพาทในเรื่องสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน จะพบวา่ ประเด็นที่ได้รับการค้มุ ครองจะเป็นสิทธิเสรีภาพซง่ึ บทบญั ญตั ิของกฎหมายได้ให้การรับรองไว้แล้ว และ รัฐธรรมนญู ได้มาบญั ญตั ิรับรองไว้อีกชนั้ หนึ่ง เฉพาะอย่างย่ิงสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรมซงึ่ ทงั้ ประมวล กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาได้บัญญัติรับรองไว้อย่างชัดเจน ในกรณีดงั กล่าวนีห้ ากมี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 467
Pages: