การศกึ ษาเพ่ือการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื ดุริยา อมตววิ ฒั น์ บทน�ำ แนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนมีความหลากหลาย อาทิ ๑) การพัฒนาท่ีสนองตอบต่อความต้องการ ของคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นต่อไปในอนาคต (รายงานของคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสภาพแวดล้อมและการพัฒนา เร่ือง Our Common Future หรือรายงานของ Bruntland เม่ือปีคริสต์ศักราช 1987 ๒) การพัฒนาท่ียั่งยืน มีลักษณะ ที่เป็นบูรณาการ คือท�ำให้เกิดเป็นองค์รวม หมายความว่า องค์ประกอบท้ังหลายท่ีเก่ียวข้องจะต้องมาประสานกัน ครบองค์และมีลักษณะอีกอย่างหน่ึง คือ มีดุลยภาพ หรือพูดอีกนัยหน่ึง คือ การท�ำให้กิจกรรมมนุษย์สอดคล้อง กบั เกณฑข์ องธรรมชาติ (พระธรรมปิฎก-ป.อ.ปยตุ โต) กล่าวอีกนัยหน่ึง การพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยก็คือ “การพัฒนาที่ท�ำให้สามารถสร้างความสมดุล หรือเกิดการปฏิสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน ระหว่างมิติต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตของมนุษย์ ท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง วฒั นธรรม จิตใจ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม เพอื่ ตอบสนองต่อความตอ้ งการของคน ท้งั ในร่นุ ปัจจบุ นั และในรนุ่ อนาคต” 251 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
เราไมอ่ าจปฏเิ สธไดว้ า่ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื จะตอ้ ง ค�ำนึงถึงการปรับเปลี่ยนวิธีคิด แนวปฏิบัติ และพฤติกรรม ของคนในสงั คม เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาทจี่ ะสรา้ งสมดลุ ใหส้ งั คม โดยค�ำนึงถึงผลกระทบต่อมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ดังน้ัน การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือท่ีส�ำคัญยิ่ง ในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างย่ังยืนในสังคม เน่ืองจาก การศึกษาท่ีมีคุณภาพจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของคนในสังคม ให้มีทักษะท่ีเหมาะสม มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ และปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์ของสังคม รวมทั้ง การศึกษายังช่วยพัฒนาศักยภาพของประชากรโลกให้สามารถ เขา้ ใจปญั หาและเผชญิ กบั ผลกระทบจากสงิ่ ทา้ ทายตา่ ง ๆ ในโลก ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนมีความสามารถในการสร้างสังคมที่มี ภมู คิ มุ้ กนั ทีด่ ี ซงึ่ จะน�ำไปส่กู ารพัฒนาอย่างยั่งยืน การศกึ ษาเพอ่ื การพัฒนาอย่างยั่งยนื องคก์ ารสหประชาชาติ ไดป้ ระกาศเปา้ หมายการพฒั นาแหง่ สหสั วรรษ หรอื Millennium Development Goals (MDGs) เป็นเป้าหมาย ๘ ประการที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ ๑๘๙ ประเทศ (รวมประเทศไทย) ตกลงยอมรับท่ีจะพยายามบรรลุ เป้าหมายดังกล่าวให้เป็นวาระของโลก และด�ำเนินการให้บรรลุผลภายใน พุทธศักราช ๒๕๕๘ (คริสต์ศักราช 2015) ประกอบดว้ ยเป้าหมายหลกั ๘ ขอ้ ได้แก่ (๑) ขจดั ความยากจนและความหวิ โหย (๒) ใหเ้ ดก็ ทุกคนได้รับการศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา (๓) สง่ เสรมิ ความเทา่ เทยี มกนั ทางเพศและบทบาทสตรี (๔) ลดอตั ราการตายของเดก็ (๕) พฒั นาสขุ ภาพของ สตรีมีครรภ์ (๖) ต่อสู้กับโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคส�ำคัญอ่ืนๆ (๗) รักษาและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างย่ังยืน (๘) ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนเพ่ือการพัฒนาในประชาคมโลก เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษได้ให้ความส�ำคัญกับ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา เพ่ือเป็นกลไกส�ำคัญในการสร้างศักยภาพของนานาประเทศให้บรรลุเป้าหมาย การพัฒนาแห่งสหัสวรรษสหประชาชาติ ด้วยเหตุน้ี องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศ “ทศวรรษการศึกษา เพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื ระหวา่ งครสิ ตศ์ กั ราช 2005-2014 (UN Decade for Sustainable Development) โดยไดม้ อบหมาย ใหอ้ งคก์ ารศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ หรอื ยเู นสโก เปน็ หนว่ ยงานหลกั ในการขบั เคลอ่ื นทศวรรษ แห่งการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนให้บรรดาประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศไทย จัดท�ำกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการด้านการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศของตน โดยมีประเทศญ่ีปุ่น สวีเดน เดนมาร์ค และสหพนั ธส์ าธารณรฐั เยอรมนี สนบั สนนุ การดำ� เนนิ งานภายใตก้ รอบการดำ� เนนิ งานระหวา่ งประเทศเพอ่ื เชอื่ มโยงทศวรรษ การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื กบั ขอ้ รเิ รมิ่ ตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษา เชน่ การจดั การศกึ ษาเพอื่ ปวงชนและทศวรรษ การรหู้ นังสอื ของสหประชาชาติ 252 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การด�ำเนินการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างย่ังยืนของยูเนสโกมีองค์ประกอบส�ำคัญ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานอย่างมีคุณภาพ ๒) การจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดความย่ังยืน ๓) การสร้าง ความตระหนักรู้และความเข้าใจของสาธารณชนเก่ียวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ ๔) การฝึกอบรมในเชิงบูรณาการ สาขางานต่าง ๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การพฒั นาอย่างย่ังยนื นอกจากนี้ ยูเนสโกยังได้ระบุยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาเพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืนไว้ ๗ ประการ ได้แก่ ๑) การก�ำหนดวิสัยทัศน์ และความช่วยเหลือต่าง ๆ ๒) การผลักดันให้เกิดกระบวนการปรึกษาหารือ และสร้าง ความรู้สึกในการเป็นเจ้าของ ๓) การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและเครือข่าย ๔) การพัฒนาศักยภาพและการฝึกอบรม ๕) การด�ำเนินการวิจัยและการริเร่ิมนวัตกรรม ๖) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ ๗) การติดตาม และประเมินผล เป้าหมายส�ำคัญของทศวรรษการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การบูรณาการหลักการ ค่านิยม และแนวปฏิบตั ิทดี่ ขี องการพัฒนาอย่างยัง่ ยืนไวใ้ นการศึกษาทุกรปู แบบ ทัง้ การศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษา ตามอธั ยาศยั โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั การจดั วธิ กี ารเรยี นการสอนทห่ี ลากหลายแบบสหวทิ ยาการ เพอ่ื สรา้ งเสรมิ กระบวนการเรยี นรู้ แบบมีส่วนร่วม ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตท่ีสอดคล้องกับวัฒนธรรมและบริบทของท้องถ่ิน ในเรื่องที่เป็นสากล อาทิ การเปล่ียนแปลงสภาพดินฟ้าอากาศ การลดความเส่ียงจากผลกระทบของภัยพิบัติต่าง ๆ ความหลากหลายทางชีวภาพ การขจัดความยากจน การบริโภคอย่างยั่งยืน เป็นต้น เพ่ือร่วมกันสร้างอนาคตท่ียั่งยืน ดว้ ยการรกั ษาสภาพแวดลอ้ ม ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ และการสรา้ งสงั คมทย่ี ตุ ธิ รรม โดยเปดิ โอกาสใหผ้ มู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี จากทุกภาคส่วนของสังคมได้มีส่วนร่วมจัดการศึกษาท่ีมุ่งเน้นการสร้างพลเมืองท่ีสามารถปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลง ทง้ั ในปัจจุบนั และในอนาคต แนวคดิ เรื่องการศกึ ษาเพ่อื การพัฒนาอยา่ งย่งั ยืนขององค์การยูเนสโก ในการประชมุ สหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (RIO+๒๐) ทจ่ี ดั ขน้ึ เมอ่ื ครสิ ตศ์ กั ราช 2012 นานาประเทศ ได้มีมติ “ให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืนและบูรณาการเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ในการศึกษา” รวมทั้งรับรองแผนปฏิบัติการโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Global Action Programme on ESD) ในปีครสิ ตศ์ กั ราช 2013 ต่อมาในปีคริสตศ์ ักราช 2014 ไดม้ กี ารประกาศแผนปฏิบัติการดงั กล่าวในระหวา่ งการประชมุ โลก ว่าด้วยการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนท่ีประเทศญี่ปุ่น เพื่อด�ำเนินการต่อยอดจากแนวทางที่ก�ำหนดไว้ในทศวรรษ การศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพ่ือสร้างโลกท่ีทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการศึกษาและแลกเปล่ียนเรียนรู้ค่านิยม ประสบการณ์ และการดำ� เนนิ ชวี ติ เพอ่ื สรา้ งอนาคตทยี่ ง่ั ยนื และสงั คมทด่ี ขี น้ึ โดยมเี ปา้ หมายในการผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ผา่ นการศกึ ษาทกุ ระดบั และทกุ รปู แบบ เพอ่ื จดั การศกึ ษาและการเรยี นรทู้ ที่ กุ คนไดพ้ ฒั นาทกั ษะ สรา้ งทศั นคตทิ ดี่ ตี อ่ การพฒั นา อยา่ งย่งั ยืน รวมทงั้ สร้างโครงการและกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีม่ งุ่ เนน้ การเรยี นรู้ เพื่อเสริมสรา้ งการพฒั นาทยี่ ่งั ยนื อย่างทั่วถึง 253 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
หลักการส�ำคัญในการด�ำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ นี้ มี ๕ ประการ ได้แก่ ๑) ผลักดันการศึกษา เพ่อื การพัฒนาอยา่ งย่งั ยืนเป็นนโยบายทีส่ ำ� คญั ทง้ั ในการจดั การศกึ ษาและการพัฒนาอย่างยง่ั ยืน ๒) ส่งเสริมใหบ้ ูรณาการ หลักการของการพัฒนาอย่างย่ังยืนไว้ในการศึกษาและการจัดการฝึกอบรม ๓) เสริมสร้างศักยภาพของนักการศึกษาและ ผู้ฝึกอบรมให้สามารถส่งเสริมการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔) เสริมสร้างศักยภาพของ นักการศึกษาและผู้เรียนให้สามารถถ่ายทอดเร่ืองการจัดการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ๕) เรง่ ดำ� เนนิ การแกไ้ ขปญั หาในระดบั ทอ้ งถนิ่ อยา่ งยง่ั ยนื ดว้ ยการดำ� เนนิ โครงการการศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื และ สรา้ งเครือข่ายของผ้มู ีสว่ นได้สว่ นเสียให้หลากหลาย ในปีคริสต์ศักราช 2015 เป็นปีท่ีครบก�ำหนดการด�ำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals-MDGs) และที่ประชุมระดับผู้น�ำของสหประชาชาติได้ให้การรับรองเป้าหมาย การพัฒนาท่ียั่งยืน (Sustainable Development Goals) ไว้ ๑๗ ประการ ได้แก่ ๑) การขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ ๒) การขจัดความหิวโหย ๓) การมีสุขภาวะในการด�ำรงชีวิต ๔) การได้รับการศึกษาที่ได้คุณภาพอย่างเท่าเทียม และท่ัวถึง ๕) การบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ ๖) การจัดท�ำเรื่องน�้ำและการสุขาภิบาลอย่างย่ังยืน ๗) การให้ทุกคน สามารถเขา้ ถึงพลงั งานทีท่ นั สมัย ยัง่ ยนื ๘) การส่งเสรมิ การเติบโตทางเศรษฐกจิ ที่ยงั่ ยืน ๙) การพฒั นาโครงสรา้ งพน้ื ฐาน เพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลง ๑๐) การลดความเหล่ือมล้�ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ ๑๑) การท�ำให้เมือง และการต้ัง ถนิ่ ฐานของมนษุ ย์มคี วามปลอดภัย ทัว่ ถึง ๑๒) การมีแบบแผนการผลติ และการบริโภคอย่างย่งั ยนื ๑๓) การตอ่ สู้กับการ เปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศและผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ ๑๔) การอนรุ กั ษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากมหาสมทุ ร ทะเล และทรพั ยากร ทางทะเล ๑๕) การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศ ๑๖) การส่งเสริมสังคมให้มีความเป็นปกติสุข ไม่แบ่งแยก ๑๗) การสง่ เสรมิ ในวธิ ปี ฏบิ ตั ใิ หบ้ งั เกดิ ผล และสรา้ งพลงั ในการเปน็ หนุ้ สว่ นในระดบั สากลเพอื่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื การศกึ ษาเปน็ เปา้ หมายหนงึ่ ทส่ี ำ� คญั ซงึ่ จะตอ้ งดำ� เนนิ การใหบ้ รรลผุ ลควบคกู่ บั การพฒั นาในมติ อิ น่ื ๆ ดว้ ย โดยเฉพาะ เป้าหมายท่ี ๔ ซึ่งระบุว่า การพัฒนาการศึกษาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างย่ังยืน คือ “การสร้างหลักประกันว่าทุกคน จะตอ้ งได้รบั การศกึ ษาทีม่ ีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และการสง่ เสริมโอกาสการเรียนรตู้ ลอดชีวติ ส�ำหรบั คนทุกคน (Ensure inclusive and equitable quality education and promote lifelong learning opportunities for all) โดยกำ� หนดเปา้ ประสงค์ไว้ ๙ ด้าน ได้แก่ ๑) ให้เด็กชายและเด็กหญิงทุกคนส�ำเร็จ การศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาทม่ี คี ณุ ภาพ อย่างเท่าเทียมและไม่เสียค่าใช้จ่าย และเกิดการเรียนรู้ ท่มี ปี ระสทิ ธผิ ลภายในปี 2030 ๒) ให้สตรีและบุรุษได้รับการศึกษา ด้านอาชีวศึกษา ด้านเทคนิค และการอุดมศึกษา อย่างมีคุณภาพภายในปี 2030 254 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๓) มจี ำ� นวนเยาวชนและผใู้ หญไ่ ดร้ บั การพฒั นาทกั ษะทเี่ หมาะสมมจี ำ� นวนเพม่ิ ขนึ้ รวมทงั้ ทกั ษะดา้ นการอาชวี ศกึ ษา และเทคนคิ เพ่อื การวา่ จ้างงาน การมงี านทม่ี ีคณุ คา่ และการเป็นผ้ปู ระกอบการภายในปี 2030 ๔) ลดความเหลื่อมลำ�้ ทางเพศในดา้ นการศึกษา ให้ทุกคนไดร้ บั การศกึ ษาอย่างเสมอภาคทกุ ระดับ ใหผ้ ้พู กิ าร ชนกล่มุ นอ้ ย และเดก็ ทีอ่ ยใู่ นสถานการณเ์ ปราะบาง ไดร้ บั การฝกึ อบรมดา้ นอาชวี ศกึ ษา ๕) ใหเ้ ยาวชนและผใู้ หญ่ ทง้ั ชายและหญิงสามารถรหู้ นงั สือและคิดเลขได้ ๖) ใหผ้ เู้ รยี นทงั้ หมดไดร้ บั ความรแู้ ละทกั ษะทต่ี อ้ งการสำ� หรบั การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื โดยเนน้ การจดั การศกึ ษา เพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืน สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคทางเพศ ส่งเสริมสังคมแห่งสันติภาพ ความไม่ใช้ความรุนแรง การเป็นพลเมืองโลก และความเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ๗) ให้จัดการศึกษาท่ีครอบคลุมทุกคน รวมท้ังผู้พิการ โดยคำ� นึงถึงความเสมอภาคทางเพศ สภาพแวดล้อม ท่ีปลอดภยั และส่งเสริมการเรียนรู้ทม่ี ีประสิทธิภาพ ๘) เพิ่มทุนส�ำหรับประเทศก�ำลังพัฒนา รวมถึงประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และประเทศที่เป็นหมู่เกาะ ขนาดเล็ก และแอฟริกา เพื่อส่งเสริมการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา การฝึกอบรมด้านอาชีวศึกษาและ ICT การศึกษา ด้านเทคนคิ วศิ วกรรมและโครงการดา้ นวิทยาศาสตรใ์ นประเทศที่พฒั นาแลว้ และประเทศก�ำลงั พัฒนา ๙) ให้เพิ่มจ�ำนวนครูท่ีมีคุณภาพ โดยผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศเพ่ือการฝึกอบรมครูในประเทศ ท่ีก�ำลงั พัฒนา รวมถงึ ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และประเทศท่ีเปน็ หมเู่ กาะขนาดเล็ก การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนาอย่างย่งั ยนื ในบริบทของประเทศไทย องค์การสหประชาชาติได้ก�ำหนดให้แต่ละประเทศให้ความส�ำคัญกับการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการด�ำเนินการท่ีสอดคล้องกับสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมของท้องถ่ิน ส�ำหรับประเทศไทย “การศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืน” คือการศึกษาที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างกระบวนทัศน์ (Mindset) ของผู้เรียน ให้ตระหนักถึงความส�ำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท้ังในระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน และประเทศชาติ โดยค�ำนึงถึง การสร้างความสมดุลระหวา่ งบรบิ ททางเศรษฐกิจ การเมอื ง ความมัน่ คง สังคม และสิ่งแวดล้อม ทม่ี คี วามหลากหลาย กระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการเปิดตัวทศวรรษการศึกษาเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืนของสหประชาชาติในประเทศไทย เนื่องจากแนวคิดน้ีสอดคล้องกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนว พระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการจัดการศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืนของไทยก็ได้น้อมน�ำเอา หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาเปน็ แนวทางในการพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาทกุ ระดบั ใชค้ ณุ ธรรมเปน็ พน้ื ฐาน ของกระบวนการเรียนรู้ท่ีเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ครอบครัว ชุมชน และสถาบันทางศาสนา โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติท่ีสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำ� วันไดอ้ ยา่ งสมดุลและยัง่ ยนื 255 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ตวั อย่างโครงการท่ีกระทรวงศกึ ษาธิการไดด้ ำ� เนินการร่วมกับยเู นสโก โครงการเครอื ขา่ ยโรงเรยี นเพอ่ื ความเขา้ ใจอนั ดรี ะหวา่ งชาติ หรอื Associated Schools Project Network (ASPnet) ภายใต้กรอบงานยูเนสโก ก่อตั้งข้ึนเมื่อปีคริสต์ศักราช 1949 ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนี้ในปีคริสต์ศักราช 1960 โดยปัจจุบันมีสถานศึกษาเป็นเครือข่ายโครงการ ASPnet จ�ำนวน ๑๒๗ แห่ง เป็นกลไกส�ำคัญในการส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นการเปิดโอกาสให้โรงเรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ คิดค้นนวัตกรรมและ แนวปฏิบัติที่ดี โดยน�ำหลักการ Head (ความรู้) Heart (จิตส�ำนึก) และ Hand (การปฏิบัติ) มาพัฒนาผู้เรียนให้มี ศกั ยภาพ ความรู้ และจติ ส�ำนึกในเรอ่ื งน้ี เพื่อให้เป็นพลเมืองทม่ี คี วามรบั ผดิ ชอบต่อสังคมโลก สถานศึกษาเครือข่ายโครงการ ASPnet จะน�ำ ประเด็นที่ยูเนสโกให้ความส�ำคัญ อาทิ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย ขันติธรรม วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อม มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นหลกั สตู รการเรยี นการสอน และการดำ� เนนิ กิจกรรมต่าง ๆ ท้ังในหลักสูตรและเสริมหลักสูตร อาทิ โครงการค่ายเยาวชน การจัดอบรมครูผู้สอน การประชุม เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื แนะนำ� การเรยี นการสอน การพฒั นาโรงเรยี น ด้อยโอกาสในชนบท และเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและ การพง่ึ ตนเอง เพอื่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื ทง้ั นมี้ ตี วั อยา่ ง กิจกรรม/โครงการที่ได้ด�ำเนินการเพ่ือส่งเสริมการพัฒนา อยา่ งยง่ั ยนื รวม ๓ โครงการ ดังนี้ ๑. โครงการ ESD Rice Project โครงการ ESD Rice Project หรอื Regional Initiative for Cooperation for ESD Promotion through Rice สง่ เสรมิ แนวคดิ การศกึ ษาเพอื่ การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื โดยมงุ่ หวงั ให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างโรงเรียนและชุมชนท้ังใน ระดับท้องถิ่น ประเทศ และภมู ิภาค การด�ำเนนิ งานโครงการ ฯ ระหวา่ งปพี ุทธศักราช ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ได้รับงบประมาณ สนับสนุนจากศูนย์ Asia-Pacific Cultural Centre for UNESCO-ACCU ประเทศญ่ีปุ่นและยูเนสโก โครงการ ESD ใช้ “ข้าว” ในฐานะที่เป็นอาหารหลักของหลายประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มาส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน เนื่องจากข้าวสามารถสะท้อนวัฒนธรรมการกินและเป็นตัวเช่ือมหลัก ไปสู่การเรียนรู้ที่หลากหลายมิติของชุมชน ประเทศ เช่น เกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม เป็นต้น โครงการ ESD ยึดหลักการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียน ชุมชนและองค์กรท้องถิ่นอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้เกิดการแบ่งปัน 256 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
และเรียนรู้การส่งเสริมการพัฒนาท่ียั่งยืนร่วมกันทั้งในระดับ ประเทศและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งนี้ โครงการทดลอง ดังกลา่ วไดเ้ ร่ิมด�ำเนินการในโรงเรยี นของไทย ๒ แห่ง คอื ๑.๑ โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ตรัง มีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวเพ่ืออนุรักษ์เกษตรกรรมและ รักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้นักเรียนคิดค้นนวัตกรรม นำ� มารว่ มแกป้ ญั หาเรอื่ งขา้ ว โดยไดร้ บั ความรว่ มมอื จากชมุ ชน ท้องถ่ิน อาทิ องค์การบริหารส่วนต�ำบล อ�ำเภอกันตัง และอำ� เภอนาโยง รวมทง้ั มเี ครอื ขา่ ยโรงเรยี นนอ้ งทว่ี างแผน การดำ� เนนิ กจิ กรรมรว่ มกนั นอกจากนี้ ยงั สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี น มีความรู้และความตระหนักในวัฒนธรรมผ่านการศึกษาเร่ือง “ข้าว” เรียนรู้วิธีเก็บเกี่ยว แนวปฏิบัติของชุมชน และเกิดความคิดรักบ้านเกิด อยากพัฒนาบ้านเกิด ท�ำให้นักเรียนและชุมชนมีการพัฒนาร่วมกัน โดยน�ำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาประยกุ ต์ใชใ้ นการพฒั นาผลผลิต และเกิดพลงั ที่จะสร้างสรรค์ โดยใชค้ วามรพู้ ัฒนาประเทศต่อไป ๑.๒ “โครงการข้าวของพ่อ อยู่อย่างพอเพียง” ของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา มีการจัดกิจกรรมส่งเสริม การเรียนรู้เรื่องข้าว โดยจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับนักเรียนอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น ซ่ึงโรงเรียนมีความพร้อมด้านพ้ืนท่ีปลูกข้าวและการเกษตร มีเครือข่ายกับองค์กร ผู้น�ำชุมชน และศูนย์พัฒนาวิจัยข้าว ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา รวมทงั้ ใหค้ วามรว่ มมอื เปน็ อยา่ งดใี นการจดั ตารางดงู าน การบรรยายเรอื่ งขา้ ว และการเรยี นรู้ การทำ� ผลติ ภณั ฑแ์ ปรรปู จากขา้ ว เชน่ เครอ่ื งสำ� อาง อาหารเสรมิ เปน็ ตน้ ทงั้ น้ี โรงเรยี นจดั ทำ� โครงการขา้ วของพอ่ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง หรือ “The Sufficiency Economy Rice Project” เพ่ือเป็นส่วนหน่ึงในการส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอนท่ีมุ่งให้ ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตแก่นักเรียน รวมถึงการกล่อมเกลา ปลูกจิตส�ำนึก คุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบ ตอ่ ตนเอง ชุมชน ส่งิ แวดล้อม ให้สามารถอยู่รว่ มกบั คนอ่นื ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ๒. โครงการบรู ณาการแนวคิด HOPE ในการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยัง่ ยืน ยูเนสโก และศูนย์ ACCU ได้น�ำเสนอแนวคิดในการประเมินผลการจัดการศึกษาเพ่ือการพัฒนา อย่างย่ังยืน หรือ HOPE ประกอบด้วย H (Holistic) คือ การส่งเสริมแนวคิดแบบองค์รวมในการวิเคราะห์ทุกมิติ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และการเมือง O (Ownership-based) คือ ความรู้/ความภาคภูมิใจ ในการมีส่วนร่วมตัดสินใจและด�ำเนินการ P (Participatory) คือ การมีส่วนร่วมระหว่างเครือข่ายในการด�ำเนินการ และ E (Empowering) คือ การสร้างความเข้มแข็ง/ความม่ันใจเพ่ือให้เกิดการพัฒนาอย่างย่ังยืน กระทรวงศึกษาธิการ และศนู ย์ ACCU รว่ มกนั จดั การสมั มนาระดบั ภูมภิ าค ESD Rice Workshop ข้ึน ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อน�ำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับโครงการ ESD Rice Project ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมท้ังนำ� เสนอแนวคดิ การประเมินผลการดำ� เนนิ งานตามแนวทาง HOPE เพื่อขยายผลไปยงั สถานศึกษาตา่ ง ๆ 257 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๓. โครงการ Regional Initiative for Climate Change Education (RICE) Project โครงการการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Education) โดย National Commission for UNESCO (KNCU), Korea Energy Management Corporation (KEMPO) และ Chiang Mai YMCA ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณ และการพัฒนาศักยภาพแก่ประเทศก�ำลังพัฒนาในเอเชีย โครงการขนาดเล็กนี้ เน้นเครือข่ายระหว่างโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านการศึกษา และกิจกรรม รวมถึงวางรากฐานการพัฒนาท่ียั่งยืนให้แก่ชุมชน ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ให้กับเยาวชนรุ่นหลัง ในเร่ืองปัญหาส่ิงแวดล้อมที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยบริบทของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศท่ีเกิดขึ้นจริงในชุมชน ทั้งน้ี มีโครงการของไทยที่เข้าร่วมด�ำเนินงานระหว่างปีคริสต์ศักราช 2011-2013 รวม ๒ โครงการ ไดแ้ ก่ ๓.๑ โครงการ Youth Development Climate Change Education Networking both Country and International Level Innovation and Technology โดยมูลนิธิ YMCA เพื่อการพัฒนาภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่เยาวชนเร่ืองพลังงานทดแทนและผลกระทบของการใช้ชีวิตประจ�ำวันที่มีส่วน ทำ� ลายสงิ่ แวดลอ้ ม ๓.๒ โครงการ More O2: Less CO2 มีวัตถุประสงค์ในการปลูกฝังให้เยาวชนมีความรู้และสนับสนุน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการลดปัญหาโลกร้อน โดยลดการใช้พลังงาน ใช้พลังงานทดแทน และปลูกป่าเพ่ือลดปัญหา เรือนกระจกและเพิ่มออกซิเจนในช้ันบรรยากาศ โครงการระยะแรกเป็นการด�ำเนินกิจกรรมของโรงเรียนอ�ำมาตย์พานิชนุกูล จังหวัดกระบ่ี ร่วมกับองค์การบริหารส่วนต�ำบลอ่าวนาง ซ่ึงมุ่งเน้นการปลูกจิตส�ำนึกและรณรงค์ให้ประชาชน ได้ตระหนักถึงปญั หามลภาวะทางอากาศและน้ำ� เสยี และรว่ มกนั แกไ้ ขตามแนว Community-Based Approach ในปี 2014 โครงการน้ีได้เปลี่ยนช่ือเป็น UNESCO Bridge Climate Change Education Project โดย โรงเรียนประชาวิทย์ จังหวัดล�ำปาง ได้รับคัดเลือกให้ด�ำเนินกิจกรรม “Sustainable Development of Rural Community” เพ่ือส่งเสริมชุมชน ในหมู่บ้านสามขา ต�ำบลแม่ทะ จังหวัดล�ำปาง ให้มีแนวคิดเร่ืองการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทน ประหยัดพลังงานเพ่ือลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ ท�ำฟาร์มออแกนิกส์ และจัดต้ัง ศูนยก์ ารเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศ ฯลฯ ๔. กระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเสริมโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืน (EESD : Environmental Education for Sustainable Developement) เพ่ือสร้างความตระหนัก และความร่วมมือระหว่าง โรงเรียนและชุมชนในการแก้ปัญหาในเร่ืองพลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับนักเรียนและชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนา อย่างยั่งยืน เช่น การด�ำเนินงานของโรงเรียนบ้านสันป่าสัก จังหวัดเชียงใหม่ ได้ด�ำเนินการโครงการส่ิงแวดล้อมศึกษา เพอื่ การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื เพอ่ื พฒั นาโรงเรยี นบา้ นสนั ปา่ สกั ใหเ้ ปน็ โรงเรยี นตน้ แบบของการบรหิ ารจดั การงานดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษา โดยใช้เทคนิค “SPIRIT” ในการดำ� เนนิ งาน ดังน้ี 258 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
S = Spirit คอื สร้างนักเรียนท่มี จี ิตอาสาท่จี ะรว่ มทำ� งานดา้ นสง่ิ แวดล้อม P = Participation คือการใหบ้ ทบาท ของทกุ ฝา่ ยทเ่ี กย่ี วขอ้ งใหม้ สี ว่ นรว่ มในการทำ� งานดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม I = Integration คอื การบรู ณาการโครงการ/กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน R = Routine คือ การท�ำให้งานสิ่งแวดล้อมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต I = Identity คือ การสร้างนักเรียนให้มีอัตลักษณ์ด้านส่ิงแวดล้อม T = Team คือ การท�ำงานเป็นทีม มีการคัดเลือกครูแกนน�ำ อบรมนกั เรียนแกนน�ำ รว่ มกันวางแผน ดำ� เนนิ กิจกรรม และประเมนิ ผลร่วมกัน การดำ� เนนิ งานดงั กลา่ วไดช้ ว่ ยสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นรเู้ ทคนคิ และวธิ กี ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษา ทเี่ ปน็ การปรบั วิถีชีวิตของนักเรียน และชุมชนรู้จักการรักษาสภาพแวดล้อม รวมถึงการสร้างความตระหนักและหันมาให้ความร่วมมือ ในการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดล้อม และลดปญั หาโลกร้อน ซ่งึ เป็นสว่ นหนึ่งของการศกึ ษาเพือ่ การพฒั นาอย่างย่ังยนื บทสรปุ ประเทศไทยไดเ้ ตรยี มความพรอ้ มทจี่ ะผลกั ดนั การพฒั นาสำ� หรบั คนทกุ ชว่ งวยั ใหเ้ ขา้ สสู่ งั คมแหง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ อย่างยั่งยืน ด้วยการจัดท�ำแผนการศึกษาแห่งชาติระยะยาว เพื่อพัฒนาคน ท้ังในด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะฝีมือ รวมไปถึงค่านิยม จริยธรรมและพฤติกรรมในสังคม ท่ีจะมีผลต่อการพัฒนาคุณลักษณะของคนไทยในอนาคต ด้วยการ ปลูกฝังค่านิยม ๑๒ ประการ เพ่ือให้คนไทยได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตส�ำนึกความเป็นไทย ตอ่ ตา้ นการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั่ และยดึ มนั่ ในสถาบนั ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ รวมถงึ การเพมิ่ โอกาสการเขา้ ถงึ การศกึ ษา ในระดบั สงู ใหก้ วา้ งขวางและหลากหลาย โดยเฉพาะในสาขาทเี่ ปน็ ความตอ้ งการของประเทศ พรอ้ มทง้ั สรา้ งความเขม้ แขง็ ของกลไกการวดั ผล ตรวจสอบ ตดิ ตามและประเมนิ ผล เพอ่ื พฒั นาตวั ชว้ี ดั ใหม้ คี ณุ ภาพและสรา้ งมาตรฐานการศกึ ษาของประเทศ ใหส้ อดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเปดิ โอกาสใหช้ ุมชน ภาคประชาสังคม และธรุ กจิ เอกชน ร่วมเปน็ พลังในการพัฒนา การศกึ ษาของประเทศไทย ใหส้ ามารถสรา้ งคนทม่ี คี ณุ ภาพและเปน็ กลไกสำ� คญั ในการพฒั นาประเทศชาตอิ ยา่ งยงั่ ยนื ตอ่ ไป บรรณานกุ รม กระทรวงการต่างประเทศ “เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs) จาก htt://www.mfa.go.th/main/th/issues/42456-เปา้ หมายการพฒั นาแหง่ สหสั วรรษ.htm สบื คน้ ขอ้ มลู ที่ ๖ ตลุ าคม ๒๕๕๘. การจดั การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื . (๒๕๕๘). จาก http://www.unesco.org/new/en/education/hemes/leading- the-international-agenda/education-for-sustainable-development/sustainable-development สบื คน้ ขอ้ มลู วนั ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘. โรงเรียนบ้านสนั ปา่ สกั . (๒๕๕๘). Best Practice ของโรงเรียนบ้านสันป่าสกั สพป. เชียงใหม่ ๔ หนา้ ๑-๒. UNESCO. (2014). Decade of Education for Sustainable Development (2005-2014) Final Report p.17 UNESCO. (2014). UNESCO Roadmap for Implementing the Global Action Programme on Education for Sustainable Development. p. 15 259 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ภาพพระราชทาน การศึกษาเพอ่ื ความเป็นพลเมอื ง ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ กลน่ิ กุหลาบ การศึกษา เป็นหัวใจส�ำคัญของรัฐที่จะเป็นกลไกในการท�ำหน้าท่ีเตรียมความพร้อมและจัดเตรียมคนให้เข้าสู่ ระบบสงั คม โดยมเี ปา้ หมายเพอ่ื สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหแ้ กร่ ะบอบการเมอื งการปกครองภายใตร้ ฐั นน้ั ๆ การทบี่ า้ นเมอื งจะมนั่ คง และมีการพัฒนา มีความเจริญรุ่งเรืองน้ัน มีองค์ประกอบส�ำคัญประการหน่ึง คือ ระบบสังคม ถ้าสังคมของประเทศใด พลเมืองมีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต มีเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน ขยันอดทน รักการศึกษาเล่าเรียน ไม่ทำ� ลายสิ่งแวดล้อม ไม่ท�ำลายสาธารณสมบตั ิ พลเมืองของประเทศนั้นก็จะมคี วามสขุ การศึกษาจงึ นับเป็นท้งั เครื่องมือ และกลไกของรัฐในการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ คือ เป็นผู้มีอิสรภาพและพึ่งพาตนเองได้ เคารพสิทธิผู้อื่น เคารพหลัก ความเสมอภาค เคารพกติกา กฎหมาย และมคี วามรบั ผิดชอบต่อสังคม 260 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ความหมายของการศึกษา เพอ่ื ความเปน็ พลเมือง การศึกษาเพ่ือความเป็นพลเมือง หมายถึง การจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนเป็นสมาชิกของสังคมที่มี อิสรภาพพึ่งตนเองได้ ใช้สิทธิเสรีภาพโดยควบคู่กับ ความรับผิดชอบ เคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เคารพ ความแตกตา่ ง มที ักษะในการฟังและยอมรับความคิดเห็น ทแ่ี ตกตา่ งจากตนเอง เคารพหลกั ความเสมอภาค เคารพศกั ดศิ์ รี ความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เคารพกติกา เคารพกฎหมาย ใช้กติกาในการแก้ปัญหาและยอมรับผลของการละเมิดกฎหมาย มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยตระหนักว่าตนเอง เป็นสว่ นหน่งึ ของสงั คม กระตอื รอื รน้ ที่จะรับผิดชอบ และร่วมแกไ้ ขปัญหาสงั คมโดยเรมิ่ ต้นที่ตนเอง ประชาธปิ ไตย เปน็ แนวคดิ การบรหิ ารประเทศทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั มากทสี่ ดุ ในสงั คมโลกปจั จบุ นั มสี าระสำ� คญั ทใ่ี หอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน เพอื่ ประชาชน และโดยประชาชน ซง่ึ ประชาชนมสี ทิ ธแิ ละเสรภี าพในการกำ� หนด วิถีชีวิตของตนเองและสังคมที่ตนอาศัยอยู่ด้วยความรับผิดชอบ ประชาชนต้องมีวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย คือ เคารพ ในสิทธิเสรีภาพ ยอมรับในความแตกต่างหลากหลายและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น มีส่วนร่วม ในกจิ กรรมเพอื่ สว่ นรวมอยา่ งจรงิ จงั ความเปน็ พลเมอื งเปน็ หวั ใจของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย โดยทปี่ ระชาธปิ ไตย จะมีคุณภาพได้ก็ต่อเม่ือการเลือกตั้งมีคุณภาพ และผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอิสระอย่างแท้จริง ประชาชนมีความเป็นพลเมือง ท่ีมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจการสาธารณะระดับท้องถิ่นและระดับชาติอย่างเข้มแข็งและจริงจัง อีกประการหน่ึง ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพเท่าน้ันจึงจะน�ำมาซ่ึงธรรมาภิบาลและสังคมคุณภาพและคุณธรรม ดังน้ัน ความเป็นพลเมือง จึงมีความส�ำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เคร่ืองมือส�ำคัญที่จะน�ำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย คือ การศึกษาเรียนรู้ การปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีเจตคติ ค่านิยม พฤติกรรม หรือวิถีชีวิตประชาธิปไตย พร้อมที่จะมี สว่ นร่วมในการบรหิ ารประเทศชาตติ อ่ ไป สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี มพี ระราชดำ� รเิ กย่ี วกบั เปา้ หมาย หรอื ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ “แนวโนม้ การจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื การเรยี นรใู้ นศตวรรษหนา้ ” สาระสำ� คญั ประการหนงึ่ คอื การสอนใหม้ คี ณุ ธรรมนน้ั ไม่ใช่เน้นหนักท่องจ�ำ คุณธรรมทางศาสนาที่ส�ำคัญ คือ การปลูกฝังคุณธรรมในชีวิตประจ�ำวัน คุณธรรมท่ีควรฝึกอบรม ให้มีในตน คือ การรู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เอ้ือเฟื้อกันตามวาระอันควร มีความรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าท่ีให้ดีท่ีสุด เท่าท่ีจะท�ำได้ มรี ะเบียบวนิ ยั มสี ำ� นึกทดี่ ีตอ่ สว่ นรวม ซึ่งเป็นสง่ิ ส�ำคัญเพราะเราต้องอยรู่ ว่ มกนั ต้องส�ำนึกถึงสว่ นรวมก่อน สว่ นการเคารพสทิ ธแิ ละปัญญาของผอู้ ่ืน เปน็ เร่ืองท่ีจะมีผสู้ ำ� นึกมากขึน้ ทกุ ทีในอนาคต 261 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
แนวคิดเกี่ยวกับความเปน็ พลเมอื ง กฎหมายและหน่วยงานทางการศึกษา ได้ก�ำหนดแนวการจัดการศึกษาและนโยบายท่ีเกี่ยวข้องกับความเป็น พลเมืองไว้ โดยสรุปดังน้ี ๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ก�ำหนดให้มีการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ และก�ำหนดแนวนโยบายการจัดการศึกษาไว้ในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และได้ก�ำหนดสิทธิ หน้าท่ี เสรีภาพ ความเสมอภาค ซึ่งเก่ียวข้องกับความเป็นพลเมืองไว้ เช่น สิทธิของปวงชนชาวไทย ได้แก่ สิทธิในครอบครัวและความ เป็นอยูส่ ่วนตวั สทิ ธใิ นทรพั ยส์ นิ สทิ ธใิ นการรับการศกึ ษาอบรม สิทธใิ นการรบั บรกิ ารทางด้านสาธารณสุข สว่ นเสรภี าพ ของปวงชนชาวไทย ได้แก่ เสรีภาพในเคหสถาน เสรีภาพในการเดินทาง และเสรีภาพในการเลือกถิ่นท่ีอยู่ เสรีภาพ ในการนับถือศาสนา นิกาย ลัทธิ ความเช่ือทางศาสนา และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้านความเสมอภาค ในมาตรา ๓๐ บญั ญตั วิ า่ บคุ คลยอ่ มเสมอกนั ในกฎหมาย และไดร้ บั ความคมุ้ ครองตามกฎหมายเทา่ เทยี มกนั ชายและหญงิ มีสทิ ธิเท่าเทียมกนั ๒. แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ ๑๑ พุทธศักราช ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ได้ก�ำหนด แนวนโยบายไว้ว่า ปลูกฝังและเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มีจิตส�ำนึกและความภูมิใจ ในความเปน็ ไทย มรี ะเบยี บวนิ ยั มจี ติ สาธารณะ คำ� นงึ ถงึ ประโยชนส์ ว่ นรวม และยดึ มน่ั ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ และรังเกียจการทุจรติ ต่อตา้ นการซ้ือสทิ ธ์ขิ ายเสยี ง ๓. พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ทกุ ฉบบั ไดก้ ำ� หนดเกย่ี วกบั การจัดการศึกษาเพ่ือมุ่งปลูกฝัง สร้างเสริมให้ประชาชนมีจิตส�ำนึกท่ีถูกต้องเก่ียวกับการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ สง่ เสริมสิทธิ หน้าท่ี เสรภี าพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีบทบัญญัติในมาตรา ๖ ที่ว่า การจัดการศึกษาต้องพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการด�ำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข และในมาตรา ๗ บัญญัติว่า ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตส�ำนึกที่ถูกต้องเก่ียวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าท่ี เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ มีความภาคภมู ใิ จในความเป็นไทย รู้จักรกั ษาผลประโยชนส์ ว่ นรวมและของประเทศชาติ ๔. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ไดก้ ำ� หนดวสิ ยั ทศั นจ์ ดุ หมายเพอ่ื มงุ่ พฒั นา ผเู้ รยี นทกุ คนใหเ้ ปน็ มนษุ ยท์ มี่ คี วามสมดลุ ทง้ั ดา้ นรา่ งกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ติ สำ� นกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและเปน็ พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติท่ีจ�ำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต หลักสูตรฉบับน้ีได้ก�ำหนดเป้าหมาย ในการจัดการศึกษา เพ่ือมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ น่ันคือ เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ซึ่งคนดี คือคนท่ีด�ำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจท่ีดีงาม มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็น และสิทธิของผู้อ่นื มคี วามเสียสละ รกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม สามารถอยรู่ ว่ มกับผูอ้ น่ื อยา่ งสันติสุข 262 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
หลกั การจัดการศึกษาเพือ่ ความเป็นพลเมือง การจดั การศกึ ษาเพอื่ ความเปน็ พลเมอื งดี สงิ่ สำ� คญั คอื การอบรมสง่ั สอนความเปน็ ประชาธปิ ไตยดว้ ยการฝกึ ฝน โดยต้องเริ่มที่ตนเองและร่วมกิจกรรมหรือลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้จากปัญหาท่ีเกิดขึ้นจริง การเรียนรู้โดยท�ำโครงการ และการเรียนรดู้ ้วยการบริการสงั คม ซ่งึ จัดการศึกษาไดใ้ น ๓ มิติ คอื ๑. การศกึ ษาเกย่ี วกบั ความเปน็ พลเมอื ง เนน้ การสอนใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศ ตลอดจนโครงสรา้ งและกระบวนการทางการเมือง กระบวนการปกครอง การด�ำเนินชวี ติ ทีเ่ ก่ยี วกบั การเมอื ง ๒. การศึกษาผ่านความเป็นพลเมือง เน้นการเรียนรู้โดยการลงมือกระท�ำ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง ไดพ้ บของจรงิ จากสังคม เรียนรบู้ ทบาทของสมาชกิ ในสังคมจากประสบการณ์ ๓. การศึกษาเพ่ือความเป็นพลเมือง เน้นให้ผู้เรียนได้มีเครื่องมือส�ำหรับการเตรียมตัวเป็นพลเมืองดี ใหม้ บี ทบาทมสี ว่ นรว่ มรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม เปน็ ผมู้ จี ติ สาธารณะ ยอมรบั สทิ ธขิ องผอู้ นื่ มคี า่ นยิ มในการแกป้ ญั หาดว้ ยสนั ตวิ ธิ ี เน้นการเรียนการสอนเพือ่ สร้างความเปน็ พลเมอื งดี จะเชือ่ มโยงเข้ากบั การเรียนการสอนท้ังระบบ หลักในการสร้างพลเมือง คือ การท�ำให้คนรับรู้ มีการพัฒนาจิตส�ำนึกทางการเมืองในตัวคนข้ึนมา การเป็น พลเมืองเป็นเรื่องของการเรียนรู้ท่ีจะใช้ชีวิตร่วมกัน การท�ำให้คนซึ่งอาจมีความคิดเห็นทางการเมืองที่เหมือนหรือต่างกัน หรือคนท่ีมีผลประโยชน์สอดคล้องหรือขัดแย้งกัน ก็สามารถอยู่ร่วมและยอมรับนับถือซ่ึงกันและกันได้ ประเทศอังกฤษ ได้กำ� หนดหลกั การสอนความเปน็ พลเมอื งโดยให้ความสำ� คญั แก่หลกั ๓ ประการคอื ๑) ความรบั ผดิ ชอบของพลเมอื งตอ่ สงั คมและจริยธรรม ๒) ความร้ดู า้ นการเมืองการปกครอง ๓) การมีสว่ นรว่ มในชมุ ชน การจดั การศกึ ษาเพอ่ื ความเปน็ พลเมอื ง จดั ไดท้ ง้ั การศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ทงั้ น้ี เพอื่ สรา้ งวฒั นธรรมพลเมอื งใหผ้ เู้ รยี นเคารพสทิ ธเิ สรภี าพของผอู้ น่ื เคารพเหตผุ ลการรบั ฟงั การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ การรู้จัก วพิ ากษว์ จิ ารณ์ เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวม เปน็ ผนู้ ำ� ผตู้ ามทด่ี ี รจู้ กั แบง่ ปนั ใหผ้ อู้ นื่ รจู้ กั คดิ วเิ คราะหป์ ระเดน็ ของความยตุ ธิ รรม สทิ ธเิ สรภี าพ และความเสมอภาค การทจ่ี ะจดั การศกึ ษาใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ ดงั กลา่ ว ควรใหม้ อี งคป์ ระกอบทส่ี ำ� คญั อยา่ งนอ้ ย ๓ ประการ คือ ๑) การมคี วามรู้ความเขา้ ใจอดุ มการณ์ และค่านยิ มการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย ๒) การพฒั นาทกั ษะทางสตปิ ญั ญา การใชเ้ หตผุ ลในการคดิ การวพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ละทกั ษะการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ๓) การพัฒนาคุณลกั ษณะบางประการ เช่น การรบั ฟงั ความคดิ เห็นทแ่ี ตกต่างจากตน ความอดทน อดกลนั้ ความเสียสละ ความซ่ือสตั ย์ เปน็ ตน้ ผ้ทู ่มี สี ว่ นอยา่ งย่ิงตอ่ การพัฒนาเด็กและเยาวชนใหเ้ ติบโตเป็นพลเมืองทีม่ คี ณุ ลักษณะ ดังกลา่ ว คอื โรงเรียน พ่อแม่ ผปู้ กครอง สอื่ สารมวลชน หน่วยงานทกุ ภาคสว่ นทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะโรงเรียน ควรพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียนตั้งแต่วัยเยาว์ ให้ความรู้เยาวชนเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย สทิ ธแิ ละหน้าทพี่ ลเมอื ง ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดเจตคติท่ีเออื้ ต่อการเปน็ ส่วนหน่ึงของสังคมในระบอบประชาธิปไตย 263 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การประยุกตใ์ ช้ การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง สามารถท�ำได้หลายรูปแบบ ท้ังการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน การใหด้ แู บบอยา่ ง การเรยี นรจู้ ากสถานการณจ์ รงิ การใหน้ กั เรยี นทำ� โครงงานพฒั นาหมบู่ า้ น เปน็ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง การให้นักเรียนปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการเคารพสิทธิ เสรีภาพ การคิดวิเคราะห์ด้วยข้อมูลข่าวสารที่มีเหตุผล การสร้าง ความตระหนักเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน การเป็นผู้มีจิตสาธารณะ สร้างเสริมทักษะชีวิตด้วยวิถีชีวิต ประชาธปิ ไตยและมีความรู้ความเขา้ ใจการเมืองการปกครองของไทย บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๔๘). โครงการศกึ ษางานโครงการตามพระราชดำ� รสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของกระทรวงศึกษาธิการ: สังเคราะห์แนวพระราชด�ำริ ด้านกระบวนการเรยี นรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์องคก์ ารรบั สง่ สินค้าและพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). ยงยุทธ์ ศรีสุกใส. (๒๕๕๗). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูเพ่ือพัฒนาความเป็นพลเมืองของผู้เรียนในโรงเรียน สงั กดั สำ� นกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครศรธี รรมราช เขต ๒. วทิ ยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา. นครราชสมี า: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั วงษช์ วลติ กุล. วิสุทธ์ โพธิแท่น. (๒๕๕๑). แนวคิดพ้ืนฐานของประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและ ราชกิจจานเุ บกษา. ศักด์ิชัย นิรัญทวี. (๒๕๔๘). รายงานการวิจัยเอกสารการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นพลเมืองดี. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัทพมิ พ์การพิมพ์. สำ� นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. ส�ำนักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง. (๒๕๕๖). การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักงานโครงการพัฒนา แห่งสหประชาชาต.ิ 264 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การศกึ ษาหลังยคุ อตุ สาหกรรม ศาสตราจารย์ ดร.เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ พฒั นาการดา้ นการศกึ ษา พัฒนาการด้านการศึกษา สามารถจัดแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ได้ ๓ ยุค ได้แก่ ช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม ชว่ งยคุ อุตสาหกรรม และชว่ งหลังยคุ อตุ สาหกรรม ดงั น้ี ชว่ งกอ่ นยคุ อตุ สาหกรรม (Pre-Industrial Age) ชว่ งเวลากอ่ นกลางศตวรรษที่ ๑๘ เปน็ สงั คมเรร่ อ่ นและเปน็ ยคุ สงั คมเกษตรกรรมทมี่ ผี ลติ ภาพในการผลติ ไมส่ งู มากนกั ในยคุ นยี้ งั ไมม่ กี ารจดั การศกึ ษาอยา่ งเปน็ ระบบ มกั เปน็ การจดั การศกึ ษา แบบไมเ่ ปน็ ทางการ (informal education) โดยสถาบนั ทางสงั คมทมี่ อี ทิ ธพิ ล ไดแ้ ก่ ครอบครวั ชมุ ชน หรอื องคก์ รทางศาสนา มเี ปา้ หมายเพอื่ พฒั นาคนในสงั คมใหร้ ดู้ า้ นการใชภ้ าษาเพอื่ สอ่ื สาร รกู้ ฎระเบยี บ ศลี ธรรม ศาสนา และขนบธรรมเนยี มประเพณี และวธิ กี ารประกอบอาชพี เพอื่ ใชล้ า่ สตั ว์ ทำ� เกษตรกรรม ปอ้ งกนั ศตั รู และสามารถอยรู่ ว่ มกนั ได้ แตท่ ง้ั นมี้ กี ารจดั การศกึ ษา โดยวดั พระราชวงั และองคก์ รทางการศกึ ษา วชิ าการ ทเ่ี ปน็ สถาบนั ชนั้ สงู ของนกั ปราชญแ์ ละผรู้ ู้ แตม่ จี ำ� นวนนอ้ ยมากและ อยเู่ ฉพาะในกลมุ่ ชนชน้ั ปกครองและนกั ปราชญใ์ นสงั คมชนั้ สงู เทา่ นนั้ (Becker, Sascha, O. และคณะ, 2009) 265 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ชว่ งยคุ อตุ สาหกรรม (Industrial Age) ระหวา่ งปคี รสิ ตศ์ กั ราช 1760-1970 สงั คมเปลยี่ นจากใชแ้ รงงานคนและสตั ว์ มาเป็นการใช้เคร่ืองจักรในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมซ่ึงเป็นผลมาจากความส�ำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็ก และเคร่ืองจักรไอน้�ำ มีการพัฒนาระบบคมนาคมและการส่ือสารอย่างกว้างขวาง และมีการขยายตัวของสังคมเมืองสูง ยคุ นโี้ ลกถกู ผลกั ดว้ ยการแขง่ ขนั ผา่ นการพฒั นาความสามารถและเทคโนโลยกี ารผลติ สนิ คา้ อตุ สาหกรรม (Lampard, E.E., 2001) สภาพการณด์ งั กลา่ วสง่ ผลใหม้ คี วามตอ้ งการองคค์ วามรแู้ ละกำ� ลงั คนจำ� นวนมาก ทแ่ี ยกลงลกึ ในแตล่ ะสาขาการผลติ ทตี่ อ้ งใช้ ความชำ� นาญมากขนึ้ เพอ่ื เพมิ่ ผลติ ภาพและความสามารถในการแขง่ ขนั สง่ ผลใหเ้ กดิ การพฒั นาการศกึ ษาแบบเปน็ ทางการ (formal education) อย่างเป็นระบบ และแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง มีลักษณะการจัดการศึกษามวลชน (mass education) เนน้ ผลติ กำ� ลงั คนจำ� นวนมากเพอ่ื ปอ้ นสภู่ าคอตุ สาหกรรมทม่ี คี วามตอ้ งการสงู โดยมไิ ดม้ เี ปา้ หมายเพอ่ื ตอบสนองความสนใจ ความต้องการหรือความถนัดของผู้เรียนรายบุคคล (Faure, E., 1972) และการจัดการศึกษามีการแยกศาสตร์แขนงต่าง ๆ ชดั เจนมากขนึ้ เชน่ ดา้ นคณติ ศาสตร์ เคมี ชวี วทิ ยา ฟสิ กิ ส์ การแพทย์ ภาษา ฯลฯ เพอื่ ปอ้ นสภู่ าคอตุ สาหกรรมทม่ี กี ารพฒั นา ดา้ นวิทยาการองค์ความรู้ลงลึกในแตล่ ะดา้ น ชว่ งหลังยุคอตุ สาหกรรม (Post Industrial Age) ในช่วงประมาณครสิ ต์ศักราช 1970 จนถึงปจั จุบัน โลกได้ กา้ วสหู่ ลงั ยคุ อตุ สาหกรรม ซงึ่ ปจั จยั ทนี่ ำ� สกู่ ารเปลยี่ นแปลงคอื ประชากรโลกเพม่ิ จำ� นวนมากขนึ้ สภาพสงั คมมนษุ ยม์ คี วามซบั ซอ้ น มากขึ้น การมีข้อมูลและองค์ความรู้จ�ำนวนมาก ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความส�ำเร็จในการพฒั นา คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ ความกา้ วหนา้ ในระบบทนุ นยิ มสมยั ใหมท่ ที่ ำ� ใหเ้ กดิ การคา้ การลงทนุ อยา่ งกวา้ งขวาง มกี ารเดนิ ทาง ติดต่อสอื่ สารกบั ทั่วโลก ปจั จัยดังกล่าวสง่ ผลท�ำใหโ้ ลกก้าวสหู่ ลังยุคอตุ สาหกรรม ซึง่ มลี ักษณะส�ำคญั ๓ ประการ ดังน้ี สังคมข้อมูลข่าวสาร (Information Society) เป็นยุคที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน อย่างกว้างขวาง ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้โดยทันทีทันใดจากท่ัวทุกมุมโลก ข้อมูลข่าวสารมีบทบาทส�ำคัญ ในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม ซงึ่ ยคุ นเ้ี รมิ่ ตงั้ แตก่ ารใชค้ อมพวิ เตอรส์ ว่ นบคุ คล (personal computer) ในปคี รสิ ตศ์ กั ราช 1970 ท�ำให้เกิดการบันทึก วิเคราะห์ สั่งสมข้อมูลและองค์ความรู้จ�ำนวนมาก และสามารถกระจายไปท่ัวโลกได้อย่างรวดเร็ว และขยายเป็นวงกว้างขึ้นเม่ือมีการใช้อินเทอร์เน็ต และในช่วงปีคริสต์ศักราช 2000 ได้ก่อตัวเป็นเครือข่ายสังคม (social network) ทข่ี ยายตวั และถูกใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย (UNESCO, 2015) 266 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
สังคมฐานความรู้ (Knowledge-based Society) เป็นยุคที่ขับเคล่ือนด้วยความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มกี ารใชค้ วามรแู้ ละนวตั กรรมในกระบวนการผลติ และการใหบ้ รกิ ารอยา่ งมาก ความรเู้ ปน็ ปจั จยั ขบั เคลอื่ นสำ� คญั ทมี่ อี ทิ ธพิ ล ต่อการก�ำหนดทิศทางความเจริญก้าวหน้า และความสามารถในการแข่งขันของบุคคล องค์กร และประเทศ ท�ำให้เกิด การลงทุนในกิจกรรมด้านการวจิ ัยและพัฒนาอย่างเหน็ ได้ชัด สังคมโลกาภิวัตน์ (Globalization Age) ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การคมนาคมขนส่ง และอิทธิพลของระบบทุนนิยมที่แผ่ขยายไปทั่วโลกหลังสงครามเย็นสิ้นสุด ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยง ประเทศต่าง ๆ ในโลกให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ท้ังในด้านการเคล่ือนย้ายของผู้คน ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ วัฒนธรรม รวมถึงการค้า การลงทุนข้ามพรมแดนรัฐชาติ โลกในยุคน้ีเปรียบเสมือนเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ประชาคมในส่วนต่าง ๆ ของโลกสามารถ รบั รู้และไดร้ บั ผลกระทบจากสง่ิ ที่เกิดขน้ึ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว สภาพหลงั ยคุ อุตสาหกรรมดังกลา่ ว ส่งผลตอ่ การจัดการศกึ ษาอย่างมาก ดังท่ีจะกล่าวถงึ ต่อไป การศกึ ษาหลงั ยุคอตุ สาหกรรม หลงั ยคุ อตุ สาหกรรม มปี จั จยั สภาพแวดลอ้ มทเี่ ปลยี่ นแปลงไปจากชว่ งยคุ อตุ สาหกรรมมาก ดงั ทกี่ ลา่ วไวข้ า้ งตน้ บา้ งแลว้ ไมว่ า่ จะเปน็ ความกา้ วหนา้ ดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยโี ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความกา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ การพฒั นาดา้ นการคมนาคมขนสง่ ที่สะดวกรวดเร็ว กระแสประชาธปิ ไตย การแผ่ขยายของเศรษฐกจิ ทนุ นยิ ม การเปิดเสรี ทางการคา้ และบรกิ าร การแขง่ ขนั ทส่ี งู ขนึ้ ทกุ ดา้ น ฯลฯ รวมทงั้ ดา้ นอน่ื ๆ ดว้ ย และยงั มปี จั จยั ดา้ นการศกึ ษาทม่ี กี ารแขง่ ขนั สงู การเข้ามามีบทบาทขององคก์ รระหวา่ งประเทศ เชน่ UNESCO ทกี่ อ่ ตง้ั ขน้ึ ในปคี รสิ ตศ์ กั ราช 1945 ทส่ี นบั สนนุ การจดั การศกึ ษา ของประเทศตา่ ง ๆ รวมถึงการเข้ามามสี ว่ นรว่ มจดั การศึกษาของกลุม่ ตา่ ง ๆ เช่น ชุมชน ภาคธุรกิจเอกชน องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถ่นิ เป็นตน้ ล้วนเปน็ ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อการจัดการศึกษาช่วงหลังยุคอุตสาหกรรมนี้ ซงึ่ การศึกษาในยคุ นมี้ ีลกั ษณะ สำ� คัญ ๘ ประการ คอื ๑. การศึกษาทีม่ ีความเหลือ่ มล�ำ้ ลดลง แม้ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมการศึกษาแบบเปน็ ทางการจะขยายตวั มากข้ึน เพ่ือพัฒนาคนและองค์ความรู้ป้อนสู่ระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม แต่ในช่วงหลังยุคอุตสาหกรรมที่สภาพเศรษฐกิจที่มี การขยายตวั การเพมิ่ ขนึ้ ของกลมุ่ ชนชน้ั กลาง กระแสการเรยี กรอ้ งสทิ ธมิ นษุ ยชนเพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั สทิ ธขิ นั้ พน้ื ฐานทางการศกึ ษา ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีการเรียนการสอน อีกท้ังยังพบว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมารัฐบาลในประเทศ ตา่ ง ๆ เหน็ ความสำ� คญั ของการศกึ ษา เพราะเปน็ เครอื่ งมอื สำ� คญั ในการพฒั นาคนและประเทศชาติ โดยกำ� หนดยทุ ธศาสตร์ การจัดการศึกษาให้ครอบคลุมทุกกลุ่มคน (UNESCO, 2015) ประกอบกับการเข้ามามีบทบาทและการสนับสนุนของ องคก์ ร UNESCO ทน่ี ำ� แนวคดิ การศกึ ษาปวงชน (Education for all) มาใช้ โดยเฉพาะกลมุ่ ประเทศกำ� ลงั พฒั นาและดอ้ ยพฒั นา จากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งยูเนสโก (UNESCO Institute for Statistics, 2014) พบว่า ตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1970 เปน็ ตน้ มา อตั ราการเขา้ ถงึ ระบบการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานเพมิ่ ขนึ้ อยา่ งชดั เจน ความเหลอ่ื มลำ�้ ดา้ นโอกาสทางการศกึ ษาระหวา่ ง เพศชายและหญงิ ลดลง เดก็ ชว่ งปฐมวยั ไดร้ บั การศกึ ษามากขน้ึ ซง่ึ ตา่ งจากชว่ งยคุ อตุ สาหกรรมทเ่ี ดก็ วยั นต้ี อ้ งอยกู่ บั ครอบครวั หรอื สถานเล้ียงเด็กเลก็ ในทที่ �ำงาน นั่นแสดงถึงกล่มุ คนต่าง ๆ ในสังคม มโี อกาสเข้าสรู่ ะบบการศึกษามากข้ึน 267 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๒. การศึกษาท่ีให้ความส�ำคัญกับผู้เรียนมากขึ้น แนวคิดการจัดการศึกษาที่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ปรากฏ ต้ังแต่สมัยนักปราชญ์โสเครติส (๔๐๐ปีก่อนคริสตกาล) แต่เพิ่งเป็นท่ีรู้จักและถูกน�ำมาใช้อย่างกว้างขวางในแวดวง การศึกษาในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙ ถึงช่วงต้นศตวรรษท่ี ๒๐ โดยนักปรัชญาและนักการศึกษาช่ือจอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) ในชว่ งปคี รสิ ตศ์ กั ราช 1916 (Schweisfurtha, M., 2013) ซง่ึ การจดั การศกึ ษาทผ่ี เู้ รยี นเปน็ สำ� คญั มแี นวคดิ วา่ การพัฒนาคน ไม่ได้มีเพียงทางใดทางหน่ึงแต่ควรมีหลากหลาย เพราะทุกคนมีความแตกต่างกัน และต่างมีความสามารถ ในการเรยี นรู้ เพอื่ นำ� สงิ่ ทไ่ี ดไ้ ปใชพ้ ฒั นาการทำ� งานและการใชช้ วี ติ ของตน ซง่ึ เปน็ แนวคดิ ทต่ี า่ งจากการจดั การศกึ ษามวลชน ในช่วงยุคอุตสาหกรรม อีกทั้งสภาพหลังยุคอุตสาหกรรม ท่ีเศรษฐกิจขยายตัวสูง การเพิ่มข้ึนของกลุ่มชนชั้นกลาง การก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ สภาพการแข่งขันในทุกด้าน ท�ำให้ผู้คนต้องการการศึกษาที่หลากหลาย และมีคุณภาพที่ สูงขึ้น แนวคิดการจัดการศึกษาท่ีผู้เรียนเป็นส�ำคัญ จึงกลายเป็นทิศทางท่ีประเทศต่าง ๆ ก�ำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า ในหลายประเทศยังมีอุปสรรคในการจัดการศึกษาที่มุ่งผู้เรียนเป็นส�ำคัญ ท้ังด้านสภาพแวดล้อม ของห้องเรียน และทักษะการสอนของครูท่ียังมีครูเป็นศูนย์กลาง ซ่ึงยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้จัดการศึกษาตาม แนวทางนไี้ ดอ้ ยา่ งมีคุณภาพ (UNESCO, 2015) ๓. การศกึ ษาทม่ี ศี าสตรส์ าขาทห่ี ลากหลาย สภาพบรบิ ทแวดลอ้ มชว่ งหลงั ยคุ อตุ สาหกรรมมกี ารเปลยี่ นแปลง อยา่ งรวดเรว็ การเชอ่ื มตอ่ กนั อยา่ งใกลช้ ดิ ในยคุ โลกาภวิ ตั น์ ทศิ ทางการจดั การศกึ ษาทม่ี งุ่ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั สง่ ผลใหม้ รี ายวชิ า และหวั ขอ้ ในการจดั การสอนทหี่ ลากหลายมากขน้ึ เชน่ ดา้ นศลิ ปะ ดนตรี กฬี า วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ สง่ิ แวดลอ้ ม คอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยี และวิชาทางเลือกอนื่ ๆ ประกอบกบั การกา้ วสสู่ งั คมและเศรษฐกิจฐานความรู้ที่แข่งขนั สูง การมีมาตรฐาน การผลิตสินค้าและบริการ มาตรฐานขององค์กรและการบริการในกลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ จึงจําเป็นต้องมีผู้ช�ำนาญการ ทเ่ี ชย่ี วชาญเฉพาะทางเพอื่ ทาํ งานไดม้ คี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพสงู จงึ เกดิ การจดั การศกึ ษาทแี่ ตกแขนงวชิ าเชงิ ลกึ ในศาสตร์ สาขาตา่ ง ๆ มากขน้ึ โดยเฉพาะในระดบั อดุ มศกึ ษา อกี ทงั้ สภาพการแขง่ ขนั ในระดบั อดุ มศกึ ษาทร่ี นุ แรงขนึ้ สง่ ผลใหส้ ถาบนั อดุ มศึกษาต่างแข่งขนั เปดิ หลักสูตรใหม่ เพือ่ ดงึ ดดู และรองรบั ความต้องการเฉพาะของกลุ่มคนตา่ ง ๆ มากข้นึ 268 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๔. การศกึ ษาบนฐานการใชเ้ ทคโนโลยี ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ น คอมพวิ เตอร์ สมารท์ โฟน ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต และโปรแกรมต่าง ๆ ฯลฯ ส่งผลต่อการเพ่ิมประสิทธิภาพการสอน การแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำ� ใหเ้ กดิ การสอื่ สารระหวา่ งกนั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวาง และเพมิ่ โอกาสในการเขา้ ถงึ การศกึ ษามากขนึ้ (Haddad, W. and Draxler, A., 2002) เชน่ การใชค้ อมพวิ เตอรส์ ว่ นบคุ คล และเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ในการเรยี นการสอน การประชมุ ทางไกล การฝึกอบรมครูผ่านระบบออนไลน์ ฯลฯ ซ่ึงจากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งยูเนสโก (UIS database, 2014) พบวา่ ในชว่ งปคี รสิ ตศ์ กั ราช 2000–2009 มกี ารใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในระบบการศกึ ษาเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ มาก เรมิ่ จาก กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ขยายสู่กลุ่มประเทศก�ำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา และเร่ิมจากพ้ืนที่ในเขตเมืองขยาย สู่ชนบท เป็นผลให้การเรียนการสอนไม่ถูกจ�ำกัดอยู่แต่ในห้องเรียน มีความยืดหยุ่นด้านเวลาและสถานท่ี ผู้เรียนค้นคว้าและศึกษา เพม่ิ เติมด้วยตนเอง และสามารถเข้าถงึ แหลง่ ความรทู้ ่ีหลากหลายและกว้างขวางมากยิ่งขนึ้ ๕. การศึกษาท่ีปรับเปล่ียนสนองตอบความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม ช่วงหลังยุคอุตสาหกรรม เปน็ ยคุ ฐานความรู้ การเชอื่ มโยงถงึ กนั ในยคุ โลกาภวิ ตั น์ และสภาพการแขง่ ขนั ทร่ี นุ แรงในทกุ ดา้ นจะสง่ ผลใหก้ ารผลติ สนิ คา้ และบริการ รวมถึงวถิ ีการด�ำเนนิ ชวี ติ และคา่ นยิ มของคนในสังคมมกี ารเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อันส่งผลกระทบต่อ การจดั การศกึ ษาทตี่ อ้ งปรบั เปลยี่ นเพอ่ื สนองตอบตอ่ พลวตั การเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คม เชน่ การเปลยี่ นแปลง กระบวนการเรยี นการสอน โดยการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศมากขน้ึ อยา่ งชดั เจน การปรบั กระบวนการสอนทมี่ งุ่ กระบวนการ สร้างคนให้มีทักษะการคิด การจัดการปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ (Tuomi, I. and Miller R., 2011) อีกท้ัง ยังพบว่า ในช่วงสองทศวรรษท่ีผ่านมามีการพัฒนาหลักสูตรรายวิชา และหัวข้อในการเรียนการสอนเพ่ือตอบสนอง ตอ่ การเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ ตลาดแรงงานและสงั คมมากขนึ้ เชน่ การเพม่ิ ประเดน็ เกย่ี วกบั ความรแู้ ละทกั ษะทจ่ี ำ� เปน็ ส�ำหรับการเป็นพลเมืองโลก เป็นความรู้และความรับผิดชอบต่อสังคม ค่านิยมหลัก ค่านิยมหลักที่เป็นสากล เช่น ความสงบ สทิ ธมิ นุษยชน ความยุตธิ รรม การต่อต้านการอาชญากรรม ประชาธปิ ไตย เปน็ ตน้ (UNESCO, 2015) ๖. การศึกษาที่มุ่งสู่การมีมาตรฐาน ด้วยสภาวะการณ์ของยุคท่ีมีการเช่ือมต่อถึงกัน การเปิดเสรีทางการค้า และการบริการ แรงกดดันจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ประกอบกับปัจจัยด้านการศึกษาได้แก่ การเกิดข้ึนของการ 269 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment; PISA) ซ่งึ เลสเต (Leste, A., 2005) วเิ คราะหไ์ ว้วา่ การประเมนิ ผลนกั เรยี นนานาชาตนิ ี้ ส่งผลให้เกิดการเปรียบเทยี บคุณภาพในการจัดการศกึ ษาและร้สู ถานะ ของล�ำดับการศึกษาของแต่ละประเทศ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยด้านการจัดอันดับผ่านการประเมินตามตัวช้ีวัดต่าง ๆ ท้ังในระดับภูมิภาคและระดับโลกซึ่งมีผลต่อการก�ำหนดนโยบายของประเทศต่าง ๆ อย่างมาก ท�ำให้เกิดการต่ืนตัว ในการพัฒนาการจัดการศึกษาของตนให้ได้ตามกรอบการชี้วัดต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ต้อง กำ� หนดมาตรฐานดา้ นการศกึ ษาอยา่ งไมส่ ามารถหลกี เลย่ี งได้ สภาพแรงกดดนั ดงั กลา่ วทำ� ใหเ้ กดิ การเขม้ งวดกวดขนั มาตรฐาน คณุ ภาพในการจดั การศกึ ษาใหส้ งู ขน้ึ ในชว่ ง ๒๕ ปที ผี่ า่ นมา ประเทศตา่ ง ๆ มกี ารกำ� หนดระบบการประเมนิ มาตรฐานชาติ ดา้ นการศึกษาเพ่ิมขึ้นจาก ๑๒ ประเทศเม่อื คริสต์ศักราช 1990 เปน็ ๑๐๑ ประเทศในปคี รสิ ตศ์ กั ราช 2013 (Benavot, A. and Köseleci, N., 2015) และยังมีการน�ำแนวทางหรอื วธิ กี ารจดั การคุณภาพการศึกษาท่ีเป็นท่ยี อมรบั มาใช้ในการบรหิ าร จัดการองค์กรการศึกษาอย่างกว้างขวาง เพื่อให้การศึกษามีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เช่น การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (TQM: Total Quality Management) การใช้ระบบตัวบ่งชี้ผลการปฏิบัติงานระบบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ (ISO: International Standardization and Organization) การควบคมุ คณุ ภาพ การตรวจสอบคณุ ภาพ การประเมนิ คณุ ภาพ และการเปรยี บเทยี บกับองคก์ ารคู่แขง่ ขนั เปน็ ตน้ ๗. การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ท�ำให้การสื่อสารสามารถ เชอื่ มโยงถงึ กนั ไดท้ วั่ โลกในเวลาอนั รวดเรว็ ความรเู้ ดมิ จะลา้ สมยั เรว็ ขนึ้ และมปี ระโยชนน์ อ้ ยลงเมอื่ นำ� มาใชใ้ นยคุ ฐานความรู้ ประกอบกับสภาพการแข่งขันในการประกอบอาชีพ ส่งผลให้คนในสังคมไปในทิศการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพและการด�ำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) เรม่ิ ตน้ จากแนวคดิ ในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั กลมุ่ ผใู้ หญ่ (adult education) ทม่ี พี นื้ ฐานแนวคดิ วา่ ผใู้ หญต่ อ้ งไดร้ บั การศกึ ษา และเรียนรู้อย่างต่อเนื่องแม้จบจากระบบการศึกษาไปแล้ว ซ่ึงเม่ือปีคริสต์ศักราช 1976 องค์การยูเนสโก ได้บรรจุไว้เป็น วาระสำ� คญั ระดบั โลก ทจี่ ะขบั เคลอ่ื นใหป้ ระเทศตา่ ง ๆ กำ� หนดเปน็ นโยบายระดบั ชาตแิ ละใหก้ ารสนบั สนนุ มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จนเม่ือคริสต์ศักราช 2012 ผลการสำ� รวจจากรายงานระดับชาติของประเทศต่าง ๆ พบว่า ประเทศที่น�ำแนวคิดการเรียนรู้ ตลอดชวี ติ กำ� หนดไวเ้ ปน็ ยทุ ธศาสตรช์ าตมิ จี ำ� นวนถงึ ๙๖ จาก ๑๑๐ ประเทศ (UNESCO Institute for Lifelong Learning, 2012) ซงึ่ ต่างจากในช่วงยุคอตุ สาหกรรมท่แี รงงานจะรบั การศกึ ษาตั้งแตก่ อ่ นเข้าส่ตู ลาดแรงงานเปน็ หลัก ๘. การศึกษาที่มีการกระจายอ�ำนาจสู่สถาบันการศึกษาและท้องถ่ินมากขึ้น แนวโน้มการกระจายอ�ำนาจ ทางการศกึ ษาจากรฐั สทู่ อ้ งถนิ่ และสถาบนั การศกึ ษาเปน็ ทศิ ทางทม่ี แี นวโนม้ สงู ขน้ึ ซงึ่ มแี นวคดิ พน้ื ฐานทแ่ี พรเ่ ขา้ มาพรอ้ ม กบั กระแสประชาธปิ ไตย เรม่ิ จากกลมุ่ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ ขยายสกู่ ลมุ่ ประเทศกำ� ลงั พฒั นาทม่ี กี ารขยายตวั ทางเศรษฐกจิ สงู (Litvack, J. และคณะ, 1998) ปจั จยั โนม้ นำ� สำ� คญั คอื ภาครฐั ตอ้ งการลดคา่ ใชจ้ า่ ยดา้ นการศกึ ษาลงและคาดหวงั วา่ การกระจายอำ� นาจ ดงั กลา่ วจะมสี ว่ นเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การศกึ ษา และมเี ปา้ หมายเพอ่ื จดั การศกึ ษาทสี่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ของผู้เรียนแต่ละกลุ่มคน และสามารถผลิตคนและองค์ความรู้ได้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถ่ินโดยสถาบัน การศกึ ษาสามารถบรหิ ารจดั การโดยเนน้ ใหโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานเพอื่ เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการบรหิ ารจดั การ (UNESCO, 2009) ซึง่ ต่างจากการศกึ ษาช่วงยคุ อตุ สาหกรรม ท่ีภาครฐั เป็นศนู ย์กลางในการบริหารจดั การด้านการศกึ ษาของประเทศ 270 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
สรปุ การศึกษาในช่วงหลังยุคอุตสาหกรรมมีพัฒนาการเปล่ียนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วงยุคอุตสาหกรรมดังท่ี สรุปไว้เบื้องต้น ๘ ประการ และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงยังคงเกิดข้ึนต่อเน่ือง เน่ืองด้วยปัจจัยขับเคล่ือนหลายประการ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ การเช่ือมต่อของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ การเกิดขึ้นของระบบการเงินและ เศรษฐกจิ สมัยใหม่ สภาพการแขง่ ขนั ในทุกดา้ น ฯลฯ อนั มีผลให้ระบบการศกึ ษาตอ้ งพัฒนาอย่างมคี ุณภาพและเท่าทันการ เปลี่ยนแปลง อันเป็นรากฐานส�ำคัญในการสร้างคนและองค์ความรู้ที่มีคุณภาพ เพ่ือสร้างความเจริญก้าวหน้าและ ความมั่นคงแก่ชุมชน ประเทศและสงั คมโลก บรรณานกุ รม Becker, Sascha O., Erik Hornung, and LudgerWoessmann. (2009). “Catch Me If You Can: Education and Catch-up in the Industrial Revolution.” CESifo Working Paper 2816. Munich: CESifo. University of Warwick institutional repository: http://go.warwick.ac.uk/wrap. Bell, D. (1973). The Coming of Post-Industrial Society. A Venture in Social Forecasting. New York. Benavot, A. and Köseleci, N. (2015). Seeking quality: growth of national learning assessments, 1990-2013. Background paper for EFA Global Monitoring Report 2015. Faure, E., Felipe Herrera, Abdul-RazzakKaddoura, Henri Lopes, Arthur V.Petrovsky, Majid Rahnema and Frederick Champion Ward. (1972). Learning to be The World of Education Today and Tomorrow. UNESCO. Paris. Haddad, W. and Draxler, A. (2002). The dynamics of technologies for education. Technologies for Education: Potentials, Parameters, and Prospects. Paris/ Washington, DC, UNESCO Academy for Educational Development. Lampard, E.E., (2001). Industrial Revolution. In World Book 2001 Vol. 10. Chicago: World Book Inc. Leste, A. (2005). Streaming in Seychelles: from SACMEQ Research to Policy Reform. Conference paper for International Invitational Educational Policy Research Conference, Paris, 2005. Litvack, J., Ahmad, J. and Bird, R. (1998). Rethinking Decentralization in Developing Countries. Washington, D.C., The World Bank. (World Bank Sector Studies Series, Report 21491.) Schweisfurtha, M., (2013). Learner-Centred Education in international Perspective Journal of International and Comparative Education, 2013, Volume 2, Issue 1. Tuomi, I. and Miller R., 2011. Learning And Education After the Industrial Age สืบค้นจาก http://www. meaningprocessing.com/personalPages/tuomi on 2 Aug 2015. UNESCO, (2009). EFA Global Monitoring Report 2009: Overcoming in equality: why governance matters. UNESCO Publishing Paris. UNESCO, (2015). Education for All Global Monitoring Report 2015. EDUCATION FOR ALL 2000-2015: achievements and challenges UNESCO Publishing. UNESCO Institute for Lifelong Learning. (2012). National Progress Reports for Global Report on Adult Learning and Education (GRALE) 2012. 271 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การศกึ ษาอาเซยี น ไพศาล วศิ าลาภรณ์ ค�ำว่า ASEAN ในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นค�ำยอดนิยมท่ีอยู่ในล�ำดับต้น ๆ ที่ผู้คนในสังคมต่างพูดถึงกัน ค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าผู้คนในสังคมท่ีพูดถึง ASEAN เหล่าน้ัน ส่วนหนึ่งยังมีความรู้ความเข้าใจ เก่ียวกับเรอ่ื งนใี้ นภาพรวมไมม่ ากนกั และไม่ถกู ตอ้ งดีพอ เชน่ ตอ้ งการจะพดู ถึง ASEAN แตป่ ากไปคุ้นเคยกับค�ำวา่ AEC เน่ืองจากได้ยินค�ำน้ีบ่อยจากสื่อต่าง ๆ หรือบางคร้ังออกเสียงค�ำว่า ASEAN (อาเซียน) เป็น ASIAN (เอเชียน) เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้ต้องช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว ต้องช่วยกันเร่งสร้างความคุ้นเคยให้ผู้คนในสังคมต่าง ๆ ได้รู้ได้เข้าใจ ในบรบิ ทของ ASEAN กอ่ นทจ่ี ะเกดิ ความผดิ พลาดมากไปกวา่ นี้ ซง่ึ แนวทางทดี่ แี นวทางหนงึ่ ทจี่ ะทำ� ใหผ้ คู้ นในสงั คมตา่ ง ๆ ไดร้ ไู้ ด้เข้าใจในเรอ่ื งของ ASEAN มากกว่าน้ี กค็ ือ การใหก้ ารศกึ ษา คำ� วา่ ASEAN นน้ั เปน็ คำ� นาม อา่ นออกเสยี งวา่ อาเซยี น อยา่ ไปออกเสยี งผดิ วา่ เอเชยี น (Asian) เพราะคำ� วา่ Asian นัน้ เปน็ ค�ำคุณศพั ท์ ซง่ึ ภาษาอังกฤษเรยี กวา่ ค�ำ Adjective มีไวส้ ำ� หรบั ใชข้ ยายคำ� นาม เช่น Asian Games เปน็ ตน้ ค�ำวา่ ASEAN ทเ่ี รากำ� ลังสร้างความรู้ ความเขา้ ใจ ความเคยชิน ให้ผู้คนในสงั คมต่าง ๆ ได้รับทราบนี้ เปน็ คำ� ทยี่ ่อมาจาก ค�ำในภาษาอังกฤษว่า Association of Southeast Asian Nations ซึ่งภาษาไทยของเราใช้ค�ำว่า สมาคมประชาชาติ แหง่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ หรือ ประชาคมอาเซยี น นั่นเอง 272 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ หรอื เอเชยี อาคเนย์ นนั้ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของทวปี เอเชยี เปน็ ดนิ แดนทป่ี รากฏอยบู่ นพน้ื โลก ในช่วงพิกัดละติจูดที่ ๑๐-๒๘ องศาเหนือ และลองติจูดที่ ๙๒-๑๔๐ องศาตะวันออก ประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ จำ� นวน ๑๑ ประเทศ คอื ราชอาณาจกั รไทย ราชอาณาจกั รกมั พชู า ตมิ อรเ์ ลสเต ราชอาณาจกั รอนิ โดนเี ซยี สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสังคมนิยม เวยี ดนาม และบรไู นดารสุ ซาลาม มพี น้ื ทร่ี วมกนั มากกวา่ ๘๐๗,๐๐๐ ตารางไมล์ หรอื ประมาณ ๔.๕ ลา้ นตารางกโิ ลเมตร มีประชากรมากกว่า ๖๐๐ ล้านคน มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบ ภูเขา แม่น�้ำ ช่องแคบ ป่าทึบ และเกาะต่าง ๆ โดยมีเกาะชวาของประเทศอินโดนีเซีย เป็นเกาะท่ีมีประชากรหนาแน่นท่ีสุด เป็นเกาะท่ีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา โดย ๑๑ ประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้ี มีผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณร้อยละ ๔๔ ศาสนาครสิ ตร์ อ้ ยละ ๒๗ ศาสนาอสิ ลามรอ้ ยละ ๒๒ และศาสนา ความเชอ่ื อนื่ ๆ เชน่ เตา๋ ขงจอื๊ ฮนิ ดู และภตู ผอี กี ประมาณ ร้อยละ ๕ จากขอ้ มลู ในภาพรวมของ ๑๑ ประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตด้ งั กลา่ วขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ๑๑ ประเทศนี้ มีจ�ำนวนประชากรและจ�ำนวนพ้ืนที่รวมกันค่อนข้างมาก หากจะมีแนวทางท่ีดีในการน�ำประเทศเหล่านี้มาอยู่ร่วมกัน อยา่ งใกลช้ ดิ ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ กน็ า่ จะมผี ลดใี นการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม งา่ ยตอ่ การพฒั นา สะดวกในการตดิ ตอ่ สอ่ื สารประชาสมั พนั ธ์ และการคมนาคม สง่ ผลใหพ้ ฒั นาการในภาพรวมดา้ นตา่ ง ๆ ของประเทศในภมู ภิ าคนเ้ี จรญิ กา้ วหนา้ และสามารถดำ� เนนิ การ ตามภารกจิ ตา่ ง ๆ ไดร้ วดเรว็ เรยี บรอ้ ย รงุ่ เรอื งในทกุ ดา้ น ดงั นนั้ เมอื่ วนั ที่ ๘ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๐ ผนู้ ำ� ประเทศตา่ ง ๆ ท่ีมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน จ�ำนวน ๕ ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย จึงได้มา ประชุมร่วมกันท่ีวังสราญรมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และมีมติเห็นพ้องร่วมกันที่จะจัดต้ัง ประชาคมอาเซยี น (ASEAN) ข้นึ เปน็ ครั้งแรก โดยรฐั มนตรีว่าการกระทรวงการตา่ งประเทศของไทยทอี่ ยูร่ ่วมในองค์คณะ ของผู้นำ� ๕ ประเทศดังกลา่ ว คือ พนั เอกถนัด คอมนั ตร์ 273 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ปจั จบุ นั ประชาคมอาเซยี น (ASEAN) มปี ระเทศสมาชกิ อยทู่ งั้ หมด ๑๐ ประเทศ โดย ๕ ประเทศแรกทร่ี ว่ มกนั กอ่ ตงั้ เมอ่ื ๘ สงิ หาคม ๒๕๑๐ คอื อนิ โดนเี ซยี มาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ สงิ คโปร์ และไทย ตอ่ มา มปี ระเทศสมาชกิ เพม่ิ ขนึ้ อกี ๕ ประเทศ คอื บรไู นดารสุ ซาลาม (๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗) เวยี ดนาม (๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๘) สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว และเมยี นมาร์ (๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๐) โดยมกี ัมพชู าเป็นประเทศสมาชกิ ล่าสดุ เมอื่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒ หลงั จากทป่ี ระชาคมอาเซยี น ไดก้ อ่ ตง้ั มาเปน็ เวลานานพอสมควร จนถงึ วนั ที่ ๘ ตลุ าคม ๒๕๔๖ ไดม้ กี ารประชมุ สุดยอดอาเซียน คร้ังที่ ๙ ข้ึนท่ีบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซ่ึงท่ีประชุมได้มีมติร่วมกันท่ีจะให้ ASEAN เป็นประชาคม ทป่ี ระกอบดว้ ย ๓ เสาหลกั คือ เสาหลักที่ ๑ การเมืองและความมน่ั คง : ASEAN Political-Security Community-ASC เสาหลักที่ ๒ เศรษฐกจิ : ASEAN Economic Community-AEC เสาหลักท่ี ๓ สงั คมและวัฒนธรรม: ASEAN Socio-Cultural Community-ASCC จากโครงสร้างท้ัง ๓ เสาหลักของ ASEAN ข้างต้น ดูเหมือนว่า เสาหลักท่ี ๓ คือ ประชาคม สังคมและ วัฒนธรรมอาเซียน นั้น จะเป็นเสาหลักท่ีประกอบด้วยความร่วมมือทางด้านต่าง ๆ ท่ีหลากหลาย เพราะเสาหลักน้ี ครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ในวงกว้าง เช่น เยาวชน การศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์ สวัสดิการสังคม การพัฒนาวัฒนธรรมและสารสนเทศ กิจกรรมพลเรือน การตรวจคนเข้าเมืองและกงสุล การจดั การภยั พบิ ัติ สทิ ธมิ นษุ ยชน และมลู นิธอิ าเซียน เปา้ หมายหลกั ของการพยายามทีจ่ ะดงึ ประเทศท้งั หลายในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ใหเ้ ข้ามาอยู่ดว้ ยกนั อย่างใกลช้ ิดมากยง่ิ ขึน้ เพอ่ื ผลของการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ร่วมกนั เพ่ือความสะดวกในการติดตอ่ ส่อื สาร สะดวกในการ คมนาคมไปมาหาสู่ระหว่างกัน และเพื่อความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ของผู้คนในภูมิภาค จนน�ำมาสู่การก�ำหนด ค�ำขวัญของ ASEAN ท่ีจะด�ำเนินการร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมท่ีว่า One Vision One Identity One Community คือ หน่ึงวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ และหน่ึงประชาคม แล้ว เป้าหมายหลักในภาพรวมของการก่อต้ัง ASEAN ขึ้นมา ในเชงิ วิชาการน้นั มี ๒ ประการ คือ ๑. เรง่ รดั พฒั นาการเจรญิ เตบิ โตทางดา้ นเศรษฐกจิ ความกา้ วหนา้ ทางสงั คม และการพฒั นาวฒั นธรรมในภมู ภิ าค ๒. ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค เคารพหลักความยุติธรรมและหลักนิติธรรมในการด�ำเนิน ความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศในภมู ภิ าค ตลอดจนยึดม่นั ในหลักการแหง่ กฎบัตรสหประชาชาติ อย่างไรกต็ าม เมอื่ มกี ารกอ่ ต้ังประชาคมอาเซียน (ASEAN) ขน้ึ แล้ว ได้มกี รอบระยะเวลาในเรือ่ งนใ้ี หเ้ ปน็ เรื่องจริง ให้ได้มากที่สุด ซึ่งท่ีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ ท่ีเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ ๙ - ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐ ผู้น�ำอาเซียนได้พิจารณาและตกลงร่วมกันว่า จะช่วยกันเร่งรัดกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จ ภายในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ (คริสต์ศักราช 2015) หลังจากนั้น ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ จึงได้มีมติร่วมกันเป็นข้อสรุปว่า การสร้างประชาคมอาเซียนน้ี จะต้องแล้วเสร็จ และสามารถเริ่มต้นอยา่ งเปน็ รูปธรรม เปน็ ทางการได้ ในวนั ท่ี ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ 274 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
เนอ่ื งจากเร่อื งของประชาคมอาเซียน เป็นเรื่องท่ลี ะเอียดอ่อน เก่ยี วขอ้ งกับผูค้ นทกุ เพศทุกวยั และเปน็ เร่อื งที่ เกย่ี วขอ้ งกบั สงั คมประเทศตา่ ง ๆ ถงึ ๑๐ ประเทศ การเรยี นรู้ การทำ� ความเขา้ ใจ ใหไ้ ด้ และใหร้ เู้ รอื่ ง ภายในระยะเวลาทสี่ นั้ นนั้ คงเปน็ ไปไดย้ าก คงตอ้ งคอ่ ยเรยี นรู้ ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจ และตอ้ งปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สง่ิ แวดลอ้ มรอบดา้ น ซงึ่ การทจี่ ะรจู้ ะเขา้ ใจ ในเร่ืองตา่ ง ๆ ไดน้ ้นั หนีไม่พน้ การทีต่ ้องใช้ การศึกษา เป็นเคร่อื งมอื สว่ นจะใช้การศกึ ษาในรูปแบบใด คงตอ้ งขน้ึ อย่กู ับ ความเหมาะสมของสถานการณ์ ประเทศในประชาคมอาเซียน ๑๐ ประเทศ มีแนวทางในการจัดการศึกษาท่ีไม่เหมือนกันท้ังหมด ส่วนใหญ่ จะเปน็ การจดั การศกึ ษาทเ่ี ปน็ ไปตามวสิ ยั ทศั นข์ องผนู้ ำ� ประเทศ พจิ ารณาจากระบบการศกึ ษาของแตล่ ะประเทศในอาเซยี น มคี วามแตกตา่ งกัน เชน่ ประเทศบรไู นดารุสซาลาม ใชก้ ารศึกษาในระบบ ๖-๓-๓ กมั พูชา ๖-๓-๓ อนิ โดนีเซีย ๖-๓-๓ สปป.ลาว ๕-๓-๓ มาเลเซีย ๖-๓-๒ สิงคโปร์ ๖-๔ เมียนมาร์ ๕-๔-๒ เวียดนาม ๕-๔-๓ ไทย ๖-๓-๓ และฟิลิปปินส์ ๖-๔ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นว่าการจัดการศึกษาของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันแต่นั่นก็สามารถคิดได้ว่าสิ่งท่ีเห็น เป็นเพียงกระบวนการ เป็นเพียงกลวิธีท่ีจะท�ำให้ผู้คนในประเทศของตนมีการศึกษาเท่านั้น ส่วนเป้าหมายหลักและเป็น เปา้ หมายปลายทางท่จี ะตอ้ งพยายามทำ� ใหป้ ระชากรของประเทศเหลา่ นัน้ เปน็ ผ้ทู ม่ี ีการศกึ ษากค็ อื การเปน็ คนดีของสังคม ในการจัดการศึกษาของประชาคมอาเซียน ได้มีการก�ำหนดเป็นแนวทางไว้ในแผนงานประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซยี น โดยสังเขป ๔ แนวทาง คือ ๑. การจัดการศกึ ษาอยา่ งทัว่ ถึงและมคี ณุ ภาพภายในปี ๒๕๕๘ ๒. การส่งเสริมทุนอาเซยี นและเครอื ขา่ ยทางการศกึ ษา ๓. การสง่ เสริมความเขา้ ใจอนั ดรี ะหวา่ งกัน ๔. การพัฒนาเยาวชนอาเซียน ส่วนการขับเคลื่อนการศึกษาเพ่ือสร้างประชาคมอาเซียนให้เป็นเลิศนั้น ผู้น�ำและหน่วยงานรับผิดชอบ ทางการศึกษาของแต่ละประเทศ สามารถน�ำดุลยพินิจ ขีดความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ทักษะ วิสัยทัศน์ ที่ผู้น�ำ ของแต่ละประเทศมีอยู่มาใช้ในเชิงบูรณาการ เป็นปัจจัยเพ่ือการด�ำเนินการขับเคล่ือนการศึกษาในประเทศของตน เพื่อช่วยกันสร้าง ประชาคมอาเซียน ในภาพรวมให้ดีขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อสนอง ประชาคมอาเซียนนน้ั ปฏิญญาอาเซยี นดา้ นการศึกษา ไดก้ ำ� หนดไวร้ ว่ มกันเปน็ แนวทางกว้าง ๆ ๙ แนวทาง คือ ๑. สนับสนนุ ความเขา้ ใจเรอ่ื งกฎบัตรอาเซียนโดยผ่านหลักสูตรอาเซยี น ๒. เนน้ การเรยี นการสอนหลกั การแหง่ ประชาธปิ ไตย-สทิ ธิมนุษยชน ๓. สนับสนุนการเคล่อื นยา้ ยของนกั เรียน-นักศึกษาใหม้ ากข้นึ ๔. สนับสนนุ การเคลอ่ื นยา้ ยแรงงานทม่ี ฝี มี ือในภมู ิภาคอาเซยี น ๕. พัฒนาเน้อื หาสาระรว่ มในเร่ืองอาเซียน เพื่อสรา้ งความตระหนกั ในอาเซยี น ๖. สนบั สนุนการสอนภาษาประจ�ำชาติอาเซียนเปน็ วชิ าเลอื กในโรงเรยี น ๗. พยายามจดั ใหม้ กี ารประชุมวจิ ยั ด้านการศึกษาอาเซียนในภมู ภิ าค ๘. สนับสนนุ ความเขา้ ใจและการตระหนักรบั รเู้ กี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ๙. จดั เฉลมิ ฉลองวนั อาเซยี น (๘ สิงหาคม) ตามความเหมาะสม 275 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
เรื่องทั้งหลายที่เก่ียวข้องกับประชาคมอาเซียนน้ัน ทุกคนในประชาคมอาเซียนจะต้องมีส่วนร่วม จะต้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามอัตภาพ ตามขีดความสามารถที่พึงมี ตัวอย่างเช่นผู้ด�ำรงต�ำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซ่ึงจะต้อง ปฏบิ ัตงิ านอย่ทู ่ี สำ� นกั เลขาธกิ ารอาเซียน กรงุ จาการต์ า ประเทศอินโดนีเซีย ยงั ตอ้ งมกี ารหมนุ เวียนกันไปในแตล่ ะประเทศ ไม่มีใครจากประเทศใดประเทศหน่ึงจะสามารถอยู่ในต�ำแหน่งน้ีได้เป็นการถาวร ต้ังแต่มีการก่อตั้งประชาคมอาเซียนมา เมื่อ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ จนถึงปัจจุบัน มีผู้ด�ำรงต�ำแหน่งแล้วถึง ๑๓ คน เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน คือคนท่ี ๑๓ เปน็ ชาวเวียดนาม ชื่อ นายเล เลอื ง มินห์ เขา้ รบั ต�ำแหน่งเม่อื เดอื นมกราคม ๒๕๕๖ และจะอยู่ในต�ำแหนง่ น้เี ปน็ เวลา ๕ ปี ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ส่วนคนไทยเคยมีโอกาสเข้ารับหน้าที่ในต�ำแหน่งเลขาธิการอาเซียนแล้วจ�ำนวน ๒ คน คือ นายแผน วรรณเมธี (คนท่ี ๖) ระหว่าง ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๗ – ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙ และ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (คนที่ ๑๒) ระหว่าง ๑ มกราคม ๒๕๕๑ – ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๕๕ กรอบท่ีใช้เป็นแนวทาง เป็นกฎระเบียบในการท�ำงานของอาเซียนนั้น เรียกว่า กฎบัตร ASEAN เป็นข้อบังคับ ในเชงิ กฎหมาย ทผ่ี ้นู �ำประเทศอาเซยี นทกุ ประเทศรว่ มกนั จดั ทำ� ข้ึนท่ีประเทศสงิ คโปร์ เมอื่ วนั ที่ ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐ (คริสต์ศักราช 2007) แต่มีผลบังคับใช้เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ มีท้ังหมด ๑๓ หมวด (Chapter) ๕๕ ข้อ (Article) จัดท�ำ ข้ึนเป็น ภาษาอังกฤษ เพยี งภาษาเดียว เพราะ ASEAN ถือว่าภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาทใี่ ชใ้ นการสือ่ สารและการทำ� งานของ ASEAN โดยการท�ำกฎบัตร ASEAN ข้นึ คร้งั นี้ พล.อ.สรุ ยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะน้ัน เปน็ ผแู้ ทน ประเทศไทยร่วมลงนามในกฎบตั รดงั กล่าว ประชาคมอาเซยี น ไดก้ า้ วมาถงึ ปจั จบุ นั โดยไดอ้ าศยั ความรว่ มมอื จากหลาย ๆ ฝา่ ย หลาย ๆ องคก์ ร หลาย ๆ ปจั จยั ตอ้ งพงึ่ พากฎบตั ร ASEAN ตอ้ งอาศยั กำ� ลงั คนจากสำ� นกั เลขาธกิ ารอาเซยี น ตอ้ งอาศยั วสิ ยั ทศั นข์ องผนู้ ำ� อาเซยี น ตอ้ งอาศยั ความคดิ เหน็ จากทป่ี ระชมุ สดุ ยอดอาเซยี น ตอ้ งพงึ่ พาความรว่ มมอื จากกลมุ่ ประเทศตา่ ง ๆ ทอ่ี ยนู่ อกพนื้ ทเ่ี อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ เช่น ASEAN+๓ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ASEAN+๖ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย จากประเทศคเู่ จรจาของอาเซยี น เชน่ สหรฐั อเมริกา รัสเซยี สหภาพยุโรป เปน็ ต้น การท�ำงานในภาพรวมของอาเซียนน้ัน ต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความอดทน ต้องอาศัยความร่วมมือ ต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม ต้องมีความสามัคคีปรองดองจึงจะสามารถท�ำให้ ASEAN เป็นประชาคมท่ีมีความสอดคล้องกับ แนวทางของความเปน็ ประชาคมอาเซียนที่ว่า We are ASEAN: We are One ได้ การที่จะสอนผู้คนซ่ึงมีความแตกต่างในเรื่องของเพศ เรื่องของวัย เร่ืองของวุฒิภาวะ ให้มีความรู้ความเข้าใจ ในเร่ืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ASEAN โดยใช้วิธีการสอนด้วยระบบทางการศึกษาเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจไม่ประสบความสำ� เรจ็ ในทุกประการตามทป่ี รารถนา คนจำ� นวนมาก พ้ืนทก่ี ก็ วา้ งขวาง ความต่างก็มีมาก สถานการณ์อยา่ งนี้ จะไม่เหมือนกับการสอนนักเรียนให้มีความรู้อย่างแน่นอน ล�ำพังการสอนเด็กในประเทศของเราก็ยากอยู่แล้วต้องใช้ ความพยายามในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ รูปแบบ ผู้เขียนเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ท่ีพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน เม่ือวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๓๐ น. พระองค์ท่านได้รับสั่ง เก่ียวกับการสอนคนอ่ืนไวอ้ ย่างประทับใจยงิ่ พระองค์ท่านรบั ส่ังวา่ 276 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
... “ในการสอนคนอ่ืนนั้น ตอ้ งสอนเขาใหเ้ ป็นคนแบบวา่ ใครพบ ใครก็อยากจะรู้จกั ” ... จงึ ขอเชญิ พระราชดำ� รสั นมี้ าเรยี นไวใ้ นบทความเกย่ี วกบั การศกึ ษาอาเซยี น นดี้ ว้ ย โดยหวงั วา่ พระราชดำ� รสั นี้ จะใช้เป็นแนวทางในการบอกกล่าวให้ผู้คนในอาเซียน ได้รู้ ได้เข้าใจ และสามารถครองตนให้อยู่ในประชาคมอาเซียน ได้อย่างมคี วามสุขตลอดไป แต่การท่ีทุกคนจะครองตนให้อยู่ในประชาคมอาเซียนอย่างมีความสุขที่เท่ากัน เหมือนกันนั้น คงจะ ไม่ง่ายเท่าใดนัก เพราะเราต้องพบกับความแตกต่าง พบกับการแข่งขัน พบกับการแย่งชิง พบกับการเอารัดเอาเปรียบ พบกับการที่จะต้องเรียนรู้ในส่ิงใหม่และอ่ืน ๆ อีกมาก แต่ก็ขอให้ทุกคนมีก�ำลังใจไม่ท้อถอย ขอให้ก้าวต่อไปอย่างมุ่งม่ัน อยา่ งดที ีส่ ดุ โดยมคี ณุ ธรรมและศลี ธรรมเป็นท่ีตงั้ เพื่อรว่ มกนั สร้างประชาคมอาเซยี นให้มคี ณุ ภาพตอ่ ไป 277 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวก ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไสว ฟักขาว วินยั เชงิ บวก มีรากฐานมาจากเร่ือง สิทธเิ ดก็ โดยอนุสัญญาวา่ ด้วยสิทธิเด็กในมาตรา ๑๙ ท่รี ะบไุ ว้ว่า เด็กตอ้ ง ได้รับความคุ้มครองจากความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ในปัจจุบันโรงเรียนหรือสถานศึกษา ยังไม่สามารถคุ้มครองสิทธ์ิน้ีได้ท่ัวถึง และยังคงพบเห็นความรุนแรงทางกายท่ีเด็กได้รับ เช่น การตบ การตีด้วยฝ่ามือ การชกหรือต่อยด้วยก�ำปั้น การฟาดหรือตีด้วยส่ิงของ รวมท้ังความรุนแรงทางจิตใจ เช่น การตะคอก การตะโกนใส่ การดุด่า การใช้ค�ำหยาบ การดูถูกเหยียดหยาม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังความเข้าใจผิดในการด�ำเนินการเกี่ยวกับสิทธิเด็ก เช่น การตามใจอย่างไม่มีขอบเขต การปล่อยให้ท�ำอะไรก็ได้ตามอ�ำเภอใจ การไม่มีกฎเกณฑ์หรือความคาดหวังใด ๆ การลงโทษแบบอ่ืนที่น�ำมาแทนการเฆ่ียนตีหรือท�ำให้อาย ซ่ึงการกระท�ำดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาต่อไปในระยะยาว หากผ้ปู กครอง ครู อาจารย์ และผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกฝา่ ยยงั ไมใ่ สใ่ จในการสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวก 278 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ความหมายของการสรา้ งวินยั เชงิ บวก ภาพที่ ๑ ห้องเรยี นท่มี ีการสรา้ งวนิ ยั เชิงบวก วนิ ยั เชงิ บวก หมายถงึ พฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงค์ ของบุคคลในการประพฤติตนโดยใช้หลัก เหตุผลและ การเคารพศกั ดิศ์ รีในความเป็นมนุษย์ การสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวก หมายถงึ การอบรม สงั่ สอน โดยปราศจากความรนุ แรง เคารพศกั ดศ์ิ รใี นความเปน็ มนษุ ย์ ในฐานะผเู้ รยี นรู้ เปน็ วธิ กี ารทชี่ ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นประสบความสำ� เรจ็ และได้รับข้อมูลที่จ�ำเป็นต่อการเรียนรู้ในการพัฒนาตนเอง สามารถสร้างวินัยเชิงบวกได้ในระดับครอบครัว และ ระดับโรงเรยี น ความส�ำคัญของการสร้างวนิ ัยเชิงบวก ๑. ชว่ ยเพม่ิ แรงจงู ใจให้ผู้เรียนใสใ่ จในเวลาเรียนและใชเ้ วลาทบทวนบทเรียนมากข้ึน ๒. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวธิ เี รยี นรขู้ องตนเอง สามารถเพ่มิ พูนทักษะ และปลูกฝงั ความมวี นิ ัยในตนเอง ๓. ช่วยท�ำให้ผสู้ อนจดั กจิ กรรมการเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๔. ช่วยสร้างบรรยากาศทีเ่ ออ้ื ต่อการเรยี นรูอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ สร้างความเช่ือม่นั และปลูกฝังนสิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ พ้ืนฐานแนวคิด ทฤษฎเี กีย่ วกับการสร้างวนิ ยั เชงิ บวก การสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวก เปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ จากการหลอมรวมกนั ของหลกั การของสทิ ธเิ ดก็ งานวจิ ยั เกย่ี วกบั การสอน ท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ และงานวจิ ยั เก่ยี วกบั พัฒนาการทดี่ ีของเด็ก ดังภาพที่ ๒ งานวิจยั เกยี่ วกับ พัฒนาการทดี่ ขี องเดก็ การสร้าง ภาพที่ ๒ พ้ืนฐานแนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกบั การสร้างวินัยเชงิ บวก วินัยเชิงบวก งานวิจยั เก่ียวกบั หลกั การ วิธกี ารสอนทม่ี ี ของสทิ ธเิ ด็ก ประสทิ ธิภาพ 279 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๑. หลกั การของสทิ ธิเดก็ อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ แหง่ สหประชาชาติ ไดก้ ำ� หนดรายละเอยี ดเฉพาะสำ� หรบั สทิ ธเิ ดก็ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษาไว้ ดังนี้ ๑.๑ สิทธิท่ีจะได้รับการศึกษา (มาตรา ๒๘.๑) การศึกษาระดับประถมศึกษาจะต้องเป็นภาคบังคับและ ไมต่ อ้ งเสยี เงนิ การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาจะตอ้ งมพี รอ้ มและเดก็ ทกุ คนสามารถเขา้ เรยี นได้ และการศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา จะต้องมีให้ทุกคน ขนึ้ อย่กู บั ระดับความสามารถของแต่ละคน ๑.๒ สิทธทิ ่ีจะไดร้ ับการตดั สนิ ใจโดยผใู้ หญ่เพอ่ื ประโยชน์สงู สดุ ของตวั เด็กเอง (มาตรา ๓) การตัดสนิ ใจ ทกุ เรือ่ งท่ีเกีย่ วกับเด็ก ควรค�ำนึงถงึ ประโยชนส์ ูงสุดของเดก็ เปน็ ส�ำคัญ ดังน้นั ครจู งึ ต้องพจิ ารณาใหด้ วี า่ การตัดสนิ ใจและ การกระท�ำของตนเองจะมีผลกระทบต่อเด็กอย่างไรในด้านสุขภาพทางร่างกาย สุขภาพจิตหรือสุขภาพทางอารมณ์ ความสมั พนั ธ์ทางสงั คม ความสมั พนั ธ์ในครอบครวั และความส�ำเร็จทางการเรียน ๑.๓ สิทธิที่จะไม่ได้รับการถูกเลือกปฏิบัติ (มาตรา ๒) สิทธิทุกประการของเด็กจะต้องได้รับการเคารพ โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากปัจจัยในตัวของเด็กเองหรือของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ได้แก่ เผ่าพันธุ์ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นด้านอ่ืน ๆ สัญชาติ เช้ือชาติ หรือ ฐานะทางสงั คมแต่ก�ำเนดิ ทรพั ย์สินท่ีมไี ว้ในครอบครอง ความพิการ ฐานะตามก�ำเนิดหรือฐานะดา้ นอืน่ ๆ ๑.๔ สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครองจากความรนุ แรงทกุ รปู แบบ (มาตรา ๑๙) ประเทศตา่ ง ๆ จะตอ้ ง กำ� หนดมาตรการทางกฎหมาย ทางการบรหิ ารจดั การ ทางสงั คมและการศกึ ษา เพอ่ื คมุ้ ครองเดก็ จากความรนุ แรงตอ่ รา่ งกาย และจติ ใจทกุ รปู แบบ ในขณะท่ีอยู่ในความดูแลของผ้ใู หญ่ ซึง่ หมายถงึ การทำ� สงิ่ ต่อไปนี้ ไดแ้ ก่ ห้ามการลงโทษต่อรา่ งกาย รวมถึงการดึงหแู ละการหยกิ ด้วย ห้ามตะคอก ตะโกน ใชค้ ำ� พดู หยาบคาย ดถู กู เหยยี ดหยาม หรอื ปฏบิ ตั ติ ่อเดก็ ในลักษณะ อน่ื ๆ ทเ่ี ปน็ การทำ� รา้ ยจติ ใจ หลกั สตู รฝกึ หดั ครจู ะตอ้ งมกี ารฝกึ อบรมวธิ กี ารสอนทไี่ มใ่ ชค้ วามรนุ แรง รฐั บาลจะตอ้ งสนบั สนนุ ให้ครแู ละบุคลากรโรงเรยี นปฏบิ ัติตามแนวทางขา้ งต้นดว้ ย ๑.๕ สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การอบรมสงั่ สอนในโรงเรยี นดว้ ยวธิ ที เี่ คารพศกั ดศ์ิ รขี องความเปน็ มนษุ ย์ (มาตรา ๒๘.๒) ซึ่งหมายความวา่ นักเรียนจะตอ้ งไม่ถกู ประจาน ไมถ่ ูกท�ำใหอ้ บั อายหรือถูกเหยยี ดหยาม และจะต้องล้มเลกิ วิธีการสั่งสอน โดยการท�ำให้ขายหนา้ หรอื ดูถูกเหยยี ดหยามนกั เรยี น ๑.๖ สิทธิท่ีจะได้รับการเคารพในความเป็นตัวเองและได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพและเท่าเทียมกัน (มาตรา ๒๙) การศึกษาจะต้องมุ่งเน้นท่ีการพัฒนาบุคลิกภาพ ความถนัดและความสามารถทางร่างกายและสติปัญญา ใหเ้ ต็มตามศกั ยภาพของนักเรยี นแต่ละคน ๑.๗ สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การศกึ ษาซงึ่ เปน็ การปลกู ฝงั ความเคารพตอ่ ผอู้ น่ื (มาตรา ๒๙) การศกึ ษาควรมงุ่ พฒั นา ให้เด็กมีความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน พ่อแม่ของเด็ก เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา และค่านิยมของชาติ ค่านิยมของ ประเทศที่เด็กอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ประเทศท่ีเด็กถือก�ำเนิด และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของเด็กเอง และสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ 280 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๑.๘ สิทธิในการเล่น (มาตรา ๓๑) โรงเรียนควรให้โอกาสให้เด็กได้พักผ่อน มีเวลาผ่อนคลายได้เล่นและ ท�ำกิจกรรมด้านนันทนาการต่าง ๆ และต้องให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรมซ่ึงครูจะต้องดูแล เก่ียวกบั กจิ กรรมและความรบั ผดิ ชอบของนักเรยี นนอกเหนอื จากเวลาเรยี นดว้ ย ๑.๙ สทิ ธิทจ่ี ะแสดงความคดิ เห็นของตนเอง (มาตรา ๑๒) ครจู ะต้อง รับฟัง พจิ ารณา และเคารพความคิดเห็น ของนกั เรยี น เปิดโอกาสให้นกั เรยี นมีส่วนรว่ มในการตัดสินใจในเรอื่ งตา่ ง ๆ ในหอ้ งเรียน จากหลักการดังกลา่ วขา้ งต้นจะเหน็ วา่ วนิ ยั เชงิ บวก เร่มิ ต้นท่ีการตกลงใจและยดึ เจตนารมณว์ า่ จะเคารพ สิทธิของเด็ก เม่ือเราต้ังใจแน่วแน่ว่าจะเคารพสิทธิของเด็กแล้ว เราก็จะเร่ิมมองการสอนและการอบรมเด็กในห้องเรียน ในทางที่เปน็ บวกและสรา้ งสรรค์มากขึ้น ๒. งานวิจัยเกี่ยวกบั การสอนทมี่ ีประสทิ ธิภาพ จากผลงานวจิ ัย พบวา่ การสรา้ งวินัยเชิงบวกตัง้ อยูบ่ นพืน้ ฐานของหลกั การสอนหลายประการ ดงั นี้ ๒.๑ วิธีการของวินัยเชิงบวก มีลักษณะเป็นองค์รวม การศึกษาแบบองค์รวมมาจากความตระหนักว่า ทุกด้านของการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กมีความเชื่อมโยงกันหมด วิธีการสร้างวินัยเชิงบวกมีรากฐานจากความเข้าใจ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ พัฒนาการของเด็กแต่ละคน การเรียนรู้ พฤติกรรมและความสัมฤทธิ์ผล ทางการเรยี น ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั และสขุ ภาพของชมุ ชน วนิ ยั เชงิ บวกไมไ่ ดเ้ ปน็ เพยี งวธิ จี ดั การกบั พฤตกิ รรมเดก็ เทา่ นน้ั แต่ยงั ใชไ้ ด้กบั ทุกด้านของการเรยี นรู้ของเดก็ และการมีปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างครู นกั เรียน และครอบครัวของนกั เรยี นดว้ ย ๒.๒ การสรา้ งเสรมิ วนิ ยั เชงิ บวก มฐี านอยทู่ ค่ี วามเขม้ แขง็ การสรา้ งเสรมิ วนิ ยั เชงิ บวกจะเนน้ ทก่ี ารสง่ เสรมิ ความสามารถ ความพยายาม และการพฒั นาหรอื ปรบั ปรงุ ตนเองของนกั เรยี น วธิ กี ารในแนวทางนจี้ ะไมเ่ หน็ วา่ ความผดิ พลาด เปน็ ความลม้ เหลว แตเ่ ปน็ โอกาสทจี่ ะเรยี นรแู้ ละปรบั ปรงุ ทกั ษะของตนเอง ความผดิ พลาด ความยากลำ� บาก หรอื สงิ่ ทา้ ทาย ไม่ได้เป็นความอ่อนแอ แตเ่ ป็นส่งิ กระตนุ้ ใหเ้ รียนรู้มากกว่า อาจกลา่ วได้ว่า การสร้างวนิ ยั เชิงบวกมีฐานจากความเข้มแข็ง ของนักเรยี น ๒.๓ แนวทางของวินยั เชงิ บวก จะมลี ักษณะสรา้ งสรรค์ การสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวกให้ความส�ำคัญต่อบทบาท ของครู ในการเสริมสร้างให้นักเรียนมีความมั่นใจและความภูมิใจในคุณค่าของตนเอง ส่งเสริมการพ่ึงตนเองและปลูกฝัง ความรู้สึกว่า ตนเองมีความสามารถในแนวทางของวินัยเชิงบวก ครูมีบทบาทเป็นเหมือนครูฝึกท่ีคอยสนับสนุนนักเรียน ในการเรยี นรแู้ ทนทจี่ ะลงโทษเวลาทน่ี กั เรยี นทำ� งานผดิ พลาดหรอื ประพฤตไิ มเ่ หมาะสม ครจู ะพยายามเขา้ ใจวา่ ทำ� ไมนกั เรยี น จึงท�ำเช่นน้ันและพยายามน�ำทางนักเรียนไปในทิศทางที่พึงประสงค์ วินัยเชิงบวกจึงมีฐานจากการเสริมสร้างความภูมิใจ ในคณุ คา่ และความม่ันใจในตนเองของนกั เรยี น ๒.๔ แนวทางของการสร้างวินัยเชิงบวก คือ การพยายามท�ำให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม วินัยเชิงบวกจะเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคลและสิทธิท่ีเท่าเทียมกันของเด็ก นักเรียนทุกคนจะได้รับการยอมรับ ให้เข้าอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ และทุกคนจะมีสิทธิได้รับการศึกษาในมาตรฐานเดียวกัน การสร้างวินัยเชิงบวก จงึ เป็นการสรา้ งการยอมรบั และเคารพความหลากหลายของนกั เรียน 281 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๒.๕ การสร้างวินัยเชิงบวก เป็นงานเชิงรุก ครูจะ ทำ� งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพหากครมู กี ารวางแผนทจี่ ะชว่ ยนกั เรยี นให้ ประสบความสำ� เรจ็ ในระยะยาวมากกวา่ ทจี่ ะใชเ้ พยี งปฏกิ ริ ยิ าตอบโต้ เพอ่ื จดั การกบั ปญั หาเฉพาะหนา้ ไปเรอ่ื ย ๆ การใหก้ ารสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวก จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยสงิ่ ตอ่ ไปน้ี คอื ความเขา้ ใจและสามารถเขา้ ไป จัดการถึงรากเหง้าของปัญหาในการเรียนรู้และปัญหาพฤติกรรม ของเด็ก การก�ำหนดยุทธศาสตร์ที่จะส่งเสริมความส�ำเร็จ ป้องกัน ข้อขัดแย้งและน�ำไปใช้จริง รวมท้ังการหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับ ปัญหาเฉพาะหน้าเท่าน้นั ๒.๖ วินัยเชิงบวก คือ การเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม การสร้างวินัยเชิงบวกเป็นการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการเคารพมุมมองของนักเรียน แทนที่จะเน้นการบังคับและ ควบคุม วินัยเชิงบวกจะพยายามให้นักเรียนได้ออกความเห็นและ แสดงมุมมองของตน และมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อม ของหอ้ งเรยี น ๓. งานวิจัยเก่ยี วกบั พัฒนาการท่ีดขี องเดก็ ครสู ว่ นใหญม่ คี วามตระหนกั ดวี า่ เดก็ จะเปลยี่ นแปลงหรอื พฒั นาอยตู่ ลอดเวลาในขณะทเ่ี ขาเตบิ โตขน้ึ เรอ่ื ย ๆ พฒั นาการ คอื กระบวนการทเ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ งและไมม่ วี นั สนิ้ สดุ เดก็ ในแตล่ ะวยั ไมไ่ ดเ้ รยี นรใู้ นลกั ษณะเดยี วกนั ทงั้ หมด วธิ ีคดิ และวธิ ที ำ� ความเข้าใจสิ่งตา่ ง ๆ ของเขาจะเปล่ยี นแปลงไปเรอื่ ย ๆ ดงั น้ัน วิธกี ารจดั การเรียนการสอนและการสร้าง วินัยเชิงบวกจึงต้องเปล่ียนตามไปด้วย วิธีการท่ีจะช่วยให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายในการเรียนรู้ของนักเรียนท�ำได้โดยการ ให้ความอบอ่นุ และแนวทางทเ่ี หมาะสมกับระดบั พัฒนาการของนักเรยี น องค์ประกอบของการสร้างวินัยเชิงบวก ที่สำ� คัญมี ๕ ประการ ดงั นี้ ๑. การกำ� หนดเป้าหมายระยะยาว ๒. การให้ความอบอุ่นและการให้แนวทาง ๓. การท�ำความเขา้ ใจพัฒนาการของผ้เู รียน ๔. การระบุความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ๕. การแก้ปญั หาและตอบสนองด้วยวิธกี ารสร้างวนิ ยั เชงิ บวก 282 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การแก้ปญั หาและตอบสนองดว้ ยวธิ ีการสรา้ งวินัยเชิงบวก การระบคุ วามแตกต่างระหวา่ งบคุ คล การทำ�ความเข้าใจพฒั นาการของผู้เรียน การให้ความอบอนุ่ การใหแ้ นวทาง การกำ�หนดเป้าหมายระยะยาว ภาพที่ ๓ องคป์ ระกอบของการสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวก หลกั การสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวกในชั้นเรียนทีส่ �ำคญั ๗ ประการ มีดงั น้ี ๑. เคารพศกั ดศ์ิ รีของผู้เรียน ไม่ใช้ความรนุ แรง ๒. มงุ่ เนน้ ทจ่ี ะแกป้ ัญหาโดยพยายามพัฒนาพฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ การมีวนิ ยั ในตนเองและบคุ ลกิ ลักษณะทดี่ ี ๓. พยายามให้ผ้เู รยี นมสี ่วนรว่ มใหม้ ากทีส่ ุด ๔. ค�ำนึงถึงความต้องการดา้ นพัฒนาการและคุณภาพชีวติ ของผเู้ รียน ๕. คำ� นึงถึงแรงจงู ใจและโลกทัศน์ของผ้เู รยี น ๖. ใหค้ วามยตุ ธิ รรม เท่าเทียมกนั และไม่เลือกปฏบิ ัติ ๗. เสริมสร้างความสามคั คกี ลมเกลียวกนั ในกลุ่ม ขั้นตอนของการสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวก แบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน ดงั นี้ ๑. การบรรยายถงึ พฤตกิ รรมที่เหมาะสม เช่น ขณะน้ใี ห้ทุกคนเงียบก่อนนะ ๒. การให้เหตผุ ลท่ชี ดั เจน เชน่ เราจะเร่ิมเรียนบทเรียนใหม่แล้ว ทกุ คนตอ้ งตง้ั ใจเรียน ๓. การให้นักเรียนทุกคนแสดงอาการรับรู้ เช่น นักเรียนเห็นหรือยังว่าท�ำไมการเงียบก่อนเร่ิมเรียนจึงเป็น สิ่งส�ำคญั ๔. การให้รางวัลหรือแสดงความชื่นชมต่อพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น การสบตา การพยักหน้า การยิ้ม หรอื ให้เวลาพกั เพิม่ การแสดงความช่ืนชมความสำ� เรจ็ 283 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การประยุกต์การสร้างวินยั เชิงบวกไปใชใ้ นโรงเรียน กระบวนการทคี่ รูสามารถประยุกตใ์ ช้ในการสรา้ งวินัยเชิงบวกให้เกิดนกั เรยี น ประกอบด้วยขัน้ ตอน ดังน้ี ๑. การวิเคราะหส์ าเหตขุ องพฤตกิ รรมที่ตอ้ งการแกไ้ ข ๒. การกำ� หนดเป้าหมายระยะยาว ๓. การให้ความอบอุ่น ๔. การใหแ้ นวทาง ๕. การจัดการกับสถานการณด์ ้วยวินัยเชิงบวก บรรณานกุ รม เดอรแ์ รนท,์ โจน อ.ี (๒๐๑๐). การใชว้ นิ ยั เชงิ บวกในการสอนและการจดั การหอ้ งเรยี น: แนวทางปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั ครแู ละผบู้ รหิ าร การศึกษา. กรุงเทพมหานคร: องคก์ รชว่ ยเหลือเด็กแหง่ สวเี ดน. Durrant, Joan E.. (2010). Positive Discipline in Everyday Teaching. Bagkok: Save the Children. Durrant, Joan E.. (2013). Positive Discipline in Everyday Parenting. Third Edition. Stockholm: Save the Children Sweden. 284 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
การเสริมพลงั รองศาสตราจารย์ ดร.สนานจติ ร สุคนธทรัพย์ ความนำ� การเสริมพลังไม่ใช่แนวคิดใหม่ อาจกล่าวได้ว่า แนวคิดนี้มีฐานท่ีมาในช่วงการปรับเปลี่ยนวิธีการบริหาร แบบดั้งเดิม ท่ีให้ความส�ำคัญแก่ผู้บริหารเป็นหลัก มาเป็นการบริหารท่ีให้ความส�ำคัญแก่ผู้ร่วมงานมากข้ึน ส่ิงท่ีควร ท�ำความเข้าใจให้ตรงกันก็คือ การบริหารในแต่ละยุคแต่ละสมัย ส่วนหนึ่งก็สะท้อนความจ�ำเป็นของบริบทในช่วงเวลาน้ัน ๆ เช่นในยุคการบริหารเชงิ วิทยาศาสตร์ อำ� นาจการตดั สนิ ใจสว่ นใหญห่ รือทงั้ หมดอยูท่ ี่ผูบ้ รหิ าร เนอ่ื งจากมคี วามแตกตา่ งกันมาก ระหว่างผู้จัดการกับคนงานในระดับความรู้ความสามารถในงานท่ีท�ำ ระดับของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความสามารถ ในการตีความและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารที่มี รวมท้ังทักษะในการตัดสินใจ ในช่วงเวลาต่อมา เม่ือแนวคิด ในการบริหารเปล่ียนมาให้ความส�ำคัญกับคนในองค์การมากขึ้น ส่วนหนึ่งเน่ืองจากคนในองค์การมีความรู้ความสามารถ เพิ่มข้ึนจากการมีการศึกษาระดับสูงข้ึน ช่องว่างระหว่างความรู้ความสามารถของผู้บริหารและผู้ร่วมงานลดลง และ คนในองคก์ ารสว่ นหนง่ึ ตอ้ งการรว่ มมสี ทิ ธมิ เี สยี งในงานมากขน้ึ สถานะรวมทงั้ คำ� ทใี่ ชเ้ รยี กคนในองคก์ ารโดยเฉพาะองคก์ าร ทางการศกึ ษาจึงเปลยี่ นไป จากค�ำว่า นายจ้าง ลูกจา้ ง คนงาน ผ้บู ังคบั บัญชา ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา มาเปน็ ผรู้ ว่ มงาน (collegial) ซึ่งแสดงถึงการปรับเปล่ียนมุมมองในสถานะของความสัมพันธ์และวิธีการบริหารจัดการ เพ่ือให้สอดคล้องกับบริบท อันจะส่งผลให้องคก์ ารบรรลจุ ุดหมายมากข้นึ 285 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ความหมายของการเสริมพลัง การเสรมิ พลงั มาจากคำ� วา่ empowerment นกั วชิ าการดา้ นการบรหิ ารจดั การไดใ้ หค้ วามหมายของคำ� ดงั กลา่ ว ไวใ้ นแนวทางเดยี วกนั กรนี เบริ ก์ และบารอน (Greenberg and Baron, 2003) ไดน้ ยิ ามการเสรมิ พลงั วา่ เปน็ กระบวนการท่ี ลูกจ้าง (employee) ได้รับอ�ำนาจอิสระ (autonomy) สามารถใช้ดุลพินิจในการท�ำงานของตนได้มากข้ึน ส่วน ฮอย และมสิ เกล (Hoy and Miskel, 2008) กลา่ วถงึ การเสรมิ พลงั จากมมุ มองของฝา่ ยบรหิ ารวา่ เปน็ กระบวนการซงึ่ ผบู้ รหิ าร แบง่ ปนั อ�ำนาจ และชว่ ยใหผ้ ้ไู ด้รบั การแบ่งปันใชอ้ �ำนาจอย่างสร้างสรรคใ์ นการตดั สินใจ ซ่ึงจะส่งผลดที ัง้ ต่อคนและงาน ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๕) ได้ให้ความหมายของค�ำว่า empowerment ไว้เป็น ๒ นัย นัยหนึ่งหมายถึง การเสริมพลัง โดยอธิบายว่า เป็นการสนับสนุน ให้อ�ำนาจ การเสริมความสามารถ การอนุญาต การเปิดให้บุคคลและ กลุ่มบุคคลพัฒนาภารกิจของตนและองค์การอย่างมั่นใจ โดยนัยนี้ การเสริมพลัง จึงเป็นทั้งการช่วยให้ผู้ได้รับการเสริมพลัง มีความสามารถ และการให้อ�ำนาจ เพ่ือให้ปฏิบัติหน้าท่ีตามที่ได้รับมอบหมายได้ ส่วนนัยท่ี ๒ เป็นการเพ่ิมอ�ำนาจ โดยเช่ือมโยงกับการบริหารการศึกษาว่า เป็นกระบวนการที่ผู้บริหารแบ่งปันอ�ำนาจ และช่วยให้ผู้ได้รับอ�ำนาจสามารถ ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อการตัดสินใจที่จะมีผลกระทบต่อทั้งตนเองและผู้อื่น ซ่ึงรวมทั้งการตัดสินใจจัดสรรส่ิงอ�ำนวย ความสะดวก โดยนยั น้ี การเสรมิ พลงั จงึ ครอบคลมุ ถงึ การใหท้ รพั ยากรเพอื่ สนบั สนนุ การนำ� ผลการตดั สนิ ใจไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ พจนานุกรมทางธุรกิจ (http://www.businessdictionary.com) ได้ให้ความหมายไว้สอดคล้องกันว่า การเสริมพลัง เปน็ วิธกี ารจดั การ (management practices) โดยแบ่งปันข้อมลู ข่าวสาร และรางวลั กับลูกจา้ ง (employee) เพ่ือให้ลูกจ้างสามารถริเร่ิม ตัดสินใจแก้ปัญหา ปรับปรุงการบริหารและผลงาน (performance) โดยได้อธิบายฐานคิดว่า การท�ำให้ลูกจ้างมีทักษะ ทรัพยากร อ�ำนาจ โอกาส แรงจูงใจไปพร้อมกับการให้รับผิดชอบในผลการกระท�ำของตน จะทำ� ให้ลกู จ้างมีทั้งความสามารถและความพงึ พอใจ กล่าวโดยสรปุ การเสริมพลัง ในทนี่ ้ี หมายถึง วธิ กี ารบริหารจัดการ ทผ่ี บู้ รหิ ารแบง่ ปนั อำ� นาจ โดยเฉพาะอำ� นาจในการตดั สนิ ใจใหผ้ รู้ ว่ มงานในขอบเขตของงานทแี่ ตล่ ะคนหรอื กลมุ่ รบั ผดิ ชอบ และร่วมตดั สนิ ใจในเรอื่ งทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับหน้าท่ีความรับผิดชอบและผลสำ� เร็จขององคก์ ารโดยรวม ผูร้ ่วมตดั สินใจ จะไดร้ ับ การพัฒนาความพรอ้ ม และโอกาสร่วมตดั สินใจในขอบเขตและระดบั ทีเ่ หมาะสม โดยผทู้ ่ีได้รบั การเสรมิ พลังจะต้องแสดง ความรับผิดชอบในผลการตัดสนิ ใจและพรอ้ มท่ีจะใหต้ รวจสอบ (accountability) 286 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
หลักการและแนวคิดท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การเสรมิ พลัง การเสริมพลงั เกย่ี วขอ้ งกับหลกั การ แนวคิดส�ำคญั ทางการบริหารจัดการ เรม่ิ จากหลักการเสรมิ พลงั ทแ่ี ทจ้ รงิ (authentic empowerment) แนวคดิ เรอ่ื งฐานอำ� นาจและวธิ กี ารใชอ้ ำ� นาจ รปู แบบการตดั สนิ ใจทเี่ นน้ การมสี ว่ นรว่ มในระดบั ของการรว่ มมอื รว่ มใจ (collaboration) โดยความสำ� เรจ็ ของการเสรมิ พลงั ขนึ้ อยกู่ บั เงอื่ นไขทจี่ ะทำ� ใหก้ ารเสรมิ พลงั บรรลผุ ล โดยสมบรู ณ์ หลกั การเสริมพลังที่แทจ้ ริง การเสริมพลัง มีความสำ� คัญตอ่ ความส�ำเร็จขององคก์ าร ไบรอนและแบมเบอร์เกอร์ (Biron & Bamburger อา้ งถงึ ใน Bolman & Gallos, 2011) ไดย้ นื ยนั ผลงานวจิ ยั ทวี่ า่ ลกู จา้ งทไี่ ดร้ บั การเสรมิ พลงั ทำ� งานไดด้ กี วา่ และมคี วามรสู้ กึ ท่ีดีต่องานและองค์การมากกว่าผู้ไม่ได้รับการเสริมพลัง แต่ความเช่ือดังกล่าวมีเง่ือนไขว่า การบรรลุประโยชน์สูงสุดของ องค์การจะต้องเกิดจากการเสริมพลังท่ีแท้จริง โอเวนส์ (Owens, 2004) ได้อ้างถึงข้อเขียนเกี่ยวกับการปฏิรูปโรงเรียน ซง่ึ ใชก้ ารเสรมิ พลงั แบบจอมปลอม (manipulation) โดยผบู้ รหิ ารสามารถทำ� ใหผ้ รู้ ว่ มงานเชอ่ื วา่ ตนมอี ำ� นาจและมสี ว่ นรว่ ม ในการตัดสนิ ใจ แตใ่ นข้อเท็จจริง การตดั สินใจของผู้รว่ มงานเปน็ ไปตามเสน้ ทางทีผ่ ูบ้ รหิ ารวางแผนไวล้ ่วงหนา้ และจูงใจ ให้เช่ือว่าสง่ิ ที่ผู้บริหารเตรยี มการไวเ้ หมาะสม ถกู ทำ� นองคลองธรรม อย่างไรกด็ ี ผู้รว่ มงานที่ไมเ่ หน็ ความส�ำคัญของการมี และการใช้อ�ำนาจในการร่วมตัดสินใจ และยอมรับอ�ำนาจของผู้บริหาร จะมีความพึงพอใจท่ีไม่ต้องอยู่ในสภาวะกดดัน ไมต่ ้องรบั ผิดชอบตัดสนิ ใจ และรสู้ ึกปลอดภยั ทจ่ี ะปฏิบัตติ ามการตดั สินใจของผ้บู รหิ าร การเสรมิ พลงั กับแนวคิดเรื่องอำ� นาจ การเสรมิ พลงั เกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวคดิ เรอื่ งอ�ำนาจ เฟรนชแ์ ละเรเวน (French & Raven, 1959) ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ตน้ คดิ เรอื่ งฐานอำ� นาจไดก้ ลา่ วถงึ ฐานอำ� นาจ ๕ แหลง่ ไดแ้ ก่ อำ� นาจทางการหรอื อำ� นาจตามตวั บทกฏหมาย (legitimate power) อ�ำนาจการให้คณุ (reward power) อ�ำนาจการให้โทษ (coercive power) อำ� นาจจากความเชีย่ วชาญ (expert power) และ อ�ำนาจอ้างองิ (reference power) อ�ำนาจ ๓ แหลง่ แรกเปน็ อ�ำนาจทท่ี �ำให้บริหารงานไดง้ า่ ยและอาจไดง้ านในบริบทดง้ั เดมิ แต่สองอ�ำนาจหลังจะช่วยให้ผู้ร่วมงานศรัทธา ผูกพันรักใคร่ และยินดีท่ีจะร่วมมือ ซ่ึงต่อมา เรเวนและครักแลนสกี (Raven & Kruglanski, 1975) ได้เพิ่มฐานอ�ำนาจท่ี ๖ คืออ�ำนาจจากการมีข้อมูลข่าวสาร (information power) และเฮอเซย์และโกลด์สมิธ (Hersey & Goldsmith อ้างถึงใน Hersey และ Blanchard, 1982) ได้เพิ่มท่ีมาของ อำ� นาจที่ ๗ คือ อ�ำนาจในการตดิ ตอ่ สมั พันธ์กบั ผู้มอี ทิ ธิพลหรือบุคคลสำ� คัญทัง้ ในและนอกองคก์ าร (connection power) การใช้อ�ำนาจที่สอดคล้องกับแนวคิดการเสริมพลังได้แก่อ�ำนาจที่ ๔ ถึง ๗ ซ่ึงเป็นการใช้อ�ำนาจเชิงบารมี โดยเฉพาะ อ�ำนาจท่ี ๖ มีความส�ำคัญในการบริหารยุคใหม่ ที่เช่ือว่าผู้มีข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์กว่าจะมีอ�ำนาจเหนือกว่า และการให้ ผู้ร่วมงานมีโอกาสเข้าถึงข่าวสารเป็นเครื่องมอื สำ� คัญที่จะนำ� ไปสกู่ ารตัดสินใจทีม่ ีคุณภาพ การเสรมิ พลงั กบั แนวคดิ เรื่องการตดั สินใจ แนวคิดเรอ่ื งการเสริมพลงั ใหค้ วามส�ำคัญแก่การมีส่วนรว่ มตดั สินใจ ในระดบั ของการรว่ มมอื รว่ มใจ ซงึ่ ผลสำ� เร็จของการตดั สินใจขึน้ อยู่กบั บทบาทส�ำคญั ของผูบ้ รหิ ารหลายประการ กลา่ วคอื 287 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ประการแรก ผบู้ รหิ ารจะตอ้ งมคี วามเชอ่ื และแสดง ความจริงใจในการบริหารแบบมีส่วนร่วม สร้างวัฒนธรรม ความไวเ้ นอ้ื เชื่อใจระหวา่ งคนในองคก์ าร ประการทส่ี อง ผบู้ รหิ ารจะตอ้ งเตรยี มพรอ้ มเพอ่ื ให้ ผู้ร่วมงานสามารถมสี ว่ นร่วมได้อยา่ งสรา้ งสรรค์ การเตรียมพรอ้ ม จะต้องเน้นการฝึกอบรมทักษะกระบวนการตัดสินใจ โดยเฉพาะการตดั สินใจแบบมีส่วนร่วม ความรคู้ วามเชยี่ วชาญ ในเรอื่ งทจ่ี ะตอ้ งตดั สนิ ใจ ซงึ่ รวมถงึ ทกั ษะในการแสวงหาขอ้ มลู เพอ่ื การตดั สินใจ ประการที่สาม ผูบ้ ริหารจะต้องเก้อื หนนุ ให้ผ้รู ว่ มงานสามารถร่วมตดั สินใจได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ กลัน่ กรอง ให้ร่วมตัดสินใจเฉพาะในเรื่องที่จ�ำเป็น ให้ทรัพยากร ซึ่งรวมท้ังเวลาและข้อมูลท่ีจ�ำเป็นต่อการน�ำผลการตัดสินใจ สู่การปฏิบัติจนเป็นผลส�ำเร็จโดยก�ำกับดูแลในรูปแบบและระดับท่ีเหมาะสม เนื่องจาก ไม่มีการบริหารแบบใดท่ีผู้บริหาร ไม่ต้องก�ำกับดูแลโดยสิ้นเชิง และประการสุดท้าย ผู้บริหารจะต้องสามารถจูงใจให้ผู้ร่วมงานเห็นประโยชน์ส่วนตน เป็นรองประโยชนส์ ่วนรวม โดยเฉพาะในองคก์ ารทางการศึกษา ซ่ึงประโยชนข์ องผู้เรียนจะตอ้ งเป็นเปา้ หมายส�ำคญั หลักการเสรมิ พลงั ตามแนวคิดของ ไดแอน เทรซี (Diane Tracy) ในการศึกษาเรอื่ งการเสริมพลัง แหลง่ อา้ งองิ ทสี่ �ำคญั และถือไดว้ ่ามีความครอบคลุมในเร่ืองหลักการเสรมิ พลัง ตง้ั แตใ่ นระยะตน้ ของการกลา่ วถงึ แนวคิดนี้ ไดแ้ กห่ ลกั ๑๐ ประการของไดแอน เทรซี (Tracy, 1990) ซ่งึ ประกอบด้วย ๑) การมอบหมายความรบั ผดิ ชอบและท�ำความเข้าใจให้ชดั เจน ตรงกัน ๒) ใหอ้ ำ� นาจเพียงพอแก่ความรับผดิ ชอบ ๓) วางมาตรฐานความเป็นเลศิ ๔) ให้การอบรมและการพัฒนาในรูปแบบอืน่ ตามความจำ� เป็น ๕) ให้ความรู้และสารสนเทศ (information) ๖) ใหข้ อ้ มลู ป้อนกลับเก่ยี วกบั ผลงาน ๗) ให้การยอมรับในผลงาน ๘) ให้ความไวว้ างใจ ๙) ยอมให้ผดิ พลาดได้ และ ๑๐) ใหเ้ กยี รตแิ ละการยอมรบั นบั ถือ จะเห็นได้ว่า หลักการของ เทรซี สอดคล้องกับแนวคิดส�ำคัญ ที่กล่าวข้างต้นท้ังแนวคิดในเร่ืองฐานอ�ำนาจ และการตัดสนิ ใจ 288 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
เงอ่ื นไขการนำ� แนวคิดไปใช ้ การเสรมิ พลงั ทจี่ ะนำ� ไปสกู่ ารบรรลปุ ระโยชนส์ งู สดุ ทง้ั ขององคก์ ารและบคุ คลอยา่ งแทจ้ รงิ ขน้ึ อยกู่ บั เงอื่ นไข ส�ำคญั อยา่ งนอ้ ย ๔ ประการ กลา่ วคอื ๑. ผู้บริหารจะต้องมีความเชอ่ื และบรหิ ารโดยวธิ ีการเสรมิ พลงั ท่ีแท้จรงิ ๒. การให้อ�ำนาจต้องปฏิบัติควบคู่กับการพัฒนาผู้เก่ียวข้องให้ตระหนักถึงคุณค่า เต็มใจมีส่วนร่วมในระดับ รว่ มมอื รว่ มใจ สามารถรว่ มตดั สนิ ใจอยา่ งสรา้ งสรรคเ์ พอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกท่ ง้ั องคก์ ารและผเู้ กยี่ วขอ้ ง สว่ นองคก์ าร ทางการศึกษาจะหมายรวมถงึ ผูป้ กครอง ชุมชนและสงั คมโดยรวม ๓. ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบในการให้ทรัพยากรที่จ�ำเป็นและความเป็นอิสระในการใช้ทรัพยากรในระดับ ท่ีเหมาะสม ทรัพยากรไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะคน เงิน วัสดุ และสิ่งอ�ำนวยความสะดวกต่าง ๆ เท่าน้ัน แต่ยังรวมถึง การใหเ้ วลาและการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ๔. แม้ผู้ได้รับการเสริมพลังจะต้องรับผิดชอบและพร้อมจะรับการตรวจสอบในผลท่ีเกิดจากการตัดสินใจ ของตน แต่ผรู้ บั ผิดชอบสุดท้ายในทุกกรณี ไม่ว่าผลจะเปน็ อย่างไรคือ ผูบ้ ริหาร 289 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
สรุป การเสริมพลังจะมีความจ�ำเป็นและประสบความส�ำเร็จในการน�ำไปใช้มากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับปัจจัย หลายประการ ท่ีส�ำคัญคือ ปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับผู้บริหาร ผู้ร่วมงานและบริบท โดยบริบทจะเป็นตัวก�ำหนดความจ�ำเป็น ระดบั และวธิ กี ารเสรมิ พลงั ปจั จยั สำ� คญั ดา้ นผบู้ รหิ ารเกย่ี วขอ้ งกบั ความเชอ่ื ความเตม็ ใจและความสามารถในการเสรมิ พลงั ผู้ที่เก่ียวข้อง ในส่วนของผู้ร่วมงานจะเก่ียวข้องกับความเชื่อในสถานะ บทบาท ความสามารถ และความเต็มใจใช้พลัง ทีต่ นมี หรอื ได้รับการสร้างเสรมิ เพอ่ื การบรรลุจดุ หมายทั้งส่วนบุคคลและองค์การ โดยภาพรวม กลา่ วได้วา่ การเสรมิ พลงั จะยังคงเป็นหลักการ แนวคิดที่มีความส�ำคัญและความจ�ำเป็นส�ำหรับองค์การทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้บริหารจึงต้อง มีความรู้ ทักษะและเจตคติที่เอ้ือต่อการสร้างและใช้ประโยชน์จากการเสริมพลัง เพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การ ในบรบิ ททีเ่ ปลย่ี นแปลง บรรณานกุ รม ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๕๕). ศัพทศ์ ึกษาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: ราชบณั ฑติ ยสถาน. Bolman, Lee G. and Gallos, Joan V. (2011). Reframing Academic Leadership. San Francisco: Jossey – Bass. French, J.R.P. and Raven, B. 1959. The Bases of Social Power. In D.Cartwright. Studies in Social Power. Ann Arbor: University of Michigan. Greenburg, Jerald and Baron, Robert A. (2003). Behavior in Organizations: Understanding and Managing the Human Side of Work. New Jersey: Pearson Education, Inc. Hersey, Paul and Blanchard, Kenneth H. (1982). Management of Organizational Behavior: 6th ed. Englewood Cliff, N.J. : Prentice-Hall. Hoy, Wayne K. and Miskel, Cecil G. (2008). Educational Administration: Theory, Research and Practice. New York: McGraw – Hill Companies, Inc. Owens, Robert G. (2004). Organizational Behavior in Education: Adaptive Leadership and Social Reform. New York: Pearson Education, Inc. Raven, B.H. and Kruglanski, A.W. In P.G. Swingle (ed.). (1975). The Structure of Conflict. New York: Academic Press. Tracy, Diane. (1990). Ten Steps to Empowerment: A Common-Sense Guide to Managing People. New York: William Morrow and Co. http: // www.businessdictionary.com 290 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ขอ้ ตกลงในการพัฒนางาน ดร.จกั รพรรดิ วะทา ความเป็นมาและหลักการ ต�ำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ เป็นต�ำแหน่งข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาที่กฎหมายว่าด้วย การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก�ำหนด ให้เป็นต�ำแหน่งท่ีมีวิทยฐานะ การก�ำหนดให้ต�ำแหน่งดังกล่าวมีวิทยฐานะใด และเลื่อนเป็นวิทยฐานะใด ต้องเป็นไปตาม มาตรฐานวิทยฐานะ ซึ่งต้องผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา (ก.ค.ศ) ก�ำหนด โดยค�ำนึงถงึ ความประพฤติ วินยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ ประสบการณ์ คุณภาพการปฏิบัติงาน ความช�ำนาญ ความเชี่ยวชาญ ผลงานท่ีเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการเรียนการสอน การก�ำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเพื่อให้มีและเล่ือนวิทยฐานะน้ี คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศกึ ษา (ก.ค.ศ) ไดก้ ำ� หนดมาแลว้ หลายรปู แบบ ตอ่ มา ในการประชมุ คณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พุทธศักราช ๒๕๕๘ ได้มีมติให้มีก�ำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ หรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะช�ำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน ซ่ึงเป็นนโยบาย ในการปรับระบบประเมินวิทยฐานะข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีมาตรฐานระดับสากล สามารถเพิ่ม ศักยภาพในการให้การศึกษา ลดการงานท่ีไม่จ�ำเป็น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก และส่งผลถึง ผู้เรยี นอยา่ งแทจ้ ริง มีการพฒั นาคุณภาพการศึกษาตอ่ เนือ่ งและเป็นระบบ โดยมหี ลักการส�ำคญั ดงั นี้ 291 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๑. การประเมนิ ตามหลกั เกณฑน์ ี้ เนน้ ทผ่ี เู้ รยี นเปน็ สำ� คญั โดยประเมนิ จากผลของการพฒั นาคณุ ภาพการปฏบิ ตั งิ าน ในหน้าที่ ที่เน้นคณุ ภาพดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคุณภาพของผเู้ รียน ๒. ต้องสามารถขับเคลือ่ นยกระดับคณุ ภาพการศึกษาได้อย่างเปน็ รปู ธรรม ๓. ใช้ห้องเรียนและนักเรียนเป็นฐาน โดยให้มีการประเมินการปฏิบัติงานจริง ณ สถานศึกษา ซึ่งจะท�ำให้ ครไู ม่ทิง้ ห้องเรยี น ๔. ผทู้ ข่ี อรบั การประเมนิ ตอ้ งมคี วามรใู้ นวชิ าทส่ี อน โดยตอ้ งผา่ นการทดสอบความรู้ ความสามารถเชงิ ทฤษฎี และประเมนิ ประสบการณว์ ชิ าชพี จากส่วนราชการตน้ สังกดั ก่อนยืน่ ค�ำขอขอรับการประเมิน ๕. เปน็ การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตตามขอ้ ตกลงในการพฒั นางานทส่ี อดคลอ้ งกบั หนา้ ที่ ความรบั ผดิ ชอบตามมาตรฐานตำ� แหนง่ และคณุ ภาพการปฏบิ ตั งิ านตามมาตรฐานวทิ ยฐานะที่ คณะกรรมการขา้ ราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (ก.ค.ศ) ก�ำหนด ๖. หลักเกณฑ์การประเมินน้ี ใช้ส�ำหรับประเมินเพ่ือให้มีหรือเล่ือนเป็น วิทยฐานะช�ำนาญการพิเศษและ เช่ยี วชาญทกุ ต�ำแหน่ง ความหมายและองค์ประกอบ ขอ้ ตกลงในการพฒั นางาน หรอื Performance Agreement เรยี กยอ่ วา่ PA หมายถงึ ขอ้ ตกลงในการพฒั นางาน ตามหนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบของผขู้ อรบั การประเมนิ ทไี่ ดจ้ ดั ทำ� ไวก้ บั คณะกรรมการการประเมนิ (คณะกรรมการ ขอ้ ที่ ๑) และได้รับความเหน็ ชอบจาก คณะอนุกรรมการขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาประจำ� เขตพ้ืนที่การศึกษา (อ.ก.ค.ศ) หรอื คณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ) แล้วแตก่ รณี ให้เปน็ ข้อตกลง เพื่อแสดงว่าภายในระยะ เวลาทก่ี ำ� หนดผขู้ อรบั การประเมนิ จะพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี นใหด้ ขี นึ้ ปรากฎผลสำ� เรจ็ เปน็ ทปี่ ระจกั ษแ์ ละสามารถยกระดบั คณุ ภาพผเู้ รยี น และคุณภาพการศึกษาได้ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงมีระยะเวลาในการพัฒนาไม่นอ้ ยกว่า ๒ ปี แต่ไม่เกิน ๓ ปี 292 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ข้อเสนอในการพัฒนางานตามหน้าท่ีความรับผิดชอบ ประกอบด้วย ๓ ด้าน คือ ด้านการพัฒนาคุณภาพ การปฏบิ ตั งิ าน การพฒั นาคณุ ภาพผู้เรียน และการพัฒนาตนเอง ดังน้ี ๑. ดา้ นการพฒั นาคณุ ภาพการปฏิบัติงาน และการพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รยี น มอี งคป์ ระกอบ ดงั นี้ ๑.๑ ประเดน็ การพฒั นา ๑.๒ เหตุผลและความจำ� เป็น ๑.๓ วตั ถุประสงคใ์ นการพฒั นา ๑.๔ เปา้ หมายการพฒั นา ๑.๕ กระบวนการพฒั นา ๑.๖ วิธกี ารตรวจสอบและประเมินผล ๑.๗ ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ ๒. ดา้ นการพฒั นาตนเอง พจิ ารณาจากแผนการพฒั นาตนเอง ซง่ึ ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ขอ้ เสนอฯ ดา้ นการพฒั นา คุณภาพการปฏบิ ัติงาน และการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน โดยมอี งค์ประกอบ ดังนี้ ๒.๑ เรื่องที่จะพฒั นา ๒.๒ เหตุผลและความจ�ำเป็น ๒.๓ วิธกี ารหรือรปู แบบการพฒั นา ๒.๔ ระยะเวลาการด�ำเนนิ การ ๒.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ขอ้ เสนอในการพฒั นางานใหม้ กี ารปรบั ปรงุ ไดไ้ มเ่ กนิ ๓๐ วนั หากคณะกรรมการขอ้ ท่ี ๑ เหน็ สมควรใหป้ รบั ปรงุ และขอ้ เสนอในการพัฒนางานท่ีผ่านความเหน็ ชอบให้เป็นข้อตกลงแล้ว ต้องมีการเผยแพรใ่ หเ้ ปน็ ทร่ี ับรโู้ ดยทวั่ กนั 293 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
หลกั เกณฑก์ ารประเมิน ๑. กำ� หนดคณุ สมบตั ิของผขู้ อรับการประเมนิ ดงั น้ี ๑.๑ คุณสมบัติด้านการด�ำรงวิทยฐานะ ให้ยื่นค�ำขอได้ก่อนที่จะด�ำรงวิทยฐานะครบตามท่ีก�ำหนด ในมาตรฐานวิทยฐานะ โดยให้ย่นื ขอกอ่ นไม่เกนิ ๒ ปี ๑.๒ มภี าระงานตามหนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบตามทสี่ ว่ นราชการกำ� หนดโดยความเหน็ ชอบของ ก.ค.ศ ท้ังนี้ สายงานการสอน ต้องมชี ่วั โมงสอนในสาขาวิชา วชิ า กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ที่เสนอขอ ตามท่ีก�ำหนด ในหลักสูตร ไม่น้อยกว่า ๕ ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ ผู้ท่ีมีชั่วโมงสอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีเสนอขอตามท่ีก�ำหนด ในหลักสูตร น้อยกว่า ๕ ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ แต่ปฏิบัติหน้าท่ีครูประจ�ำช้ันซึ่งสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้เสนอขอ ในลักษณะบรู ณาการกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ๑.๓ ผ่านการทดสอบและประเมินจากส่วนราชการ ๒ ส่วน ดังน้ี (ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ค.ศ กอ่ น) สว่ นที่ ๑ การทดสอบความรูแ้ ละความสามารถเชงิ ทฤษฎี ส่วนท่ี ๒ การประเมนิ ประสบการณว์ ชิ าชีพ ท้ังนี้ ผลการทดสอบและประเมินดังกล่าว ให้ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอเล่ือนวิทยฐานะไม่เกิน ๓ ปี นบั แตว่ นั ทป่ี ระกาศผลการทดสอบและประเมิน ๑.๔ มีข้อเสนอในการพัฒนางานตามหน้าท่ีและความรับผิดชอบ โดยต้องมีระยะเวลาในการพัฒนางาน ไม่นอ้ ยกว่า ๒ ปี แต่ไม่เกนิ ๓ ปี ๑.๕ ตอ้ งผา่ นการรบั รองวา่ เปน็ ผมู้ วี นิ ยั มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี จากผบู้ งั คบั บญั ชาชนั้ ตน้ ท้ังน้ี ผู้ท่ีจะย่ืนค�ำขอมีวิทยฐานะหรือเล่ือนวิทยฐานะ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการน้ี หากย่ืนค�ำขอมีหรือ เลื่อนวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์อื่นไว้แล้ว ให้ยกเลิกค�ำขอเดิมเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนก่อน จึงจะขอมีหรือ เลือ่ นวทิ ยฐานะตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารนีไ้ ด้ ๒. ผ้ขู อรบั การประเมินตอ้ งผา่ นการประเมิน ๒ ดา้ น ดังนี้ ดา้ นท่ี ๑ ดา้ นวนิ ยั คุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี ด้านท่ี ๒ การพฒั นางานตามขอ้ ตกลง ซง่ึ ประกอบดว้ ย ๑) การพฒั นางานและผลการพัฒนาคณุ ภาพการปฏบิ ตั งิ าน พิจารณาจากความสามารถในการปฏิบตั งิ าน ในหนา้ ท่ี ๒) การพฒั นาตนเอง พิจารณาจากแผนการพัฒนาตนเองท่ีสอดคลอ้ งกับงานหรอื เร่ืองทีจ่ ะท�ำการพัฒนา 294 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๓. ให้มกี รรมการประเมนิ ดังน้ี ดา้ นที่ ๑ ดา้ นวนิ ยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาชนั้ ตน้ เปน็ ผปู้ ระเมนิ ด้านท่ี ๒ การพัฒนางานตามขอ้ ตกลง ใหม้ คี ณะกรรมการประเมิน ๒ ชุด ดังน้ี ๑) คณะกรรมการชุดท่ี ๑ ทำ� หน้าทพ่ี ิจารณาขอ้ เสนอในการพัฒนางานของผขู้ อรับการประเมิน เพอ่ื เป็น ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement) และประเมินผลการพฒั นางานตามขอ้ ตกลง คร้งั ท่ี ๓ เมอ่ื ผขู้ อรบั การประเมนิ ไดพ้ ฒั นางานแลว้ ๒ ภาคเรยี น และครง้ั ที่ ๒ ประเมนิ สรปุ ผล การพฒั นางานตามขอ้ ตกลง (Summative Assessment) เม่อื สนิ้ สดุ ระยะเวลาท่กี �ำหนดตามข้อตกลง ๒) คณะกรรมการชดุ ท่ี ๒ ท�ำหน้าทีป่ ระเมินเพื่อพัฒนาเปน็ ระยะ ๆ (Formative Assessment) ต่อเนอื่ ง ทุกภาคเรยี น อย่างน้อยภาคเรยี นละ ๑ ครง้ั และเป็นพีเ่ ลี้ยงตลอดระยะเวลาของการพัฒนางานตามขอ้ ตกลงดว้ ย ทั้งน้ี ในการประเมินการพัฒนางานตามข้อตกลง ให้คณะกรรมการชุดท่ี ๑ และชุดที่ ๒ ใช้ข้อมูลของ ผ้ขู อรับการประเมนิ รว่ มกัน ๔. เกณฑ์การตดั สิน ผทู้ ่ผี ่านเกณฑก์ ารประเมินต้องได้คะแนนแตล่ ะด้าน ดงั น้ี ๑) ดา้ นที่ ๑ ดา้ นวนิ ยั คณุ ธรรมฯ ตอ้ งไดค้ ะแนนจากผบู้ งั คบั บญั ชาขน้ั ตน้ วทิ ยฐานะชำ� นาญการพเิ ศษ ไมต่ �่ำกว่าร้อยละ ๗๐ วทิ ยฐานะเช่ียวชาญ ไม่ต่�ำกว่ารอ้ ยละ ๗๕ ๒) ดา้ นที่ ๒ การพฒั นางานตามขอ้ ตกลง ตอ้ งไดค้ ะแนนจากกรรมการชดุ ที่ ๑ แตล่ ะคน ดงั นี้ วทิ ยฐานะ ชำ� นาญการพเิ ศษ ไมต่ �่ำกว่ารอ้ ยละ ๗๐ วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่ต�่ำกวา่ รอ้ ยละ ๗๕ ๕. การพิจารณาอนุมัติผลการประเมนิ ใหอ้ นุมัตไิ ดไ้ ม่กอ่ นวันท่ีส�ำนักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาหรือสำ� นักงาน ก.ค.ศ แล้วแต่กรณี ได้รับเอกสารรายงานผลการพัฒนางานตามขอ้ ตกลงและเอกสารรายงานการพฒั นาตนเองครบถว้ นสมบูรณ์ บรรณานุกรม ส�ำนักงาน ก.ค.ศ (๒๕๕๖). กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. หนังสือส�ำนักงาน ก.ค.ศ ท่ีศธ.๐๒๐๖.๔/๐.๗ ลงวันท่ี ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เร่ือง หลักเกณฑ์และวิธีการ ใหข้ า้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา มวี ทิ ยฐานะหรอื เลอื่ นเปน็ วทิ ยฐานะชำ� นาญการพเิ ศษและวทิ ยฐานะ เชี่ยวชาญตามข้อตกลงในการพัฒนางาน. 295 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ครูผูอ้ ำ� นวยความสะดวก รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ๑. ความหมายและความสำ� คัญของผอู้ ำ� นวยความสะดวก (facilitator) ในปัจจุบัน องค์กรท้ังหลายไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือองค์กรเล็ก ต่างก็ตระหนักถึงความจ�ำเป็น ของการท�ำงานร่วมกันเป็นทีม ซ่ึงให้ความส�ำคัญต่อกระบวนการท�ำงาน (process) และผลผลิตของงาน (product) ไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากกระบวนการหรือวิธีการท�ำงานมีผลโดยตรงต่อความส�ำเร็จและคุณภาพของงาน ผลงาน จะเป็นอย่างไร นอกจากจะข้ึนกับความรู้เก่ียวกับงานแล้ว ยังข้ึนกับวิธีการท�ำงานและความร่วมมือของสมาชิกทุกคน ท่ีร่วมงานด้วย ดังน้ัน ในการพัฒนากลุ่มหรือองค์กร จึงต้องมีการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะต่าง ๆ ที่จ�ำเป็น ต่อการทำ� งานรว่ มกนั และมผี ดู้ แู ลกระบวนการทำ� งานของกลมุ่ ใหเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางทเ่ี ออ้ื ตอ่ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของงาน ผู้ท่ีดูแลการท�ำงานของกลุ่ม ด้านกระบวนการ (process) น้ี มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ เช่น ผู้อ�ำนวยความสะดวก (facilitator) ผนู้ ำ� ดา้ นกระบวนการ (process leader) 296 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
ผู้อ�ำนวยความสะดวก (facilitator) มีรากศัพท์มาจากค�ำภาษาละตินว่า “facilis” ซ่ึงหมายถึง ความง่าย ผู้อ�ำนวยความสะดวก จึงหมายถึง ผู้ที่ช่วยท�ำให้เกิดความง่าย คือ ช่วยให้ท�ำงานต่าง ๆ ได้ง่ายข้ึน มีการน�ำค�ำน้ีมาใช้ ในการท�ำงานของกลุ่มหรือองค์กรในความหมายของผู้ท่ีท�ำหน้าท่ีช่วยเหลือให้กระบวนการท�ำงานของกลุ่ม สามารถดำ� เนินไปไดง้ ่ายขน้ึ ดขี ้นึ และบรรลุผลได้เร็วข้นึ โดยทั่วไป ผู้อ�ำนวยความสะดวก จะท�ำหน้าท่ีดูแลกระบวนการท�ำงานของกลุ่ม โดยเสริมพลังอ�ำนาจ (empowerment) ให้สมาชิกกลุ่มทกุ คนมีส่วนร่วมในการท�ำงาน มีกระบวนการท�ำงานทดี่ ี ร่วมกันคิดและใชค้ วามสามารถ ของตนให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มอย่างเต็มที่ ท�ำให้กลุ่มเกิดพลังประสาน (synergy) ในการด�ำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ท�ำใหไ้ ด้ท้ังผลงานทด่ี แี ละมีความสขุ ในการท�ำงานร่วมกัน ท้งั นี้ ผูอ้ �ำนวยความสะดวกอาจจะเปน็ ผู้มีหรือไม่มีความรู้ความเช่ียวชาญในเร่ืองท่ีกลุ่มท�ำ แต่จะด�ำรงตนเป็นกลาง ไม่ท�ำตัวเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง และไม่น�ำ ความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปมีอิทธพิ ลต่อการคดิ การตัดสินใจของกลุ่ม หรือเข้าไปมีอำ� นาจเหนอื กลุ่ม แมว้ า่ โดยทว่ั ไป ผอู้ ำ� นวยความสะดวกจะทำ� หนา้ ทเ่ี นน้ เฉพาะการดแู ลดา้ นกระบวนการเทา่ นนั้ แตใ่ นทางปฏบิ ตั ิ ไดม้ กี ารน�ำผอู้ ำ� นวยความสะดวกไปใช้ในบรบิ ทตา่ ง ๆ กัน จึงมีผ้อู �ำนวยความสะดวกประเภทต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ผู้อ�ำนวยความสะดวกกระบวนการ (Process Facilitator) ได้แก่ ผู้ท่ีท�ำหน้าท่ีดูแลกลุ่มหรือองค์กร ด้านกระบวนการท�ำงานโดยเฉพาะ ผ้อู ำ� นวยความสะดวกประเภทนีแ้ บ่งเปน็ ประเภทยอ่ ย ๆ ได้อกี ๒ ประเภท คือ ๑.๑.๑ ผู้อ�ำนวยความสะดวกท่ีเป็นบุคคลภายนอก (outsider process facilitator) คือ บุคคล จากภายนอกองค์กร เป็นผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการท�ำงานขององค์กร และมีความเป็นกลาง เป็นท่ียอมรับของกลุ่ม ผอู้ ำ� นวยความสะดวกประเภทนไี้ มม่ อี ำ� นาจตดั สนิ ใจในเรอื่ งทก่ี ลมุ่ ทำ� แตจ่ ะทำ� หนา้ ทชี่ ว่ ยใหส้ มาชกิ กลมุ่ รว่ มกนั คดิ รว่ มกนั ตดั สนิ ใจอยา่ งมคี ณุ ภาพ ๑.๑.๒ ผู้อำ� นวยความสะดวกท่เี ป็นบุคคลภายใน (insider process facilitator) คือ บุคคลภายในองคก์ ร ท่ีอาจมีหรือไม่มีความเป็นกลางด้านเน้ือหา แต่มีคุณสมบัติและความสามารถที่จะดูแลส่งเสริมกระบวนการท�ำงานของกลุ่มได้ และเป็นท่ียอมรับของกลุ่ม ผู้อ�ำนวยความสะดวกประเภทนี้อาจมีหรือไม่มีอ�ำนาจในการตัดสินใจก็ได้ แล้วแต่การตกลงกัน ของสมาชิกในกลมุ่ ๑.๒ ผู้อ�ำนวยความสะดวกท่ีเป็นผู้น�ำท้ังด้านเน้ือหาและกระบวนการ (Facilitative Leader) ได้แก่ ผู้น�ำ ของกลมุ่ หรอื องคก์ รทเ่ี ปน็ บคุ คลภายในองคก์ รและไดร้ บั มอบหมายหรอื เปน็ ทย่ี อมรบั ใหท้ ำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ผนู้ ำ� กลมุ่ ในการทำ� งาน เป็นผูท้ ีม่ ีความรคู้ วามเชย่ี วชาญในเรื่องทกี่ ลุม่ ท�ำ มสี ่วนไดส้ ่วนเสยี จากการท�ำงานขององคก์ รนนั้ ผู้นำ� ดังกล่าวมีทง้ั ความรู้ ดา้ นเนอ้ื หาหรอื เรอื่ งทที่ ำ� และยงั มคี วามรคู้ วามสามารถและคณุ สมบตั ใิ นการทำ� หนา้ ทผี่ อู้ ำ� นวยความสะดวกดา้ นกระบวนการดว้ ย จึงท�ำหน้าท่ีทั้ง ๒ อย่างไปพร้อม ๆ กัน ผู้อ�ำนวยความสะดวกประเภทนี้มีอ�ำนาจในการตัดสินใจร่วมกับกลุ่มในเร่ือง ทีท่ ำ� ดว้ ย 297 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
แนวคิดการอ�ำนวยความสะดวกด้านกระบวนการนี้ได้มีการน�ำไปใช้ในบริบทที่แตกต่างกันหลากหลาย ท�ำให้เกิดผู้อ�ำนวยความสะดวกในหลายด้าน (Kaner, S. et al., 2007) เช่น ด้านธุรกิจ มีผู้อ�ำนวยความสะดวกด้านธุรกิจ (business facilitator) ด้านการศึกษา มีผู้อ�ำนวยความสะดวกด้านการเรียนรู้ (learning facilitator) ด้านสังคมสงเคราะห์ มีผู้อ�ำนวยความสะดวกท่ีท�ำงานช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นท่ีมีปัญหา เรียกว่า “wraparound facilitator” นอกจากนั้น ยังมีผู้อ�ำนวยความสะดวก การประชุม (meeting facilitator) ผู้อ�ำนวยความสะดวกกลุ่มย่อย (small group facilitator) และผูอ้ ำ� นวยความสะดวกด้านการแก้ปญั หาความขดั แย้ง (conflict resolution facilitator) ๒. คุณสมบัติของผอู้ �ำนวยความสะดวก ผู้อ�ำนวยความสะดวกท่ีมีคุณภาพ จ�ำเป็นต้องมีคุณสมบัติท่ีส�ำคัญ ดังน้ี (Wittmer, J. & Myrick, R. D., 1989; Hogan, C. F., 2003; Reeve, J., 2006) ๒.๑ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจทจี่ ำ� เปน็ เกย่ี วกบั กระบวนการกลมุ่ (group process) พลวตั กลมุ่ (group dynamics) การส่ือสารและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มนุษยสัมพันธ์ จิตวิทยา และบริบทด้านวัฒนธรรมของสมาชิก สมาคม ผอู้ ำ� นวยความสะดวกระดบั นานาชาติ (The International Association of Facilitator: IAF) ซงึ่ จดั ตง้ั ขนึ้ ทปี่ ระเทศสหรฐั อเมรกิ า เมื่อคริสตศ์ กั ราช 1993 ไดจ้ ดั ทำ� โปรแกรมการศกึ ษาเพ่อื การเปน็ ผ้อู ำ� นวยความสะดวกทไี่ ดร้ ับการรับรองคุณภาพข้นึ เพอ่ื สนับสนนุ การทำ� หน้าที่ผู้อำ� นวยความสะดวกเปน็ อาชีพ โปรแกรมน้ีไดร้ ะบสุ มรรถนะทส่ี �ำคญั ไว้ ๖ ประการ คือ ๑) สมรรถนะด้านการสร้างความสมั พันธ์แบบร่วมมอื รวมพลัง (collaboration) ๒) สมรรถนะดา้ นการวางแผนและจัดกระบวนการกลุม่ (group process) ๓) สมรรถนะด้านการกระตนุ้ และสรา้ งการมสี ว่ นร่วม (participation) ๔) สมรรถนะด้านการช้แี นะ (guiding) และนำ� กลุ่มให้ไปสู่เป้าหมายท่ีตอ้ งการ ๕) สมรรถนะด้านการใชค้ วามรู้ทางวิชาการ ๖) สมรรถนะดา้ นการด�ำรงตนเปน็ นักวิชาการท่ีดี ๒.๒ มที กั ษะทจ่ี ำ� เปน็ ในการเออื้ อำ� นวยใหก้ ลมุ่ ทำ� งานดว้ ยกระบวนการกลมุ่ ทดี่ ี ผอู้ ำ� นวยความสะดวกทมี่ คี ณุ ภาพ จ�ำเปน็ ตอ้ งมที ักษะส�ำคัญ ดงั น้ี ๑) ทกั ษะการจดั การประชมุ ทด่ี ี อาทิ ทกั ษะการจดั วาระการประชมุ การจดั สถานทป่ี ระชมุ การจดั โตะ๊ เกา้ อ้ี ให้เอื้อต่อการส่ือสารระหว่างผู้ร่วมประชุม การด�ำเนินการประชุม การรักษาเวลา การจดบันทึก และการจัดท�ำรายงาน การประชุม ๒) ทักษะการสร้างบรรยากาศท่ีดี ผู้อ�ำนวยความสะดวกจะต้องสามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมของ สมาชกิ กล่มุ สรา้ งบรรยากาศท่ีเปน็ มิตรและมคี วามไวว้ างใจกัน สร้างบรรยากาศแหง่ การเรยี นรู้ ความใฝร่ ู้ การแลกเปลีย่ น เรยี นรจู้ ากกันและกัน สง่ เสรมิ การจดั การความรู้ และการนำ� ความรไู้ ปใช้ 298 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๓) ทักษะการสังเกตพฤติกรรมกลุ่ม ผู้อ�ำนวยความสะดวกจะต้องช่างสังเกต สามารถอ่านกลุ่มออก วเิ คราะหก์ ลมุ่ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ รแู้ ละเขา้ ใจสถานการณก์ ลมุ่ รจู้ ดุ ทตี่ ดิ ขดั หรอื เปน็ ปญั หา และรวู้ ธิ ที จ่ี ะจดั การแกไ้ ขปญั หานนั้ ๔) ทกั ษะการสรา้ งเสรมิ ปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี ใี หเ้ กดิ ขน้ึ ในการทำ� งานรว่ มกนั ไดแ้ ก่ การกระตนุ้ และการสง่ เสรมิ ใหส้ มาชิกมีปฏสิ มั พันธ์ตอ่ กันในทางบวก สรา้ งแรงจูงใจในการทำ� งานรว่ มกนั ดูแลใหส้ มาชกิ กล่มุ ปลอดภยั จากการใช้อ�ำนาจ หรอื การกระท�ำท่ไี มส่ มควร ใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจและแนวทางในการปฏิสัมพนั ธ์กบั ผอู้ นื่ ๕) ทักษะการสอื่ สารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ได้แก่ ๕.๑) ทกั ษะการฟงั ผอู้ ำ� นวยความสะดวกจะตอ้ งเปน็ ผฟู้ งั ทดี่ ี มที กั ษะการฟงั อยา่ งลกึ ซง้ึ (deep listening) มีทกั ษะในการตรวจสอบความเข้าใจ เช่น การพดู ทบทวนสง่ิ ท่ีฟงั (paraphrasing) ๕.๒) ทักษะการพูด คือ สามารถพดู ให้ผู้ฟังเขา้ ใจไดง้ ่าย สามารถจับประเด็นส�ำคัญไดด้ ี พูดชี้แนะ ได้อย่างสุภาพและเหมาะสม พูดจูงใจสมาชิกกลุ่มให้เกิดแรงจูงใจในการท�ำงานร่วมกัน รวมท้ังสามารถตั้งค�ำถามและ ใช้ค�ำถามได้อยา่ งเหมาะสม ๕.๓) ทกั ษะการใชภ้ าษาทา่ ทาง ผอู้ ำ� นวยความสะดวกจะตอ้ งสามารถใชภ้ าษาทา่ ทางอยา่ งเหมาะสม เช่น การมองผ้ฟู งั การใชน้ ้�ำเสียง กริ ยิ าทา่ ทางตา่ ง ๆ ต้องเปน็ ไปอยา่ งเหมาะสม ๕.๔) ทักษะการให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) ผู้อ�ำนวยความสะดวกจะต้องมีทักษะการสังเกต พฤติกรรมกลุ่ม และให้ข้อมูลย้อนกลับท้ังทางบวกและทางลบอย่างเหมาะสม และช่วยให้สมาชิกกลุ่มน�ำข้อมูลย้อนกลับ ไปใช้ในการปรับปรงุ ตนเอง ๖) ทกั ษะการประสานพลงั ของคนในกลมุ่ ไดแ้ ก่ การดแู ลใหส้ มาชกิ ทกุ คนมโี อกาสไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อย่างท่ัวถึง และได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนอย่างเต็มท่ีเพื่อประโยชน์ของกลุ่ม ช่วยให้กลุ่มเกิดพลังประสาน (synergy) สามารถรว่ มกันคดิ และตดั สินใจอย่างชาญฉลาด สง่ ผลให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย ๗) ทักษะการบริหารจัดการกลุ่ม ผู้อ�ำนวยความสะดวก คือ ผู้ท่ีรับผิดชอบดูแลการท�ำงานของกลุ่ม ใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี ำ� หนด เปรยี บเสมอื นพอ่ แมท่ ดี่ แู ลลกู แบบประชาธปิ ไตย คอื ดแู ลแบบไมบ่ งั คบั สงั่ การ แตช่ ่วยให้ลูกได้คิด ได้เรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง โดยพอ่ แม่คอยประคับประคองอยใู่ กล้ ๆ หากลูกออกนอกทางก็ต้องคอย ตะล่อมให้เข้าทาง ให้ความรู้ ข้อมูลที่จ�ำเป็น และกระตุ้นให้คิด ตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อลูกขาดความสนใจและเฉ่ือย จนเกินไปก็ต้องเร่งรัด เมื่อลูกรีบร้อนเกินไปก็ต้องคอยย้ัง เม่ือมีปัญหาหรือความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ต้องช่วยให้ลูกตระหนัก ถงึ ปญั หาและหาทางแกป้ ญั หานนั้ หรอื หากมกี ารเปลยี่ นแปลงใด ๆ เกดิ ขนึ้ กต็ อ้ งมกี ารเตอื นสตใิ หร้ จู้ กั ปรบั ตวั ใหเ้ หมาะสม กับสถานการณ์ ทักษะต่าง ๆ ดังกล่าวมา เป็นทักษะที่ผู้อ�ำนวยความสะดวกจ�ำเป็นต้องมี เพื่อให้สามารถท�ำงานได้อย่าง มีประสิทธภิ าพ 299 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
๒.๓ มีเจตคติและคุณลักษณะท่เี อ้อื ต่อการเป็นผู้อำ� นวยความสะดวกทด่ี ี ๑) เคารพและยอมรบั สมาชกิ ทกุ คนของกลมุ่ ในฐานะทมี่ ศี กั ดศิ์ รขี องความเปน็ มนษุ ยเ์ ทา่ เทยี มกนั และ มีความรู้ความสามารถเฉพาะตัวท่ีแตกต่างกัน ซึ่งสามารถน�ำมาเสริมกันและกันได้ ผู้อ�ำนวยความสะดวกต้องปฏิบัติต่อ สมาชกิ กลมุ่ ทุกคนอยา่ งเสมอภาคกนั ไม่ดูถูกเหยยี ดหยามสมาชิกและไมป่ ล่อยให้กล่มุ ดูถกู เหยียดหยามสมาชกิ คนใด ๒) มคี วามสนใจศกึ ษาเกยี่ วกบั คนและชวี ติ ชอบเรยี นรู้ ชา่ งสงั เกตพฤตกิ รรมมนษุ ย์ และรจู้ กั ชน่ื ชมผอู้ นื่ ๓) มีความเปน็ นกั วชิ าการ ซอื่ สตั ยต์ ่อตนเองและวชิ าชีพ ชอบคดิ อยา่ งเป็นระบบ ๔) มีความม่ันใจในตนเอง มีความจริงใจในการปฏิบัติงานและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน และสามารถ ควบคุมอารมณไ์ ด้ ๓. ครผู อู้ ำ� นวยความสะดวกหรอื ครใู นบทบาทกระบวนการ (facilitator teacher, teacher as facilitator) ตามแนวคิดแต่ดั้งเดิม ครูได้ช่ือว่าเป็นผู้มีความรู้ความเช่ียวชาญในเนื้อหาสาระที่สอน มีหน้าที่ถ่ายทอด ความรู้ไปสู่ผู้เรียน ผ่านช่องทางและวิธีการต่าง ๆ มีการวางแผนในการจัดการเรียนรู้ โดยการก�ำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ รวมทั้งการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้เพอ่ื ดูว่า ผู้เรียนได้บรรลุตามจดุ ประสงค์ ทก่ี ำ� หนดไวห้ รอื ไม่ ซงึ่ ในการดำ� เนนิ การทง้ั หมด ครมู บี ทบาทในฐานะผรู้ ผู้ เู้ ชยี่ วชาญทางดา้ นเนอ้ื หาสาระ (content expert) และเปน็ ผมู้ อี �ำนาจเตม็ ในการสัง่ การและควบคมุ ก�ำกบั กระบวนการเรียนรขู้ องผ้เู รียนใหเ้ ปน็ ไปตามแผนทต่ี นเองกำ� หนด ปจั จบุ นั แนวคดิ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไป เนอื่ งจากเกดิ ทฤษฎกี ารเรยี นรใู้ หม่ ๆ ขน้ึ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทฤษฎีสรรคนิยม (constructivism) หรือ ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ท่ีอธิบายถึงกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ว่า การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการทางปญั ญาของคนแตล่ ะคนในการสรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจใหเ้ กดิ ขนึ้ กบั ตนเอง โดยการพยายาม เช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ดังนั้น การเรียนรู้จะเกิดข้ึนอย่างแท้จริงและมีความหมายต่อตนเอง ก็ต่อเมื่อ ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้เอง สร้างความหมายความเข้าใจด้วยตนเอง ไม่ใช่ครูเป็นผู้มอบให้หรือถ่ายทอดให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ บทบาทของครูในปัจจุบัน จึงควรเปลี่ยนจากการเป็นผู้ให้ความรู้ส�ำเร็จรูปแก่ผู้เรียนไปเป็นการให้หรือส่งเสริมให้ผู้เรียน หาข้อมูล ความรู้ และน�ำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างความหมายจนเกิดเป็นความเข้าใจของตนเอง ดังนั้น ผู้เรียนจึงต้องเป็น ผเู้ รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง โดยครมู บี ทบาทชว่ ยใหก้ ระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นประสบความสำ� เรจ็ ไดง้ า่ ยขน้ึ ดขี น้ึ และรวดเรว็ ขนึ้ ซ่ึงเห็นได้ว่าแนวคิดของผู้อ�ำนวยความสะดวกน้ีสามารถน�ำมาใช้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างดี จึงเกิด เป็นแนวคิด ครูผู้อ�ำนวยความสะดวก ขึ้น ซึ่งหมายถึง ครูท่ีท�ำหน้าที่เป็นผู้อ�ำนวยความสะดวกด้านกระบวนการ และ กระบวนการในบรบิ ทของครู กค็ อื กระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นนน่ั เอง ดงั นนั้ จงึ กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ facilitator teacher ก็คอื ครผู อู้ �ำนวยความสะดวกการเรยี นรู้ 300 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 496
Pages: