Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

Description: สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

Search

Read the Text Version

อยา่ งไรกด็ ี การบรหิ ารจดั การโรงเรยี นผลติ ภาพใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ ดงั เปา้ หมายทวี่ างไวน้ นั้ ควรมแี นวทางการบรหิ าร จดั การทเ่ี ฉพาะตวั และแตกตา่ งจากโรงเรียนทว่ั ไป ท้งั นี้ ต้องอยใู่ นบรบิ ทของโรงเรียนผลิตภาพทีม่ ุ่งเน้นการสนบั สนุนจาก ทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะของผู้ผลิตท่ีมีความมุ่งมั่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะผู้ประกอบการ และมีคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ตามลักษณะของผูเ้ รยี นผลิตภาพ (Productive Student) ปรบั เปล่ียนบทบาทของผู้เรียนจาก ผบู้ รโิ ภคนยิ ม (Consumer) ไปสผู่ ู้ทีเ่ ป็นผลติ ภาพนยิ ม (Product Maker) ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และ เป็นพลเมอื งทคี่ ำ� นึงถึงสงั คมโลก มีคณุ ธรรมจริยธรรม และมจี ิตส�ำนึกความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม บรรณานุกรม ไพฑูรย์ สินลารตั น์ และคณะ. (๒๕๓๙). สัตตศิลา หลักเจด็ ประการสำ� หรับการเปล่ียนผ่านการศึกษาเขา้ สู่ยุคเศรษฐกจิ ฐานความรู้. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . . (๒๕๕๗). โรงเรยี นผลิตภาพ: สตั ทศั น์เพื่อการจัดการ. กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ๑๒๖ หนา้ . Ahmad@Shaari, M. Z.; Jamil, H.; Razak, N. A. (2012). Exploring the Classroom Practice of Productive Pedagogies of the Malaysian Secondary School Geography Teacher. Review of International Geographical Education Online © RIGEO Vol. 2, No. 2, Summer 2012. [Online] http://www.rigeo.org/vol2no2/3.1. RIGEO-VOL.%202.%20NO.%202.pdf. Sullivanm Mackie, Massy, and Sinha. (2012). Improving Measurement of Productivity in Higher Education. National research council of the National Academies. [Online]. http://biblioteca.ucv.cl/site/colecciones/ manuales_u/13417.pdf [10 Jan, 2015]. 401 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

โรงเรียนมาตรฐานสากล รองศาสตราจารย์ ดร.สมศกั ดิ์ คงเท่ยี ง ความเป็นมาและความส�ำคญั ของโรงเรียนมาตรฐานสากล โรงเรียนเป็นองค์การทางการศึกษา หรือหน่วยงานหน่ึงของสังคม ท่ีมีบทบาทส�ำคัญในการสร้างสรรค์เด็ก และเยาวชนใหเ้ ปน็ พลเมอื งดี มคี วามรคู้ วามสามารถ วทิ ยาการตา่ ง ๆ เปลย่ี นแปลงไปตามสภาพสงั คมและเศรษฐกจิ จงึ จำ� เปน็ ต้องเร่งพัฒนาการจัดการศึกษาในสถานศึกษาท้ังของรัฐและเอกชนให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของโลกยุคใหม่ ส่ิงส�ำคัญ ในการบริหารการเปล่ียนแปลงในโรงเรียน คือต้องมีระบบการบริหารและการจัดการศึกษาที่ดี มีเป้าหมายส�ำคัญ คือ ท�ำให้การศึกษามีคุณภาพ มีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลท่ีจะน�ำไปสู่การพัฒนาเด็กไทยให้มีคุณภาพ และมีมาตรฐานสูงขึ้นเทียบเท่าหรือใกล้เคียงนานาอารยประเทศ ดังน้ัน โรงเรียนจึงจ�ำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนา การจดั การเรียนรู้ของโรงเรยี นท้ังระบบใหพ้ รอ้ มรบั มือสภาวการณ์ตา่ ง ๆ ได้ 402 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

โรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School) จึงเป็นนวัตกรรมการจัดการศึกษาท่ีส�ำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน นำ� มาใชเ้ ปน็ มาตรฐานเรง่ ดว่ น ในการยกระดบั การจดั การศกึ ษาใหม้ คี ณุ ภาพมาตรฐาน เทียบเท่าสากล ซึ่งเร่ิมด�ำเนินการกับโรงเรียนน�ำร่องจ�ำนวน ๕๐๐ โรงเรียน ท้ังระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ในปกี ารศกึ ษา ๒๕๕๓ ดว้ ยการใหโ้ รงเรยี นในโครงการพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา และจดั กระบวนการเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นบรรลุ คุณภาพตามมาตรฐานที่ก�ำหนดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และเพิ่มเติม สาระการเรียนรู้ความเป็นสากล เพ่ือให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล ตลอดจนการด�ำเนิน การพัฒนาและยกระดับโรงเรียนมาตรฐานสากลทั้งในด้านการพัฒนาครูผู้สอน และผู้บริหารโรงเรียน รวมถึงการพัฒนา ระบบการบริหารโรงเรียนเกี่ยวกับการจัดท�ำแผนกลยุทธ์โรงเรียนมาตรฐานสากล และการจัดการระบบคุณภาพ การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากล จึงถือเป็นกระบวนการที่มีเป้าหมายส�ำคัญ คือ การบริหารงานโรงเรียนให้ บรรลุถึงคุณภาพที่ก�ำหนดไว้ และสนองตอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้การจัดการศึกษา ปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งเน้น ในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ บรรลุเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ ดังนั้น โรงเรียนมาตรฐานสากล จึงเป็นนวัตกรรม ทย่ี กระดบั การจดั การเรยี นการสอนเทยี บเคยี งมาตรฐานสากล และยกระดบั การบรหิ ารจดั การดว้ ยระบบคณุ ภาพ เพอื่ พฒั นา ผเู้ รียนให้มีศักยภาพในการเป็นพลโลก คณุ ลกั ษณะโรงเรียนมาตรฐานสากล ความเปน็ โรงเรียนมาตรฐานสากลพจิ ารณาจากคณุ ลกั ษณะในด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี ๑. การจัดการเรยี นการสอนเทยี บเคียงมาตรฐานสากล (World Class Standard) ๒. บรหิ ารจัดการดว้ ยระบบคณุ ภาพ (Quality System Management) ๓. ผเู้ รยี นมศี กั ยภาพเป็นพลโลก (World Citizen) ๑. การจัดการเรียนการสอนเทยี บเคียงมาตรฐานสากล (World Class Standard) การจดั การเรียนการสอนเทยี บเคยี งมาตรฐานสากล พัฒนาจากหลักการต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ คณุ ภาพวชิ าการ ๑.๑.๑ โรงเรียนจดั หลักสตู รทางเลือกเทียบเคยี งกับหลกั สตู รมาตรฐานสากล ไดแ้ ก่ หลกั สตู ร English Program (EP) Mini English Program (MEP) International English Program (IEP) International Baccalaureate (IB) หรือหลกั สูตรความเปน็ เลศิ เฉพาะทาง ๑.๑.๒ โรงเรียนจัดหลักสูตรท่ีส่งเสริมความเป็นเลิศตอบสนองต่อความถนัด ศักยภาพของผู้เรียน และความตอ้ งการของผ้เู รียน ๑.๑.๓ โรงเรียนจดั หลักสูตรด้านอาชีพ ๑.๑.๔ โรงเรยี นจดั การเรยี นการสอน สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตรด์ ว้ ยภาษาอังกฤษ 403 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๑.๑.๕ ปรับลดเนือ้ หาเพิ่มความเขม้ ขน้ ของ ๑) เน้ือหาหรือกิจกรรมสู่มาตรฐานสากล (ทฤษฎีองค์ความรู้: Theory of knowledge การเขยี นความเรยี งช้ันสูง: Intended Essay และการสรา้ งโครงงาน: Create Project Work) ๒) เนอื้ หากิจกรรมสู่สาระการเรียนรู้ท่ีจะส่งเสริมสคู่ วามเปน็ เลิศ ๑.๑.๖ ลดเวลาสอน เพม่ิ เวลาให้นกั เรียนเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ๑.๑.๗ โรงเรียนใช้หนงั สือ ต�ำราเรยี น ส่อื ท่ีมคี ุณภาพส่มู าตรฐานสากล ๑.๑.๘ โรงเรยี นจดั การเรยี นการสอน โดยพฒั นาใชร้ ะบบหอ้ งเรยี นคณุ ภาพ (Quality Classroom System) ๑.๑.๙ โรงเรยี นใชร้ ะบบการวดั และประเมนิ ผลแบบมาตรฐานสากล โดยประเมนิ จากการสอบขอ้ เขยี น สอบปากเปลา่ สอบสัมภาษณ์ และสามารถเทียบโอนผลการเรยี นกับสถานศึกษาระดับตา่ ง ๆ ท้งั ในและตา่ งประเทศ ๑.๒ ด้านคณุ ภาพครู ๑.๒.๑ ครผู สู้ อนมคี วามรคู้ วามสามารถ และความเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นวชิ าการอา่ น การประเมนิ ในระดบั ชาติ ๑.๒.๒ ครูผูส้ อนมีความรคู้ วามสามารถ และความเชีย่ วชาญดา้ นอาชีพ ผ่านการประเมนิ ในระดบั ชาติ ๑.๒.๓ ครสู ามารถใชภ้ าษาต่างประเทศในการสือ่ สาร ๑.๒.๔ ครใู ช้หนงั สอื ต�ำราเรยี น และส่อื ท่เี ป็นภาษาต่างประเทศในการจดั การเรยี นการสอน ๑.๒.๕ ครูใช้ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ (ICT) ในการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลและการ เผยแพรผ่ ลงาน ทง้ั ระบบออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) ๑.๒.๖ ครสู ามารถแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ประสบการณ์ในการจดั การเรียนการสอนกบั ครนู านาชาติ ๑.๒.๗ ครใู ชก้ ารวจิ ัย สอื่ นวตั กรรมเพ่อื พัฒนาผู้เรียนอยา่ งตอ่ เนื่อง ๑.๓ การวิจยั และพฒั นา ๑.๓.๑ โรงเรยี นด�ำเนนิ การจัดท�ำวจิ ยั และพัฒนาการจัดการศกึ ษาด้านตา่ ง ๆ อย่างตอ่ เนอ่ื ง ๑.๓.๒ ใช้ผลการวิจัยเพอื่ ยกระดับคณุ ภาพการศึกษาเทยี บเคียงมาตรฐานสากล 404 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๒. บริหารจดั การด้วยระบบคุณภาพ พฒั นาจากดา้ นต่าง ๆ ดังน้ี ๒.๑ คณุ ภาพผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ๒.๑.๑ ผบู้ รหิ ารมีวิสัยทัศน์ และสามารถน�ำโรงเรียนสู่การเป็นมาตรฐานสากล ๒.๑.๒ ผู้บริหารบรหิ ารจัดการด้วยระบบคณุ ภาพ ๒.๑.๓ ผบู้ รหิ ารมีความเป็นผ้นู �ำทางวิชาการ (Academic Leadership) ท่ีมผี ลงานปรากฏเป็นท่ียอมรับ ๒.๑.๔ ผ้บู รหิ ารมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยใี นการสื่อสาร และการบริหารจัดการ ๒.๑.๕ ผบู้ รหิ ารสามารถใชภ้ าษาต่างประเทศในการสื่อสาร ๒.๑.๖ ผบู้ รหิ ารมปี ระสบการณก์ ารอบรม ศกึ ษาดงู าน แลกเปลยี่ นเรยี นรใู้ นการจดั การศกึ ษาระดบั นานาชาติ ๒.๒ ระบบการบริหารจดั การ ๒.๒.๑ โรงเรยี นบรหิ ารจดั การด้วยระบบคุณภาพท่ีได้รับการรับรองจากองคก์ รมาตรฐานสากลระดับโลก ๒.๒.๒ โรงเรยี นมรี ะบบการจดั การความรู้ (KM) และการสรา้ งนวตั กรรมเผยแพรท่ ง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ๒.๒.๓ โรงเรียนน�ำวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) มาใช้ในการบริหารจัดการครอบคลุมภารกิจ ทกุ ดา้ นของโรงเรยี น ๒.๒.๔ โรงเรยี นมกี ารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การบริหารจัดการ ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ ๒.๒.๕ โรงเรยี นมกี ารบรหิ ารดา้ นบคุ คลอยา่ งมอี สิ ระและคลอ่ งตวั โดยสามารถกำ� หนดอตั รากำ� ลงั สรรหา บรรจุ จดั จา้ ง สง่ เสรมิ และพฒั นา ๒.๒.๖ โรงเรียนสามารถแสวงหา ระดมทรัพยากรการศึกษาด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความเป็นเลิศ ในการจัดการศึกษา โดยสามารถบรหิ ารจัดการได้อยา่ งคลอ่ งตัว ตามสภาพความต้องการและจำ� เปน็ ๒.๓ ปัจจัยพน้ื ฐาน ๒.๓.๑ โรงเรียนมีขนาดชั้นเรียนเหมาะสม มีจ�ำนวนนักเรียนต่อห้องตามเกณฑ์ โดยมีจ�ำนวนครูท่ีมี ความรู้ ตรงสาขาวิชาที่สอนเพียงพอ และมอี ตั ราสว่ นครตู ่อนักเรียนตามเกณฑ์ ๒.๓.๒ ภาระงานการสอนของครมู ีความเหมาะสม ๒.๓.๓ โรงเรยี นจดั ใหม้ หี นังสอื ต�ำราเรียน ที่มีคุณภาพระดบั มาตรฐานสากล เพ่อื ใหน้ กั เรยี นได้ใช้เรียน อยา่ งเพยี งพอ ๒.๓.๔ โรงเรียนมีคอมพวิ เตอร์พกพาส�ำหรบั นักเรียนทกุ คน ๒.๓.๕ โรงเรยี นมเี ครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ แบบความเรว็ สงู เชอ่ื มโยงครอบคลุมพ้ืนทข่ี องโรงเรยี น ๒.๓.๖ โรงเรียนมีห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดีย (Electronic Multi-Media Classroom) หอ้ งทดลอง หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร และมอี ปุ กรณเ์ ทคโนโลยที ท่ี นั สมยั เนน้ ความเปน็ เลศิ ของนกั เรยี นตามกลมุ่ สาระอยา่ งพอเพยี ง และสามารถเชอ่ื มโยงเครือข่ายเพ่ือการเรยี นรแู้ ละสบื ค้นข้อมูลได้รวดเร็ว 405 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๒.๓.๗ โรงเรียนมหี อ้ งสมดุ แหลง่ เรยี นรู้ ศูนย์วิทยบริการ (Resource center) ทม่ี ีสภาพแวดลอ้ มบรรยากาศ เออื้ ต่อการใชบ้ รกิ าร มสี ื่อทพ่ี อเพียงเหมาะสมทนั สมัย มกี จิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ การอ่าน การเรียนรู้ และการค้นควา้ อยา่ งหลากหลาย ๒.๔ เครือข่ายร่วมพัฒนา ๒.๔.๑ โรงเรียนมีสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระดับเดียวกันเป็นเครือข่ายร่วมพัฒนา ทั้งในระดับ ท้องถนิ่ ภมู ิภาค ระดับประเทศและระหวา่ งประเทศ ๒.๔.๒ โรงเรียนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแลกเปล่ียนประสบการณ์และทรัพยากรระหว่างเครือข่าย โรงเรยี นร่วมพัฒนา ๒.๔.๓ โรงเรียนมีเครือข่ายสนับสนุนจากสถาบันอุดมศึกษา และองค์กรอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องท้ังภาครัฐ และเอกชน ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ๒.๔.๔ นกั เรียนและครูมเี ครอื ขา่ ยแลกเปลย่ี นเรยี นรู้กบั บคุ คลอนื่ ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ๓. ผเู้ รียนมีศักยภาพเปน็ พลโลก คุณลักษณะของผู้เรียนมีศกั ยภาพเปน็ พลโลก ประกอบด้วย ๓.๑ เป็นเลศิ ด้านวิชาการ มลี ักษณะ ดงั น้ี ๓.๑.๑ นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธก์ิ ารเรยี น ผา่ นการประเมนิ ระดบั ชาติ อยใู่ นระดบั ดเี ปน็ ทยี่ อมรบั จากสถาบนั นานาชาติ ๓.๑.๒ นักเรียนมีความสามารถ ความถนัดเฉพาะทางเป็นท่ีประจักษ์ สามารถแข่งขันได้ในระดับชาติ และนานาชาติ ๓.๑.๓ นักเรียนมีความสามารถ เข้าศึกษาต่อในระดับสูงข้ึนจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศไดใ้ นอัตราสูง ๓.๑.๔ นกั เรียนมีผลการเรียน ทส่ี ามารถถ่ายโอนกบั สถานศกึ ษาระดับต่าง ๆ ในนานาชาติได้ ๓.๒ ส่อื สารได้อยา่ งนอ้ ย ๒ ภาษา ดงั นี้ ๓.๒.๑ นกั เรยี นใช้ภาษาไทย ภาษาองั กฤษและภาษาตา่ งประเทศอ่ืน ๆ ในการสอ่ื สารไดด้ ี ๓.๒.๒ นักเรียนสามารถสอบผ่าน การวดั ระดบั ความสามารถทางภาษา จากสถาบันนานาชาติ ๓.๓ ลำ้� หนา้ ทางความคดิ ๓.๓.๑ นกั เรยี นสรา้ งกจิ กรรมแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ และจดั ทำ� โครงงานทเี่ สนอแนวคดิ เพอ่ื สาธารณประโยชน์ รว่ มกับนักเรียนนานาชาติ ๓.๓.๒ นักเรียนสามารถเขยี นเรยี งความชัน้ สูง 406 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๓.๔ ผลิตงานอยา่ งสรา้ งสรรค์ ๓.๔.๑ นักเรียนสามารถเลอื กเรยี นและฝึกวิชาชีพตามความถนัดและความสนใจ ๓.๔.๒ นักเรียนมีผลงานการประดิษฐ์ สร้างสรรค์ และออกแบบผลงานเข้าแข่งขันในเวทีระดับชาติ และนานาชาติ ๓.๔.๓ นักเรียนสามารถใช้เทคโนโลยใี นการเรียนรู้ ออกแบบสร้างสรรค์ งานส่ือสาร น�ำเสนอ เผยแพร่ และแลกเปล่ียนผลงานไดใ้ นระดบั นานาชาติ การพฒั นาและยกระดับโรงเรยี นสมู่ าตรฐานสากล การนำ� โรงเรยี นสู่มาตรฐานสากลนัน้ ภารกิจหลกั ท่ีโรงเรยี นควรพิจารณามี ดังนี้ ๑. สร้างความตระหนักและความเข้าใจ ในการด�ำเนินการยกระดับโรงเรยี นสูม่ าตรฐานสากล ใหแ้ กบ่ คุ ลากร ในโรงเรยี น และผ้มู ีสว่ นเกีย่ วขอ้ ง ๒. จดั ทำ� แผนยุทธศาสตร์เพือ่ พัฒนาโรงเรยี นสมู่ าตรฐานสากล ๓. ด�ำเนนิ การพฒั นาในดา้ นต่าง ๆ คือ การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา พฒั นาสาระ การเรยี นวชิ าท่ีเกีย่ วขอ้ ง พัฒนาครผู ูส้ อน พฒั นาผู้บรหิ ารโรงเรยี น และพัฒนาระบบการบรหิ ารโรงเรียน ๔. จดั เตรียมและดำ� เนนิ การด้านปจั จยั พน้ื ฐานตา่ ง ๆ เพอื่ ให้เออื้ ตอ่ การพฒั นาการเรยี นการสอนสูม่ าตรฐานสากล ๕. ด�ำเนินการบริหารดว้ ยระบบคณุ ภาพ จัดตัง้ และด�ำเนนิ การเครอื ข่ายร่วมพัฒนา ๖. การแลกเปลีย่ นเรียนรแู้ ละการประเมินผล บรรณานุกรม ขวัญชีวา ชีวาวรรณพินทุ. สบื คน้ เมือ่ ๑๕ มนี าคม ๒๕๕๖. http://www.ticthai.com/webboard/view-topic.php จริ ตั น์ อยยู่ นื และสมศกั ด์ิ คงเทยี่ ง. (๒๕๕๖). สภาพการดำ� เนนิ งานพฒั นาคณุ ภาพโรงเรยี นมาตรฐานสากล สงั กดั สำ� นกั งาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ สารนิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยนอรท์ กรงุ เทพ. ธรี ะ รญุ เจรญิ . (๒๕๕๐). ความเปน็ มอื อาชพี ในการจดั และบรหิ ารการศกึ ษายคุ ปฏริ ปู การศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: แอล.ท.ี เพรส. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (๒๕๕๓). คู่มือการพัฒนาหลักสูตรและการสอน. กรุงเทพมหานคร: สำ� นักบริหารงานการมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตร แหง่ ประเทศไทย. 407 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สมรรถนะข้ามพสิ ัย ศาสตราจารย์กติ ติคณุ ดร.ไพฑรู ย์ สินลารตั น์ ดร.จันทรพ์ า ทดั ภูธร บทความน้ีอธิบาย “สมรรถนะข้ามพิสัย” ว่าหมายถึงอะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง มีความส�ำคัญอย่างไร ในการสร้างพลเมืองที่พึงประสงค์ของชาติ ของภูมิภาค และของโลก บทความนี้ยังเสนอแนวทางการสร้างหรือพัฒนา สมรรถนะดงั กลา่ วให้เกดิ ขึ้นในเด็กและเยาวชนของไทย ความหมายและขอบเขตของสมรรถนะขา้ มพสิ ยั สมรรถนะข้ามพิสัย คือ มโนทัศน์หน่ึงของการศึกษา มาจากภาษาอังกฤษ “transversal competencies” เร่ิมมีการกล่าวถึงในแวดวงการศึกษาในกรอบของเครือข่ายการวิจัยขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แหง่ สหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ภายใต้กรอบการทำ� งานของเครอื ขา่ ยสถาบันวจิ ัยทางการศึกษาในภูมภิ าค เอเชีย – แปซิฟิก (Education Research Institutes Network in the Asia-Pacific) หรือ เอริเน็ต (ERI-NET) ผู้เขียน เลือกใช้ค�ำว่า “สมรรถนะ” เน่ืองจากค�ำว่า ทักษะ (skills) หรือ ความรู้ (knowledge) ยังไม่สามารถส่ือความหมาย ไดค้ รอบคลุมและเพียงพอ ท้ังนเี้ นอ่ื งจาก “สมรรถนะขา้ มพสิ ัย” มคี วามหมายกว้าง คอื หมายถงึ ทกั ษะ ความรู้ เจตคติและ ความสามารถอืน่ ๆ ทม่ี ักจะไมถ่ ูกประเมินโดยระบบการประเมนิ ดง้ั เดมิ เชน่ จากแบบทดสอบ แตเ่ ป็นสมรรถนะทีจ่ ำ� เป็น สำ� หรบั การพฒั นาแบบองคร์ วมของนกั เรยี น ซงึ่ เครอื ขา่ ยเอรเิ นต็ ไดย้ กตวั อยา่ งวา่ สมรรถนะดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทักษะการสอื่ สาร ความตระหนกั รู้ด้านสงิ่ แวดล้อมและความสามารถในการเปลยี่ นแปลง 408 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ผู้เขียนใช้ค�ำ Transversal Competencies เป็นภาษาไทยว่า “สมรรถนะข้ามพิสัย” เน่ืองจากค�ำว่า competencies น้นั หมายถึง สมรรถนะ หรอื ความสามารถ สว่ นค�ำวา่ Transversal สอ่ื เป็นนัยว่าหมายถึงการขา้ ม หรอื ผ่ากลาง เมอื่ น�ำมารวมกนั กอปรกับพิจารณาคำ� อธบิ ายของเครอื ขา่ ยเอริเนต็ ผเู้ ขียนจงึ แปล Transversal Competencies วา่ “สมรรถนะข้ามพสิ ัย” อันหมายถึงสมรรถนะที่สามารถ “ข้าม” จากพสิ ัย (domain) หน่งึ ไปยังพสิ ยั อนื่ ๆ ได้ คอื สามารถ ถ่ายโอนได้ มีความเป็นสากล จะเรียกอย่างนั้นก็พอจะได้ เพราะจากที่มาของค�ำ ค�ำว่า transverse แปลว่า “ extending across something” หรือ ขยายข้ามส่ิงหนึ่งส่ิงใด หากพินิจพิเคราะห์ลงลึกไปกว่านั้นก็จะพบว่า verse สื่อเป็นนัยถึง ลักษณะความเป็นเอนกประสงค์หรือความเป็นสากล เช่น versatile เป็นค�ำคุณศัพท์แปลว่า ทั่วไป ไม่ได้จ�ำกัดอยู่ เพยี งแคห่ นง่ึ เดียว สว่ นคำ� วา่ competence น้นั แปลว่า สมรรถนะ หรอื ความสามารถ ดงั นน้ั ผูเ้ ขียนจึงใชค้ ำ� ว่าสมรรถนะ ขา้ มพสิ ัย transversal competencies การท่จี ะเขา้ ใจความหมายและขอบข่ายของสงั กปั นีท้ ำ� ไดโ้ ดยการพจิ ารณาแผนภาพท่แี สดง การทำ� งานเเปคน็ มที ีม การแกป้ ญั หาควคาณมขติ ดั ศแายง้สกตารร์ยอมรบั ความสแังตคกตม่าศงกึ ษา จากแผนภาพ สมรรถนะข้ามพิสัย พาดผ่านพิสัยวิชาต่าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในศาสตร์หรือวิชาใดวิชาหนึ่ง หากแต่เป็นส่ิงท่ีพาดผ่านวิชา หรือศาสตร์ทุก ๆ ศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น เคมี ฟิสิกส์ หรือ ชีวะ หรือแม้แต่วิชาที่เน้น ความรพู้ น้ื ฐาน (general subjects) อยา่ งวชิ าสงั คมศกึ ษา หรอื สขุ ศกึ ษา ยเู นสโกเหน็ วา่ การศกึ ษานนั้ ควรครอบคลมุ สมรรถนะ ในพสิ ยั และสมรรถนะขา้ มพสิ ยั ทกุ วชิ าตา่ งกต็ อ้ งการองคป์ ระกอบของสมรรถนะขา้ มพสิ ยั นเี้ ชน่ กนั ดงั นน้ั ลกั ษณะทสี่ อง ของสมรรถนะดังกล่าวคือ การมลี กั ษณะเป็นสมรรถนะองคร์ วม (Global Competency) คือทักษะ ความรู้ การตระหนกั รู้ หรอื เจตคตทิ แี่ ยกตวั ออกมาจากความสามารถทางพทุ ธปิ ญั ญา (Cognitive Competencies) การเปน็ สมรรถนะทห่ี นกั ไปทาง จิตพสิ ยั (Affective Domain) 409 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ในทางศกึ ษาศาสตรน์ น้ั มกี ารอา้ งถงึ นกั วชิ าการดา้ นการศกึ ษาทา่ นหนง่ึ คอื เบนจามนิ บลมู (Benjamin Bloom) ซงึ่ ไดเ้ สนอวา่ ในการศกึ ษานน้ั เราสามารถแยกแยะ ลกั ษณะของสงิ่ ทสี่ อนวา่ มลี กั ษณะอยู่ ๓ ดา้ น หรอื พสิ ยั ๓ ดา้ น อยแู่ ลว้ อันได้แก่ พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และ ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ทีผ่ ่านมาเรามงุ่ เนน้ ดา้ นพทุ ธิพิสัยมากกว่าดา้ นอื่น ๆ ทั้ง ๆ ท่ี บลูม เองเสนอให้เรามองภาพรวม (holistic) อนง่ึ สมรรถนะ ทว่ี า่ นี้ อาจจะประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบของ Head – Heart – Hand ทง้ั ๓ องคป์ ระกอบกไ็ ด้ ดงั คำ� อธบิ ายของเครอื ขา่ ยวจิ ยั ERI-NET ในการวจิ ยั ระยะที่ ๓ ทว่ี า่ สมรรถนะขา้ มพสิ ยั หมายถงึ ทกั ษะ หรอื ความสามารถ ท่ีมีความส�ำคัญและจ�ำเป็นในการพัฒนาผู้เรียนรอบด้าน แต่มักไม่ได้ถูกวัดหรือยากแก่การวัดดังตัวอย่างประกอบ ได้แก่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ (creativity) ทกั ษะการสอื่ สาร (communication skills) การตระหนกั รดู้ า้ นสงิ่ แวดลอ้ ม (environmental awareness) และความสามารถในการเปลี่ยนแปลง (ability to change) ในระยะแรก ๆ ของการท�ำความเข้าใจเก่ียวกับ สมรรถนะข้ามพิสัยเหล่าน้ี นักวิชาการเห็นว่าสมรรถนะดังกล่าวเป็นสมรรถนะท่ีไม่เก่ียวข้องกับทักษะทางพุทธิปัญญา (non-cognitive skills) ต่อมา นักการศึกษาเริ่มยอมรับว่า สมรรถนะข้ามพิสัย มีองค์ประกอบทางปัญญาแฝงอยู่ เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การใช้เหตุผล เป็นต้น แต่ท่ีเห็นตรงกันก็คือ สมรรถนะข้ามพิสัยไม่ได้จ�ำกัดอยู่เฉพาะสมรรถนะ ทางพุทธปิ ัญญา (Cognitive Competencies) แต่เพยี งอยา่ งเดยี ว แก่นแทข้ องสมรรถนะขา้ มพสิ ัย คอื การเน้นที่สมรรถนะ ทข่ี า้ มไปมาได้ เปน็ สมรรถนะท่ไี ม่ยดึ ติดอยกู่ ับเนือ้ หา หรอื กาล (Time) เนน้ กระบวนการ การเรียนรขู้ องนกั เรียน สมรรถนะขา้ มพิสัย มีองคป์ ระกอบซึง่ ประกอบข้นึ ดว้ ยพิสยั จ�ำนวน ๕ พิสยั ดงั ต่อไปนี้ พิสยั (Domain) ตวั อย่าง ทกั ษะ ความสามารถ ค่านยิ มและเจตคติ ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และการคิด ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ความเป็นนักประกอบการ การมีสติปัญญาสามารถ เชงิ นวตั กรรม (Critical and Innovative แก้ปัญหาได้ ความสามารถในการประยุกต์ทักษะและความรู้ ความสามารถ Thinking Skills) ในการคดิ ไตรต่ รองใคร่ครวญเก่ียวกบั ตนเอง การตัดสนิ ใจโดยใชเ้ หตุผลที่ดี ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การมีทกั ษะการส่ือสารที่ดี ทกั ษะการจดั การ การประสานงาน มีความเปน็ มิตร (Interpersonal Relationship Skills) ความสามารถในการเข้าสังคม การท�ำงานเป็นทีม ความสามารถในการเข้าใจ ความรู้สกึ ของผ้อู ่นื และเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื ทกั ษะการมีปฏสิ มั พนั ธ์ต่อตนเอง การมีวินัยในตนเอง ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง การมีความยืดหยุ่น (Intrapersonal Skills) และความสามารถในการปรับตัว การตระหนักรู้แห่งตน ความเพียรพยายาม การมแี รงจงู ใจภายใน ความสามารถในการเขา้ ใจความรสู้ กึ ของผอู้ นื่ ความเมตตา การมบี รู ณาการแห่งตน และการเคารพในตนเอง 410 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ความเปน็ พลเมอื งทด่ี ขี องชาตแิ ละของ การตระหนกั รู้ การยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื การมจี ติ ใจเปดิ กวา้ ง การเคารพ สงั คมโลก (Global Citizenship Skills) ความหลากหลาย ความเข้าใจในเร่ืองศีลธรรมและจริยธรรม ความเข้าใจ ในวัฒนธรรมอื่น ๆ ท่ีต่างจากวัฒนธรรมของตนเอง ความสามารถในการ แก้ปัญหาการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย การหาทางออกให้แก่ปัญหา การมีจติ ส�ำนึกและอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม การรู้เทา่ ทนั สือ่ และเทคโนโลยี ความสามารถในการไดม้ าและวเิ คราะหข์ อ้ มลู ขา่ วสารจากเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร สารสนเทศและการสอ่ื สาร ความสามารถในการประเมนิ สาระของสอื่ และขอ้ มลู ขา่ วสารอยา่ งมวี จิ ารณญาณ (Media and information literacy) การมจี รรยาบรรณและความรบั ผดิ ชอบในการใชไ้ อซีที (ท่ีมา UNESCO, 2014 ) นอกจากองค์ประกอบหลัก ๕ ด้านแล้ว ยูเนสโก ยงั เสนอองคป์ ระกอบอกี หนงึ่ ดา้ นเพมิ่ เตมิ คอื ความรเู้ รอื่ งสขุ ภาพ การรู้จักดูแลสุขภาพ การมคี วามเชือ่ และคา่ นยิ มทางศาสนาใน ทางสร้างสรรค์ (Physical health and Religious values) จะเหน็ ไดว้ า่ สมรรถนะขา้ มพสิ ยั มขี อบขา่ ยทก่ี วา้ งและครอบคลมุ ถงึ ทกั ษะความรู้ ความเขา้ ใจ คา่ นยิ ม และเจตคติ ในทางการศกึ ษานน้ั องคป์ ระกอบของสมรรถนะขา้ มพสิ ยั ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งใหม่ หากพจิ ารณา แผนการศกึ ษาระดบั ชาติ และหลกั สตู รตา่ ง ๆ จะพบวา่ มกี ารเขยี น กำ� หนดไวอ้ ยแู่ ลว้ เชน่ สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ไดก้ ำ� หนดเปน็ นโยบายใหโ้ รงเรยี นพฒั นาทกั ษะชวี ติ (life skills) ของนักเรียน ซ่ึงทักษะชีวิตดังกล่าวมี ๔ องค์ประกอบ คือ การตระหนักรู้และเห็นในคุณค่าของตนเองและผู้อื่น การคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ และแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ การจดั การกบั อารมณแ์ ละความเครยี ด และ การสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ ี กบั ผู้อืน่ (ส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน: ม.ป.ป.) เราจะพบว่าสมรรถนะขา้ มพิสัยและทักษะชีวติ มหี ลาย องคป์ ระกอบทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั ทเ่ี หน็ แตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน คอื สำ� หรบั สำ� นกั งานคณะกรรมการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน (สพฐ.) ทักษะชีวิตยังขาดองค์ประกอบทางทักษะไอซีที และการเป็นพลเมืองท่ีดีของโลก ซ่ึงยูเนสโกให้ความส�ำคัญมาก (UNESCO, 2015) แม้วา่ ทักษะชวี ติ (Life Skills) จะมอี งค์ประกอบใกลเ้ คยี งกับสมรรถนะข้ามพิสัย และไทยเรามกี ารเน้น ท่ีสมรรถนะด้านน้ีกันอยู่แล้ว แต่สิ่งท่ียังเป็นความท้าทายอยู่เห็นจะอยู่ท่ี การปฏิบัติ การลงมือท�ำ การสอนในชั้นเรียน ของครูสมรรถนะข้ามพิสัย ไม่ใช่แค่ทักษะหรือความรู้ ต้องอาศัยการปลูกฝังและเน้นการลงมือปฏิบัติมากกว่าการท่องจ�ำ เป็นการพัฒนาและปลกู ฝงั นิสยั และเจตคติทส่ี รา้ งสรรค์ 411 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ความสำ� คญั ของสมรรถนะขา้ มพสิ ัย การทย่ี เู นสโกหนั มาสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ ใหช้ าตติ า่ ง ๆ ใหค้ วามสำ� คญั กบั การปลกู ฝงั สมรรถนะขา้ มพสิ ยั นน้ั มมี ลู เหตมุ าจากการวเิ คราะหข์ อ้ บกพรอ่ งทางการศกึ ษาของประเทศตา่ ง ๆ ในรอบหลายสบิ ปที ผ่ี า่ นมา กอปรกบั การทบี่ รรดา ประเทศต่าง ๆ ได้หันมาให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาสมรรถนะข้ามพิสัยของนักเรียนมากข้ึน และได้เริ่มมีการบูรณาการ สมรรถนะดังกล่าวเข้ากับระบบการศึกษา ท้ังในระดับนโยบายแห่งชาติ สถานศึกษา และการปฏิบัติการสอนในช้ันเรียน ทง้ั นี้ กเ็ พอื่ พฒั นาผเู้ รยี นในองคร์ วมใหค้ รบทกุ ดา้ น ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั จติ พสิ ยั และทกั ษะพสิ ยั การทก่ี ลมุ่ ประเทศ ในภมู ภิ าคเอเชยี -แปซฟิ กิ ไดห้ นั มาใหค้ วามสำ� คญั ในการปลกู ฝงั สมรรถนะเหลา่ น้ี เปน็ ผลมาจากการตระหนกั ถงึ ขอ้ บกพรอ่ ง ของการมุ่งเน้นการสอนทักษะทางวิชาการมากจนเกินไป เน้นการท่องจ�ำ ให้ความส�ำคัญกับความรู้และการสอบแข่งขัน มากกว่าสมรรถนะด้านอ่ืน ๆ เช่น ทักษะที่ไม่ใช่ทักษะเชิงวิชาการ ประเทศที่ก�ำลังพัฒนาบางประเทศถึงกับยึดเอา ผลการสอบระดับนานาชาติ เช่น PISA มาเป็นตัวช้ีวัด และก�ำหนดนโยบายทางการศึกษาของประเทศ ขาดการไตร่ตรอง อย่างรอบด้านและรอบคอบ สภาพการณ์ดังกล่าว ท�ำให้ยูเนสโกริเริ่มท�ำการศึกษาในระดับภูมิภาคในเร่ือง “การบูรณาการ กลุ่มทักษะชีวิตในระดับนโยบายและการปฏิบัติการทางการศึกษา (Integrating Transversal Competencies in Education Policy and Practice)” ข้ึน เมื่อคริสต์ศักราช 2012 ซึ่งการวิจัยในระยะที่หน่ึงและสองได้เสร็จส้ินแล้ว พบว่า ประเทศในภูมิภาค เลง็ เหน็ ความสำ� คญั ของการบรู ณาการสมรรถนะดงั กลา่ ว โดยถอื วา่ สำ� คญั ยง่ิ ในการปฏริ ปู การศกึ ษาในการศกึ ษาระยะทสี่ อง พบว่า ชาติสมาชิกมีแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะดังกล่าวแตกต่างกัน การศึกษายังช้ีให้เห็นช่องว่างระหว่างนโยบาย และส่ิงที่เกิดขึ้นจริงของการสอนในช้ันเรียน กล่าวคือ แม้จะมีการระบุไว้ในแผนและนโยบาย แต่การสอนในชั้นเรียน มักละเลยและมุ่งสอนเฉพาะเน้ือหา (contents) ไม่ค่อยเน้นกระบวนการเรียนรู้ ไม่ค่อยเน้นการพัฒนาทักษะการเป็นพลเมือง ของโลก ยงั เน้นการสอนเน้อื หาวชิ า เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นแสดงออกและมสี ่วนร่วมในการเรียนน้อย กลา่ วโดยสรุป ความส�ำคัญของ สมรรถนะข้ามพิสัย มีหลายประการ ดงั น้ี (๑) แมส้ มรรถนะข้ามพสิ ัยจะไมใ่ ช่ สมรรถนะทางพุทธิปัญญา แต่ก็มีความส�ำคัญต่อการสร้างพลเมืองท่ีดีของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมของประเทศหรือ สงั คมของโลกก็ตาม (๒) เป็นการเตรยี มความพรอ้ มทดี่ ีในการกา้ วเขา้ สสู่ งั คมโลกในศตวรรษท่ี ๒๑ ท่ีมคี วามเปล่ยี นแปลง อยตู่ ลอดเวลา และมคี วามเปน็ พหวุ ฒั นธรรมมากขนึ้ สอดคลอ้ งกบั ระบบสงั คมของโลกทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป (๓) เปน็ แนวทาง การพัฒนาการศึกษาทอ่ี งค์กรระดับโลกสนบั สนนุ เชน่ ยเู อ็นหรือยูเนสโก เปน็ ต้น องค์การเหล่านี้ไดท้ ำ� การศกึ ษาวจิ ัยและ พบขอ้ บกพรอ่ งของการบรหิ ารและการสอนในโรงเรยี น (UNESCO, 2015) พบวา่ บางแหง่ เนน้ เฉพาะความรคู้ วามสามารถ ด้านสมองหรือพุทธิปัญญา ขาดความสมดุล (๔) ประสบการณ์ของประเทศชั้นน�ำทางการศึกษา เช่น ฟินแลนด์ ญ่ีปุ่น แสดงให้เห็นว่าสมรรถนะข้ามพิสัยของผู้เรียน มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่เน้นพัฒนาสมรรถนะ ทางพทุ ธิปญั ญา ไมว่ า่ จะเปน็ การวดั ในระดบั ท้องถิ่น หรอื ระดับสากล เชน่ จากผลการสอบ PISA 412 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

แนวทางการพัฒนาสมรรถนะข้ามพิสัย ๑. ควรจดั กจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู รทเี่ ปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นรกู้ ารทำ� งานรว่ มกนั การแกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ในการศึกษาระดับท่ีสูงข้ึน เช่น ระดับอุดมศึกษา กิจกรรมดังกล่าว คือ การออกไปยุ่งเก่ียวพัวพันกับสังคมและ ส่งิ แวดลอ้ มที่มีพลวตั สงู การบริการวชิ าการแกส่ ังคม เชน่ โครงการสอนภาษาอังกฤษให้แกค่ นขับรถแทก็ ซ่ี การออกค่าย อาสาพัฒนาชุมชน หากจัดการอย่างเป็นระบบเอาจริงเอาจัง และค�ำนึงถึงบริบททางสังคม วัฒนธรรมของไทย ย่อมมีส่วนเสรมิ สรา้ งบคุ ลกิ ภาพของเดก็ ไทย ให้เกดิ คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ๒. ควรเสริมหรือบูรณาการการเรียนรู้ในช้ันเรียนกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน ท่ีเปิดโอกาสให้ครูและผู้เรียน ได้ร่วมกนั สร้างองค์ความรู้ขึน้ ใหม่ และได้แก้ปญั หาในสภาวะการท�ำงานทแ่ี ท้จรงิ ๓. ในการสอนและการเรียนรู้นั้น เราควรมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันหรือระหว่างกัน อาจเป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) หรือการเรียนรู้อื่นใดท่ีส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ในระดับสูง ครูควรเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้บอกเล่า บอกให้ทำ� และเช่อื เป็นการอ�ำนวยการและผูบ้ ริหารประสบการณ์การเรียนรู้ ๔. ควรเนน้ การบรู ณาการสาระหรอื กลมุ่ สาระวชิ า ควรมกี ารบรู ณาการเนอื้ หา วธิ กี ารสอน และกระบวนการเรยี นรู้ ทั้งนี้ ต้องอาศัยวิธกี ารทไ่ี ม่แยกสว่ น ไม่เอาวชิ าเปน็ ตวั ตัง้ จนลมื หรือละเลยธรรมชาติของความร้แู ละปัญญา ครูเองก็ตอ้ งปรบั ตวั และทำ� งานร่วมกัน ข้ามกลมุ่ สาระใหม้ ากขน้ึ หากวิเคราะห์นโยบายและหลักปรัชญาการศึกษาของไทย เราจะพบว่า แนวคิด หลักปรัชญา และนโยบาย ของไทยมีอย่างชัดเจนในการพัฒนาผู้เรียน เราเองก็มีจุดแข็งและสิ่งดี ๆ อยู่แล้ว ที่ชัดเจนคือการน้อมน�ำเอาหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการศึกษา การให้ความส�ำคัญแก่ผู้เรียนตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรแกนกลางและ แผนการศกึ ษาของชาติ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งนน้ั เนน้ การพฒั นาสมรรถนะทุกด้านอยา่ งสมดลุ (มูลนิธิชัยพัฒนา) นโยบายการศึกษาของไทยยังมุ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการกระจายอ�ำนาจจากส่วนกลางไป สู่ท้องถิ่น แต่ที่ยังขาดมากท่สี ดุ คอื การลงมอื ท�ำอยา่ งจริงจังและต่อเนื่อง ในระดบั สถานศึกษาและการสอนในหอ้ งเรียน 413 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สรุป การพัฒนาสมรรถนะข้ามพิสัยในระบบการศึกษาไทยน้ัน ควรลงมือท�ำอย่างเป็นระบบ ควรมีการพัฒนาครู ใหม้ คี วามรแู้ ละทกั ษะในการสอนทส่ี งู ขน้ึ ใหค้ รสู ามารถปรบั การสอนและลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารสอนตามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู ร ไดค้ รบถว้ นและมคี วามสมดลุ บทสรปุ สนั้ ๆ ยนื ยนั วา่ สมรรถนะดงั กลา่ วมคี วามสำ� คญั ไมแ่ พส้ มรรถนะดา้ นพทุ ธปิ ญั ญาพสิ ยั เพราะการสรา้ งพลเมอื งทดี่ ี ทม่ี ปี ระโยชนต์ อ่ ชาตแิ ละโลกนนั้ อาศยั การพฒั นาดา้ นหนง่ึ ดา้ นใด ยอ่ มนำ� มาซง่ึ ปญั หาในระยะยาว สามารถช่วยจรรโลงความมนั่ คงของชาติไดด้ กี ว่าการเนน้ วิชาการแตเ่ พียงอยา่ งเดียว บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. “ทักษะชีวิต” http://lifeskills.obec.go.th/lifeskills.php (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘). ส�ำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน. (ม.ป.พ.). (ม.ป.ป.). Bloom, B. S.; Engelhart, M. D.; Furst, E. J.; Hill, W. H.; Krathwohl, D. R. (1956). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. Handbook I: Cognitive domain. New York: David McKay Company. The Chaipattana Foundation. “Philosophy of Sufficiency Economy” http://www.chaipat.or.th/chaipat_english/index.php?option=com_content&view=article&id=4103&Itemid= 293 (Accessed 10 October 2014). UNESCO. (2014). “Mapping Transversal/Non-Cognitive Skills in Education” Available online at http://www.unescobkk.org/education/news/article/mapping-transversal non-cognitive-skills-in-education/ (Accessed 12 February, 2015). UNESCO. (2015). “Rethinking education – Towards a global common good?” Available online at http://www.unesco.org/new/en/education/themes/leading-the-international-agenda/rethinking-education/ resources/publications/ (Accessed 16 June 2015). 414 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สมาคมวิชาชพี ทางการศึกษา ดร.อสุ ิรา อโนมะศิริ ค�ำว่า “สมาคม” หมายถึงการก่อต้ังองค์กรตามมาตรา ๗๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพ่ือกระท�ำการใด ๆ อันมีลักษณะต่อเน่ืองร่วมกันและมิใช่เป็นการหาผลก�ำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน โดยต้องมี ข้อบังคับและจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ โดยสมาคมท่ีได้จดทะเบียนแล้ว จะมีฐานะเป็น นติ บิ คุ คลตามมาตรา ๘๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ หรือจดั ต้ังขึ้นตามกฎหมายอน่ื ได้อกี ค�ำว่า “วิชาชีพ” ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษามาตรา ๔ หมายความว่า วิชาชีพ ทางการศึกษาท่ีท�ำหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอน และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมท้ัง การรับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาปฐมวัย ขั้นพ้ืนฐาน และอุดมศึกษาที่ต่�ำกว่าปริญญาท้ังของรัฐ และเอกชน และการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา ตลอดจนการสนับสนุนการศึกษา ให้บริการหรือปฏิบัติงานเก่ียวเน่ืองกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศและบริหารการศึกษาในหน่วยงาน การศึกษาต่าง ๆ 415 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

“ผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา” หมายความวา่ ครู ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ผู้บรหิ ารการศกึ ษา และบคุ ลากร ทางการศึกษาอื่น ซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ สมาคมวชิ าชีพทางการศกึ ษามีลกั ษณะ ดงั น้ี ๑. เป็นองคก์ รท่ีผูป้ ระกอบวชิ าชีพเดยี วกันคือวชิ าชพี ทางการศึกษา มีสภาพปญั หาคล้ายกนั รว่ มกนั จัดตั้งขึ้น ท้งั ภาครฐั หรือเอกชน ๒. วิชาชีพนนั้ มีความจ�ำเปน็ ต่อสังคมและมีผลกระทบต่อสว่ นรวม ๓. เป็นนติ ิบคุ คลและมีกฎหมายรองรับในการดำ� เนนิ การทางวชิ าชพี ๔. มอี งคก์ รวิชาชพี เช่น พระราชบญั ญตั ิสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ มาตรา ๗ ใหม้ สี ภาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาเรยี กวา่ “ คุรสุ ภา ” ๕. มที รพั ยากรตลอดจนสง่ิ อำ� นวยความสะดวกตา่ ง ๆ ขององคก์ ารหรอื ของสมาคมเพอื่ ดำ� เนนิ งานตามวตั ถปุ ระสงค์ ๖. มจี รรยาบรรณแห่งวชิ าชีพซ่ึงเปน็ ทยี่ อมรบั ในวงการศกึ ษาและสงั คมทวั่ ไป เป้าหมายสมาคมวชิ าชพี ทางการศึกษา สมาคมวิชาชีพทางการศึกษา มีเป้าหมายเพื่อ การรวมตวั ของผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ประกอบกจิ กรรม ทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ วงการศกึ ษา สง่ เสรมิ ใหส้ มาชกิ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี มีความสามารถในการประกอบวิชาชีพสูงข้ึน เป็นการส่งเสริม ดา้ นวชิ าการสำ� หรบั วชิ าชพี สง่ เสรมิ สมาชกิ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ใหม้ ี การกินดอี ยู่ดี โดยการจดั สวสั ดกิ ารต่าง ๆ หรือดแู ลสทิ ธิประโยชน์ ของสมาชกิ ทกุ ๆ ดา้ น หรอื รว่ มมอื กนั เพอื่ ปกปอ้ งผลประโยชน์ ทางการศกึ ษาของประเทศหรอื ของสมาชิกในสมาคม บทบาทและหนา้ ทข่ี องสมาคมวิชาชพี ทางการศึกษา สมาคมวิชาชีพทางการศึกษา มบี ทบาทและหน้าที่สอดคล้องกบั เป้าหมายของสมาคม ดงั ตวั อยา่ งจากครุ สุ ภา สว่ นสมาคมอน่ื ๆ ตอ้ งมขี อ้ บงั คบั ทสี่ มาชกิ ของสมาคมชว่ ยกนั รา่ งขน้ึ เพอื่ กำ� หนดเปน็ นโยบายการบรหิ ารงานและดำ� เนนิ งาน ตามข้อบังคับและมติของท่ีประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคม 416 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ความเปน็ เอกภาพของสมาคมวชิ าชพี ทางการศึกษา กอ่ นพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ บงั คบั ใช้ จำ� นวนสมาคมทางการศกึ ษามไี มม่ าก เชน่ ภาครัฐ จัดตั้งสมาคมครูประถมศึกษาแห่งประเทศไทย ภาคเอกชน จัดต้ังสมาคมครูโรงเรียนราษฎร์แห่งประเทศไทย ท�ำหน้าทีป่ กป้องผลประโยชน์และสวสั ดกิ ารให้ครูโรงเรียนเอกชนตง้ั แตย่ งั ไมม่ ีหน่วยงานภาครฐั ต้งั ข้นึ มาคุ้มครองดูแล หลงั พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ กำ� หนดใหม้ กี ารกระจายอำ� นาจไปสเู่ ขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และก�ำหนดการมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบัน สังคมอ่ืน ท�ำให้มีการก่อตั้งสมาคมจากภาครัฐและเอกชนเป็นจ�ำนวนมาก เพ่ือจะได้มีส่วนร่วมในการท�ำงานและรักษา ผลประโยชน์ของมวลสมาชิก เมอื่ มกี ารจดั ตงั้ สมาคมเกดิ ขน้ึ จำ� นวนมาก ทำ� ใหม้ กี ารรวมตวั กนั เพอื่ ความเปน็ เอกภาพในการเสนอความคดิ เหน็ ตอ่ รฐั บาล เชน่ ภาคเอกชน มกี ารรวมตวั กนั จดั ตงั้ เปน็ สมาคมสภาการศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ประกอบดว้ ยสมาชกิ จากสมาคมและชมรมทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาเอกชนทกุ จงั หวดั จำ� นวน ๗๘ สมาคม ๕๕ ชมรม และในจำ� นวนสมาชกิ เหลา่ น้ี ได้มีการคัดเลือกกรรมการบริหาร เข้ามาท�ำหน้าท่ีบริหารงานในสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย จ�ำนวน ๑๔ สมาคม คอื ๑. สมาคมอนุบาลศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๒. สมาคมประถมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ๓. สมาคมสภาการศึกษาคาทอลกิ แห่งประเทศไทย ๔. มูลนิธแิ ห่งสภาคริสตจกั รในประเทศไทย ๕. สมาคมโรงเรยี นอาชีวศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ๖. สมาคมโรงเรียนเอกชนที่ใชภ้ าษาองั กฤษ เป็นส่อื การสอนแห่งประเทศไทย ๗. สมาคมโรงเรยี นนานาชาตแิ หง่ ประเทศไทย ๘. สมาคมโรงเรยี นการกศุ ลของวัดในพระพทุ ธศาสนาแหง่ ประเทศไทย ๙. สมาคมโรงเรียนสอนภาษาจนี แห่งประเทศไทย ๑๐. สมาคมสหพนั ธโ์ รงเรียนเอกชนแหง่ ประเทศไทย ๑๑. สมาคมครสู ถานศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ๑๒. สมาคมครโู รงเรียนคาทอลิกแห่งประเทศไทย ๑๓. สมาคมผ้บู รหิ ารสถานศึกษาเอกชนนอกระบบแหง่ ประเทศไทย ๑๔. สมาคมผูบ้ ริหารและครโู รงเรียนกวดวชิ าแห่งประเทศไทย 417 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ส่วนภาครัฐ การรวมตัวแบ่งเป็นระดับ เช่น สมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมครูประถมศึกษาจังหวัดต่าง ๆ ต่อมา สมาคมครูประถมศึกษาจากหลายจังหวัด รวมตัวกนั เปน็ สมาพันธ์สมาคมครูประถมศกึ ษาแห่งประเทศไทย และสมาคมสหภาพครแู ห่งชาติ ตอ่ มา ไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั สิ ภาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ และยกเลกิ พระราชบญั ญตั คิ รู ทั้งหมด ๖ ฉบับ เม่ือ พุทธศักราช ๒๔๘๘ – ๒๕๒๓ ซ่ึงพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษามาตรา ๗ ให้มีสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกว่า “คุรุสภา” ท�ำหน้าท่ีดูแลครูทุกสังกัดในระดับที่ต�่ำกว่าปริญญาท้ังของรัฐ และเอกชน นอกจากสมาคมวิชาชีพทางการศึกษาภายในประเทศดังกล่าวแล้ว ยังมีสมาคมวิชาชีพทางการศึกษาของ ต่างประเทศที่สำ� คญั และมีบทบาทในความร่วมมือกันระหว่างสมาคมในประเทศไทยกบั นานาประเทศ เช่น ๑. สภาครอู าเซียน (ASEAN Council of Teachers: ACT) ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙–๒๕๒๑ มกี ารประชมุ สมาพนั ธอ์ งคก์ รวชิ าชพี ครแู หง่ โลก (World Confederation of Organization of the Teaching Profession หรือ WCOTP) และการประชุมของสภาองค์การครูเสรีระหว่างประเทศ (International Federation of Free Teachers Union หรือ IFFTU) ทัง้ สององคก์ รมคี วามเห็นรว่ มกันทจ่ี ะผลักดันใหผ้ ู้น�ำ องค์กรครูจากประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงค์โปร์ มีเวทีส�ำหรับการแลกเปล่ียนความคิดเห็น ร่วมกันขององค์กรครูของประเทศในกลุ่มอาเซียน และได้มีมติให้จัดตั้งองค์กรครูแห่งอาเซียนอย่างเป็นทางการใช้ชื่อว่า “สภาครูอาเซียน” (ASEAN Council of Teachers: ACT) เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ท้งั น้ี เพื่อสนับสนุนแนวคิดและ เป้าหมายของอาเซียนให้เขม้ แข็งมากข้นึ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม รวมทง้ั สง่ เสริมความสมั พันธ์ อันใกลช้ ดิ ระหวา่ งครูในกล่มุ ประเทศอาเซียนดว้ ยกนั นอกจากประเทศผู้น�ำ ๕ ประเทศ ได้มีองค์กรครูอีก ๔ ประเทศ เข้าร่วมเป็นสมาชิกตามล�ำดับ คือ ประเทศ บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม ลาว และกัมพูชา และท้ัง ๙ ประเทศได้หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยมีประเทศสมาชกิ ไปรว่ มการประชุมประจ�ำป ี สมาชกิ ในประเทศไทย มี ๕ องค์กรทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั สภาครูอาเซียน ดงั น้ี ๑) ครุ ุสภา (KURUSAPHA) เป็นองค์กรหลกั ๒) สมาคมการศึกษาแหง่ ประเทศไทย (EST) ๓) สมาคมสหภาพครแู หง่ ประเทศไทย (NTTU) ๔) สมาคมครสู ถานศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (PSTAT) (ชอ่ื เดมิ สมาคมครโู รงเรยี นราษฎรแ์ หง่ ประเทศไทย) ๕) สมาคมผ้บู ริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแหง่ ประเทศไทย (SAAT) 418 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๒. องคก์ รการศึกษานานาชาติ (Education International: EI) EI กำ� เนดิ ขนึ้ ตงั้ แตว่ นั ที่ ๒๖ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๖ จากการรวมตวั ของ WCOTP (World Confederation of Organization of the Teaching Profession) และ IFFTU (International Federation of Free Teachers Union) ในรูปแบบการศกึ ษานานาชาติ EI เปน็ องคก์ รทที่ ำ� หนา้ ทแี่ ทนครแู ละลกู จา้ งทางการศกึ ษาอน่ื ๆ ทวั่ โลก เปน็ สหพนั ธข์ องสหภาพแรงงาน ที่ใหญ่ทีส่ ุดในโลก เป็นตวั แทนของลูกจา้ งทางการศึกษา ๓๐ ลา้ นคนใน ๔๐๑ องค์กรของสมาชิก ๑๗๒ ประเทศท่วั โลก EI เช่ือมครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าไว้ด้วยกัน และเป็นพันธมิตรกับสหภาพสมาพันธ์การค้าระหว่างประเทศ นอกจากน้ัน ยังมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับยูเนสโก รวมท้ังส�ำนักการศึกษานานาชาติ (IBE) และมีสถานะ เปน็ ท่ีปรึกษากบั สภามนตรเี ศรษฐกจิ และสังคม (ECOSOC) สหประชาชาติ บทบาทหน้าทขี่ อง EI คอื ๑) ส่งเสรมิ สนั ติภาพ ประชาธิปไตย ความยตุ ธิ รรมและความเท่าเทยี มกนั ของสังคมผ่านการพัฒนาการศึกษา โดยรวมของครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๒) แสวงหาสทิ ธสิ หภาพแรงงานของครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาเพอ่ื เพม่ิ เงอื่ นไขการทำ� งานและการจา้ งงาน อนั จะเปน็ การส่งเสริมสถานะใหเ้ ป็นมอื อาชีพ ๓) สง่ เสรมิ สทิ ธใิ นการศกึ ษาโดยไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ และไมก่ ดี กนั ทางเพศ อายุ ศาสนา ความคดิ เหน็ ทางการเมอื ง สถานะทางสังคมและเศรษฐกจิ หรอื ชาติกำ� เนิดและกลมุ่ ชาติพันธ์ุ ๔) ให้ความสนใจในการพฒั นาบทบาทความเป็นผ้นู ำ� และการมสี ่วนรว่ มของสตรใี นสังคม ๕) ส่งเสรมิ ความสามคั คใี นหมสู่ หภาพแรงงานทเี่ ปน็ ประชาธปิ ไตยและน�ำไปสกู่ ารพฒั นาของสหภาพการคา้ ระหวา่ งประเทศ EI กำ� หนดใหม้ กี ารประชมุ ใหญจ่ ากประเทศสมาชกิ ทว่ั โลกโดยผลดั กนั เปน็ เจา้ ภาพตามความพรอ้ ม ๔ ปี ตอ่ ครงั้ เพอ่ื เลอื กตง้ั คณะกรรมการดำ� เนนิ งาน เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ องคก์ รจากประเทศแคนาดา คอื The Canadian Teachers’ Federation เปน็ เจา้ ภาพจดั การประชมุ ณ กรงุ Ottawa ประเทศ Canada มตี วั แทนจากประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก ๕ ภมู ภิ าค เขา้ รว่ มประชมุ คอื ๑. อัฟรกิ า (Africa) ๒. เอเชยี – แปซิฟคิ (Asia – Pacific) ๓. ยุโรป (Europe) ๔. ละตนิ อเมริกา (Latin America) ๕. อเมริกา – แคริบเบยี นเหนือ (North America-Caribbean) 419 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สมาชกิ ในประเทศไทย มีตวั แทน EI ๓ องค์กร คือ ๑. สมาคมการศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย (EST) ๒. สมาคมสหภาพครูแห่งประเทศไทย (NTTU) ๓. สมาคมครูสถานศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (PSTAT) บรรณานุกรม วิลาวลั ย์ มาคุ้ม. (๒๕๕๘). สภาครอู าเซียน (ACT). ส�ำนกั งานเลขาธิการคุรุสภา. (เอกสารอดั ส�ำเนา). ส�ำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. (๒๕๔๖). พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๒๕๔๖. กรุงเทพมหานคร. (เอกสารอดั ส�ำเนา). “Albert Shanker, 1928-1997.” American Teacher. April 1997. Docherty, James. (2004). Historical Dictionary of Organized Labor. 2d ed. Lanham, Md.: Scarecrow Press. ISBN 0-8108-4911-9 Education International Constitution. (2007). No date. Accessed September 30. Guthrie, James W., ed. Encyclopedia of Education. (2002). 2d ed. New York: MacMillan Reference Books, ISBN 0-02-865594-X Osava, Mario. (2004). “Teachers of the World-United and Underpaid”. Inter Press Service. July 26. Quadrenniel Reports on the Activities of Non-Governmental Organizations in Consultative Status with the Economic and Social Council, Categories I and II. Quadrennial Reports, 1990-1993: Addendum. Report submitted through the Secretary-General pursuant to Economic and Social Council resolution 1296 (XLIV) of 23 May 1968. Committee on Non-Governmental Organizations. United Nations. March 20–31, 1995. Rütters, Peter. (2007). “International Trade Secretariats – Origins, Development, Activities.” In International Trade Union Organisations: Inventory of the Archive of Social Democracy and the Library of the Friedrich-Ebert-Stiftung. Peter Rütters, Michael Schneider, Erwin Schweißhelm, and Rüdiger Zimmermann, eds. Bonn, Germany: Friedrich-Ebert-Stiftung, no date. Accessed September 30. Towsley, Lona. (1991). The Story of the UNESCO/ILO 1966 Recommendation Concerning the Status of Teachers. Morges, Switzerland: World Confederation of Organizations of the Teaching Profession. 420 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

สะเต็มศึกษา ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ความหมายและความส�ำคญั สะเต็มศึกษา (Science Technology Engineering and Mathematics Education: STEM Education) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ท่ีมุ่งแก้ปัญหา ในชีวิตจริงเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียน ในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้องค์ความรู้ และทักษะกระบวนการด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมทั้ง นำ� ไปสูก่ ารสรา้ งนวัตกรรมในอนาคต การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เป็นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือโครงงานท่ีบูรณาการองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยผู้เรียนท�ำกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และผู้เรียนต้องมีโอกาสน�ำความรู้มาออกแบบ ชิ้นงานหรือวิธีการผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ ชวี ติ ประจำ� วัน 421 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม มีข้ันตอนหลกั ๆ ดังนี้ (๑) การระบุปัญหา (Identify a challenge) เป็นการท�ำความเข้าใจส่ิงท่ีเป็นปัญหาในชีวิตประจ�ำวันและ จ�ำเปน็ ต้องสร้างชิ้นงานหรือวธิ ีการเพอ่ื แกไ้ ขปญั หา (๒) การค้นหาแนวคิดท่ีเก่ียวข้อง (Explore ideas) เป็นการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ การแก้ปัญหาและประเมินความเป็นไปได้ ความคมุ้ ทุน ขอ้ ดแี ละขอ้ ดอ้ ย และความเหมาะสม เพือ่ เลือก แนวคิดหรอื วธิ กี ารท่เี หมาะสมทส่ี ดุ (๓) การวางแผนและพัฒนา (Plan and develop) เปน็ การก�ำหนดขั้นตอนยอ่ ยในการทำ� งาน เปา้ หมายและ ระยะเวลาในการดำ� เนนิ งานใหช้ ดั เจน รวมถงึ การออกแบบสรา้ งชนิ้ งานหรอื วธิ กี ารเพอื่ ใชใ้ นการแกป้ ญั หา (๔) การทดสอบและประเมนิ ผล (Test and evaluate) เป็นการทดสอบและประเมนิ การใชง้ านของชิน้ งาน หรือวิธีการเพื่อแก้ปัญหา โดยอาจน�ำผลท่ีได้มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพ ในการแก้ปัญหามากขน้ึ (๕) การน�ำเสนอผลลัพธ์ (Present the solution) หลังจากการพัฒนา ทดสอบ ปรับปรุง และประเมิน วิธีการแก้ปัญหาหรือผลลัพธ์ จนมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการแล้ว จ�ำเป็นต้องมีการน�ำเสนอผลลัพธ์ ทเ่ี กิดจากการดำ� เนนิ งาน เพ่อื ส่ือสารใหผ้ ู้อนื่ เขา้ ใจแนวคิดและวธิ กี ารในการแก้ปญั หา อย่างไรกต็ าม ขนั้ ตอนทัง้ หมดสามารถสลับไปมาหรอื ย้อนกลับได้ ภาพท่ี ๑ การทำ� กจิ กรรมสะเตม็ เรอ่ื งรถแข่งมหาสนุกของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 422 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ภาพที่ ๒ แผนภาพแสดงกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ระดับการจัดการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา การจดั การเรยี นร้ตู ามแนวทางสะเต็มศึกษา เป็นการบรู ณาการระหวา่ งวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ กับชีวิตประจ�ำวันและการประกอบอาชีพ โดยระดับการบูรณาการท่ีอาจเกิดข้ึนในช้ันเรียน สะเตม็ ศกึ ษาสามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๔ ระดบั ไดแ้ ก่ การบรู ณาการภายในวชิ า (Disciplinary integration) การบรู ณาการแบบ พหุวิทยาการ (Multidisciplinary integration) การบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary integration) และ การบูรณาการแบบขา้ มสาขาวิชา (Transdisciplinary integration) ดังแสดงในภาพท่ี ๓ ภาพที่ ๓ แผนภาพระดับของการจัดการเรยี นร้แู บบบูรณาการ 423 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

การบรู ณาการภายในวชิ า คือ การจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะของวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี แยกจากกนั ผสู้ อนแตล่ ะวชิ าตา่ งจดั การเรยี นรใู้ หแ้ กผ่ เู้ รยี นตามรายวชิ าของตนเอง โดยเนน้ การบรู ณาการเนอื้ หาภายในวชิ า กบั ชวี ิตประจำ� วนั การบูรณาการแบบพหวุ ทิ ยาการ คือ การจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะของวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี แยกจากกัน โดยมีหัวข้อหลัก (theme) ที่ผู้สอนทุกวิชาก�ำหนดร่วมกัน การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียน เหน็ ความเชอื่ มโยงของเนอื้ หาในวชิ าตา่ ง ๆ กบั สงิ่ ทอ่ี ยรู่ อบตวั เชน่ ถา้ ผสู้ อนแตล่ ะวชิ ากำ� หนดหวั ขอ้ รว่ มกนั วา่ จะใชก้ ระตบิ ขา้ ว เป็นหัวข้อหลักในการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนวิทยาศาสตร์สามารถแยกสอนกระติบข้าวเพื่อสอนเรื่องการถ่ายโอนความร้อน ผู้สอนคณิตศาสตร์สามารถแยกสอนกระติบข้าวในเร่ืองรูปทรง และให้นักเรียนหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของกระติบข้าว ผสู้ อนเทคโนโลยสี ามารถแยกสอนเรอ่ื งกระตบิ ขา้ วซง่ึ จดั เปน็ เทคโนโลยอี ยา่ งงา่ ยทม่ี นษุ ยส์ รา้ งขน้ึ เพอ่ื อำ� นวยความสะดวก หรอื ตอบสนองความตอ้ งการทจี่ ะเกบ็ รกั ษาความรอ้ นและความชืน้ ของข้าวเหนียว การบรู ณาการแบบสหวิทยาการ คือ การจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะอย่างน้อย ๒ วิชาร่วมกันโดยกิจกรรมมีการเช่ือมโยง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวชิ า เพอ่ื ให้นกั เรียนไดเ้ หน็ ความสอดคล้องกนั ในการจัดการเรียนรูแ้ บบน้ี ผสู้ อนในวิชาทเ่ี กย่ี วข้อง ต้องท�ำงานร่วมกันโดยพิจารณาเนื้อหาหรือตัวช้ีวัดท่ีสอดคล้องกันและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาของตนเอง โดยให้เชอ่ื มโยงกับวิชาอืน่ ผ่านเน้ือหาหรอื ตวั ช้ีวัดนัน้ เชน่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ หลงั จากเรยี นเรื่องการถา่ ยโอนความร้อนและ ฉนวนกันความร้อน ครูก�ำหนดให้นักเรียนท�ำการทดลองเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเก็บความร้อนของกระติบข้าว โดยขอให้ครคู ณิตศาสตร์สอนเรือ่ งการหาพืน้ ที่ผวิ และปรมิ าตรของรปู ทรงต่าง ๆ กอ่ น จากน้นั นักเรียนเร่ิมท�ำการทดลอง ในวิชาวิทยาศาสตร์ เพ่ือศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอุณหภมู ทิ เ่ี ปลี่ยนไปกับพื้นทผ่ี ิวและปรมิ าตรของรปู ทรง การบรู ณาการแบบขา้ มสาขาวิชา คอื การจดั การเรยี นรทู้ ช่ี ว่ ยผเู้ รยี นเชอื่ มโยงความรแู้ ละทกั ษะทเี่ รยี นรจู้ ากวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมกับชีวิตจริง โดยผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้และทักษะเหล่านั้นในการแก้ปัญหา ทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ในชมุ ชนหรอื สงั คม และสรา้ งประสบการณก์ ารเรยี นรขู้ องตวั เอง ผสู้ อนจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามความสนใจ หรอื ปญั หาของผเู้ รยี น โดยผสู้ อนอาจกำ� หนดกรอบหรอื หวั ขอ้ หลกั ของปญั หากวา้ ง ๆ ใหผ้ เู้ รยี นระบปุ ญั หาทเี่ ฉพาะเจาะจง และวิธีการแก้ปัญหาเอง ทั้งนี้ ในการก�ำหนดกรอบของปัญหาให้ผู้เรียนศึกษานั้น ผู้สอนต้องค�ำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 424 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๓ ปจั จยั เกี่ยวกบั การเรยี นรขู้ องผเู้ รียน ไดแ้ ก่ (๑) ปัญหาหรอื ค�ำถามท่ีผ้เู รียนสนใจ (๒) ตัวชีว้ ัดในวชิ าต่าง ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง และ (๓) ความรูเ้ ดิมของผเู้ รยี น เพื่อให้ปัญหาที่ผู้เรียนศึกษามา สอดคล้องกับตัวชี้วัดในวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้สอนแต่ละวิชาต้องท�ำงาน รว่ มกัน เพอ่ื ชว่ ยแนะนำ� ผูเ้ รยี นในการคน้ ควา้ หาความรแู้ ละสร้างประสบการณก์ ารเรียนรู้ใหส้ อดคลอ้ งกับตัวชีว้ ัด การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem-based) หรอื โครงงานเปน็ ฐาน (Project-based) มแี นวทาง ใกล้เคียงกับแนวทางการบูรณาการแบบนี้ หากพิจารณาการใช้กระติบข้าวเป็นหัวข้อหลักในการเรียนรู้สะเต็มศึกษา ผสู้ อนสามารถจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการแบบขา้ มสาขาวชิ าโดยกำ� หนดกรอบปญั หาหรอื สถานการณท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การพฒั นา เช่น การใช้กระติบข้าวในร้านอาหารที่มักมีการบรรจุข้าวในกระติบข้าว ซ่ึงจะมีผลท�ำให้ท�ำความสะอาดยาก และผู้เรียน ต้องออกแบบกระติบข้าวหรือวิธีการท่ีจะท�ำให้กระติบข้าวมีคุณสมบัติลดการติดของข้าวเหนียวและเก็บความร้อนและ ความชน้ื ของข้าวเหนียว หลังจากท่ผี ูส้ อนน�ำเสนอปัญหาดงั กล่าวแลว้ ผเู้ รยี นตอ้ งก�ำหนดแนวทางในการแกป้ ัญหาโดยใช้ แนวคดิ และทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีผา่ นกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เครือข่ายสะเตม็ ศึกษาประเทศไทย เครือขา่ ยสะเตม็ ศกึ ษา ประกอบดว้ ยหน่วยงาน และบคุ ลากรทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ระบบการศกึ ษาของไทยนบั ตง้ั แต่ โรงเรียน สถาบันอาชีวศึกษา สถาบันอุดมศึกษาจนถึง ศูนย์ศึกษาตลอดชีวิตขององค์กรภาครัฐและเอกชน ซึง่ ตอ้ งการดา้ นก�ำลงั คน (STEM workforce) เครอื ขา่ ยสะเตม็ ศกึ ษา จดั ตงั้ ขน้ึ เพอ่ื ตอบสนอง ยุทธศาสตร์ที่มุ่งหวังจะขับเคล่ือนสะเต็มศึกษาให้เกิดขึ้น ในประเทศไทยอยา่ งเปน็ รปู ธรรม โดยการประสานความรว่ มมอื ระหว่างหน่วยงานและองค์กรท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชนผ่านทางศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ (National STEM Education Center: NSEC) และศูนย์ ภาพที่ ๔ แผนภาพแสดงหนว่ ยงานหลกั และเครือข่ายระบบ สะเต็มศึกษาภาค (Regional STEM Education Center: สนบั สนุนของเครอื ข่ายสะเตม็ ศึกษาประเทศไทย RSEC) ที่กระจายอยู่ใน ๑๒ จังหวัด ท่ัวประเทศ ท้ังนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จะระดมการสนับสนุนจากหน่วยงานในเครือข่ายเพ่ือส่งเสริมการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ทบี่ รู ณาการวศิ วกรรม เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตรแ์ ละเทคโนโลยขี องนกั เรยี นไทยอยา่ งเปน็ ระบบ 425 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

วตั ถปุ ระสงค์ของการสร้างเครอื ขา่ ยสะเตม็ ศกึ ษาประเทศไทย ประกอบด้วย ๑. เพอื่ ขบั เคลอ่ื นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วศิ วกรรม และเทคโนโลยเี ชงิ บรู ณาการ ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา โดยความร่วมมือจากหนว่ ยงานทัง้ ภาครฐั และภาคเอกชน ๒. เพอ่ื สรา้ งความรว่ มมอื ดา้ นวชิ าการทเี่ ขม้ แขง็ และเปน็ มอื อาชพี ในการสง่ เสรมิ การจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เครือข่ายสะเต็มศึกษาประเทศไทยเป็นเครือข่ายที่พัฒนาขึ้น เพ่ือขับเคล่ือนแนวคิดสะเต็มศึกษาให้เกิดขึ้น อยา่ งเปน็ รปู ธรรมในชั้นเรยี นทกุ ระดับชั้น เพ่ือยกระดับการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ ทง้ั น้ี หนว่ ยงานหลกั ในการจดั การเรยี นรแู้ บบสะเตม็ ศกึ ษาประกอบดว้ ย ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาแหง่ ชาติ ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาภาค ๑๓ ศูนย์ โรงเรียนเครือข่ายสะเตม็ ศึกษา และเครอื ข่ายระบบสนับสนุน ศูนย์สะเตม็ ศึกษาแหง่ ชาติ ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาแหง่ ชาติ (National STEM Education Center: NSEC) เปน็ หนว่ ยงานในกำ� กบั ดแู ลของ สสวท. ด�ำเนินงานโดยคณะกรรมการอ�ำนวยการ โครงการฯ ซึ่งมีผู้อ�ำนวยการ สสวท. เป็นประธาน และมีคณะท�ำงาน ๕ คณะ ซึง่ ท�ำงานขบั เคล่ือนโครงการฯ ประกอบด้วย ๑. คณะท�ำงานฝ่ายเผยแพร่ความเข้าใจและแนวคดิ สะเตม็ ศึกษา ๒. คณะทำ� งานฝา่ ยสร้างเครือข่ายการดำ� เนนิ งานสะเต็มศกึ ษา ๓. คณะทำ� งานฝา่ ยพฒั นาศกั ยภาพครใู หส้ ามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการ ในรปู แบบสะเตม็ ศกึ ษา ๔. คณะท�ำงานฝา่ ยพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรูต้ ามแนวทางสะเต็มศึกษา ๕. คณะท�ำงานฝ่ายสนบั สนนุ และติดตามผล การจัดการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา คณะทำ� งานทง้ั ๕ คณะทำ� หนา้ ทใ่ี นการพฒั นาระบบสนบั สนนุ การขบั เคลอ่ื นสะเตม็ ศกึ ษาแกศ่ นู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาภาค และโรงเรียนเครือข่ายสะเต็มศึกษา การสนับสนุน ที่สสวท.จะจัดส่งให้โรงเรียนในเครือข่าย ประกอบด้วย ส่ือในการ สร้างความตระหนักและให้ความรู้เร่ืองสะเต็มศึกษา และนิทรรศการในพ้ืนท่ีหลักสูตรพัฒนาผู้บริหาร ครูและบุคลากร ทางการศกึ ษาในจงั หวัด การพฒั นาวิทยากร และเครอื ขา่ ยพเ่ี ล้ียงเพื่อสนับสนุนในพืน้ ท่ี และระบบติดตามและประเมนิ ผล นอกจากน้ี ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติยังเป็นแหล่งเรียนรู้เก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาให้แก่ครู นกั เรยี น และบุคคลทัว่ ไปทีส่ นใจ และเปน็ ศูนย์กลางการบริหารจดั การใหแ้ ก่ ศนู ย์สะเต็มศึกษาภาค ๑๓ ศนู ย์ 426 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ศูนย์สะเตม็ ศกึ ษาภาค ศูนยส์ ะเตม็ ศึกษาภาค (Regional STEM Education Center: RSEC) เปน็ ศนู ย์บรหิ ารจดั การและสนับสนุน ทางวชิ าการส�ำหรับการจดั การเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษาในทอ้ งถนิ่ ท่ีรับผิดชอบ โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน มีบทบาท ขบั เคลอ่ื น เผยแพร่สนับสนนุ โรงเรียนเครือขา่ ยสะเตม็ ศึกษาและหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วข้องในท้องถน่ิ และเผยแพรแ่ นวคิดและ การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ท่ีสนใจ ทั้งน้ี การบริหารงานของศูนย์สะเต็มศึกษาภาค อาศัยคณะกรรมการและคณะท�ำงานในการจัดท�ำแผนยทุ ธศาสตร์บรหิ ารงบประมาณและวางแผนโครงการ เม่ือ พุทธศักราช ๒๕๕๗ สสวท. ได้จัดต้ังศูนย์สะเต็มศึกษาภาคจ�ำนวน ๑๓ ศูนย์ กระจายใน ๑๒ จังหวัด ดงั ในภาพที่ ๕ ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาภาคทง้ั ๑๓ ศนู ย์ ตงั้ อยใู่ นโรงเรยี นมธั ยมขนาดใหญใ่ นจงั หวดั ทไี่ ดร้ บั เลอื ก (ดงั รายละเอยี ดในตารางท่ี ๑) เพื่อเป็นศูนย์สนับสนุนด้านวิชาการให้แก่ครู และบุคลากรทางการศึกษาในภูมิภาค และเผยแพร่แนวการจัดการเรียนรู้ ตามแนวทางสะเต็มศึกษาภายในพื้นที่ท่ีรับผิดชอบ นอกจากนี้ ศูนย์สะเต็มศึกษาภาคยังท�ำหน้าท่ีเป็นศูนย์ประสานงาน ในการด�ำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่าง สสวท. บุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงานด้านการศึกษา ท้ังในระดับ การศึกษาขั้นพ้ืนฐานและอุดมศึกษาในภูมิภาคหน่วยงานภาครัฐ เช่น ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน พลังงานจังหวัด และ หน่วยงานภาคเอกชนต่าง ๆ ภาพที่ ๕ ภาพการกระจายของศนู ย์สะเตม็ ศึกษาภาค 427 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

บทบาทหลกั ของศนู ย์สะเต็มศกึ ษาภาค ไดแ้ ก่ - เป็นแหลง่ แลกเปลย่ี นข้อมลู เขตเพ่ือใหเ้ กิดการเรียนร้รู ว่ มกนั ในเขตภาค - เปน็ ศนู ยก์ ลางขอ้ มลู สอื่ ประชาสมั พนั ธส์ อื่ การเรยี นรเู้ กยี่ วกบั สะเตม็ ศกึ ษาในเขตภาคประสานงานกระจาย ข่าวสารระหวา่ ง สสวท. กับจงั หวดั - เปน็ ศูนย์ประสานงานทตู สะเตม็ ศกึ ษาและหน่วยงานความรว่ มมือในเขตภาค นอกจากการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาในโรงเรียนเครือข่าย ๖ โรงเรียน ศูนย์สะเต็มศึกษาภาคแต่ละศูนย์ ยังได้รับมอบหมายให้เผยแพร่และส่งเสริมการจัดการ เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา ใหแ้ ก่จงั หวดั ทรี่ ับผดิ ชอบ โดยท�ำงานรว่ มกับหนว่ ยงานใน สสวท. ตารางที่ ๑ แสดงรายช่ือศนู ย์สะเตม็ ศึกษาภาค ที่ ภมู ภิ าค จังหวัด โรงเรียนท่ีเปน็ ศนู ย์ มหาวิทยาลัยพเี่ ลย้ี ง ๑ เหนอื ตอนบน เชยี งใหม่ ยุพราชวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ๒ เหนือตอนล่าง พิษณุโลก พิษณโุ ลกพิทยาคม มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ๓ ตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน (๑) อุดรธานี อุดรพทิ ยานกุ ลู มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๔ ตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน (๒) ขอนแกน่ แกน่ นครวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ๕ ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (๑) นครราชสีมา สรุ นารีวิทยา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ๖ ตะวันออกเฉียงเหนือตอนลา่ ง (๒) อุบลราชธานี เบญ็ จะมะ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี ๗ ตะวนั ออก ชลบรุ ี ชลราษฎรอำ�รุง มหาวิทยาลัยบรู พา ๘ กลางตอนบน นนทบุรี ศรีบณุ ยานนท์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ๙ กลางตอนลา่ ง นครปฐม พระปฐมวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ๑๐ กรงุ เทพ ฯ (๑) กรงุ เทพมหานคร สามเสนวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ๑๑ กรงุ เทพ ฯ (๒) กรงุ เทพมหานคร บดนิ ทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ๑๒ ใต้ตอนบน นครศรธี รรมราช เบญจมราชูทศิ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ๑๓ ใตต้ อนล่าง สงขลา หาดใหญว่ ิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ, ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (๒๕๕๑). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ.๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (๒๕๕๗). คู่มอื เครือขา่ ยสะเต็มศึกษา. กรงุ เทพมหานคร. International Technology and Engineering Educators Association. (2001). Standard for Technology literacy. สืบค้นเม่ือ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ จาก http://www.iteea.org/TAA/PDFsxstnd.pdf Jo Ann Vasquez, Michael Comer, Cary Sneider. (2013). Stem Lesson Essentials, Grades 3-8: Integrating Science, Technology, Engineering, And Mathematics. Person Education. n.p. 428 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

“สัตตศิลา” หลัก ๗ ประการของการเปลยี่ นผ่านการศึกษา ศาสตราจารย์กติ ติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สนิ ลารัตน์ รองศาสตราจารย์ ดร.สิริพันธุ์ สวุ รรณมรรคา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สร้อยสน สกลรักษ์ “สัตตศิลา” เป็นนวัตกรรมการเปล่ียนผ่านการศึกษา เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ ท่ีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาข้ึนบนฐานการวิจัยบูรณาการ โดยใช้กระบวนการ “การเปลี่ยนผ่านการศึกษา” (education transformation) โดยความรว่ มมอื ของสถาบนั การศกึ ษาในสงั คมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ๓ ปี นบั แต่ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๘-๒๕๕๐ จนไดก้ ลยทุ ธก์ ารขบั เคลอื่ นนวตั กรรม “สตั ตศลิ า” ไปใชใ้ นโรงเรยี น สอดคลอ้ งและตอบสนองยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาประเทศ และทิศทางการเปลยี่ นแปลงของโลกทีเ่ ขา้ สู่ยคุ เศรษฐกจิ ฐานความรู้ 429 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

นวตั กรรมตน้ แบบ ผลการนำ� ร่อง คมู่ อื การใช้นวตั กรรม กลยทุ ธ์การขับเคลื่อน ภาพประกอบเอกสารเกี่ยวกบั การวิจัย ๔ เลม่ เศรษฐกจิ ฐานความรู้ เศรษฐกิจฐานความรู้ เป็นแนวคิดและกิจกรรมการด�ำเนินงานในสังคมของประเทศตะวันตกท่ีได้พัฒนา ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว พร้อมกับน�ำความรู้นั้นมาสร้างขึ้นเป็นผลผลิต ทางเศรษฐกิจและสังคม ท�ำให้ผลผลิตท่ีพัฒนาข้ึนเป็นผลผลิตท่ีเกิดจากความรู้เป็นฐานหลัก และเม่ือความรู้และผลผลิต ดังกล่าวขยายตัว จึงผลักดันให้การเปล่ียนแปลงในสังคมเดินตามไปในทิศทางด้านน้ัน ทั้งในสังคมของตะวันตกเอง และ ไปกระตุ้นผลักดันให้โลกซีกอ่ืน ๆ ไม่ว่าจะเป็นซีกตะวันออก ละตินอเมริกา และแอฟริกา เปล่ียนแปลงตามไปด้วย เพือ่ ใหส้ ังคมของโลกอืน่ สามารถตามทนั เพื่อเปน็ ผ้บู รโิ ภคผลผลิตอนั เกดิ จากเทคโนโลยีใหมน่ นั้ ได้ โดยเหตนุ ้ี เศรษฐกจิ ฐานความรู้ จงึ เปน็ เศรษฐกจิ ทใี่ ชป้ ระโยชนจ์ ากความรไู้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เพอ่ื ประโยชน์ ในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ แตโ่ ดยเหตทุ คี่ วามรทู้ ใ่ี ชเ้ ปน็ ความรดู้ า้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ปน็ หลกั (แม้ในระยะหลังจะมีความรู้ด้านสังคม และวัฒนธรรมบ้าง แต่ก็มีผลไม่มากนัก) จึงท�ำให้การเติบโตของเศรษฐกิจ ฐานความรู้ข้ึนอยู่กับประเทศของตะวันตกเป็นหลัก เมื่อน�ำความรู้น้ันมาใช้กับการสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจและธุรกิจ จึงเป็นแรงผลักดันให้ผลผลิตเหล่านั้นกระจายไปทั่วโลกด้วยระบบของเทคโนโลยีและการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้มีการกระตุ้น ผลักดัน เร่งรัดให้ประเทศต่าง ๆ ได้เรียนรู้เทคโนโลยีและการใช้ผลผลิตเหล่านี้อย่างกว้างขวาง เพ่ือประโยชน์ในการให้คนในประเทศอ่ืน ๆ สามารถใช้เทคโนโลยีของตะวันตกได้ด้วย และเพ่ือการกระจายสินค้า ของประเทศตะวันตกไปพร้อมกันด้วย แต่ส�ำหรับแนวคิดของตะวันออกแล้วเศรษฐกิจฐานความรู้เป็นเศรษฐกิจ ที่มีความผสมกลมกลืนกับพื้นฐานความก้าวหน้าและการพัฒนาของประเทศตะวันออกเอง โดยมีการน�ำกระบวนการ ทางความรู้ท่ีสะสมไดเ้ ป็นเวลาอันยาวนานของโลกตะวนั ออกมาใช้ในระบบของเศรษฐกิจด้วย 430 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ตอ้ งเปลย่ี นวฒั นธรรมของการศึกษา การศึกษาของไทยแต่เดิม เป็นการศึกษาแบบสมดุล คือ ความรู้ ความคิด มีวิธีการสอดคล้องและ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสังคม ความรู้น�ำไปสู่ผลผลิตและการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับสังคม ทั้งบ้าน วัด และวัง สอนให้รู้ และสอนให้น�ำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ความรู้ในการใช้ชีวิตปกติของคนนั้น ส่งผลต่อพฤติกรรม ไปในทางเดียวกนั สังคมไทยจึงเปน็ สังคมฐานความรเู้ ช่นกนั แตเ่ ป็นฐานความรทู้ อ้ งถิน่ ตอ่ เม่อื มกี ารรบั ความรู้ ความคิด และแบบแผนชีวิตของตะวันตกเข้ามา โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๕ การศึกษาของไทยจึงเป็นลักษณะการศึกษา แบบตา่ งประเทศมาตลอด สง่ ผลใหเ้ กดิ วฒั นธรรมการศกึ ษาและวฒั นธรรมชวี ติ ทเี่ ปน็ วฒั นธรรมการรบั (Receiving Culture) ท�ำให้สังคมไทยท้งั ดา้ นความคิด ดา้ นการศกึ ษา ด้านเศรษฐกจิ เปน็ ไปในรูปแบบของการรับเอาและการบริโภคส่ิงท่ที �ำข้ึน และมาจากต่างประเทศโดยตลอดตราบจนปจั จบุ ันก็ยงั มีลักษณะอยา่ งนอ้ี ยูไ่ มน่ ้อย ถา้ ปรากฏการณเ์ ศรษฐกจิ ฐานความรูไ้ มเ่ กดิ ขึ้นอย่างกว้างขวางรวดเรว็ อยา่ งท่ีเปน็ อยู่ วัฒนธรรมการรับกย็ ังคง ดำ� เนนิ ไปไดบ้ า้ ง แตก่ ารเตบิ โตของความรแู้ ละการใชค้ วามรกู้ บั เศรษฐกจิ เชน่ ทก่ี ลา่ วมาน้ี ทำ� ใหเ้ ราตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ตอ้ งสรา้ งสรรค์ ด้วยตนเองและต้องมีฐานคิดที่เป็นไทย เราจะต้องเปล่ียนวัฒนธรรมเป็นวัฒนธรรมของการสร้าง (Producing culture) คือ ความคิด การศึกษา เศรษฐกิจและอ่ืนๆ วัฒนธรรมของการสร้าง ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธตะวันตกหรือเป็นการปิดประเทศ แต่เป็นการเรียนรู้ของเราและสร้างสิ่งใหม่ข้ึนในระบบของเราเอง (Sinlarat, 2006) นั่นคือเราต้องรู้เท่าทันส่ิงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทง้ั ในเชิงความคิด เศรษฐกิจ และการเมือง เราตอ้ งคดิ สรา้ งระบบและผลผลิตของเราเองได้ และให้ได้เพยี งพอทีจ่ ะแข่งขัน กับคนอ่ืนโดยมีพื้นฐานของเราเอง การศึกษาของเราท่ีผ่านมาตกอยู่ในกระแสทางวัฒนธรรมการรับเป็นหลักใหญ่เด็ก และคนของเราจึงกลายเป็นผู้บริโภคความคิด ความรู้ และพฤติกรรมของฝร่ังเป็นหลัก การท่ีจะเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจ ฐานความร้ไู ดอ้ ยา่ งเท่าทัน และเป็นอสิ ระได้จงึ จำ� เปน็ ต้องปรับการศึกษาให้เปน็ วัฒนธรรมของการสร้างให้ได้ 431 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

การเปลย่ี นผ่านการศึกษา การเปลยี่ นผา่ นการศกึ ษา หมายถงึ การเปลยี่ นแปลงวฒั นธรรม ความเชอื่ และวธิ กี ารทำ� งานของผมู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง ทางการศกึ ษา ทท่ี กุ ฝา่ ยทกุ หนว่ ยงานตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นคา่ นยิ มและชดุ ความเชอื่ ทเ่ี ปน็ พนื้ ฐานของการปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั จนเกดิ ความเขา้ ใจในหลกั การทำ� งาน เปา้ หมาย และวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ ตี่ รงกนั อนั นำ� ไปสกู่ ารตง้ั ใจปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตามทิศทางและเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ โดยใช้วิธีการด�ำเนินงานที่วางแผนร่วมกันไว้ต้ังแต่ต้น การจะเปล่ียนผ่านการศึกษา ให้ส�ำเร็จต้องจัดการใหน้ กั การศกึ ษาปรับ ๓ ดา้ นหลัก คอื (๑) การปรับกระบวนทัศน์ทางการศึกษา (New Educational Paradigm) โดยเปลี่ยนแนวคิด ปรัชญา การเรียนรู้ และการบริหารจัดการศึกษาใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้มีคุณสมบัติที่สามารถอยู่ในสังคมใหม่ ได้อยา่ งรเู้ ท่าทันและมีความสขุ เน้นใหผ้ ้เู รียนเขา้ ส่วู ฒั นธรรมการสรา้ งสรรค์มากกวา่ การรับและปรบั ใช้ (๒) การปรับระบบการเรียนรู้ (New Learning System) เพ่ือสร้างสภาพแวดล้อมท่ีเอื้ออ�ำนวยต่อการเกิด ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งผ้เู รียนรกู้ บั ผมู้ ีสว่ นเกี่ยวข้อง ในทิศทางท่ีจะกอ่ ให้เกดิ การเรยี นรูอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล อย่างต่อเนื่อง โดยเนน้ ให้ผเู้ รยี นสร้างสรรคด์ ้วยตนเอง (๓) การปรบั โครงสรา้ งพน้ื ฐานการเรยี นรู้ (New Learning Infrastructure) โดยใชเ้ ทคโนโลยใี นกระบวนการเรยี นรู้ การวางระบบบรหิ ารจดั การ เพอื่ ให้ทกุ ภาคสว่ นส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รียนและครเู กดิ การเรยี นรอู้ ย่างสรา้ งสรรค์ เครื่องมือส�ำหรับการเปล่ียนผ่านการศึกษาเพ่ือสร้างให้คนไทยเป็นคนที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานความรู้ได้ ที่คณะผู้วิจัยร่วมกันพัฒนาขึ้นคือ นวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านการศึกษาท่ีเรียกว่า “สัตตศิลา” หรือหลักการเปลี่ยน ผา่ นการศกึ ษา ๗ หลัก ดังค�ำอธิบายแต่ละหลกั ประกอบดว้ ยแผนภาพตอ่ ไปนี้ นวัตกรรมการเปลย่ี นผ่านการศึกษา “สตั ตศิลา” นวตั กรรมการศึกษา เป้าหมายหลัก การพัฒนาสกู่ ารปฏิบัตทิ ีเ่ ปน็ เลศิ การบรหิ ารจัดการแบบบรู ณาการ (iEMS) เด็ก ๔ ร. สังคม KBE หลักสูตร Fun Find Focus Fulfillment (4F) รู้ทนั รนู้ ำ�โลก การเรียนการสอนทเ่ี น้นผู้เรียนเป็นสำ�คญั (CRP+) เรียนรู้ชำ�นาญ เรยี นรู้ เชย่ี วชาญปฏบิ ตั ิ สรา้ งความรู้ การพฒั นาทักษะการเรยี นรสู้ ารสนเทศ (NET) ใช้ความรู้ บทบาทของผเู้ ก่ียวขอ้ ง (3M) รวมพลงั สรา้ งสรรคส์ งั คม รักษ์วัฒนธรรมไทย ใฝส่ ันติ ผลผลิต ประสทิ ธภิ าพ แขง่ ขนั ได้ 432 สารานุกรมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

หลกั ท่ี ๑ คณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องผเู้ รยี นแบบ ๔ ร. รทู้ นั รนู้ ำ�โลก เรยี นรชู้ ำ�นาญ เชย่ี วชาญปฏบิ ตั ิ รวมพลงั สรา้ งสรรค์ สงั คม รกั ษ์วฒั นธรมไทย ใฝ่สนั ติ เรยี นร้ชู ำ�นาญ เชี่ยวชาญปฏิบัติ รทู้ นั รนู้ ำ�โลก รวมพลงั สรา้ งสรรคส์ งั คม ๑. การคดิ ใหม่ คิดสร้างสรรค์ ๑. ทักษะการแสวงหาความรู้ ๑. การทำ�งานแบบรว่ มมอื เปน็ ทมี คิดแจ้งแทงตลอด ๒. ทกั ษะการใชแ้ ละจัดการความรู้ และสรา้ งเครอื ขา่ ย ๒. จิตมุง่ คุณภาพ มาตรฐาน ๓. ทักษะทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๒. ความสามารถในการจัดการ และความเป็นเลศิ ๔. ทกั ษะการวเิ คราะห์และแก้ปญั หา ๓. การแขง่ ขัน/อดทน/สู่ส่งิ ยาก ๕. ทกั ษะทางภาษาและการสอ่ื สาร ๔. การเห็นแกส่ ่วนรวม เปน็ ธรรม และยัง่ ยืน รักษ์วฒั นธรรมไทย ใฝส่ นั ติ ๑. มีความรกั และภูมิใจในความเปน็ ไทย รกั ความสงบสนั ติ หลกั ท่ี ๒ การจดั หลกั สตู รทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั แบบ ๔ F Fun: สนกุ Find: คน้ พบความถนดั และศกั ยภาพ Focus: มงุ่ มน่ั พฒั นา Fulfill: เติมเตม็ ตามศกั ยภาพ ระดบั ชนั้ การตัดสนิ ใจเลอื ก EnErniclahrgaend ปฎิสัมพนั ธ์ หลกั สูตร Theme 433 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

หลักที่ ๓ การจดั การเรยี นการสอนทเ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ สำ�คัญแบบ CRP Crystal-based Instructional Model สำ�หรับวชิ า ทีเ่ น้นการใช้ความรู้ความเข้าใจ Research-based Instructional Model สำ�หรบั วิชาทเ่ี น้นการฝึกทักษะปฏบิ ัติ Productivity-based Instructional Model สำ�หรับวชิ าทเ่ี นน้ การใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะผลิตช้ินงาน แนวคิดทฤษฎรี ากฐาน รปู แบบ ขน้ั การเรียนการสอน เปา้ หมาย ๑. การเรียนรูแ้ บบกำ�กับตนเอง C ๑. วางแผนและเรยี นรู้ คณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์แบบ ๔ ร. ๒. การเรยี นรแู้ บบนำ�ตนเอง ๒. นำ�เสนอและอภปิ ราย ๑. ร้ทู ัน รู้นำ�โลก ๓. การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือ R ๓. ประมวลและปรับแก้ ๒. เรียนรชู้ ำ�นาญ เชีย่ วชาญปฏบิ ัติ ๔. การเรียนรู้แบบรว่ มกนั ๔. ตกผลึก ๓. รวมพลังสร้างสรรคส์ งั คม P ๔. รักษว์ ฒั นธรรมไทย ใฝส่ นั ติ ๑. การเรียนรู้แบบใชว้ จิ ยั เป็นหลกั ๑. กำ�หนดปญั หา ๒. การเรียนรแู้ บบใช้ปัญหาเปน็ หลัก ๒. วางแผนงาน ๓. การเรียนรตู้ ามบริบทจรงิ ๓. ดำ�เนนิ การตามแผน ๔. การเรียนรู้แบบรว่ มกนั ๔. การนำ�ผลท่ไี ด้ไปใช้แก้ปญั หา ๕. การเรยี นรแู้ บบนำ�ตนเอง ๑. การเรยี นรู้ตามบริบทจริง ๑. เตรยี มบริบทตามสภาพจริง ๒. การเรียนรแู้ บบนำ�ตนเอง ๒. ตง้ั เปา้ หมาย ๓. การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ๓. วางแผนและดำ�เนินการ ๔. การเรียนรู้แบบร่วมกัน ๔. ตดิ ตามและประเมินผล ๕. การเรียนรู้แบบโครงงาน หลกั ที่ ๔ บทบาทของผู้เกยี่ วขอ้ งแบบ ๓ M Moral Supporter คือ การเป็นผู้ใหก้ ำ�ลังใจ Monitor คอื การเป็นผ้ใู สใ่ จกำ�กบั และ Mentor คอื การเปน็ ผ้สู นับสนุนสง่ เสริม การเลี้ยงดู กจิ กรรม การเรียนรทู้ ีบ่ ้าน Moral Sopporter ครู การเปน็ อาสาสมคั ร การรว่ มมือ Monitor กับชุมชน พอ่ แม่ ผูเ้ รียน E-World ชุมชน R-World Mentor การตดั สนิ ใจ การส่อื สาร 434 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

หลกั ที่ ๕ การพัฒนาทกั ษะการรูส้ ารสนเทศแบบ NET Networking คือ การสรา้ งเครอื ขา่ ย Edutainment คือ การศกึ ษา เชงิ บนั เทิง Tailor-Made คือ การปรบั เหมาะสมตวั แหลง่ เรยี นรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น บคุ คล แหล่งเรียนรู้ในโลกอิเล็กทรอนิกส์ เชน่ คอมพวิ เตอร์ หอ้ งสมดุ ชน้ั เรยี น ที่บา้ น สถานท่ชี มุ ชน ธรรมชาติ CD-Rom โทรทัศน์ วิทยุ อนิ เทอร์เน็ต www การกำ�หนด ภารกิจ บรู ณาการ ผ้เู รยี น ตรงจุด วิธกี ารใช้งาน เขา้ ถึงแหลง่ ประเมนิ สารสนเทศ Networking (N) Edutainment (E) Tailor-made (T) เครอื ขา่ ยการเรียนรู้ สาระบนั เทิง ความเหมาะสมกบั บุคคล/กลมุ่ หลักที่ ๖ การบริหารจัดการศกึ ษาแบบบูรณาการแบบ iEMS (Integrated Educational Management System) โดยการ วาดภาพความสำ�เรจ็ การกำ�หนดโครงสร้างการบริหารจดั การ การบรหิ ารจัดการ และการตดิ ตามกำ�กบั การบริหารการจัดการศึกษาในปจั ุบัน การบรหิ ารจัดการศกึ ษาแบบบูรณาการ iEMS สังคมเศรษฐกจิ ฐานความรู้ เขตพืน้ ที่การศกึ ษา เขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา รู้ทัน ร้นู ำ�โลก Knowledge Citizen สถานศกึ ษา iEMS ๑ หอ้ งเรียน สถานศกึ ษา เรียนรู้ iEMS ๒ หอ้ งเรียน • สงั คม สร้างความรู้ iEMS ๓ • ประชาคม • ชุมชน ผเู้ รยี น • แหล่งเรยี นรู้ เรียนรู้ นักเรยี น รวมพลัง ใช้ความรู้ • ผู้ปกครอง • บา้ น วดั ชำ�นาญ สรา้ งสรรค์ • ทรัพยากร • หนว่ ยงาน เชย่ี วชาญ บคุ คล • สถาบัน ปฏิบตั ิ สังคม • คณะกรรมการ สถานศึกษา ผลิตผลงานคุณภาพ รักษ์วัฒนธรรมไทย ใฝส่ ันติ มาตรฐาน ประสทิ ธผิ ล ประสิทธภิ าพ Real World แขง่ ขนั ไดค้ วามเปน็ ไทย ๑. มีทักษะในการแสวงหา/คัดสรรค/์ สร้างความรู้ • Isolation 1. Good Government Mobilization ๒. มีทักษะในการใช้และจดั การความรู้ •• RNoount-iPnaertipation 23.. PRaerstuicltiepdatbivaeseAddMmainniasgtreamtieonnt Strategy ๓. มที ักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี • Dependency 4. School Based Management ๔. มีทักษะการวิเคราะหแ์ ละแกป้ ัญหา 65.. CLeuasrtnoimngerO-Orgriaennitzeadtion Participation ๕. มีทกั ษะด้านภาษาและส่อื สาร Autonomy ๖. การคดิ ใหม/่ การคิดสรา้ งสรรค/์ การคดิ แจง้ แทงตลอด ๗. จติ ม่งุ คุณภาพ มาตรฐานและความเป็นเลิศ ๘. การทำ�งานแบบร่วมมือเปน็ ทีมและสรา้ งเครือข่าย ๙. การจัดการ ๑๐. การแข่งขัน/อดทน/สู่สิง่ ยาก ๑๑. เหน็ แกส่ ว่ นรวม เป็นธรรมและยั่งยนื ๑๒. รักษ์ความเป็นไทยใฝ่สันติ 435 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

หลักท่ี ๗ การพัฒนาสู่การปฏบิ ัตทิ ี่เปน็ เลศิ (Best Practices) การจดั การศกึ ษา E-World การจัดการศึกษาสำ�หรบั สงั คม ของไทยปจั จบุ ัน เศรษฐกจิ ฐานความรู้ โรงเรียน โรงเรียน ผรู้ ว่ มงาน พทุ ธพิสยั Standards เครือขา่ ย รูท้ นั รนู้ ำ�โลก บรหิ ารวิชาการ นักเรียน วิธีการเรยี นใหม่ ผู้เรยี นเป็นศูนย์กลาง ครู จิตพิสยั เรยี นรู้ รวมพลงั ครูวิจยั ใช้ IT ชำ�นาญ นักเรียน สรา้ งสรรค์ เชีย่ วชาญ สังคม ปฏิบัติ กิจกรรมการเรียนท่ีครู ทกั ษะ Pat รกั ษ์วัฒนธรรมไทย ใฝส่ ันติ เปน็ ศูนยก์ ลาง ผูป้ กครอง ชมุ ชนของนักเรยี น สังคม-ชุมชน ผสู้ นับสนุน สังคม-ชมุ ชน ผู้ปกครอง ๑. หลักสูตร ๒. วธิ ีการเรยี นการสอน ๓. เทคโนโลยีและสอ่ื สารการศกึ ษา สงั คมปจั จุบนั ๔. การวดั และประเมินผล สงั คมเศรษฐกิจฐานความรู้ ๕. การบริหารจดั การ Real World กลยทุ ธ์การขับเคลือ่ นนวัตกรรม กลยทุ ธ์การขับเคล่ือนนวตั กรรมการเปลีย่ นผ่านการศกึ ษา “สตั ตศิลา” สูก่ ารปฏบิ ัตจิ ริงในโรงเรียน แบ่งออก ได้เปน็ ๒ กลยทุ ธ์ คือ ๑) กลยุทธ์การขับเคลื่อนนวัตกรรมในพ้ืนที่ ด้วยความร่วมมือของนักวิจัยในโครงการ ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการของส�ำนกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา และผูบ้ ริหารโรงเรยี น ประกอบด้วย ๑.๑) กลยุทธ์พ่ีเล้ียง เป็นกลยุทธ์ที่นักวิจัยในโครงการเลือกใช้ในทุกพ้ืนท่ีเป้าหมาย และท�ำให้ประสบ ความสำ� เร็จในการขบั เคลอ่ื นนวัตกรรม เกดิ ความต่อเนื่อง รวมท้งั สง่ เสริมการขยายผลการใชน้ วัตกรรมในโรงเรยี นอน่ื ๆ ในพน้ื ท่ี ๑.๒) กลยุทธ์การแข่งขันในพื้นท่ีสมทบ ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายส�ำคัญคือ ความต้องการในการสร้างผลงาน ของส�ำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาเปน็ หลกั ๑.๓) กลยทุ ธค์ วามรว่ มมอื กบั เครอื ขา่ ยในพน้ื ท่ี โดยเครอื ขา่ ยเดมิ ทม่ี อี ยทู่ งั้ ในระดบั สถาบนั อดุ มศกึ ษา และ สำ� นกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษา ซึ่งมปี จั จัยส�ำคัญคือ การมเี ครอื ขา่ ย และการรกั ษาเครือข่าย 436 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๒) กลยุทธ์การขบั เคลื่อนนวัตกรรมในโรงเรยี น ประกอบดว้ ย ๒.๑) กลยุทธ์การวางแผนร่วมกนั ๒.๒) กลยทุ ธก์ ารเลอื กตามความพรอ้ มและความสนใจ ๒.๓) กลยุทธก์ ารร่วมมอื ดำ� เนินการท้งั โรงเรยี น เพ่ือให้เกดิ การพฒั นานวตั กรรมท่ใี ชใ้ นการจดั การศกึ ษา เพม่ิ ขึน้ ขยายเวทกี ารแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ และใชป้ ระโยชน์จากนวัตกรรมร่วมกนั ตน้ แบบนวัตกรรม ๔ร. ขบั เคลือ่ นเต็มพื้นที่ “สัตตศิลา” ๗ ประการ 4F การปฏิรปู การศึกษา CRP ศธ.+สภาวิจัย 3M การสอ่ื สาร NET โรงเรยี น MSPA Best Practices ชมุ ชน นโยบายการศกึ ษา บทความ/หนังสอื การส่อื สาร นทิ รรศการ ประชมุ ปฏบิ ัตกิ าร ในการส่อื สาร ผู้บริหาร นักวชิ าการ สภาคณบดี ผู้บรหิ าร ผู้บริหาร ต้องเลือกเน้อื หา ระดบั สงู ของ ของ ศธ. และ คณะครุศาสตร์/ และบคุ ลากร โรงเรยี น ให้เหมาะกบั หนว่ ยงาน หน่วยงาน ศกึ ษาศาสตร์ ของเขตพ้นื ที่ ระดบั ชาติ ท่เี กยี่ วขอ้ ง การศึกษา นกั วจิ ยั กลมุ่ บุคคล ในโครงการ ทเ่ี กี่ยวข้อง Managerial อธิการบดี หวั หนา้ ประธานสภา นกั วิจัย จุฬาลงกรณ์ โครงการและคณะ คณบดี ในโครงการ Policy แผนภาพ กลยทุ ธ์การขับเคลอ่ื นนวตั กรมการเปลย่ี นผ่านการศึกษา “สตั ตศลิ า” 437 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

การใช้นวตั กรรม “สัตตศิลา” การใช้นวัตกรรม “สัตตศลิ า” ในการจัดการศึกษาในโรงเรยี น มี ๓ ลกั ษณะ คือ (๑) โรงเรียนขนาดใหญ่ในเขตเมือง ใช้ทั้ง ๗ หลัก เพ่ือพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะ ๔ ร. โดยเลือก จัดหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญตามแนว 4F ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ CRP สร้างความร่วมมือกับชุมชน ตามหลัก 3M พัฒนาทักษะการเรียนรู้สารสนเทศแบบ NET บริหารจัดการตามหลัก iEMS และศึกษาแนวทางการด�ำเนิน การจาก Best Practices เพราะมคี วามพรอ้ มท้งั ด้านงบประมาณและบคุ ลากร ในการใช้ท้ังเจ็ดหลักน้พี บวา่ การด�ำเนินการ เมื่อเริ่มต้นก�ำหนดคุณลักษณะแล้วตามด้วยการเปรียบเทียบหรือดูการปฏิบัติท่ีเป็นเลิศ (หลักท่ี ๗) ก่อน แล้วตาม ด้วยการจัดการบริหาร (หลักที่ ๖) หลังจากนั้นจึงด�ำเนินการด้วยหลักที่ ๒ หลักสูตร และหลักที่ ๓ การเรียนการสอน และหลักที่ ๔ การใช้ Net และหลักท่ี ๕ การใหค้ �ำปรกึ ษา ๓ ต. จะไดผ้ ลดมี ากกวา่ (๒) โรงเรียนขนาดเล็กในเขตเมือง เลือกใช้มากกว่า ๑ หลัก ตามความพร้อมของบุคลากรและทรัพยากร ที่ได้รับจากชุมชนและองค์การบริหารส่วนต�ำบล โดยส่วนใหญ่เลือกจัดหลักสูตรตามแนว 4F ร่วมกับหลักอื่น ๆ เพือ่ พฒั นานักเรยี นให้มคี ุณลักษณะ ๔ ร. (๓) โรงเรียนขนาดเล็กในเขตเมือง เลือกใช้เพียง ๑ หลัก คือ การจัดหลักสูตรตามแนว 4F เพ่ือปรับ โครงสร้างหลักสูตรฯ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของตน เนื่องจากชุมชนไม่พร้อม และ อบต. ไม่ให้ความส�ำคัญ ต่อการพัฒนาการศึกษาและสถานศึกษา จึงไม่ได้ให้การสนับสนุนใด ๆ ท�ำให้การพัฒนาการจัดการศึกษาเป็นไปได้ยาก และส่งผลกระทบตอ่ ทั้งผ้เู รียน ครู และชมุ ชน กลยทุ ธก์ ารใช้นวตั กรรมสัตตศิลาในโรงเรียนร่วมกับโครงการอนื่ ๆ ท่ีด�ำเนนิ การอยแู่ ลว้ มี ๔ แบบ คอื (๑) การใชส้ ตั ตศลิ าโดยไมบ่ รู ณาการกับโครงการใด ๆ (๒) การใชส้ ัตตศิลาเป็นหลักและใชโ้ ครงการอืน่ เสรมิ (๓) การใช้โครงการท่ีมีอยู่เป็นหลัก และใช้สตั ตศลิ าเสริม (๔) การใชส้ ัตตศิลาร่วมกับโครงการอืน่ เทา่ ๆ กนั 438 สารานกุ รมการศกึ ษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ผลส�ำเรจ็ ของการใช้สตั ตศลิ า ผลสำ� เร็จระดบั โรงเรยี นเกดิ จาก (๑) การบูรณาการสัตตศิลาในการจัดการเรียนการสอนตามแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกช้ัน ทุกห้องเรียน และบูรณาการกบั โครงการต่าง ๆ (๒) การได้รับความร่วมมือจากผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้อง ได้แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน และ อบต. ชุมชน มสี ่วนรว่ มในการพัฒนาหลักสตู รท้องถน่ิ มคี วามช่นื ชมและพึงพอใจในความกา้ วหน้าของโรงเรียน (๓) การปรบั ระบบการบรหิ ารงานแบบจากลา่ งขนึ้ บน (buttom up) และเปน็ แบบกลั ยาณมติ ร ทำ� ใหบ้ คุ ลากร ร่วมกนั ปฏบิ ตั งิ านตามหน้าทแี่ ละแผนงานอยา่ งเคร่งครดั จนโรงเรียนเกดิ ความเปลีย่ นแปลงในทางทีด่ ขี ้ึน ผลสำ� เร็จระดบั นักเรียนและครู เกิดจาก (๑) ครูได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการเรียนรู้ และตระหนักถึงความส�ำคัญและความต้องการของ ผเู้ รยี นมากขนึ้ มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการสอนเพม่ิ ขนึ้ ในขณะเดยี วกนั ผเู้ รยี นกศ็ กึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองอยา่ งกระตอื รอื รน้ มวี นิ ัย และมีความสุขในการเรยี นมากขึ้น (๒) ความย่ังยืนของการจัดการศึกษาโดยใช้นวัตกรรมน้ี คือ การด�ำเนินการท่ีต่อเน่ืองของผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ทมี่ กี ารพฒั นาชมุ ชนควบคกู่ บั การพฒั นาการจดั การศกึ ษาดว้ ยนวตั กรรม การพฒั นาทรพั ยากรทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ การจดั การศกึ ษา โดยเฉพาะผู้บรหิ ารและครู และการเลือกใช้กลยทุ ธ์ท่เี หมาะสม ตามความตอ้ งการและข้อจำ� กัดของตนเอง ความรว่ มมอื รว่ มใจของครูน�ำไปสู่ผลส�ำเรจ็ ในการเปลี่ยนผ่านการศึกษา ๒ ระดับ ดังกลา่ วมา 439 สารานกุ รมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

บรรณานุกรม ชชู ยั รตั นภญิ โญพงศ์ และคณะ. (๒๕๔๙). การพฒั นาและการนำ� นวตั กรรมทางการศกึ ษาจากหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร คณะครศุ าสตร/์ ศกึ ษาศาสตร์สูโ่ รงเรียน โรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ฝ่ายประถม รายงานการวิจัยชุดโครงการวิจัย บรู ณาการ การเปลยี่ นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์ และคณะ. (๒๕๔๙). การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนแบบ CRP รายงานการวจิ ยั ชดุ โครงการวจิ ยั บรู ณาการ การเปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร้.ู กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. . (๒๕๔๙). คุณลักษณะของบุคคลท่ีพึงประสงค์ (๔ ร.) รายงานการวิจัยชุด โครงการวิจัยบูรณาการ การเปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . . (๒๕๔๙). สัตตศิลา หลักเจ็ดประการสำ� หรับการเปล่ียนผ่านการศึกษาเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . . (๒๕๕๑). การเปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สูย่ ุคเศรษฐกจิ ฐานความรู้ รวมบทความวจิ ยั สัตตศิลาสำ� หรับ การเปล่ยี นผ่านการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . . (๒๕๕๑). คมู่ อื การเปลยี่ นผา่ นการศกึ ษาตามหลกั “สตั ตศลิ า”. กรงุ เทพมหานคร: พรกิ หวานกราฟฟคิ . . (๒๕๕๒). กลยุทธ์การขับเคล่ือนนวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านการศึกษา “สัตตศิลา” สู่โรงเรียน. กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค. ลัดดา ภู่เกยี รติ และคณะ. (๒๕๔๙). การพัฒนาและการน�ำนวตั กรรมทางการศึกษาจากห้องปฏบิ ัตกิ ารคณะครศุ าสตร/์ ศึกษาศาสตรส์ ูโ่ รงเรียน โรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ฝ่ายประถม รายงานการวิจัยชดุ โครงการวจิ ัย บรู ณาการ การเปลยี่ นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . วชริ าพร อจั ฉรยิ โกศล และคณะ. (๒๕๔๙). แนวทางการจดั การศกึ ษาเพอ่ื เขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ รายงานการวจิ ยั ชุดโครงการวิจยั บูรณาการ การเปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สู่ยคุ เศรษฐกจิ ฐานความรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ศิรชิ ยั กาญจนวาสี และคณะ. (๒๕๔๙). รูปแบบของระบบการบริหารจดั การศกึ ษาแบบบูรณาการส�ำหรบั เขตพืน้ ที่และ สถานศกึ ษา. รายงานการวจิ ยั ชดุ โครงการวจิ ยั บรู ณาการ การเปลยี่ นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สวุ มิ ล วอ่ งวาณชิ และคณะ. (๒๕๔๙). บทบาทของผเู้ กย่ี วขอ้ งในการสรา้ งโอกาสการเรยี นรสู้ ำ� หรบั ผเู้ รยี น รายงานการวจิ ยั ชดุ โครงการวจิ ยั บรู ณาการ การเปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ฐานความร.ู้ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . อาชัญญา รตั นอุบล และคณะ. (๒๕๔๙). การพัฒนารูปแบบการเสริมสรา้ งการรสู้ ารสนเทศสำ� หรับสงั คมไทย รายงาน การวิจัยชุดโครงการวิจัยบูรณาการ การเปล่ียนผ่านการศึกษาเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. Sinlarat, P. and others. (2007). Educational Transformation: Heading Towards A Knowledge-Based Economy. Bangkok: Chulalongkorn University. 440 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ห้องเรยี นกลับทาง ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อนุชัย ธรี ะเรืองไชยศรี หลักคิดของโมเดล “Flipped classroom” คือ การวางแผนเพื่อใช้ประโยชน์จากเวลาในช้ันเรียนและเวลา นอกชั้นเรยี น ใหส้ ามารถส่งเสรมิ การเรยี นรขู้ องนักเรยี นอย่างมีสัมฤทธผิ ลและมปี ระสิทธภิ าพ ใชท้ รพั ยากรท้งั บุคคลและ เวลาอย่างคุ้มค่า วิธีการของโมเดลการสอนแบบ Flipped classroom จะปรับสลับกิจกรรมท่ีท�ำในชั้นเรียนและที่บ้าน โดยกลับทางให้ “การสอน” เกดิ ขึ้นท่ีบ้าน โดยอาศัยส่อื การเรียนรตู้ ่าง ๆ ไดแ้ ก่ วดี ิโอทีอ่ าจารยบ์ นั ทกึ ไว้ เว็บไซต์ เอกสาร ค�ำสอน ฯลฯ ซ่ึงมีข้อดีคือนักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานและความเร็วช้าในการเรียนแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้เวลา ในการเรยี นตามความเหมาะสม จะเลอื กฟงั ซำ�้ อา่ นซำ�้ ทบทวนไดต้ ามตอ้ งการ และกลบั ทางใหอ้ าจารยใ์ ชเ้ วลาในชน้ั เรยี น สำ� หรบั ใหน้ กั เรยี น “ทำ� กจิ กรรม (หรอื การบา้ น)” เวลาในชน้ั เรยี นเปน็ เวลาทอ่ี าจารยอ์ ยดู่ ว้ ย เมอ่ื นกั เรยี นไมเ่ ขา้ ใจจะสามารถ ถามได้สะดวก ขณะเดียวกันอาจารย์ก็จะทราบว่านักเรียนไม่เข้าใจอะไร ไม่เข้าใจเป็นรายบุคคลหรือส่วนใหญ่ อาจารย์ จะสามารถปรับการสอนเพ่ือสร้างเสริมความเข้าใจให้มากขึ้นเช่น การอธิบายเพิ่ม การยกตัวอย่างใหม่ เป็นต้น เวลาในชั้นเรียนเป็นเวลาท่ีอาจารย์สามารถใช้เพ่ือปฏิสัมพันธ์ในการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจ เชน่ การตงั้ คำ� ถาม การทำ� กจิ กรรมกลมุ่ การทำ� โครงงาน เปน็ ตน้ เพม่ิ โอกาสการเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ มในลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ บทความน้ีจะน�ำเสนอแนวคิดวิธีการจัดการสอนตามโมเดล “ห้องเรียนกลับทาง (Flipped classroom)” ปัญหา ท่อี าจจะเกดิ ข้ึนรวมท้งั แนวปฏบิ ัตใิ นการนำ� โมเดลห้องเรียนกลบั ทางไปใช้ 441 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

บทน�ำ พัฒนาการของการจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างต่อเน่ือง เพื่อเป้าหมายของการหาวิธีการจัดการเรียนการสอน ที่สามารถพัฒนานักเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างสัมฤทธิผลและมีประสิทธิภาพ การสอนในอดีตเป็นการสอนรายบุคคล (Individualized instruction) ท่ีอาจารย์สามารถปรับเนื้อหาและวิธีการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคนได้ แต่เม่ือ จ�ำนวนนักเรียนมากขึ้น การสอนรายบุคคลไม่สามารถรองรับจ�ำนวนนักเรียนท่ีมีมากข้ึนได้ทัน การสอนแบบช้ันเรียน จึงเกิดขึ้นเพ่ือให้มีประสิทธิภาพ ทั้งลดต้นทุนการจัดการเรียนการสอนและลดระยะเวลา แต่การสอนในช้ันเรียนเป็นการสอน ที่ยอมลดคณุ ภาพแลกกับประสิทธิภาพในการจดั การเรยี นการสอน (เพอื่ ใหส้ ามารถลดคา่ ใช้จา่ ยและเวลาในการสอน) การคน้ หาวิธีการสอนในช้ันเรยี นท่ีมีคุณภาพสงู ขึน้ สามารถเข้าถึงนกั เรียนทแี่ ตกตา่ งกนั น้ัน เป็นสิ่งท่ที ้าทาย นักการศึกษา ครู อาจารย์ทุกคน เป็นที่น่ายินดีที่มีอาจารย์มัธยมศึกษา ๒ ท่าน คือ โจนาธาน เบอกแมน (Jonathan Bergman) และ แอรอน แซมส์ (Aaron Sams) ที่ต้องการชว่ ยนักเรยี นท่ีมปี ัญหาตามชั้นเรยี นไม่ทัน เพราะต้องขาดเรียน ไปเล่นกีฬาหรือไปท�ำกิจกรรม หรือเพราะเขาเรียนรู้ได้ช้ากว่าเพ่ือน ได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลการสอนใหม่และตั้งช่ือว่า “หอ้ งเรียนกลับทาง (Flipped classroom)” ข้นึ (วจิ ารณ์ พานชิ , ๒๕๕๖) ห้องเรียนกลบั ทาง คอื อะไร หอ้ งเรยี นกลบั ทาง หรอื Flipped classroom คอื โมเดลการสอนทไ่ี ดร้ บั การพฒั นาขนึ้ โดยมหี ลกั คดิ ของโมเดล คือ การวางแผนเพ่ือใช้ประโยชน์จากเวลาในชั้นเรียนและเวลานอกชั้นเรียนให้สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน อยา่ งมสี มั ฤทธผิ ลและมปี ระสทิ ธภิ าพ ใชท้ รพั ยากรทงั้ บคุ คลและเวลาอยา่ งคมุ้ คา่ วธิ กี ารของโมเดลการสอนแบบหอ้ งเรยี น กลับทาง คือ การปรับสลับกิจกรรมการเรียนท่ีนักเรียนท�ำในชั้นเรียนและท�ำที่บ้าน ซึ่งโดยปกตินักเรียนจะ “เรียน” ในชน้ั เรียนและกลบั ไป “ทำ� กจิ กรรมการเรียน (หรอื การบ้าน)” ท่บี า้ น โดยกลับทางให้นกั เรียนเรยี นท่บี า้ นและน�ำการบา้ น หรือกจิ กรรมการเรยี นมาทำ� ในชนั้ เรียน การ “เรียน” ท่ีบ้านนั้น เกิดขึ้นโดยอาศัยส่ือการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ วีดิโอท่ีอาจารย์บันทึกไว้ เว็บไซต์ เอกสารค�ำสอน ฯลฯ ซึ่งมีข้อดีคือนักเรียนแต่ละคนมีพ้ืนฐานและความเร็วช้าในการเรียนแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้ เวลาในการเรยี นตามเหมาะสม จะเลอื กฟงั ซ�ำ้ อา่ นซ�ำ้ ทบทวนไดต้ ามต้องการ และกลบั ทางให้อาจารย์ใชเ้ วลาในชั้นเรยี น ให้นักเรียน “ท�ำกิจกรรม (หรือการบ้าน)” เวลาในชั้นเรียนเป็นเวลาที่อาจารย์อยู่ด้วย เม่ือนักเรียนไม่เข้าใจสามารถถาม ไดส้ ะดวก ขณะเดยี วกนั อาจารยก์ จ็ ะทราบวา่ นกั เรยี นไมเ่ ขา้ ใจอะไร ไมเ่ ขา้ ใจเปน็ รายบคุ คลหรอื สว่ นใหญอ่ าจารยจ์ ะสามารถ ปรบั การสอนเพือ่ สร้างเสรมิ ความเขา้ ใจใหม้ ากขึน้ เชน่ การอธบิ ายเพิ่ม การยกตวั อย่างใหม่ เป็นต้น พรอ้ มท้ังให้คำ� แนะน�ำ หรือข้อมูลป้อนกลับท่ีเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนเป็นรายบุคคล กลุ่ม ได้อย่างใกล้ชิด อาจารย์สามารถใช้เวลาในช้ันเรียน เพ่ือปฏิสัมพันธ์ในการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเข้าใจ เช่น การต้ังค�ำถาม การท�ำกิจกรรมกลุ่ม การท�ำ โครงงาน เปน็ ต้น เพิม่ โอกาสการเรียนรู้แบบมสี ่วนร่วมในลักษณะต่าง ๆ ได้ 442 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

การเปล่ยี นมาใชโ้ มเดลการสอนแบบห้องเรยี นกลับทาง (Flipped classroom) จะกระตุ้นใหน้ ักเรยี นมสี ว่ นรว่ ม ในการเรยี นมากขนึ้ (Active learning) นกั เรยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากการทำ� กจิ กรรมหรอื โครงงาน ซงึ่ เปน็ สงิ่ สำ� คญั ทที่ ำ� ใหน้ กั เรยี น ไดค้ ิดและท�ำความเข้าใจความรู้ในระดับขนั้ ที่สงู ขน้ึ (High order thinking) ห้องเรยี นกลบั ทางส่งเสรมิ ใหน้ กั เรียนมคี วามเขา้ ใจในระดับขนั้ ทส่ี งู ได้อยา่ งไร Benjamin Bloom ไดจ้ ดั แบง่ ลำ� ดบั ขน้ั ของความรู้ ความเขา้ ใจ ออกเปน็ ๗ ขนั้ และไดร้ บั การพฒั นาปรบั ปรงุ ตอ่ โดย Anderson, L. & Krathwohl (ตามภาพท่ี ๑) ในรปู ความรคู้ วามเขา้ ใจจะพฒั นาเปน็ ลำ� ดบั ขนั้ ตน้ คอื แคร่ จู้ ำ� ได้ (Remembering) สามารถบอกได้ ไปสคู่ วามเขา้ ใจ (Understanding) ทสี่ ามารถอธบิ ายได้ จนสามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ (Applying) วเิ คราะห์ (Analyzing) ประเมิน (Evaluating) และสรา้ งสรรคช์ ิ้นงาน (Creating) จากความรูซ้ ึง่ เปน็ ทักษะการคิดขนั้ สูง (High order thinking skills) Higher order Creating Thinking Skills Evaluating Analyzing Lower order Applying Understanding Remembering ภาพท่ี ๑ Bloom Taxonomy ปรับปรงุ โดย Anderson, L. & Krathwohl (จาก http://www.uleth.ca/teachingcentre/blooms-taxonomy) ขณะเดียวกันนักการศึกษาได้ท�ำการศึกษาและวิจัยพบว่า วิธีการสอนแบบต่าง ๆ จะสามารถพัฒนาความรู้ ความเข้าใจได้แตกต่างกัน (ตามภาพที่ ๒) ซ่ึงจะเห็นได้ว่า การสอนแบบบรรยายที่นักเรียนไม่ได้ท�ำกิจกรรมหรือท�ำการบ้าน จะสามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจได้ในระดับต้น คือ ระดับรู้ (Remembering) ระดับเข้าใจ (Understanding) แต่หาก ใหท้ ำ� การบา้ น ทำ� กจิ กรรมการเรยี นตา่ ง ๆ เชน่ การสำ� รวจ แยกแยะ การอภปิ ราย โตว้ าที จะพฒั นาระดบั ความรไู้ ดส้ งู ขนึ้ อย่างต่อเนื่อง 443 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมยั เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

Learning Pyramid Bloom’s Taxonomy Lecture Remembering Understanding 10% Reading 20% Audiovisual Applying 30% Demonstration Analyzing 50% Discussion Evaluating 75% Practice doing Creating 90% Teach others Source : National Training Laboratories, Bethel, Maine ภาพท่ี ๒ เปรียบเทย่ี บวิธีการเรยี นรู้และระดบั ความรู้ ความเข้าใจตาม Bloom’s Taxonomy (จาก http://www.pnc.edu/distance/strategies/) ในโมเดลการสอนแบบชั้นเรียนปกติ อาจารย์ใช้เวลาในชั้นเรียนเพื่อบรรยายความรู้ ซ่ึงท�ำให้นักเรียนได้ พัฒนาความรู้ ความเข้าใจในระดับต้น คือ ระดับรู้ (Remembering) และ ระดับเข้าใจ (Understanding) หลังจากน้ัน อาจารย์ให้การบ้าน หรือกิจกรรมการเรียน ท่ีจะส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจของนักเรียนในระดับท่ีสูงขึ้น แต่การท�ำ การบา้ นหรือกิจกรรมการเรียน นักเรียนกลับไปท�ำทีบ่ า้ นหรอื นอกหอ้ งเรยี นทอี่ าจารยไ์ ม่ได้อย่ดู ว้ ย การท�ำการบ้านหรือกิจกรรมการเรียนนั้นเป็นงานท่ีซับซ้อนกว่าการนั่งฟังบรรยาย หากมีอาจารย์อยู่ด้วย จะช่วยให้ค�ำอธิบายหรือค�ำปรึกษา หรือการเติมเต็มความรู้ แก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ ขณะท่ีการฟังบรรยาย เป็นการรับความรู้ อาจารย์จะมีบทบาทเป็นแค่ผู้ถ่ายทอดความรู้เท่าน้ัน หากวิเคราะห์แล้วเวลาที่นักเรียนต้องการอาจารย์ น่าจะเป็นเวลาท่ีนักเรียนท�ำการบ้านหรือกิจกรรมการเรียนมากกว่าเวลาที่นักเรียนฟังบรรยาย อันน้ีคือหลักของ หอ้ งเรียนกลบั ทาง ในทางตรงกันข้าม การบรรยายของอาจารย์ถึงแม้ว่าอาจารย์จะใช้ความพยายามเท่าไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถ ที่จะรองรับความแตกต่างของนักเรียนกลุ่มใหญ่ ทั้งพ้ืนฐานความรู้และศักยภาพในการเรียนที่แตกต่างกัน แต่เม่ือ เปลี่ยนเป็นการใช้ส่ือการเรียนรู้ เช่น สื่อวีดิทัศน์หรือสื่อในรูปแบบต่าง ๆ นักเรียนจะสามารถเรียนรู้ไปตามความเร็ว ในการเรียนของตนเอง สามารถอ่านซ้�ำ ฟังซ้�ำ หรือขอเวลาไปค้นคว้าเพ่ิมเพ่ือความเข้าใจได้สะดวกและคล่องตัวกว่า การน่งั ฟงั บรรยายของอาจารยใ์ นช้นั เรียน 444 สารานกุ รมการศึกษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

จากเหตุผลข้างต้น จะเห็นได้ว่าการน�ำโมเดลการสอนแบบห้องเรียนกลับทางมาใช้ จะเป็นการกลับทาง ให้อาจารย์ไปอยู่ ณ จังหวะเวลาที่จะช่วยให้นักเรียนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจของนักเรียนในระดับขั้นท่ีสูงขึ้นกว่า โมเดลการสอนในแบบเดมิ ในด้านการคงทนของความรู้ (จ�ำได้) ห้องเรียนกลับทาง อาจารย์สามารถใช้กิจกรรมท่ีหลากหลาย ในช้ันเรียน ท�ำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียน (Active learning) จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคงทน ของความรไู้ ด้มากกวา่ การบรรยายอยา่ งเดยี ว (ตามภาพท่ี ๓) The Cone of Learning sparkinsight.com I see and I forget Reading After 2 weeks, Pvaessi I hear and I remember. Hearing Words we tend to remember ... Avecti I do_a_n_dCIounnfduecriustsand. • 10% of what we READ • 20% of what we HEAR • 30% of what we SEE Seeing • 50% of what we SEE & HEAR • 70% of what we SAY SWeLeaitoncWohgkiaInittngcDghaionaDntgeeaamonnMoEnLoxsovhtrciieaabttiiitoonn SDiPmoainurDgltaicoatiiipnnDGaggritavttihnhminegeagRRitnaieecaaTaPlladrETlieksxhscepiunnesgtrsaiietoinnocne • w90e%SAoYf w&haDtO Source : Edgar Dale (1969) ภาพท่ี ๓ วธิ กี ารเรียนรูแ้ ละระดบั ความคงทนของความรู้ (The Cone of Learning) (จาก http://karenzach.com/about-that-cone-of-learning/) 445 สารานกุ รมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

หลักการส�ำคญั ของหอ้ งเรยี นกลบั ทาง คอื อะไร หลกั การส�ำคัญของหอ้ งเรียนกลบั ทาง มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. Most valuable use of class time ใช้เวลาในช้ันเรียนให้มีประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากเวลาในชั้นเรียน เป็นเวลาที่อาจารย์อยู่กับนักเรียน โดยปกติอาจารย์จะใช้เวลาในชั้นเรียนในการบรรยาย เพื่อถ่ายทอดความรู้ ซ่ึงเป็น การให้ความรู้ในขั้นรู้ ขั้นเข้าใจ และเป็นส่ิงที่นักเรียนสามารถจะท�ำได้โดยการเรียนรู้จากส่ืออื่น ๆ เช่น วีดิทัศน์ เอกสารค�ำสอน เป็นต้น แต่สิ่งที่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากเวลาในช้ันเรียนมากกว่า คือ การท่ีอาจารย์ใช้เวลาส่งเสริมให้ เกิดความรู้ในขั้นสูง (High order thinking) เช่น ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมิน สร้าง โดยการอธิบายความรู้ท่ีเข้าใจยาก การแกไ้ ขความเขา้ ใจทคี่ ลาดเคล่ือน ตอบคำ� ถาม หรอื ใหค้ �ำแนะน�ำ ฯลฯ ๒. Student-centered learning เนน้ ความสำ� คญั ในการเรยี น อยทู่ น่ี กั เรยี นสามารถเลอื กเรยี นรจู้ ากสอ่ื ทอี่ าจารย์ เตรียมไว้ให้จากที่บ้าน และหากเรยี นไมเ่ ข้าใจ หรือมีขอ้ สงสัย กส็ ามารถไปสอบถามอาจารยท์ ่ีหอ้ งเรยี น รวมทั้งในข้นั ตอน ของห้องเรยี นกลับทาง (Flipped classroom) จะเนน้ ให้อาจารย์ใช้กิจกรรมการเรยี นในชน้ั เรยี นหรือโครงการในการช่วยให้ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ ๓. Mastery learning ให้นักเรียน “ทุกคน” สามารถเรียนรู้ได้ถึงเป้าหมายท่ีอาจารย์วางแผนไว้ด้วย กระบวนการต่าง ๆ ๔. Learning by doing อาจารย์จะใช้เวลาในช้ันเรียน ให้นักเรียนแสดงออกถึงความรู้ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การทำ� โครงการ การระดมสมองและสรปุ เปน็ ตน้ การลงมอื ทำ� โดยใชค้ วามรจู้ ะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจ มากขนึ้ กวา่ การเรยี นรูจ้ ากการอ่าน การฟัง เท่านนั้ ขั้นตอนการสอนตามโมเดลหอ้ งเรยี นกลับทางทำ� ได้อย่างไร ขั้นตอนการสอนตามโมเดลห้องเรียนกลับทาง มี ๔ ข้ันตอนหลัก แยกเป็น ๒ ขั้นตอนท�ำท่ีบ้าน และ ๒ ขน้ั ตอนทำ� ทโี่ รงเรียน (ตามแผนภาพ) คอื สงิ่ ท่เี ตรยี มใหน้ ักเรียนท�ำเมือ่ นกั เรียนอยทู่ ีบ่ ้าน ๑. ขั้น “What” คือ ขั้นให้นักเรียนได้เรียนความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อาจารย์เตรียมไว้ให้ เช่น วีดิทัศน์ ต�ำรา เอกสาร รวมท้งั แหล่งความร้ทู ่ีนกั เรยี นค้นหามาได้ด้วยตนเอง ช่วงนเี้ ป็นช่วงสำ� รวจและเรียนรู้ (Concept Exploration) ๒. ขั้น “So What” คือ ข้ันให้นักเรียนท�ำความเข้าใจในความรู้ท่ีได้รับมาในช่วง “What” และตรวจสอบว่า ตวั เองรูห้ รอื ไม่ ดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ เช่น การท�ำแบบทดสอบความร้ดู ้วยตนเอง การเขยี นคดิ ไตรต่ รองเปน็ ชว่ ง Meaning Making 446 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ส่งิ ท่ที �ำในชั้นเรียน ๓. ข้ัน “Now What” คือ ข้ันให้นักเรียนได้น�ำความรู้ มาทดลองใช้หรือประยุกต์ใช้ในลักษณะต่าง ๆ ตามกจิ กรรมทีอ่ าจารย์ก�ำหนด หรือ มอบหมาย เปน็ ช่วงนำ� ความรมู้ าใช้ (Demonstration & Application) ๔. ข้ัน “Activities” คือ ขั้นให้นักเรียนน�ำความรู้ไปลงมือปฏิบัติเป็นชิ้นงาน ผลงาน โครงการสร้างสรรค์ ตามทอี่ าจารย์ไดเ้ ตรยี มการไว้ เป็นชว่ งการเรยี นรู้จากการลงมอื ปฏิบตั จิ รงิ (Experiential Engagement) “Now What” Hands On “SAyncGcthriorvouinptoyu”s Activities Synchronous Group Games Through Experiments ท่ีโรงเรียน Creative, Personal:zed The Arts projects & Presentations Experiential Engagement Demonstration & Application Filpped Classroom Model Blogging Meaning Making Concept Exploration video Lectures Reflective Podcasted ที่บ้าน Podcasts Lectures Reflective “What”Content-Rich “So Wh a t” Vodcasts Tests Websites Asynchronous Individual AsIynndcivhirdoun aolu s Online Chats จากทั้ง ๔ ข้ันตอนการสอน นักเรียนจะได้ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การรับความรู้ ท�ำความเข้าใจ ความรู้ ทดลองใช้ความรู้ และนำ� ความรู้ไปสร้างสรรคช์ น้ิ งาน จะเหน็ ได้ว่า โมเดลการสอนแบบหอ้ งเรยี นกลบั ทางส่งเสริม ให้นักเรียนเป็นหลักในการเรียนรู้ (Student-centered learning) โดยอาจารย์เป็นผู้สนับสนุนวางแผนแนวทางการเรียนรู้ กิจกรรมการเรยี นร้ทู จี่ ะชว่ ยกระต้นุ นกั เรียนใหเ้ รียนรู้ไปถึงเป้าหมาย 447 สารานุกรมการศึกษารว่ มสมัย เฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

ห้องเรียนกลบั ทาง สามารถนำ� มาใช้ในบริบทใดบา้ ง ห้องเรียนกลับทาง สามารถน�ำมาใช้ในการเรียนการสอนทุกระดับ ต้ังแต่ระดับประถมศึกษาถึงอุดมศึกษา และยังได้รับการน�ำมาใช้ในการฝึกอบรมด้วย เพ่ือลดเวลาในการฝกึ อบรมในห้องเรียน โดยการมอบให้ผทู้ ่จี ะเขา้ หลกั สูตร ฝึกอบรมได้อ่านความรู้ ดูวีดิทัศน์ความรู้ หรือเตรียมพ้ืนฐานความรู้มาก่อนการเข้าฝึกอบรม และเปลี่ยนบรรยากาศ ในห้องฝกึ อบรมเป็นการท�ำกิจกรรมแทน ปญั หาอปุ สรรคในการใชห้ ้องเรยี นกลับทาง ข้อจ�ำกัดหรือปัญหาอุปสรรคของห้องเรียนกลับทาง มีหลายประการ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ยังไม่คุ้นเคย หรือความไมเ่ ขา้ ใจในการใช้ห้องเรยี นกลับทาง ขอรวบรวมพร้อมแนวทางแกป้ ญั หา ดังน้ี ๑. นักเรียนยังไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์การเรียนรู้แบบ Active learning ที่ต้องอ่านหรือเรียนรู้มาก่อน การเข้าช้ันเรียน เมื่ออาจารย์จะปรับโมเดลการสอนเป็นแบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped classroom) ควรค่อย ๆ ทำ� จากนอ้ ยไปมาก จากเนอื้ หางา่ ยไปยาก เพอ่ื สรา้ งความคนุ้ เคยใหแ้ กน่ กั เรยี น โดยเฉพาะนกั เรยี นในชนั้ ปแี รก ๆ เมอื่ นกั เรยี น คุ้นเคยจะเรม่ิ เหน็ ประโยชน์และจะใหค้ วามร่วมมอื ในการเรียนรู้ตามโมเดลห้องเรยี นกลบั ทาง ๒. ภาระการเตรยี มตวั มากอ่ นการเรยี นของนกั เรยี น ควรระมดั ระวงั การทำ� Flipped classroom ในหลายรายวชิ า ในภาคการศึกษาเดียวกัน นักเรียนจะไม่มีเวลาพอ และไม่จ�ำเป็นต้องท�ำ Flipped classroom ในทุกหัวข้อของรายวิชา ควรสลับระหว่าง Flipped classroom และการบรรยายธรรมดา เพ่ือเปล่ียนบรรยากาศ และลดภาระของนักเรียน จะได้รับความรว่ มมอื จากนกั เรยี นมากข้ึน ๓. การเตรยี มเนอ้ื หาและสอื่ การเรยี นรู้ ใหน้ กั เรยี นเรยี นรมู้ ากอ่ นการเขา้ ชน้ั เรยี น ไมเ่ หมาะสม ไมไ่ ดอ้ อกแบบ ใหส้ ง่ เสริมการเรียน กจ็ ะทำ� ใหเ้ ป็นปญั หาและภาระในการเรียนรู้ มแี นวทางปฏบิ ตั ิ ดังนี้ ๓.๑ การเตรียมเนื้อหาการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนก่อนเข้าช้ันเรียน สามารถเตรียมให้เนื้อหาอยู่ในส่ือได้ หลากหลายรูปแบบ เช่น วีดิทศั น์ เอกสารค�ำสอน เว็บไซต์ ฯลฯ รปู แบบวีดทิ ัศนบ์ รรยายเน้อื หาเปน็ ส่ือหลกั ดว้ ยในการใช้ โมเดลการสอน ห้องเรียนกลับทางครั้งแรกของวิชา สื่อท่ีออกแบบให้นักเรียนเรียนที่บ้านก่อนชั้นเรียน ไม่จ�ำเป็นต้องมี เนอื้ หาครบถว้ นเทา่ กบั ทต่ี อ้ งการใหน้ กั เรยี นเรยี นในสปั ดาหน์ นั้ แตค่ วรเปน็ สอ่ื ทใี่ หค้ วามรทู้ เ่ี ปน็ ความรพู้ น้ื ฐานทต่ี อ้ งมกี อ่ น การเรยี น (Background knowledge) ความรทู้ เ่ี ปน็ แกน่ ของเร่อื ง (Core concept) ในส่วนของความรแู้ ก่นของเรอ่ื ง ควรจะมี การน�ำมาตง้ั ค�ำถามในหอ้ งเรียน เพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ และจะไดอ้ ธิบายเพิม่ เพอื่ ใหแ้ น่ใจว่านักเรียนเข้าใจ ๓.๒ ส่ือแต่ละตอนไม่ควรจะยาว ควรจะใช้เวลาประมาณ ๑๐-๑๕ นาที และมีหลายตอนจะดีกว่า สือ่ ยาว ๆ ตอนเดียว ซึ่งจะมปี ัญหาท้งั ตอนอดั และแก้ไขยาก และนักเรียนจะเหน่อื ยในการดู หากจะกลบั มาทบทวนก็ยาก 448 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

๓.๓ อาจจะหาสอ่ื เพมิ่ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ ภาพเคลอ่ื นไหว (animation) สอ่ื จำ� ลองสถานการณ์ (simulation) จากแหลง่ สือ่ คณุ ภาพ จะช่วยใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจไดง้ า่ ยขึ้น แหล่งสอ่ื คุณภาพ ไดแ้ ก่ ๓.๓.๑ MERLOT (http://www.merlot.org) ๓.๓.๒ Youtube Education (http://www.youtube.com/education) ๔. กิจกรรมการเรียนในชั้นเรียนท่ีไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม อาจจะท�ำให้คุณภาพการเรียนรู้ ยังพฒั นาไมไ่ ดต้ ามเปา้ หมาย มแี นวทางปฏบิ ัติ ดังน้ี ๔.๑ กจิ กรรมกอ่ นชน้ั เรยี นทเ่ี หมาะสมสำ� หรบั หอ้ งเรยี นขนาดใหญ่ หรอื เมอ่ื เรม่ิ ตน้ ใชห้ อ้ งเรยี นกลบั ทาง คือ การใช้ค�ำถาม หรือแบบทดสอบความรู้ท้ังช้ัน ร่วมกับการเฉลยและอภิปรายค�ำตอบ เน่ืองจากนักเรียนทั้งชั้นจะให้ ความสนใจวา่ ตนเองตอบถกู หรอื ไม่ นกั เรยี นทต่ี อบถกู กจ็ ะเกดิ ความภมู ใิ จและมน่ั ใจ นกั เรยี นทต่ี อบไมถ่ กู กจ็ ะมคี วามสงสยั เกดิ คำ� ถามทจี่ ะถามอาจารย์ หรอื หากมเี พอื่ นทต่ี อบถกู กจ็ ะสอบถามแลกเปลย่ี นกนั หรอื กลบั ไปทบทวนบทเรยี นเพอ่ื ใหร้ วู้ า่ ผดิ ตรงไหน แนวปฏบิ ตั ขิ องอาจารย์ท�ำได้หลายทาง คอื ๔.๑.๑ ในกรณีที่นักเรียนตอบถูกส่วนใหญ่ อาจารย์สามารถอธิบายสรุปส้ัน ๆ เพ่ือให้นักเรียนที่ ตอบไมถ่ ูกทราบและอาจจะแนะนำ� แหล่งความร้เู พม่ิ เตมิ ๔.๑.๒ ในกรณีที่นักเรียนตอบถูก และไม่ถูก ใกล้เคียงกัน อาจารย์สามารถประยุกต์ใช้เทคนิค Think-Pair-Share คือ ให้นักเรียนที่ตอบถูกและไม่ถูก พูดคุยแลกเปลี่ยนเหตุผลกัน จะช่วยให้นักเรียนได้เห็นมุมมองและ เหตุผลของอีกฝา่ ย และนักเรียนทตี่ อบถูกจะอธบิ ายใหน้ กั เรยี นทีต่ อบไม่ถูกด้วยภาษาท่เี ข้าใจกันงา่ ยข้ึน ๔.๑.๓ ในกรณีท่ีตอบไม่ถูกจ�ำนวนมาก อาจารย์สามารถจะสอบถามเหตุผลท่ีนักเรียนส่วนใหญ่ เลือกคำ� ตอบทีไ่ มถ่ กู เพอ่ื จะได้เขา้ ใจความคดิ และบรรยายเสริมหรือทบทวนให้เขา้ ใจได้ สรุป จากแนวคิดและหลักของห้องเรียนกลับทาง จะเห็นได้ชัดเจนว่าโมเดลการสอนห้องเรียนกลับทาง จะช่วยให้ ผู้เรยี นต่ืนตวั ในการเรียนรู้ เป็นหลักในการเรยี นตามพ้ืนฐานและศักยภาพของตนเองและสง่ เสริมการเรยี นรู้ 449 สารานุกรมการศึกษาร่วมสมยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘

บรรณานุกรม วจิ ารณ์ พานชิ . (๒๕๕๖). ครเู พอื่ ศษิ ยส์ รา้ งหอ้ งเรยี นกลบั ทาง. กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ สิ ยามกมั มาจล. Educause. (2012). 7 Things You Should Know, EDUCAUSE Learning Initiative (ELI). Retrieved July 14, 2015, from http://www.educause.edu/library/resources/7-things-you-should-know-about-flipped-classrooms Jonathan Bergmann and Aaron Sams. (2012). Flip Your Classroom: Reach Every Student in Every Class Every Day. ASCD and ISTE. International Society for Technology in Education ; Alexandria, Va. : ASCD, c2012. McLaughlin Jacqueline E. et al. (2014). The Flipped Classroom: A Course Redesign to Foster Learning and Engagement in a Health Professions School. Academic Medicine, Vol. 89, No. 2. Retrieved November 24, 2015, from http://journals.lww.com/academicmedicine/Abstract/2014/02000/The_Flipped_Classroom___A_ Course_Redesign_to.17.aspx Roehl, Amy., Reddy, Shweta. L., Shannon, Gayla, J.. (2013). The Flipped Classroom: An Opportunity to Engage Millennial Students Through Active Learning Strategies. Journal of Family & Consumer Sciences. Vol. 105. No. 2. Retrieved November 24, 2015, from http://www.gaylajettshannon.com/uploads/2/4/6/7/24670334/ engaging_millennials_jcsa.pdf 7 Steps to a Flipped Classroom. (2014). Plymouth University. Retrieved October 24, 2015, from https://www.plymouth. ac.uk/uploads/production/document/path/2/2399/7_Steps_to_a_Flipped_Clas sroom.pdf 450 สารานุกรมการศกึ ษาร่วมสมัย เฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘