Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_32

tripitaka_32

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_32

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 101ประการน้ี แมไ มมคี นอื่นชักชวน ทา นก็เรยี กวา มนุษยธรรม เพราะเปน ธรรมทมี่ นุษย ผูเกดิ ความสังเวช มาทานดวยตนเองในทา ยแหง สันถันตรกัปป (กปั ปท่ีฆา ฟนกนั ดวยศาตราวธุ ). แตฌ านและวปิ สสนา มรรคและผล พงึ ทราบวา ยงิ่ ไปกวามนุษยธรรมนัน้ . บทวา อลมรยิ ญาณทสสฺนวเิ สส ความวา คุณวิเสสกลา วคอืญาณทสั สนะ อนั ควรแกพระอริยะท้ังหลาย หรือทส่ี ามารถทําใหเปน อรยิ ะ. จรงิ อยู ญาณน่ันแล พงึ ทราบวา ญาณเพราะอรรถวารู วา ทัสสนะ เพราะอรรถวา เหน็ . คําวาอลมริยญาณทสสฺ นวเิ สสนี้เปน ช่อื ของทิพพจกั ขุญาณ วปิ ส สนาญาณ มรรคญาณ ผลญาณและปจ จเวกขณญาณ. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๕ อรรถกถาสูตรท่ี ๖ ในสูตรที่ ๖ มีวินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี :- บทวา อจฺโฉ แปลวา ไมมมี ลทิน. บาลวี า ปสนโฺ น (ใส)ดังนกี้ ค็ วร. บทวา วิปปฺ สนฺโน แปลวาใสดี. บทวา อนาวิโล แปลวาไมขนุ มัว อธิบายวา บริสุทธ์ิ. ทา นอธบิ ายไววา เวนจากฟองนาํ้สาหรา ย และจอกแหน. บทวา อนาวิเลน ไดแก ปราศจากนวิ รณ ๕.คาํ ทีเ่ หลือมนี ยั ดังกลา วแลว ในสูตรท่ี ๔ นนั่ แล. ในสูตรท้งั ๒ น้ีทา นกลาวท้งั วัฏฏะ ท้งั วิวัฏฏะน่นั แล. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๖























































พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 129ทง้ั หลาย เม่อื บคุ คลไมส ันโดษ อกศุ ลธรรมที่ยังไมเกิด ยอ มเกดิ ข้นึและกุศลธรรมท่เี กดิ ขน้ึ แลว ยอ มเสือ่ มไป. [๖๖] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอ่ืนแมอ ยางหนึง่ ทเี่ ปน เหตุใหกุศลธรรมท่ยี งั ไมเกดิ เกดิ ข้ึน หรืออกุศลธรรมทเี่ กดิ ข้นึ แลว เส่อื มไป เหมือนความสนั โดษ ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลายเม่ือบุคคลสนั โดษ กศุ ลธรรมทีย่ งั ไมเ กิด ยอมเกดิ ขนึ้ และอกุศลธรรมทเี่ กดิ ข้ึนแลว ยอมเสื่อมไป. [๖๗] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่นื แมอยางหนงึ่ ที่เปนเหตุใหอ กุศลธรรมที่ยงั ไมเกดิ เกดิ ข้ึน หรือกุศลธรรมท่ีเกดิ ขึ้นแลว เสอ่ื มไป เหมอื นการใสใ จโดยไมแ ยบคาย ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย เม่อื บุคคลใสใ จโดยไมแยบคาย อกศุ ลธรรมที่ยงั ไมเ กดิยอมเกิดขึ้น และกศุ ลธรรมที่เกิดขน้ึ แลว ยอ มเสือ่ มไป. [๖๘] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยางหนงึ่ ทเ่ี ปน เหตใุ หกศุ ลธรรมท่ยี ังไมเกิด เกดิ ขึ้น หรอื อกุศลธรรมที่เกิดขึน้ แลว เสอ่ื มไป เหมือนการใสใจโดยแยบคาย ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย เมอ่ื บคุ คลใสใจโดยแยบคาย กุศลธรรมท่ยี ังไมเกดิ ยอมเกดิ ขน้ึ และอกศุ ลธรรมท่เี กดิ ขน้ึ แลว ยอมเส่อื มไป. [๖๙] ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย เรายอมไมเ ลง็ เห็นธรรมอน่ื แมอ ยา งหน่ึง ท่ีเปนเหตุใหอ กุศลธรรมที่ยังไมเ กิด เกิดขึ้น หรือกศุ ลธรรมที่เกิดข้ึนแลว เสอื่ มไป เหมอื นความเปนผูไมรูส กึ ตัว ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย เมอ่ื บุคคลไมรสู กึ ตัว อกศุ ลธรรมท่ียังไมเ กิด ยอ มเกดิ ขึน้และกุศลธรรมที่เกิดขึน้ แลว ยอ มเส่อื มไป

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 130 [๗๐] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เรายอมไมเ ล็งเหน็ ธรรมอ่นื แมอ ยา งหนงึ่ ที่เปน เหตใุ หก ุศลธรรมท่ยี ังไมเ กดิ เกิดขน้ึ หรืออกศุ ลธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ แลว เส่ือมไป เหมือนความเปน ผรู ูสึกตัว ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลายเมอ่ื บุคคลรูสึกตัว กุศลธรรมทยี่ ังไมเ กดิ ยอมเกิดขึ้น และอกศุ ล-ธรรมทเ่ี กดิ ขึน้ แลว ยอ มเสือ่ มไป. [๗๑] ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอน่ื แมอ ยา งหน่งึ ที่เปน เหตใุ หอกุศลธรรมทยี่ งั ไมเกิด เกดิ ขึ้น หรอื กุศลธรรมทเ่ี กิดข้ึนแลว เส่อื มไป เหมือนความเปนผูมีมิตรช่วั ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลายเมอ่ื บุคคลมีมิตรชั่ว อกศุ ลธรรมท่ียงั ไมเกดิ ยอ มเกิดข้นึ และกศุ ล-ธรรมทเ่ี กดิ ข้ึนแลว ยอ มเสอ่ื มไป. จบ วิริยารัมภาทวิ รรคที่ ๗

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 131 อรรถกถาวริ ยิ ารมั ภาทิวรรคท่ี ๗ อรรถกถาสูตรท่ี ๑ ในสูตรที่ ๑ แหงวรรคที่ ๗ มวี นิ จิ ฉัยดงั ตอไปนี้ :- บทวา วรี ยิ ารมฺโภ ไดแ ก ความรเิ รม่ิ ความเพียร คอื สมั มัปปธานซ่ึงมีกจิ อธบิ ายวา ความเปน ผมู คี วามเพยี รอันประคองไวบ ริบรู ณ. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๑ อรรถกถาสูตรที่ ๒ ในสตู รท่ี ๒ มีวินิจฉัยดงั ตอไปน้ี :- บทวา มหจิ ฺฉตา ไดแก ความโลภมาก ซึ่งทานหมายกลา วไววา ในธรรมเหลา นัน้ ความมักมากเปนไฉน ? ความปรารถนายิง่ ๆ ข้นึ ไป แหงภกิ ษผุ ูไ มส นั โดษดว ยจีวรบิณฑบาต เสนาสนะคิลานปจ จยั อนั เปน เภสัชชปรกิ ขาร ยง่ิ ข้นึ ๆ หรือดว ยกามคุณ ๕ความปรารถนา ความเปนแหง ความปรารถนา ความมักมากความกาํ หนดั ความกําหนดั มาก แหงจิตเหน็ ปานนีใ้ ด นเ้ี รียกวามหิจฉตา ความมกั มาก. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๒

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 132 อรรถกถาสตู รท่ี ๓ ในสูตรท่ี ๓ มีวินจิ ฉัยดังตอไปน้ี :- บทวา อปปฺ จฉฺ ตา ไดแ ก ความไมโลภ. บทวา อปปฺ จฺฉสสฺไดแ กผูไมป รารถนา กใ็ นท่นี ้ี พยัญชนะ ดูเหมือนยงั มีสว นเหลอืคอื ยงั มีปรารถนาอยบู า ง สวนอรรถไมมสี วนเหลือ คือไมปรารถนาเลย. จรงิ อยู บุคคลน้ันทานเรียกวา ผูมคี วามปรารถนานอย เพราะภาวะทมี่ คี วามปรารถนามีประมาณนอยกห็ ามิได แตทานเรียกวามคี วามปรารถนานอย (มักนอ ย) เพราะไมม ีความปรารถนา คอืภาวะ ท่ีไมม ีความโลภ ทเี่ ขาสอ งเสพบอ ย ๆ นั่นแล. อีกอยางหนึ่ง ในท่ีนี้ พงึ ทราบความตางกนั ดงั นี้วา อตฺริจฉฺ ตาความปรารถนาเกนิ ปาปจฺฉตา ความปรารถนาลามก มหิจฉฺ ตาความมักมาก. ใน ๓ อยางนัน้ ความไมอม่ิ ในลาภของตนยงั ปรารถนาในลาภของผูอ ืน่ ชอ่ื วา ความปรารถนาเกนิ . สาํ หรับผปู ระกอบดว ยความปรารถนาเกิดนั้น แมขนมสุกในภาชนะหนง่ึ เขาใสไวในภาชนะของตน ยอมปรากฏ เหมอื นขนมทส่ี ุกไมด ี และเหมอื นมนี อยขนมน้นั นั่นแล เขาใสใ นภาชนะของคนอ่นื ปรากฏเหมือนสุกดีและเหมือนมีมาก. ความประกาศคุณท่ไี มม อี ยู และความไมร ูจ ักประมาณในการรับ ชือ่ วา ความปรารถนาลามก. ความปรารถนาลามกแมน ั้น มาแลว ในอภธิ รรม โดยนัยมีอาทวิ า คนบางคนในโลกน้ีเปนผไู มม ศี รัทธา ยอมปรารถนาวา ขอชนจงรจู กั เราวา เปน ผูมีศรัทธา. บุคคลผปู ระกอบดว ยความปรารถนาลามกน้นั ยอ ม

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 133ต้ังอยูในความหลอกลวง. สวนความประกาศคุณที่มีอยู และความเปนผูไมรจู ักประมาณในการรับ ชื่อวา เปน ผูม คี วามมกั มาก. ความมกั มากแมน ้ันกม็ าแลว โดยนยั นเ้ี หมือนกันแหละวา คนบางคนในโลกนี้ เปนผูมีศรทั ธา ยอ มปรารถนาวา ขอชนจงรูจกั เราวา เปนผมู ีศรทั ธา. บางคนเปนผูมีศลี ยอมปรารถนาวา ขอชนจงรจู ักเราวา เปน ผูมีศีล. บคุ คลผูป ระกอบดวยความมกั มากนนั้ เปนผูอิ่มไดย าก. แมม ารดาผูบงั เกิดเกลา ก็ไมสามารถจะยดึ จติ ใจเขาได.ดวยเหตนุ ้นั ทานจงึ กลา วคาํ นไี้ ววา อคฺคกิ ฺขนโฺ ธ สนุทฺโทจ มหิจโฺ ฉ จาป ปคุ ฺคโล สกเฏน ปจฺจดย เทนตฺ ุ ตโยเปเต อตปฺปย า. กองไฟ ๑ สมทุ ร ๑ คนมักมาก ๑ ใหปจ จัยต้ัง เลมเกวียน ท้งั ๓ ประเภทน้นั ไมรูจักอืน่ .สวนการซอ นคุณทม่ี ีอยู ความเปน ผูร จู ักประมาณในการรบั ชือ่ วาความเปนผูมกั นอย. บุคคลผูประกอบดวยความเปนผมู ักนอยนั้นยอมปรารถนาวา ขอชนจงรูจกั เราวาเปนผูมีศรทั ธา เปนผูมีศีล ชอบสงดั เปนพหุสูต ผูปรารภความเพยี ร ถึงพรอ มดวยสมาธิ เปนผูมีปญญา เปน ขณี าสพ ยอมไมปรารถนาวา ขอชนจงรจู ักเราวาเปน พระขีณาสพ เหมือนพระมัชฌันตกิ เถระ ฉะนัน้ . ไดยินวา พระเถระ ไดเปน พระขณี าสพผใู หญ. แตบ าตรและจวี รของทา น มรี าคาเพยี งบาทเดยี วเทานั้น. ทานไดเปน พระสังฆเถระ ในวันฉลองวหิ าร ของพระเจา ธรรมาโศกราช. คร้งั น้ัน

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 134มนุษยท ้งั หลายเหน็ วา ทานเปน ผูปอนนัก จึงกลา ววา ทา นเจาขาขอทานจงอยูภายนอกสกั ครเู ถดิ . พระเถระคิดวา เมื่อพระขณี าสพเชนเรา ไมกระทาํ การสงเคราะหพ ระราชา คนอื่นใครเลา จักทาํ ไดดงั นี้แลวจึงดําลงในแผน ดนิ แลวผดุ ขึน้ รับกอนขาวทเ่ี ขายกขน้ึ เพ่ือพระสังฆเถระไดพอดี. ทา นเปน พระขีณาสพ ยอ มไมปรารถนาวาขอคนจงรูจักเราวา เปน พระขีณาสพ ดว ยประการอยา งน้.ี ก็แล ภกิ ษุผูมกั นอ ยอยา งน้ี ยอ มทําลาภที่ยังไมเกดิ ใหเกดิข้ึน หรอื ยอมทาํ ลาภท่เี กิดขน้ึ แลวใหมั่นคง ยอ มทาํ จติ ของทายกใหยนิ ดี. ภิกษุนั้นยอ มถอื เอาแตน อ ย เพราะความท่ีตนเปนผูมกั นอ ยโดยประการใด ๆ มนษุ ยทงั้ หลายเล่อื มใสในวตั รของทา น โดยประการน้ัน ๆ ยอมถวายเปนอนั มาก. ความมกั นอ ยแมอกี อยา ง มี ๔ ประการคือ มักนอยในปจ จยั ๑มกั นอ ยในธุดงค ๑ มกั นอยในปริยตั ิ ๑ มกั นอ ยในอธิคม ๑ บรรดาความมกั นอ ย ๔ อยางน้ัน ความมักนอยในปจจัย ๔ ชอ่ื วา มักนอยในปจจัย. ภิกษุนัน้ ยอ มรูกําลงั ของทายก ยอมรูกาํ ลงั ของไทยธรรมยอมรูกําลังของตน ถาไทยธรรมมีมาก ทายกประสงคจ ะถวายนอยยอ มรบั แตน อ ย ดวยอํานาจทายก, ไทยธรรมมีนอ ย ทายกประสงคจะถวายมาก ยอมรับแตน อ ย ดวยอํานาจไทยธรรม แมไทยธรรมมีมาก ทั้งทายกกป็ ระสงคจ ะถวายมาก ยอ มรูจกั กาํ ลงั ของตนแลวรบั แตพอประมาณ. ภิกษผุ ูไมป ระสงคจะใหค นอ่ืนรกู ารสมาทานธดุ งคแจม แจง พงึ ทราบเร่ืองเหลา นี้ เปนอุทาหรณ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 135 เลากนั มาวา พระมหากุมารกสั สปเถระผถู อื โสสานกิ งั คธุดงคอยใู นปาชามาตลอด ๖๐ ป. ภกิ ษุอื่นแมแ ตร ูปเดียวกไ็ มร ู ดวยเหตุนน้ั แล ทา นจึงกลาววา เราอยูในปาชามาตลอด ๖๐ ปร วด ภิกษผุ เู ปน เพอื่ น ก็ไมรเู รา โอเราเปน ยอดของผูถือการอยู ปา ชา เปนวตั ร.พระเถระสองรปู พน่ี อ งกนั อยูทีเ่ จตยิ บรรพต. นองชายถอื เอาทอนออ ยทอี่ ุปฏ ฐากสงไปถวาย ไปสูสํานกั ของพ่ีชายกลาววา ทา นขอรับนมิ นตท านฉนั เถดิ . เวลาทพ่ี ดู เปน เวลาท่พี ระเถระกระทาํ ภัตตกจิเสรจ็ แลวบว นปาก. พระเถระกลา วา อยาเลยคณุ . นอ งชายกลา ววาทา นถอื เอกาสนิกังคธุดงคหรือขอรับ. พระเถระกลา ววา เอามาเถอะคุณ ทอ นออ ย แมถอื เอกาสนกิ งั คธดุ งคถงึ ๕๐ ก็ยงั ปกปดธดุ งคไว กระทําการฉนั แลว บว นปาก อธิ ษิ ฐานธดุ งคใ หมแ ลว ไป. ก็ภิกษุใด เปน เหมอื นพระสาเกตตสิ สเถระ ไมป รารถนาจะใหผูอ นื่รวู า ตนเปนพหุสูต ภกิ ษุ ชือ่ วา เปนผูมักนอยในปรยิ ตั ิ. ไดย ินวา พระเถระคิดวา เวลาไมมีจงึ ไมก ระทาํ โอกาสในอเุ ทศ (เรยี น) และปรปิ จุ ฉา (สอบถาม) ถกู ทกั ทว งวา ทา นขอรับเมือ่ ไรทา นจักไดมรณขณะ (เวลาตาย) จงึ สละหมู ไปยงั กณกิ ารวาลิกสมทุ รวหิ าร. ในท่นี นั้ ทา นไดม อี ปุ การะแกพ ระเถระ พระนวกะและพระมชั ฌิมะ ตลอดภายในพรรษา ในปวารณาในวนั อุโบสถ.ใหชาวชนบทแตกตื่นดวยธรรมมกี ถาแลวกไ็ ป.

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 136 สวนภิกษใุ ดเปน พระอริยะชั้นใดชนั้ หน่ึงมพี ระโสดาบันเปนตนไมป รารถนาใหผ ูอ่ืนรูว า ตนเปน พระโสดาบนั เปน ตน ภกิ ษนุ ี้ ชอ่ื วาผมู คี วามปรารถนานอยในอธคิ ม เหมือนกลุ บตุ ร ๓ คน แลเหมอื นชางหมอ ช่ือฆฏีการะ. ก็ในอรรถน้ี แมป ถุ ุชนผศู ึกษาประกอบดว ยความไมโ ลภมกี ําลงั กลา ไดอาเสวนะแลว กพ็ ึงทราบวาเปนผูม ักนอ ย. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๓ อรรถกถาสตู รที่ ๔ ในสตู รท่ี ๔ มีวนิ ิจฉัยดงั ตอไปนี้ :- บทวา อสนฺตุฏิตา ไดแ ก ความโลภกลาวคอื ความไมส ันโดษอันเกดิ แกบคุ คลผูเ สพคบหา เขาไปนงั่ ใกล บคุ คลผูไมส ันโดษ. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔ อรรถกถาสตู รท่ี ๕ ในสูตรท่ี ๕ มวี นิ ิจฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา สนตฺ ุฏติ า ไดแ ก ความสนั โดษกลา วคือความไมโลภอันเกิดแกบคุ คลผูเสพคบหา เขาไปนง่ั ใกล บคุ คลผสู นั โดษ. บทวา สนฺตุฏสสฺ ไดแกผปู ระกอบดวยความสันโดษในปจ จัยตามมีตามได ความสันโดษน้ันมี ๑๒ อยาง คือ ความสันโดษในจวี ร

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 137๓ อยาง คอื ยถาลาภสันโดษ ๑ ยถาพลสันโดษ ๑ ยถาสารุปปสันโดษ ๑. ในบิณฑบาตเปน ตน ก็เหมอื นกัน. สันโดษนนั้ มกี ารพรรณนาตามประเภทดังตอ ไปน้ี ภิกษุในพระศาสนาน้ี ไดจ วี รดหี รอืไมด กี ็ตาม เธอยงั อัตภาพใหเ ปน ไปดว ยจีวรนน่ั แล ไมป รารถนาจวี รอ่นื ถงึ ไดก็ไมร ับ นช้ี ่ือวา ยถาลาภสนั โดษในจวี รของภิกษนุ น้ั .ฝายภิกษุอกี รูปหน่ึง เปน ผูม ีกาํ ลงั ทรุ พลตามปกติ หรือถูกอาพาธและชราครอบงํา หมจวี รหนกั ยอ มลําบาก เธอเปล่ยี นจวี รนนั้ กบัภกิ ษุผชู อบพอกัน ถงึ จะยังอตั ภาพใหเ ปน ไปดว ยจีวรเบา ก็เปนผูสันโดษ. นี้ช่ือวา ยถาพลสนั โดษในจวี รของภิกษุน้ัน. ภิกษอุ กี รูปหนึง่ เปนผไู ดปจจยั ทีป่ ระณตี ไดจ วี รแผนผา ทนี่ าํ มาแตเ มืองโสมารเปนตน อยา งใดอยา งหนึง่ ท่ีมรี าคา ก็หรือวา ไดจีวรเปนอันมากใหไปดว ยคดิ วา จีวรนีส้ มควรแกพ ระเถระผูบวชนาน นี้สมควรแกภิกษุ ผเู ปนพหูสตู น้ีสมควรแกภิกษผุ เู ปนไข นสี้ มควรแกภ ิกษุผมู ีลาภนอ ย แลวจงึ เลอื กเอาจีวรเกา ของภกิ ษเุ หลา นน้ั หรือผาเปรอะเปอ นจากกองขยะ เปน ตน (หรอื ผา ตกตามรา นตลาด) กระทําเปน สงั ฆาฏิดว ยผา เหลา นน้ั แมครองเองกเ็ ปน ผูสนั โดษทีเดยี ว นี้ชอื่ วา ยถาสารุปปสันโดษ ของภิกษนุ น้ั . อนง่ึ ภิกษใุ นศาสนานไี้ ดบิณฑบาตอนั เศราหมองหรือประณตี เธอยอ มยงั อตั ภาพใหเปน ไปดว ยบณิ ฑบาตนั้นน่นั แล ไมป รารถนาบณิ ฑบาตอืน่ ถึงไดก ็ไมร ับน้ชี ่อื วา ยถาลาภสนั โดษของภกิ ษนุ ัน้ อนงึ่ ภกิ ษุใดบิณฑบาตท่ีแสลงตอปกตขิ องตน หรอื แสลงแกค วามปวยไข บรโิ ภคแลวไมผ าสกุ เธอใหบ ิณฑบาตน้นั แกภิกษุผชู อบพอกัน แลว ฉันโภชนะอันเปน สัปปายะจากมือของภิกษนุ ้นั แมกระทาํ สมณธรรมอยู กเ็ ปนผูส นั โดษแท

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 138นชี้ อ่ื วา ยถาพลสนั โดษ ในบณิ ฑบาตของภิกษุน้นั . ภกิ ษอุ ีกรปู หน่งึไดบ ณิ ฑบาตอนั ประณีตเปนอนั มาก เธอถวายบณิ ฑบาตนัน้ แกพระเถระผบู วชนาน ผเู ปน พหูสูต ผมู ลี าภนอ ย และผูเปนไข เหมอื นจีวร แมฉนั อาหารจากสํานักของภิกษุเหลา น้ัน หรอื อาหารทร่ี ะคนกนัเพราะเทีย่ วบณิ ฑบาตมา ก็ช่ือวา เปน ผสู ันโดษแท. นช้ี ือ่ วา ยถาสารปุ ป-สันโดษในบิณฑบาตของภกิ ษุนนั้ . อนง่ึ ภกิ ษุในพระศาสนานี้ ไดเสนาสนะท่ีนา ชอบใจ. หรอืไมน าชอบใจ. เธอไมใ หค วามดีใจเกดิ ขึน้ ไมใ หค วามขุนใจเกดิ ข้นึยอ มยนิ ดดี วยเสนาสนะ ตามทีไ่ ดเ ทา นน้ั โดยท่สี ุดแมเครอื่ งลาดทําดว ยหญา. น้ชี ือ่ วา ยถาลาภสันโดษในเสนาสนะของภกิ ษนุ น้ั . อน่งึ ภิกษุไดเ สนาสนะ. แสลงแกปกติของตน หรอื แสลงแกความเปน ไขของตน ซง่ึ เธออยู ไมมคี วามผาสุก เธอใหเ สนาสนะนัน้แกภกิ ษุผชู อบพอกนั แมจ ะอยใู นเสนาสนะอันเปนสัปปายะ กเ็ ปนผสู ันโดษแท นช้ี ่ือวา ยถาพลสนั โดษในเสนาสนะของภกิ ษุนั้น.ภิกษอุ กี รูปหนง่ึ มีบญุ มาก ไดเ สนาสนะอันประณีต เปน อนั มากมถี าํ้ มณฑป และเรือนยอดเปน ตน เธอถวายเสนาสนะแมเหลาน้นัแกพระเถระผบู วชนาน ผูพหสุ ตู ผมู ีลาภนอย และผูเปน ไขเ หมอื นดงั จีวร ถงึ จะอยใู นทีใ่ ดทหี่ นง่ึ ก็เปนผูสันโดษแท นี้ ชอ่ื วา ยถาสารปุ ป-สนั โดษในเสนาสนะของภกิ ษุนั้น. แมภิกษใุ ด พิจารณาวา ธรรมดาวา เสนาสนะ. อันดีที่สุด เปน ที่ตั้งแหงความประมาท ถนี มทิ ธะ ยอ มครอบงําสาํ หรบั ผนู ง่ั ในทน่ี ัน้ สาํ หรับผนู อนหลับแลว ตนื่ ข้ึน วิตก

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 139อนั ลามกยอมปรากฏ เธอไมรับเสนาสนะเชน นนั้ แมที่มาถึงแลวเธอปฏเิ สธเสนาสนะนนั้ ถงึ จะอยใู นกลางแจง มีอยูโ คนไมเ ปนตนกเ็ ปน ผูสนั โดษแท น้ีช่อื วา ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะของภิกษนุ ้นั . อนง่ึ ภิกษุในพระศาสนานี้ ไดเภสชั อนั เศรา หมอง หรือประณีตเธอยอ มยินดีดว ยเภสชั ทตี่ นไดน น้ั น่นั แล ไมป รารถนาเภสัชอื่นถงึ จะไดก ็ไมรบั น้ชี ื่อวายถาลาภสนั โดษ ในคิลาปจจัยของภกิ ษุนน้ั .อนึง่ ภกิ ษใุ ด ตอ งการนา้ํ มนั กลับไดนํ้าออ ย แมเ ธอถวายน้ําออ ยนัน้ แกภกิ ษผุ ูช อบพอกนั ถอื เอานา้ํ มันจากมอื ของภกิ ษผุ ชู อบกันนัน้ หรอืแสวงหานา้ํ มันอืน่ กระทําเภสชั ก็เปนผูสนั โดษแท น้ชี ือ่ วายถาพลสันโดษในคิลานปจจัย ของภิกษนุ ้ัน ภกิ ษอุ กี รูปหน่งึ มีบุญมาก ไดเภสัชอนั ประณีต มีน้ํามนั และน้ําออยเปน ตน เปนอนั มากเธอถวายเภสชั นั้นแกพระเถระผูบ วชนาน ผพู หสู ูต ผมู ลี าภนอ ยและผูเปน ไข เหมอื นจีวร แมจะยงั อตั ภาพใหเปน ไปดวยเภสชั อยางใดอยา งหนึ่ง อนั เขานาํ มาแลวเพื่อภิกษุเหลา นนั้ กเ็ ปนผสู ันโดษแท.อนงึ่ ภิกษุใดเม่อื เขาใสสมอดองนํา้ มตู รลงในภาชนะหนงึ่ วางวตั ถุมีรสอรอ ย ๔ ลงในภาชนะหนง่ึ แลว พูดวาทานขอรบั ทา นตองการส่งิ ใด จงถือเอาส่ิงน้นั ไปเถดิ ถา โรคของเธอสงบไป แมดวยเภสัชทง้ั สอง ชนดิ ใดชนิดหนึ่งไซร เมือ่ เปน เชน นน้ั ชอื่ วา สมอดองนํ้ามูตรบัณฑติ ท้งั หลาย มีพระพทุ ธเจา เปน ตนสรรเสรญิ แลว จงึ ปฏเิ สธของมีรสอรอย ๔ อยาง แมก ระทาํ เภสัชดวยสมอดองน้ํามตู รกเ็ ปนผสู นั โดษอยา งยงิ่ นีช้ อื่ วา ยถาสารปุ ปสันโดษในคิลานปจจยั ของ

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 140ภิกษุนนั้ . ก็บรรดาสนั โดษ ๓ ในปจ จยั เฉพาะอยา งหนงึ่ ๆ นี้ ยถา-สารุปปสันโดษเปน เลิศ. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕ อรรถกถาสตู รท่ี ๖ - ๗ ในสตู รท่ี ๖ - ๗ มีวินจิ ฉัยดงั ตอไปน้ี :- อโยนิโสมนสกิ าร และโยนิโสมนสิการ มีลกั ษณะดงั กลาวแลวในหนหลงั และคําทีเ่ หลือในสูตรนี้มเี นื้อความงา ยทง้ั นน้ั แล. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๖ - ๗ อรรถกถาสตู รที่ ๘ ในสูตรท่ี ๘ มีวินิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี :- บทวา อสมฺปชฺ ไดแก ความไมรตู ัว. คาํ วาอสมฺปชฺ นี้ เปนช่อื ของโมหะ. บทวา อสฺปชานสสฺ ไดแ ก ผไู มรูตัว คือผหู ลง. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๘

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 141 อรรถกถาสตู รที่ ๙ ในสูตรที่ ๙ มวี นิ ิจฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา สมฺปชฺ ไดแ ก ความรูตัว. บทวา สมปฺ ชฺ น้ีเปนช่อื แหง ปญญา. บทวา สมปฺ ชานสสฺ ไดแกผรู ตู ัวอยู. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๙ อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ ในสูตรที่ ๑๐ มีวินจิ ฉัยดงั ตอไปน้ี :- บทวา ปาปมิตฺตตา ความวา มติ รชั่ว คอื ลามก มอี ยูแกผใู ดผนู นั้ ช่ือวา มีมิตรชวั่ . ความมีมติ รช่วั ชื่อวา ปาปมิตตตาความเปนผมู ีมติ รชว่ั . คาํ วา ปาปมติ ตตา นี้ เปนชือ่ ของขนั ธ ๔ที่เปน ไปโดยอาการนั้น. สมจรงิ ดงั คาํ ที่ทา นกลา วไวว า ในบรรดาธรรมเหลานนั้ ความเปน ผูมีมติ รชวั่ เปน ไฉน ? บคุ คลเหลาใด เปนผไู มมศี รทั ธา เปน ผทู ุศีล เปนผมู สี ขุ นอย เปน ผูตระหนี่ เปนผูมีปญ ญาทราม การเสพ การอาศัยเสพ การสอ งเสพ การคบหาการสมคบ ความภักดี ความจงรัก บคุ คลเหลา น้ัน ความมบี ุคคลเหลา นนั้เปนเพ่อื นน้ี เรียกวา ความเปน ผมู มี ิตรชัว่ . จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ จบ อรรถกถาวริ ยิ าภมั ภาทวิ รรคท่ี ๗

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 142 กลั ยาณมิตตตาทิวรรคท่ี ๘ วาดวยความมีมิตรดีเปนเหตใุ หกุศลธรรมเกิดขนึ้ เปนตน [๗๒] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่ืนแมอ ยา งหนง่ึ ท่เี ปน เหตุใหกุศลธรรมท่ียงั ไมเ กดิ เกิดข้ึน หรืออกศุ ลธรรมท่ีเกดิ ขึ้นแลว เสอื่ มไป เหมือนความเปน ผูมีมิตรดี ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลายเม่ือบุคคลมีมติ รดี กศุ ลธรรมท่ยี งั ไมเกดิ ยอ มเกิดขนึ้ และอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดข้นึ แลว ยอ มเสือ่ มไป. [๗๓] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เรายอ มไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่นื แมอยา งหน่งึ ทเี่ ปน เหตุใหอกศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื กศุ ลธรรมทีเ่ กิดขนึ้ แลว เสอ่ื มไป เหมือนการประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆไมป ระกอบกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เพราะการประกอบอกุศลธรรมเนือง ๆ เพราะการไมป ระกอบกุศลธรรมเนือง ๆ อกุศลธรรมทีย่ ังไมเกิด ยอมเกดิ ขน้ึ และกศุ ลธรรมทเ่ี กดิขนึ้ แลว ยอมเสอ่ื มไป. [๗๔] ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอ่ืนแมอ ยางหน่งึ ทีเ่ ปนเหตใุ หกศุ ลธรรมท่ยี งั ไมเ กิด เกิดขึน้ หรืออกศุ ลธรรมที่เกดิ ข้นึ แลว เส่อื มไป เหมือนการประกอบกุศลธรรมเนือง ๆการไมประกอบอกุศลเนอื ง ๆ ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย เพราะการประกอบกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ เพราะการไมป ระกอบอกศุ ลธรรม

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 143เนอื ง ๆ กุศลธรรมท่ียังไมเ กดิ ยอมเกิดข้ึน อกศุ ลธรรมทีเ่ กดิ ข้ึนแลว ยอ มเสอื่ มไป. [๗๕] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเล็งเห็นธรรมอื่นแมอ ยางหน่งึ ทีเ่ ปนเหตใุ หโพชฌงคทีย่ ังไมเกดิ ไมเกดิ ขึน้ หรือโพชฌงคท เี่ กิดขนึ้ แลว ยอ มไมถ งึ ความเจรญิ บริบรู ณ เหมือนการใสใ จโดยไมแยบคาย ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เม่อื บคุ คลใสใ จโดยไมแยบคายโพชฌงคท่ียังไมเกิด ยอมไมเ กิดขึน้ และโพชฌงคท ่เี กิดข้ึนแลวยอ มไมถึงความเจรญิ บริบรู ณ. [๗๖] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมอยางหน่งึ ที่เปนเหตใุ หโพชฌงคที่ยงั ไมเกดิ เกดิ ข้ึน หรอื โพชฌงคท เี่ กดิข้นึ แลว ยอมถงึ ความเจริญบริบูรณ เหมือนการใสใจโดยแยบคายดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมอื่ บุคคลใสใ จโดยแยบคาย โพชฌงคทีย่ งั ไมเกดิยอมเกิดขนึ้ ละโพชฌงคท ี่เกิดขน้ึ แลว ยอ มถงึ ความเจรญิ บรบิ ูรณ [๗๗] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ความเส่ือมญาตมิ ปี ระมาณนอ ยความเส่อื มปญญาช่วั รา ยที่สุดกวาความเสอ่ื มทั้งหลาย. [๗๘] ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ความเจริญดวยญาตมิ ปี ระมาณนอย ความเจรญิ ดวยปญ ญาเลิศกวาความเจริญทง้ั หลาย เพราะฉะน้ันแหละ เธอทงั้ หลายพึงสําเนยี กอยางน้ีวา เราทั้งหลายจกัเจรญิ ดว ยปญ ญา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย เธอทงั้ หลายพงึ สําเนียกอยางนีแ้ ล.

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 144 [๗๙] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ความเสื่อมแหง โภคะมีประมาณนอย ความเส่อื มแหง ปญญาชวั่ รา ยท่สี ดุ กวาควานเส่ือมท้ังหลาย. [๘๐] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย ความเจรญิ ดวยโภคะมีประมาณนอย ความเจรญิ ดวยปญ ญาเลศิ กวาความเจรญิ ท้งั หลาย เพราะฉะน้ันเธอทั้งหลายพงึ สําเนยี กอยา งนว้ี า เราท้งั หลายจักเจรญิ โดยความเจรญิ ปญ ญา ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย เธอทงั้ หลายพงึ สาํ เนยี กอยา งน้ีแล. [๘๑] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ความเส่อื มยศมีประมาณนอ ยความเสอื่ มปญ ญาชว่ั รายท่สี ุดกวาความเส่อื มท้ังหลาย. จบ กลั ยาณมิตตตาทิวรรคท่ี ๘

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 145 อรรถกถากลั ยาณมติ ตตาทวิ รรคที่ ๘ อรรถกถาสตู รที่ ๑ สูตรท่ี ๑ แหง วรรคที่ ๘ มีวนิ ิจฉัยดังตอไปน้ี :- บทวา กลยฺ าณมิตตฺ ตา ความวา ชอ่ื วากลั ยาณมติ ร เพราะมีมิตรดี ภาวะแหงความเปนผมู กี ัลยาณมติ รน้ัน ชือ่ วา กลั ยาณมติ ตตาความเปน ผูมีมติ รดี. คําทเ่ี หลือพึงทราบโดยนยั ท่ีตรงกนั ขา มกบั คาํดงั กลา วน้ี. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑ อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสตู รท่ี ๒ มีวินจิ ฉัยดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา อนโุ ยโค ไดแก การประกอบ การประกอบทัว่ . บทวาอนนโุ ยโค ไดแ ก การไมป ระกอบ การไมป ระกอบทวั่ . บทวาอนุโยคา แปลวา เพราะการประกอบเนือง ๆ. บทวา อนนโุ ยคาแปลวา เพราะไมป ระกอบเนอื ง ๆ. บทวา กุสลาน ธมฺมาน ไดแ กกศุ ลธรรมอนั เปน ไปในภมู ิ ๔. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๒ อรรถกถาสตู รที่ ๓ ในสตู รท่ี ๓ มีเน้อื ความงายทง้ั นัน้ . จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๓

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 146 อรรถกถาสูตรที่ ๔ ในสูตรท่ี ๔ มีวนิ ิจฉยั ดังตอ ไปนี้ :- บทวา โพชฌฺ งคฺ า ไดแ ก ธรรม ๗ ประการ อนั เปน องคค ุณของสัตวผตู รสั รู. อีกอยางหน่ึง ชือ่ วา โพชฌงคเ พราะเปน องคแหงธรรมสามัคคีเคร่ืองตรัสรอู ันเปน เหตอุ อกจากวฏั ฏะ หรอื ทาํ ใหแ จงสจั จะ ๔ ของสตั วผ ูต รัสรนู ั้น. บทวา โพชฺฌงฺคา ความวา ชอ่ื วาโพชฌงค ดว ยอรรถวากระไร ? ทช่ี อ่ื วาโพชฌงค เพราะเปนองคแหง ธรรมสามคั คเี ครือ่ งตรัสรู ชอ่ื วาโพชฌงค เพราะองคแหงธรรมสามัคคเี คร่อื งตรัสรตู าม. ชอ่ื วา โพชฌงค เพราะเปน องคแหง ธรรมสามัคคเี ครอื่ งตรัสรเู ฉพาะ. ช่ือวา โพชฌงค เพราะเปนองคแ หงธรรมสามคั คเี ครอ่ื งตรสั รูพ รอม. ชื่อวา โพชฌงค เพราะเปนไปพรอ ม ดวยปญญาเครือ่ งตรสั ร.ู ก็บท (วาโพชฌงค) นี้ ทานจําแนกไวแลว ดว ยประการฉะนี้. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๔ อรรถกถาสูตรท่ี ๕ ในสตู รที่ ๕ มีวินิจฉยั ดงั ตอไปนี้ :- ดว ยบทนีว้ า ภาวนาปารปิ ูรึ คจฉฺ นฺติ ยอ มถงึ ความเจรญิเตม็ ท่ี ดงั น้ี ทา นกลา วถงึ ภมู พิ รอมดว ยกจิ ตามความเปน จรงิ แหง

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 147โพชฌงค. กภ็ มู ินีน้ น้ั มี ๔ อยา ง คือวิปสสนา ๑ ฌานทเี่ ปน บาทแหงวปิ ส สนา ๑ มรรค ผล ๑ ใน ๔ อยางนั้น ในเวลาท่ีเกิดในวิปสสนา โพชฌงค จัดเปนกามวจร. ในเวลาทเ่ี กดิ ในฌานอันเปนบาทของวปิ ส สนา โพชฌงค เปนรปู าวจร และอรูปาวจร. ในเวลาท่เี กิดในมรรคและผล โพชฌงคเ ปนโลกตุ ตระ. ดงั นั้น ในสูตรนี้ทานจึงกลา วโพชฌงคว า เปนไปในภมู ทิ ัง้ ๔. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๕ อรรถกถาสูตรท่ี ๖ ในสตู รท่ี ๖ มีความยอเหตทุ ี่เกดิ เร่ือง ก็ในเหตุทเี่ กิดเรอื่ งทานตงั้ เร่ืองไวด งั ตอ ไปน้ี :- ภิกษมุ ากรปู นั่งประชุมกนั ในโรงธรรม ทานเกดิ สนทนาปรารภพนั ธุลมลั ลเสนาบดีขึ้นในระหวา ง ดังน้วี า อาวุโส ตระกลู ช่ือโนนเมอื่ กอ น ไดมีหมญู าตเิ ปนอันมาก มีสมัครพรรคพวกมาก บดั น้ีมีญาตนิ อ ย มีสมคั รพรรคพวกนอย. ลาํ ดับน้ัน พระผูมพี ระภาคเจาทรงทราบวาระจติ ของภกิ ษุเหลา นนั้ ทรงทราบวา เมือ่ เราไป(ทน่ี น้ั ) จักมเี ทศนก ณั ฑใหญจงึ เสด็จออกจากพระคนั ธกุฎี ประทบัน่งั บนบวรพทุ ธอาสน ที่เขาตกแตงไวใ นโรงธรรม แลวตรัสวาภิกษทุ ัง้ หลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมดวยเรือ่ งอะไรกนั . พวกภิกษุกราบทูลวา ขา แตพ ระผมู พี ระภาคเจา เร่อื งคามนิคมเปน ตนอยางอ่นื ยอมไมม ี แตตระกลู ชอื่ โนน เมอื่ กอนมีญาติมาก มีสมัคร

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 148พรรคพวกมาก บดั นี้ มญี าตินอ ย มสี มคั รพรรคพวกนอย พวกขาพระองค น่ังประชมุ สนทนากันดงั น.้ี พระศาสดาทรงปรารภสูตรน้ีวา กอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ความเสื่อมนม้ี ปี ระมาณนอ ย ดังนี้ในเมื่อเกิดเรื่องน้.ี บรรดาบทเหลานั้น บทวา อปปฺ มตตฺ กิ า ไดแกนอย คอื มีประมาณนอย. จรงิ อยู ดว ยความเสอ่ื มน้ี ทา นกลา วคาํ มีอาทิวาความเสอื่ มจากสวรรค หรอื จากมรรคยอ มไมมี นั้นเปนเพียงความเส่ือมในปจจุบนั เทา นน้ั . บทวา เอต ปตกิ ิฏ ความวา นเี้ ปนของทเ่ี ลวรา ย นเ้ี ปน ของตาํ่ ทราม. บทวา ยททิ  ปฺาปริหานิ ความวาความเส่อื มแหงกัมมสั สกตปญ ญา ฌานปญญา วิปสสนาปญ ญามรรคปญญา และ ผลปญญา ในศาสนาของเรา เปน ความเสื่อมท่ีเลวราย เปน ความเส่ือมท่ีตาํ่ ทราม เปนความเส่ือมท่คี วรละทิ้งเสยี . จบ อรรถกถาสตู รที่ ๖ อรรถกถาสตู รที่ ๗ ในสูตรท่ี ๗ ทา นกลา วไวแลว ในเหตุเกดิ เรื่องเหมอื นกนั .ไดย ินวา บรรดา ภกิ ษุสงฆ ผูน ่งั ประชมุ กนั ในโรงธรรม บางพวกกลา วอยา งนวี้ า ตระกูลชอ่ื โนน เมอื่ กอ นมญี าตินอย พวกนอ ย บดั น้ีตระกลู นนั้ มีญาตมิ าก มีพวกมาก หมายเอาตระกูลนน้ั จึงกลาวอยางนี้แล. คือ หมายถงึ นางวสิ าขาอุบาสกิ า และเจาลิจฉวใี นกรงุ เวสาลี. พระศาสดา ทรงทราบวาระจติ ของภิกษเุ หลา น้ัน จึง

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 149เสด็จมาโดยนยั กอนนน่ั แล ประทับนงั่ บนธรรมาสน ตรสั ถามวาภกิ ษทุ ้งั หลาย พวกเธอนั่งสนทนากันดว ยเรอ่ื งอะไร ? ภิกษเุ หลานนั้กราบทลู ใหทรงทราบตามความเปน จรงิ แลว. พระศาสดาทรงเรม่ิพระสตู รนเี้ พ่ือเหตเุ กดิ เรอื่ งน.้ี บรรดาบทเหลานนั้ บทวา อปปฺ มตฺตกิ า ความวา ชอื่ วา นอยเพราะไมม ีผอู าศยั สมบตั ินนั้ แลว ถงึ สวรรคห รือมรรคได. บทวายททิ  ปฺาวฑุ ฺฒิ ไดแ กค วามเจริญแหงกัมมสั สกตปญ ญาเปน ตน.บทวา ตสมฺ า ความวา เพราะช่ือวา ความเจริญแหงญาติเปน เพยี งปจจุบันเปน เรอื่ งเลก็ นอ ย ไมส ามารถใหถ งึ สวรรค หรือมรรคได.บทวา ปญฺ าวฑุ ฺฒิยา ไดแ ก ดว ยความเจริญแหง ปญญา มีกัมมสั สกต-ปญ ญาเปนตน. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๗ อรรถกถาสูตรที่ ๘ สูตรท่ี ๘ ทานกลา วไวในเหตุเกดิ เรื่องเหมือนกัน. ไดย ินวาภิกษมุ ากรปู นง่ั ประชุมกนั ในโรงธรรม ปรารภบุตรของเศรษฐีผูมที รพั ยมากกลา ววา ตระกลู ชือ่ โนน เมอื่ กอ นมโี ภคะมาก มเี งนิและทองมาก บัดน้ีตระกลู นัน้ กลับมโี ภคะนอย. พระศาสดาเสด็จมาโดยนัยกอนนนั่ แหละ ทรงสดับคาํ ของภกิ ษุเหลาน้นั แลว จงึ ทรงเรมิ่ พระสูตรน.ี้ จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๘

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 150 อรรถกถาสูตรท่ี ๙ แมใ น สตู รที่ ๙ ทานก็กลา วไว ในเหตเุ กดิ เรอื่ งเหมอื นกันไดยินวา พวกภกิ ษุนง่ั ประชมุ กนั ในโรงธรรม ปรารภกากวลยิเศรษฐีและปณุ ณเศรษฐี กลา ววา ตระกูลชื่อโนน เมื่อกอ นมีโภคะนอย บดั น้ีตระกลู เหลานั้นมีโภคะมาก. พระศาสดาเสด็จมาโดยนยักอ นนน่ั แล ทรงสดับของภิกษุเหลา นนั้ จงึ เริ่มพระสตู รน้ี. คําท่ีเหลือ ในสูตรทัง้ ๒ นี้ พึงทราบโดยนยั ดงั กลาวในหนหลังนน่ั แล. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๙ อรรถกถาสตู รท่ี ๑๐ แมส ตู รที่ ๑๐ ทา นกลา วไวแ ลวในเหตเุ กิดเรื่องเหมือนกนั .ไดยินวา ภกิ ษุทงั้ หลายในโรงธรรมปรารภพระเจาโกศลมหาราชกลา ววา ตระกูลชอื่ โนน เมอ่ื กอนมียศมาก มีบริวารมาก บดั น้ีมยี ศนอย มบี รวิ ารนอ ย พระศาสดาเสด็จมาโดยนัยกอ นนนั่ แล ทรงสดับคาํ ของภกิ ษุเหลานั้น จงึ เริ่มเทศนาน.้ี คําทเ่ี หลือพงึ ทราบโดยนยั ดังกลาวแลวนนั่ แล. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๑๐ จบ อรรถกถากลั ยาณมติ ตตาทวิ รรคท่ี ๘


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook