Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_32

tripitaka_32

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_32

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 65ความเพยี รเชนนนั้ ไดไมยากดอก ภิกษุนัน้ ฟงถอยคาํ ของพระเถระแสดงอาการนอบนอ มแลว ไปสโู คนกอไมม ะลนื่ อนั รม ที่ตนกาํ หนดหมายตาไวในตอนมา น่ังขดั สมาธิ ทาํ อสภุ กรรมฐานใหเ ปนบาทเร่ิมตัง้ วิปส สนา ดาํ รงอยูในพระอรหตั ทนั แสดงปาตโิ มกข ในเวลาใกลร ุง ภกิ ษุเห็นปานนี้ ขมกเิ ลสไดด ว ยอาํ นาจคันถะ เปน อันช่ือวาขมไดดวยประการนน้ั เหมอื นกนั ก็เมื่อภิกษบุ างรูป บริหารธดุ งคโ ดยนยั ดังกลาวแลวนนั่ แลกเิ ลสยอ มไมไ ดโ อกาส กิเลสนั้นเปนอันทา นขมไดด วยอานาจธดุ งคทา นทํากเิ ลสนน้ั ใหเ ปน อนั ขมไดแ ลวนนั่ แล คลายกําหนัดไดแลว ยึดพระอรหตั ไวได เหมอื นทานพระมหาสิวเถระ ผูอยทู ่ีเง้ือมเขาใกลบ าน. ไดย นิ วา พระมหาสวิ เถระ อยใู นตสิ สมหาวหิ าร ใกลม หาคามสอนพระไตรปฎก กะภิกษคุ ณะใหญ ๑๘ คณะ ท้ังโดยอรรถ ท้งั โดยบาลี ภกิ ษุ ๖๐,๐๐๐ รปู ต้ังอยูในโอวาทของพรเถระบรรลพุ ระอรหัตแลว บรรดาภิกษเุ หลานัน้ ภิกษุรปู หน่ึงปรารภธรรมท่ีตนไดแ ทงตลอดแลวเกดิ โสมนสั ข้ึน คิดวา ความสุขนมี้ ีแกอาจารยข องเราบา งไหมหนอ ภิกษุน้ันเมอื่ คํานงึ อยกู ็รูว า พระเถระยงั เปน ปุถชุ น คิดวา เราจักใหความสังเวชเกิดขนึ้ แกพ ระเถระดว ยอุบายน้ี จึงจากที่อยขู องตนไปยงั สาํ นักของพระเถระ ไหวแ สดงวตั รแลวน่งั . ลาํ ดบั นัน้ พระเถระกลาวกะภกิ ษุนน้ั วา ทา นปณฑปาตกิ ะ มาทาํ ไม ภิกษนุ นั้ กลาววา ทา นขอรบักระผมมาดว ยหวงั วา ถาทานจกั กระทาํ โอกาสแกก ระผม กระผมก็จักเรยี นธรรมบท ๆ หน่ึง พระเถระกลาววา ผูม อี ายุ ภกิ ษเุ ปน อันมากเรยี นกัน ทานจักไมม โี อกาสดอก, ภกิ ษุนน้ั เมือ่ ไมไดโอกาส ในสวน

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 66กลางคนื และกลางวัน จึงกลาววา เมอื่ โอกาสไมมอี ยา งนนั้ ทา นจักไดโอกาสแหง มรณะอยา งไร ? เวลาน้นั พระเถระคดิ วา ภกิ ษุน้ีไมมาเพื่อเรียนอเุ ทศ แตเ ธอมาเพื่อทําความสังเวชใหเกดิ แกเ ราแมภ กิ ษนุ น้ั กลา ววา ทานผูเจริญ ธรรมดาวา ภกิ ษุ พงึ เปนผูเชนเรา ดังน้ี แลว ไหวพระเถระ เหาะไปในอากาศอันมีสีดงั แกวมณ.ี พระเถระเกดิ ความสังเวช ต้ังแตเวลาท่ภี กิ ษนุ ั้นไปแลว บอกอุเทศตอนกลางวนั และในตอนเยน็ วางบาตรและจีวรไวใกลห ตั ถบาสในเวลาใกลร ุงจงึ เรยี นอเุ ทศ ถอื บาตรและจีวรลงไปกับภิกษุผูกําลงัลงไปอยู อธษิ ฐานธุดงคคุณ ๑๓ ใหบ ริบูรณแลว ไปยงั เสนาสนะที่เง้ือมเขาใกลบ าน ปดกวาดเงือ้ มเขาแลวใหยกเตียงและต่งั ขึน้ ผูกใจวาเรายงั ไมบ รรลพุ ระอรหตั จักไมเ หยยี ดหลังบนเตียง จงึ ลงสูท ี่จงกรมเม่อื ทานพยายามอยูดว ยหวงั ใจวา เราจักบรรลพุ ระอรหตั ในวนั น้ี เราจักบรรลพุ ระอรหัตในวันนี้ วันปวารณาก็มาถงึ เมื่อใกลว นั ปวารณา ทานคิดวา เราจกั ละความเปน ปุถุชน ปวารณาเปนวิสทุ ธปิ วารณา ก็ลําบากอยา งย่งิ ทานเม่อื ไมสามารถจะทาํ มรรคหรือผลใหเ กิดในวนั ปวารณานน้ั ได จงึ กลาววา ผปู รารภวปิ สสนาแมเชนเราก็ยงั ไมไ ด พระอรหตั นี้ชางเปนคุณอนั ไดยากจรงิ หนอ จงึ เปน ผูมากไปดว ยการยืนและการเดินโดยทํานองนี้แล กระทาํ สมณธรรมตลอด ๓๐ ป เห็นพระจนั ทรเพ็ญลอยเดนอยใู นทา มกลางดถิ วี ันมหาปวารณา คิดวา ดวงจันทรบริสทุ ธิ์หรือศลี ของเราบริสุทธิ์ รําพึงวา ในดวงจันทรยงั ปรากฏมีลักษณะเปนรปู กระตาย แตรอยดาํ หรือจดดางในศีลของเรา ตั้งแตเราอุปสมบทจนถึงทกุ วนั นไี้ มม ี เกิดโสมนสั ขมปตเิ พราะมญี าณแกก ลา บรรลพุ ระ-

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 67อรหตั พรอ มดวยปฏิสัมภิทา ภิกษุเหน็ ปานน้ี ขมกิเลสไดด ว ยอาํ นาจธดุ งค เปน อนั ช่อื วา ขม กเิ ลสไดแลว โดยประการนน้ั นั่นแล. เพราะภิกษบุ างรปู มากไปดว ยการเขา ปฐมฌานเปน ตน โดยน้ยี ังกลา วแลว น่นั แล กิเลสยอ มไมไ ดโอกาส เปนอนั ขม ไดดว ยอาํ นาจสมาบัติ ทา นกระทาํ กเิ ลสใหเปนอนั ขมไดโ ดยประการน้ันนนั่ แล คลายกําหนัดไดแลว ยอมยดึ พระอรหตั ไวได เหมือนพระ-มหาติสสเถระฉะน้นั . ไดยินวา พระมหาติสสเถระไดสมาบัติ ๘ ตัง้ แตเวลาทีม่ ีพรรษา ๘ ทานกลา วธรรมไดใ กลเคยี งอรยิ มรรค ดวยอํานาจเรียนและการสอบถาม เพราะกเิ ลสท่ถี ูกขม ไวด วยสมาบตั ไิ มฟ ุงขึน้ แมในเวลาที่ทานมีพรรษา ๖๐ ก็ไมร ูตวั วา ยังเปน ปถุ ชุ น ครน้ั วนั หนึง่ภิกษุสงฆ จากติสสมหาวิหาร ในบานมหาคาม ไดส งขาวแกพระธัมมทินนเถระ ผอู ยูที่หาดทรายวา ขอพระเถระจงมากลา วธรรมกถาแกพ วกกระผม พระเถระรับคําแลว คดิ วา ภิกษผุ แู กกวา ไมม ีในสาํ นกั ของเรา แตพระมหาติสสเถระเลา กเ็ ปนอาจารยผ บู อกกรรมฐานแกเรา เราจะต้ังทา นใหเปนพระสงั ฆเถระแลวจกั ไป ทานอันภกิ ษุสงฆแวดลอมแลว ไปยงั วหิ ารของพระเถระ แสดงวัตรแกพระเถระในท่พี ักกลางวนั แลว นั่งณะทีค่ วรสว นขา งหนง่ึ พระเถระกลาววาธมั มทินนะ. ทา นมานานแลวหรือ ? พระธัมมทินนเถระกลา ววาทานผูเ จรญิ ขอรบั ภิกษสุ งฆสงขาวสาสนจาตสิ สมหาวิหารมาถึงกระผม ลาํ พังกระผมผเู ดยี วกจ็ กั ไมม า แตก ระผมปรารถนาจะไปกบั ทานจงึ ไดมา ทา นกลาวสาราณิยกถาถวงเวลาใหช า ๆ

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 68แลวถามวา ทานผูเจริญ ทา นบรรลธุ รรมน้ีเมอ่ื ไร ? พระเถระกลา ววาทานธัมมทนิ นะ ประมาณ ๖๐ ป พระธมั มทินนเถระกลา ววา ทานผเู จรญิ ทานใชสมาธิหรือ พระเถระกลา ววาขอรับทาน พระธัมม-ทินนเถระกลา ววา ทา นผูเจริญ ทานเนรมติ สระโปกขรณีสระหนง่ึไดไหม พระเถระกลาววา ทา น ขอ นัน้ ไมห นักเลย แลวเนรมติสระโปกขรณขี ึ้นในที่ตอหนา และถูกทา นกลาววา ทานจงเนรมิตกอปทุม กอหน่งึ ในสระน้ี ก็เนรมติ กอปทุมแมนัน้ พระธมั มทนิ นเถระกลา ววา บัดน้ี ทา นจงสรางดอกไมใ หญในกอปทมุ น้ี พระเถระก็แสดงดอกไมแ มน นั้ ถกู กลาววา ทานจงแสดงรูปหญิงมีอายุประมาณ๑๖ ป ในดอกไมน้ี ก็แสดงรปู หญิงแมน น้ั ลาํ ดบั นน้ั พระธมั มทินนะกลาวกะพระเถระน้ันวา ทา นผเู จริญ ทานจงใสใ จถงึ รปู หญงิ น้ันบอ ย ๆ โดยความงาม พระเถระแลดรู ปู หญงิ ที่ตนเนรมิตขน้ึ เกิดความกาํ หนดั ขึ้นในเวลาน้ัน จึงรูตัววายงั เปนปถุ ชุ น จึงกลา ววาทานสัปปรุ ุษ ขอทา นจงเปนทีพ่ ่งึ ของผม แลวน่ังกระโหยง ในสํานกัของอนั เตวาสิก พระธรรมทนิ นะ กลา ววา ทานผูเจรญิ กระผมมาเพ่ือประโยชนนี้เอง แลว บอกกรรมฐานเบา ๆ เนอ่ื งดวยอสุภแกพระเถระ แลวออกไปขางนอกเพ่อื ใหโ อกาสแกพระเถระ พระเถระมีสังขารอนั ปรกิ รรมไวด แี ลว พอพระธัมมทินนะนน้ั ออกไปจากที่พักกลางวันเทานนั้ กไ็ ดบ รรลุพระอรหตั พรอ มดว ยปฏสิ มั ภิทาลําดบั นน้ั พระธัมมทนิ นเถระ กระทําทา นใหเปน พระสังฆเถระไปยงั มหาติสสวิหาร แสดงธรรมกถาแกสงฆ กเิ ลสอันพระเถระเห็นปานน้ันขมแลว ก็เปน อนั ขมแลว โดยประการนั้นนน่ั แล

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 69 แตส ําหรับพระภิกษบุ างรปู กระทาํ วิปสสนากรรมฐาน โดยนัยดงั กลาวแลว น่ันแล กิเลสยอ มไมไดโอกาส เปน อันขม กเิ ลสไดด วยอํานาจวิปส สนานน้ั แล ภิกษุน้นั กระทํากเิ ลสใหเปน อันขม ได ดว ยประการน้นั คลายกาํ หนดั ไดแลว ยอมยึดพระอรหัตไวได เหมอื นภิกษุผูเจริญวปิ ส สนา ประมาณ ๖๐ รปู ในครงั้ พุทธกาล ไดยนิ วา ภกิ ษเุ หลา น้ัน รับพระกรรมฐานในสาํ นกั พระศาสดาแลวเขา ไปปา อนั เงียบสงัด กระทาํ กรรมในวปิ ส สนา (แต)ไมก ระทําความพยายามเพือ่ ประโยชนแ กม รรคผล ดวยสาํ คญั วาเราบรรลมุ รรคผลแลว เพราะกิเลสไมฟงุ ข้ึน คดิ วาเราจักกราบทลูถึงธรรมท่ีเราแทงตลอดแลวแดพ ระทสพล จงึ มาเถิดพระศาสดาแตกอนท่ีภกิ ษุเหลานน้ั จะมาถึง พระศาสดาไดตรัสกะพระอานนท-เถระวา อานนท ภกิ ษผุ ูบ ําเพ็ญเพียร จะมาพบเราในวนั น้ี เธออยา ใหโอกาสแกภกิ ษุเหลาน้ันเพ่อื จะพบเรา พงึ สง ไปวา พวกทา นจงไปปา ชา ทง้ิ ศพดบิ ทําภาวนาอสภุ สด พระเถระบอกขา วทพ่ี ระศาสดาส่งั ไวแกภิกษุทม่ี าแลวเหลานัน้ ภกิ ษเุ หลา นั้นคดิ วา พระตถาคตไมทรงทราบแลวคงไมต รัส ชะรอยจกั มเี หตใุ นขอนี้เปน แน ดังน้แี ลวจึงไปยังปา ชาศพดิบ ตรวจดอู สุภสดกเ็ กิดความกาํ หนดั ข้ึน เกดิ ความสงั เวชขนึ้ วา ขอ น้ี พระสัมมาสมั พุทธคงจกั ทรงเห็นแลวเปน แนจงึ เริม่ กรรมฐานเทาที่ตนไดตงั้ แตตน พระศาสดาทรงทราบวา ภิกษุเหลา นัน้ เรม่ิ วิปสสนา ประทับนง่ั ที่พระคันธกฎุ ีนน่ั แล ไดต รสั โอภาสคาถาวา ยานมี านิ อปตฺถานิ อลาพเู นว สารเท กาโปตกานิ อฏ ีนิ ตานิ ทสฺวาน กา รติ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 70 จะยินดีไปใย เพราะไดเห็นกระดกู ทมี่ สี ดี งั นก พลิ าปทีใ่ คร ๆไมปรารถนา เหมอื นนาํ้ เตา ใน สารทกาล ฉะนั้น ในเวลาจบคาถา ภกิ ษเุ หลา น้นั ก็ดํารงอยใู นพระอรหตั ตผลภกิ ษุเหน็ ปานน้ี ขม กเิ ลสไดแลว ดว ยอํานาจแหงวปิ ส สนา เปน อันชอื่ วา ขม ไดแ ลวโดยประการนั้นน่ันแลเมื่อภกิ ษุบางรูปกระทํานวกรรม โดยนัยดงั กลา วแลวนั่นแลกเิ ลสยอมไมใ นโอกาส เปนอันชือ่ วา ทานขม กเิ ลสไดดว ยอาํ นาจนวกรรม ทานกระทํากเิ ลสนนั้ ใหเปน อนั ขม ไวแลว อยางนั้น คลายกาํ หนดั ไดแ ลว ยอ มยึดพระอรหตั ไวไ ด เหมือนพระติสสเถระ ในจิตตล-บรรพต ฉะนน้ั . ไดยนิ วา ในเวลาทพ่ี ระติสสเถระนน้ั ได ๘ พรรษา เกิดความอยากสึก ทานไมอ าจบรรเทาความอยากสึกนน้ั ได ซักยอ มจีวรปลงผมแลว ไหวพระอุปชฌายยืนอยู ลาํ ดับนนั้ พระเถระกลาวกะทานวาทานมหาติสสะ อาการของทาน เหมอื นไมย นิ ดีหรือ ? ภกิ ษนุ น้ัตอบวา ขอรับทาน กระผมอยากสกึ กระผมบรรเทามันไมได พระเถระตรวจอธั ยาศยั ของทาน เห็นอปุ นิสยั พระอรหตั จงึ กลา วโดยความเอน็ ดูวา ผมู ีอายุ พวกเรา เปนคนแก ทา นจงสรางสถานที่อยู สาํ หรับพวกเราสกั หลังหน่งึ ภิกษุไมเคยจกใครพูดเปน คําที่ ๒ จงึ รบั วาดลี ะขอรบั ลําดบั นัน้ พระเถระกลาวกะภกิ ษทุ งั้ หลายวา มีอายเุ มอ่ื ทา นกาํ ลังทาํ นวกรรม กอ็ ยา ไดสละแมแตอุเทศ จงมนสิการพระกรรมฐานและจงกระทําบริกรรมกสิณตามกาลอนั สมควร ภิกษุนั้น กลาววา

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 71กระผมจกั กระทําอยางนนั้ ขอรับ ไหวพ ระเถระแลว ตรวจดทู อ่ี นั เปนเง้อื มเหน็ ปานนั้น คดิ วา ตรงนี้ทําได จึงนาํ ฟนมาเผาชําระ (ท)่ี ใหสะอาด แลวกออฐิ ประกอบประตูและหนาตา ง ทําที่เรนเสร็จ พรอมทั้งกอ อิฐบนพืน้ ทจ่ี งกรมเปน ตน แลวต้งั เตยี งและต่งั ไวแลว ไปยังสํานักพระเถระไหวแ ลว กลา ววา ทา นขอรบั ท่ีเรนเสรจ็ แลว โปรดจงอยูเถิดพระเถระกลา ววา ผมู อี ายุ ทานทาํ งานน้ีไดโ ดยยาก วนั นท้ี านอยใู นทนี่ ี้เสียวันหนึ่ง ภกิ ษุนัน้ กลาววา ดลี ะขอรบั ลางเทา แลว เขา ไปยงั ทเี่ รนนั่งสมาธิ รําลึกถึงกรรมที่คนทาํ เมือ่ ทา นคดิ วา การทาํ การขวนขวายดว ยกายอนเปนที่ถูกใจ เรากระทาํ แกพ ระอุปชฌายแลว ปต ิเกิดขึ้นในภายใน ทานขมปต ิน้นั ไดแลว เจรญิ วิปส สนา ก็บรรลพุ ระอรหัตอนั เปนผลเลิศ ภิกษเุ หน็ ปานน้ี ขมกเิ ลสไดด ว ยอาํ นาจนวกรรม เปน อันชือ่ วา ทา นขมไดแ ลว โดยประการน้ันเหมือนกนั สว นภิกษุบางรูป มาจากพรหมโลก เปน สตั วบ รสิ ุทธิ์ กิเลสไมฟุงขึน้ เพราะทานไมม อี าเสวนะ (คือการทําจนคนุ ) เปน อันช่ือวาทา นขม ไดด ว ยอํานาจภพ ทา นเวน ขาดกิเลสน้ัน อันขม ไดแ ลวโดยประการนั้น ยึดพระอรหัตไวไ ด เหมือนทานพระมหากัสสปะ ฉะน้นั จรงิ อยู ทา นพระมหากัสสปะนั้น ไมบ รโิ ภคกามท้งั ที่อยูครองเรือน ละสมบตั ใิ หญ ออกบวช เหน็ พระศาสดาเสดจ็ มา เพ่อืตอ นรับในระหวางทาง วายบังคมแลว ไดอุปสมบทดว ยโอวาท ๓ ขอบรรลุพระอรหตั พรอมดวยปฏิสมั ภิทา ในอรุณท่ี ๘ ภิกษเุ หน็ ปานน้ีขมกเิ ลสไดดวยอํานาจภพ เปนอันชอื่ วาขม กิเลสได อยา งน้ันเหมือนกัน

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 72 อน่งึ ภกิ ษใุ ด ไดอ ารมณม ีรูปารมณเปนตน ซง่ึ ไมเคยไดเ สวยเร่มิ ตง้ั วปิ สสนา ในอารมณนั้นน่ันเอง คลายกําหนัดไดแ ลว ยอ มยดึพระอรหัตไวไ ด กามฉันท ที่ไมเกดิ ขึ้น ดวยอํานาจอารมณท ไ่ี มเคยเสวย กช็ ือ่ วาไมเกดิ ขึน้ แกภิกษเุ ห็นปานนี้ บทวา อปุ ปฺ นโฺ น ในคาํ วา อุปฺปนโฺ น วา กามจฺฉนฺโท ปหียติน้ี ไดแ ก เกดิ แลว มีแลว ฟงุ ขึ้นแลว บทวา ปหยี ติ ความวา ทา นละไดดวยปหานะ ๕ เหลา นี้ คอืตทงั คปหาน วิกขัมภนปหาน สมจุ เฉทปหาน ปสสทั ธิปหาน นิส-สรณปหาน อธบิ ายวา ไมเ กดิ ขน้ึ อกี ในปหาน ๕ อยางนน้ั กเิ ลสที่ทา นละไดดว ยวปิ สสนา ดวยอาํ นาจตทังคปหาน เพราะเหตุนั้นวิปสสนา พึงทราบวา ตทังคปหาน สวนสมาบตั ยิ อมขมกเิ ลสไดเพราะฉะนน้ั สมาบัติน้นั พงึ ทราบวา วกิ ขัมภนปหาน ละไดด ว ยการขมมรรค ตดั กิเลสไดเ ด็ดขาดก็เกิดขน้ึ ผลสงบระงบั เกิดข้ึน พระนพิ พานสลัดออกจากกเิ ลสท้ังปวง มรรคผลนพิ พาน ทงั้ ๓ ดงั วามานี้ ทานเรียกวา สมุจเฉทปหาน ปส สัทธปิ หาน และนิสสรณปหาน อธบิ ายวากเิ ลส ทา นละดว ยปหาน ๕ อันเปน โลกยิ ะ และโลกุตตระเหลานี้ บทวา อสุภนมิ ติ ฺต ไดแกป ฐมฌานพรอมท้งั อารมณเกิดขึน้ในอสภุ ๑๐ ดวยเหตุนั้น พระโปราณาจารยท ง้ั หลายจงึ ไดก ลา ววาอสภุ นมิ ิตมีในอสภุ ธรรมท้ังหลายอนั มอี สภุ เปน อารมณ ชื่อวา อสุภนิมิต

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 73บทวา โยนโิ ส มนสิกโรโต ความวา ผใู สใ จอยูด วยอาํ นาจมนสิการโดยอุบายดงั กลา วแลว โดยนยั มอี าทิ ดงั นว้ี า ในธรรมเหลา นนั้โยนโิ สมนสิการเปนไฉน ? คือ มนสิการในสง่ิ ทไ่ี มเที่ยงวาไมเ ที่ยงบทวา อนปุ ฺปนโฺ น เจว กามจฺฉนฺโท นปุ ปฺ ชฺชติ ไดแก กามฉันททย่ี งั ไมฟ ุง กไ็ มฟงุ ขึ้น บทวา อปุ ปฺ นโฺ น กามจฺฉนฺโท ปหียติ ความวากามฉนั ทะฟุงขนึ้ แลว ทานละไดด ว ยปหานทั้ง ๕ อกี อยางหน่งึ ธรรมทัง้ ๖ เปนไปเพื่อละกามฉันทะ คอื การเรยี นอสภุ นิมติ การประกอบเนอื ง ๆ ในอสภุ ภาวนา ความเปนผูคุมครองทวารในอนิ ทรีย ความเปนผรู ปู ระมาณในโภชนะ ความเปนผูม ีกัลยาณมิตร การกลา วถอ ยคําแตท ีเ่ ปนสัปปายะ จรงิ อยูเมือ่ ภกิ ษุเรียนเอาอสภุ นมิ ิตท้ัง ๑๐ กด็ ี เจรญิ อสุภภาวนาอยกู ็ดีคมุ ครองในอินทรียก็ดี รูจ กั ประมาณในโภชนะ เพราะเมือ่ มีโอกาสกลนื กนิ ได ๔-๕ คํา กด็ ืม่ น้าํ เสียแลว ยงั อตั ภาพใหเปน ไปเปน ปกติกด็ ี ทานยอมละกามฉนั ทนิวรณได ดว ยเหตุนน้ั ทา นจึงกลาววา จตฺตาโร ปจฺ อาโลเป อภตุ ฺวา อทุ ก ปเ ว อล ผาสุวหิ าราย ปหิตตฺ ฺสฺส ภกิ ขฺ โุ น ภกิ ษไุ มพ งึ บรโิ ภคคาํ ขา วเสีย ๔ - ๕ คํา แลว ดมื่ น้าํ (แทน) กพ็ ออยเู ปน ผาสกุ สาํ หรับภิกษุผูมจี ติ อัน สงบ.

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 74 ภกิ ษุ คบหากัลยาณมติ ร ยนิ ดใี นอสภุ ภาวนา เชนกับพระตสิ สเถระ ผบู าํ เพ็ญอสุภกรรมฐาน ยอมละกามฉันทไ ด ดว ยอสัปปายกถา อันอาศยั อสุภ ๑๐ ในการยนื และนัง่ เปน ตน ก็ละกามฉันทได. ดวยเหตนุ ั้น ทานจงึ กลา ววา ธรรม ๖ ยอ มเปน ไปเพอ่ื ละกามฉนั ท. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๖ อรรถกถาสตู รที่ ๗ ในสตู รท่ี ๗ มีวินจิ ฉยั ดังตอ ไปนี้ :- บทวา เมตตาเจโตวมิ ตุ ฺติ ไดแก เมตตาทแี่ ผป ระโยชนเ กอื้ กูลไปในสัตวท กุ จําพวก ก็เพราะเหตทุ จ่ี ิตประกอบดว ยเมตตาน้ัน ยอ มหลดุ พน จากธรรมอันเปน ขาศึกมนี วิ รณเปนตน ฉะนั้น เมตตานนั้ทา นจงเรยี กวา เจโตวิมุตติ. อกี อยา งหน่ึง วา โดยพิเศษ เมตตานน้ัพึงทราบวา ชอ่ื วา เจโตวมิ ตุ ติ เพราะหลุดพนจากกเิ ลสเครื่องกลมุ รุมคือพยาบาทท้ังหมด. ดว ยคาํ เพียงเทา นีว้ า เมตตาในคําวา เมตฺตาเจโต-วมิ ุตตฺ ิ นนั้ แมปฏปิ ทาเปน สวนเบือ้ งตน ก็ใชได. แตเ พราะทานกลา ววาเจโตวมิ ุตติ ในที่นีท้ า นประสงคเอาเมตตา เฉพาะทเี่ ปน อปั ปนา โดยอํานาจตกิ ฌานและจตกุ กฌานเทา น้ัน. บทวา โยนิโส มนสกิ าโรความวา มนสกิ ารอยู ซง่ึ เมตตาเจโตวมิ ตุ ตนิ ้นั ดว ยมนสกิ าร โดยอบุ ายซึ่งมลี ักษณะดังกลา วแลว.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 75 อีกอยางหนึง่ ธรรม ๖ ประการ เปนไปเพอ่ื ละพยาบาท คอื การเลา เรยี นเมตตานมิ ิต การประกอบเนือง ๆ ในเมตตาภาวนา การพิจารณาความท่สี ตั วมกี รรมเปนของตน ความเปนผมู ากไปดวยการพจิ ารณา ความเปนผูมีกัลยาณมิตร การกลา วถอยคาํ แตท่เี ปนสัปปายะ. จรงิ อยูเม่อื ภกิ ษถุ ือเมตตาดว ยการแผไ ป โดยเจาะจงและไมเ จาะจง กย็ อ มละพยาบาทได เม่อื พจิ ารณาถึงความท่ตี นและบุคคลอนื่ เปนผมู กี รรมเปน ของ ๆ ตน อยางนีว้ า ทานโกรธเขาแลว จกั ทาํ อะไรเขา จกั ทําศลีเปนตนของเขาใหพ ินาศไดห รือ ทา นมาดวยกรรมของตน แลว ก็ไปดว ยกรรมของตนเทา น้ันมใิ ชห รอื ช่อื วา การโกรธผอู ่ืน ยอ มเปนเหมอื น จบั ถานเพลงิ ทีป่ ราศจากเปลวไฟ ซ่เี หล็กท่รี อน และคถูเปนตน แลว ประสงคประหารผอู ืน่ คนผูโ กรธตอ ทา นแมคนนี้ จกักระทําอะไรได จกั อาจทาํ ศลี เปนตน ของทานใหพ ินาศหรือ เขามาดวยกรรมของตนแลว จกั ไปดวยกรรมของตนเทา นัน้ ความโกรธนั้นจักตกบนกระหมอ มของน้ันเทา น้ัน เปรียบเหมอื นหว งน้ําใหญ ที่ไมมีอะไรปดก้ันไว และเหมอื นกําธุลีซดั ไปทวนลมฉะนั้น ดังนีก้ ็ดีผพู จิ ารณาความทเ่ี ขาทัง้ ๒ เปนผูม ีกรรมเปน ของ ๆ ตน แลว ต้งัอยใู นการพิจารณาก็ดี คบหากัลยาณมติ ร ผูยนิ ดีในการเจริญภาวนาเหมือนกบั พระอสั สคตุ ตเถระกด็ ี ยอมละพยาบาทได ยอ มละพยาบาทไดแ มดวยการกลา วถอยคําที่เปน สัปปายะ ทอ่ี ิงเมตา ท้ังในการยนืและน่งั เปน ตน. ดว ยเหตนุ ้ัน ทานจงึ กลาววา ธรรม ๖ ประการ ยอมเปน ไปเพอ่ื ละพยาบาท. คําทเ่ี หลอื พงึ ทราบโดยนยั ที่กลาวแลวในท่ีน้ีและในทอี่ ืน่ จากนี้นั่นแล. แตข าพเจาจกั กลา วเพียงที่แปลกกันเทา นั้นแล. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๗

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 76 อรรถกถาสูตรที่ ๘ ในสูตรที่ ๘ มีวินิจฉยั ดังตอไปนี้ :- ความเพยี รครั้งแรกช่อื วา อารพั ภธาตุ ในคาํ มอี าทวิ า อารพฺภ-ธาต.ุ ความเพียรมีกาํ ลงั แรงกวาน้นั เพราะออกจากความเกยี จครา นได ชื่อวา นกิ กมธาตุ ความเพียรทแ่ี รงกวา นนั้ เพราะกา วไปยงั ฐานขา งหนา ๆ ชือ่ วา ปรกั กมธาตุ. แตในอรรถกถา ทา นกลาวไวว าความเพียรเรม่ิ แรก เพือ่ บรรเทากาม ๑ การกา วออกเพื่อกําจดั กิเลสดจุ ลม่ิ ๑ ความบากบ่ัน เพือ่ ตัดกเิ ลสดุจเครื่องผกู ๑ แลวกลาววาเรากลาววา ความเพียรมปี ระมาณยง่ิ กวาท้งั ๓ อยางแมนั้น. บทวา อารทฺธวิริยสสฺ ไดแกผ ูมคี วามเพยี รทบ่ี ริบูรณ และมีความเพยี รทป่ี ระคองไว ในสองอยา งน้นั ความเพียรท่ีปราศจากโทษ ๔ อยาง พึงทราบวา ความเพยี รทเี่ รมิ่ แลว แตไ มใชท่ยี อ หยอ นเกินไป ไมใ ชท ีป่ ระคองเกินไป แตก ไ็ มใชค วามเพียรทห่ี ดหูในภายในและไมใ ชค วามเพยี รท่ีฟุง ซา นไปภายนอก ความเพยี รนนี้ น้ั มี ๒ อยางคือความเพยี รทางกาย ๑ ความเพยี รทางใจ ๑ ในสองอยางน้ัน พงึ ทราบความเพียรทางกายของภกิ ษุผูพากเพยี รพยายามทางกาย ตลอด ๕ สวน ของกลางคนื และกลางวนั อยางน้ีวา ภกิ ษุในธรรนวนิ ยั นี้ ยอมชําระจิตเสยี จากธรรมทพ่ี งึ กั้นจติ ดวยการเดนิ การน่งั ตลอดวัน. พึงทราบความเพยี งทางจิตของภิกษุผพู ากเพยี รพยายามผกู ใจ ดวยการกาํ หนด

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 77โอกาสอยา งน้วี า เราจกั ไมอ อกไปจากทเ่ี รนนี้ ตราบเทาทจ่ี ติ ของเรายังไมหลดุ พน จากอาสวะ เพราะไมย ดึ ม่นั หรือดวยการกาํ หนดอิรยิ าบถมีการนัง่ เปนตนอยา งน้ีวา เราจักไมเลกิ นั่งขดั สมาธินี้ ตราบเทาท่ีจิตของเรายงั ไมหลดุ พนจากอาสวะ เพราะไมยดึ มนั่ . ความเพยี รแมทัง้ ๒ นน้ั ยอมสมควรในที่นี้. ก็สําหรบั ทานผูปรารภความเพยี รดวยความเพียรแมท ั้ง ๒ อยางนี้ ถีนมิทธะที่ยงั ไมเ กดิ กไ็ มเกดิ ขึน้และทเี่ กิดข้ึนแลว ยอ มละได เหมอื นพระตสิ สเถระเผามลิ ักขะ เหมือนพระมหาสิวเถระ ผูอยูเงือ้ มเขาใกลล ะแวกบาน เหมอื นพระปต ิมลั ลก-เถระ และเหมือนพระติสสเถระบุตรกฏุ มพี ฉะนน้ั กบ็ รรดาพระเถระเหลา นน้ั พระเถระ ๓ รูปขา งตน และพระเถระเหลา อน่ื เหน็ ปานนน้ัเปนผูเร่มิ บําเพญ็ เพยี ร ดวยความเพยี รทางกาย พระติสสเถระบุตรกุฏม พี และพระเถระเหลา อ่นื เห็นปานน้ัน เปน ผูปรารภความเพียรดวยความเพยี รทางใจ สวนพระมหานาคเถระ ผูอยทู ีอ่ จุ จวาลกุ วิหารเปน ผปู รารภความเพยี รทั้ง ๒ อยาง. ไดย นิ วา พระเถระ เดินจงกรมสัปดาห ๑ ยืนสัปดาห ๑นั่งสปั ดาห ๑ นอนสัปดาห ๑ พระมหาเถระไมมแี มส ักอิริยาบถหนง่ึที่จะไดช ่อื วา ไมเ ปน สัปปายะ ในสปั ดาหท ่ี ๔ ทา นเจรญิ วิปสสนาก็ตง้ั อยใู นพระอรหตั . อกี อยา งหน่ึง ธรรม ๖ ประการ เปนไปเพ่อื ละถนี มทิ ธะ คือการถอื เอานมิ ติ ในการบรโิ ภคเกินไป ๑ การเปล่ยี นอริ ยิ าบถโดยสม่ําเสมอ ๑ มนสกิ ารถงึ อาโลกสัญญา ๑ การอยกู ลางแจง ๑ความมกี ัลยาณมติ ร การกลา วถอยคาํ แตที่เปน สัปปายะ ๑ จรงิ อยู

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 78เม่ือภิกษุบริโภคโภชนะ เหมือนอยา งพราหมณท ชี่ ือ่ วา อาหรหตั ถกะพราหมณท ่ชี ่อื วา ภุตตวมั มิตกะ พราหมณท ีช่ ่อื วา ตตั ถวฏั ฏกะพราหมณท ี่ชือ่ วา อลงั สาฏกะ และพราหมณท่ีช่อื วา กากมาสกะเปน ตน นง่ั ในท่ีพกั กลางคืน และทีพ่ กั กลางวัน การทาํ สมณธรรมอยู ถีนมิทธะยอมครอบงํา เหมือนชา งใหญฉะนนั้ แตเ ม่ือภกิ ษหุ ยดุ พกัคําขาว ๔-๕ คาํ แลว ดมื่ นํ้าเสีย พอทําอตั ตภาพใหเปนไปเปน ปกติถีนมทิ ธะนั้น ก็ไมมี แมเ มอ่ื ภิกษถุ ือเอานิมิตในการบรโิ ภคเกนิ ไปดงั กลาวแลวน้ี ยอมละถนี มทิ ธะได ถนี มิทธะกาวลงในอริ ิยาบถใดเม่อื ทานเปลีย่ นอริ ิยาบถเปนอยางอ่นื จากอริ ยิ าบถนั้นเสียกด็ ี มนสิการถงึ แสงสวา งแหง ดวงจนั ทร แสงสวางแหงประทปี แสงสวา งแหงคบเพลงิ ตอนกลางคืน และแสงสวา งแหงดวงอาทติ ยต อนกลางวนั กด็ ีอยูกลางแจงก็ดี คบกัลยาณมิตร ผูละถีนมทิ ธะไดแ ลว เสมือนกบัพระมหากสั สปเถระกด็ ี ยอ มละถนี มทิ ธะได แมด วยการกลา วสัปปายกถาอนั องิ ธดุ งคคณุ ในอริ ยิ าบถมีการยืน และการน่งั เปน ตนก็ยอ มละได ดวยเหตุน้นั ทา นจงึ กลาววา ธรรม ๖ ประการ ยอ มเปนไปเพื่อละถนี มิทธะแล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๘ อรรถกถาสูตรที่ ๙ ในสตู รที่ ๙ มวี ินิจฉัยยดังตอ ไปนี้ :- บทวา วปู สนฺตจิตตฺ สสฺ ไดแกผ มู ีจิตสงบแลว ดว ยฌาน หรอืวิปส สนา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 79 อีกอยา งหน่งึ ธรรม ๖ ประการ เปนไปเพอ่ื ละอุทธัจจะ-กุกกุจจะ คือความเปนผพู หูสูต ความเปนผสู อบถาม ความเปน ผูชาํ นาญวนิ ัย การเขา หาผหู ลกั ผูใหญ ความมีกัลยาณมติ ร การกลา วถอ ยคําทเ่ี ปนสัปปายะ จรงิ อยู เมื่อภกิ ษุแมเรยี นได ๑ นิกาย ๒ นกิ าย๓ นกิ าย ๔ นิกาย หรอื ๕ นกิ าย ดว ยอํานาจบาลี และดว ยอาํ นาจอรรถแหงบาลี ยอ มละอทุ ธจั จะกกุ กจุ จะได แมดวยความเปนพหสู ตูเม่อื ภกิ ษมุ ากดวยการสอบถามในส่งิ ทคี่ วรและไมควร ในอริ ยิ าบถยนื และนอนเปน ตน ก็ดี เปน ผูช าํ นาญ เพราะมีความชํา่ ชองชาํ นาญในวินยั บัญญตั ิกด็ ี ผเู ขา หาพระเถระผูใ หญ ซ่งึ เปน ผเู ฒากด็ ี คบกัลยาณมิตรผทู รงพระวินยั เสมือนกบั พระอบุ าลีเถระก็ดี ยอ มละอุทธัจจะกกุ กจุ จะได ยอ มละไดแ มด วยคําอนั เปนสปั ปายะ ทอี่ ิงสิ่งที่ควรและไมค วร ในอิริยาบถยนื แลนั่งเปน ตน ดว ยเหตนุ ั้น ทา นจึงกลา ววา ธรรม ๖ ประการ ยอมเปนไปเพ่ือละอุทธัจจะกุกกจุ จะ จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๙ อรรถกถาสูตรท่ี ๑๐ ในสูตรท่ี ๑๐ มีวินจิ ฉัยดังตอไปน้ี :- บทวา โยนโิ ส มนสิกโรโต ความวา มนสกิ ารอยู โดยอบุ ายตามนยั ท่กี ลาวแลวนนั่ แล อกี อยา งหนึง่ ธรรม ๖ ประการ เปนไปเพอ่ื ละวิจิกจิ ฉา คือความเปน พหสู ตู การสอบถาม ความเปน ผูชํานาญวนิ ยั ความเปนผูมากดวยนอ มใจเช่อื ความมกี ัลยาณมิตร การกลาวถอยคําอันเปน

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 80สปั ปายะ เม่อื ภกิ ษเุ รยี น ๑ นกิ าย ๒ นิกาย ๓ นกิ าย ๔ นกิ ายหรอื ๕ นิกาย ดว ยอาํ นาจบาลแี ละดว ยอํานาจอรรถ ยอ มละวิจกิ จิ ฉาได แมความเปน พหสู ูต เมือ่ ภกิ ษมุ ากดวยการสอบถามเก่ยี วกบัพระรตั นตรัยก็ดี ผูมคี วามช่ําชองชาํ นาญในพระวนิ ัยกด็ ี ผมู ากไปดว ยอธโิ มกข กลา วคือ ศรทั ธาปกใจเชอ่ื ในฐานะ ๓ กด็ ี ผสู องเสพกลั ยาณมิตร เสมือนพระวักกลเิ ถระผนู อ มไปในศรัทธากด็ ี ยอมละวจิ กิ จิ ฉาได ยอ มละได แมดว ยการกลาวถอยคําอันเปนสปั ปายะอิงคุณพระรัตนตรัย ในอิรยิ าบถยืนและน่งั เปน ตน ดวยเหตุนน้ั ทานจึงกลา ววา ธรรม ๖ ประการยอมเปน ไปเพื่อละวจิ ิกิจฉา. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๑๐ ในนวี รณปหานวรรคน้ี ทา นกลาวไวท้ังวฏั ฏะ และวิวัฏฏะแล. จบ อรรถกถาสูตรนีวรณปหานวรรคที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 81 อกมั มนิยวรรคท่ี ๓ [๒๒] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอ่นื แมอยางหน่ึง ทไ่ี มอ บรมแลว ยอมไมควรแกการงาน เหมอื นจิต ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย จิตทีไ่ มอ บรมแลว ยอ มไมค วรแกการงาน. [๒๓] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เรายอ มไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่นื แมอยา งหนงึ่ ท่อี บรมแลว ยอมควรแกการงาน เหมือนจิต ดกู อนภกิ ษุทั้งหลายจติ ท่อี บรมแลว ยอมควรแกการงาน. [๒๔] ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอื่นแมอยา งหนงึ่ ท่ไี มอ บรมแลว ยอมเปน ไปเพอ่ื มิใชประโยชนอยา งใหญ เหมือนจติ ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย จติ ท่ีไมอ บรมแลว ยอมเปนไปเพื่อมิใชประโยชนอ ยา งใหญ. [๒๕] ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอ่นื แมอยา งหนึง่ ทอ่ี บรมแลว ยอมเปนไปเพอื่ ประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นจติดูกอ นภิกษุท้งั หลาย จติ ที่อบรมแลว ยอมเปน ไปเพ่อื ประโยชนอยางใหญ. [๒๖] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เรายอมไมเ ล็งเห็นธรรมอืน่ แมอยา งหนึ่ง ท่ไี มอ บรมแลว ไมปรากฏแลว ยอมเปน ไปเพอ่ื มใิ ชประโยชนอยางใหญ เหมือนจิต ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย จติ ทีไ่ มอบรมแลว ไมปรากฏแลว ยอ มเปน ไปเพอื่ มิใชประโยชนอยางใหญ. [๒๗] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอ ยา งหนง่ึ ทีอ่ บรมแลว ปรากฏแลว ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนอยางใหญ

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 82เหมอื นจติ ดูกอนภิกษุท้งั หลาย จิตท่อี บรมแลว ปรากฏแลว ยอ มเปนไปเพ่อื ประโยชนอยา งใหญ. [๒๘] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอน่ื แมอ ยางหน่ึง ท่ีไมอ บรมแลว ไมทําใหมากแลว ยอมเปน ไปเพ่อื มิใชประโยชนอยา งใหญ เหมือนจิต ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย จิตที่ไมอ บรมแลว ไมทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพือ่ มิใชป ระโยชนอยางใหญ. [๒๙] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอ ยางหนงึ่ ทอี่ บรมแลว ทําใหมากแลว ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญเหมือนจติ ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย จิตที่อบรมแลว ทําใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพือ่ ประโยชนอ ยางใหญ. [๓๐] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เรายอมไมเลง็ เห็นธรรมอืน่ แมอ ยางหนึ่ง ทไ่ี มอบรมแลว ไมท ําใหม ากแลว ยอมนาํ ทกุ ขม าให เหมอื นจติดกู อนภิกษุทั้งหลาย ทีไ่ มอบรมแลว ไมทําใหม ากแลว ยอ มนําทุกขมาให. [๓๑] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เรายอ มไมเลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอ ยา งหนง่ึ ที่อบรมแลว ทําใหมากแลว ยอมนําสขุ มาให เหมือนจติ ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย จติ ที่อบรมแลว ทําใหมากแลว ยอมนาํ สขุ มาให. จบ อกมั มนยิ วรรคที่ ๓

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 83 อรรถกถาอกมั มนิยวรรคท่ี ๓ อรรถกถาสตู รท่ี ๑ วรรคท่ี ๓ สตู รที่ ๑ มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา อวิภาวติ  ความวา ไมเ จรญิ คือไมเ ปน ไปดว ยอํานาจภาวนา บทวา อกมฺมนยิ  โหติ ไดแก ยอมไมควรแกง าน คอื ไมคคู วรแกง าน. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๑ อรรถกถาสตู รที่ ๒ ในสตู รท่ี ๒ พงึ่ ทราบความโดยปริยายดงั กลาวแลว ก็บทวาจิตตฺ  ในสูตรที่ ๑ น้นั ไดแ กจิตที่เกดิ ข้ึนดว ยอํานาจวฏั ฏะ (ในสูตรท่ี ๒ไดเกจ ติ ทเี่ กิดดวยอาํ นาจวฏั ฏะ) ก็ในสองอยางนัน้ พงึ ทราบความแตกตางกันดังน้ี คือ วัฏฏะ วัฏฏบาท วิวัฏฏะ ววิ ฏั ฏบาท กรรมอันเปนไปในภมู ิ ๓ ช่ือวา วฏั ฏะ กรรมคอื การกระทาํ เพอื่ ไดว ัฏฏะ ช่อื วาวัฏฏบาท โลกตุ รธรรม ๙ ช่ือวา ววิ ฏั ฏะ กรรมคอื การปฏบิ ตั เิ พ่อื ไดววิ ัฏฏะ ชือ่ วา ววิ ฏั ฏบาท ทานกลา ววฏั ฏะและววิ ฏั ฏะ ไวใ นสตู รเหลา น้ีดวยประการฉะน้ี จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 84 อรรถกถาสตู รที่ ๓ ในสูตรที่ ๓ พงึ ทราบจิตที่เกิดข้ึนดว ยอาํ นาจวัฏฏะนัน่ แลบทวา มหโต อนตถฺ าย ส วตตฺ ติ ความวา จิตแมใหเทวสมบัติ มนุษย-สมบตั ิ และความเปน ใหญใ นมารและพรหม ยังใหช าติ ชรา พยาธิมรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาสเนือง ๆ และใหวฏั ฏะคอื ขันธ ธาตุ อายตนะ และปฏิจจสมปุ บาท ยอ มใหแ ตก องทุกขอยางเดียวเทา นนั้ เพราะเหตุน้นั ชือ่ วายอ มเปน ไปเพ่อื มิใชป ระโยชนอยา งใหญ. จบ อรรถสตู รท่ี ๓ อรรถกถาสูตรที่ ๔ บทวา จิตฺต ในสูตรท่ี ๔ ไดแ กจ ิตท่ีเกิดขนึ้ ดว ยอาํ นาจววิ ัฏฏะ. จบ อรรถกถสูตรที่ ๔ อรรถกถาสูตรท่ี ๕ - ๖ ในสูตรท่ี ๕ - ๖ มคี วามแปลกกนั เพียงเทา น้วี า อภาวติ อปาตุภตู  ไมอบรมแลว ไมป รากฏแลว ดงั นี้ ในขอน้นั มอี ธิบายดังตอ ไปน้วี า จิตแมเ กิดดว ยอาํ นาจวัฎฏะ กช็ ือ่ วา ไมอบรม ไมปรากฏเพราะเหตไุ ร ? เพราะไมส ามารถจะแลน ไปในวปิ ส สนาท่ีมีฌานเปน บาท มรรค ผล และนิพพาน อันเปน โลกตุ ตระ สว นจติ ท่ีเกิดดวยอํานาจวิวฏั ฏะ ช่ือวาเปนจิตอบรมแลว ปรากฏแลว เพราะเหตุไร ?เพราะสามารถแลน ไปในธรรมเหลา น้นั ได สว นทานพระปุสสมติ ต

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 85เถระ ผอู ยูกุรนุ ทกวิหาร กลาววา ผูมอี ายุ มรรคจติ เทานัน้ ชื่อวาเปน จติ อบรมแลว ปรากฏแลว. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๕ - ๖ อรรถกถาสูตรที่ ๗ - ๘ ในสตู รท่ี ๗ - ๘ มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอไปนี้ :- บทวา อพหลุ ีกต ไดแกไมกระทําบอ ย ๆ พงึ ทราบเฉพาะจิตทเี่ กิดขน้ึ ดวยอาํ นาจวฏั ฏะ และววิ ฏั ฏะ ทง้ั ๒ ดวง แมน ี้แล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๗ - ๘ อรรถกถาสูตรที่ ๙ ในสตู รท่ี ๙ มีวนิ จิ ฉยั ดังตอ ไปน้ี :- (จติ ) ชอื่ วา นําทุกขม าให เพราะชักมาคอื นาํ มาซึ่งวฏั ฏทุกข ท่ีตรสั ไวโดยนัยมีอาทวิ า ชาติป ทุกขฺ า (แมค วามเกดิ ก็เปน ทกุ ข) บาลีวาทกุ ฺขาธิวาห ดงั นี้กม็ ี ความแหง บาลนี ัน้ พึงทราบดังตอ ไปนีว้ า จติชื่อวา ทุกขาธิวาหะ เพราะยากทจี่ ะถูกนาํ สง ตรงตออรยิ ธรรมอันมฌี านทเี่ ปน บาทของโลกุตตระเปน ตน แมจิตนี้ก็คอื จิตที่เกดิ ข้ึนดวยอํานาจวัฏฏทกุ ขน ั่นเอง. จรงิ อยู จิตน้ัน แมจ ะใหเทวสมบัติและ มนุษยส มบตั ิ มีประการดงั กลาวแลว ก็ชื่อวานําทกุ ขมาให เพราะนาํ ชาติทุกขเปนตนมาให และช่อื วายากที่จะนําไป เพราะสงไปเพือ่บรรลุอริยธรรมไดโ ดยยาก. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๙

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 86 อรรถกถาสูตรท่ี ๑๐ ในสตู รท่ี ๑๐ มวี นิ จิ ฉัยดงั ตอไปน้ี :- จติ กค็ อื จิตท่ีเกิดขึน้ ดว ยอํานาจววิ ัฏฏะน่นั แหละ จรงิ อยู จิตช่อื วาสขุ าธวิ หะ หรอื สุขาธิวาหะ เพราะอรรถวาชกั มา คือนํามาซง่ึทิพยสุขอนั ละเอียดประณตี กวาสุขของมนุษย, ซึ่งฌานสุขอันละเอยี ดประณีตกวาทพิ ยสุข. ซงึ่ วปิ ส สนาสขุ อันละเอยี ดประณีตกวา ผลสุข.ซงึ่ มรรคสขุ อันละเอยี ดประณีตกวา วิปส สนาสขุ . ซงึ่ ผลสขุ อันละเอยี ดประณตี กวา มรรคสขุ , ซ่ึงนิพพานสขุ อนั ละเอยี ดประณตี กวาผลสุข,จริงอยู จิตนน้ั เปนจติ สะดวกทีจ่ ะสงตรงตอ อรยิ ธรรม ซ่งึ มฌี านอันเปนบาทของโลกตุ ตระเปนตน เหมอื นวชิราวุธของพระอินทรทปี่ ลอยไป ฉะน้นั เหตุนนั้ จงึ เรียกวา สุขาธิวาหะ. ในวรรคน้ีทา นกลา ววฏั ฏะ และวิวัฏฏะเทา นน้ั แล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ จบ อรรถกถาอกัมมนิยวรรค ๓

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 87 อทนั ตวรรคท่ี ๔ วา ดวยจิตท่เี ปน ไปเพ่อื ประโยชนและมใิ ชประโยชน [๓๒] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอมไมเลง็ เห็นธรรมอ่ืนแมอ ยา งหน่ึง ทไี่ มฝ ก แลว ยอมเปน ไปเพ่ือมิใชประโยชนอยางใหญ เหมอื นจติดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย จิตทไ่ี มฝ กแลว ยอ มเปน ไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอยา งใหญ. [๓๓] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหนง่ึ ทฝี่ กแลว ยอ มเปนไปเพือ่ ประโยชนอยา งใหญ เหมอื นจิตกอ นภกิ ษุทั้งหลาย จติ ที่ฝกแลว ยอมเปน ประโยชนอยางใหญ [๓๔] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอื่นแมอ ยางหน่ึง ที่ไมค ุมครองแลว ยอมเปนไปเพอื่ มิใชป ระโยชนอ ยางใหญเหมอื นจิต ดูกอนภิกษุทั้งหลาย จติ ทไี่ มคมุ ครองแลว ยอมเปน ไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยา งใหญ. [๓๕] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมอ ยา งหนึ่ง ท่คี มุ ครองแลว ยอ มเปนไปเพ่ือประโยชนอยางใหญ เหมือนจิตดกู อนภิกษุท้งั หลาย จติ ที่คมุ ครองแลว ยอ มเปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ.

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 88 [๓๖] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอืน่ แมอ ยางหนง่ึ ที่ไมรักษาแลว ยอมเปน ไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอยา งใหญเหมอื นจติ ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย จิตท่ไี มรักษาแลว ยอ มเปนไปเพอ่ืมิใชป ระโยชนอ ยางใหญ. [๓๗] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นธรรมอื่นแมอยา งหน่งึ ท่รี กั ษาแลว ยอ มเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ เหมอื นจิตดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย จิตที่รกั ษาแลว ยอ มเปน ไปเพื่อประโยชนอยางใหญ. [๓๘] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นธรรมอื่นแมอ ยา งหน่ึง ท่ีไมสังวรแลว ยอ มเปนไปเพื่อมิใชประโยชนอยา งใหญ เหมอื นจิต ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย จติ ท่ไี มส งั วรแลว ยอ มเปนไปเพ่อื มิใชประโยชนอยางใหญ. [๓๙] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอื่นแมอ ยา งหน่งึ ท่ีสังวรแลว ยอ มเปน ไปเพื่อประโยชนอยางใหญ เหมือนจติดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย จติ ที่สงั วรแลว ยอมเปนไปเพอื่ ประโยชนอยางใหญ. [๔๐] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นธรรมอ่นื แมอยางหนึ่ง ท่ไี มฝ ก แลว ไมค มุ ครองแลว ไมรกั ษาแลว ไมส งั วรแลว ยอ มเปนไปเพ่ือมิใชป ระโยชนอยา งใหญ เหมือนจติ ดูกอ นภิกษุท้ังหลายจติ ทไ่ี มฝกแลว ไมค ุมครองแลว ไมร ักษาแลว ไมส งั วรแลว ยอ มเปน ไปเพ่อื มิใชป ระโยชนอยางใหญ.

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 89 [๔๑] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอน่ื แมอ ยา งหนึ่ง ที่ฝกแลว คุมครองแลว รกั ษาแลว สงั วรแลว ยอมเปนไปเพอ่ืประโยชนอยางใหญ เหมอื นจิต ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย จติ ทฝ่ี กแลวคุมครองแลว รกั ษาแลว สังวรแลว ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ. จบ อทนั ตวรรคที่ ๔

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 90 อรรถกถาอทนั ตวรรคที่ ๔ อรรถกถาสตู รท่ี ๑ วรรคที่ ๔ สตู รที่ ๑ มีวินิจฉยั ดังตอ ไปน้ี :- บทวา อทนฺต ไดแก มีการเสพผดิ (คือมพี ยศ) เหมือนชางและมา เปนตน ท่ีมิไดฝ ก บทวา จิตตฺ  ไดแ กจ ติ ท่ีเกิดขน้ึ ดวยอาํ นาจวฏั ฏะ จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑ อรรถกถาสูตรที่ ๒ ในสตู รท่ี ๒ มวี ินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี :- บทวา ทนฺต ไดแ ก หมดพยศ คอื เปนเสมอื นชางและมาเปน ตน ทีฝ่ กแลว ในสตู รทั้ง ๒ น้ี ทานกลาวเฉพาะจติ ทีเ่ กิดขนึ้ ดวยอํานาจวฏั ฏะ และวิวัฏฏะ กใ็ นสตู รนีฉ้ ันใด แมในสตู รอน่ื ๆ จากสตู รนี้ก็ฉันนั้น. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๒

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 91 อรรถกถาสูตรท่ี ๓ ในสตู รที่ ๓ มวี นิ ิจฉยั ดงั ตอไปน้ี :- บทวา อคุตฺต ไดแก ไมค มุ ครอง คอื เวน จากสตสิ งั วร เปนเสมอื นชางและมา ที่ไมคมุ ครอง (คอื ไมม ีคนเล้ยี ง) ฉะน้ัน. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๓ อรรถกถาสตู รที่ ๔ ในสตู รที่ ๔ มวี นิ ิจฉัยดงั ตอไปนี้ :- บทวา คตุ ฺต ไดแ ก คุมครองแลว คอื ไมปลอ ยสตสิ งั วร เปนเสมือนชางและมาเปนตน ท่ไี ดคมุ ครองแลว. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๔ อรรถกถสูตรท่ี ๕ - ๖ ในสตู รท่ี ๕ - ๖ ทา นกลาวตามอธั ยาศยั ของสัตวผ ูจะตรสั รูดวยอํานาจบทวา อรกขฺ ิต กอ็ รรถในบทนี้ เหมอื นบทกอ นนน่ั แล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕ - ๖

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 92 อรรถกถาสตู รท่ี ๗ - ๘ แมใ นสูตรที่ ๗ - ๘ กน็ ยั นีเ้ หมือนกัน แตในขอนี้พึงทราบอุปมาดว ยประตูเรือนเปน ตนทไี่ มร ะวัง. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๗ - ๘ อรรถกถาสตู รท่ี ๙ - ๑๐ ในสตู รท่ี ๙ - ๑๐ ทา นเอาบท ๔ บทมาประกอบแลวกลา วในวรรคน้ี ทานกลา วเฉพาะ วัฏฏะ และวิวฏั ฏะ เทานัน้ แล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๙ - ๑๐ จบ อรรถกถาอทันตวรรคท่ี ๔

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 93 ปณิหติ อัจฉวรรคท่ี ๕ วาดว ยผลแหงจิตทตี่ ้ังไวผดิ เปน ตน [๔๒] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เปรยี บเหมอื นหางแหลมของเมลด็ขา วสาลหี รอื หางแหลมของเมลด็ ขา วเหนียว ท่บี ุคคลตั้งไวผิด มอืหรอื เทาย่าํ เหยียบแลว จักทําลายมือหรอื เทา หรือวาจกั ใหหอเลอื ดขอ น้มี ใิ ชฐ านะที่จะมีได ขอนั้นเพราะเหตุไร เพราะหางแหลมของเมล็ดขาวอันบุคคลตัง้ ไวผดิ ฉนั ใด ภกิ ษุนนั้ กฉ็ ันน้ันเหมอื นกันจักทาํ ลายอวิชชา จักยงั วิชชาใหเ กดิ จกั ทา นิพพานใหแ จง ดวยจติทตี่ ง้ั ไวผ ดิ ขอนีม้ ใิ ชฐ านะทจ่ี ะมีได ขอ น้นั เพราะเหตไุ ร เพราะจติตงั้ ไวผิด. [๔๓] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย เปรยี บเหมือนหางแหลมของเมล็ดขา วสาลีหรือหางแหลมของเมลด็ ขา วเหนียว ทีบ่ ุคคลตงั้ ไวถ ูกมือหรือเทายาํ่ เหยยี บแลว จกั ทาํ ลายมอื หรือเทา หรือจกั ใหหอ เลอื ดขอ นเี้ ปนฐานะที่มไี ด ขอ นนั้ เพราะเหตุไร เพราะเดอื ยขา วอนั บุคคลต้งั ไวถ ูก ฉันใด ภิกษนุ ้ัน ก็ฉนั นัน้ เหมอื นกัน จักทําลายอวชิ ชา จักยังวชิ ชาใหเ กดิ จําทํานพิ พานใหแจง ดว ยจิตท่ีตง้ั ไวถ กู ขอนีเ้ ปนฐานะทีม่ ีได ขอน้นั เพราะเหตไุ ร เพราะจิตตัง้ ไวถกู . [๔๔] ดกู อนภิกษุทัง้ หลายเรากาํ หนดใจดว ยใจอยา งนี้แลวยอ มรชู ัดบุคคลบางคนในโลกน้ี ผมู ีจติ อันโทษประทุษรายแลว วา

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 94ถาบคุ คลนี้พงึ ทาํ กาละในสมัยน้ี พึงต้งั อยใู นนรกเหมือนถกู นํามาขงัไวฉะน้ัน ขอนน้ั เพราะเหตุไร เพราะจติ ของเขาอนั โทษประทุษรายแลว ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ก็แหละเพราะเหตทุ จี่ ิตอันโทษประทุษรา ย สัตวบางพวกในโลกน้ี เมอ่ื ตายไปยอ มเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก. [๔๕] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เรากําหนดใจดวยใจอยางนแี้ ลวยอมรูชัดบคุ คลบางคนในโลกน้ี ผมู ีจติ ผอ งใสวา ถา บคุ คลน้พี ึงทํากาละในสมัยนี้ พงึ ตัง้ อยูในสวรรคเ หมอื นทเี่ ขานํามาเชดิ ไวฉะนน้ัขอ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะจิตของเขาผองใส ดูกอ นภิกษุท้ังหลายกแ็ หละเพราะเหตทุ ่ีจิตผองใส สตั วบ างพวกในโลกนี้ เมอ่ื ตายไปยอมเขาถงึ สุคตโิ ลกสวรรค. [๔๖] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย เปรียบเหมือนหว งนํา้ ขุนมวัเปนตม บรุ ุษผมู ีจักษุยืนอยบู นฝง ไมพ งึ เห็นหอยโขงและหอยกาบบา ง กอ นกรวดและกระเบ้ืองถวยบา ง ฝูงปลาบา ง ซงึ่ เที่ยวไปบา งตั้งอยบู าง ในหวงนํา้ น้นั ขอ นั้นเพราะเหตุไร เพราะนาํ้ ขุน ฉันใดภกิ ษกุ ็ฉนั นน้ั เหมอื นกัน จักรูป ระโยชนต นบา ง จกั รูประโยชนผูอื่นบาง จกั รูป ระโยชนทัง้ สองบา ง จักกระทําใหแจง ซงึ่ คณุ วิเศษคอื อุตตรมิ นุสสธรรม อนั เปน ความรคู วามเหน็ อยางประเสริฐ อยา งสามารถ ไดดวยจติ ทขี่ ุน มวั ขอน้ีไมใชฐานะท่ีจะมไี ด ขอนั้นเพราะเหตุไร เพราะจติ ขนุ มัว. [๔๗] กอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เปรยี บเหมอื นหว งน้ําใสแจวไมข นุ มวั บรุ ุษผมู ีจกั ษุยืนอยบู นฝง พงึ เห็นหอยโขง และหอยกาบ

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 95บา ง กอนกรวดและกระเบ้อื งถว ยบาง ฝงู ปลาบา ง ซ่ึงเทย่ี วไปบา งตัง้ อยบู าง ในหว งนาํ้ นัน้ ขอ นัน้ เพราะเหตุไร เพราะนํ้าไมขุน ฉันใดภิกษกุ ฉ็ ันนัน้ เหมือนกนั จักรปู ระโยชนต นบา ง จกั รูประโยชนผอู ่ืนบาง จกั รปู ระโยชนทัง้ สองบา ง จักกระทําใหแ จงซ่งึ คุณวเิ ศษคือ อุตตริมนุสสธรรม อันเปนความรคู วามเห็นอยางประเสริฐ อยางสามารถ ไดด วยจิตท่ไี มขุนมัว ขอนีเ้ ปนฐานะทีจ่ ะมีได ขอ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะจติ ไมข นุ มวั . [๔๘] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย ไมจ ันทน บณั ฑิตกลาววา เลิศกวารุกขชาติทกุ ชนิด เพราะเปนของออน และควรแกก ารงาน ฉนั ใดดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหน่ึง ที่อบรมแลว กระทําใหมากแลว ยอมเปนธรรมชาตอิ อ นและควรแกการงาน เหมือนจติ ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย จิตท่ีอบรมแลว กระทําใหมากแลว ยอ มเปนธรรมชาติออ นและควรแกก ารงาน ฉันน้นัเหมอื นกนั . [๔๙] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมอยา งหน่งึ ที่เปล่ยี นแปลงไดเรว็ เหมือนจิต ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลายจิตเปลยี่ นแปลงไดเ ร็วเทา ใดนัน้ แมจะอุปมากก็ ระทําไดมิใชงาย. [๕๐] ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย จิตนี้ผุดผอง แตวา จติ นน้ั แลเศรา หมอง ดว ยอปุ กเิ ลสที่จรมา. [๕๑] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย จติ นี้ผุดผอง และจติ น้ันแล พนวิเศษแลว จากอุปกเิ ลสที่จรมา. จบ ปณหิ ติ อัจฉวรรคท่ี ๕

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 96 อรรถกถาปณิหิตอัจฉวรรคท่ี ๕ อรรถกถาสูตรที่ ๑ วรรคที่ ๕ สตู รที่ ๑ มวี นิ ิจฉยั ดังตอ ไปน้ี :- ศพั ทวา เสยฺยถาป เปน นิบาต ใชในอรรถวา อปุ มา. ในอรรถทีว่ าดวยอปุ มาน้นั บางแหง พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงเอาขอความประกอบอปุ มาเหมือนในวตั ถสตู ร และในปริฉตั ตโกปมสตู รและอัคคขิ ันโธปมสูตร ในท่ีบางแหงทรงแสดงเอาอปุ มาประกอบขอ ความเหมอื นในโลณัมพิลสตู ร และเหมือนในสวุ ณั ณการสูตร และ สรุ โิ ยปม-สูตรเปนตน แตในสาลิสูโกปมสตู รนี้ พระผมู พี ระภาคเจา เม่อื ทรงเอาอุปมาประกอบขอ ความจงึ ตรัสคํามอี าทวิ า เสยยฺ ถาป ภิกขฺ เวดงั น้ี บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา สาลิสูก แปลวา เดอื ยแหง เมล็ดขา วสาลี แมในเดือยแหงขา วเหนียวก็นัยนีเ้ หมอื นกนั วา ศพั ท มอี รรถวาวกิ ัปป ไมแนนอน. บทวา มจิ ฉฺ าปณิหิต แปลวา ต้ังไวผดิ อธบิ ายวาไมต ัง้ ใหปลายข้นึ โดยประการทอ่ี าจจะท่มิ เอาได บทวา ภชิ ชฺ ิสฺสติความวา จักทําลาย คือจกั เฉือนผิว. บทวา มิจฉฺ าปณหิ ิเตน จิตเฺ ตน แปลวา ดว ยจติ ทตี่ ้งั ไวผดิคาํ นี้ทานกลาวหมายเอาจิตทเ่ี กิดขึ้นดวยอาํ นาจวัฏฏะ บทวา อวิชฺชไดแ ก ความไมรอู ยา งใหญ มากดวยความทึบ เปนความไมรใู นฐานะ ๘. บทวา วชิ ฺช ในคําวา วชิ ชฺ  อปุ ฺปาเทสฺสติ น้ี ไดแ ก ญาณอันสัมปยตุ ดว ยอรหัตตมรรค. บทวา นพิ พฺ าน ไดแ ก อมตะ คณุ ชาติ

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 97ทไ่ี มตายทท่ี า นกลา วไวอยางนั้น กโ็ ดยเปนคณุ ชาตออกจากกเิ ลสเคร่อื งรอ ยรัดคอื ตณั หา. บทวา สจฉฺ ิกรสิ สฺ ติ ไดแ ก กระทาํ ใหประจักษ. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๑ อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสูตรท่ี ๒ มีวินิจฉัยดังตอ ไปน้ี :- บทวา สมฺมาปณิหติ  ความวา ต้งั ไวดี เพราะกระทําใหปลายขน้ึ โดยท่สี ามารถจะทม่ิ ได. ในบทวา อกฺกนฺต (เหยียบ) น้ียอ มชอื่ วาเหยยี บดว ยเทา เทานนั้ (ถาเปนมือก็ตอ ง)เอามือบีบ. แตท กี่ ลา ววา\"เหยียบ\" เหมือนกนั กเ็ น่ืองดวยเปนศัพทท่ีใชกนั จนชิน. ก็ในสตู รน้ีมอี รยิ โวหารเพียงเทา น้.ี ถามวา ก็เพราะเหตไุ ร ทา นจงึ ไมถ ือเอาสงิ่ อนื่ ๆ ทีใ่ หญมหี นามไมมะร่นื เปน ตน ถือเอาแตเ ดือยขา วสาลี เดอื ยขา วเหนียวเทาน้ัน ซงึ่ เปนของออ น ไมแข็ง. แกว า เพื่อแสดงวา อกุศลกรรมแมมจี ํานวนนอ ยก็สามารถฆา กุศลกรรมได. เหมือนอยา งวา เดอื ยขา วสาลี หรือเดอื ยขา วเหนียว ท่อี อนไมแข็ง หรือหนามของไมมะร่ืนและหนามของไมม ีหนามเปน ตน อันใหญ ๆ กต็ ามที ในบรรดาหนามเหลานัน้ หนามชนดิ ใดชนดิ หนึ่ง ท่ตี ง้ั ไวผ ิด ไมสามารถที่จะตาํ มือหรอื เทา หรือทําใหหอ เลือด แตท ี่ตั้งไวถ กู ทาง ยอมสามารถฉันใด กศุ ลมีจาํ นวนนอ ย ไมวา จะเปนการใหใ บไมประมาณกาํ มอื

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 98หนง่ึ หรอื กุศลใหญ ๆ เชน การใหของเวลามพราหมณเ ปน ตน ก็ตามเถดิ ถา ปรารถนาวัฏฏสมบตั ิ จิต ชอ่ื วา ต้ังไวผิด ดวยอาํ นาจอิงวฏั ฏะ สามารถนําวฏั ฏะเทา นัน้ มาให หาสามารถนาํ วิวฏั ฏะมาใหไมฉันนัน้ เหมอื นกนั . แตเ มอื่ บคุ คลปรารถนาวิวัฏฏะอยางนีว้ า ขอทานของเราน้ี จงนํามาซึง่ ความส้ินอาสวะ ชื่อวา ต้ังไวชอบดวยอาํ นาจววิ ฏั ฏะ ยอมสามารถใหทง้ั พระอรหัตท้งั ปจ เจกโพธฌิ าณทเี ดียว.สมจรงิ ดงั คําทีท่ า นกลาวไววา ปฏิสมฺภทิ า วโิ มกขฺ า จ ยา จ สาวกปารมี ปจเฺ จกโพิ พทุ ฺธภมู ิ สพฺพเมเตน ลพภฺ ต.ิ ปฏสิ ัมภทิ า ๑ วโิ มกข ๑ สาวกปารมี ๑ ปจเจก- โพธิ ๑ พทุ ธภมู ิ ๑ ทั้งหมดนน้ั บคุ คลยอ มได ดวยจิตทีต่ ง้ั ไวช อบนั้น. ก็ในสูตรท้งั สองน้ี ทานกลา วท้งั วัฏฏะ และววิ ัฏฏะ. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๒ อรรถกถาสูตรที่ ๓ ในสูตรท่ี ๓ มีวนิ ิจฉยั ดงั ตอไปนี้ :- บทวา ปทุฏจิตตฺ  ไดแกจิตอนั โทสประทษุ รา ยแลว . บทวาเจตสา เจโต ปริจฺจ ความวา กาํ หนดจติ ของเขา ดว ยจิตของตน.บทวา ยถาภต นกิ ขฺ ิตโฺ ต ความวา พงึ เห็นวา ตง้ั อยใู นนรกนั่นแล

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 99เหมือนถูกนาํ มาทิ้งไว คอื วางไว. บทวา อปาย เปนตน ท้ังหมด เปนคําไวพจนของนรก. จริงอยู นรกปราศจากความสุข คอื ความเจริญจึงชือ่ วาอบาย. ภมู ิเปน ท่ีไป คือเปนท่แี ลน ไปแหงทกุ ข เพราะฉะน้นัจงึ ชอ่ื วา ทคุ คติ. ชือ่ วา วินบิ าต เพราะเปนทที่ ี่บุคคลผูมกั ทาํ ช่วั ตกไปไรอ าํ นาจ. ช่ือวา นรก เพราะอรรถวา ไมมีดจุ ทนี่ า ยินดี. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๓ อรรถกถาสูตรที่ ๔ ในสตู รท่ี ๔ มีวนิ ิจฉยั ดังตอไปน้ี :- บทวา ปสนนฺ  ไดแก ผอ งใสโดยความผองใสดวยศรทั ธา.บทวา สุคตึ ไดแกภูมเิ ปนทีไ่ ปแหงสุข. บทวา สคฺค โลก ไดแกโลกอนั เลอเลศิ ดวยสมบตั ิมรี ูปสมบตั เิ ปนตน. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔ อรรถกถาสูตรที่ ๕ ในสตู รท่ี ๕ มีวนิ ิจฉัยดังตอไปนี้ :- บทวา อทุ กรหโท แปลวา หว งน้าํ . บทวา อาวิโล ไดแ กไมใส. บทวา ลฬุ โิ ต ไดแกไมสะอาด. บทวา กลลภี โู ต แปลวามเี ปอกตม.

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 100 พึงทราบวนิ ิจฉัย ในคําวา สปิ ฺปสมพฺ ุก เปนตนดังตอไปน้ี :-หอยโขงและหอยกาบ ช่อื วา สิปปส มั พกุ ะ กอนกรวด และกระเบื้องชอื่ วา สกั ขรกถละ. ฝูงคอื กลมุ แหงปลาทง้ั หลาย เหตนุ ้นั จึงช่อื วามจั ฉคมุ พะ ฝูงปลา. บทวา จรนฺตมปฺ  ตฏิ  มฺป นีม้ อี ธิบายวา กอนกรวดและกระเบอ้ื งหยดุ อยูอยางเดยี ว นอกนี้ หยดุ อยูก็มี วายไปก็มีเหมือนอยางวา ระหวา งแมโค ท่ียืนอยูกด็ ี หยดุ อยกู ็ดี นอนอยูก ด็ ีโคนอกน้ัน กถ็ กู เรียกวา เทย่ี วไป เพราะอาศยั โคตวั ท่ีกําลังเท่ียวไปวาโคเหลาน้เี ท่ียวไปอยฉู นั ใด กอนกรวดและกระเบ้อื งทงั้ สองแมน อกน้ีเขาเรยี กวา หยุด เพราะอาศยั กอนกรวดและกระเบอื้ งทหี่ ยุด แมกอนกรวดและกระเบอื้ งทเ่ี ขาเรยี กวา วา ยไป กเ็ พราะอาศัยฝงู ปลาซ่ึงกําลงั วายไปฉนั นน้ั . บทวา อาวิเลน ไดแก ถกู นวิ รณ ๕ หุมหอไว. ประโยชนข องตนอันคละกนั ท้งั ทเ่ี ปน โลกิยะและโลกตุ ตระ. อันเปน ไปในปจจุบัน ช่อื วา ประโยชนข องตน ในคํามอี าทวิ า อตฺตตฺถวา ประโยชนของตน ท่ีคละกนั ทัง้ ทเ่ี ปน โลกิยะและโลกุตตระ. ในสัมปรายภพ ชือ่ วา ประโยชนภายหนา แมประโยชนภายหนา ช่ือวาปรัตถะ เพราะประกอบดวยประโยชนของบคุ คลอื่น. ประโยชนทง้ั ๒ นั้น ช่อื วา อุภยัตถะประโยชนทั้ง ๒. อกี อยางหน่งึ ประโยชนสว นโลกิยะและโลกุตตระ ทเี่ ปน ไปในปจ จุบัน และสัมปรายภพของตน ช่อื วา ประโยชนต น. ประโยชนเ ชนนนั้ นัน่ แลของผอู ื่น ชอื่ วาประโยชนของผูอื่น. แมป ระโยชนทั้ง ๒ น้ัน ก็ชอื่ วา อุภยัตถะประโยชนท ัง้ ๒. บทวา อุตฺตรึ วา มนสุ ฺสธมฺมา ไดแก อนั ย่ิงกวา ธรรมของมนษุ ย กลาวคอื กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ. จริงอยู ธรรม ๑๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook