พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 151 ปมาทาทิวรรคที่ ๙ วา ดว ยธรรมทเ่ี ลศิ และเปน ไปเพ่ือประโยชนแ ละมิใชประโยชน [๘๒] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ความเจรญิ ดว ยยศมปี ระมาณนอ ยความเจริญดว ยปญญาเลศิ กวา ความเจริญท้งั หลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทง้ั หลายพึงสําเนียกอยา งนวี้ า เราทง้ั หลายจกั เจริญโดยความเจริญดว ยปญ ญา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายพึงศึกษาอยา งนแ้ี ล. [๘๓] ดกู อ ภกิ ษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมอ ยา งหนงึ่ ทเี่ ปน ไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยา งใหญ เหมือนความประมาทดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความประมาท ยอมเปน ไปเพ่อื มใิ ชป ระโยชนอยา งใหญ. [๘๔] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอน่ื แมอยางหนงึ่ ที่เปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ เหมอื นความไมประมาทกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ความไมป ระมาท ยอมเปนไปเพอ่ื ประโยชนอยา งใหญ. [๘๕] ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอน่ื แมอ ยางหน่งึ ท่ีเปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปน ผูเกยี จครา น ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเปนผูเกยี จครา น ยอ มเปนไปเพอื่ มิใชป ระโยชนอ ยา งใหญ.
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 152 [๘๖] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอืน่ แมอ ยา งหน่ึง ที่เปน ไปเพือ่ ประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปน ผูปรารภความเพยี ร ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปนผูป รารภความเพียรยอมเปนไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญ. [๘๗] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอ ยา งใหญ เพอ่ื นความเปนผูมักมาก กอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเปนผูม ักมาก ยอมเปน ไปเพอ่ืมิใชประโยชนอ ยางใหญ. [๘๘] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นธรรมอ่นื แมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปนไปเพ่ือประโยชนอยางใหญ เหมือนความเปน ผมู ักนอ ยดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ความเปนผมู ักนอย ยอ มเปน ไปเพ่ือประโยชนอยา งใหญ. [๘๙] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอ่นื แมอยางหนงึ่ ท่ีเปนไปเพ่อื มิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปนผูไมสนั โดษ ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ความเปน ผูสันโดษ ยอมเปนไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอ ยา งใหญ. [๙๐] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอื่นแมอ ยา งหน่ึง ทีเ่ ปน ไปเพือ่ ประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นความเปน ผสู นั โดษดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ความเปนผสู นั โดษ ยอมเปนไปเพ่อื ประโยชนอยางใหญ.
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 153 [๙๑] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่ืนแมอ ยางหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นการใสใ จโดยไมแยบคาย ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย การใสใ จโดยไมแยบคาย ยอมเปนไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ. [๙๒] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอนื่ แมอ ยางหนึง่ ที่เปนไปเพื่อประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นการใสใจโดยแยบคายดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย การใสใจโดยแยบคาย ยอ มเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยางใหญ. [๙๓] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย เรายอมไมเลง็ เห็นธรรมอื่นแมอยางหนึง่ ทเ่ี ปนไปเพื่อมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปนผูไมรูสกึ ตวั ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปน ผไู มรสู กึ ตัว ยอ มเปนไปเพอื่ มิใชประโยชนอ ยางใหญ. [๙๔] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมอยางหน่ึง ท่ีเปน ไปเพอื่ ประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นความเปน ผรู สู ึกตวัดูกอนภิกษุท้ังหลาย ความเปน ผูรสู กึ ตวั ยอมเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอยางใหญ. [๙๕] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปน ไปเพ่อื มิใชป ระโยชนอยางใหญ เหมือนความเปน ผูมีมิตรช่วั ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเปนผูมีมิตรช่วั ยอมเปน ไปเพอ่ืมิใชป ระโยชนอ ยา งใหญ.
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 154 [๙๖] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอยา งหนึ่ง ที่เปน ไปเพื่อประโยชนอ ยา งใหญ เหมือนความเปน ผมู มี ิตรดีดูกอนภิกษุท้ังหลาย ความเปน ผมู มี ติ รดี ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ [๙๗] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ ยางหนึ่ง ทีเ่ ปนไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ เหมอื นการประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมป ระกอบกุศลธรรม ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลายการประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมป ระกอบกุศลธรรม ยอมเปนไปเพือ่ มิใชประโยชนอยางใหญ. [๙๘] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอ่ืนแมอ ยา งหนึ่ง ทเ่ี ปน ไปเพอื่ ประโยชนอยางใหญ เหมอื นการประกอบกศุ ล-ธรรมเนือง ๆ การไมประกอบอกุศลธรรม ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายการประกอบกุศลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรม ยอ มเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ. จบ ปมาทาทวิ รรคท่ี ๙
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 155 อรรถกถาปมาทาทิวรรคที่ ๙ อรรถกถาสูตรท่ี ๑ วรรคท่ี ๙ สูตรท่ี ๑ ทา นกลา วไวแลว ในเหตเุ กิดเรอื่ งน่นั แล.ไดยนิ วา ภิกษุมากรปู นัง่ ประชมุ กันในโรงธรรม ปรารภถึงกุมภ-โลกกลาววา ตระกลู ชือ่ โนน เม่อื กอนมียศนอย มีบรวิ ารนอ ยบดั นีม้ ยี ศมากมีบริวารมาก. พระศาสดาเสดจ็ มาโดยนยั กอนนั่นแลไดท รงสดบั คําของภกิ ษุเหลา นน้ั จงึ เริ่มพระสตู รนี้ ใจความแหงพระสูตรนั้น พึงทราบโดยนยั ดงั กลาวแลวในหนหลงั น่นั แล. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๑ อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสูตรท่ี ๒ มีวินจิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา มหโต อนตถฺ าย ไดแก เพ่อื ประโยชนแ กความพินาศอยางใหญ คําทเ่ี หลอื ในสูตรน้งี า ยทงั้ นั้นแล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒ จบ อรรถกถาปมาทาทวิ รรคท่ี ๙
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 156 วรรคท่ี ๑๐ วาดวยธรรมที่กอ ใหเกิดประโยชนแ ละมใิ ชป ระโยชน [๙๙] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตุภายใน เราไมเ ลง็ เหน็ เหตอุ ่นื แมอ ยางหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือมิใชป ระโยชนอยา งใหญเหมอื นความประมาท ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ความประมาทยอ มเปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอยางใหญ. [๑๐๐] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย เพราะช้ีแจงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอน่ื แมอยา งหน่ึง ท่เี ปน ไปเพอ่ื ประโยชนอยางใหญเหมือนความไมประมาท ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย ความไมประมาทยอมเปนไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ. [๑๐๑] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตอุ นื่ แมอ ยา งหนง่ึ ทีเ่ ปน ไปเพ่ือประโยชนอยา งใหญเหมอื นความเปน ผเู กยี จครา น ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความเปน ผูเกยี จคราน ยอ มเปน ไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยา งใหญ. [๑๐๒] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะชแี้ จงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ ่นื แมอ ยางหนึ่ง ทีเ่ ปนไปเพ่อื ประโยชนอยางใหญเหมือนการปรารภความเพยี ร ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย การปรารภความเพยี ร ยอ มเปน เพอ่ื ประโยชนอ ยางใหญ.
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157 [๑๐๓] ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ ่ืนแมอ ยางหนง่ึ ท่ีเปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอยางใหญเหมอื นความเปน ผูมักมาก ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ความเปน ผูมกั มากยอ มเปนไปเพือ่ มใิ ชป ระโยชนอ ยางใหญ. [๑๐๔] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เพราะชี้แจงถึงเหตภุ ายใน เราไมเล็งเหน็ เหตอุ ่นื แมอยา งหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือประโยชนอยางใหญเหมือนความเปนผมู ักนอ ย ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ความเปน ผูมักนอยยอ มเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญ. [๑๐๕] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะชแี้ จงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเ ล็งเห็นเหตุอันแมอยา งหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยา งใหญเหมือนความเปนผูไมส ันโดษ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ความเปน ผไู มสันโดษยอมเปนไปเพ่อื มใิ ชประโยชนอยางใหญ. [๑๐๖] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเล็งเห็นเหตอุ ่ืนแมอ ยา งหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญเหมือนความเปนผูส ันโดษ ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปน ผูสันโดษยอ มเปน ไปเพื่อประโยชนอ ยางใหญ. [๑๐๗] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เพราะชี้แจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเ ลง็ เห็นเหตอุ ่ืนแมอยางหน่ึง ท่ีเปน ไปเพอื่ มิใชประโยชนอ ยา งใหญเหมือนการใสใ จโดยไมแยบคาย ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย การใสใจโดยไมแยบคาย ยอมเปนไปเพื่อมิใชป ระโยชนอยางใหญ.
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 158 [๑๐๘] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเล็งเห็นเหตอุ นื่ แมอยางหนง่ึ ท่ีเปน ไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญเหมอื นการใสใ จโดยแยบคาย ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย การใสใจโดยแยบคาย ยอมเปนไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ. [๑๐๙] ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอ่นื แมอยา งหนง่ึ ทเ่ี ปนไปเพื่อมิใชป ระโยชนอยางใหญเหมือนความเปน ผไู มร ูส ึกตวั ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย ความเปนผูไ มรสู ึกตวั ยอ มเปน ไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอ ยา งใหญ. [๑๑๐] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะชแ้ี จงถึงเหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ นื่ แมอยา งหน่งึ ที่เปนไปเพ่ือประโยชนอยางใหญเหมอื นความเปน ผรู ูสึกตัว ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ความเปน ผรู ูส กึ ตวัยอมเปนไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญ. [๑๑๑] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะช้แี จงถงึ เหตุภายใน เราไมเ ลง็ เหน็ เหตุอ่ืนแมอยางหนง่ึ ทีเ่ ปน ไปเพื่อมิใชประโยชนอ ยา งใหญเหมือนความเปนผูมมี ิตรช่ัว ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเปน ผมู ีมติ รชั่วยอมเปน ไปเพือ่ มิใชป ระโยชนอยางใหญ. [๑๑๒] ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย เพราะชี้แจงถึงเหตุภายใน เราไมเ ล็งเหน็ เหจอุ ื่นแมอ ยางหน่ึง ทเี่ ปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญเหมือนความเปนผูม มี ิตรดี ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ความเปนผูม มี ิตรดียอ มเปนไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ.
พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 159 [๑๑๓] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอืน่ แมอ ยา งหนึ่ง ท่ีเปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญเหมือนการประกอบอกศุ ลธรรมเนือ่ ง ๆ การไมประกอบกศุ ลธรรมดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย การประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมประกอบกุศลธรรม ยอ มเปนไปเพื่อมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ. [๑๑๔] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เพราะช้ีแจงถึงเหตภุ ายใน เราไมเ ล็งเห็นเหตุอนื่ แมอยา งหนึง่ ท่ีเปนไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญเหมอื นการประกอบกุศลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรมดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย การประกอบกศุ ลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรม ยอมเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอ ยางใหญ. วา ดว ยธรรมเปนเหตใุ หพระสัทธรรมเสอื่ มและมน่ั คง [๑๑๕] ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่ืนแมอยางหน่งึ เปนไปเพ่อื ความทีเ่ สอ่ื มสูญ เพอ่ื ความอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมือนความประมาท ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ความประมาทยอ มเปน ไปเพอื่ ความเสื่อมสูญ เพ่อื ความอนั ตรธานแหง สัทธรรม. [๑๑๖] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมอยา งหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพอ่ื ความดาํ รงม่นั เพอื่ ความไมเ ส่ือมสูญ เพอ่ืความไมอันตรธานแหงสัทธรรม เหมอื นความไมป ระมาท ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ความไมป ระมาท ยอ มเปน ไปเพ่อื ความดาํ รงมน่ัเพอ่ื ความไมเ สือ่ มสญู เพอ่ื ความไมอ ันตรธานแหง สทั ธรรม.
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 160 [๑๑๗] ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอื่นแมอยา งหนงึ่ ทีเ่ ปนไปเพ่อื ความเส่อื มสญู เพ่อื ความอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมือนความเปนผูเ กยี จครา น ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ความเปนผูเกยี จครา น ยอมเปนไปเพอ่ื ความเสือ่ มสญู เพื่อความอันตรธานแหงสัทธรรม. [๑๑๘] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอื่นแมอยางหนึ่ง ท่ีเปนไปเพ่อื ความดํารงมัน่ เพ่ือความไมเสอื่ มสูญ เพ่ือความไมอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมอื นการปรารภความเพยี รดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย การปรารภความเพยี ร ยอ มเปนไปเพอ่ื ความดาํ รงม่นั เพือ่ ความไมเ ส่อื มสญู เพ่อื ความไมอนั ตรธานแหง สัทธรรม. [๑๑๙] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอ่ืนแมอยา งหนึ่ง ที่เปนไปเพอ่ื ความเสื่อมสญู เพอื่ ความอันตรธานแหงสัทธรรม เหมือนความเปนผมู ักมาก ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ความเปนผูมกั มาก ยอมเปนไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญ เพอื่ ความอันตรธานแหง สัทธรรม. [๑๒๐] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหนึง่ ท่เี ปน ไปเพอื่ ความดาํ รงมนั่ เพอ่ื ความไมเ สอ่ื มสูญ เพอื่ความไมอนั ตรธานแหงสัทธรรม เหมือนความเปน ผูม ักนอ ย ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ความเปนผมู กั นอย ยอมเปน ไปเพือ่ ความดาํ รงมน่ัเพื่อความไมเ ส่อื มสญู เพื่อความไมอนั ตรธานแหง สทั ธรรม.
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 193ดมื่ นาํ้ อมฤต. เมื่อพระศาสดาประทับน่ังบนบัณฑุกมั พลศลิ าอาสนณ ภพดาวดึงส ทรงกระทาํ พระมารดาใหเปน กายสกั ขี แสดงพระอภธิ รรม ๗ คัมภรี สตั ว ๘๐ โกฏิ ด่มื นํ้าอมฤต. ในวันเสดจ็ ลงจากเทวโลกสัตว ๓๐ โกฏิ ด่มื นาํ้ อมฤต ในสักกปญหสูตร เทวดา ๘๐,๐๐๐ ไดดื่มนํ้าอมฤตแลว . ในฐานะทงั้ ๔ เหลา น้ี คอื ในมหาสมัยสตู ร ในมงคลสตู รในจลุ ลราหโุ ลวาทสตู ร ในสมจติ ตปฏิปทาสตู ร สัตวผไู ดตรัสรธู รรมกาํ หนดไมไ ด. พระองคเ สดจ็ อบุ ัตเิ พอ่ื ความอนเุ คราะหแกสัตวโลกแมน แี้ ล. เบือ้ งหนาแตน้จี ากวันนีไ้ ป (และ) ในอนาคตกาล พึงทราบเนอ้ื ความในอธิการนดี้ ังกลา วมาน้ี แมด วยอาํ นาจแหง เหลาสัตวผ ูอาศยั พระศาสนาแลว ดาํ รงอยูใ นทางสวรรคและพระนพิ พาน. บทวา เทวมนสุ ฺสาน ความวา พระองคเสดจ็ อุบัติ เพ่อื ประโยชนเพ่ือเก้อื กูล และเพ่อื ความสขุ แกเ ทวดาแสะมนุษยอยางเดยี วเทา นน้ัก็หาไม (แต) เสดจ็ อุบตั ิ เพอื่ ประโยชน เพื่อเก้ือกลู และเพื่อความสขุแกสัตวทเ่ี หลอื มนี าคและครุฑเปนตน ดว ย. ก็เพอ่ื จะแสดงบคุ คลผูถอื ปฏิสนธเิ ปน สเหตุกะ ผสู มควรทําใหแจงมรรคและผล จงึ กลาวอยา งนัน้ . เพราะเหตุนนั้ พงึ ทราบวา พระองคเ สดจ็ อบุ ตั ิ เพอื่ ประโยชนเพอื่ เกอื้ กลู และเพ่ือความสขุ เทา นั้น แมแกสตั วเ หลานัน้ . บทวา กตโม เอกปุคคฺ โล มปี จุ ฉาดงั ตอ ไปน้ี :- ชอื่ วา ปจุ ฉานี้ มี ๕ อยาง คือ อทฏิ ฐโชตนาปจุ ฉา (คาํ ถามเพื่อใหก ระจา งในสิง่ ทตี่ นยงั ไมเ หน็ ) ๑ ทฏิ ฐสังสันทนาปุจฉา (คาํ ถามเพ่อื เทียบกบั ส่ิงที่ตนเห็นแลว ) ๑ วมิ ติเฉทนาปจุ ฉา (คําถามเพ่ือตดั ความสงสยั ) ๑ อนุมปิ จุ ฉา (คาํ ถามเพื่อรับอนมุ ัติ ) ๑ กเถต-ุ
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 194กมั ยตาปุจฉา (คาํ ถามโดยใครจ ะกลา วเสยี เอง ๑ ปุจฉาท้งั ๕ นนั้มคี วามคางกนั ดังตอ ไปนี้ :- อทิฎฐโชตนาปุจฉา เปนไฉน ? ลกั ษณะตามปกติ เปน ส่งิยงั ไมร ู ยงั ไมเหน็ ยงั ชั่งไมได ยงั ไมไ ดไ ตรตรอง ยงั ไมป รากฏชดั ยงั ไมแ จมแจง บคุ คลยอ มถามปญ หาเพอื่ รู เพือ่ เหน็ เพ่ือช่งัเพือ่ ไตรต รอง เพอ่ื ตอ งการใหป รากฏชดั เพอ่ื ตองการความแจมแจง แหงลกั ษณะนน้ั นช้ี อ่ื วา อทฏิ ฐโชตนาปจุ ฉา. ทิฏฐสังสันทนาปจุ ฉา เปนไฉน ? ลักษณะตามปกติ เปน อันรูแลว เหน็ ชั่ง ไตรตรอง ปรากฏชดั และแจม แจง แลว บุคคลยอ มถามปญ หา เพ่อื เทยี บเคยี งกบั บัณฑิตเหลา อนื่ นี้ช่อื วา ทฏิ ฐสงั สันทนา-ปจุ ฉา. วิมติเฉทนาปุจฉา เปนไฉน ? ตามปกติ บคุ คลยอ มแลน ไปสคู วามสงสยั เกิดความลงั เลใจข้ึนวา เปน อยา งน้ีหรอื หนอ มิใชหรือหนอ เปนอะไรหนอ เปนอยางไรหนอ เขาจงึ ถามปญหา เพอ่ืตองการตดั ความสงสัย น้ีชอื่ วา วิมติเฉทนาปจุ ฉา. อนุมตปิ ุจฉา เปน ไฉน. จริงอยู พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสถามปญ หา ตามความเห็นชอบของภิกษุทงั้ หลายวา ภกิ ษุทง้ั หลายพวกเธอสาํ คญั ความขอนัน้ เปนไฉน ? รปู เที่ยงหรอื ไมเ ทย่ี ง. ไมเทยี่ งพระเจาขา . กร็ ปู ใดไมเ ทยี่ ง รูปน้นั เปน ทกุ ขหรือเปน สุขเลา.เปน ทุกขพระเจาขา . ก็รปู ใดไมเทยี่ งเปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรอื ทีจ่ ะตามเหน็ รูปน่ันวา น่ันเปนของเรา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 195เราเปน นน่ั นนั่ เปนอัตตาของเรา. ก็ขอนน้ั ไมเปนอยา งน้ันพระเจาขา.นีช้ ่ือวา อนุมติปุจฉา. กเถตุกมั ยตาปุจฉา เปน ไฉน ? พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ถามปญหาโดยท่พี ระองคทรงมพี ระประสงคจะตรสั ตอบเสยี เอง แกภิกษุทั้งหลาย วา ภกิ ษทุ ้ังหลาย สติปฏฐาน ๔ เหลานี้ สตปิ ฏ ฐาน ๔เปนไฉน ? นชี้ อื่ วา กเถตกุ ัมยตาปจุ ฉา. ในปจุ ฉาทัง้ ๕ เหลา นั้น ปุจฉา ๓ ขางตน ไมม แี กพระพุทธเจาทัง้ หลาย. เพราะเหตไุ ร ? เพราะวา สง่ิ ไร ๆ ในกาลอนั ยดื ยาวทัง้ ๓กาล ทีป่ จ จยั ปรุงแตง หรอื พน จากกาลอนั ยืดยาว ท่ปี จจยั ปรุงแตงไมได ชอื่ วาไมทรงเห็น ไมท รงทราบ ไมทรงช่งั ไมทรงไตรตรองไมปรากฏชดั ไมแ จม แจง ยอ มไมม แี กพ ระพทุ ธเจาทงั้ หลาย เพราะฉะน้ัน อทฏิ ฐโชตนาปุจฉา จงึ ไมม ีแกพระพุทธเจาเหลา นน้ั . ก็ส่งิใดที่พระผมู พี ระภาคเจา ทรงรูแลว ดว ยพระญาณของพระองคกจิ คือการเทียบเคยี งสิง่ น้ัน กบั ดวยผูอื่น ไมวา จะเปนสมณะ พราหมณเทวดา มาร หรือพรหม ยอมไมมี ดวยเหตนุ ั้น ทิฏฐสังสันทนาปุจฉายอมไมม ีแกพระองค. กเ็ พราะเหตทุ ี่พระองคไมม คี วามสงสยั . เปนเหตุใหกลา ววา อยา งไร เปน ผูขา มพนความเคลอื บแคลงเสยี ไดขจดั ความสงสยั ในธรรมท้ังปวงไดแลว ดวยเหตนุ ้นั วิมติเฉทนาปจุ ฉาจงึ ไมมีแกพ ระองค. สว นปจุ ฉา ๒ ขอ นอกนีย้ อ มมีแกพ ระผมู พี ระ-ภาคเจา . ในปุจฉาเหลา นั้น ปุจฉาน้ี พงึ ทราบวา กเถตุกมั ยตาปุจฉา.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 196 บดั น้ีพระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงชี้บคุ คลเอก ทเ่ี ขาถามดว ยคําถามน้ัน ใหแจม แจง จึงตรัสวา พระตถาคตอรหนั ตสัมมา-สมั พทุ ธเจา ดังนี้. บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา ตถาคโต ความวาพระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเหตุ ๘ ประการคอื ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ มาอยางนั้น. ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปอยางนน้ั ทรงพระนามวา ตถาคตเพราะเสด็จมาสลู ักษณะที่แท. ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรัสรูธ รรมทีแ่ ทจ รงิ ตามทเ่ี ปน จริง. ทรงพระนามวา พระตถาคต เพราะทรงเหน็อารมณทแ่ี ทจ ริง.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะมพี ระวาจาทแี่ ทจ ริง.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงกระทาํ เองและใหผ อู ่ืนกระทํา.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะอรรถวา ทรงครอบงําได (คอื เปนใหญ). พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็มาอยา งนน้ั เปนอยางไร ? เหมือนอยา งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา องคก อ น ๆ ทรงขวนขวายเพอื่ ประโยชนเกื้อกูลแกโลกทั้งปวงเสด็จมาแลว เหมอื นอยางพระผูมีพระภาคพระวิปสสเี สด็จมา เหมือนอยา งพระผูมีพระภาคพระสขิ ีเสดจ็ มาเหมอื นอยางพระผมู ีพระภาคพระเวสสภูเสด็จมา เหมอื นอยา งพระผมู ีพระภาคพระกกุสันธะเสด็จมา เหมอื นอยา งพระผูมีพระภาคพระ-โกนาคมนเ สด็จมา เหมอื นอยางพระผมู ีพระภาคพระกัสสปะเสดจ็ มาขอ นมี้ อี ธบิ ายอยางไร ? มีอธบิ ายวา พระผมู ีพระภาคเจาเหลาน้นัเสด็จมาดว ยอภินิหารใด พระผมู พี ระภาคเจา แมข องเราท้ังหลาย ก็เสดจ็ มาดวยอภินิหารนนั้ เหมอื นกัน
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 197 อกี อยา งหนึง่ พระผมู ีพระภาคพระวปิ สสี ฯลฯ พระผมู ีพระภาคพระกัสสปะ ทรงบําเพญ็ ทานบารมี ทรงบาํ เพญ็ ศีลบารมี เนกขัมมบารมีปญญาบารมีวิรยิ บารมี ขนั ตบิ ารมี สจั จบารมี อธษิ ฐานบารมี เมตตาบารมแี ละอุเบกขาบารมี ทรงบําเพญ็ บารมี ๓๐ ทัศเหลานี้ คือ บารมี๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทรงบริจาคมหาบรจิ าค ๕ ประการคือ บริจาคอวัยวะ. บริจาคทรพั ย บริจาคลกู บรจิ าคเมยี บรจิ าคชีวติทรงบาํ เพญ็ บพุ ประโยค บุพจรยิ า การแสดงธรรม และญาตตั ถจรยิ าเปน ตน ทรงถงึ ท่สี ุดแหง าพุทธจริยา เสดจ็ มาแลวอยางใด พระผูมีพระภาคเจาแมข องเราทั้งหลาย กเ็ สด็จมาเหมอื นอยางนั้น อกี นัยหน่งึ พระผูมพี ระภาคพระวิปสสีเปน ตน ฯล พระผูม ีพระภาคพระกสั สปะ ทรงเจรญิ เพิม่ พนู สติปฏ ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรคมีองค ๘ เสด็จมาแลวอยา งใด พระผมู ีพระภาคเจาแมข องเราทง้ั หลาย กเ็ สดจ็ มาเหมือนอยางนน้ั พระผูม ีพระภาคเจาทรงพระนามวา คถาคต เพราะเสด็จมาอยา งนั้น เปน อยางนี้ พระมนุทงั้ หลายมพี ระวิปส สเี ปน ตน เสด็จมา สูความเปนพระสัพพัญูในโลกอยา งใด แม พระศากยมุนนี ้ี กเ็ สด็จมาเหมือนอยา งนนั้ ดวย เหตุน้ัน พระผูมจี ักษุจงึ ทรงพระนามวา ตถาคต ดงั นี้. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ มาอยางนัน้ เปน อยางนี.้
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 198 พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปอยางนนั้ เปนอยา งไร ? เหมอื นอยางพระผูมพี ระภาคพระวิปสสี ประสตู ใิ นบัดเดี๋ยวนนั้กเ็ สดจ็ ไป ฯลฯ เหมือนอยา งพระผูม ีพระภาคพระกสั สปะ ประสตู ใิ นบัดเดี๋ยวนั้นก็เสด็จไป ก็พระผมู พี ระภาคเจานัน้ เสด็จไปอยางไร ?จริงอยู พระผูม พี ระภาคเจา นน้ั ประสูตใิ นบดั เด๋ยี วน้ันเอง ประทบั ยืนบนปฐพีดว ยพระยคุ ลบาทอนั เสมอกนั บายพระพักตรไ ปเบือ้ งทศิ อุดรเสดจ็ ไปโดยอยางพระบาท ๗ กาว ดังพระบาลที ่ตี รัสไววา ดกู อนอานนทพระโพธสิ ตั วป ระสูติบดั เดย๋ี วนั้น ก็ประทับยืนดว ยพระยคุ ลบาทอันเสมอกัน บายพระพักตรไ ปเบือ้ งทิศอดุ ร เสดจ็ ไปโดยยางพระบาท ๗ กา วเมื่อทาวมหาพรหมกั้นพระเศวตฉัตร ทรงเหลียวดูท่วั ทศิ ทรงเปลงอาสภิวาจาวา เราเปนผเู ลศิ ในโลก เราเปน ผเู จรญิ ทีส่ ุดในโลก เราเปนผปู ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ในโลก การเกิดครง้ั น้ีเปนการเกดิ ครั้งสุดทาย บดั นี้ภพใหมไ มม ีตอไป ดงั น.้ี และการเสดจ็ ไปของพระผมู ีพระภาคเจาน้นัก็ไดเ ปนอาการอนั แท ไมแปรผัน ดว ยความเปนบพุ นิมิตแหงการบรรลุคุณวิเศษหลายประการ คือ ขอทพ่ี ระองคประสตู ิในบดั เดย๋ี วน้ันเองก็ไดประทบั ยืนดวยพระยุคลบาทอันเสมอกนั นเี้ ปน บุพนมิ ติ แหง การไดอทิ ธบิ าท ๔ ของพระองค. อน่งึ ความทีพ่ ระองคบ า ยพระพกั ตรไ ปเบอ้ื งทิศอุดร เปน บุพนิมติ แหง ความเปนโลกตุ ตรธรรมท้งั ปวง. การยา งพระบาท ๗ กาวเปน นพนิมิตแหง การไดรัตนะ คอื โพชฌงค ๗ ประการการก้นั พระเศวตฉตั ร เปนบพุ นมิ ติ แหง การไดเ ศวตฉตั รอันบรสิ ทุ ธิ์ประเสริฐ. คอื พระอรหัตตผลวมิ ตุ ตธิ รรม. การทอดพระเนตรเหลยี วดูทว่ั ทศิ เปนนพนิมิตแหงการไดพระอนาวรณญาณ คือความเปนพระ-
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 199สัพพัญ.ู การเปลงอาสภิวาจา เปนบุพนมิ ิตแหง การประกาศพระธรรมจักรอนั ประเสริฐ อนั ใคร ๆ เปล่ียนแปลงไมไ ด. แมพ ระผมู ีพระภาคเจาพระองคนี้ ก็เสด็จไปเหมอื นอยา งน้ัน ละการเสด็จไปของพระองคน น้ั กไ็ ดเปน อาการอนั แท ไมเ ปรผัน ดว ยความเปน บพุ นมิ ิตแหงการบรรลคุ ณุ วิเศษเหลา นั้นแล.ดวยเหตนุ ้ันพระโบราณาจารยท ง้ั หลายจึงกลาววา พระควัมบดีโคดมนน้ั ประสูติแลวในบัดเด๋ยี วนัน้ ก็ทรงสัมผสั พื้นดินดวยพระยุคลบาทสมา่ํ เสมอ เสดจ็ ยา งพระบาทไปได ๗ กา ว และฝูงเทพยดา เจา ก็กางก้นั เศวตฉัตร พระโคดมนนั้ ครั้นเสดจ็ ไปได ๗ กา ว กท็ อดพระเนตรไปรอบทิศเสมอกนั ทรงเปลงพระสรุ เสยี งประกอบดวยองค ๘ ประ การ ปานดงั ราชสีหย ืนอยูบนยอดบรรพตฉะนนั้ ดงั นี.้ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จไปอยางนั้น เปนอยางน้.ี อีกนยั หนง่ึ เหมอื นอยา งพระผูมพี ระภาคพระวปิ สสีเสด็จไปแลวฯลฯ พระผูมีพระภาคพระกสั สปะเสดจ็ ไปแลวฉนั ใด พระผูม พี ระภาคเจาพระองคน้ีก็เหมือนฉันน้นั ทเี ดียว ทรงละกามฉนั ทะดว ยเนกขมั มะเสด็จไปแลว ทรงละพยาบาทดว ยความไมพยาบาท ทรงละถนี มิทธะดวยอาโลกสัญญา ทรงละอุทธัจจกุกกจุ จะดวยความไมฟงุ ซา น
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 200ทรงละวิจิกจิ ฉาดวยการกาํ หนดธรรม เสดจ็ ไปแลว ทรงทําลายอวิชชาดว ยพระปรีชาญาณ ทรงบรรเทาความไมย ินดดี วยความปราโมทยทรงเปดบานประตูคือนิวรณด วยปฐมฌาน ทรงสงบวิตกวจิ ารดว ยทุตยิ ฌาน ทรงหนายปต ิดว ยตติยฌาน ทรงละสุขทกุ ขด วยจตตุ ถฌานทรงกา วลว งรูปสัญญา ปฏฆิ สัญญา และนานัตตสญั ญา ดวยอากาสา-นญั จายตนสมาบัติ ทรงกาวลวงอากาสานญั จายตนสญั ญาดวยวญิ ญา-ณญั จายตนสมาบัติ ทรงกา วลว งวญิ ญาณัญจายตนสญั ญา ดว ยอากิญ-จญั ญายตนสมาบัติ ทรงกาวลว งอากิญจัญญายตนสญั ญา ดวยเนว-สัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ เสด็จไปแลว. ทรงละนจิ จสัญญาดว ยอนิจจานุปสสนา ทรงละสขุ สญั ญาดวยทุกขานุปส สนา ทรงละอัตตสญั ญาดวยอนัตตานุปสสนา ทรงละนันทิ (ความเพลิดเพลิน) ดว ยนิพพิทานุปส สนา ทรงละราคะดวยวิราคานปุ ส สนา ทรงละสมุทัยดว ยนโิ รธานุปส สนา ละความยึดมน่ัดว ยอุปสมานุปสสนา ทรงละฆนสัญญา (สาํ คญั วาเปน กอ น) ดวยขยานุปสสนา ทรงละอายหู นา (การประมวลมา) ดวยวยานปุ สสนาทรงละธุวสญั ญา (สําคัญวายง่ั ยนื ) ดว ยวปิ รณิ ามานุปส สนา ทรงละนิมิตตสัญญาดวยอนมิ ติ ตานุปสสนา ทรงละการตั้งม่นั แหง กเิ ลสดวยอปั ปณหิ ติ านปุ สสนา ทรงละอภินิเวส (ยึดมนั่ ) ดวยสุญตุ านปุ สสนาทรงละสาราทานาภนิ เิ วสะ (ยดึ ม่ันดว ยยดึ ถือวา เปนสาระ) ดวยอธิปญ ญาธรรมวิปส สนา (การเหน็ แจง ธรรมดว ยปญญาอนั ย่งิ ) ทรงละสัมโมหาภินิเวส (ยึดม่นั ดว ยความลุม หลง) ดว ยยถาภตู ญาณทัสสนะทรงละอาลยาภินิเวส (ยึดมั่นในอาลยั ) ดวยอาทนี วานุปสสนา ละอัป-ปฏสิ งั ขา (ไมพิจารณา) ดว ยปฏสิ งั ขานปุ ส สนา ละสงั โยคาภนิ เิ วสะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 506
Pages: