Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_32

tripitaka_32

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_32

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 151 ปมาทาทิวรรคที่ ๙ วา ดว ยธรรมทเ่ี ลศิ และเปน ไปเพ่ือประโยชนแ ละมิใชประโยชน [๘๒] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ความเจรญิ ดว ยยศมปี ระมาณนอ ยความเจริญดว ยปญญาเลศิ กวา ความเจริญท้งั หลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทง้ั หลายพึงสําเนียกอยา งนวี้ า เราทง้ั หลายจกั เจริญโดยความเจริญดว ยปญ ญา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายพึงศึกษาอยา งนแ้ี ล. [๘๓] ดกู อ ภกิ ษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมอ ยา งหนงึ่ ทเี่ ปน ไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยา งใหญ เหมือนความประมาทดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความประมาท ยอมเปน ไปเพ่อื มใิ ชป ระโยชนอยา งใหญ. [๘๔] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอน่ื แมอยางหนงึ่ ที่เปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ เหมอื นความไมประมาทกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ความไมป ระมาท ยอมเปนไปเพอ่ื ประโยชนอยา งใหญ. [๘๕] ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอน่ื แมอ ยางหน่งึ ท่ีเปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปน ผูเกยี จครา น ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเปนผูเกยี จครา น ยอ มเปนไปเพอื่ มิใชป ระโยชนอ ยา งใหญ.

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 152 [๘๖] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอืน่ แมอ ยา งหน่ึง ที่เปน ไปเพือ่ ประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปน ผูปรารภความเพยี ร ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปนผูป รารภความเพียรยอมเปนไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญ. [๘๗] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอ ยา งใหญ เพอ่ื นความเปนผูมักมาก กอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเปนผูม ักมาก ยอมเปน ไปเพอ่ืมิใชประโยชนอ ยางใหญ. [๘๘] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นธรรมอ่นื แมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปนไปเพ่ือประโยชนอยางใหญ เหมือนความเปน ผมู ักนอ ยดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ความเปนผมู ักนอย ยอ มเปน ไปเพ่ือประโยชนอยา งใหญ. [๘๙] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอ่นื แมอยางหนงึ่ ท่ีเปนไปเพ่อื มิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปนผูไมสนั โดษ ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ความเปน ผูสันโดษ ยอมเปนไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอ ยา งใหญ. [๙๐] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ ธรรมอื่นแมอ ยา งหน่ึง ทีเ่ ปน ไปเพือ่ ประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นความเปน ผสู นั โดษดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ความเปนผสู นั โดษ ยอมเปนไปเพ่อื ประโยชนอยางใหญ.

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 153 [๙๑] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่ืนแมอ ยางหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นการใสใ จโดยไมแยบคาย ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย การใสใ จโดยไมแยบคาย ยอมเปนไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ. [๙๒] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เรายอ มไมเลง็ เห็นธรรมอนื่ แมอ ยางหนึง่ ที่เปนไปเพื่อประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นการใสใจโดยแยบคายดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย การใสใจโดยแยบคาย ยอ มเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยางใหญ. [๙๓] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย เรายอมไมเลง็ เห็นธรรมอื่นแมอยางหนึง่ ทเ่ี ปนไปเพื่อมิใชประโยชนอ ยางใหญ เหมอื นความเปนผูไมรูสกึ ตวั ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปน ผไู มรสู กึ ตัว ยอ มเปนไปเพอื่ มิใชประโยชนอ ยางใหญ. [๙๔] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมอยางหน่ึง ท่ีเปน ไปเพอื่ ประโยชนอ ยา งใหญ เหมอื นความเปน ผรู สู ึกตวัดูกอนภิกษุท้ังหลาย ความเปน ผูรสู กึ ตวั ยอมเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอยางใหญ. [๙๕] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอยา งหน่ึง ทเ่ี ปน ไปเพ่อื มิใชป ระโยชนอยางใหญ เหมือนความเปน ผูมีมิตรช่วั ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเปนผูมีมิตรช่วั ยอมเปน ไปเพอ่ืมิใชป ระโยชนอ ยา งใหญ.

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 154 [๙๖] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เรายอมไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมอยา งหนึ่ง ที่เปน ไปเพื่อประโยชนอ ยา งใหญ เหมือนความเปน ผมู มี ิตรดีดูกอนภิกษุท้ังหลาย ความเปน ผมู มี ติ รดี ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ [๙๗] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ ยางหนึ่ง ทีเ่ ปนไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ เหมอื นการประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมป ระกอบกุศลธรรม ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลายการประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมป ระกอบกุศลธรรม ยอมเปนไปเพือ่ มิใชประโยชนอยางใหญ. [๙๘] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอ่ืนแมอ ยา งหนึ่ง ทเ่ี ปน ไปเพอื่ ประโยชนอยางใหญ เหมอื นการประกอบกศุ ล-ธรรมเนือง ๆ การไมประกอบอกุศลธรรม ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายการประกอบกุศลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรม ยอ มเปน ไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ. จบ ปมาทาทวิ รรคท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 155 อรรถกถาปมาทาทิวรรคที่ ๙ อรรถกถาสูตรท่ี ๑ วรรคท่ี ๙ สูตรท่ี ๑ ทา นกลา วไวแลว ในเหตเุ กิดเรอื่ งน่นั แล.ไดยนิ วา ภิกษุมากรปู นัง่ ประชมุ กันในโรงธรรม ปรารภถึงกุมภ-โลกกลาววา ตระกลู ชือ่ โนน เม่อื กอนมียศนอย มีบรวิ ารนอ ยบดั นีม้ ยี ศมากมีบริวารมาก. พระศาสดาเสดจ็ มาโดยนยั กอนนั่นแลไดท รงสดบั คําของภกิ ษุเหลา นน้ั จงึ เริ่มพระสตู รนี้ ใจความแหงพระสูตรนั้น พึงทราบโดยนยั ดงั กลาวแลวในหนหลงั น่นั แล. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๑ อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสูตรท่ี ๒ มีวินจิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา มหโต อนตถฺ าย ไดแก เพ่อื ประโยชนแ กความพินาศอยางใหญ คําทเ่ี หลอื ในสูตรน้งี า ยทงั้ นั้นแล. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒ จบ อรรถกถาปมาทาทวิ รรคท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 156 วรรคท่ี ๑๐ วาดวยธรรมที่กอ ใหเกิดประโยชนแ ละมใิ ชป ระโยชน [๙๙] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตุภายใน เราไมเ ลง็ เหน็ เหตอุ ่นื แมอ ยางหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือมิใชป ระโยชนอยา งใหญเหมอื นความประมาท ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ความประมาทยอ มเปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอยางใหญ. [๑๐๐] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย เพราะช้ีแจงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอน่ื แมอยา งหน่ึง ท่เี ปน ไปเพอ่ื ประโยชนอยางใหญเหมือนความไมประมาท ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย ความไมประมาทยอมเปนไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ. [๑๐๑] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตอุ นื่ แมอ ยา งหนง่ึ ทีเ่ ปน ไปเพ่ือประโยชนอยา งใหญเหมอื นความเปน ผเู กยี จครา น ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความเปน ผูเกยี จคราน ยอ มเปน ไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยา งใหญ. [๑๐๒] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะชแี้ จงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ ่นื แมอ ยางหนึ่ง ทีเ่ ปนไปเพ่อื ประโยชนอยางใหญเหมือนการปรารภความเพยี ร ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย การปรารภความเพยี ร ยอ มเปน เพอ่ื ประโยชนอ ยางใหญ.

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157 [๑๐๓] ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ ่ืนแมอ ยางหนง่ึ ท่ีเปนไปเพอ่ื มิใชประโยชนอยางใหญเหมอื นความเปน ผูมักมาก ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ความเปน ผูมกั มากยอ มเปนไปเพือ่ มใิ ชป ระโยชนอ ยางใหญ. [๑๐๔] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เพราะชี้แจงถึงเหตภุ ายใน เราไมเล็งเหน็ เหตอุ ่นื แมอยา งหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือประโยชนอยางใหญเหมือนความเปนผมู ักนอ ย ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ความเปน ผูมักนอยยอ มเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญ. [๑๐๕] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะชแี้ จงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเ ล็งเห็นเหตุอันแมอยา งหนึ่ง ท่เี ปน ไปเพ่ือมใิ ชป ระโยชนอยา งใหญเหมือนความเปนผูไมส ันโดษ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ความเปน ผไู มสันโดษยอมเปนไปเพ่อื มใิ ชประโยชนอยางใหญ. [๑๐๖] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเล็งเห็นเหตอุ ่ืนแมอ ยา งหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญเหมือนความเปนผูส ันโดษ ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ความเปน ผูสันโดษยอ มเปน ไปเพื่อประโยชนอ ยางใหญ. [๑๐๗] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เพราะชี้แจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเ ลง็ เห็นเหตอุ ่ืนแมอยางหน่ึง ท่ีเปน ไปเพอื่ มิใชประโยชนอ ยา งใหญเหมือนการใสใ จโดยไมแยบคาย ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย การใสใจโดยไมแยบคาย ยอมเปนไปเพื่อมิใชป ระโยชนอยางใหญ.

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 158 [๑๐๘] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเล็งเห็นเหตอุ นื่ แมอยางหนง่ึ ท่ีเปน ไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญเหมอื นการใสใ จโดยแยบคาย ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย การใสใจโดยแยบคาย ยอมเปนไปเพื่อประโยชนอยา งใหญ. [๑๐๙] ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะช้ีแจงถงึ เหตภุ ายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอ่นื แมอยา งหนง่ึ ทเ่ี ปนไปเพื่อมิใชป ระโยชนอยางใหญเหมือนความเปน ผไู มร ูส ึกตวั ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย ความเปนผูไ มรสู ึกตวั ยอ มเปน ไปเพ่ือมใิ ชประโยชนอ ยา งใหญ. [๑๑๐] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะชแ้ี จงถึงเหตภุ ายใน เราไมเลง็ เหน็ เหตอุ นื่ แมอยา งหน่งึ ที่เปนไปเพ่ือประโยชนอยางใหญเหมอื นความเปน ผรู ูสึกตัว ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ความเปน ผรู ูส กึ ตวัยอมเปนไปเพือ่ ประโยชนอยางใหญ. [๑๑๑] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะช้แี จงถงึ เหตุภายใน เราไมเ ลง็ เหน็ เหตุอ่ืนแมอยางหนง่ึ ทีเ่ ปน ไปเพื่อมิใชประโยชนอ ยา งใหญเหมือนความเปนผูมมี ิตรช่ัว ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเปน ผมู ีมติ รชั่วยอมเปน ไปเพือ่ มิใชป ระโยชนอยางใหญ. [๑๑๒] ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย เพราะชี้แจงถึงเหตุภายใน เราไมเ ล็งเหน็ เหจอุ ื่นแมอ ยางหน่ึง ทเี่ ปน ไปเพื่อประโยชนอยา งใหญเหมือนความเปนผูม มี ิตรดี ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ความเปนผูม มี ิตรดียอ มเปนไปเพอื่ ประโยชนอยา งใหญ.

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 159 [๑๑๓] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย เพราะช้แี จงถึงเหตุภายใน เราไมเลง็ เห็นเหตุอืน่ แมอ ยา งหนึ่ง ท่ีเปนไปเพ่ือมิใชประโยชนอ ยางใหญเหมือนการประกอบอกศุ ลธรรมเนือ่ ง ๆ การไมประกอบกศุ ลธรรมดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย การประกอบอกศุ ลธรรมเนอื ง ๆ การไมประกอบกุศลธรรม ยอ มเปนไปเพื่อมใิ ชป ระโยชนอยางใหญ. [๑๑๔] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เพราะช้ีแจงถึงเหตภุ ายใน เราไมเ ล็งเห็นเหตุอนื่ แมอยา งหนึง่ ท่ีเปนไปเพอ่ื ประโยชนอ ยา งใหญเหมอื นการประกอบกุศลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรมดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย การประกอบกศุ ลธรรมเนือง ๆ การไมป ระกอบอกศุ ลธรรม ยอมเปน ไปเพอ่ื ประโยชนอ ยางใหญ. วา ดว ยธรรมเปนเหตใุ หพระสัทธรรมเสอื่ มและมน่ั คง [๑๑๕] ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอ่ืนแมอยางหน่งึ เปนไปเพ่อื ความทีเ่ สอ่ื มสูญ เพอ่ื ความอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมือนความประมาท ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ความประมาทยอ มเปน ไปเพอื่ ความเสื่อมสูญ เพ่อื ความอนั ตรธานแหง สัทธรรม. [๑๑๖] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมอยา งหนงึ่ ทเ่ี ปนไปเพอ่ื ความดาํ รงม่นั เพอื่ ความไมเ ส่ือมสูญ เพอ่ืความไมอันตรธานแหงสัทธรรม เหมอื นความไมป ระมาท ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ความไมป ระมาท ยอ มเปน ไปเพ่อื ความดาํ รงมน่ัเพอ่ื ความไมเ สือ่ มสญู เพอ่ื ความไมอ ันตรธานแหง สทั ธรรม.

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 160 [๑๑๗] ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เรายอมไมเล็งเห็นธรรมอื่นแมอยา งหนงึ่ ทีเ่ ปนไปเพ่อื ความเส่อื มสญู เพ่อื ความอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมือนความเปนผูเ กยี จครา น ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ความเปนผูเกยี จครา น ยอมเปนไปเพอ่ื ความเสือ่ มสญู เพื่อความอันตรธานแหงสัทธรรม. [๑๑๘] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเ ลง็ เห็นธรรมอื่นแมอยางหนึ่ง ท่ีเปนไปเพ่อื ความดํารงมัน่ เพ่ือความไมเสอื่ มสูญ เพ่ือความไมอันตรธานแหงสทั ธรรม เหมอื นการปรารภความเพยี รดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย การปรารภความเพยี ร ยอ มเปนไปเพอ่ื ความดาํ รงม่นั เพือ่ ความไมเ ส่อื มสญู เพ่อื ความไมอนั ตรธานแหง สัทธรรม. [๑๑๙] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ ธรรมอ่ืนแมอยา งหนึ่ง ที่เปนไปเพอ่ื ความเสื่อมสญู เพอื่ ความอันตรธานแหงสัทธรรม เหมือนความเปนผมู ักมาก ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ความเปนผูมกั มาก ยอมเปนไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญ เพอื่ ความอันตรธานแหง สัทธรรม. [๑๒๐] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เรายอมไมเลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมอยา งหนึง่ ท่เี ปน ไปเพอื่ ความดาํ รงมนั่ เพอ่ื ความไมเ สอ่ื มสูญ เพอื่ความไมอนั ตรธานแหงสัทธรรม เหมือนความเปน ผูม ักนอ ย ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ความเปนผมู กั นอย ยอมเปน ไปเพือ่ ความดาํ รงมน่ัเพื่อความไมเ ส่อื มสญู เพื่อความไมอนั ตรธานแหง สทั ธรรม.

































































พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 193ดมื่ นาํ้ อมฤต. เมื่อพระศาสดาประทับน่ังบนบัณฑุกมั พลศลิ าอาสนณ ภพดาวดึงส ทรงกระทาํ พระมารดาใหเปน กายสกั ขี แสดงพระอภธิ รรม ๗ คัมภรี  สตั ว ๘๐ โกฏิ ด่มื นํ้าอมฤต. ในวันเสดจ็ ลงจากเทวโลกสัตว ๓๐ โกฏิ ด่มื นาํ้ อมฤต ในสักกปญหสูตร เทวดา ๘๐,๐๐๐ ไดดื่มนํ้าอมฤตแลว . ในฐานะทงั้ ๔ เหลา น้ี คอื ในมหาสมัยสตู ร ในมงคลสตู รในจลุ ลราหโุ ลวาทสตู ร ในสมจติ ตปฏิปทาสตู ร สัตวผไู ดตรัสรธู รรมกาํ หนดไมไ ด. พระองคเ สดจ็ อบุ ัตเิ พอ่ื ความอนเุ คราะหแกสัตวโลกแมน แี้ ล. เบือ้ งหนาแตน้จี ากวันนีไ้ ป (และ) ในอนาคตกาล พึงทราบเนอ้ื ความในอธิการนดี้ ังกลา วมาน้ี แมด วยอาํ นาจแหง เหลาสัตวผ ูอาศยั พระศาสนาแลว ดาํ รงอยูใ นทางสวรรคและพระนพิ พาน. บทวา เทวมนสุ ฺสาน ความวา พระองคเสดจ็ อุบัติ เพ่อื ประโยชนเพ่ือเก้อื กูล และเพ่อื ความสขุ แกเ ทวดาแสะมนุษยอยางเดยี วเทา นน้ัก็หาไม (แต) เสดจ็ อุบตั ิ เพอื่ ประโยชน เพื่อเก้ือกลู และเพื่อความสขุแกสัตวทเ่ี หลอื มนี าคและครุฑเปนตน ดว ย. ก็เพอ่ื จะแสดงบคุ คลผูถอื ปฏิสนธเิ ปน สเหตุกะ ผสู มควรทําใหแจงมรรคและผล จงึ กลาวอยา งนัน้ . เพราะเหตุนนั้ พงึ ทราบวา พระองคเ สดจ็ อบุ ตั ิ เพอื่ ประโยชนเพอื่ เกอื้ กลู และเพ่ือความสขุ เทา นั้น แมแกสตั วเ หลานัน้ . บทวา กตโม เอกปุคคฺ โล มปี จุ ฉาดงั ตอ ไปน้ี :- ชอื่ วา ปจุ ฉานี้ มี ๕ อยาง คือ อทฏิ ฐโชตนาปจุ ฉา (คาํ ถามเพื่อใหก ระจา งในสิง่ ทตี่ นยงั ไมเ หน็ ) ๑ ทฏิ ฐสังสันทนาปุจฉา (คาํ ถามเพ่อื เทียบกบั ส่ิงที่ตนเห็นแลว ) ๑ วมิ ติเฉทนาปจุ ฉา (คําถามเพ่ือตดั ความสงสยั ) ๑ อนุมปิ จุ ฉา (คาํ ถามเพื่อรับอนมุ ัติ ) ๑ กเถต-ุ

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 194กมั ยตาปุจฉา (คาํ ถามโดยใครจ ะกลา วเสยี เอง ๑ ปุจฉาท้งั ๕ นนั้มคี วามคางกนั ดังตอ ไปนี้ :- อทิฎฐโชตนาปุจฉา เปนไฉน ? ลกั ษณะตามปกติ เปน ส่งิยงั ไมร ู ยงั ไมเหน็ ยงั ชั่งไมได ยงั ไมไ ดไ ตรตรอง ยงั ไมป รากฏชดั ยงั ไมแ จมแจง บคุ คลยอ มถามปญ หาเพอื่ รู เพือ่ เหน็ เพ่ือช่งัเพือ่ ไตรต รอง เพอ่ื ตอ งการใหป รากฏชดั เพอ่ื ตองการความแจมแจง แหงลกั ษณะนน้ั นช้ี อ่ื วา อทฏิ ฐโชตนาปจุ ฉา. ทิฏฐสังสันทนาปจุ ฉา เปนไฉน ? ลักษณะตามปกติ เปน อันรูแลว เหน็ ชั่ง ไตรตรอง ปรากฏชดั และแจม แจง แลว บุคคลยอ มถามปญ หา เพ่อื เทยี บเคยี งกบั บัณฑิตเหลา อนื่ นี้ช่อื วา ทฏิ ฐสงั สันทนา-ปจุ ฉา. วิมติเฉทนาปุจฉา เปนไฉน ? ตามปกติ บคุ คลยอ มแลน ไปสคู วามสงสยั เกิดความลงั เลใจข้ึนวา เปน อยา งน้ีหรอื หนอ มิใชหรือหนอ เปนอะไรหนอ เปนอยางไรหนอ เขาจงึ ถามปญหา เพอ่ืตองการตดั ความสงสัย น้ีชอื่ วา วิมติเฉทนาปจุ ฉา. อนุมตปิ ุจฉา เปน ไฉน. จริงอยู พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสถามปญ หา ตามความเห็นชอบของภิกษุทงั้ หลายวา ภกิ ษุทง้ั หลายพวกเธอสาํ คญั ความขอนัน้ เปนไฉน ? รปู เที่ยงหรอื ไมเ ทย่ี ง. ไมเทยี่ งพระเจาขา . กร็ ปู ใดไมเ ทยี่ ง รูปน้นั เปน ทกุ ขหรือเปน สุขเลา.เปน ทุกขพระเจาขา . ก็รปู ใดไมเทยี่ งเปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรอื ทีจ่ ะตามเหน็ รูปน่ันวา น่ันเปนของเรา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 195เราเปน นน่ั นนั่ เปนอัตตาของเรา. ก็ขอนน้ั ไมเปนอยา งน้ันพระเจาขา.นีช้ ่ือวา อนุมติปุจฉา. กเถตุกมั ยตาปุจฉา เปน ไฉน ? พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ถามปญหาโดยท่พี ระองคทรงมพี ระประสงคจะตรสั ตอบเสยี เอง แกภิกษุทั้งหลาย วา ภกิ ษทุ ้ังหลาย สติปฏฐาน ๔ เหลานี้ สตปิ ฏ ฐาน ๔เปนไฉน ? นชี้ อื่ วา กเถตกุ ัมยตาปจุ ฉา. ในปจุ ฉาทัง้ ๕ เหลา นั้น ปุจฉา ๓ ขางตน ไมม แี กพระพุทธเจาทัง้ หลาย. เพราะเหตไุ ร ? เพราะวา สง่ิ ไร ๆ ในกาลอนั ยดื ยาวทัง้ ๓กาล ทีป่ จ จยั ปรุงแตง หรอื พน จากกาลอนั ยืดยาว ท่ปี จจยั ปรุงแตงไมได ชอื่ วาไมทรงเห็น ไมท รงทราบ ไมทรงช่งั ไมทรงไตรตรองไมปรากฏชดั ไมแ จม แจง ยอ มไมม แี กพ ระพทุ ธเจาทงั้ หลาย เพราะฉะน้ัน อทฏิ ฐโชตนาปุจฉา จงึ ไมม ีแกพระพุทธเจาเหลา นน้ั . ก็ส่งิใดที่พระผมู พี ระภาคเจา ทรงรูแลว ดว ยพระญาณของพระองคกจิ คือการเทียบเคยี งสิง่ น้ัน กบั ดวยผูอื่น ไมวา จะเปนสมณะ พราหมณเทวดา มาร หรือพรหม ยอมไมมี ดวยเหตนุ ั้น ทิฏฐสังสันทนาปุจฉายอมไมม ีแกพระองค. กเ็ พราะเหตทุ ี่พระองคไมม คี วามสงสยั . เปนเหตุใหกลา ววา อยา งไร เปน ผูขา มพนความเคลอื บแคลงเสยี ไดขจดั ความสงสยั ในธรรมท้ังปวงไดแลว ดวยเหตนุ ้นั วิมติเฉทนาปจุ ฉาจงึ ไมมีแกพ ระองค. สว นปจุ ฉา ๒ ขอ นอกนีย้ อ มมีแกพ ระผมู พี ระ-ภาคเจา . ในปุจฉาเหลา นั้น ปุจฉาน้ี พงึ ทราบวา กเถตุกมั ยตาปุจฉา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 196 บดั น้ีพระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงชี้บคุ คลเอก ทเ่ี ขาถามดว ยคําถามน้ัน ใหแจม แจง จึงตรัสวา พระตถาคตอรหนั ตสัมมา-สมั พทุ ธเจา ดังนี้. บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา ตถาคโต ความวาพระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเหตุ ๘ ประการคอื ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ มาอยางนั้น. ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปอยางนน้ั ทรงพระนามวา ตถาคตเพราะเสด็จมาสลู ักษณะที่แท. ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรัสรูธ รรมทีแ่ ทจ รงิ ตามทเ่ี ปน จริง. ทรงพระนามวา พระตถาคต เพราะทรงเหน็อารมณทแ่ี ทจ ริง.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะมพี ระวาจาทแี่ ทจ ริง.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงกระทาํ เองและใหผ อู ่ืนกระทํา.ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะอรรถวา ทรงครอบงําได (คอื เปนใหญ). พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็มาอยา งนน้ั เปนอยางไร ? เหมือนอยา งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา องคก อ น ๆ ทรงขวนขวายเพอื่ ประโยชนเกื้อกูลแกโลกทั้งปวงเสด็จมาแลว เหมอื นอยางพระผูมีพระภาคพระวิปสสเี สด็จมา เหมือนอยา งพระผูมีพระภาคพระสขิ ีเสดจ็ มาเหมอื นอยางพระผมู ีพระภาคพระเวสสภูเสด็จมา เหมอื นอยา งพระผมู ีพระภาคพระกกุสันธะเสด็จมา เหมอื นอยา งพระผูมีพระภาคพระ-โกนาคมนเ สด็จมา เหมอื นอยางพระผมู ีพระภาคพระกัสสปะเสดจ็ มาขอ นมี้ อี ธบิ ายอยางไร ? มีอธบิ ายวา พระผมู ีพระภาคเจาเหลาน้นัเสด็จมาดว ยอภินิหารใด พระผมู พี ระภาคเจา แมข องเราท้ังหลาย ก็เสดจ็ มาดวยอภินิหารนนั้ เหมอื นกัน

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 197 อกี อยา งหนึง่ พระผมู ีพระภาคพระวปิ สสี ฯลฯ พระผมู ีพระภาคพระกัสสปะ ทรงบําเพญ็ ทานบารมี ทรงบาํ เพญ็ ศีลบารมี เนกขัมมบารมีปญญาบารมีวิรยิ บารมี ขนั ตบิ ารมี สจั จบารมี อธษิ ฐานบารมี เมตตาบารมแี ละอุเบกขาบารมี ทรงบําเพญ็ บารมี ๓๐ ทัศเหลานี้ คือ บารมี๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทรงบริจาคมหาบรจิ าค ๕ ประการคือ บริจาคอวัยวะ. บริจาคทรพั ย บริจาคลกู บรจิ าคเมยี บรจิ าคชีวติทรงบาํ เพญ็ บพุ ประโยค บุพจรยิ า การแสดงธรรม และญาตตั ถจรยิ าเปน ตน ทรงถงึ ท่สี ุดแหง าพุทธจริยา เสดจ็ มาแลวอยางใด พระผูมีพระภาคเจาแมข องเราทั้งหลาย กเ็ สด็จมาเหมอื นอยางนั้น อกี นัยหน่งึ พระผูมพี ระภาคพระวิปสสีเปน ตน ฯล พระผูม ีพระภาคพระกสั สปะ ทรงเจรญิ เพิม่ พนู สติปฏ ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรคมีองค ๘ เสด็จมาแลวอยา งใด พระผมู ีพระภาคเจาแมข องเราทง้ั หลาย กเ็ สดจ็ มาเหมือนอยางนน้ั พระผูม ีพระภาคเจาทรงพระนามวา คถาคต เพราะเสด็จมาอยา งนั้น เปน อยางนี้ พระมนุทงั้ หลายมพี ระวิปส สเี ปน ตน เสด็จมา สูความเปนพระสัพพัญูในโลกอยา งใด แม พระศากยมุนนี ้ี กเ็ สด็จมาเหมือนอยา งนนั้ ดวย เหตุน้ัน พระผูมจี ักษุจงึ ทรงพระนามวา ตถาคต ดงั นี้. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ มาอยางนัน้ เปน อยางนี.้

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 198 พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปอยางนนั้ เปนอยา งไร ? เหมอื นอยางพระผูมพี ระภาคพระวิปสสี ประสตู ใิ นบัดเดี๋ยวนนั้กเ็ สดจ็ ไป ฯลฯ เหมือนอยา งพระผูม ีพระภาคพระกสั สปะ ประสตู ใิ นบัดเดี๋ยวนั้นก็เสด็จไป ก็พระผมู พี ระภาคเจานัน้ เสด็จไปอยางไร ?จริงอยู พระผูม พี ระภาคเจา นน้ั ประสูตใิ นบดั เด๋ยี วน้ันเอง ประทบั ยืนบนปฐพีดว ยพระยคุ ลบาทอนั เสมอกนั บายพระพักตรไ ปเบือ้ งทศิ อุดรเสดจ็ ไปโดยอยางพระบาท ๗ กาว ดังพระบาลที ่ตี รัสไววา ดกู อนอานนทพระโพธสิ ตั วป ระสูติบดั เดย๋ี วนั้น ก็ประทับยืนดว ยพระยคุ ลบาทอันเสมอกัน บายพระพักตรไ ปเบือ้ งทิศอดุ ร เสดจ็ ไปโดยยางพระบาท ๗ กา วเมื่อทาวมหาพรหมกั้นพระเศวตฉัตร ทรงเหลียวดูท่วั ทศิ ทรงเปลงอาสภิวาจาวา เราเปนผเู ลศิ ในโลก เราเปน ผเู จรญิ ทีส่ ุดในโลก เราเปนผปู ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ในโลก การเกิดครง้ั น้ีเปนการเกดิ ครั้งสุดทาย บดั นี้ภพใหมไ มม ีตอไป ดงั น.้ี และการเสดจ็ ไปของพระผมู ีพระภาคเจาน้นัก็ไดเ ปนอาการอนั แท ไมแปรผัน ดว ยความเปนบพุ นิมิตแหงการบรรลุคุณวิเศษหลายประการ คือ ขอทพ่ี ระองคประสตู ิในบดั เดย๋ี วน้ันเองก็ไดประทบั ยืนดวยพระยุคลบาทอันเสมอกนั นเี้ ปน บุพนมิ ติ แหง การไดอทิ ธบิ าท ๔ ของพระองค. อน่งึ ความทีพ่ ระองคบ า ยพระพกั ตรไ ปเบอ้ื งทิศอุดร เปน บุพนิมติ แหง ความเปนโลกตุ ตรธรรมท้งั ปวง. การยา งพระบาท ๗ กาวเปน นพนิมิตแหง การไดรัตนะ คอื โพชฌงค ๗ ประการการก้นั พระเศวตฉตั ร เปนบพุ นมิ ติ แหง การไดเ ศวตฉตั รอันบรสิ ทุ ธิ์ประเสริฐ. คอื พระอรหัตตผลวมิ ตุ ตธิ รรม. การทอดพระเนตรเหลยี วดูทว่ั ทศิ เปนนพนิมิตแหงการไดพระอนาวรณญาณ คือความเปนพระ-

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 199สัพพัญ.ู การเปลงอาสภิวาจา เปนบุพนมิ ิตแหง การประกาศพระธรรมจักรอนั ประเสริฐ อนั ใคร ๆ เปล่ียนแปลงไมไ ด. แมพ ระผมู ีพระภาคเจาพระองคนี้ ก็เสด็จไปเหมอื นอยา งน้ัน ละการเสด็จไปของพระองคน น้ั กไ็ ดเปน อาการอนั แท ไมเ ปรผัน ดว ยความเปน บพุ นมิ ิตแหงการบรรลคุ ณุ วิเศษเหลา นั้นแล.ดวยเหตนุ ้ันพระโบราณาจารยท ง้ั หลายจึงกลาววา พระควัมบดีโคดมนน้ั ประสูติแลวในบัดเด๋ยี วนัน้ ก็ทรงสัมผสั พื้นดินดวยพระยุคลบาทสมา่ํ เสมอ เสดจ็ ยา งพระบาทไปได ๗ กา ว และฝูงเทพยดา เจา ก็กางก้นั เศวตฉัตร พระโคดมนนั้ ครั้นเสดจ็ ไปได ๗ กา ว กท็ อดพระเนตรไปรอบทิศเสมอกนั ทรงเปลงพระสรุ เสยี งประกอบดวยองค ๘ ประ การ ปานดงั ราชสีหย ืนอยูบนยอดบรรพตฉะนนั้ ดงั นี.้ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จไปอยางนั้น เปนอยางน้.ี อีกนยั หนง่ึ เหมอื นอยา งพระผูมพี ระภาคพระวปิ สสีเสด็จไปแลวฯลฯ พระผูมีพระภาคพระกสั สปะเสดจ็ ไปแลวฉนั ใด พระผูม พี ระภาคเจาพระองคน้ีก็เหมือนฉันน้นั ทเี ดียว ทรงละกามฉนั ทะดว ยเนกขมั มะเสด็จไปแลว ทรงละพยาบาทดว ยความไมพยาบาท ทรงละถนี มิทธะดวยอาโลกสัญญา ทรงละอุทธัจจกุกกจุ จะดวยความไมฟงุ ซา น

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 200ทรงละวิจิกจิ ฉาดวยการกาํ หนดธรรม เสดจ็ ไปแลว ทรงทําลายอวิชชาดว ยพระปรีชาญาณ ทรงบรรเทาความไมย ินดดี วยความปราโมทยทรงเปดบานประตูคือนิวรณด วยปฐมฌาน ทรงสงบวิตกวจิ ารดว ยทุตยิ ฌาน ทรงหนายปต ิดว ยตติยฌาน ทรงละสุขทกุ ขด วยจตตุ ถฌานทรงกา วลว งรูปสัญญา ปฏฆิ สัญญา และนานัตตสญั ญา ดวยอากาสา-นญั จายตนสมาบัติ ทรงกาวลวงอากาสานญั จายตนสญั ญาดวยวญิ ญา-ณญั จายตนสมาบัติ ทรงกา วลว งวญิ ญาณัญจายตนสญั ญา ดว ยอากิญ-จญั ญายตนสมาบัติ ทรงกาวลว งอากิญจัญญายตนสญั ญา ดวยเนว-สัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ เสด็จไปแลว. ทรงละนจิ จสัญญาดว ยอนิจจานุปสสนา ทรงละสขุ สญั ญาดวยทุกขานุปส สนา ทรงละอัตตสญั ญาดวยอนัตตานุปสสนา ทรงละนันทิ (ความเพลิดเพลิน) ดว ยนิพพิทานุปส สนา ทรงละราคะดวยวิราคานปุ ส สนา ทรงละสมุทัยดว ยนโิ รธานุปส สนา ละความยึดมน่ัดว ยอุปสมานุปสสนา ทรงละฆนสัญญา (สาํ คญั วาเปน กอ น) ดวยขยานุปสสนา ทรงละอายหู นา (การประมวลมา) ดวยวยานปุ สสนาทรงละธุวสญั ญา (สําคัญวายง่ั ยนื ) ดว ยวปิ รณิ ามานุปส สนา ทรงละนิมิตตสัญญาดวยอนมิ ติ ตานุปสสนา ทรงละการตั้งม่นั แหง กเิ ลสดวยอปั ปณหิ ติ านปุ สสนา ทรงละอภินิเวส (ยึดมนั่ ) ดวยสุญตุ านปุ สสนาทรงละสาราทานาภนิ เิ วสะ (ยดึ ม่ันดว ยยดึ ถือวา เปนสาระ) ดวยอธิปญ ญาธรรมวิปส สนา (การเหน็ แจง ธรรมดว ยปญญาอนั ย่งิ ) ทรงละสัมโมหาภินิเวส (ยึดม่นั ดว ยความลุม หลง) ดว ยยถาภตู ญาณทัสสนะทรงละอาลยาภินิเวส (ยึดมั่นในอาลยั ) ดวยอาทนี วานุปสสนา ละอัป-ปฏสิ งั ขา (ไมพิจารณา) ดว ยปฏสิ งั ขานปุ ส สนา ละสงั โยคาภนิ เิ วสะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook