พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 201(ยึดมัน่ ในการประกอบกิเลส) ดว ยวิวัฏฏานปุ สสนา ทรงละกเิ ลสอันตงั้ อยูในฐานเดยี วกบั ทฏิ ฐิ ดว ยโสดาปตติมรรค ทรงละกิเลสหยาบดว ยสกทาคามิมรรค ทรงถอนกเิ ลสอยางละเอียดดว ยอนาคามมิ รรคทรงตดั กเิ ลสทงั้ ปวงไดเดด็ ขาดดว ยอรหตั ตมรรค เสดจ็ ไปแลว. พระ-ผูม พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จไปอยา งน้นั เปนอยา งน้.ี พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนาม ตถาคต เพราะเสดจ็ มาถงึลักษณะท่แี ทเปน อยางไร ? ปฐวีธาตุมีลกั ษณะแขน แขง็ เปนลักษณะแทไมแ ปรผนั อาโปธาตุ มีลักษณะไหลเอิบอาบ เตโชธาตุ มลี กั ษณะรอ นวาโยธาตมุ ลี กั ษณะเคลื่อนไปมา อากาศธาตมุ ลี ักษณะทส่ี มั ผัสถกู ตองไมได วญิ ญาณธาตุมีลกั ษณะรูแ จง รูปมลี กั ษณะสลาย เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ สญั ญามีลกั ษณะจาํ อารมณ สงั ขารมลี ักษณะปรุงแตง อารมณ วญิ ญาณมีลักษณะรูอารมณ วติ กมีลักษณะยกจติขนึ้ สอู ารมณ วจิ ารมลี ักษณะตามเคลาอารมณ ปตมิ ลี ักษณะแผไ ปสขุ มลี กั ษณะสาํ ราญ เอกัคคตาจติ มีลักษณะไมฟงุ ซาน ผสั สะมลี กั ษณะถูกตอ งอารมณ สทั ธนิ ทรยี ม ลี ักษณะนอ มใจเชอ่ื วิริยินทรียมีลกั ษณะประคองไว สตนิ ทรยี มีลักษณะบาํ รงุ สมาธนิ ทรยี มีลักษณะไมฟุงซา นปญ ญินทรยี ม ีลกั ษณะรชู ดั สัทธาพละมีลักษณะไมหวน่ั ไหวในความเช่ือวริ ยิ พละ มีลักษณะไมหวน่ั ไหวในความเกียจคราน สติพละมีลักษณะไมห วน่ั ไหว ในความเปนผูมสี ตหิ ลงลืม สมาธิพละมลี ักษณะไมห วั่นไหวในความฟงุ ซา น ปญญาพละ มีลักษณะไมหว่นั ไหวในอวชิ ชา สต-ิสมั โพชฌงคม ีลักษณะบํารุง ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงคม ีลกั ษณะเลอื กเฟนวริ ยิ สมั โพชฌงคมีลกั ษณะประคอง ปตสิ ัมโพชฌงคมีลกั ษณะแผไ ป
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 202ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคมีลักษณะเขา ไปสงบ สมาธิสมั โพชฌงคมีลกั ษณะไมฟ ุงซาน อุเบกขาสมั โพชฌงคมีลกั ษณะพิจารณา สมั มาทิฏฐ.ิ มีลกั ษณะเห็น สัมมาสังกัปปะ มลี ักษณะยกจติ ขน้ึ สูอารมณ สัมมาวาจามีลักษณะกําหนดถือเอา สัมมากัมมนั ตะมลี กั ษณะลุกขึน้ พรอม สมั มา-อาชวี ะมีลักษณะผองแผว สมั มาวายามะมลี ักษณะประคอง สัมมาสติมลี ักษณะบาํ รงุ สัมมาสมาธิ มลี กั ษณะไมฟงุ ซาน อวชิ ชามลี ักษณะไมร ู สงั ขารมีลักษณะคดิ นกึ วญิ ญาณมีลกั ษณะรูอารมณ นามมีลักษณะนอมไป รปู มลี กั ษณะสลาย สฬายตนะมีลกั ษณะตอ กนั ผัสสะมีลักษณะถูกตองอารมณ เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ ตัณหามีลกั ษณะเปนเหตุ อปุ าทานมลี ักษณะยึดถือ ภพมลี ักษณะประมวลมาชาติมีลักษณะบงั เกิด ชรามีลักษณะทรดุ โทรม มรณะมลี กั ษณะจติ ไปธาตุมลี กั ษณะวาง อายตนะมลี กั ษณะตอกนั สติปฏ ฐาน มลี ักษณะบาํ รงุ สัมมปั ปธาน มลี กั ษณะเริม่ ต้งั อทิ ธบิ าทมลี ักษณะสําเร็จอนิ ทรียม ีลกั ษณะเปน ใหญ พละมลี กั ษณะไมหวน่ั ไหว โพชฌงคมีลักษณะนาํ ออกจากทกุ ข มรรคมลี กั ษณะเปนตัวเหตุ สัจจะมีลักษณะเปน ของแท สมถะมีลกั ษณะไมฟ งุ ซา น วปิ สสนามีลักษณะตามเหน็สมถและวิปสสนามีลกั ษณะแหง กิจอนั เดยี วกนั ธรรมท่ีขนานคูกนัมีลกั ษณะไมก ลบั กลาย สลี วสิ ุทธมิ ีลักษณะสํารวม จติ ตวสิ ทุ ธิมีลกั ษณะไมฟุง ซา น ทิฏฐวิ สิ ุทธิมลี กั ษณะเหน็ ขยญาณ (ความรใู นความสิ้นไป) มีลักษณะตัดขาด อนุปปาทญาณ (ความรูใ นความไมเกิดข้นึ ) มีลกั ษณะระงบั ฉนั ทะมีลกั ษณะเปนมูลเคา มนสกิ ารมีลกั ษณะเปน สมุฏฐานที่เกิดข้นึ ผัสสะมลี กั ษณะเปนท่ีรว มกนั เวทนามลี กั ษณะประชุมลง สมาธมิ ีลักษณะเปน ประมขุ สตมิ ีลักษณะเปนอธิปไตย
พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 203ปญ ญามีลกั ษณะย่ิงยวดกวา นน้ั วมิ ุตติมีลกั ษณะเปนสาระ นพิ พานที่หย่ังลงสูอมตะ มีลักษณะเปน ทสี่ ดุ สนิ้ เปนของแท ไมแปรผนัช่ือวา ตถาคต เพราะเสด็จมาถงึ ลกั ษณะทแี่ ทดว ยญาณคติ คอื บรรลุไมผ ดิ พลาด ดวยประการอยา งนี้. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวาตถาคต เพราะเสดจ็ มาถึงลกั ษณะทีแ่ ท เปน อยา งนี้. พระผูม ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รธู รรมท่แี ทจ รงิ ตามความเปนจริงอยางไร ? ชื่อวา ธรรมทีแ่ ทจ ริง ไดแ ก อริยสจั ๔. อยางท่ีตรสั ไววาภกิ ษุท้ังหลาย อริยสจั ๔ เหลาน้ี เปนของแทไ มผดิ ไมก ลายเปนอยา งอื่นอรยิ สัจ ๔ อะไรบาง ? ภิกษทุ ั้งหลาย ขอนี้วา น้ที กุ ข นั่นเปน ของแทนน่ั ไมผ ิด น่ันไมกลายเปนอยางอ่ืน. พึงทราบความพสิ ดารตอ ไป.กพ็ ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั รยู ่งิ เอง ซึง่ อริยสจั ๔ เหลา นน้ั เพราะฉะนน้ัจงึ ไดร บั พระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูธรรมทแี่ ท ก็ คต ศพั ทใ นทน่ี ี้มีตรสั รยู ิง่ เองเปนอรรถ. อีกอยา งหนึง่ ภาวะชราสละมรณะอันเกดิ และประชุมขน้ึเพราะชาติเปนปจ จัย เปนความแทไ มแปรฝน ไมเ ปนอยา งอ่ืน ฯลฯสภาวะสงั ขารทัง้ หลายเกดิ และประชมุ ขน้ึ เพราะอวชิ ชาเปนปจ จยัเปน ความแทไมแปรผนั ไมเปนอยางอ่นื . สภาวะอวชิ ชาเปนปจ จัยแกสังขารทัง้ หลายก็เหมอื นกัน สภาวะสงั ขารเปน ปจจัยแกวิญญาณฯลฯ สภาวะชาติเปน ปจจยั แก ชราและมรณะ, เปนความแทน ัน้ ไมแ ปรผนัไมเ ปนอยางอน่ื . พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสรูธรรมทแ่ี ทนั้นทัง้ หมดแมเพราะเหตุนนั้ จึงเรยี กวา ตถาคต เพราะตรสั รยู ่งิ เอง ซึ่งธรรม
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 204อนั ถอ งแท. พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูธรรมอันถองแทต ามความเปนจรงิ เปน อยา งน.ี้ ช่ือวา ตถาคต เพราะทรงเหน็ อารมณที่แทจ ริง เปนอยางไร ? พระผูมพี ระภาคเจาทรงรูทรงเห็นรูปารมณ โดยอาการทุกอยา งท่ีมาปรากฏทางจักขทุ วาร ของเหลาสัตวหาประมาณมิได ในโลกธาตุอนั หาประมาณมิได ในโลกพรอ มดวยเทวโลก ในหมสู ตั วพ รอ มดว ยเทวดาและมนุษย. รูปารมณนนั้ พระผูม ีพระภาคเจา ทรงรูเ หน็ อยางนี้ ทรงจําแนกดว ยอาํ นาจอิฏฐารมณแ ละอนิฏฐารมณเปนตน ก็ดี ดว ยอํานาจรอ งรอย,ทไี่ ดในการเหน็ ไดยนิ ทราบ และรแู จงกด็ ี โดยชือ่ มิใชนอ ย โดยวาระ ๑๓ โดยนยั ๕๒ ตามนัยมอี าทวิ า รปู ใด เพราะอาศัยมหาภตู รปู๔ มสี ีและแสง เห็นได กระทบได เปน สีเขยี ว สเี หลอื ง รูปนั้น คอืรูปายตนะ เปนไฉน ดังนี้ เปน ของแทท้ังนน้ั ไมแทไ มม ี. แมใ นสัททารมณเ ปน ตน ที่มาปรากฏ แมในโสตทวารเปน ตนกน็ ัยน.ี้สมจริงดังคํา ที่พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไววา ภิกษุทั้งหลาย อารมณใด อันชาวโลกพรอมดวยเทวโลก ฯลฯ อนั หมูส ตั ว พรอมดวยเทวดาและมนษุ ย เห็นแลว ไดฟงแลว ทราบแลว รูแจงแลว ถงึ แลวแสวงหาแลว พจิ ารณาแลว ยอมรอู ารมณน ั้น เรารยู ่งิ อารมณน ัน้แลวดวยใจ อารมณนั้น ตถาคตรูแ จง แลว อารมณน ัน้ ปรากฏแกตถาคตแลว . ชื่อวา ตถาคต เพราะทรงเหน็ อารมณที่แทจ ริงดวยประการฉะนี้. พงึ ทราบการเกิดแหงบทวา ตถาคต (ผทู รงเห็นอารมณท แี่ ทจรงิ )
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 205 ชื่อวา ตถาคต เพราะมีพระวาจาท่ีแทจรงิ เปน อยางไร ? ราตรใี ด พระผูมพี ระภาคเจา ประทบั น่งั อปราชติ บลั ลังกณ โพธมิ ณั ฑสถาน ทรงยํ่ายกี ระหมอ มของมารท้งั ๓ ตรสั รูย ง่ิ เองซ่งึ พระอนตุ ตรสัมมาสัมโพธญิ าณ และราตรใี ด เสดจ็ ปรนิ ิพพานดว ยอนุปาทเิ สสนพิ พานธาตุ ระหวางตน สาละท้งั คู ในระหวางราตรนี ั้น ในเวลาทพ่ี ระองคมีพรรษาประมาณ ๔๕ พรรษา พระผูมีพระภาคเจา ตรสั พุทธพจนอนั ใด ในปฐมโพธิกาลบา ง มชั ฌมิโพธกิ าลบาง ปจ ฉิมโพธกิ าลบาง คอื สตุ ตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละพระพทุ ธพจน ทัง้ หมดน้ัน ใคร ๆ ตาํ หนิไมได ทงั้ โดยอรรถและโดยพยญั ชนะ ไมข าดไมเ กิน บริบูรณดวยอาการทง้ั ปวง เปน เครอ่ื งยํ่ายีราคะ ในพระพุทธพจนน ั้น ไมม คี วามผิดพลาดแมเ พียงปลายขนทรายพระพุทธพจนท ัง้ หมดนั้น เหมือนประทับไวด วยตราอนั เดยี วกนัเหมอื นตวงดวยทะนานเดียวกัน และเหมือนชง่ั ดว ยตาชงั อนั เดียวกนัจึงเปน ของแทแ นนอนทง้ั นน้ั ไมม ีทไี่ มแท. ดวยเหตนุ ั้น พระองคจงึ ตรสั วาดกู อ นจุนทะ ตถาคตตรสั รยู ่งิ เองซึ่งอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ในราตรใี ดและปรนิ ิพพานดว ยอนปุ าทิเสสนพิ พานธาตุ ในราตรใี ด ระหวา งราตรนี ้ัน ไดภ าษติ ไดก ลาว ชีแ้ จง คาํ พดู อนั ใด อนั นน้ั เปนของแทอยา งเดียว ไมก ลายเปน อยางอ่นื เพราะฉะนั้นจึงเรียกวา ตถาคต.จริงอยู คตศพั ท ในบทวา ตถาคโต น้ี มคี ทเปน อรรถ. ช่ือวาตถาคต เพราะมพี ระวาจาทแ่ี ทจ ริง ดวยประการอยางน.้ีอีกอยางหนึง่ การพดู อธบิ ายวา การกลา ว ชอ่ื วา อาคทะ. การตรสัของพระองคเปน จรงิ ไมวิปรติ เพราะเหตุนนั้ จงึ ชอื่ วา ตถาคต
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 206เพราะแปลง ท เปน ต. พึงทราบการเช่อื มบทในอรรถน้ัน ดวยประการฉะนแ้ี ล. ช่ือวา ตถาคต เพราะเปนผูมปี กตกิ ระทาํ อยา งทตี่ รสั น้นัเปน อยา งไร ? เพราะวา พระกายของพระผมู ีพระภาคเจา ยอมอนุโลมแกพระวาจา แมพระวาจาก็อนุโลมแกพ ระกาย เพราะเหตุนน้ัพระองคตรัสอยา งใด ก็ทรงกระทาํ อยางน้ัน และทรงกระทาํ อยางใดกต็ รัสอยางน้นั . กพ็ ระวาจาของพระองคผ เู ปนอยา งน้นั ตรสั อยา งใดแมพ ระกายกไ็ ปอยางนั้น อธบิ ายวา ดําเนนิ ไป อยา งนน้ั . อนง่ึ พระกายทรงกระทาํ อยางใด แมพ ระวาจา ก็ตรัสอยางนัน้ เพราะเหตุนน้ั จึงชอื่ วา ตถาคต. ดวยเหตนุ ัน้ นั่นแล พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวาภิกษุท้ังหลาย ตถาคตพดู อยางใด กระทําอยา งนน้ั กระทําอยางใดกพ็ ดู อยา งนัน้ เพราะฉะนัน้ จึงเรียกวา ตถาคต. ชอ่ื วา ตถาคตเพราะเปน ผมู ปี กติกระทําอยา งท่ีตรัสนัน้ ดวยประการฉะนี้. ชอื่ วา ตถาคต เพราะอรรถครอบงําได เปน อยางไร ? เพราะพระองคทรงครอบงาํ สตั วท งั้ ปวงในโลกธาตหุ าประมาณมิได เบอ้ื งบนถงึ ภวคั คพรหม เบ้อื งตาํ่ ถึงอเวจีมหานรกเบอ้ื งขวางกาํ หนดทส่ี ุดรอบ ๆ ดวยศีลบา ง สมาธบิ า ง ปญ ญาบา งวมิ ุตติบา ง พระองคไมม ีการชั่งหรือการนับ พระองคช ่ังไมไ ดนับไมไ ด เปนผูยอดเยยี่ มเปน พระราชาแหงพระราชา เปน เทพแหงเทพ เปน สกั กะยอดแหง เหลาสกั กะ เปนพรหมยอดแหงเหลาพรหม ดว ยเหตุน้ัน พระองคจงตรสั วา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตถาคตเปน ผู
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 207ครอบงํา หมูส ตั วใ นโลก พรอ มดวยเทวโลก ฯลฯ พรอมดวยเทวดาและมนษุ ย อันใคร ๆ ครอบงํามิได เปน ผเู ห็นโดยแท ทําใหผูอื่นอยูในอํานาจ เพราะฉะน้นั จงึ เรยี กวา ตถาคต. พงึ ทราบบทสนธิ ในคําวา ตถาคโต นน้ั อยางน้ี :- การตรสั (พงึ เห็น) เหมอื นยาอันประเสริฐ. กก็ ารตรัสนั้นคอื อะไร ? คอื ความงดงามแหง เทศนา และความพอกพนู ขน้ึ แหงบญุ .เพราะเหตนุ ้ันนั่นแล พระองคจ งึ ทรงครอบงําคนผเู ปนปรปั ปวาททงั้ หมด และสตั วโลกพรอมดวยเทวโลก เหมือนหมอผูม ีอาํ นาจมากครอบงํางทู ง้ั หลายดวยยาทิพย ฉะน้นั . ดังนน้ั พระองคม กี ารตรัสคือความงดงามแหงเทศนา และความพอกพนู ข้นึ แหงบญุ อันเปนจริงไมวปิ ริต เพราะทรงครอบงาํ สตั วโลกได เพราะเหตนุ ้ัน พงึ ทราบวาตถาคต เพราะแปลง ท. อักษร เปน ต. อกั ษร. ช่ือวา ตถาคตเพราะอรรถวา ทรงครอบงําดว ยประการฉะน.ี้ อีกอยางหน่ึง ชอื่ วา ตถาคต เพราะเสด็จไปดว ยความจรงิ .เพราะทรงถึงซงึ่ ความจรงิ ดงั น้ีกม็ .ี อธบิ ายวา ตรัสรู ทรงลวงแลวทรงบรรลุ ทรงดําเนินไป. ในบรรดาคาํ เหลาน้ัน ชื่อวา ตถาคตเพราะเสดจ็ ไป คือ ตรสั รูโลกทงั้ ส้นิ ดว ยความจรงิ คือ ตรี ณปริญญา.ชื่อวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไป คอื ทรงลว งโลกสมทุ ัย ดวยความจริงคอื ปหานปรญิ ญา. ชื่อวา ตถาคต เพราะเสด็จไป คอื บรรลกุ ารดบัสนิทแหง โลก ดว ยความจรงิ คือ สัจฉิกิริยา. ชอ่ื วา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปคอื ดําเนนิ ไปสูความจริง คือ ปฏปิ ทาอันยงั สตั วใ หถึงความดับโลก. ดว ยเหตุน้ัน จึงตรสั วา ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย โลกอนั ตถาคต
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 208ตรัสรูยงิ่ แลว ตถาคตไมป ระกอบแลว ในโลก ดูกอนภิกษทุ ั้งหลายโลกสมทุ ัย ตถาคต ตรัสรูย่ิงแลว โลกสมทุ ยั อนั ตถาคต ละไดแลวดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย โลกนโิ รธ อันตถาคตตรสั รูยิง่ แลว โลกนิโรธอันตถาคตกระทําใหแ จง แลว ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย โลกนิโรธคามิน-ีปฏปิ ทา อันตถาคตตรัสรูย ่งิ แลว เจรญิ แลว ดกู อนภิกษุทง้ั หลายสัจจะใดแหงโลก พรอมทง้ั เทวโลก ฯลฯ สัจจะทง้ั หมด อนั ตถาคตตรสั รยู งิ่ แลว เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา ตถาคต. อรรถแหง คําวาตถาคตนั้น บัณฑติ พึงทราบแมด วยประการอยา งน.้ี แมคํานีก้ เ็ ปนเพยี งแนวทางในการแสดงความทีต่ ถาคตเปนตถาคต. พระตถาคตเทา นน้ั จึงจะพรรณนา ความท่ีตถาคตเปน ตถาคตได ครบถวนทุกประการ. กใ็ น ๒ บทวา อรห สมมฺ าสมฺพทุ โธ อันดับแรก พงึ ทราบวาอรห ดว ยเหตเุ หลา นีค้ ือ เพราะเปน ผูไกลขา ศกึ คอื กิเลส เพราะเปน ผูหักกํากงแหง สงั สารจักรเสียได เพราะควรแกส ักการะมีปจ จัยเปนตน และเพราะไมมีความลับในการทาํ ช่ัว. สวนท่ชี ่ือวาสมั มาสัมพุทธะ เพราะตรัสรูธรรมท้งั ปวง โดยชอบและดวยพระองคเอง. ความสังเขปในขอ นมี้ เี ทาน.้ี ทง้ั ๒ บทนี้ กลาวไวโ ดยพสิ ดารในการพรรณนาพุทธานุสสติ ในคมั ภรี ว สิ ุทธิมรรคแล. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๑
พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 209 อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสูตรท่ี ๒ มีวินจิ ฉัยดังตอไปนี้ :- บทวา ปาตุภาโว ไดแก การเกิดขน้ึ คอื การสําเรจ็ . บทวา ทลุ ลฺ โภโลกสฺมึ ไดแ ก หาไดยาก คือ หาไดโดยยากย่ิง ในสัตวโลกน.ี้ ทีช่ ือ่ วาหาไดยาก เพราะเหตไุ ร ? เพราะพระองคไมอาจบาํ เพ็ญทานบารมีคราวเดียวแลว ไดเ ปนพระพุทธเจา . อนงึ่ พระองคไ มท รงสามารถบําเพ็ญทานบารมี ๒ ครง้ั ๑๐ คร้งั ๒๐ ครัง้ ๕๐ ครั้ง ๑๐๐ คร้งั๑,๐๐๐ ครง้ั โกฏิครงั้ แสนโกฏิคร้ัง ไมท รงสามารถบําเพ็ญทานบารมไี ด ๑ วัน ๒ วนั ๑๐ วัน ๒๐ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั ๑,๐๐๐ วัน๑๐๐,๐๐๐ วัน แสนโกฏวิ ัน ฯลฯ ๑ เดือน ๑ ป ๒ ป ฯลฯ แสนโกฏิป๑ กปั ๒ กปั ฯลฯ แสนโกฏกิ ปั พระองคไมส ามารถบาํ เพ็ญทานบารมี ๑ อสงไขย ๒ อสงไขย ๓ อสงไขย แหงกัป แลว เปนพระพุทธเจา ได แมในศีลบารมี เนกขมั มบารมี ฯลฯ อเุ บกขาบารมีกน็ ัยนีเ้ หมือนกนั . แตค รงั้ สดุ ทาย พระองคทรงบาํ เพญ็ บารมี ๑๐ สิ้น ๔อสงไขยกาํ ไรแสนกัป แลวจึงสามารถเปนพระพุทธเจาได ดวยเหตุดังกลา วมาน้ี พระองคจงึ ชื่อ วาหาไดย าก. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๒
พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 210 อรรถกถาสตู รที่ ๓ ในสูตรท่ี ๓ มีวินจิ ฉยั ดังตอ ไปน้ี :- บทวา อจฺฉรยิ มนสุ โฺ ส แปลวา มนษุ ยอัศจรรย. บทวา อจฺฉรโิ ย ความวา ไมมเี ปน นิตย เหมือนตาบอดขึ้นภูเขา. นยั แหงศัพทเทาน้ีกอ น แตนัยแหง อรรถกถาดังตอไปน้ี.ชอื่ วา อจั ฉริยะ เพราะควรแกการปรบมอื . อธบิ ายวา ควรปรบมอืแลว มอง. อีกอยา งหนง่ึ ชอ่ื วา มนุษยอ ศั จรรย แมเพราะประกอบดว ยธรรมอันไมเคยมี นาอศั จรรยหลายประการ มอี าทิอยางนี้วาภิกษุท้งั หลาย ธรรมอนั ไมเ คยมนี าอศั จรรย ๔ ประการ ยอมมีปรากฏ เพราะพระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา ปรากฏ. ช่อื วาอัจฉรยิ มนษุ ย เพราะเปน มนุษยท ่เี คยสัง่ สมมากม็ ี. จริงอยู การท่พี ระองคท รงประชมุ ธรรม ๘ ประการ อันจะทําใหอ ภนิ หี ารเพยี บพรอม แลวทรงผูกพระมันสประทับนงั่ ณมหาโพธิมัณฑสถาน ตอ พระพกั ตร ของพระพุทธเจา พระองคหน่ึงใคร ๆ อนื่ มิไดเคยสง่ั สมมาเลย พระสัพพญั โู พธสิ ัตวพ ระองคเดียวเทา นั้นสั่งสมมา. อนึง่ แมก ารที่พระองค ไดรบั พยากรณใ นสาํ นักพระพทุ ธเจาทั้งหลายเปนผไู มห วนกลบั หลัง อธิษฐานความเพยี รแลวบาํ เพญ็ พทุ ธการกธรรม ใคร ๆ อนื่ มไิ ดเ คยสัง่ สมมาเลย พระ-สพั พัญโู พธิสัตวเทานั้น เคยสงั่ สมมา. อนงึ่ พระองคท รงบําเพ็ญ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 211พระบารมีใหแ กก ลา (ยังพระบารมใี หถ อื เอาหอ ง) ดาํ รงอยใู นอตั ภาพเชนเสวยพระชาตเิ ปนพระเวสสันดร บาํ เพ็ญสตั ตสตกมหาทาน (ของ๗ ส่งิ สงิ่ ละ ๗๐๐) มอี าทิอยางนี้ คือ ชาง ๗๐๐ มา ๗๐๐ ประดบั ดวยเคร่ืองอลงั การพรอ มสรรพ มอบพระโอรสเชน พระชาลีกุมาร พระธดิ าเชน กณั หาชินา และพระเทวี เชนพระนางมัทรี ไวใ นมุขแหง ทาน ดํารงอยูตลอดอายุในอตั ภาพที่ ๒ ทรงถอื ปฏสิ นธิในภพช้นั ดสุ ติ ซง่ึ ใคร ๆ อน่ืมไิ ดเ คยส่ังสมมาเลย พระสพั พญั โู พธิสัตวเทานนั้ เคยสงั่ สมนา. แมก ารท่ีพระองคท รงดาํ รงอยใู นภพชนั้ ดุสติ ตลอดอายุ ทรงรบั การเชิญของเทวดาท้ังหลาย ทรงตรวจดูมหาวโิ ลกติ ะ ๕ อยาง ทรงมีพระสติและสมั ปชัญญะ จตุ จิ ากดุสิต ถือปฏสิ นธิในตระกูลทีม่ ีโภคะมากซ่งึ ใคร ๆ อ่ืนมิไดเคยส่ังสมมาเลย พระสัพพัญูโพธสิ ัตวเทา น้นั เคยสั่งสมมา อนง่ึ หมื่นโลกธาตไุ หวในวันถือปฏสิ นธกิ ็ดี การทพี่ ระองคท รงมีพระสตสิ มั ปชญั ญะอยูใ นพระครรภข องพระมารดาก็ดี การท่ีหม่ืนโลกธาตไุ หว แมใ นวนั ที่พระองคทรงมีพระสติสัมปชัญญะเสดจ็ ออกจากพระครรภข องพระมารดากด็ ี การท่พี ระองคป ระสตู ิในเดย๋ี วน้ีแลว เสดจ็ ยา งพระบาทได ๗ กา วกด็ ี การกางก้ันเศวตฉัตรอันเปน ทิพยก็ดี การโบกพัดดวยวาลวีชนีอนั เปน ทพิ ยกด็ ี การท่ีพระองคทรงเหลยี วดูอยา งสีหะไปใน ๔ ทศิ ไมท รงเห็นสัตวไร ๆ ท่จี ะเสมอเหมือนพระองคแลว ทรงบนั ลือสหี นาทอยางนีว้ า เราเปนผเู ลศิ ของโลกก็ดี การที่หมื่นโลกธาตุไหว ในขณะท่ีพระองคท รงละราชสมบัติ เมื่อพระญาณแกกลา แลวเสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณก็ดี การทพ่ี ระองคประทับนงั่ สมาธิ ณ มหาโพธมิ ัณฑสถาน ทรงชนะมารเปน ตน ไปแลวทรงชาํ ระปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ และทิพจักขญุ าณ ทรงทาํ
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 212หมนื่ โลกธาตใุ หไหว ขณะทรงแทงตลอดกองคณุ คอื พระสพั พญั ุตญาณในเวลาใกลร งุ กด็ ี ประกาศพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ซงึ่ มีวนรอบ ๓ รอบ ดว ยปฐมเทศนากด็ ี ความอศั จรรยท ้ังหมดดังกลา วมาอยา งน้ีเปนตน ใคร ๆ อืน่ มิไดเ คยส่ังสมมาเลย พระสัพพัญูพุทธเจาเทานน้ั เคยสง่ั สมขมา. ชือ่ วา มนษุ ยอัศจรรย เพราะเปนมนษุ ยเคยสั่งสมมาดังนบี้ าง ดวยประการอยางน.ี้ จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๓ อรรถกถาสตู รที่ ๔ ในสูตรที่ ๔ มวี ินิจฉยั ดังตอไปน้ี :- บทวา กาลกิรยิ า ความวา ชอื่ วา กาลกริ ยิ า เพราะกิริยาท่ีปรากฏในกาลครัง้ หน่ึง. จรงิ อยู พระตถาคต ทรงดาํ รงอยู ๔๕ พรรษาทรงประกาศ ปฎก ๓ นิกาย ๕ สตั ถศุ าสนมอี งค ๙ พระธรรมขันธ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ ทรงกระทาํ มหาชน ใหน อมไปในพระนพิ พานโอนไปในพระนิพพาน บรรทมระหวา งไมสาละทง้ั คู ตรสั เรียกภกิ ษุสงฆมา ทรงโอวาทดว ยความไมประมาท ทรงมีพระสตสิ ัมปชัญญะเสดจ็ ปรินิพพานดวยอนุปาทเิ สสนพิ พานธาตุ, กาลกริ ยิ านข้ี องพระ-ตถาคตนน้ั ปรากฏมาจนกระทง่ั กาลวนั น้ี เพราะเหตุนนั้ จึงชอ่ื วากาลกิรยิ า เพราะเปน กิริยาท่ีปรากฏในเวลาหนงึ่ . บทวา อนุตปปฺ าโหติ แปลวา กระทาํ ความเดอื ดรอนตาม (ภายหลงั ). ในขอนัน้
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 213กาลกิรยิ าของพระเจา จกั รพรรดิ การทําความเดอื ดรอ นตามแกเทวดาและมนุษยในหนง่ึ จกั รวาล. กาลกริ ยิ าของพระพทุ ธเจา ทัง้ หลายกระทําความเดอื ดรอนตามแกเทวดาและมนษุ ยท ้ังหลายในหม่ืนจักรวาลดว ยเหตุน้นั จงึ ตรัสวา กระทาํ ความเดอื ดรอ นตามแกขนมาก ดงั น้ี. จบ อรรถกถาสตู รท่ี ๔ อรรถกถาสตู รที่ ๕ ในสตู รท่ี ๕ มวี ินิจฉัยดังตอไปนี้ :- บทวา อทุตโิ ย ความวา ทช่ี ือ่ วา อทตุ โิ ย เพราะไมม ีพระพุทธเจาองคที่ ๒. จรงิ อยูพ ระพทุ ธะ. มี ๔ คอื สตุ พุทธะ จตสุ จั จพุทธะปจเจกพทุ ธะ สพั พญั พู ทุ ธะ. ในพุทธะ ๔ น้ัน ภิกษุผเู ปน พหสู ูต(มีพุทธพจนอ นั สดบั แลว มาก) ชื่อวา สตุ พุทธะ. ภกิ ษผุ เู ปน พระขณี าสพ(นอี้ าสวะสนิ้ แลว ) ชอ่ื วา จตสุ จั จพทุ ธะ. พระองคผูบ ําเพ็ญบารมีสองอสงไขย กาํ ไรแสนกัป แลวแทงตลอดปจ เจกพุทธญาณ ช่ือวาปจ เจกพุทธะ. พระองคผูบ าํ เพญ็ บารมี ๔-๘-๑๖ อสงไขย กาํ ไรแสนกัป แลวยํา่ ยีกระหมอมแหง มารทัง้ ๓ แทงตลอดพระสัพพญั ตุ -ญาณ ชื่อวา สัพพญั ูพทุ ธะ. ในพุทธะ ๔ เหลานี้ พระสัพพญั ูพทุ ธะชอื่ วา ไมมีพระองคท ่ี ๒ ธรรมดาวาพระสัพพัญูพุทธะพระองคอื่นจะเสดจ็ อบุ ตั ิรว มกับพระสพั พญั ูพทุ ธะพระองคนั้นกห็ าไม.
พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 214 บทวา อสหาโย ความวา ชือ่ วาไมมสี หาย เพราะทา นไมม ีสหายผูเชนกบั ดว ยอตั ภาพ หรอื ดว ยธรรมท่ที รงแทงตลอดแลว .กพ็ ระเสขะและพระอเสขะ ชอ่ื วา เปน สหายขอพระพุทธเจา ท้งั หลายโดยปรยิ ายนี้วา พระผมู ีพระภาคเจานัน้ ทรงไดเสกขปฎปิ ทา และอเสกขปฏิปทาเปนสหายแล. บทวา อปฺปฎิโม (ไมมผี เู ปรียบ) ความวา อัตภาพเรียกวารูปเปรยี บ. ช่ือวา ไมมีผเู ปรียบ เพราะรูปเปรียบอนื่ เชนกบั อตั ภาพของทานไมม .ี อีกอยางหนงึ่ มนุษยท้งั หลายกระทาํ รปู เปรียบใดลวนแลว ดว ยทองและเงินเปนตน ในบรรดารูปเปรียบเหลานน้ั ชือ่ วาผสู ามารถกระทําโอกาสแมสกั เทา ปลายขนทรายใหเหมือนอตั ภาพของพระตถาคต ยอมไมมี เพราะเหตนุ ั้น จงึ ชือ่ วา ไมม ีผเู ปรยี บแมโ ดยประการทง้ั ปวง. บทวา อปปฺ ฎสิ โม (ไมม ีผเู ทียบ) ความวา ชื่อวาไมม ีผเู ทียบ เพราะใคร ๆ ช่ือวา ผจู ะเทยี บกบั อัตภาพของพระตถาคตน้ันไมม ี. บทวา อปปฺ ฏภิ าโค (ไมม ีผเู ทียม) ความวา ชือ่ วา ไมม ีผูเทยี มเพราะธรรมเหลาใดอนั พระตถาคตทรงแสดงไวโ ดยนยั มีอาทวิ าสติปฏ ฐานมี ๔ ขนึ้ ช่ือวา ผูสามารถเพื่อจะทาํ เทยี มในธรรมเหลานั้นโดยนัยมีอาทิวา น จตตฺ าโร สตปิ ฏานา ตโย วา ปจฺ วา (สตปิ ฏฐานไมใ ช ๔ สติปฏ ฐานมี ๓ หรอื ๕.) บทวา อปฺปฏิปุคคฺ โล (ไมมบี คุ คลผูแ ข็ง) ความวา ช่อื วาไมมีบุคคลผูแขง เพราะไมม ีบคุ คลอ่ืนไร ๆชือ่ วา สามารถเพอ่ื ใหป ฏิญญาอยางนวี้ า เราเปน พระพทุ ธเจา ดังน้.ี
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 215 บทวา อสโม (ไมม ผี เู สมอ) ความวา ชอื่ วา ผไู มเ สมอดว ยสตั วทั้งปวง เพราะไมมีบุคคลเทยี มนัน่ เอง. บทวา อสมสโม (ผเู สมอกันบุคคลผไู มม ีใครเสมอ) ความวา พระสพั พญั ูพทุ ธเจา ทง้ั หลายทเ่ี ปน อดีตและอนาคต ทา นเรียกวา ไมม ีผเู สมอ ผูเสมอดว ยพระสัพพัญพู ทุ ธเจา ผไู มม ใี คร ๆ เสมอเหลานน้ั เพราะฉะนั้น จึงชื่อวาผูเ สมอกบั บุคคลผไู มมใี ครเสมอ. บทวา ทฺวิปทาน อคโฺ ค ความวา พระสัมมาสัมพทุ ธเจา เปนยอดของเหลา สตั วผ ไู มม เี ทา มี ๒ เทา มี ๔ เทา มเี ทามาก สตั วผ มู ีรูปไมม รี ูป ผูมสี ญั ญา ไมมสี ญั ญา มสี ญั ญากม็ ิใช ไมม ีสญั ญาก็มิใช.เพราะเหตุไร ในทนี่ ้ี ทา นจึงกลาววา เปน ยอดของเหลา สตั ว ๒ เทา ?เพราะเนอ่ื งดว ยพระองคเปน ผปู ระเสริฐกวา . จรงิ อยู ธรรมดาวาทา นผปู ระเสริฐ เมื่อจะอบุ ตั ใิ นโลกนี้ หาอุบัติในสตั วไ มม เี ทา มี ๔ เทาและมเี ทามากไม ยอมอุบัตเิ ฉพาะในสัตว ๒ เทาเทานั้น. ในสตั ว ๒ เทาชนดิ ไหน ? ในมนษุ ย และเทวดาทัง้ หลาย. ก็เม่อื เสดจ็ อุบัตใิ นหมูมนษุ ย ยอ มอุบัติเปนพระพุทธเจา ผสู ามารถเพ่อื ทําสามพันโลกธาตุและหลายพันโลกธาตุ ใหอยใู นอํานาจได. เม่อื อุบัตใิ นหมูเทวดายอมอบุ ัตเิ ปน ทาวมหาพรหม ผูท ําหมืน่ โลกธาตุใหอยใู นอาํ นาจไดทา วมหาพรหมนั้น พรอ มทจี่ ะเปนกปั ปย การก หรือเปนอารามกิของพระองค ดังน้ัน ทานจึงเรียกวาเปน ยอดของสตั ว ๒ เทา ดวยอาํ นาจเปนผูประเสริฐกวา มนุษยและเทวดาแมน ้นั ทเี ดยี ว. จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 216 อรรถกถาสตู รที่ ๖ เปนตน ในสตู รที่ ๖ เปน ตนวนิ จิ ฉัยดังตอ ไปน้ี :- บทวา เอกปคุ คฺ ลสฺส ภกิ ขฺ เว ปาตภุ าวา มหโต จกขฺ ุสฺสปาตภุ าโว โหติ ความวา ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย จักษใุ หญยอ มปรากฏเพราะพระตถาคตอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา ผเู ปน บุคคลเอกปรากฏ.เม่อื บคุ คลน้ันปรากฏแลว แมจกั ขุก็ยอ มปรากฏเหมอื นกัน เพราะเวนบุคคลปรากฏเสยี จกั ขุกป็ รากฏไมไ ด. บทวา ปาตุภาโว ไดแก การอุบัติคอื ความสําเรจ็ . จกั ษชุ นิดไหน ? จกั ษคุ อื ปญญา. เสมอื นเชนไร ? เสมือนวิปส สนาปญญา ของพระสารบี ุตรเถระ เสมือนสมาธปิ ญญา ของพระมหาโมคคัลลานเถระ. แมใ นอาโลกะ (การเห็น) เปน ตน กน็ ัยน้ีเหมือนกนั . จรงิ อยู ในการมองเหน็ เปนตนน้ี ทา นประสงคเ อาการมองเหน็ เชน การมองเหน็ ดวยปญ ญา และแสงสวาง เชน แสงสวา งแหง ปญญาของพระอัครสาวกทง้ั สอง. บทแมทัง้ ๓ นี้ คือ แหงดวงตาอนั ใหญ แหงการมองเหน็ อันใหญ แหงแสงสวางอนั ใหญพึงทราบวา ตรัสเจอื กันท้ังโลกิยะ และโลกตุ ตระ. บทวา ฉนฺน อนตุ ตฺ ยิ าน ไดแ ก ธรรมอันสูงสดุ ๖ อยางท่ีไมมีธรรมอื่นยิ่งขน้ึ ไปกวา ในคํานั้นมอี ธบิ ายวา อนตุ ตรยิ ะ ๖ เหลา น้ีคอื ทสั สนานุตตรยิ ะ สวนานตุ ตริยะ ลาภานุตตรยิ ะ สกิ ขานตุ ตริยะปาริจริยานตุ ตรยิ ะ อนุสสตานุตตริยะ. ความปรากฏเกิดข้นึ แหงอนตุ ตริยะ ๖ เหลา นี้ จึงมี.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 217 จรงิ อยทู า นพระอานนทเถระ ยอมไดเห็นพระตถาคตดว ยจักขุวญิ ญาณท้งั เชา ทัง้ เยน็ นชี้ อ่ื วา ทัสสนานตุ ตรยิ ะ. แมค นอ่ืนไมวา จะเปนพระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ยอมไดเ หน็พระตถาคตเหมอื นพระอานนทเถระ แมนี้ ก็ช่ือวา ทสั สนานตุ ตรยิ ะ.อนงึ่ บคุ คลอนื่ อีกผูเปน กลั ยาณปถุ ุชน กไ็ ดเห็นพระทศพลเหมือนพระอานนทเถระ ทาํ การเห็นนัน้ ใหเ จรญิ ยอ มบรรลุโสดาปตติมรรคนี้ก็ช่อื วา ทสั สนะ เหมอื นกัน สวนการเห็นเดิม ชอื่ วา ทสั สนานุตตรยิ ะ. จริงอยู บุคคลยอมไดฟง พระดํารัสของพระทศพลเนอื ง ๆดว ยโสตวิญญาณ เหมอื นพระอานนทเถระ นี้ชอ่ื สวนานุตตรยิ ะ.แมพ ระอริยบคุ คลเหลาอ่ืน มีพระโสดาบนั เปนตน ยอ มไดฟ ง พระดํารสั ของพระตถาคตเจา เหมือนพระอานนทเ ถระ แมน ้ีกช็ ่อื วาสวนานตุ ตรยิ ะ. สว นบคุ คลอนื่ อกี ผเู ปนกลั ยาณปถุ ชุ น ไดฟงพระดาํ รัสของพระตถาคตเจา เหมือนพระอานนทเ ถระ เจริญสวนะน้นัยอ มบรรลโุ สดาปตติมรรค นก้ี ช็ ื่อวา สวนะเหมือนกนั สวนการฟงเดมิ ช่ือวา สวนานตุ ตริยะ. บุคคลยอ มไดเฉพาะศรัทธาในพระทศพล เหมอื นพระอานนท-เถระนี้ ก็ช่ือวา ลาภานตุ ตรยิ ะ. แมบ คุ คลเหลาอน่ื มพี ระโสดาบนัเปนตน ไดล าภเฉพาะคอื ศรัทธาในพระทศพล เหมือนพระอานนทเถระยอมไดลาภเฉพาะ แมนีก้ ็ชื่อวา ลาภานตุ ตรยิ ะ. สว นคนอ่นื อีก เปนกลั ยาณปุถชุ น ไดล าภเฉพาะคอื ศรัทธาในพระทศพล เหมือนพระอานนทเถระ เจรญิ ลาภน้นั ยอมบรรลโุ สดาปต ติมรรค น้ีช่ือวาการไดเหมือนกนั สวนการไดอ ันเดิม ชือ่ วา ลาภานตุ ตริยะ.
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 218 อนึง่ บุคคลศกึ ษาสิกขา ๓ ในพระศาสนาของพระทศพลเหมือนพระอานนทเ ถระ นช้ี ่อื วา สิกขานุตตรยิ ะ. แมพ ระอรยิบุคคลเหลาอื่น มพี ระโสดาบันเปน ตน ยอมศกึ ษาสิกขา ๓ ในพระศาสนาของพระทศพล เหมือนพระอานนทเถระแมนี้ ก็ชือ่ วาสกิ ขานุตตริยะ. สวนคนอ่นื อกี ผูเปนกัลยาณปุถุชน ศึกษาสกิ ขา ๓ในพระศาสนาของพระทสพลเหมือนพระอานนทเถระ เจรญิ สิกขา ๓นัน้ ยอมบรรลุโสดาปตตมิ รรค นี้ชอ่ื วา การศกึ ษาเหมือนกนั สวนการศึกษาอนั เดมิ ชอื่ วา สกิ ขานตุ ตริยะ อนง่ึ บคุ คลปรนนิบตั พิ ระทศพลเนือง ๆ เหมอื นพระอานนทเถระ น้ีชือ่ วา ปารจิ ริยานุตตริยะ. แมพระอรยิ บุคคลเหลาอ่ืน มีพระโสดาบันเปนตน ยอ มปรนนิบตั พิ ระทศพลเนอื ง ๆ แมน ้ี ก็ชื่อวาปารจิ รจิ ริยานตุ ตริยะ. สวนคนอ่นื ๆ ผเู ปนกัลยาณปถุ ุชน ปรนนบิ ตั ิพระทศพล เหมอื นพระอานนทเถระ เจรญิ การปรนนิบตั นิ ั้น ยอ มบรรลโุ สดาปต ติมรรค น้ีชอ่ื วา การปรนนิบตั ิเหมือนกนั สว นการปรนนิบตั ิอนั เดิม ช่ือวา ปาริจริยานตุ ตรยิ ะ. บุคคลระลึกถงึ เนือง ๆ ถงึ คณุ อันเปน โลกิยะ และโลกตุ ตระของพระทศพล เหมอื นพระอานนทเถระ. นช้ี อื่ วา อนุสสตานุตตริยะ.แมพระอริยบุคคลเหลาอื่น มพี ระโสดาบนั เปน ตน ระลึกเนือง ๆ ถงึคุณอนั เปน โลกยิ ะ และโลกุตตระ ของพระทศพล เหมอื นพระอานนท-เถระ แมน ี้กช็ ่ือวา อนสุ สตานุตตริยะ. สวนคนอน่ื อกี เปน กัลยาณ-ปถุ ชุ น ระลกึ เนือง ๆ ถึงคณุ อนั เปนโลกยิ ะ. และโลกุตตระ ของพระทศพล เหมือนพระอานนทเถระ เจรญิ การระลกึ เนอื ง ๆ นนั้ยอ มบรรลุโสดาปต ติมรรค นี้ช่ือวา อนสุ สติ เหมือนกนั สวนอนุสสติ
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 219เดมิ ชอ่ื วาอนุสสตานุตตริยะ ดังพรรณนามาน้ี คอื อนตุ ตรยิ ะ ๖.อนตุ ตริยะ ๖ เหลา นยี้ อ มปรากฏ อนตุ ตรยิ ะ ๖ เหลานี้ พึงทราบวาทานกลาวเจอื ปนกันทง้ั โลกิยะ และโลกตุ ตระ. บทวา จตนุ ฺน ปฏสิ มภฺ ทิ าน สจฉฺ ิกิริยา โหติ ความวา ก็ปฏิสัม-ภทิ า ๔ คอื อรรถปฏสิ มั ภิทา ธรรมปฏสิ มั ภิทา นริ ตุ ติปฏสิ ัมภทิ าปฏภิ าณปฏิสัมภิทา. ในปฏิสัมภิทา ๔ นัน้ ความรูในอรรถ ช่อื วาอรรถปฏสิ มั ภิทา. ความรูในธรรมชอื่ วา ธรรมปฏิสมั ภิทา. ความรูในการกลา วภาษาที่เปนอรรถและธรรม ช่อื วา นริ ุตตปิ ฏสิ ัมภทิ า.ความรูในญาณทงั้ หลาย ช่ือวา ปฏิภาณปฏิสัมภทิ า. ความสังเขปในท่ีน้ี มเี พียงเทานี้. สวนความพสิ ดารแหงปฏิสมั ภทิ าเหลาน้นัมาแลว ในอภธิ รรมน่ันแล. อธิบายวา การกระทําใหแ จงประจักษปฏิสัมภิทาทัง้ ๔ นี้ ยอมมีในพุทธุปบาทกาล. การการทาํ ใหแจงปฏสิ มั ภิทาเหลา นัน้ เวน พทุ ธุปบาทกาลเสีย ยอมไมม.ี ปฏสิ มั ภิทาแมเ หลา นี้ พึงทราบวา ทา นกลาววา เปน ไดทัง้ โลกยิ ะ และโลกตุ ตระ. บทวา อเนกธาตุปฏเิ วโธ ความวา การแทงตลอดธาตุ ๑๘มีคําวา จักขุธาตุ รูปธาตุ ดังนเี้ ปน ตน ยอ มมใี นพทุ ธุปบาทกาลเทา น้ัน เวน พทุ ธุปบาทกาล ยอมไมมี. ในคาํ วา นานาธาตปุ ฏิเวโธโหติ การแทงตลอดธาตตุ าง ๆ จึงมนี ี้ ธาตุ ๑๘ นแ้ี หละ พงึ ทราบวานานาธาตุ เพราะมสี ภาวะตา ง ๆ. ก็การแทงตลอดอันใด ซ่ึงธาตุเหลานน้ั โดยเหตตุ า ง ๆ อยางนว้ี า ธาตุเหลาน้ี มสี ภาวะตา งกันในขอนี้ น้ีชื่อวา การแทงตลอดธาตุตา ง ๆ.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 220 บทวา วิชฺชา ในบทวา วชิ ฺชาวิมุตฺตผิ ลสจฉฺ กิ ริ ิยา นี้ ไดแกผลญาณ. บทวา วิมุตฺติ ไดแ กธรรมท่สี ัมปยตุ ดว ยโสดาปต ติผลนอกจากวชิ ชานน้ั . บทวา โสดาปตฺตผิ ลสจฺฉิกริ ยิ า ความวา ปฐมมรรคช่ือวา โสตะ. ช่ือวา โสดาปต ตผิ ล เพราะเปน ผลอันบุคคลพึงบรรลุดวยโสตะนน้ั . สกทาคามผิ ลเปนตันปรากฏชดั แลว แล. บทวา อนุตตฺ ร แปลวา ยอดเยย่ี ม. บทวา ธมมฺ จกกฺ ไดแกจักรอันประเสรฐิ . จรงิ อยู จักก ศพั ทน้ี มาในอรรถวา อุรจกั ร (คอืจกั รประหารชวี ติ ) ในคาถาน้วี า ทา นไดป ระสบนางเวมานิกเปรต ๔ นาง จาก ๔ นาง เปน ๘ นาง จาก ๘ นาง เปน ๑๖ นาง ถงึ จะไดป ระสบนางเวมานกิ เปรต จาก ๑๖ นาง เปน ๓๒ นาง กย็ งั ปรารถนายงิ่ ไปกวา นน่ั จงึ ได ประสบจักรนี้ จกั รกรดยอ มผัดผันบนกระหมอ ม ของคนผูถกู ความอยากครอบงาํ แลว.ลงในอรรถวา จักร คืออริ ยิ าบถ ในประโยคนว้ี า ชาวชนบทเปลี่ยนอริ ยิ าบถ เดนิ ไปรอบ ๆ. ลงในอรรถวาจักรคือไมในประโยคนวี้ าดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ครั้งนั้นแล ชา งรถหมุนจกั รคือไมย นต ทท่ี าํ๗ เดือนเสรจ็ . ลงในอรรถวาจกั รคือลักษณะ. ในประโยคนีว้ า โทณ-พราหมณ ไดเ ห็นจักรคือลายลักษณะอนั เกิดทพ่ี ระบาทของพระผูมพี ระภาคเจา ซึ่งมกี ําพนั ซี.่ ลงในอรรถวาจกั รคือสมบตั ิ ในประโยคน้ีวา สมบัติ ๔ ยอมเปน ไปแกเ ทวดาและมนษุ ยท้ังหลาย ผปู ระกอบ
พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 221ดวยสมบัติเหลาใด สมบัตเิ หลา น้ี มี ๔ ประการ. ลงในอรรถวาจักรคอืรตั นะในประโยคนีว้ า จกั รคอื รัตนะอนั เปน ทพิ ย ปรากฏอย.ู แตใ นทน่ี ี้ลงในอรรถวาจกั รคอื ธรรม. ในบทวา ปวตฺตติ นพ้ี งึ ทราบประเภทดังน้ีวา ช่ือวา กาํ ลงัปรารถนาอยา งจรงิ จงั ซงึ่ พระธรรมจกั ร ธรรมจกั รชือ่ วา ปรารถนาอยา งจริงจังแลว ช่อื วา กําลงั ทาํ พระธรรมจกั รใหเกดิ ข้ึน ธรรมจักรชอ่ื วา ทรงทาํ ใหเกิดขึ้นแลว ชื่อวา กาํ ลงั ประกาศพระธรรมจักรธรรมจักรช่อื วา ทรงประกาศแลว. ช่ือวากําลงั ปรารถนาอยา งจรงิ จงั ซ่งึ พระธรรมจักรตง้ั แตครั้งไหน ? ครง้ั ที่พระองคเ ปน สุเมธพราหมณ เหน็ โทษในกามทัง้ หลาย และอานิสงสใ นเนกขัมมะ ถวายสัตตสดกมหาทานแลว บวชเปนฤาษี ทําอภญิ ญา ๕ และสมาบัติ ๘ ใหบังเกิด ต้ังแตน้นั มา ชื่อวากําลงั ปรารถนาอยา งจริงจัง ซ่ึงพระธรรมจกั ร. ชื่อวาปรารถนาอยา งจริงจังแลว ตั้งแตค รั้งไหน ? คร้งั พระองคประชุมธรรม ๘ ประการ แลว ทรงผูกพระมนสั เพือ่ ประโยชนแกการทําพระมหาโพธิญาณใหผ อ งแผว ณ บาทมลแหง พระพทุ ธเจาพระนามวา ทปี ง กร ทรงอธิษฐานพระวริ ยิ ะวา เราไมไ ดร บัพยากรณ จกั ไมล ุกขนึ้ แลว จึงนอนลง ไดรับพยากรณจากสาํ นกัพระทศพลแลว ต้ังแตน น้ั มา ธรรมจกั รช่ือวาปรารถนาอยา งจริงจงัแลว . ชือ่ วา กําลังใหธ รรมจักรเกิดขน้ึ ตัง้ แตคร้งั ไหน ? ครง้ั แมเม่อื พระองคท รงบําเพญ็ ทานบารมี ชื่อวากาํ ลงั ยังธรรมจักรใหเ กดิ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 222ขึน้ . เม่ือทรงบําเพ็ญสีลบารมีก็ดี ฯลฯ ทรงบาํ เพญ็ อปุ บารมกี ด็ ีช่อื วา กําลังยงั ธรรมจกั รใหเ กิดขึ้น เม่ือทรงบําเพญ็ บารมี ๑๐อปุ บารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ กด็ ี เมื่อทรงบําเพ็ญมหาบรจิ าค ๕ก็ดี ทรงบําเพญ็ ญาตัดถจริยากด็ ี ชอื่ วา ทรงยังธรรมจักรใหเ กดิขึน้ . ทรงอยใู นภาวะเปนพระเวสสันดร ทรงถวายสัตตสดกมหาทานทรงมอบบุตรและภรรยา ในมุขคอื ทาน ทรงถือเอายอดพระบารมีทรงบงั เกดิ ในสวรรคชน้ั ดสุ ติ ทรงดํารงอยใู นดุสิตนั้น ตลอดพระชน-มายุ อันเทวดาทูลอาราธนาแลวใหป ฏิญญา แมทรงพิจารณาดูมหาวิโลกนะ ๕ ช่ือวากาํ ลงั ยังธรรมจักรใหเ กิดขึ้นเหมอื นกนั . เมื่อทรงถอื ปฏิสนธใิ นพระครรภของพระมารดาก็ดี เม่ือทรงทาํ หมืน่จกั รวาลใหไ หว ในขณะปฏสิ นธกิ ด็ ี เม่อื ทรงทําโลกใหไ หว เหมอื นอยา งนัน้ นนั่ แล ในวนั เสด็จออกจากพระครรภของมารดาก็ดี เมื่อประสูติในเดียวนัน้ แลว เสดจ็ ยา งพระบาทไป ๗ กา ว ทรงบนั ลอืสหี นา ทวาเราเปนผูเลศิ กด็ ี เม่อื เสด็จอยคู รองเรือน ตลอด ๒๙พรรษาก็ดี เสด็จออกเพือ่ คุณอนั ย่ิงใหญก ด็ ี ทรงบรรพชาทีร่ ิมฝงแมน ํา้ อโนมานทีก็ดี ทรงกระทํามหาปธานความเพียร ๖ พรรษากด็ ีเสวยขาวมธปุ ายาส ท่ีนางสุชาดาถวาย แลวทรงลอยถาดทองในแมน ํา้แลวเสดจ็ ไปโพธิมณั ฑสถานอนั ประเสริฐ. ในเวลาเยน็ ประทับน่ังตรวจโลกธาตุดา นทิศบุรพา ทรงกาํ จดั มารและพลของมาร ในเม่อืดวงอาทิตยย งั ทรงอยนู ่ันแล ทรงระลกึ ถงึ ปพุ เพนิวาสญาณในปฐมยามกด็ ี ทรงชาํ ระทิพยจักษใุ นมชั ฌิมยามก็ดี ทรงพจิ ารณาปจจยาการในเวลาตอเนอ่ื งกับเวลาใกลรงุ แลวแทงตลอดโสดาปตตมิ รรคก็ดีทรงทําใหแจง โสดาปต ติผลกด็ ี ทรงทําใหแจง สกทาคามิมรรค
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 223สกทาคามิผล อนาคานมิ รรค อนาคามผิ ลกด็ ี เมือ่ ทรงแทงตลอดอรหัตตมรรคกด็ ี ก็ช่ือวา ทรงกาํ ลังกระทําธรรมจักรใหเ กดิ ขึ้นเหมอื นกัน. กธ็ รรมจักร ชอื่ วา อันพระองคใหเกิดขนึ้ แลว ในขณะแหงพระอรหตั ตผล. จริงอยูค ุณราสี กองแหงคณุ ท้ังส้ินของพระพุทธเจาทั้งหลาย ยอมสาํ เรจ็ พรอ มกบั อรหตั ตผลนั่นแล. เพราะฉะนนั้ ธรรมจักรนนั้ เปน อันชอ่ื วาอันพระองคใ หเ กดิ ขึน้ แลวในขณะนน้ั . พระองคทรงประกาศธรรมจกั รเมอ่ื ไร ? เมอ่ื พระองคทรงยบั ย้งัอยู ๗ สัปดาห ณ โพธิมณั ฑสถาน ทรงแสดงธรรมจักกปั ปวัตตน-สตู ร กระทาํ พระอัญญาโกณฑัญญเถระใหเปนกายสกั ขี ท่ีปาอิสปิ ตนมฤคทายวนั ชอื่ วาทรงประกาศพระธรรมจักร. ก็ในกาลใดพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ไดก ารฟง ท่ีบงั เกดิดว ยอานภุ าพแหงเทศนาญาณของพระทศพล แลวบรรลุธรรมกอนเขาท้งั หมด จาํ เดิมแตกาลนนั้ มา พึงทราบวา ธรรมจักร เปน อนัช่ือวา ทรงประกาศแลว. จรงิ อยู คาํ วา ธรรมจักร นเี้ ปน ชอื่ แหงเทศนาญาณบา งแหงปฏิเวธญาณบา ง. ใน ๒ อยางน้ัน เทศนาญาณเปน โลกิยะปฏเิ วธญาณเปนโลกตุ ตระ. ถามวา เทศนาญาณ ปฏิเวธญาณเปนของใคร ? แกว า ไมใ ชของใครอ่นื พึงทราบวาเทศนาญาณและปฏิเวธญาณ เปนของพระสัมมาสมั พุทธเจาเทาน้นั . บทวา สมฺมเทว ไดแก โดยเหตุ คือ โดยนยั โดยการณ น้ันเอง.บทวา อนุปฺวตตฺ นตฺ ิ ความวา พระเถระช่ือวา ยอมประกาศตาม
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 224ธรรมจกั ร ทพ่ี ระศาสดาทรงประกาศไวก อ นแลว เหมอื นเมื่อพระศาสดาเสด็จไปขา งหนา พระเถระเดินไปขา งหลัง ช่ือวา เดนิ ตามพระศาสดานัน้ ฉะนนั้ . ถามวา ประกาศตามอยา งไร ? ตอบวา ก็พระศาสดาเมื่อทรงแสดงวา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย สตปิ ฏฐาน ๔เหลานี้ สตปิ ฏฐาน ๔ อะไรบาง ช่ือวาทรงประกาศธรรมจกั ร.พระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระนน่ั แล เมื่อแสดงวา ดูกอ นผมู อี ายุสตปิ ฏ ฐาน ๔ เหลานี้ ชอ่ื วา ยอ มประกาศตามซ่ึงธรรมจกั ร. แมใ นสมั มปั ปธานเปนตน กน็ ัยนี้เหมือนกนั . มิใชแตในโพธปิ กขยิ ธรรมอยางเดยี ว. แมในคาํ วา ภิกษทุ งั้ หลาย อรยิ สัจ ๔ เหลานี้ อรยิ วงศ ๔เหลาน้ี เปน ตน กพ็ ึงทราบนัยนีเ้ หมือนกัน. ดว ยประการดังกลา วน้ีพระสัมมาสัมพทุ ธเจา ช่ือวา ทรงประกาศธรรมจกั ร พระเถระชอ่ื วา ประกาศตามพระธรรมจักรที่พระทศพลทรงประกาศแลว . ก็พระธรรมอนั พระเถระผปู ระกาศตามธรรมจักรอยา งนี้แสดงแลวกด็ ี ประกาศแลว ก็ดี ยอ มชื่อวา เปน อันพระศาสดาทรงแสดงแลว ประกาศแลวทเี ดียว. ผูใดผูหนงึ่ ไมว าจะเปนภกิ ษุ ภกิ ษณุ ีก็ตาม อุบาสก อุบาสิกา ก็ตาม เปน เทพ หรอื เปนทาวสกั กะกต็ ามเปนมารหรือเปนพรหมกต็ าม แสดงธรรมไว ธรรมทั้งหมดนั้นเปน อนั ช่ือวา พระศาสดาทรงแสดงแลว ทรงประกาศแลว . สว นชนนอกนน้ั ชอ่ื วา ตง้ั อยูในฝา ยของผทู ่ดี ําเนินตามรอย. อยางไร ? เหมือนอยางวา ชนทั้งหลายอานลายพระราชหตั ถ ทีพ่ ระราชาทรงประทานแลว กระทํางานใด ๆ งานน้นั ๆ อันผูใ ดผูหนงึ่ การทาํ เองกด็ ี ใหคนอื่นกระทาํ ก็ดี เขาเรยี กวา พระราชาใชใ หทําอยางนัน้ เหมือนกนั .
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 225ความจรงิ พระสัมมาสัมพุทธเจา เหมอื นพระราชาผใู หญ. พุทธพจนคอื ปฎก ๓ เหมอื นลายพระราชหตั ถ การใหโดยมุขคือนัยในพระไตรปฎ ก เหมอื นการทรงประทานลายพระราชหตั ถ. การใหบ ริษัท ๔เรยี นพุทธพจน ตามกําลังของตนแลวแสดง ประกาศแกช นเหลา อืน่เหมือนอานลายพระราชหตั ถแลวทําการงาน. ในธรรมเหลา นั้นธรรมทผี่ ูใดผหู นึ่งแสดงกด็ ี ประกาศกด็ ี พึงทราบวา ชอื่ วา ธรรมอนั พระศาสดาแสดงแลว ประกาศแลว เหมอื นผใู ดผูหน่งึ อา นลายพระราชหัตถ ทาํ งานใด ๆ ดว ยตนเองก็ดี ใชใหผ อู ่ืนทํากด็ ี งานนั้น ๆช่อื วา อนั พระราชาใชใหท าํ แลวเหมอื นกนั . คาํ ท่เี หลือในบททั้งปวงมอี รรถงายทงั้ นน้ั แล. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๖ จบ อรรถกถาเอกปุคคลวรรคที่ ๑๓
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 226 เอตทัคคบาลี วรรคท่ี ๑ วา ดวยภกิ ษุผมู ีตาํ แหนงเลศิ ๑ ทาน [๑๔๖] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย พระอญั ญาโกณฑัญญะ เลศิ กวาพวกภิกษสุ าวกของเราผูรรู าตรนี าน. พระสารบี ุตร เลศิ กวา พวกภกิ ษสาวกของเราผมู ีปญ ญามาก. พระมหาโมคคัลลานะ เลิศกวา พวกภกิ ษุสาวกของเราผมู ีฤทธ.์ิ พระมหากสั สป เลศิ กวา พวกภกิ ษสุ าวกของเรา ผูทรงธดุ งคและสรรเสรญิ คณุ แหง ธุดงค. พระอนรุ ทุ ธะ เลศิ กวา พวกภิกษสุ าวกของเราผมู ีทพิ ยจกั ษุ. พระภตั ทยิ กาฬโิ คธาบตุ ร เลศิ กวาพวกภกิ ษุสาวกของเราผูเกิดในตระกลู สูง. พระลกุณฏกภทั ทิยะ เลศิ กวา พวกภกิ ษสุ าวกของเราผมู ีเสียงไพเราะ. พระปณโฑลภารทวาชะ เลศิ กวา พวกภิกษสุ าวกของเราผูบันลือสหี นาท. พระปณุ ณมนั ตานีบุตร เลศิ กวาพวกภกิ ษุสาวกของเราผเู ปนธรรมกถึก. พระมหากจั จานะ เลศิ กวา พวกภิกษสุ าวกของเราผูจําแนกอรรถแหงภาษิตโดยยอ ใหพสิ ดาร. จบวรรคท่ี ๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 506
Pages: