Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_45

tripitaka_45

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_45

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 280 สัตบรุ ุษ ยอมปรากฏในท่ีไกล ดุจ ภเู ขาหิมพานต อสัตบุรษุ ยอมไมปรากฏ ในท่นี ี้ เหมอื นลกู ศรทซี่ ัดไปในเวลา กลางคืน ฉะนนั้ . ในสูตรนี้ และในคาถาท้งั หลาย พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงกระทาํพระองคด จุ ผอู ่ืน. จบอรรถกถาวติ กั กสตู รที่ ๑ ๒. เทศนาสูตร วาดวยพระธรรมเทศนา ๒ ประการ [๒๑๗] จริงอยู พระสูตรน้ีพระผูมพี ระภาคเจาตรัสแลว พระสตู รน้ีพระผูมพี ระภาคเจาผเู ปน พระอรหันตตรสั แลว เพราะเหตุนัน้ ขา พเจา ไดส ดับมาแลววา ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ธรรมเทศนา ๒ ประการ ของพระตถาคต-อรหันตสมั มาสมั พุทธเจา ยอมมีโดยปรยิ าย ๒ ประการเปน ไฉน คอื ธรรมเทศนาประการท่ี ๑ น้ีวา เธอทัง้ หลายจงเห็นบาปโดยความเปนบาป ธรรมเทศนาประการที่ ๒ แมน ว้ี า เธอทง้ั หลายครั้นเหน็ บาปโดยความเปนบาปแลวจงเบอ่ื หนา ย จงคลายกําหนัด จงปลดเปลอ้ื งในบาปนัน้ ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลายธรรมเทศนา ๒ ประการน้ี ของพระตถาคตอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา ยอ มมีโดยปริยาย. พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสเนือ้ ความน้ีแลว ในพระสูตรนี้ พระผูม-ีพระภาคเจาตรัสคาถาประพนั ธด ังน้วี า

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 281 เธอจงเหน็ การแสดงโดยปรยิ ายของ พระตถาคต พระพุทธเจาผอู นเุ คราะหสัตว ทุกหมูเหลา ก็ธรรม ๒ ประการ พระ- ตถาคต พระพุทธเจา ผูอนเุ คราะหส ตั ว ทกุ หมูเหลาประกาศแลว . เธอทั้งหลาย ผูฉลาดจงเหน็ บาป จงคลายกําหนัดใน บาปนัน้ เธอท้งั หลายผมู จี ติ คลายกําหนัด จากบาปน้ันแลว จกั กระทําท่สี ุดแหง ทุกข ได. เน้ือความแมน ีพ้ ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตุนัน้ ขาพเจาไดส ดับมาแลว ฉะนี้แล. จบเทศนาสูตรที่ ๒ อรรถกถาเทศนาสตู ร ในเทศนาสูตรท่ี ๒ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดังตอ ไปน้ี :- ปริยายศัพทในบทวา ปรยิ าเยน นี้ มาในความวา เทศนาในบทมีอาทวิ า มธปุ ณฑฺ กิ ปรยิ าโย เตวฺ ว น ธาเรหิ ทานจงทรงจาํ เทศนานน้ั ไววาเปนมธปุ ณ ฑกิ ปรยิ ายเทศนา ดงั น้ี . มาในความวา เหตใุ นบทมอี าทวิ า อตถฺ ิเขวฺ ส พรฺ าหมฺ ณ ปรยิ าโย เยน ม ปรยิ ายน สมมฺ า วทมาโน วเทยยฺอกิริยวาโท สมโณ โคตโม ดกู อ นพราหมณ เหตุนี้มอี ยูแ ล เม่ือจะกลาวกะเราโดยชอบดวยเหตุ พึงกลา ววา สมณโคดม เปน อกิรยิ วาท (วาทะวา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 282ไมเ ปนอนั ทาํ ) ดงั น้ี. มาในความวา วาระในบทมอี าทิวา กสฺส นุ โขอานนทฺ อชชฺ ปรยิ าโย ภิกขฺ นุ โิ ย โอวทิตุ ดกู อ นอานนท วนั นีถ้ งึวาระของใครจะสอนภกิ ษุณที ้ังหลาย ดังน้.ี กใ็ นท่ีน้ี สมควรท้งั ในวาระ ท้งั ในเหตุ. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เพราะฉะนั้น ธรรมเทศนา ๒ อยาง ของตถาคตยอ มมขี ้ึนโดยเหตุ และโดยวาระตามสมควร ดังน้ี นีเ้ ปน อธบิ ายในบทนี.้ จริงอยู พระผูมพี ระภาคเจา บางคร้ังทรงจําแนกกศุ ลธรรมและอกศุ ล-ธรรม ตามสมควรแกอธั ยาศัยของเวไนยสตั ว โดยนัยมอี าทิวา ธรรมเหลา น้ีเปน กุศล ธรรมเหลา นี้เปน อกุศล ธรรมเหลา น้มี ีโทษ ธรรมเหลา นี้ไมมโี ทษธรรมเหลานี้ควรเสพ ธรรมเหลา น้ีไมควรเสพ ดังนี้ ทรงแสดงใหรูโดยไมปนอกศุ ลธรรมเขา กับกุศลธรรม ทรงแสดงธรรมวา พวกเธอจงเห็นบาปโดยความเปนบาป. บางครั้งทรงประกาศโทษ โดยนยั มีอาทิวา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลายปาณาติบาตที่บุคคลเสพแลว เจริญแลว ทําใหม ากแลว ใหเปน ไปในนรกใหเ ปนไปในกําเนิดเดยี รัจฉาน ใหเ ปนไปในเปรตวิสัย ปาณาติบาตทีเ่ บากวาบาปทง้ั ปวง ทําใหมีอายนุ อ ย ดังน้ี ทรงใหพรากจากบาปดวยนพิ พทิ าเปนตนทรงแสดงธรรมวา พวกเธอจงเบอ่ื หนาย จงคลายกําหนดั ดงั น้.ี บทวา ภวนตฺ ิ ไดแ ก ยอ มมี คือ ยอ มเปนไป. บทวา ปาปปาปกโต ปสฺสถ ความวา พวกเธอจงเหน็ ธรรมอันลามกท้ังปวง โดยเปนธรรมลามก เพราะนําสง่ิ ไมเ ปน ประโยชน และทุกขมาในปจจุบนั และอนาคต.ในบทเหลา นน้ั บทวา นิพฺพนิ ทฺ ถ ความวา พวกเธอเหน็ โทษมอี ยา งตา งๆกนั โดยนยั มีอาทวิ า บาปชอื่ วาเปน บาป เพราะเปนของลามก โดยความเปนของเลวสว นเดยี ว ช่อื วา เปนอกุศล เพราะเปนความไมฉลาด ช่อื วาเปน ความเศรา หมอง เพราะทาํ จิตท่เี คยประภัสสร และผองใสใหพ ินาศจาก

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 283ความประภัสสรเปนตน ชือ่ วา ทาํ ใหมภี พใหม เพราะทําใหเกดิ ทุกขในภพบอ ยๆชอื่ วามคี วามกระวนกระวาย เพราะเปนไปกบั ดวยความกระวนกระวาย คือความเดือดรอน ชื่อวา มีทุกขเ ปน วบิ าก เพราะใหผลเปนทกุ ขอ ยา งเดยี ว ชอ่ื วาเปนเหตใุ หมชี าติ ชรา และมรณะตอไป เพราะทําใหม ีชาติ ชรา และมรณะในอนาคตตลอดกาลนานไมมกี ําหนด สามารถกาํ จดั ประโยชนสขุ ทั้งหมดไดและเห็นอานิสงสใ นการละบาปนั้นดว ยปญ ญาชอบ จงเบอ่ื หนา ย คอื ถงึ ความเบอ่ื หนา ยในธรรมอนั ลามกน้ัน เม่อื เบือ่ หนายพึงเจรญิ วิปส สนาแลว จงคลายกําหนัด และจงปลดเปล้อื งจากบาปนน้ั โดยความเปน บาป ดว ยบรรลุอรยิ มรรคหรือจงคลายกาํ หนดั ดว ยการคลายอยา งเดด็ ขาด ดวยมรรค แตน ้ันจงปลดเปล้อื งดวยปฏปิ ส สทั ธิวมิ ุตตดิ วยผล. อกี อยางหนงึ่ บทวา ปาป ไดแก ชอื่ วา บาป เพราะเปนของลามก.ถามวา ทานอธิบายไวอ ยางไร. ตอบวา ชื่อวา บาป เพราะเปนสิง่ นา รงั เกียจคือ พระอริยะเกลียดโดยความเปนของไมเทยี่ งเปน ทกุ ขเ ปน ตน ยังสตั วใ หถึงทกุ ขในวัฏฏะ. ถามวา ก็บาปนั้นเปนอยา งไร. ตอบวา เปน ธรรมชาติทําใหเกิดในภมู ิ ๓ พวกเธอเห็นบาปโดยความเปนบาป มเี นอื้ ความตามทกี่ ลาวแลวเจรญิ วิปสสนาโดยนัยมีอาทิวา โดยความเปนของไมเ ทยี่ ง โดยความเปนทกุ ขโดยความเปนโรค โดยความเปนลูกศร โดยความเปน ของช่ัว โดยความเบียดเบียน ดังน้ี จงเบ่อื หนา ยในบาปนั้น. บทวา อยมปฺ  ทตุ ิยา ไดแ กธรรมเทศนาประการท่ี ๒ นี้ เปน การเลือกปฏิบัติจากธรรมนัน้ อาศัยธรรม-เทศนาประการที่ ๑ อนั แสดงถงึ ส่ิงไมเปนประโยชนและความฉิบหายโดยความแนน อน. พงึ ทราบอธิบายในคาถาทงั้ หลายดงั ตอไปน.้ี บทวา พทุ ธฺ สฺส ไดแกพระสพั พัญญพุทธเจา . บทวา สพพฺ ภูตานุกมปฺ โ น ไดแก พระพุทธเจา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 284ผูอ นเุ คราะหส ัตวท้งั หมดดวยมหากรณุ า. บทวา ปรยิ ายวจน ไดแ ก การกลา วคือ การแสดงโดยปรยิ าย. บทวา ปสสฺ คือ ทรงรอ งเรยี กบริษทั . ทานกลาวหมายถึง บรษิ ทั ผเู ปน หวั หนา. แตอาจารยบางพวกกลา ววา พระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสวา ปสสฺ หมายถงึ พระองคเทา น้นั . บทวา ตตฺถ ไดแก ในบาปน้ัน.บทวา วิรชฺชถ ความวา พวกเธอจงละความกาํ หนัด. บทที่เหลือมีนัยดังไดก ลาวแลวนั่นแล. จบอรรถกถาเทศนาสูตรท่ี ๒ ๓. วิชชาสตู ร วาดวยวชิ ชาเปน หวั หนา แหง กุศลธรรม [๒๑๑] จริงอยู พระสูตรนพ้ี ระผูมพี ระภาคเจาตรสั แลว พระสูตรน้ีพระผมู พี ระภาคเจาผูเปนพระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตุนน้ั ขาพเจา ไดสดับมาแลววา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย อวิชชาเปน หวั หนา แหงอกศุ ลธรรม อหริ ิกะอโนตตัปปะเปน ไปตาม ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย สว นวชิ ชาแลเปนหัวหนา แหงการถึงพรอมแหง กุศลธรรม หิริและโอตตัปปะเปน ไปตาม. พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสเนอ้ื ความนี้แลว ในพระสูตรน้นั พระผมู ี-พระภาคเจา ตรสั คาถาประพนั ธด งั นว้ี า ทคุ ตอิ ยางใดอยางหนง่ึ ในโลกน้ี และในโลกหนา ท้ังหมดมอี วิชชาเปนมูล อนั ความปรารถนาและความโลภกอ ขึ้น ก็ เพราะเหตุทบี่ คุ คลเปน ผูมคี วามปรารถนา

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 285 ลามก ไมมีหิริ ไมเออื้ เฟอ ฉะนน้ั จึงยอม ประสบบาป ตอ งไปสูอบาย เพราะบาปนัน้ เพราะเหตนุ ้นั ภิกษุสํารอกฉันทะ โลภะ และอวิชชาได ใหว ิชชาบังเกดิ ข้ึนอยู พงึ ทคุ ตทิ ั้งปวงเสยี ได. เนื้อความแมน ้พี ระผูมีพระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตุน้ัน ขา พเจาไดสดบั มาแลว ฉะน้แี ล. จบวชิ ชาสตู รท่ี ๓ อรรถกถาวิชชาสตู ร ในวิชชาสูตรที่ ๓ พึงทราบวนิ จิ ฉัยดังตอ ไปน้ี :- บทวา ปพุ พฺ งคฺ มา ไดแ ก เปน หัวหนาโดยอาการ ๒ อยา ง คอืโดยสหชาตปจจยั และอปุ นิสสยปจ จยั . หรือเปน ประธานแหง อกศุ ลธรรมเบ้ือง-หนา . จรงิ อยู การเกิดข้นึ แหง อกศุ ล เวนจากอวิชชาเสยี แลว ยอ มมีไมไ ด.บทวา สมาปตฺตยิ า ไดแก ความเปน ไปเพ่อื ไดความจริงอันถึงเฉพาะหนา .ความเปนอุปนสิ สยปจ จัยแหงอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยความเปน ปจ จัยแหงอโยนโิ สมนสกิ ารดว ยการปกปดโทษแหงความเปนไปของอกุศล และโดยความที่ยงั ละไมไ ด ยอมปรากฏในความนัน้ . คติแมท้ังหมด ชอื่ วา ทคุ ติในคาถาน้ี เพราะเปนทต่ี ้งั แหงทกุ ขม พี ยาธิและมรณะเปน ตน ดวยประการฉะน.้ี อกี อยางหนง่ึ กายทุจรติ วจที จุ รติและมโนทุจรติ ช่อื วา ทคุ ติ เพราะคติทถี่ ูกกเิ ลสมีราคะเปน ตนประทุษราย

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 286เปน ไปทางกาย วาจา และใจ. บทวา อสมฺ ึ โลเก ไดแก ในโลกนห้ี รือในมนษุ ยคติ. บทวา ปรมฺหิ จ ไดแก ในคตอิ ่ืนจากมนษุ ยคตินนั้ . บทวาอวชิ ฺชามลู กิ า สพพฺ า ไดแก ความวิบตั แิ หง ทจุ รติ แมท ้ังหมดน้ันมีอวิชชาเปน มลู อยา งเดยี ว เพราะมอี วิชชาเปน หัวหนาโดยนัยดังกลาวแลว. บทวาอิจฉฺ าโลภสมุสฺสยา ความวา ช่อื วา อิจฉฺ าโลกสมสุ ฺสยา เพราะอนั ความปรารถนามีลักษณะแสวงหาสง่ิ อันยงั ไมถงึ พรอม และอนั ความโลภมีลกั ษณะอยากไดส ่งิ อันถึงพรอ มแลว กอขนึ้ คอื สะสม. บทวา ยโต ไดแ ก เพราะมอี วชิ ชาเปน เหตุ เปน ผูถกู อวชิ ชาปกปด. บทวา ปาปจโฺ ฉ ไดแ ก ผมู คี วามปรารถนาลามกไมเห็นโทษ ทาํ ความหลอกลวงเปนตน ดวยการยกยอ งคุณที่ไมมีเพราะมคี วามปรารถนาลามก เพราะถกู อวิชชาปกปด. พงึ เหน็ วา แมความปรารถนาในคนกเ็ ปนอันถอื เอาดวยความโลภเหมือนกัน. บทวา อนาทโรไดแก เวน จากความเอือ้ เฟอ ในเพือ่ นสพรหมจารี เพราะไมมีโอตตัปปะอันถอืโลกเปนใหญ. บทวา ตโต ไดแ ก เพราะเปน เหตุแหงอวชิ ชาความปรารถนาลามก ความไมมหี ริ ิ ไมมีโอตตปั ปะ. บทวา ปสวติ ไดแกสะสมบาป มกี ายทุจริตเปนตน. บทวา อปาย เตน คจฉฺ ติ ไดแก ยอมไป คอื ยอมเขาถึงอบายมีนรกเปนตน เพราะบาปตามทีข่ วนขวายนนั้ . บทวา ตสมฺ า ไดแ กเพราะอวชิ ชาเปน ตน เหลา น้ี เปนรากเหงาแหงทจุ รติ ท้ังปวง และเปนเหตแุ หงความเศราหมองอันเปนแดนเกิดในทุคติทงั้ ปวง อยา งนี้ ฉะนั้น ภิกษสุ ํารอกความปรารถนา ความโลภ อวิชชา อหิรกิ ะ และอโนตตัปปะได ละดว ยสมุจเฉท.ถามวา สํารอกอยางไรจึงจะใหว ิชชาเกิดขนึ้ ได. ตอบวา ขวนขวายตามลําดับวปิ สสนาและตามลาํ ดบั มรรคแลวยังวชิ ชา คอื อรหตั มรรคใหเกิดในสันดานของตน. บทวา สพพฺ า ทคุ คฺ ตโิ ย ไดแก พงึ ละ คอื พึงสละพงึ กาวลว ง

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 287ทุคติ กลาวคือทุจริตแมท้ังปวง หรอื คติ ๕ ทั้งปวงอันช่ือวา เปน ทุกข เพราะเปนท่ตี ั้งแหงทุกขในวัฏฏะ. จรงิ อยู กรรมวัฏและวิปากวฏั เปนอนั ละไดด ว ยการละกิเลสวฏั น่ันแล ดวยประการฉะน.้ี จบอรรถกถาวชิ ชาสูตรที่ ๓ ๔. ปญ ญาสตู รวา ดว ยขาดปญญาพาใหเสื่อมมีปญ ญาพาใหเ จรญิ [๒๑๙] จริงอยู พระสูตรนพ้ี ระผูมพี ระภาคเจาตรสั แลว พระสูตรนี้พระผมู พี ระภาคเจา ผูเปน พระอรหนั ตตรัสแลว เพราะเหตนุ ้ัน ขาพเจา ไดส ดับมาแลววา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย สตั วท ง้ั หลายผูเ ส่อื มจากอรยิ ปญญา ชื่อวาเสอ่ื มสดุ สตั วเหลาน้นั ยอมอยูเปนทุกข มคี วามเดือดรอ น มีความคบั แคนมีความเรา รอน ในปจจุบันทเี ดยี ว เมอ่ื ตายไปแลวพงึ หวงั ไดทุคติ ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย สตั วท ั้งหลายผูไ มเสอ่ื มจากอริยปญญา ชือ่ วา ไมเส่ือม สตั วเ หลานนั้ยอ มอยูเปน สุข ไมมีความเดอื ดรอน ไมม ีความคับแคน ไมม คี วามเรา รอ นในปจจบุ นั เทยี วแล เมื่อตายไปพงึ หวังไดสุคต.ิ พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รัสเนื้อความนีแ้ ลว ในพระสูตรน้ัน พระผมู -ีพระภาคเจา ตรัสคาถาประพันธดังน้ีวา จงดูโลกพรอมดวยเทวโลก ผตู ั้งม่นั ลงแลว ในนามรปู เพราะความเสอื่ มไปจาก ปญญา โลกพรอ มดว ยเทวโลกยอ มสาํ คญั วา นามรูปน้ีเปนของจริง ปญญาอนั ให

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 288 ถงึ ความชําแรกกิเลสนี้แล ประเสรฐิ ทสี่ ดุ ในโลก ดว ยวา ปญญานัน้ ยอมรูชัดโดยชอบ ซงึ่ ความสิน้ ไปแหง ชาตแิ ละภพเทวดาและ มนุษยทง้ั หลาย ยอ มรักใครต อพระสมั มา- สมั พทุ ธเจา เหลาน้นั ผูมีสติ มีปญ ญาราเริง ผทู รงไวซง่ึ สรรี ะอันมีในทสี่ ดุ . เนือ้ ความแมน้ีพระผูมีพระภาคเจาตรัสแลว เพราะเหตุนน้ั ขาพเจาไดสดับมาแลว ฉะน้แี ล. จบปญ ญาสตู รที่ ๔ อรรถกถาปญญาสูตร ในปญญาสตู รที่ ๔ พึงทราบวินจิ ฉัยดังตอ ไปน้ี :- บทวา สุปริหนี า ไดแก เส่ือมสุด. บทวา เย อรยิ าย ปฺ ายปริหีนา ความวา สัตวเ หลา ใด เสื่อมจากวิปสสนาปญ ญา และมรรคปญญาอนั เปนอรยิ ะ คอื บริสุทธิ์ เพราะต้งั อยไู กลจากกเิ ลสทั้งหลาย ดวยการรูความเกิดและความเสอื่ มของขันธ ๕ และดวยการแทงตลอดอรยิ สัจ ๔ สัตวเหลา น้นั เส่อื มคอื เส่อื มมากเหลอื เกินจากสมบัตอิ ันเปนโลกยิ ะและโลกตุ ระ. ถามวา กส็ ตั วเหลานนั้ เปน จําพวกอะไร. ตอบวา เปน ความจริงดงั นัน้ สตั วเหลาใดประกอบดวยเครือ่ งกัน้ คือ กรรม สตั วเหลา นัน้ เสื่อม คอื พรอ ง คือ เส่อื มมากโดยสว นเดียว โดยความเปนผแู นนอนตอ ความเห็นผดิ . ดังทท่ี านกลา ววา ทุคคฺ ติปาฏิกงขฺ า ทุคติเปน อันหวังได ดังน.้ี แมพรอมเพรียงดว ยเครือ่ งกน้ั คือ

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 289วบิ ากกเ็ สอื่ ม. อกี อยา งหนง่ึ พึงทราบในธรรมฝา ยขาว ผเู ปน สัมมาทิฏฐิเวน จากเครื่องก้ัน ๓ อยาง และเปน ผปู ระกอบดวยกัมมัสสกตาญาณ ชือ่ วาไมเสื่อม. คําท่เี หลอื พงึ ทราบโดยทํานองอันมีนยั ดังทก่ี ลาวแลว. ในคาถาท้ังหลายพึงทราบอธบิ ายดังตอไปน้ี บทวา ปฺาย เปนปญจมวี ิภัตติ. ความวา เพราะความเสอ่ื มไปจากวปิ ส สนาญาณและมรรคญาณ.หรือบทวา ปฺาย นี้ เปน ฉัฏฐวี ภิ ตั ต.ิ ความวา เพราะเสื่อมไปแหง ญาณดงั ท่ไี ดก ลา วแลว. อน่ึง การไมใ หเกดิ ขึ้นแหงญาณท่ีควรใหเ กิดน่ันแล เปนความเสอ่ื มในบทน้.ี บทวา นวิ ิฏ  นามรปู สมฺ ึ ไดแก ผูตงั้ มนั่ แลว คือหยัง่ ลงแลว ในนามรปู คอื ในอุปาทานขันธ ๕ ดวยอํานาจตัณหาและทิฏฐโิ ดยนยั มีอาทวิ า เอต มม นั่นของเราดงั น้ี เพราะความเสอ่ื มไปจากปญญาน้ัน.บทวา อทิ  สจจฺ นตฺ ิ มฺ ติ ไดแก ยอ มสาํ คญั วานามรูปน้เี ทานั้นเปนของจริง อยา งอื่นเปนโมฆะดงั น้.ี พงึ เปล่ียนวภิ ตั ตเิ ปน สเทวเก โลเก ดังน้.ี พระผูมพี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงธรรมฝายเศรา หมองในคาถาที่ ๑อยา งนี้แลว บัดนีเ้ มื่อจะทรงประกาศอานภุ าพแหง ปญญาวา กิเลสวัฏ ยอ มเปนไปดวยความมัน่ หมายและยดึ ม่นั ในนามรูป เพอ่ื มิใหเกิดอันใด การเขา ไปตดั วฏั ฏะเพ่อื ใหเ กดิ อันนั้น ดังนจี้ งึ ตรัสคาถาวา ปฺ า หิ เสฏ า โลกสฺมึปญ ญาแล ประเสริฐทีส่ ดุ ในโลก ดงั น.ี้ ในบทเหลา นนั้ บทวา โลกสมฺ ึ ไดแกส งั ขารโลก. ธรรมเชน กบัปญญาในสงั ขารทง้ั หลาย ในสตั วท งั้ หลายยอ มไมม ดี ุจพระสมั มาสัมพทุ ธเจา.จริงอยู กุศลธรรมทง้ั หลายมีปญ ญาเปน อยา งย่งิ และธรรมอนั ไมม โี ทษท้ังปวงเปน อนั สําเสร็จเพราะความสําเร็จแหง ปญญา. สมดงั ทพี่ ระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไววา สมฺมาทิฏสิ ฺส สมฺมาสงฺกปโฺ ป โหติ ความดํารชิ อบยอ มมแี กผ เู ห็นชอบดังนี้. กป็ ญญาท่ปี ระสงคเ อาในทน่ี ี้ทา นยกยอ งวา ประเสรฐิ ทส่ี ุด. เพ่ือ

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 290ทรงแสดงถึงความเปนไปนั้น จึงตรสั วา ยาย นพิ ฺเพธคามนิ ี ปญญาอนั ใหถงึความชาํ แรกกิเลส ดังน้ีเปน ตน. อธิบายความแหงบทนั้นวา ปญญาใดอนั ใหถงึ ความชําแรกกเิ ลสวาปญญานถี้ ึงความชาํ แรก คือ ทําลายกเิ ลสมีกองโลภะเปน ตน อันยังไมเ คยชาํ แรกยงั ไมเคยทําลาย ยอมไป ยอมเปนไป โยคาวจรยอมรู ยอมทาํ ใหแ จง นิพพานและอรหัตอันเปน ที่ส้ินไป เปน ทสี่ ุดแหง ชาติ กลาวคอื ความเกดิ ครง้ั แรกแหง ขันธท้งั หลายในหมสู ตั ว ในภพ กําเนดิ คติ วิญญาณฐติ แิ ละสัตตาวาสนนั้ ๆ และกรรมภพอันมชี าตนิ ั้นเปน นิมติ โดยชอบไมว ปิ รติ ดว ยปญ ญาใดปญญานี้เปนมรรคปญ ญาพรอ มดวยวปิ สสนา ประเสริฐทสี่ ุดในโลก ดงั น้ี. บัดน้ี พระผูม พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงยกยองพระขีณาสพ ผถู งึ พรอมแลว ดว ยบุญญานภุ าพตามที่กลาวแลว จงึ ตรัสพระคาถาสดุ ทายวา เตส เทวามนุสสฺ า จ เทวดาและมนุษยท ั้งหลายยอมรักใครตอ พระสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน้ัน ดงั น.้ี อธิบายความแหงบทน้นั วา เทวดาและมนุษยทั้งหลายยอ มกระหยมิ่ รักใครต อ พระขีณาสพเหลา น้ัน ผูช ่ือวาเปนสัมพุทธะดว ยการตรสั รูอริยสจั ๔เพราะสาํ เร็จโสฬสกิจ มีปญ ญาเปน ตนในอริยสัจ ๔ ชอื่ วา ผมู ีสติ เพราะมีสติไพบูลย ชื่อวา ผูมปี ญ ญารา เริง ดวยถึงความไพบลู ยแ หงปญ ญา เพราะถอนความลมุ หลงเสยี ไดโดยนัยดังกลา วแลว หรือวา ชือ่ วา ผูมีปญญารา เริง ความโสมนัส ความยินดี ความบันเทิง ตั้งแตเปน ผบู รบิ รู ณด ว ยศลี เปน ตน ในสว นเบอ้ื งตน จนถึงทาํ นิพพานใหแจง ชือ่ วา ผทู รงไวซึ่งสรีระอนั มีในทีส่ ดุเพราะเปนผสู ้ินภวสงั โยชนโดยประการท้ังปวง ยอมปรารถนาเพ่ือบรรลุความเปนอยางน้ันบางวา บุญญานภุ าพนา อัศจรรย ถากระไร แมเรากค็ วรเปน ผูขามพนทกุ ขท ้ังปวงเชน น้ไี ดบ าง ดงั น.้ี จบอรรถกถาปญ ญาสตู รท่ี ๔

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 291 ๕. ธรรมสูตร วา ดว ยเรอื่ งสกุ ธรรมประจาํ โลก ๒ ประการ [๒๒๐] จรงิ อยู พระสูตรน้พี ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั แลว พระสตู รนี้พระผมู พี ระภาคเจา ผูเ ปน พระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตุนั้น ขาพเจาไดส ดบัมาแลววา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย สกุ ธรรม ๒ ประการนี้ยอ มรักษาโลก ๒ประการเปน ไฉน คอื หริ ิ ๑ โอตตปั ปะ ๑ ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ถาวาสุก-ธรรม ๒ ประการนี้จะไมพ งึ รกั ษาโลกไซร ในโลกนกี้ ไ็ มพึงปรากฏวา มารดานา ปา ภรรยาของอาจารย หรือวา ภรรยาของครู โลกจะถงึ ความปะปนกนัไป เหมือนอยางแพะ แกะ ไก สุกร สุนขั สุนัขจ้งิ จอกฉะน้ัน ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย กเ็ พราะเหตุที่สกุ ธรรม ๒ ประการนย้ี ังรกั ษาโลกอยู ฉะนน้ั จึงยงั ปรากฏวา มารดา นา ปา ภรรยาของอาจารย หรือวาภรรยาของครู. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั เน้อื ความนีแ้ ลว ในพระสูตรน้ัน พระผูมี-พระภาคเจาตรสั คาถาประพันธดงั น้วี า ถา สตั วเหลาใด ไมมหี ริ แิ ละโอต- ตัปปะในกาลทุกเม่ือไซร สัตวเ หลาน้ันมี สกุ ธรรมเปนมลู ปราศไปแลว เปน ผถู ึง ชาติและมรณะ สวนสัตวเ หลา ใด เขาไป ตัง้ หริ แิ ละโอตตัปปะไวโ ดยชอบในกาลทุก เมอื่ สตั วเหลานนั้ มพี รหมจรรยง อกงาม เปน ผสู งบ มีภพใหมส นิ้ ไปแลว.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 292 เน้อื ความแมนี้พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว เพราะเหตนุ ัน้ ขา พเจาไดส ดับมาแลว ฉะนแี้ ล. จบธรรมสตู รที่ ๕ อรรถกถาธรรมสูตร ในธรรมสูตรที่ ๕ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดงั ตอไปน้ี :- บทวา สกุ ฺกา ช่อื วา สกุ ธรรมเพราะเปน ธรรมขาว กส็ ุกธรรมยอมเปนไปเพ่อื ความผอ งแผวอยางยิง่ โดยความเปน ธรรมขาว เพราะเหตนุ นั้ธรรมท้งั หลายชอื่ วา ขาว เพราะเปนธรรมขาวบริสทุ ธิ์ . ธรรมทั้งหลายท่เี ปนกศุ ลท้ังปวง แมโ ดยพรอ มดวยรสชื่อวา ธรรมขาว เพราะตรงขา มกับความเปนธรรมดาํ . ดว ยวา เพราะธรรมขาวเกดิ ข้นึ จิตจงึ เปนประภัสสรบรสิ ทุ ธิ.์ บทวาธมมฺ า ไดแ กธรรมเปนกุศล. บทวา โลก ไดแ กสตั วโลก. บทวา ปาเลนฺติไดแ ก วางขอบเขตรกั ษาดว ยการรองรับไว ทรงไว. ในบทวา หิริ จ โอตตฺ ปปฺ จฺ นพ้ี ึงทราบอธิบายดังตอไปน้ีชือ่ วา หริ ิ เพราะอันเขาละอาย. หรือชือ่ วา หริ ิ เพราะเปน เหตลุ ะอาย.แมข อ นี้ทา นก็กลาวไววา ขอ ที่อนั บุคคลละอายดวยสิง่ ท่คี วรละอาย คือ ละอายตอความเกิดแหง อกศุ ลธรรมอนั ลามก ทานเรยี กวา หริ ิ. ช่ือวา โอตตปั ปะเพราะกลัว. หรือช่อื วา โอตตปั ปะ เพราะเปน เหตกุ ลัว. แมข อน้ีทา นก็กลาวไววา ขอท่กี ลวั ส่ิงท่ีควรกลัว คือ กลวั ตอความเกดิ แหงอกศุ ลธรรมอันลามกทานเรียกวา โอตตปั ปะ.

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 293 ในหิรแิ ละโอตตัปปะน้ัน หิริ เกดิ ขน้ึ ในภายใน โอตตปั ปะเกิดขน้ึในภายนอก. หริ ิ ถือตนเปน ใหญ โอตตัปปะถอื โลกเปนใหญ. หริ ิตง้ั อยใู นความละอายเปน สภาพ. โอตตปั ปะตัง้ อยใู นความกลวั เปน สภาพ. หริ ิ มลี กั ษณะยาํ เกรง. โอตตัปปะ มลี กั ษณะเห็นภยั อนั เปนโทษท่ีนากลวั . ในหิริและโอตตปั ปะนัน้ หริ ิ เกิดขึ้นในภายในยอมเกิดดวยเหตุ ๔อยา ง คือ นึกถงึ ชาติ นกึ ถงึ วัย นึกถงึ ความเปนผกู ลา นกึ ถึงความเปนผูคงแกเรียน ถามวา อยา งไร. ตอบวา บคุ คลนกึ ถงึ ชาติอยา งน้กี อ นวา ช่ือวา การกระทาํ ความชัว่ นี้ ไมใ ชเปนการกระทําของตนผูมีชาติเจริญ เปน การกระทําของชาวประมงเปนตน ผมู ีชาติตา่ํ ผูเจรญิ ดว ยชาติเชนทา นไมค วรกระทํากรรมน้ี ดังนี้ แลวไมกระทาํ กรรมชวั่ เกดิ หิริขน้ึ . อนึ่ง นึกถงึ วัยอยางน้ีวา ชื่อวา การกระทาํ กรรมชั่วน้เี ปนกรรมที่คนหนมุ ๆ ควรกระทาํ คนที่ตัง้ อยูในวัยเชนทานไมค วรทํากรรมน้ี แลว ไมก ระทาํ กรรมชว่ั มีปาณาติบาตเปน ตนเกิดหิริข้นึ . อนึ่ง นกึ ถึงความเปน ผูกลวั อยางนี้วา ช่ือวา การกระทําความชั่วน้เี ปน การกระทาํ ของผูทมี่ กี าํ ลงั ออนแอ ผทู ่สี มบรู ณด ว ยกําลงั เชนทานไมค วรกระทํากรรมนี้ ดังนแ้ี ลว ไมกระทํากรรมช่วั มีปาณาตบิ าตเปนตน เกดิหิริข้ึน. อนึ่ง นกึ ถงึ ความเปนผูคงแกเ รียนอยา งนว้ี า ชอื่ วา การกระทาํ ความช่ัวนเ้ี ปนการกระทาํ ของอนั ธพาล. มิใชเ ปน การกระทาํ ของบณั ฑติ ผเู ปนบัณฑติ คงแกเ รียนเชนทา นไมควรกระทาํ กรรมนี้ ดงั นแี้ ลว ไมกระทําความชั่วมีปาณาตบิ าตเปน ตน เกดิ หิริข้ึน. บคุ คลยงั หริ อิ นั เกดิ ในภายในใหเ กิดขน้ึ ดว ยเหตุ ๔ ประการอยา งน้ี ก็และครัน้ ใหเกดิ แลว พจิ ารณาถึงหริ ิในจติ ของตนแลวไมก ระทํากรรมชวั่ . หริ ิ ชอ่ื วา เกดิ ขึ้นในภายในดว ยประการฉะน.ี้ ถามวา โอตตปั ปะ ช่อื วา เกดิ ในภายนอกเปนอยา งไร. ตอบวาบุคคลนึกอยูวา หากวา ทา นจักกระทํากรรมชั่วนน้ั ทานจักไดรับความติเตยี นในบริษัท ๔

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 294 วิญูชนท้ังหลาย จกั ตเิ ตยี นทาน เหมอื นชาวเมือง รังเกียจของสกปรก ทา น ถูกผมู ีศีลกําจดั เสยี แลว จักเปนภกิ ษอุ ยไู ด อยางไร ดงั นี้ยอ มไมก ระทํากรรมช่วั ดวยโอตตปั ปะอันเกดิ แลว ในภายนอก. โอตตัปปะช่ือวา ต้งั ข้นึ ในภายนอก ดว ยประการฉะนี.้ ถามวา หริ ิ ช่ือวา ถอื ตนเปนใหญเ ปน อยางไร. ตอบวา กุลบุตรบางคนในโลกน้ี กระทาํ ตนใหเปนใหญ เปนหัวหนา แลว ไมทาํ กรรมช่วั ดว ยเหน็ วา ผูบวชดว ยศรัทธาเปนผูคงแกเรยี น ผูกลา วสอนธุดงค เชนทา นไมค วรทาํ กรรมชว่ั ดงั น.ี้ หิริ ช่อื วา ถอื คนเปนใหญ ดว ยประการฉะนี.้ ดวยเหตนุ ้นัพระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วา โส อตฺตาน เยว อธปิ ตึ กตวฺ า อกุสลปชหติ กุสล ภาเวติ สาวชฺช ปชหติ อนวชฺช ภาเวติ สทฺธมตฺตานปรหิ รติ ความวา บคุ คลนน้ั นึกทาํ ตนเปนใหญ แลวละอกศุ ล เจรญิ กุศลละส่งิ มีโทษ เจริญส่ิงไมม ีโทษ รกั ษาตนใหบ ริสทุ ธิ์ ดังนี้. ถามวา โอตตปั ปะ ชื่อวา ถอื โลกเปน ใหญ เปน อยา งไร. ตอบวากุลบุตรบางคนในโลกนี้ นกึ ถงึ โลกเปนใหญเปน ผูเจริญ แลวไมก ระทาํ ความช่ัว.ดังทีท่ า นกลาวไววา โลกสนั นิวาสน้ใี หญน ักแล ในโลกสนั นวิ าสใหญม ีสมณพราหมณ ผูม ฤี ทธ์ิ มที พิ ยจกั ษุ รจู ิตของผอู ืน่ ทา นเหลานั้นยอมเห็นแตไกล ไมเ ห็นแมในท่ใี กล ยอ มรจู ิตดว ยจติ ทา นเหลา น้นั กจ็ ักประกาศใหรูจักเรา อยา งนีว้ า ทานทั้งหลายจงดูกลุ บุตรน้ี เขามศี รัทธาออกบวชแลวยังเกลอื กกลวั้ ดว ยอกุศลธรรมอันลามกอยูอ กี ดังน้.ี มีเทวดาผมู ีฤทธิ์ มที ิพยจักษุรจู ิตของผอู ่ืน เทวดาเหลา นั้นยอ มเห็นแมแตไ กล เขาไมป รากฏแมใ นท่ีใกลยอมรจู ิตดวยจิต เทวดาเหลา นัน้ กจ็ กั ประกาศใหร จู กั เราอยา งนีว้ า ทานทั้งหลาย

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 295จงดูกลุ บตุ รนมี้ ศี รัทธาออกบวช แลวยังเกลอื กกลั้วดวยอกศุ ลธรรมอนั ลามกอยูอ ีกดงั นี้ กลุ บุตรนนั้ กระทาํ โลกใหเปน ใหญ แลวจึงละอกุศล ดงั นี้.โอตตัปปะถอื โลกเปน ใหญ ดวยประการฉะน้.ี ในบทวา สชชฺ าสภาวสณฺิตา น้ี พงึ ทราบอธบิ ายดงั ตอไปนี้อาการแหง ความละอายช่อื วา ลชฺชา. หิริต้งั อยูโดยสภาพนั้น ความกลวั ในอบายช่อื วา ภัย. โอตตัปปะตั้งอยูโดยสภาพน้นั ทง้ั สองอยางนัน้ เปน อันปรากฏในการเวน จากความช่วั . ในหริ แิ ละโอตตปั ปะนน้ั มีวนิ จิ ฉยั วา เหมือนอยา งวา กอ นเหล็ก ๒กอ น กอ นหน่ึงแมเยน็ ก็เปอนคูถ กอนหนึ่งรอนจัด ใน ๒ กอ นนั้น วญิ ชู นเกลยี ดกอ นที่เยน็ เพราะเปอ นคูถ จงึ ไมจบั อกี กอนหนึง่ ไมจับเพราะกลัวความรอน ฉันใด บณั ฑติ เกลยี ด ไมท าํ ความชั่วเพราะละอาย กลัวอบายไมทาํ ความชวั่ เพราะเกรงกลัว ก็ฉนั น้นั . หิรติ งั้ อยูในสภาพแหง ความละอายโอตตปั ปะตง้ั อยูในสภาพแหง ความกลวั . ถามวา หิริ มีลักษณะยาํ เกรง โอตตัปปะมลี ักษณะเหน็ ภยั อนั เปน โทษทนี่ ากลวั นัน้ อยางไร. ตอบวา จรงิ อยู บุคคลบางคนยงั หิริอันมลี กั ษณะยาํ เกรงใหเ กิดขน้ึ ดว ยเคารพในผูน ้นั โดยอาการ ๔ อยาง คือ นึกถงึ ความเปนใหญโดยชาติ ๑ นกึ ถงึ ความเปน ใหญโ ดยเปน ผสู อน ๑ นกึ ถงึ ความเปนใหญใ นมรดก ๑ นึกถงึ ความเปนใหญใ นทางประพฤตพิ รหมจรรย ๑ แลวไมทําความช่วั . บางคนกลัวโดยความเปนโทษ ดวยเหตุ ๔ อยา ง คือ อัตตานวุ าทภยั(กลัวถูกตเิ ตียนตน) ๑ ปรานวุ าทภัย (กลวั ผอู ื่นตเิ ตียน) ๑ ทณั ฑภัย (กลัวถูกลงอาญา) ๑ ทุคติภยั (กลัวตกนรก) ๑ แลว เกิดโอตตัปปะอันมลี กั ษณะเห็นภยั อันมโี ทษนากลวั แลวจึงไมทํากรรมช่ัว. อนง่ึ ในขอนีเ้ มื่อทานกลา วถึงหริ ิโอตตัปปะ อนั เกดิ ในภายในเปนตน โดยความเปน ส่งิ ปรากฏในท่ีนั้น ๆ










Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook