Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_45

tripitaka_45

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_45

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 652 บทวา อาสวาน ขย มีอธิบายดังตอ ไปน้ี การละ ความสน้ิ ไปอยา งเด็ดขาด ความไมเ กิดข้ึน อาการสิน้ ไป ความไมม ีแหง อาสวะทัง้ หลายเรียกวา ความสน้ิ อาสวะ (ดงั ) ในสพั พาสวสงั วรปริยายสตู ร ซงึ่ มาแลวอยา งนวี้ า ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย เราตถาคตกลาวความสน้ิ อาสวะสาํ หรบั บุคคลผูรูอยู เห็นอยู และ (ดัง) ในสตุ ตบทมีอาทวิ า เจโตวิมตุ ติ ที่ไมม ีอาสวะเพราะอาสวะท้ังหลายส้ินไปแลว. ผล เรียกวา ความสิ้นอาสวะ (ดงั ) ในประโยคเปน ตน วา บุคคล ช่อื วา เปน สมณะ เพราะอาสวะท้ังหลายสิน้ ไป. นพิ พานเรียกวา ความสิ้นอาสวะ (ดัง) ในประโยคเปนตน วา อาสวะทงั้ หลาย ยอมเจรญิ แกบุคคล นน้ั ผมู ีปกติตามเหน็ โทษของบคุ คลอื่น มปี กติยกโทษ (ผอู ่นื ) อยเู ปนนติ ย บุคคล นัน้ ชื่อวา อยหู า งไกลจากนพิ พาน.มรรค เรียกวา ความส้นิ อาสวะ (ดัง) ในอินทริยสตู รและในสูตรนี้ทีม่ าอยา งนว้ี า เมือ่ เสกบคุ คลศึกษาอยู ฯลฯ แตน้ัน อรหตั ผลยอมมี แกบ คุ คลผหู ลุดพน แลว ญาณยอมมแี กบ คุ คลผูคงที.่เพราะเหตนุ ้ัน จงึ มคี าํ อธบิ ายวา เราตถาคตกลาวถงึ การบรรลุอริยมรรค สาํ หรบับุคคลผูรอู ยู เหน็ อยู ตามนยั ที่กลา วไวแ ลว . บทวา โน อชานโต โน จ อปสสฺ โต ความวา กบ็ คุ คลใดไมร ู ไมเ ห็น เราตถาคตไมกลาวการบรรลุอรยิ มรรคไวส ําหรบั บุคคลน้นั . ผูรูเหลา ใดกลา วความหมดจดจากสงั สารวัฏไวส าํ หรบั บุคคลผไู มรู ไมเ ห็น พระ-ผูมพี ระภาคเจาทรงปฏิเสธผูรูเหลาน้ัน ดว ยบทนี้วา โน อชานโต โน จ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 653อปสฺสโต. อีกอยา งหน่ึง พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อบุ ายไวด ว ย ๒ บทแรกตรสั ปฏเิ สธสงิ่ ทม่ี ใิ ชอ บุ ายดวยบทวา โน อชานโต โน จ อปสฺสโต นี.้อนงึ่ เม่ือวาโดยยอ พระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงไวในสูตรน้วี า ญาณเปนเครือ่ งทําอาสวะใหสน้ิ ไป ที่เหลือเปนบรขิ ารของญาณนัน้ . บัดนี้ เพอ่ื จะทรงแสดงญาณที่บคุ คลรูอ ยู เหน็ อยูเปน เหตุใหสิ้นอาสวะพระผูมีพระภาคเจาจึงทรงเรมิ่ ปจุ ฉาวา กิจฺ ภิกฺขเว ชานโต (รูอะไรภกิ ษทุ ้งั หลาย ดังนี.้ ในคําวา กิ จฺ ภิกฺขเว ชานโต น้นั มอี ธบิ ายดงั ตอไปน.้ี ความรมู ีมากอยา ง. อธบิ ายวา ภกิ ษุบางรปู เปน ผูมีปญญา รจู กั ทํารม บางรูปรจู กั ทําจีวรเปน ตน อยางใดอยางหนง่ึ เม่อื ภิกษุน้นั ดํารงอยูในขอวัตรปฏิบัติทํางานเชน นี้ ความรูนัน้ ไมค วรกลาววา ไมเ ปน ปทัฏฐานของมรรคและผล. สว นภกิ ษใุ ดบวชในศาสนาแลว รูจักทาํ เวชกรรมเปนตน อาสวะทั้งหลายยอมเจรญิแกภกิ ษนุ ั้นน่นั เองผรู อู ยอู ยา งน้.ี เพราะเหตุน้ัน พระผมู ีพระภาคเจา เมอ่ืจะทรงแสดงเฉพาะเรอื่ งท่รี ู เร่ืองทเี่ ห็น ซึ่งเปน เหตใุ หอ าสวะทัง้ หลายส้ินไปจึงตรสั คาํ วา อิท ทกุ ขฺ  เปน ตน. ในคํานั้น มีอธบิ ายดงั ตอ ไปนี้ สัจจกมั มัฏฐาน ๔ อนั ใดท่ีควรกลา วไวสจั จกมั มฏั ฐานนน้ั ไดก ลาวไวแลว โดยสังเขปแล ในโยนิโสมนสิการสูตรในตอนตน. อนงึ่ ในคาํ น้นั ทา นไดทาํ การขยายความไวโดยนยั เปนตนวา ภกิ ษุทําไวในใจโดยแยบคายวา นี้ทกุ ข เพราะ (มีหลกั ฐาน) มาแลว วา ดกู อนภิกษุ-ทง้ั หลาย ภิกษเุ มอื่ ทําไวใ นใจโดยแยบคาย ยอ มละอกศุ ล เจริญกุศลได.ในทีน่ ้ี พงึ ประกอบเขาตามนยั มอี าทิวา สาํ หรบั ภกิ ษุผรู อู ยู เห็นอยู โดยมรรคญาณดว ยอํานาจการแทงตลอดดวยปริญญา คือ ดว ยอาํ นาจการตรัสรดู วย

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 654ปริญญาวา นีท้ ุกข เพราะ (มหี ลักฐาน) มาแลววา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลายเม่อื ภกิ ษรุ อู ยู เหน็ อยวู า นี้ทกุ ข อาสวะท้งั หลายยอมส้นิ ไป. อนง่ึ พึงทราบวาในอาสวะท้งั หลาย ทิฏฐาสวะสิ้นไป เพราะปฐมมรรค (โสดาปต ตมิ รรค)กามาสวะส้นิ ไป เพราะตตยิ มรรค (อนาคามิมรรค) ภวาสวะ และอวิชชาสวะสิ้นไปเพราะจตตุ ถมรรค. พึงทราบวินิจฉยั ในคาถาทั้งหลายดังตอ ไปน้ี บทวา วิมุตฺติ าณไดแ ก ปจจเวกขณญาณในวมิ ตุ ติ นิพพาน และผล. บทวา อตุ ฺตม ไดแกชอ่ื วา สงู สุด เพราะมธี รรมขนั้ สูงสดุ เปนอารมณ. บทวา ขเย าณ ไดแกญาณ (ความร)ู ในความสิน้ ไปแหงอาสวะและสงั โยชน คือ ในอรยิ มรรคอันทําอาสวะและสงั โยชนใ หสนิ้ ไป. ควรนํามาเช่ือมไว แมใ นท่ีนีว้ า ญาณวา สงั โยชนท ัง้ หลายสิน้ แลว. พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงการพิจารณากิเลสที่ละไดแลว ดวยบทวา ขีณา ส โยซนา อติ ิ าณ น้นั . ปจจเวกขณญาณทัง้ ๔ เปนอนั กลาวไวแลวในที่นีด้ งั พรรณนามาฉะนี.้แทจรงิ ในสตู รนี้ ไมม กี ารพิจารณาถงึ กเิ ลสท่ยี งั เหลืออยู เพราะพระผูมี-พระภาคเจาทรงมงุ ถงึ การบรรลุอรหตั ผล. อนึง่ ในบทวา ชานโต ปสฺสโตนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสกิจของสัมมาทฏิ ฐิวา สาํ คัญยิง่ ในการบรรลุนิพพาน ฉันใด เมือ่ จะทรงแสดงวา แมกจิ ของสมั มปั ปธาน ก็จําตอ งปรารถนาใหยง่ิ ฉนั น้ันเหมอื นกัน จงึ ตรัสคาถาสุดทายวา น เตวฺ วทิ  กุสีเตน ดังนี้. บรรดาบทเหลานั้น บทวา น เตฺววิท ตดั บทเปน น ตุ เอว อิท .ตุ ศัพท เปนเพียงนิบาต. ม อกั ษรในบทวา พาเลนมวชิ านตา ทาํ การเชือ่ มบท. กใ็ นบทนี้ มคี วามยอ ดังนี้วา นพิ พานน้เี ปนเครอ่ื งเปลือ้ งคณั ฐะ(กเิ ลสเคร่อื งรอ ยรดั ) ทงั้ หมดมอี ภชิ ฌากายคณั ฐะเปน ตน คอื เปน นิมิต(เครือ่ งหมาย) แหง การเปล้อื งการพน ซง่ึ จะพึงบรรลุไดด ว ยเสกขมรรค และ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 655อเสกขมรรค อันบคุ คลผูไ มรูแ จงสจั จะ ๔ ตามความเปนจริงโดยนยั เปน ตนวานท้ี ุกข ผูชอ่ื วา เปนคนโง คอื ผูไมเขา ใจ เพราะไมรแู จง น้นั นน่ั แล ไมสามารถบรรลุได ฉนั ใด แมบคุ คลผูเ กยี จครา นไมม คี วามเพียร ก็ไมสามารถบรรลุไดฉ ันนนั้ เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตอ งปรารภความเพียรเพอื่ บรรลนุ ิพพานนัน้ . ดว ยเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวา ธรรมน้เี ปน ธรรมของบุคคลผูปรารภ ความเพยี ร ไมใชของบคุ คลผเู กยี จครา น ขอเธอทัง้ หลายจงปรารภ จงบากบ่นั จง ประกอบอยูไดคาํ สอนของพระพุทธเจา เถิด ขอเธอทงั้ หลาย จงทาํ ลายเสนามฤตยู ให เหมอื นชางทาํ ลายเรือนไมอ อ ฉะนัน้ เถดิ . จบอรรถกถาชานสตู รที่ ๓ ๔. สมณสตู ร วาดว ยสมณะหรอื พราหมณไ มร ูจ รงิ [๒๘๓] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลา หน่ึงยอมไมร ูชัดตามความเปนจรงิ วา น้ที กุ ข นท้ี กุ ขสมุทยั นี้ทุกขนิโรธ นีท้ ุกข-นโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา สมณะหรือพราหมณเ หลาน้ัน เราตถาคตหายกยองวา เปนสมณะในหมสู มณะหรอื วา เปนพราหมณในหมูพราหมณไม และทานเหลา นน้ัหาไดทาํ ใหแจงซง่ึ ผล คอื ความเปน สมณะ และผลคือความเปนพราหมณดว ยปญ ญาอันยิ่งเองในปจจุบันเขาถึงอยไู ม สว นสมณะหรือพราหมณเ หลาใด

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 656เหลา หนึ่ง ยอ มรชู ัดตามความเปน จริงวา น้ที ุกข นี้ทุกขสมทุ ัย นี้ทุกขนิโรธนท้ี ุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา กส็ มณะหรอื พราหมณเ หลานั้นแล เราตถาคตยกยอ งวา เปนสมณะในหมูสมณะและยกยอ งวาเปนพราหมณในหมูพราหมณและทา นเหลาน้ันยอมกระทําใหแจงซ่งึ ผลตอ ความเปนสมณะ และผลคือความเปนพราหมณด ว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ในปจ จุบันเขาถงึ อย.ู สมณพราหมณเ หลาใด ไมรชู ัดซึ่ง ทุกข เหตุเกิดแหง ทุกข ธรรมชาติเปน ที่ ดับทกุ ข ไมมีสว นเหลือโดยประการทงั้ ปวง และไมร ูช ดั ซง่ึ มรรคอันใหถงึ ความสงบ แหงทุกข สมณพราหมณเหลานั้น เสื่อม แลว จากเจโตวิมุตตแิ ละจากปญ ญาวมิ ุตติ เปน ผไู มค วรเพอ่ื ทําท่ีสดุ แหงทุกขไ ด สมณพราหมณเ หลา นัน้ แล เปน ผูเขา ถึง ชาติและชรา สว นสมณพราหมณเ หลาใด รชู ัดซง่ึ ทกุ ข เหตุเกิดแหง ทกุ ข ธรรมซาติ เปนท่ดี ับแหงทกุ ข ไมมีสวนเหลือโดย ประการท้ังปวง และรซู ัดซงึ่ มรรคอันใหถ ึง ความสงบแหงทุกข สมณพราหมณเหลา น้นั ถึงพรอ มดว ยเจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญญา- วมิ ตุ ติ เปนผคู วรเพ่ือทาํ ทสี่ ุดแหงทกุ ขไ ด สมณพราหมณเ หลา นั้นเปน ผไู มเขาถงึ ชาติ และชรา. จบสมณสูตรที่ ๔

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 657 อรรถกถาสมณสตู ร ในสมณสูตรท่ี ๔ พึงทราบวินจิ ฉยั ดงั ตอไปนี้ :- บทวา เย หิ เกจิ ไดแ ก บุคคลเหลาใดเหลา หนึ่ง. บทวา อิททุกขฺ นฺติ ยถาภูต นปปฺ ชานนตฺ ิ ความวา ไมร ูค อื ไมแทงตลอดทุกขสจัอนั ไมวิปริต ดวยมรรคปญญาทป่ี ระกอบดวยวปิ ส สนาปญ ญา โดยสภาวะและลักษณะแหงกิจที่แทจ รงิ วา นี้ทกุ ข ทกุ ขม เี พียงเทา น้ี ไมมีทุกขย่งิ ไปกวานี้.แมในบทที่เหลอื ก็มีนยั นี้แล. ในบทวา น เม เต ภิกขฺ เว เปนตนมีความยอดังนีว้ า ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บคุ คลทั้งหลายผูมิไดประกอบกมั มัฏฐานมสี จั จะ ๔ เปน อารมณ จะเปน สมณะไดก็เพยี งโดยการบรรพชาและจะเปนพราหมณไดก ็เพยี งโดยชาติ บุคคลเหลานน้ั เราตถาคตมิไดย อมรบัคอื รบั รองวา เปนสมณะในหมสู มณะผมู ีบาปอนั สงบแลว และวาเปนพราหมณในหมพู ราหมณผูลอยบาปแลว เพราะเหตุไร ? เพราะบุคคลเหลา นน้ั ไมมีธรรมท่ีทําใหเ ปนสมณะ และทาํ ใหเปน พราหมณ. ดวยเหตุนั้นแล พระผมู -ีพระภาคเจา จึงตรสั ค าวา น จ ปเนเต อายสฺมนโฺ ต เปน ตน. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา สามฺตฺถ ไดแก ผล กลา วคอื คุณเคร่ืองเปนสมณะ อธิบายวา ไดแก สามญั ผล ๔. บทวา พรฺ หฺมฺตฺถเปน ไวพจนของบทวา สามฺ ตถ นั้นนั่นแล. ฝา ยอาจารยอีกพวกหนึ่งกลา ววา บทวา สามฺตฺถ ไดแ กอ รยิ มรรค ๔ บทวา พรฺ หมฺ ฺ ตฺถไดแ ก อริยผล ๔. บทที่เหลือมนี ัยดังกลาวแลวน่ันแล. ในสุกกปกษ (ธรรมฝา ยขาว) พงึ ทราบความหมาย โดยบรรยายตรงขา มจากทกี่ ลา วมาแลว. ในคาถาทง้ั หลาย คาํ ท่ไี มเคยมี ไมม .ี จบอรรถกถาสมณสตู รที่ ๔

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 658 ๕. สีลสตู ร วาดวยภกิ ษุผูถงึ พรอ มดว ยศลี เปน ตน [๒๘๔] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษเุ หลา ใดถึงพรอ มแลว ดว ยศลีสมาธิ ปญญา วมิ ุตติ วมิ ุตตญิ าณทสั สนะเปนผูกลา วสอน ใหร แู จง ใหเหน็ แจง ใหสมาทาน ใหอ าจหาญ ใหร า เริง เปน ผสู ามารถบอกพระสัทธรรมไดอยา งดี ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกลาวการเห็นภิกษุเหลานัน้ ก็ดีการฟงภกิ ษุเหลาน้นั ก็ดี การเขาไปใกลภ ิกษเุ หลา นนั้ ก็ดี การไปนั่งใกลภ กิ ษุเหลานนั้ กด็ ี การระลึกถงึ ภิกษุเหลานน้ั กด็ ี การบวชตามภกิ ษเุ หลานั้นกด็ ี วามอี ุปการะมาก ขอนัน้ เพราะเหตุไร เพราะเมื่อภกิ ษซุ อ งเสพคบหา เขาไปนงั่ ใกลภกิ ษุเหน็ ปานน้นั ศลี ขนั ธ สมาธิขันธ ปญญาขันธ วมิ ุตตขิ ันธวมิ ุตติญาณทัสนขนั ธ แมท่ยี งั ไมบริบูรณ กถ็ ึงความบริบรู ณด ว ยภาวนา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็ภกิ ษผุ เู ห็นปานนนี้ ั้น เราตถาคตกลา ววา เปนศาสดาบา งนําพวกไปบาง ละขา ศึก คือกิเลสบา ง กระทาํ แสงสวา งบา ง กระทาํ โอกาสบา งกระทําความรงุ เรืองบาง กระทํารศั มบี า ง ทรงคบเพลงิ ไวบาง เปนอริยะบา งมีจกั ษุบา ง ดังน้ี. การไดเหน็ พระอริยเจา ท้งั หลายผูม ีตน อันอบรมแลว ผูม ีปกตเิ ปนอยโู ดยธรรม ยอ มเปน เหตแุ หง การกระทาํ ซ่ึงความ ปราโมทยแ กบ ณั ฑติ ทัง้ หลายผูร แู จง บัณ- ฑิตทง้ั หลาย ฟง คาํ สอนของพระอรยิ เจา ทง้ั หลายผูกระทํารศั มี ผูก ระทาํ แสงสวาง

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 659 เปน นกั ปราชญ ผมู ีจกั ษุ ผูละขา ศกึ คอื กิเลส ประกาศพระสัทธรรมยังสัตวโลก ใหสวา ง แลวรโู ดยชอบซ่งึ ความสนิ้ ไป แตงชาติดวยปญ ญาอันยิ่ง ยอมไมม าสู ภพใหม. จบสีลสูตรท่ี ๕ อรรถกถาสลี สตู ร ในสีลสตู รที่ ๕ พงึ ทราบวินิจฉัยดงั ตอ ไปนี้ :- ในบทวา สีลสมฺปนฺนา นีม้ ีอธิบายวา โลกิยศีลและโลกตุ รศลี ของพระขณี าสพทั้งหลาย ช่ือวา ศีล. ภกิ ษุท้งั หลายช่ือวา สมบูรณด วยศลี เพราะหมายความวา สมบูรณคอื ประกอบดว ยศลี น้นั ๆ. แมใ นสมาธิและปญญามีนัย นแี้ ล. สวนวมิ ตุ ติ ไดแกผลวิมตุ ตนิ น่ั แล. วมิ ตุ ติญาณทัสสนะ ไดแ กปจ จเวกขณญาณ. ในอธกิ ารน้ี ธรรม ๓ มีศีล เปนตน เปนทงั้ โลกยิ ะและโลกตุ ระ. วิมตุ ตเิ ปนโลกุตระอยางเดียว วมิ ตุ ติญาณทัสสนะ เปน โลกยิ ะอยา งเดียว. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ช่ือวา ผกู ลา วสอน เพราะหมายความวา กลาวสอน คอืพร่ําสอนบุคคลเหลาอ่นื ดวยทฏิ ฐธัมมิกตั ถประโยชน สัมปรายกิ กตั ถประโยชนและปรมตั ถประโยชนตามควร. บทวา วิ ฺ าปกา ไดแ กชวยบคุ คลเหลา อน่ืใหเ ขา ใจกรรมและผลของกรรม. อนงึ่ ในบทวา วิ ฺ าปกา นนั้ มอี ธบิ ายวาชว ยบุคคลเหลา อ่นื ใหเ ขา ใจ คือใหร ซู ง่ึ ธรรมทั้งหลาย ดวยนยั ๓ อยาง ตาม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 660ลักษณะของตน คือ ตามสามญั ลักษณะ โดยการจาํ แนกเปน กุศลเปน ตนโดยการจาํ แนกเปนขนั ธเ ปนตน โดยนัยเปน ตน วา ธรรมเหลาน้เี ปน กุศลธรรมเหลาน้เี ปนอกุศล ธรรมเหลา นีม้ ีโทษ ธรรมเหลา น้ีไมม โี ทษ. บทวาสนทฺ สฺสกา ไดแก แสดงธรรมเหลา นั้นแล ใหบคุ คลอน่ื เหน็ ไดชดั เหมอื นจบั ธรรมเหลาน้ันดวยมือ. บทวา สมาทปกา ไดแ ก ทําใหบ คุ คลเหลา อน่ืสมาทานศลี เปน ตน ทย่ี งั มิไดสมาทาน คือ ทาํ บุคคลเหลาอื่นนน้ั ใหด าํ รงอยูในศีลเปนตนนัน้ . บทวา สมุตฺเตชกา ความวา ทาํ จิตของบุคคลท้ังหลายผูดํารงอยูในกุศลธรรมอยางนี้ใหอ าจหาญดว ยดี ดวยการแนะนําในการบําเพญ็อธจิ ติ ขนั้ สงู ขนึ้ ไป คือทําจิตของเขาใหผอ งใสดวยการพิจารณา โดยประการท่ีเขาจะบรรลุคุณวเิ ศษได. บทวา สมปฺ ห สกา ความวา ทําจิตของบคุ คลเหลา อน่ื นัน้ ใหรา เรงิ ดวยดี ดว ยคณุ วเิ ศษตามทไี่ ดแลว และทีจ่ ะพงึ ไดในขน้ั สงูคอื ทําจิตของเขาใหย ินดดี ว ยดี ดว ยอาํ นาจความพอใจท่ไี ดแลว . บทวา อลสมกฺขาตาโร ไดแ ก เปน ผูสมควร คอื บอกธรรมไดโดยชอบทีเดียว ไดแ กดว ยประสงคจ ะอนุเคราะห ไมท ําธรรมทต่ี นไดเ ลา เรยี นมา คือตามทก่ี ลา วแลวใหเ สอ่ื มสูญไป. อกี ประการหนงึ่ . บทวา สนทฺ สสฺ กา ความวา ภกิ ษุเมอ่ื แสดงธรรมก็แสดงดว ยดที ีเดยี ว ทงั้ ปวัตติ (ความเปน ไป) และนวิ ตั ติ (ความหมุนกลบั )ตามสภาวลกั ษณกจิ ท่ีแทจรงิ . บทวา สมาทปกา ความวา ยังผูฟ ง ใหยึดถอืเน้ือความน้นั นนั่ แล โดยใหเนอ้ื ความน้นั ตงั้ ม่ันอยใู นจติ . บทวา สมตุ เฺ ตชกาความวา ยงั ผูฟ งใหผ องใสหรือรงุ เร่ืองดว ยดีทีเดยี ว ดวยการใหเ กิดอุตสาหะในการรบั เอาเนอ้ื ความนัน้ . บทวา สมฺปห สกา ความวา ยงั ผฟู งใหร าเริงคือใหยินดีดวยดีทเี ดียวซึ่งเน้ือความนั้น ดวยการแสดงอานสิ งสใ นการปฏบิ ัติ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 661บทวา อล สมกขฺ าตาโร ความวา เปน ผูส ามารถทจี่ ะบอกได ตามนัยท่ีกลา วแลว คือ เปนผูแ สดงสัทธรรม ไดแก ปฏเิ วธสทั ธรรม หรือสัทธรรมท้งั ๓ อยาง. บทวา ทสฺสนมปฺ ห ตัดบทเปน ทสสฺ น ป อห . กก็ ารเหน็ น้ีนั้นมี ๒ อยา งคอื การเหน็ ดวยจกั ษุ ๑ การเหน็ ดว ยญาณ ๑. บรรดาการเห็นท้ัง ๒ อยางน้ัน การมองดพู ระอริยเจาทั้งหลายดวยดวงตา (แสดงความ)เลอ่ื มใส ช่ือวา การเห็นดวยจักษุ. สวนการบรรลธุ รรมทั้งหลายท่ีทาํ ใหเปนพระอริยะ และความเปน พระอริยะดว ยวิปส สนา มรรคและผล ชอ่ื วา การเห็นดวยญาณ. แตในความหมายนี้ ทา นประสงคเ อาการเห็นดว ยจกั ษ.ุ เพราะวาแมก ารมองดพู ระอรยิ เจาทงั้ หลาย ดวยดวงตา (แสดงความ) เลื่อมใส กม็ ีอุปการะมากทีเดยี วแกสตั วท ้งั หลาย. บทวา สวน ไดแก การไดย นิ ดว ยหู เม่อืคนทั้งหลายพูดกันวา พระขณี าสพ. ชอื่ โนน อยูในรฐั หรือชนบท ในคามหรือนคิ ม ในวหิ ารหรอื ในถํา้ ชื่อโนน น้ี กม็ อี ปุ การะมากเหมือนกนั . บทวาอุปสงฺกมน ความวา การเขาไปหาพระอริยเจาท้ังหลาย ดวยความคดิ เหน็แบบนว้ี า เราจกั ถวายทาน จกั ถามปญหา จักฟง ธรรม หรอื จักทําสกั การะ.บทวา ปยริ ปุ าสน ไดแก การเขาไปนง่ั ใกล เพอ่ื ถามปญ หา อธบิ ายวาการไดสดับ คณุ ความดขี องพระอริยเจา ท้ังหลาย เขา ไปหาพระอรยิ เจา เหลานน้ันมิ นตแลวถวายทาน หรือทาํ วตั ร แลวถามปญหาโดยนยั เปน ตน วา ขา แตทา นผเู จรญิ อะไร คือ กศุ ล ? การทาํ การรบั ใชเปน ตน จัดเปน การเขา ไปนง่ั ใกลเ หมอื นกนั . บทวา อนุสสฺ ตึ ไดแก การท่บี คุ คลผูน ่งั ในท่ีพกั กลางคนื และท่ีพกั กลางวัน ระลึกถึงเนือง ๆ ซง่ึ คุณวเิ ศษมที ิพวหิ ารธรรมเปนตนของพระอรยิ เจา เหลา น้ัน เปน อารมณวา บัดนี้ พระอริยเจาทั้งหลาย กาํ ลงั ยับยั้งอยูในสถานทท่ี งั้ หลายมีพมุ ไม ถา้ํ และมณฑปเปน ตน ดว ยความสุขอันเกิดจากฌาน วิปส สนามรรคและผล.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 662 อกี อยางหนงึ่ ไดแ กนอ มนึกถงึ โอวาททไ่ี ดจ ากสาํ นักของพระอรยิ เจาเหลานนั้ แลว ระลกึ ถึงเนอื ง ๆ อยางนวี้ า พระผมู ีพระภาคเจาตรัสศลี ไวในท่ีน้ี ตรสั สมาธิไวในทีน่ ี้ ตรัสวปิ ส สนาไวในทีน่ ี้ ตรัสมรรคไวในท่ีนี้ ตรัสผลไวในทน่ี .้ี บทวา อนุปพพฺ ชฺช ไดแก การทาํ จิตใหเลอ่ื มใสในพระอริยเจาทง้ั หลายแลว ออกจากเรือนบวชในสาํ นักพระอรยิ เจาเหลา นนั้ . อธิบายวา การทําจิตใหเล่อื มใสในพระอริยเจาทั้งหลาย แลว บวชในสาํ นกั พระอรยิ เจาเหลา น้ันนน่ั แลเท่ยี วไปจาํ นงหวังอยูซ่งึ โอวาทานุสาสนีของพระอริยเจาเหลา น้ัน ช่ือวา การบวชตาม. การบวชแมของบุคคลผูเ ท่ียวไปหวังโอวาทานสุ าสนี ในสาํ นักบุคคลเหลาอนื่ ก็ชอื่ วา บวชตาม. การบวชแมของบคุ คลผูบ วชในสาํ นักอน่ื เพราะความเล่ือมใสในพระอริยเจา ทง้ั หลาย แลว เทีย่ วไปจํานงหวังโอวาทานุสาสนี ในสํานกัพระอรยิ เจา ท้ังหลาย ก็ชือ่ วา บวชตามเหมอื นกัน . สวน การบวชแมข องบุคคลผบู วชในสาํ นกั บุคคลอ่นื เพราะความเลื่อมใสในบคุ คลอนื่ แลวเทย่ี วไปจํานงหวังโอวาทานุสาสน.ี ของบุคคลอืน่ เหมือนกัน ไมช ือ่ วา เปน การบวชตาม. ก็บรรดาบคุ คลทบี่ วชตามนัยดังกลาวแลว กอ นอนื่ ผบู วชตามพระมหา-กัสสปเถระ มจี าํ นวน ๑๐๐,๐๐๐ คน. ผูบวชตามพระจนั ทคุตตเถระผเู ปนสัทธวิ ิหาริกของพระเถระนัน่ แล กม็ ีจาํ นวนเทากัน. พระสรุ ิยคตุ ตเถระผูเ ปนสทั ธิวหิ ารกิ ของพระจนั ทคุตตเถระแมน น้ั พระอสั สคุตตเถระผเู ปนสทั ธิวหิ าริกของพระสุรยิ คตุ ตเถระแมน้ัน พระโยนกธัมมรกั ขติ เถระ ผูเปน สทั ธิวหิ าริกของพระอสั สคุตตเถระแมนัน้ ก็มผี ูบวชตามจํานวนเทา กนั .ฝา ยพระกนิษฐภาดาของพระเจาอโศก ผเู ปน สัทธิวิหาริกของพระโยนก-ธัมมรักขิตเถระนน้ั ไดม ชี ื่อวา ตสิ สเถระ บุคคลผบู วชตามพระตสิ สเถระนั้น ไดมจี าํ นวนนบั ได ๒๕๐ โกฏ.ิ สวน บุคคลผบู วชตามพระมหา-มหินทเถระ ผูย งั ชาวเกาะใหเ ล่ือมใส นบั จํานวนไมไ ด. ในเกาะลงั กา

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 663บคุ คลผูบ วชดวยความเล่ือมใสในพระศาสดา จนตราบเทาทกุ วนั นี้ ชือ่ วาบวชตามพระมหามหินทเถระทั้งนน้ั . บัดนี้ เพ่อื จะทรงแสดงถึงเหตทุ ่พี ระองคตรัสวา การเห็นพระอริยเจาเหลานัน้ เปน ตน มอี ุปการะมาก พระผูม ีพระภาคเจา จงึ ตรัสคําวา ตถารูเปเปน ตน. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ตถารูเป ไดแ ก พระอริยเจาเชนน้ันคอื ผสู มบรู ณด วยคณุ มศี ลี เปน ตน . เพราะเหตทุ ก่ี ารเห็น การฟง และการหม่นั ระลึกถงึ เปนเหตุ (ฐาน)ของการเขาไปหา และการเขา ไปนั่งใกล ฉะนนั้ เพ่ือจะทรงแสดงเฉพาะการเขา ไปหา และการเขา ไปนงั่ ใกล ไมพาดพงิ ถึงการเห็น การไดย ิน และการหมน่ั ระลึกถงึ พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วา เสวโต ภชโต ปยริ ปุ าสโตดังนี้. ก็เพราะไดเ หน็ ไดฟ ง และระลกึ ถึงเนอื ง ๆ กุลบุตรจงึ เกดิ ศรัทธาในพระอรยิ เจาทั้งหลาย แลวเขา ไปหา เขา ไปนั่งใกลพ ระอริยเจาเหลานนั้ ถามปญหา ไดส วนานุตริยะแลว กจ็ กั บําเพ็ญคุณมีศลี เปน ตน ทย่ี ังไมบ รบิ ูรณใหบรบิ ูรณด งั นแ้ี ล. สมจริงดงั คําทท่ี า นกลาวไววา กลุ บตุ รผูเ กิดศรัทธายอ มเขาไปหา เมื่อเขาไปหา ยอมนงั่ ใกลดงั น้เี ปน ตน . บรรดาบทเหลานัน้ บทวา เสวโต ไดแ ก เขาไปหาตามเวลาอันสมควรดว ยการทําวัตรและวตั รตอบ. บทวา ภชโต ไดแ กค บอยดู ว ยอํานาจความรักและภักด.ี บทวา ปยิรปุ าสโต ไดแก เขาไปน่งั ใกลด ว ยการถามปญ หาและทาํ ตามขอปฏบิ ตั .ิ นักศกึ ษาพึงทราบการจาํ แนกความหมายของบทท้ัง ๓ ดังวา มาน.้ี ความบริบรู ณแหง วมิ ุตติญาณทสั สนะ พงึ ทราบไดโ ดยการเกิดขน้ึ แหง ปจจเวกขณญาณท่ี ๑๙.

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 664 ในบทวา เอวรปู า จ เต ภิกขฺ เว ภิกขฺ ู เปน ตน พงึ ทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปน.้ี ภกิ ษุเหลา ใดเหน็ ปานนี้ คอื เปนเชน นี้ ไดแก ทาํ ลายกเิ ลสไดห มดสิ้น เพราะประกอบดวยคณุ ภาพทีก่ ลาวแลว ภิกษุเหลาน้ันเรียกวาศาสดา เพราะพรํา่ สอนโดยการประกอบสตั วทั้งหลายไวในประโยชนเกอื้ กูลมที ิฏฐธัมมิถตั ถประโยชนเ ปนตน บา ง เรยี กวา นายคาราวาน (ผนู าํ หมูพอ คา) เพราะชว ยสัตวท ั้งหลายใหขา มพน จากชาติกันดารเปนตน บา งเรียกวา ผูละกิเลสเครือ่ งยยี วน เพราะละกิเลสเคร่ืองยียวนมรี าคะเปน ตนไดด วยตนเอง และสอนคนอน่ื ใหล ะตามบา ง เรียกวา ผูบรรเทาความมดืเพราะบรรเทาความมดื คอื อวชิ ชาดว ยตนเอง และสอนผูอืน่ ใหบ รรเทาตามบาง เรยี กวา ผูทําแสงสวา งเปนตน เพราะทาํ ใหเกิดแสงสวางคือปญ ญาโอภาสดือปญญา และความโชติชวงคือปญ ญาในสนั ดานของตนและบคุ คลอื่นบาง อน่ึง เรยี กวา ผทู าํ รัศมบี า ง ผูทรงคบเพลงิ บาง เพราะทาํ ธรรมใหดาดาษดว ยรัศมี คือ ญาณ เรียกวา พระอรยิ ะ เพราะเปน ผหู างไกลจากกเิ ลสทง้ั หลาย ๑ เพราะไมดําเนินไปในทางท่ีไมค วรดําเนิน ๑ เพราะดําเนินไปในทางทค่ี วรดําเนนิ ๑ เพราะอนั ชาวโลกกบั ท้ังเทวโลกพงึ ดาํ เนนิ ตาม ๑เรยี กวา ผมู จี ักษุ เพราะไดปญญาจักษุและธรรมจักษอุ ยา งดยี ่งิ . พึงทราบวินิจฉยั ในคาถาทง้ั หลายดังตอไปน้ี บทวา ปาโมชฺชกรณฏ-าน ไดแก ทต่ี ้งั คอื เหตุใหบงั เกดิ ความบนั เทงิ ใจท่ปี ราศจากอามิส. ทา นกลา วถงึ นทิ สั สนะ (ตัวอยา ง) ท่ีจะพงึ กลา วในบัดนว้ี า เอต . บทวา วชิ านตไดแก รจู กั ความเศรา หมองและความผองแผว ตามความเปนจรงิ . บทวาภาวติ ตฺตาน ไดแ ก ผมู ีสภาวะ (จติ ) อันอบรมแลว อธบิ ายวา ผมู สี นั ดานอบรมแลวดวยการอบรมกายเปนตน. บทวา ธมฺมชวี ิน ความวา ชอ่ื วา

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 665ผมู ีปกติเปน อยูโดยธรรม เพราะละมิจฉาชีพแลวเลี้ยงชวี ติ โดยธรรม คือ ดวยญายธรรม เพราะนําอตั ภาพไปดวยธรรม คอื ดวยญายธรรมบา ง เพราะเปนอยดู วยผลธรรมอันเลิศ เนอ่ื งจากมากดวยสมาบตั บิ า ง. ในบทน้มี ีความยอดังนี้วา การเหน็ พระอรยิ เจา ทัง้ หลายผอู บรมตนแลว ผสู าํ เรจ็ สมาธิภาวนาและปญ ญาภาวนาแลว ผชู อ่ื วา เปน อยูโ ดยธรรม เพราะการอบรมตนและสําเรจ็ภาวนาน้ันนั่นเอง. ช่อื วา เปน เหตแุ หงปต แิ ละปราโมทยโดยสว นเดียวเทาน้นัสําหรบั บคุ คลผมู ปี ญ ญารแู จง เพราะเปนเหตแุ หงความบรบิ ูรณ แหงคุณทง้ั หลายมีศลี เปน ตน ซึ่งมีความไมเ ดือดรอ นเปน นิมิต. บดั น้ี เพือ่ แสดงความท่กี ารเหน็ พระอริยเจา ท้ังหลายน้นั เปน เหตนุ นั้พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั สองคาถาทา ยวา เต โชตยนตฺ ิ. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา เต ไดแก พระอริยเจา เหลา น้นั ผอู บรมตนแลว มปี กตอิ ยูโดยธรรม. บทวา โชตยนฺติ ไดแก ทําใหปรากฏ. บทวาภาสยนฺติ ไดแ ก ทําโลกใหส วา งดว ยแสงสวา งแหง พระสทั ธรรม. อธบิ ายวาแสดงธรรม. บทวา เยส ไดแก พระอรยิ เจา เหลาใด. บทวา สาสนไดแ ก โอวาท. บทวา สมมฺ ทฺ าย ไดแ ก รโู ดยชอบทเี ดียวดวยญาณอนั เปนสว นเบ้ืองตน. บทท่ีเหลือมนี ัยดังกลาวแลวแล. จบอรรถกถาสลี สูตรท่ี ๕

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 666 ๖. ตัณหาสตู ร วา ดวยท่ีเกดิ ตัณหามี ๔ อยา ง [๒๘๕] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ตัณหาเมือ่ เกิดขน้ึ แกภ กิ ษุ ยอ มเกิดขึน้ในท่เี กิดแหงตัณหา ๔ อยางน้ี ๔ อยา งเปน ไฉน ? ดกู อนภิกษุท้ังหลายตัณหาเมื่อเกิดขน้ึ แกภกิ ษุ ยอ มเกดิ ข้นึ เพราะเหตแุ หง จวี ร ๑ เพราะเหตแุ หงบิณฑบาต ๑เพราะเหตุแหงเสนาสนะ ๑ หรือเพราะเหตแุ หง สมบตั ิและวบิ ตั ิ ๑ ดว ยประการฉะนี้ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเม่อื เกิดข้ึนแกภกิ ษุ ยอมเกิดขึ้นในท่ีเปนท่ีเกดิ แหงตณั หา ๔ อยางนี้แล. บุรษุ ผูมตี ัณหาเปน เพอ่ื น ทอ ง- เที่ยวไปอยูสิน้ กาลนาน ยอมไมก าวลวง สงสารอันมคี วามเปน อยา งน้ี และความ เปน อยา งอ่ืนไปได ภกิ ษรุ ูโ ทษนี้แลว วา ตณั หาเปนเหตุใหเกิดทุกข เปน ผูมตี ัณหา ปราศจากไปแลว ไมถอื มน่ั มสี ติ พึง เวนรอบ. จบตัณหาสูตรที่ ๖ อรรถกถาตัณหาสตู ร ในอรรถกถาตณั หาสูตรท่ี ๖ มวี นิ ิจฉัยดงั ตอไปน้ี :- ในบทวา ตณหฺ ปุ ปฺ าทา น้ี มีอธิบายวา ที่ชอื่ วา อุปปาทะ เพราะหมายความวา เปน ท่เี กิดข้ึน. ถามวา อะไรเกดิ ขึ้น ? ตอบวา ตณั หา.ความเกดิ ขึน้ แหง ตณั หา ช่อื วา ตัณหุปปาทะ. อธบิ ายวา เปน ที่ตงั้ แหงตัณหา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 667คือ เปนเหตุแหง ตณั หา. บทวา ยตฺถ ไดแ ก ในอารมณเ หลาใดท่ีเปนนมิ ิต. บทวา อุปปฺ ชชฺ มานา ไดแก มปี กตเิ กิดข้ึน. ในบทวา จวี รเหตุน้ี มีอธบิ ายวา ตณั หายอ มเกดิ ข้นึ เพราะเหตุแหง จวี รวา เราจักไดจวี รทน่ี า ชอบใจ. แมในบทท่ีเหลอื ก็มนี ยั น้แี ล. อนึ่งศพั ทวา อิติ ในบทวาอิติ ภวาภวเหตุ นี้ เปน นิบาตใชใน ความหมายวา นิทสั สนะ เหมือนอยา งท่มี คี วามหมายวา แมเ พราะเหตุแหง จวี รเปน ตน . อนงึ่ ในบทวาภวาภว น้ี ทานประสงคเอาเนยใสและเนยขนเปน ตนทปี ระณีต ๆ เพราะหมายความวา เปนเหตุใหม คี วามไมมโี รค. บรรดาสมบัติและภพทง้ั หลาย สมบัติและภพทีป่ ระณีตและประณตี กวา ทานเรียกวา ภวาภวะดงั นบ้ี า ง. อีกอยางหน่ึงบทวา ภโว ไดแก สมบตั .ิ บทวา อภโว ไดแ ก วบิ ัต.ิ บทวา ภโวไดแ ก วุฑฒิ (ความเจรญิ ). บทวา อภโว ไดแ ก หานิ (ความเส่ือม).และตัณหา กม็ ภี วาภวะนั้นเปน นมิ ติ จงึ เกดิ ขึน้ เพราะเหตนุ ั้น พระผูม-ีพระภาคเจา จึงตรสั วา ภวาภวเหตุ วา ดังน้ี. คาถาทง้ั หลาย มีความหมายดังกลาวแลวในตอนตนน่นั แล. อนง่ึบทวา ตณฺหาทุติโย ไดแก มีตัณหาเปนสหาย. อธิบายวา สัตวน ้ี เมือ่ทองเทีย่ วอยูใ นสังสารวัฏ ซึ่งมีท่ีสดุ เบ้ืองตน อนั ใคร ๆ ตามรูไ มได กม็ ิไดทอ งเทยี่ วไปคนเดยี ว แตว าไดต ัณหาเปน ท่สี อง คอื เปน เพ่ือนทอ งเทยี่ วไป.จริงอยา งนั้น ตัณหาน้นั ไมใ หส ตั วไ ดค ิดถึงการตกไปในเหวนน้ั ใหเ ห็นแตเฉพาะอานสิ งสใ นภพท้งั หลาย แมอากลู ดวยโทษเปน อเนก เหมือนพรานตผี ึง้ฉะน้นั จึงใหส ตั วหมนุ อยใู นขายที่ไรป ระโยชน. บทวา เอตมาทีนว ตฺวาความวา รูโทษนน้ั คอื ท่ีหมายรวู าเปนอยา งน้ี และเปนอยางอ่ืนในขนั ธท้ังหลายทงั้ ทเี่ ปนอดตี อนาคต และปจจุบนั . บทวา ตณฺหา ทกุ ขฺ สสฺ


































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook