พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 652 บทวา อาสวาน ขย มีอธิบายดังตอ ไปน้ี การละ ความสน้ิ ไปอยา งเด็ดขาด ความไมเ กิดข้ึน อาการสิน้ ไป ความไมม ีแหง อาสวะทัง้ หลายเรียกวา ความสน้ิ อาสวะ (ดงั ) ในสพั พาสวสงั วรปริยายสตู ร ซงึ่ มาแลวอยา งนวี้ า ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย เราตถาคตกลาวความสน้ิ อาสวะสาํ หรบั บุคคลผูรูอยู เห็นอยู และ (ดัง) ในสตุ ตบทมีอาทวิ า เจโตวิมตุ ติ ที่ไมม ีอาสวะเพราะอาสวะท้ังหลายส้ินไปแลว. ผล เรียกวา ความสิ้นอาสวะ (ดงั ) ในประโยคเปน ตน วา บุคคล ช่อื วา เปน สมณะ เพราะอาสวะท้ังหลายสิน้ ไป. นพิ พานเรียกวา ความสิ้นอาสวะ (ดัง) ในประโยคเปนตน วา อาสวะทงั้ หลาย ยอมเจรญิ แกบุคคล นน้ั ผมู ีปกติตามเหน็ โทษของบคุ คลอื่น มปี กติยกโทษ (ผอู ่นื ) อยเู ปนนติ ย บุคคล นัน้ ชื่อวา อยหู า งไกลจากนพิ พาน.มรรค เรียกวา ความส้นิ อาสวะ (ดัง) ในอินทริยสตู รและในสูตรนี้ทีม่ าอยา งนว้ี า เมือ่ เสกบคุ คลศึกษาอยู ฯลฯ แตน้ัน อรหตั ผลยอมมี แกบ คุ คลผหู ลุดพน แลว ญาณยอมมแี กบ คุ คลผูคงที.่เพราะเหตนุ ้ัน จงึ มคี าํ อธบิ ายวา เราตถาคตกลาวถงึ การบรรลุอริยมรรค สาํ หรบับุคคลผูรอู ยู เหน็ อยู ตามนยั ที่กลา วไวแ ลว . บทวา โน อชานโต โน จ อปสสฺ โต ความวา กบ็ คุ คลใดไมร ู ไมเ ห็น เราตถาคตไมกลาวการบรรลุอรยิ มรรคไวส ําหรบั บุคคลน้นั . ผูรูเหลา ใดกลา วความหมดจดจากสงั สารวัฏไวส าํ หรบั บุคคลผไู มรู ไมเ ห็น พระ-ผูมพี ระภาคเจาทรงปฏิเสธผูรูเหลาน้ัน ดว ยบทนี้วา โน อชานโต โน จ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 653อปสฺสโต. อีกอยา งหน่ึง พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อบุ ายไวด ว ย ๒ บทแรกตรสั ปฏเิ สธสงิ่ ทม่ี ใิ ชอ บุ ายดวยบทวา โน อชานโต โน จ อปสฺสโต นี.้อนงึ่ เม่ือวาโดยยอ พระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงไวในสูตรน้วี า ญาณเปนเครือ่ งทําอาสวะใหสน้ิ ไป ที่เหลือเปนบรขิ ารของญาณนัน้ . บัดนี้ เพอ่ื จะทรงแสดงญาณที่บคุ คลรูอ ยู เหน็ อยูเปน เหตุใหสิ้นอาสวะพระผูมีพระภาคเจาจึงทรงเรมิ่ ปจุ ฉาวา กิจฺ ภิกฺขเว ชานโต (รูอะไรภกิ ษทุ ้งั หลาย ดังนี.้ ในคําวา กิ จฺ ภิกฺขเว ชานโต น้นั มอี ธบิ ายดงั ตอไปน.้ี ความรมู ีมากอยา ง. อธบิ ายวา ภกิ ษุบางรปู เปน ผูมีปญญา รจู กั ทํารม บางรูปรจู กั ทําจีวรเปน ตน อยางใดอยางหนง่ึ เม่อื ภิกษุน้นั ดํารงอยูในขอวัตรปฏิบัติทํางานเชน นี้ ความรูนัน้ ไมค วรกลาววา ไมเ ปน ปทัฏฐานของมรรคและผล. สว นภกิ ษใุ ดบวชในศาสนาแลว รูจักทาํ เวชกรรมเปนตน อาสวะทั้งหลายยอมเจรญิแกภกิ ษนุ ั้นน่นั เองผรู อู ยอู ยา งน้.ี เพราะเหตุน้ัน พระผมู ีพระภาคเจา เมอ่ืจะทรงแสดงเฉพาะเรอื่ งท่รี ู เร่ืองทเี่ ห็น ซึ่งเปน เหตใุ หอ าสวะทัง้ หลายส้ินไปจึงตรสั คาํ วา อิท ทกุ ขฺ เปน ตน. ในคํานั้น มีอธบิ ายดงั ตอ ไปนี้ สัจจกมั มัฏฐาน ๔ อนั ใดท่ีควรกลา วไวสจั จกมั มฏั ฐานนน้ั ไดก ลาวไวแลว โดยสังเขปแล ในโยนิโสมนสิการสูตรในตอนตน. อนงึ่ ในคาํ น้นั ทา นไดทาํ การขยายความไวโดยนยั เปนตนวา ภกิ ษุทําไวในใจโดยแยบคายวา นี้ทกุ ข เพราะ (มีหลกั ฐาน) มาแลว วา ดกู อนภิกษุ-ทง้ั หลาย ภิกษเุ มอื่ ทําไวใ นใจโดยแยบคาย ยอ มละอกศุ ล เจริญกุศลได.ในทีน่ ้ี พงึ ประกอบเขาตามนยั มอี าทิวา สาํ หรบั ภกิ ษุผรู อู ยู เห็นอยู โดยมรรคญาณดว ยอํานาจการแทงตลอดดวยปริญญา คือ ดว ยอาํ นาจการตรัสรดู วย
พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 654ปริญญาวา นีท้ ุกข เพราะ (มหี ลักฐาน) มาแลววา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลายเม่อื ภกิ ษรุ อู ยู เหน็ อยวู า นี้ทกุ ข อาสวะท้งั หลายยอมส้นิ ไป. อนง่ึ พึงทราบวาในอาสวะท้งั หลาย ทิฏฐาสวะสิ้นไป เพราะปฐมมรรค (โสดาปต ตมิ รรค)กามาสวะส้นิ ไป เพราะตตยิ มรรค (อนาคามิมรรค) ภวาสวะ และอวิชชาสวะสิ้นไปเพราะจตตุ ถมรรค. พึงทราบวินิจฉยั ในคาถาทั้งหลายดังตอ ไปน้ี บทวา วิมุตฺติ าณไดแ ก ปจจเวกขณญาณในวมิ ตุ ติ นิพพาน และผล. บทวา อตุ ฺตม ไดแกชอ่ื วา สงู สุด เพราะมธี รรมขนั้ สูงสดุ เปนอารมณ. บทวา ขเย าณ ไดแกญาณ (ความร)ู ในความสิน้ ไปแหงอาสวะและสงั โยชน คือ ในอรยิ มรรคอันทําอาสวะและสงั โยชนใ หสนิ้ ไป. ควรนํามาเช่ือมไว แมใ นท่ีนีว้ า ญาณวา สงั โยชนท ัง้ หลายสิน้ แลว. พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงการพิจารณากิเลสที่ละไดแลว ดวยบทวา ขีณา ส โยซนา อติ ิ าณ น้นั . ปจจเวกขณญาณทัง้ ๔ เปนอนั กลาวไวแลวในที่นีด้ งั พรรณนามาฉะนี.้แทจรงิ ในสตู รนี้ ไมม กี ารพิจารณาถงึ กเิ ลสท่ยี งั เหลืออยู เพราะพระผูมี-พระภาคเจาทรงมงุ ถงึ การบรรลุอรหตั ผล. อนึง่ ในบทวา ชานโต ปสฺสโตนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสกิจของสัมมาทฏิ ฐิวา สาํ คัญยิง่ ในการบรรลุนิพพาน ฉันใด เมือ่ จะทรงแสดงวา แมกจิ ของสมั มปั ปธาน ก็จําตอ งปรารถนาใหยง่ิ ฉนั น้ันเหมอื นกัน จงึ ตรัสคาถาสุดทายวา น เตวฺ วทิ กุสีเตน ดังนี้. บรรดาบทเหลานั้น บทวา น เตฺววิท ตดั บทเปน น ตุ เอว อิท .ตุ ศัพท เปนเพียงนิบาต. ม อกั ษรในบทวา พาเลนมวชิ านตา ทาํ การเชือ่ มบท. กใ็ นบทนี้ มคี วามยอ ดังนี้วา นพิ พานน้เี ปนเครอ่ื งเปลือ้ งคณั ฐะ(กเิ ลสเคร่อื งรอ ยรดั ) ทงั้ หมดมอี ภชิ ฌากายคณั ฐะเปน ตน คอื เปน นิมิต(เครือ่ งหมาย) แหง การเปล้อื งการพน ซง่ึ จะพึงบรรลุไดด ว ยเสกขมรรค และ
พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 655อเสกขมรรค อันบคุ คลผูไ มรูแ จงสจั จะ ๔ ตามความเปนจริงโดยนยั เปน ตนวานท้ี ุกข ผูชอ่ื วา เปนคนโง คอื ผูไมเขา ใจ เพราะไมรแู จง น้นั นน่ั แล ไมสามารถบรรลุได ฉนั ใด แมบคุ คลผูเ กยี จครา นไมม คี วามเพียร ก็ไมสามารถบรรลุไดฉ ันนนั้ เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตอ งปรารภความเพียรเพอื่ บรรลนุ ิพพานนัน้ . ดว ยเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวา ธรรมน้เี ปน ธรรมของบุคคลผูปรารภ ความเพยี ร ไมใชของบคุ คลผเู กยี จครา น ขอเธอทัง้ หลายจงปรารภ จงบากบ่นั จง ประกอบอยูไดคาํ สอนของพระพุทธเจา เถิด ขอเธอทงั้ หลาย จงทาํ ลายเสนามฤตยู ให เหมอื นชางทาํ ลายเรือนไมอ อ ฉะนัน้ เถดิ . จบอรรถกถาชานสตู รที่ ๓ ๔. สมณสตู ร วาดว ยสมณะหรอื พราหมณไ มร ูจ รงิ [๒๘๓] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลา หน่ึงยอมไมร ูชัดตามความเปนจรงิ วา น้ที กุ ข นท้ี กุ ขสมุทยั นี้ทุกขนิโรธ นีท้ ุกข-นโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา สมณะหรือพราหมณเ หลาน้ัน เราตถาคตหายกยองวา เปนสมณะในหมสู มณะหรอื วา เปนพราหมณในหมูพราหมณไม และทานเหลา นน้ัหาไดทาํ ใหแจงซง่ึ ผล คอื ความเปน สมณะ และผลคือความเปนพราหมณดว ยปญ ญาอันยิ่งเองในปจจุบันเขาถึงอยไู ม สว นสมณะหรือพราหมณเ หลาใด
พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 656เหลา หนึ่ง ยอ มรชู ัดตามความเปน จริงวา น้ที ุกข นี้ทุกขสมทุ ัย นี้ทุกขนิโรธนท้ี ุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา กส็ มณะหรอื พราหมณเ หลานั้นแล เราตถาคตยกยอ งวา เปนสมณะในหมูสมณะและยกยอ งวาเปนพราหมณในหมูพราหมณและทา นเหลาน้ันยอมกระทําใหแจงซ่งึ ผลตอ ความเปนสมณะ และผลคือความเปนพราหมณด ว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ในปจ จุบันเขาถงึ อย.ู สมณพราหมณเ หลาใด ไมรชู ัดซึ่ง ทุกข เหตุเกิดแหง ทุกข ธรรมชาติเปน ที่ ดับทกุ ข ไมมีสว นเหลือโดยประการทงั้ ปวง และไมร ูช ดั ซง่ึ มรรคอันใหถงึ ความสงบ แหงทุกข สมณพราหมณเหลานั้น เสื่อม แลว จากเจโตวิมุตตแิ ละจากปญ ญาวมิ ุตติ เปน ผไู มค วรเพอ่ื ทําท่ีสดุ แหงทุกขไ ด สมณพราหมณเ หลา นัน้ แล เปน ผูเขา ถึง ชาติและชรา สว นสมณพราหมณเ หลาใด รชู ัดซง่ึ ทกุ ข เหตุเกิดแหง ทกุ ข ธรรมซาติ เปนท่ดี ับแหงทกุ ข ไมมีสวนเหลือโดย ประการท้ังปวง และรซู ัดซงึ่ มรรคอันใหถ ึง ความสงบแหงทุกข สมณพราหมณเหลา น้นั ถึงพรอ มดว ยเจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญญา- วมิ ตุ ติ เปนผคู วรเพ่ือทาํ ทสี่ ุดแหงทกุ ขไ ด สมณพราหมณเ หลา นั้นเปน ผไู มเขาถงึ ชาติ และชรา. จบสมณสูตรที่ ๔
พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 657 อรรถกถาสมณสตู ร ในสมณสูตรท่ี ๔ พึงทราบวินจิ ฉยั ดงั ตอไปนี้ :- บทวา เย หิ เกจิ ไดแ ก บุคคลเหลาใดเหลา หนึ่ง. บทวา อิททุกขฺ นฺติ ยถาภูต นปปฺ ชานนตฺ ิ ความวา ไมร ูค อื ไมแทงตลอดทุกขสจัอนั ไมวิปริต ดวยมรรคปญญาทป่ี ระกอบดวยวปิ ส สนาปญ ญา โดยสภาวะและลักษณะแหงกิจที่แทจ รงิ วา นี้ทกุ ข ทกุ ขม เี พียงเทา น้ี ไมมีทุกขย่งิ ไปกวานี้.แมในบทที่เหลอื ก็มีนยั นี้แล. ในบทวา น เม เต ภิกขฺ เว เปนตนมีความยอดังนีว้ า ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บคุ คลทั้งหลายผูมิไดประกอบกมั มัฏฐานมสี จั จะ ๔ เปน อารมณ จะเปน สมณะไดก็เพยี งโดยการบรรพชาและจะเปนพราหมณไดก ็เพยี งโดยชาติ บุคคลเหลานน้ั เราตถาคตมิไดย อมรบัคอื รบั รองวา เปนสมณะในหมสู มณะผมู ีบาปอนั สงบแลว และวาเปนพราหมณในหมพู ราหมณผูลอยบาปแลว เพราะเหตุไร ? เพราะบุคคลเหลา นน้ั ไมมีธรรมท่ีทําใหเ ปนสมณะ และทาํ ใหเปน พราหมณ. ดวยเหตุนั้นแล พระผมู -ีพระภาคเจา จึงตรสั ค าวา น จ ปเนเต อายสฺมนโฺ ต เปน ตน. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา สามฺตฺถ ไดแก ผล กลา วคอื คุณเคร่ืองเปนสมณะ อธิบายวา ไดแก สามญั ผล ๔. บทวา พรฺ หฺมฺตฺถเปน ไวพจนของบทวา สามฺ ตถ นั้นนั่นแล. ฝา ยอาจารยอีกพวกหนึ่งกลา ววา บทวา สามฺตฺถ ไดแ กอ รยิ มรรค ๔ บทวา พรฺ หมฺ ฺ ตฺถไดแ ก อริยผล ๔. บทที่เหลือมนี ัยดังกลาวแลวน่ันแล. ในสุกกปกษ (ธรรมฝา ยขาว) พงึ ทราบความหมาย โดยบรรยายตรงขา มจากทกี่ ลา วมาแลว. ในคาถาทง้ั หลาย คาํ ท่ไี มเคยมี ไมม .ี จบอรรถกถาสมณสตู รที่ ๔
พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 658 ๕. สีลสตู ร วาดวยภกิ ษุผูถงึ พรอ มดว ยศลี เปน ตน [๒๘๔] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษเุ หลา ใดถึงพรอ มแลว ดว ยศลีสมาธิ ปญญา วมิ ุตติ วมิ ุตตญิ าณทสั สนะเปนผูกลา วสอน ใหร แู จง ใหเหน็ แจง ใหสมาทาน ใหอ าจหาญ ใหร า เริง เปน ผสู ามารถบอกพระสัทธรรมไดอยา งดี ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกลาวการเห็นภิกษุเหลานัน้ ก็ดีการฟงภกิ ษุเหลาน้นั ก็ดี การเขาไปใกลภ ิกษเุ หลา นนั้ ก็ดี การไปนั่งใกลภ กิ ษุเหลานนั้ กด็ ี การระลึกถงึ ภิกษุเหลานน้ั กด็ ี การบวชตามภกิ ษเุ หลานั้นกด็ ี วามอี ุปการะมาก ขอนัน้ เพราะเหตุไร เพราะเมื่อภกิ ษซุ อ งเสพคบหา เขาไปนงั่ ใกลภกิ ษุเหน็ ปานน้นั ศลี ขนั ธ สมาธิขันธ ปญญาขันธ วมิ ุตตขิ ันธวมิ ุตติญาณทัสนขนั ธ แมท่ยี งั ไมบริบูรณ กถ็ ึงความบริบรู ณด ว ยภาวนา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็ภกิ ษผุ เู ห็นปานนนี้ ั้น เราตถาคตกลา ววา เปนศาสดาบา งนําพวกไปบาง ละขา ศึก คือกิเลสบา ง กระทาํ แสงสวา งบา ง กระทาํ โอกาสบา งกระทําความรงุ เรืองบาง กระทํารศั มบี า ง ทรงคบเพลงิ ไวบาง เปนอริยะบา งมีจกั ษุบา ง ดังน้ี. การไดเหน็ พระอริยเจา ท้งั หลายผูม ีตน อันอบรมแลว ผูม ีปกตเิ ปนอยโู ดยธรรม ยอ มเปน เหตแุ หง การกระทาํ ซ่ึงความ ปราโมทยแ กบ ณั ฑติ ทัง้ หลายผูร แู จง บัณ- ฑิตทง้ั หลาย ฟง คาํ สอนของพระอรยิ เจา ทง้ั หลายผูกระทํารศั มี ผูก ระทาํ แสงสวาง
พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 659 เปน นกั ปราชญ ผมู ีจกั ษุ ผูละขา ศกึ คอื กิเลส ประกาศพระสัทธรรมยังสัตวโลก ใหสวา ง แลวรโู ดยชอบซ่งึ ความสนิ้ ไป แตงชาติดวยปญ ญาอันยิ่ง ยอมไมม าสู ภพใหม. จบสีลสูตรท่ี ๕ อรรถกถาสลี สตู ร ในสีลสตู รที่ ๕ พงึ ทราบวินิจฉัยดงั ตอ ไปนี้ :- ในบทวา สีลสมฺปนฺนา นีม้ ีอธิบายวา โลกิยศีลและโลกตุ รศลี ของพระขณี าสพทั้งหลาย ช่ือวา ศีล. ภกิ ษุท้งั หลายช่ือวา สมบูรณด วยศลี เพราะหมายความวา สมบูรณคอื ประกอบดว ยศลี น้นั ๆ. แมใ นสมาธิและปญญามีนัย นแี้ ล. สวนวมิ ตุ ติ ไดแกผลวิมตุ ตนิ น่ั แล. วมิ ตุ ติญาณทัสสนะ ไดแ กปจ จเวกขณญาณ. ในอธกิ ารน้ี ธรรม ๓ มีศีล เปนตน เปนทงั้ โลกยิ ะและโลกตุ ระ. วิมตุ ตเิ ปนโลกุตระอยางเดียว วมิ ตุ ติญาณทัสสนะ เปน โลกยิ ะอยา งเดียว. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ช่ือวา ผกู ลา วสอน เพราะหมายความวา กลาวสอน คอืพร่ําสอนบุคคลเหลาอ่นื ดวยทฏิ ฐธัมมิกตั ถประโยชน สัมปรายกิ กตั ถประโยชนและปรมตั ถประโยชนตามควร. บทวา วิ ฺ าปกา ไดแ กชวยบคุ คลเหลา อน่ืใหเ ขา ใจกรรมและผลของกรรม. อนงึ่ ในบทวา วิ ฺ าปกา นนั้ มอี ธบิ ายวาชว ยบุคคลเหลา อ่นื ใหเ ขา ใจ คือใหร ซู ง่ึ ธรรมทั้งหลาย ดวยนยั ๓ อยาง ตาม
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 660ลักษณะของตน คือ ตามสามญั ลักษณะ โดยการจาํ แนกเปน กุศลเปน ตนโดยการจาํ แนกเปนขนั ธเ ปนตน โดยนัยเปน ตน วา ธรรมเหลาน้เี ปน กุศลธรรมเหลาน้เี ปนอกุศล ธรรมเหลา นีม้ ีโทษ ธรรมเหลา น้ีไมม โี ทษ. บทวาสนทฺ สฺสกา ไดแก แสดงธรรมเหลา นั้นแล ใหบคุ คลอน่ื เหน็ ไดชดั เหมอื นจบั ธรรมเหลาน้ันดวยมือ. บทวา สมาทปกา ไดแ ก ทําใหบ คุ คลเหลา อน่ืสมาทานศลี เปน ตน ทย่ี งั มิไดสมาทาน คือ ทาํ บุคคลเหลาอื่นนน้ั ใหด าํ รงอยูในศีลเปนตนนัน้ . บทวา สมุตฺเตชกา ความวา ทาํ จิตของบุคคลท้ังหลายผูดํารงอยูในกุศลธรรมอยางนี้ใหอ าจหาญดว ยดี ดวยการแนะนําในการบําเพญ็อธจิ ติ ขนั้ สงู ขนึ้ ไป คือทําจิตของเขาใหผอ งใสดวยการพิจารณา โดยประการท่ีเขาจะบรรลุคุณวเิ ศษได. บทวา สมปฺ ห สกา ความวา ทําจิตของบคุ คลเหลา อน่ื นัน้ ใหรา เรงิ ดวยดี ดว ยคณุ วเิ ศษตามทไี่ ดแลว และทีจ่ ะพงึ ไดในขน้ั สงูคอื ทําจิตของเขาใหย ินดดี ว ยดี ดว ยอาํ นาจความพอใจท่ไี ดแลว . บทวา อลสมกฺขาตาโร ไดแ ก เปน ผูสมควร คอื บอกธรรมไดโดยชอบทีเดียว ไดแ กดว ยประสงคจ ะอนุเคราะห ไมท ําธรรมทต่ี นไดเ ลา เรยี นมา คือตามทก่ี ลา วแลวใหเ สอ่ื มสูญไป. อกี ประการหนงึ่ . บทวา สนทฺ สสฺ กา ความวา ภกิ ษุเมอ่ื แสดงธรรมก็แสดงดว ยดที ีเดยี ว ทงั้ ปวัตติ (ความเปน ไป) และนวิ ตั ติ (ความหมุนกลบั )ตามสภาวลกั ษณกจิ ท่ีแทจรงิ . บทวา สมาทปกา ความวา ยังผูฟ ง ใหยึดถอืเน้ือความน้นั นนั่ แล โดยใหเนอ้ื ความน้นั ตงั้ ม่ันอยใู นจติ . บทวา สมตุ เฺ ตชกาความวา ยงั ผูฟ งใหผ องใสหรือรงุ เร่ืองดว ยดีทีเดยี ว ดวยการใหเ กิดอุตสาหะในการรบั เอาเนอ้ื ความนัน้ . บทวา สมฺปห สกา ความวา ยงั ผฟู งใหร าเริงคือใหยินดีดวยดีทเี ดียวซึ่งเน้ือความนั้น ดวยการแสดงอานสิ งสใ นการปฏบิ ัติ.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 661บทวา อล สมกขฺ าตาโร ความวา เปน ผูส ามารถทจี่ ะบอกได ตามนัยท่ีกลา วแลว คือ เปนผูแ สดงสัทธรรม ไดแก ปฏเิ วธสทั ธรรม หรือสัทธรรมท้งั ๓ อยาง. บทวา ทสฺสนมปฺ ห ตัดบทเปน ทสสฺ น ป อห . กก็ ารเหน็ น้ีนั้นมี ๒ อยา งคอื การเหน็ ดวยจกั ษุ ๑ การเหน็ ดว ยญาณ ๑. บรรดาการเห็นท้ัง ๒ อยางน้ัน การมองดพู ระอริยเจาทั้งหลายดวยดวงตา (แสดงความ)เลอ่ื มใส ช่ือวา การเห็นดวยจักษุ. สวนการบรรลธุ รรมทั้งหลายท่ีทาํ ใหเปนพระอริยะ และความเปน พระอริยะดว ยวิปส สนา มรรคและผล ชอ่ื วา การเห็นดวยญาณ. แตในความหมายนี้ ทา นประสงคเ อาการเห็นดว ยจกั ษ.ุ เพราะวาแมก ารมองดพู ระอรยิ เจาทงั้ หลาย ดวยดวงตา (แสดงความ) เลื่อมใส กม็ ีอุปการะมากทีเดยี วแกสตั วท ้งั หลาย. บทวา สวน ไดแก การไดย นิ ดว ยหู เม่อืคนทั้งหลายพูดกันวา พระขณี าสพ. ชอื่ โนน อยูในรฐั หรือชนบท ในคามหรือนคิ ม ในวหิ ารหรอื ในถํา้ ชื่อโนน น้ี กม็ อี ปุ การะมากเหมือนกนั . บทวาอุปสงฺกมน ความวา การเขาไปหาพระอริยเจาท้ังหลาย ดวยความคดิ เหน็แบบนว้ี า เราจกั ถวายทาน จกั ถามปญหา จักฟง ธรรม หรอื จักทําสกั การะ.บทวา ปยริ ปุ าสน ไดแก การเขาไปนง่ั ใกล เพอ่ื ถามปญ หา อธบิ ายวาการไดสดับ คณุ ความดขี องพระอริยเจา ท้ังหลาย เขา ไปหาพระอรยิ เจา เหลานน้ันมิ นตแลวถวายทาน หรือทาํ วตั ร แลวถามปญหาโดยนยั เปน ตน วา ขา แตทา นผเู จรญิ อะไร คือ กศุ ล ? การทาํ การรบั ใชเปน ตน จัดเปน การเขา ไปนง่ั ใกลเ หมอื นกนั . บทวา อนุสสฺ ตึ ไดแก การท่บี คุ คลผูน ่งั ในท่ีพกั กลางคนื และท่ีพกั กลางวัน ระลึกถึงเนือง ๆ ซง่ึ คุณวเิ ศษมที ิพวหิ ารธรรมเปนตนของพระอรยิ เจา เหลา น้ัน เปน อารมณวา บัดนี้ พระอริยเจาทั้งหลาย กาํ ลงั ยับยั้งอยูในสถานทท่ี งั้ หลายมีพมุ ไม ถา้ํ และมณฑปเปน ตน ดว ยความสุขอันเกิดจากฌาน วิปส สนามรรคและผล.
พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 662 อกี อยางหนงึ่ ไดแ กนอ มนึกถงึ โอวาททไ่ี ดจ ากสาํ นักของพระอรยิ เจาเหลานนั้ แลว ระลกึ ถึงเนอื ง ๆ อยางนวี้ า พระผมู ีพระภาคเจาตรัสศลี ไวในท่ีน้ี ตรสั สมาธิไวในทีน่ ี้ ตรัสวปิ ส สนาไวในทีน่ ี้ ตรัสมรรคไวในท่ีนี้ ตรัสผลไวในทน่ี .้ี บทวา อนุปพพฺ ชฺช ไดแก การทาํ จิตใหเลอ่ื มใสในพระอริยเจาทง้ั หลายแลว ออกจากเรือนบวชในสาํ นักพระอรยิ เจาเหลา นนั้ . อธิบายวา การทําจิตใหเล่อื มใสในพระอริยเจาทั้งหลาย แลว บวชในสาํ นกั พระอรยิ เจาเหลา น้ันนน่ั แลเท่ยี วไปจาํ นงหวังอยูซ่งึ โอวาทานุสาสนีของพระอริยเจาเหลา น้ัน ช่ือวา การบวชตาม. การบวชแมของบุคคลผูเ ท่ียวไปหวังโอวาทานสุ าสนี ในสาํ นักบุคคลเหลาอนื่ ก็ชอื่ วา บวชตาม. การบวชแมของบคุ คลผูบ วชในสาํ นักอน่ื เพราะความเล่ือมใสในพระอริยเจา ทง้ั หลาย แลว เทีย่ วไปจํานงหวังโอวาทานุสาสนี ในสํานกัพระอรยิ เจา ท้ังหลาย ก็ชือ่ วา บวชตามเหมอื นกัน . สวน การบวชแมข องบุคคลผบู วชในสาํ นกั บุคคลอ่นื เพราะความเลื่อมใสในบคุ คลอนื่ แลวเทย่ี วไปจํานงหวังโอวาทานุสาสน.ี ของบุคคลอืน่ เหมือนกัน ไมช ือ่ วา เปน การบวชตาม. ก็บรรดาบคุ คลทบี่ วชตามนัยดังกลาวแลว กอ นอนื่ ผบู วชตามพระมหา-กัสสปเถระ มจี าํ นวน ๑๐๐,๐๐๐ คน. ผูบวชตามพระจนั ทคุตตเถระผเู ปนสัทธวิ ิหาริกของพระเถระนัน่ แล กม็ ีจาํ นวนเทากัน. พระสรุ ิยคตุ ตเถระผูเ ปนสทั ธิวหิ ารกิ ของพระจนั ทคุตตเถระแมน น้ั พระอสั สคุตตเถระผเู ปนสทั ธิวหิ าริกของพระสุรยิ คตุ ตเถระแมน้ัน พระโยนกธัมมรกั ขติ เถระ ผูเปน สทั ธิวหิ าริกของพระอสั สคุตตเถระแมนัน้ ก็มผี ูบวชตามจํานวนเทา กนั .ฝา ยพระกนิษฐภาดาของพระเจาอโศก ผเู ปน สัทธิวิหาริกของพระโยนก-ธัมมรักขิตเถระนน้ั ไดม ชี ื่อวา ตสิ สเถระ บุคคลผบู วชตามพระตสิ สเถระนั้น ไดมจี าํ นวนนบั ได ๒๕๐ โกฏ.ิ สวน บุคคลผบู วชตามพระมหา-มหินทเถระ ผูย งั ชาวเกาะใหเ ล่ือมใส นบั จํานวนไมไ ด. ในเกาะลงั กา
พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 663บคุ คลผูบ วชดวยความเล่ือมใสในพระศาสดา จนตราบเทาทกุ วนั นี้ ชือ่ วาบวชตามพระมหามหินทเถระทั้งนน้ั . บัดนี้ เพ่อื จะทรงแสดงถึงเหตทุ ่พี ระองคตรัสวา การเห็นพระอริยเจาเหลานัน้ เปน ตน มอี ุปการะมาก พระผูม ีพระภาคเจา จงึ ตรัสคําวา ตถารูเปเปน ตน. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ตถารูเป ไดแ ก พระอริยเจาเชนน้ันคอื ผสู มบรู ณด วยคณุ มศี ลี เปน ตน . เพราะเหตทุ ก่ี ารเห็น การฟง และการหม่นั ระลึกถงึ เปนเหตุ (ฐาน)ของการเขาไปหา และการเขา ไปนั่งใกล ฉะนนั้ เพ่ือจะทรงแสดงเฉพาะการเขา ไปหา และการเขา ไปนงั่ ใกล ไมพาดพงิ ถึงการเห็น การไดย ิน และการหมน่ั ระลึกถงึ พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วา เสวโต ภชโต ปยริ ปุ าสโตดังนี้. ก็เพราะไดเ หน็ ไดฟ ง และระลกึ ถึงเนอื ง ๆ กุลบุตรจงึ เกดิ ศรัทธาในพระอรยิ เจาทั้งหลาย แลวเขา ไปหา เขา ไปนั่งใกลพ ระอริยเจาเหลานนั้ ถามปญหา ไดส วนานุตริยะแลว กจ็ กั บําเพ็ญคุณมีศลี เปน ตน ทย่ี ังไมบ รบิ ูรณใหบรบิ ูรณด งั นแ้ี ล. สมจริงดงั คําทท่ี า นกลาวไววา กลุ บตุ รผูเ กิดศรัทธายอ มเขาไปหา เมื่อเขาไปหา ยอมนงั่ ใกลดงั น้เี ปน ตน . บรรดาบทเหลานัน้ บทวา เสวโต ไดแ ก เขาไปหาตามเวลาอันสมควรดว ยการทําวัตรและวตั รตอบ. บทวา ภชโต ไดแ กค บอยดู ว ยอํานาจความรักและภักด.ี บทวา ปยิรปุ าสโต ไดแก เขาไปน่งั ใกลด ว ยการถามปญ หาและทาํ ตามขอปฏบิ ตั .ิ นักศกึ ษาพึงทราบการจาํ แนกความหมายของบทท้ัง ๓ ดังวา มาน.้ี ความบริบรู ณแหง วมิ ุตติญาณทสั สนะ พงึ ทราบไดโ ดยการเกิดขน้ึ แหง ปจจเวกขณญาณท่ี ๑๙.
พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 664 ในบทวา เอวรปู า จ เต ภิกขฺ เว ภิกขฺ ู เปน ตน พงึ ทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปน.้ี ภกิ ษุเหลา ใดเหน็ ปานนี้ คอื เปนเชน นี้ ไดแก ทาํ ลายกเิ ลสไดห มดสิ้น เพราะประกอบดวยคณุ ภาพทีก่ ลาวแลว ภิกษุเหลาน้ันเรียกวาศาสดา เพราะพรํา่ สอนโดยการประกอบสตั วทั้งหลายไวในประโยชนเกอื้ กูลมที ิฏฐธัมมิถตั ถประโยชนเ ปนตน บา ง เรยี กวา นายคาราวาน (ผนู าํ หมูพอ คา) เพราะชว ยสัตวท ั้งหลายใหขา มพน จากชาติกันดารเปนตน บา งเรียกวา ผูละกิเลสเครือ่ งยยี วน เพราะละกิเลสเคร่ืองยียวนมรี าคะเปน ตนไดด วยตนเอง และสอนคนอน่ื ใหล ะตามบา ง เรียกวา ผูบรรเทาความมดืเพราะบรรเทาความมดื คอื อวชิ ชาดว ยตนเอง และสอนผูอืน่ ใหบ รรเทาตามบาง เรยี กวา ผูทําแสงสวา งเปนตน เพราะทาํ ใหเกิดแสงสวางคือปญ ญาโอภาสดือปญญา และความโชติชวงคือปญ ญาในสนั ดานของตนและบคุ คลอื่นบาง อน่ึง เรยี กวา ผทู าํ รัศมบี า ง ผูทรงคบเพลงิ บาง เพราะทาํ ธรรมใหดาดาษดว ยรัศมี คือ ญาณ เรียกวา พระอรยิ ะ เพราะเปน ผหู างไกลจากกเิ ลสทง้ั หลาย ๑ เพราะไมดําเนินไปในทางท่ีไมค วรดําเนิน ๑ เพราะดําเนินไปในทางทค่ี วรดําเนนิ ๑ เพราะอนั ชาวโลกกบั ท้ังเทวโลกพงึ ดาํ เนนิ ตาม ๑เรยี กวา ผมู จี ักษุ เพราะไดปญญาจักษุและธรรมจักษอุ ยา งดยี ่งิ . พึงทราบวินิจฉยั ในคาถาทง้ั หลายดังตอไปน้ี บทวา ปาโมชฺชกรณฏ-าน ไดแก ทต่ี ้งั คอื เหตุใหบงั เกดิ ความบนั เทงิ ใจท่ปี ราศจากอามิส. ทา นกลา วถงึ นทิ สั สนะ (ตัวอยา ง) ท่ีจะพงึ กลา วในบัดนว้ี า เอต . บทวา วชิ านตไดแก รจู กั ความเศรา หมองและความผองแผว ตามความเปนจรงิ . บทวาภาวติ ตฺตาน ไดแ ก ผมู ีสภาวะ (จติ ) อันอบรมแลว อธบิ ายวา ผมู สี นั ดานอบรมแลวดวยการอบรมกายเปนตน. บทวา ธมฺมชวี ิน ความวา ชอ่ื วา
พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 665ผมู ีปกติเปน อยูโดยธรรม เพราะละมิจฉาชีพแลวเลี้ยงชวี ติ โดยธรรม คือ ดวยญายธรรม เพราะนําอตั ภาพไปดวยธรรม คอื ดวยญายธรรมบา ง เพราะเปนอยดู วยผลธรรมอันเลิศ เนอ่ื งจากมากดวยสมาบตั บิ า ง. ในบทน้มี ีความยอดังนี้วา การเหน็ พระอรยิ เจา ทัง้ หลายผอู บรมตนแลว ผสู าํ เรจ็ สมาธิภาวนาและปญ ญาภาวนาแลว ผชู อ่ื วา เปน อยูโ ดยธรรม เพราะการอบรมตนและสําเรจ็ภาวนาน้ันนั่นเอง. ช่อื วา เปน เหตแุ หงปต แิ ละปราโมทยโดยสว นเดียวเทาน้นัสําหรบั บคุ คลผมู ปี ญ ญารแู จง เพราะเปนเหตแุ หงความบรบิ ูรณ แหงคุณทง้ั หลายมีศลี เปน ตน ซึ่งมีความไมเ ดือดรอ นเปน นิมิต. บดั น้ี เพือ่ แสดงความท่กี ารเหน็ พระอริยเจา ท้ังหลายน้นั เปน เหตนุ นั้พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั สองคาถาทา ยวา เต โชตยนตฺ ิ. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา เต ไดแก พระอริยเจา เหลา น้นั ผอู บรมตนแลว มปี กตอิ ยูโดยธรรม. บทวา โชตยนฺติ ไดแก ทําใหปรากฏ. บทวาภาสยนฺติ ไดแ ก ทําโลกใหส วา งดว ยแสงสวา งแหง พระสทั ธรรม. อธบิ ายวาแสดงธรรม. บทวา เยส ไดแก พระอรยิ เจา เหลาใด. บทวา สาสนไดแ ก โอวาท. บทวา สมมฺ ทฺ าย ไดแ ก รโู ดยชอบทเี ดียวดวยญาณอนั เปนสว นเบ้ืองตน. บทท่ีเหลือมนี ัยดังกลาวแลวแล. จบอรรถกถาสลี สูตรท่ี ๕
พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 666 ๖. ตัณหาสตู ร วา ดวยท่ีเกดิ ตัณหามี ๔ อยา ง [๒๘๕] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ตัณหาเมือ่ เกิดขน้ึ แกภ กิ ษุ ยอ มเกิดขึน้ในท่เี กิดแหงตัณหา ๔ อยางน้ี ๔ อยา งเปน ไฉน ? ดกู อนภิกษุท้ังหลายตัณหาเมื่อเกิดขน้ึ แกภกิ ษุ ยอ มเกดิ ข้นึ เพราะเหตแุ หง จวี ร ๑ เพราะเหตแุ หงบิณฑบาต ๑เพราะเหตุแหงเสนาสนะ ๑ หรือเพราะเหตแุ หง สมบตั ิและวบิ ตั ิ ๑ ดว ยประการฉะนี้ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเม่อื เกิดข้ึนแกภกิ ษุ ยอมเกิดขึ้นในท่ีเปนท่ีเกดิ แหงตณั หา ๔ อยางนี้แล. บุรษุ ผูมตี ัณหาเปน เพอ่ื น ทอ ง- เที่ยวไปอยูสิน้ กาลนาน ยอมไมก าวลวง สงสารอันมคี วามเปน อยา งน้ี และความ เปน อยา งอ่ืนไปได ภกิ ษรุ ูโ ทษนี้แลว วา ตณั หาเปนเหตุใหเกิดทุกข เปน ผูมตี ัณหา ปราศจากไปแลว ไมถอื มน่ั มสี ติ พึง เวนรอบ. จบตัณหาสูตรที่ ๖ อรรถกถาตัณหาสตู ร ในอรรถกถาตณั หาสูตรท่ี ๖ มวี นิ ิจฉัยดงั ตอไปน้ี :- ในบทวา ตณหฺ ปุ ปฺ าทา น้ี มีอธิบายวา ที่ชอื่ วา อุปปาทะ เพราะหมายความวา เปน ท่เี กิดข้ึน. ถามวา อะไรเกดิ ขึ้น ? ตอบวา ตณั หา.ความเกดิ ขึน้ แหง ตณั หา ช่อื วา ตัณหุปปาทะ. อธบิ ายวา เปน ที่ตงั้ แหงตัณหา
พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 667คือ เปนเหตุแหง ตณั หา. บทวา ยตฺถ ไดแ ก ในอารมณเ หลาใดท่ีเปนนมิ ิต. บทวา อุปปฺ ชชฺ มานา ไดแก มปี กตเิ กิดข้ึน. ในบทวา จวี รเหตุน้ี มีอธบิ ายวา ตณั หายอ มเกดิ ข้นึ เพราะเหตุแหง จวี รวา เราจักไดจวี รทน่ี า ชอบใจ. แมในบทท่ีเหลอื ก็มนี ยั น้แี ล. อนึ่งศพั ทวา อิติ ในบทวาอิติ ภวาภวเหตุ นี้ เปน นิบาตใชใน ความหมายวา นิทสั สนะ เหมือนอยา งท่มี คี วามหมายวา แมเ พราะเหตุแหง จวี รเปน ตน . อนงึ่ ในบทวาภวาภว น้ี ทานประสงคเอาเนยใสและเนยขนเปน ตนทปี ระณีต ๆ เพราะหมายความวา เปนเหตุใหม คี วามไมมโี รค. บรรดาสมบัติและภพทง้ั หลาย สมบัติและภพทีป่ ระณีตและประณตี กวา ทานเรียกวา ภวาภวะดงั นบ้ี า ง. อีกอยางหน่ึงบทวา ภโว ไดแก สมบตั .ิ บทวา อภโว ไดแ ก วบิ ัต.ิ บทวา ภโวไดแ ก วุฑฒิ (ความเจรญิ ). บทวา อภโว ไดแ ก หานิ (ความเส่ือม).และตัณหา กม็ ภี วาภวะนั้นเปน นมิ ติ จงึ เกดิ ขึน้ เพราะเหตนุ ั้น พระผูม-ีพระภาคเจา จึงตรสั วา ภวาภวเหตุ วา ดังน้ี. คาถาทง้ั หลาย มีความหมายดังกลาวแลวในตอนตนน่นั แล. อนง่ึบทวา ตณฺหาทุติโย ไดแก มีตัณหาเปนสหาย. อธิบายวา สัตวน ้ี เมือ่ทองเทีย่ วอยูใ นสังสารวัฏ ซึ่งมีท่ีสดุ เบ้ืองตน อนั ใคร ๆ ตามรูไ มได กม็ ิไดทอ งเทยี่ วไปคนเดยี ว แตว าไดต ัณหาเปน ท่สี อง คอื เปน เพ่ือนทอ งเทยี่ วไป.จริงอยา งนั้น ตัณหาน้นั ไมใ หส ตั วไ ดค ิดถึงการตกไปในเหวนน้ั ใหเ ห็นแตเฉพาะอานสิ งสใ นภพท้งั หลาย แมอากลู ดวยโทษเปน อเนก เหมือนพรานตผี ึง้ฉะน้นั จึงใหส ตั วหมนุ อยใู นขายที่ไรป ระโยชน. บทวา เอตมาทีนว ตฺวาความวา รูโทษนน้ั คอื ท่ีหมายรวู าเปนอยา งน้ี และเปนอยางอ่ืนในขนั ธท้ังหลายทงั้ ทเี่ ปนอดตี อนาคต และปจจุบนั . บทวา ตณฺหา ทกุ ขฺ สสฺ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 742
Pages: