Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_45

tripitaka_45

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_45

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 373ทรงแสดงพรหมจรยิ เอสนาไวแลว โดยอาการแหง การเปนไป และโดยความสําเรจ็ . บทวา สพพฺ ราควริ ตสสฺ ความวา พระอรหันตผ คู ลายความกําหนัดจากกามราคะ และภวราคะทง้ั หลาย ทั้งปวง ดงั แตน้ันไป กช็ ่ือวา ผูหลุดพนเพราะธรรมเปนทส่ี ้ินไปแหง ตัณหา เพราะพน ในเพราะพระนิพพาน กลา วคือธรรมเปนท่สี ิ้นไปแหง ตณั หา. บทวา เอสนา ปฏนิ สิ สฺ ฏ า ความวากามเอสนาและภวเอสนา เปนอนั ทานสลัดออกแลว คอื ละแลว โดยประการทั้งปวง. บทวา ทฏิ  ฏิ านา สมหู ตา ความวา เปน ทตี่ ้งั แหง ทฏิ ฐกิ ลาวคอืพรหมจริยเอสนา และถูกถอนขน้ึ ดวยปฐมมรรคนัน่ เอง. บทวา เอสนาน ขยาความวา เพราะส้ินไป คอื เพราะดับไปโดยไมเ กิดขึ้น แหง การแสวงหาทัง้ ๓ อยา งเหลา นี้ ตรสั เรยี กวา ภิกษุ เพราะทําลายกิเลสไดแลว ตรสั เรียกวานริ าโส เพราะหาความหวงั มิได โดยประการทง้ั ปวง และตรัสเรยี กวา อก-ถงั กถี เพราะละการกลา วถอ ยคําวา อยา งไร ดว ยความสงสัยทเ่ี ปน ทิฏฐิไดแ ลว. จบอรรถกถาทุติยเอสนาสตู รท่ี ๖ ๗. ปฐมอาสวสูตร วาดว ยอาสวะ ๓ ประการ [๒๓๔] จรงิ อยู พระสูตรนี้พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั แลว พระสตู รน้ีพระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนพระอรหันตต รัสแลว เพราะเหตนุ ้นั ขาพเจา ไดสดับมาแลว วา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย อาสวะ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปน ไฉน ?คอื กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ อวชิ ชาสวะ ๑ ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลายอาสวะ ๓ ประการนี้แล.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 374 พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั เน้อื ความนี้แลว ในพระสูตรนั้น พระ-ผมู พี ระภาคเจา ตรสั คาถาประพันธด ังน้วี า สาวกของพระพทุ ธเจาผมู ีจิตต้ังมนั่ ผรู ูท่ัว มสี ติ ยอ มรชู ัด ซ่งึ อาสวะทัง้ หลาย เหตุเกิดแหง อาสวะทง้ั หลาย ธรรมเปน ท่ี ดับแหง อาสวะทงั้ หลาย และมรรคอนั ให ถึงความสนิ้ ไปแหงอาสวะท้งั หลาย ภกิ ษุ หายหวิ แลว ดบั รอบแลว เพราะความส้ิน ไปแหง อาสวะท้ังหลาย. เนือ้ ความแมนพี้ ระผูมพี ระภาคเจาตรัสแลว เพราะเหตนุ น้ั ขา พเจาไดสดบั มาแลว ฉะน้นั แล. จบปฐมอาสวสตู รที่ ๗ อรรถกถาปฐมอาสวสูตร ในปฐมอาสวสตู รที่ ๗ พึงทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปน้ี :- อาสวะในกามท้งั หลาย ชือ่ วา กามาสวะ อกี อยางหน่งึ อาสวะกลา วคือกาม ชอ่ื วา กามาสวะ แตโ ดยเนอื้ ความ กามราคะ และความยนิ ดีย่งิ ในรปู เปนตน ช่อื วา กามสวะ. ฉันทราคะ ในรปู ภพและอรปู ภพความใครในฌาน ราคะอนั สหรคตดวยสัสสตทิฏฐิ และความปรารถนาในภพช่ือวา ภวาสวะ. อวิชชานั่นแหละ ชือ่ วา อวชิ ชาสวะ.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 375 ในบทวา อาสวานฺจ สมฺภว นี้ อโยนิโสมนสกิ าร และกเิ ลสทั้งหลายมอี วชิ ชาเปน ตน ชอ่ื วา เปน เหตเุ กิดแหง อาสวะทั้งหลาย. สมดังคาํท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวว า ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย อวชิ ชาเกดิ กอ น ความไมละอายแกใจ ความไมเ กรงกลวั ตอบาป จะคลอ ยตามการถึงพรอ มแหง-อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย. บทวา มคฺคฺจ ขยคามนิ  ความวา ซ่งึ พระอรยิ มรรคอนั เปน เหตใุ หถ งึ ธรรมเปนที่สน้ิ ไปแหง อาสวะดว ย. บรรดาอาสวะเหลา นัน้กามาสวะจะละไดดว ยอนาคามมิ รรค ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ จะละไดดวยอรหัตมรรค. แตอาจารยบางพวกกลาววา แมกามาสวะ กถ็ กู มรรคเบ้อื งปลายฆา เหมือนกามุปปาทาน. คาํ ท่ีเหลอื มีนัยดังกลา วท้ังนัน้ . จบอรรถกถาปฐมอาสวสูตรที่ ๗ ๘. ทตุ ิยอาสวสูตร/H2 ผสู ิ้นอาสวะยอ มชนะมารพรอมทัง้ พาหนะ [๒๓๕] จรงิ อยู พระสตู รนี้พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว พระสตู รนี้พระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนพระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขา พเจา ไดสดบั มาแลว วา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย อาสวะ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉนคอื กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อาสวะ ๓ประการนแ้ี ล. พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รัสเนือ้ ความนีแ้ ลว ในพระสูตรนัน้ พระ-ผูมพี ระภาคเจา ตรัสคาถาประพันธด ังน้ีวา

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 376 ภิกษุใดมกี ามาสวะสนิ้ ไปแลว สาํ รอก อวชิ ชาออกไดแลว และมีภวาสวะหมดสนิ้ แลว ภิกษุนน้ั พน วิเศษแลว หาอุปธมิ ิได ชนะมารพรอ มดวยพาหนะแลว ยอ มทรง ไวซึ่งรา งกายอันมใี นท่ีสดุ . เนอื้ ความแมน ้ีพระผูมพี ระภาคเจาตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขาพเจาไดส ดบั มาแลว ฉะนแ้ี ล. จบทุตยิ อาสวสตู รที่ ๘ ในสตู รที่ ๘ ไมมีขอ ความท่ไี มเ คยมมี ากอ น. ๙. ตัณหาสูตร วา ดวยตัณหา ๓ ประการ [๒๓๖] จริงอยู พระสตู รน้ีพระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว พระสูตรนี้พระผมู พี ระภาคเจาผูเปนพระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตนุ ั้น ขา พเจา ไดสดับมาแลว วา ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ตณั หา ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉน ?คือ กามตณั หา ๑ ภวตณั หา ๑ วิภวตัณหา ๑ ดกู อนภิกษทุ งั้ หลายตณั หา ๓ ประการน้ีแล.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 377 พระผมู พี ระภาคเจาไดต รัสเนอ้ื ความนี้แลว ในพระสตู รน้นั พระ-ผูมีพระภาคเจา ตรสั คาถาประพนั ธด งั นี้วา ชนทงั้ หลาย ประกอบแลวดวยตัณหา เครื่องประกอบสัตวไ ว มจี ิตยนิ ดีแลวใน ภพนอยและภพใหญ ชนเหลานนั้ ประกอบ แลวดว ยโยคะ คือ บว งแหง มาร เปน ผู ไมมีความเกษจากโยคะ สตั วท ั้งหลายผถู งึ ชาตแิ ละมรณะ ยอ มไปสูสงสาร สวนสตั ว เหลาใดละตัณหาไดข าด ปราศจากตณั หา ในภพนอ ยและภพใหญ ถึงแลว ซง่ึ ความ ส้ินไปแหงอาสวะ สตั วเ หลา น้นั แล ถึงฝง แลวในโลก. เน้อื ความแมนพ้ี ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว เพราะเหตุนนั้ ขาพเจาไดส ดับมาแลว ฉะนแี้ ล. จบตัณหาสตู รที่ ๙ อรรถกถาตัณหาสตู ร ในตัณหาสตู รท่ี ๙ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดังตอ ไปนี้ :- กิเลสชาติ ชอ่ื วา ตัณหา เพราะหมายความวา ทะยานอยาก. อีกอยางหนงึ่ช่ือวาตัณหา เพราะหว่ันไหวอารมณมรี ูปเปน ตน บดั นี้ เพือ่ จะทรงแสดงแยกตัณหานัน้ จึงตรัสคาํ มีอาทิวา กามตณั หา ดงั นี.้

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 378 บรรดาตัณหาทงั้ ๓ นน้ั ราคะท่ีประกอบไปดว ยเบญจกามคณุ ชอ่ื วากามตณั หา. ฉันทราคะในรปู ภพและอรปู ภพ ความใครใ นฌาน ราคะที่สหรคตดวยสัสสตทฏิ ฐิ และความปรารถนาดวยอํานาจแหงภวราคะ ช่อื วาภวตัณหา. ราคะทส่ี หรคตดว ยอจุ เฉททิฏฐิ ชอ่ื วา วิภวตณั หา. อกี อยางหนง่ึตัณหาทเี่ หลอื แมทง้ั หมด เวนตณั หาสองอยา งขางหลัง ชือ่ วา กามตณั หาท้ังนัน้ . สมดงั คําทพี่ ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไววา ในตณั หาเหลานัน้ ภวตณั หาคอื อะไร ? คอื ความกาํ หนัด ความกําหนดั นกั ความกาํ หนัด กลา แหง จิตอนั สหรคตดวยสสั สตทิฏฐิ นเ้ี ราตถาคตเรียกวา ภวตัณหา. ในตัณหาเหลานน้ัวิภวตณั หาคืออะไร ? คอื ความกาํ หนัด ความกาํ หนดั นัก ความกําหนัดกลาแหงจติ นี้เราตถาคตเรียกวา วภิ วตณั หา. ตณั หาท่เี หลอื เรยี กวา กามตัณหา.กต็ ณั หาทั้ง ๓ เหลาน้ี แยกแตละอยางออกเปน ๖ โดยประเภทอารมณ คือรูปตณั หา ฯลฯ ธรรมตณั หา จึงเปน ตัณหา ๑๘ อยา ง ตัณหาเหลาน้ันรวมเปน ๓๖ คือ ตัณหาในรปู ภายในเปน ตน ๑๘ ตัณหาในรปู ภายนอกเปนตน ๑๘ ดังนั้น จงึ รวมเปน ตณั หา ๑๐๘ โดยแยกเปนอดีต ๓๖ อนาคต ๓๖ปจจุบัน ๓๖ (แต) ตณั หานน้ั เม่ือทําการสงเคราะหอีก จัดโดยไมเ ก่ียวกบัการแยกประเภทตามกาล (ทัง้ ๓) กม็ ี ๓๖ เทา นัน้ เอง เม่อื ไมท ําการจําแนกรปู (ตัณหา) เปนตน ออกเปนภายใน ภายนอก ก็จะมี ๑๘ เทา น้นั เมอื่กระทําเพียงการจาํ แนกตามอารมณม รี ูปเปน ตน ก็เหลือ ๖ เทาน้ัน ตัณหาเหลา น้ัน เมื่อจดั โดยไมทาํ การจาํ แนกไปตามอารมณ ก็มเี พยี ง ๓ เทานั้นแล. พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในคาถาทัง้ หลายดังตอไปน้ี บทวา ตณหฺ าโยเคนความวา ดว ยเครอื่ งผูกคือตัณหา เช่อื มความวา ประกอบดวยกามโยคะ และภวโยคะ. อีกอยางหน่ึง ไดแ ก ถกู ประกอบไวในภพเปนตน เพราะเหตุนั้นแลพระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา รตตฺ จิตฺตา ภวาภเว มีจติ ยินดีแลวในภพนอย

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 379และภพใหญ อธบิ ายวา มีจติ ขอ งอยแู ลว ในภพนอย และภพใหญ. อกี อยางหนง่ึบทวา ภโว ไดแ ก สัสสตทิฏฐิ. บทวา อภโว ไดแ ก อุจเฉททิฏฐิเพราะฉะน้ัน ชนเหลา น้นั เปนผูม ีจิตติดขอ งอยใู นภวาภวะ คือสสั สตทฏิ ฐิและอจุ เฉททิฏฐิท้ังหลาย ดวยคําวาภวาภวะน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงภวตณั หา และวิภวตัณหา. ในธรรมฝายนี้ พึงทราบวา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงกามตัณหาอยา งเดียวไว ดวยบทนี้วา ตณหฺ าโยเคน ดงั นี.้ บทวาเต โยคยุตฺตา มารสฺส ความวา บุคคลเหลาน้ัน คอื ผูเ ปน อยา งที่วา มาน้ีถูกประกอบแลว คือถูกผกู ไวแ ลว ดว ยเคร่อื งผกู กลา วคอื บวงแหงมาร เพราะวาราคะ พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา เปนเครอื่ งผกู ของมาร เปนบวงของมาร.สมดังทมี่ ารกราบทลู วา บวงน้ใี ดทม่ี อี ยใู นใจ เทย่ี วไปไดใน อากาศสญั จรไปอยู เราจกั ผูกทา นดว ยบว ง น้นั ดูกอ นสมณะ ทานจกั ไมพนเรา ดังน้ี. เหลา สตั วช่ือวาผไู มเ กษมจากโยคะ เพราะยังไมไ ดบ รรลุนิพพาน และพระอรหัตท่ีชอ่ื วา เปน แดนเกษมจากโยคะ เพราะถกู โยคะทัง้ ๔ ขดั ขวางชอ่ื วาชน เพราะเปน ทีเ่ กิดกิเลส และอภิสงั ขารท้งั หลายติดตอ กนั ไปช่อื วา สัตว เพราะตดิ คือขอ งอยใู นรปู เปนตน จะไปสสู งสาร กลาวคือการเกิดขึน้ ตอ ๆ แหง ขันธเ ปน ตน ท่ตี รัสไวอ ยางน้วี า ลาํ ดบั แหงขนั ธ ธาตุ และอายตนะ ทั้งหลาย เปนไปอยูไ มข าดสาย เรียกวา สงสาร คอื จะไมพ น ไปจากสงสารนนั้ . เพราะเหตุไร เพราะประกอบดวยเครอ่ื งผกู คอื ตัณหา. สตั วทง้ั หลายผมู ปี กตไิ ปสคู วามเกิดความตาย คือเปน

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 380ผูมีปกติเขา ถงึ ความเกิด ความตายบอย ๆ นัน่ เอง พระผูมีพระภาคเจา ครนั้ทรงแสดงวฏั ฏะดวยคาํ มีประมาณเทานแ้ี ลว บัดนี้ เพอ่ื จะทรงแสดงวิวฏั ฏะ จงึตรัสคาถาวา เย จ ตณหฺ  ปหนฺตวฺ าน ดังน.ี้ พระคาถานั้น เขา ใจงายอยูแลวเพราะนัยดังกลาวแลว ในหนหลงั . จบอรรถกถาตณั หาสูตรที่ ๙ ๑๐. มารเธยยสตู ร วาดว ยธรรม ๓ เครอื่ งกา วลว งบว งมาร [๒๓๗] จริงอยู พระสูตรน้พี ระผมู พี ระภาคเจาตรสั แลว พระ-สตู รน้ีพระผมู ีพระภาคเจาผูเ ปน พระอรหนั ตตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขา พเจาไดส ดบั มาแลว วา ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษผุ ปู ระกอบดวยธรรม ๓ ประการกาวลว งบวงแหง มารแลว ยอ มรุงเรื่องดจุ พระอาทิตยฉ ะนน้ั ธรรม ๓ ประการเปนไฉน ? ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปนผูประกอบแลวดว ยศีลขนั ธอนั เปนของพระอเสขะ ๑ เปน ผูประกอบแลว ดวยสมาธิขันธอนัเปนของพระอเสขะ ๑ เปนผูประกอบแลว ดวยปญญาขนั ธอ นั เปน ของพระ-อเสขะ ๑ ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษผุ ูประกอบแลว ดวยธรรม ๓ ประการนี้แล กาวลว งบว งแหง มารแลว ยอ มรงุ เรอื่ งดจุ พระอาทติ ยฉะน้ัน. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสเนือ้ ความนแ้ี ลว ในพระสูตรนัน้ พระ-ผูมีพระภาคเจาตรัสคาถาประพนั ธด งั นว้ี า

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 381 ภิกษุใด เจรญิ ศีล สมาธิ และปญญา ดูแลว ภกิ ษนุ น้ั กา วลว งบว งแหง มาร ไดแลว ยอมรุง เรือ่ ง ดุจพระอาทติ ยฉ ะน้นั . เน้อื ความแมน พี้ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตนุ ้ัน ขาพเจาไดส ดบั มาแลว ฉะน้แี ล. จบมารเธยยสูตรท่ี ๑๐ จบวรรคท่ี ๑ อรรถกถามารเธยยสูตร มารเธยยสตู รท่ี ๑๐ มีการเกิดขึน้ อยางไร ? เลากนั มาวา วนั หน่งึพระบรมศาสดา มีบรษิ ทั ผเู ปน พระเสกขะเปน สว นมากแวดลอมแลว ประทบั นง่ัตรวจดอู ธั ยาศยั ของบริษทั เหลานั้น เมอื่ จะทรงชมเชยอเสขภมู ิ จึงตรัสพระสตู รนีไ้ ว เพ่อื ใหเกิดอตุ สาหะในการบรรลุคณุ พิเศษ ท่สี งู ๆ ขน้ึ ไป. บรรดาบทเหลาน้ัน ในบทเปน ตนวา อติกกฺ มฺม มีความสังเขปดังตอ ไปนี้ (ภิกษผุ ูประกอบดวยธรรม ๓) จะรุงโรจน กา วลว ง คือ ลว งเลยไดแ กค รอบงาํ ท่ีตัง้ แหงมารคอื อารมณ ไดแกว ิสัย คอื ฐานะเปน ท่ตี ัง้ แหงอสิ รยิ ะของมาร ดุจพระอาทติ ย. พระอาทิตยท ่พี นจากความมืดมวั มีเมฆเปนตน ประกอบดวยคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ ฤทธ์ิ อานภุ าพ และเดชของตนพงุ ขึ้นสนู ภากาศ ไพโรจน สวา งไสว แผดแสง ขม ขับ ครอบงาํกาํ จดั ความมดื ทีอ่ ยูในอากาศทง้ั หมด ฉนั ใด ภกิ ษุผูเ ปนพระขณี าสพ กฉ็ นั นน้ัเหมือนกนั ประกอบดวยคุณธรรม ๓ ประการ พนจากอปุ กิเลสทุกอยา ง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 382ยอ มรงุ โรจน ครอบงําพฤตกิ ารแหงธรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๓ กลา วคือท่ตี ั้งแหงมาร ฉะน้ีแล. ธรรมชอ่ื วา เสกขะ ในบทวา อเสกฺเขน นี้ เพราะเกดิ แลว ในเพราะสกิ ขาท้งั หลาย. อกี อยางหน่ึง ธรรมทงั้ หลายช่อื วาเสกขะ เพราะธรรมเหลานี้เปนของพระเสกขะ ๗ จําพวก. อีกอยา งหนึ่ง ชื่อวา เสกขะ เพราะกําลังศกึ ษาอยูด ว ยตนเองทเี ดียว โดยทย่ี ังศกึ ษาไมส ําเร็จ ไดแกม รรคธรรมและผลธรรมเบอ้ื งตํ่า ๓ อยาง แตผ ลธรรมอันเลศิ (อรหัตผล) ไมเปน เสกขธรรมเพราะไมม ศี ีลที่จะตอ งศึกษาในเบื้องสงู เพราะฉะนัน้ จึงชอ่ื วา อเสกขะ. เพราะวาน้ีเปนการคดั คา นในธรรมทยี่ ังมคี วามสงสัยในความเปนพระเสกขะ เพราะฉะน้ันท้ังในโลกยิ ธรรม และนิพพานธรรม พงึ ทราบวา ยังไมค วรแกค วามเปนอเสขธรรม. เพราะวา สกิ ขา กลา วคอื ศีล สมาธิ ปญญา ทพ่ี น แลวจากกิเลสท่ีเปน ปฏปิ ก ษตอตน คือบริสุทธ์แิ ลว ที่ควรกลา วไดว า เปน สกิ ขาท่ีดยี งิ่เพราะไมเขา ถงึ แมความเปน อารมณข องอปุ กิเลสทัง้ หลาย มอี ยใู นมรรคผลท้ัง๘ เพราะเหตนุ น้ั แมธรรมคอื อรหัตผล ก็จะเปนธรรมเกดิ ขน้ึ ในเพราะสิกขาเหลา นน้ั เหมอื นกบั ธรรม คอื มรรค ๔ และผล ๓ เบอื้ งตา่ํ ฉะนัน้ กเ็ ม่ือพระอรหันตผ ูประกอบดว ยสกิ ขานัน้ ยงั เปนเสกขะเหมือนทานนอกน้ี กจ็ ะพงึ มีความสงสยั วา ท่ีช่อื วาเสกขะ เพราะอรรถวาธรรมเหลา น้ี เปน ของเสกขบคุ คลเพราะอรรถวา ศลี เปน สิกขาของทา นเหลานีม้ ีอยู เพราะเหตนุ ัน้ เพือ่ จะหามความสงสัยนนั้ เสีย ทานจึงกลา วคําวา อเสกขฺ า ไว เปนการปฏิเสธภาวะแหงเสกขบคุ คลตามที่กลา วแลว . เพราะวาสกิ ขาทง้ั หลาย ท่ีเปน ไปอยูใ นอรหตั ผล จะไมทํากจิ ของการศกึ ษา เพราะเสรจ็ กิจของการศกึ ษาแลว จะเปนไปโดยความเปนผลของการศกึ ษาอยา งเดยี ว. เพราะฉะน้ัน สกิ ขาเหลานั้นจงึ ไมควรเรยี กวา สกิ ขา. ท้ังผทู ่พี รอ มดวยสกิ ขานนั้ ก็ไมควรเรียกวา เสกขบคุ คล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 383อนึ่ง ธรรมทีส่ ัมปยุตดวยสกิ ขานน้ั ก็ไมไดม ีการศกึ ษาเปน ปกติ. ผลธรรมอันเลิศ (อรหัตผล) ก็ไมเ ปนเสกขธรรมตามความหมาย มีอาทอิ ยา งนว้ี าเกดิ แลว ในสกิ ขาทง้ั หลาย. สวนสิกขาในผลเบ้ืองตาํ่ ท้งั หลาย ยังทํากจิ ของการศกึ ษา ในสกทาคามิมรรคอยเู พราะความเปน อุปนสิ ัยของวิปสสนาเปนตนเพราะฉะนน้ั สกิ ขาทงั้ หลายจึงควรเรยี กวา สกิ ขา และผูท ่ีพรอ มเพรยี งดว ยสกิ ขานน้ั กค็ วรเรียกวาเสกขบุคคล ท้งั ธรรมทสี่ มั ปยุตดวยสกิ ขานัน้ ก็เปนธรรมมกี ารศึกษาเปนปกติ. เสกขธรรมทง้ั หลายตองเปนเสกขธรรมอยูน นั่ เองตามความหมายทกี่ ลาวแลว. อีกอยา งหนงึ่ ถา จะมคี าํ ทว งวา บทวา เสกฺขา เปน คําเรยี กพระ-อรยิ ะทง้ั หลาย ผูยังไมส ําเร็จการศกึ ษา ดังน้ี (สว น) บทวา อเสกฺขา เปน คําแสดงถึงพระอรยิ สาวกทง้ั หลาย ผสู าํ เร็จการศึกษา เพราะฉะนน้ั โลกิยธรรมและนิพพานธรรม หาควรเปนอเสกขธรรมไม ธรรมทงั้ หลายทถ่ี ึงความเจริญเปน ทัง้ เสกขธรรม เปนทง้ั อเสกขธรรม ความทีธ่ รรมบางประเภท ในบรรดาเสกขธรรมทัง้ หลายท่ีถึงความเจริญแลว เปน อเสกขธรรมก็ถกู ตอ ง เพราะฉะนน้ั ธรรมคอื อรหตั มรรคทง้ั หลาย เปนอเสกขธรรมกถ็ กู ตอง เพราะอธิบายอยางนว้ี า ถึงความเจรญิ แลว และเปนเสกขธรรม ตามความหมายท่ีกลา วแลว ดังนีห้ รอื ? ตอบวา ขอนน้ั หาเปนเชน น้ันไม เพราะการเรยี กอยางน้ัน (ม)ี ในธรรมทคี่ ลายกนั . เพราะวา อรหัตผลมกี ารกระทําทไ่ี มแ ตกตา งออกไปจากอรหตั มรรค เวน ไวแตก ารกระทาํ หนา ท่ี มีปรญิ ญาเปน ตน (ของอรหัตมรรค) และความเปนวบิ ากของ (อรหัตผล) เพราะฉะน้ัน เสกขธรรมเหลานั้นแหละ อาจกลาวไดว า ถึงความเปน อรหตั ผล และวปิ ากสุข (ความสขุ ท่เี กดิ แตผล) เปนสุขประณตี กวา กุศลสขุ (สุขที่เกดิ แตก ศุ ล) เพราะสงบ

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 384กวากัน. เพราะฉะนนั้ ธรรมท่ถี งึ ความเจรญิ น่ันแหละยงั มอี ยู ฉะนั้นจึงเรยี กวาอเสกขธรรม. ก็พระผูม ีพระภาคเจา เมื่อจะทรงประกาศอานภุ าพของพระขณี าสพดว ยการถงึ พรอ มดวยธรรมเหลานน้ั โดยทรงจาํ แนกอเสกขธรรมเหลา นั้นออกเปน ๓ อยาง ตามอํานาจของขนั ธไวในทีน่ ี้ จึงตรสั คํามีอาทวิ า อเสกเฺ ขนสีลกฺขนฺเธน ดังนี้. เนือ้ ความของสีลศัพท ในคาํ วา สลี กขฺ นฺเธน น้ัน ขา พเจาไดกลาวแลว ในหนหลงั . สวนขนั ธศัพท มีประโยคทเ่ี ห็นได (ใชไ ด) ในอรรถทัง้ หลายเปนอันมาก คอื ในกอง ในบัญญัติ ในความงอกงาม ในคณุ ธรรม. จรงิ อยา งน้ันขนั ธศพั ทม าในกอง ในประโยคมอี าทิวา อาโป น้าํ ท่นี บั ไมถ วน คํานวณไมไ ด ยอมถงึ การนับวา เปนกอง (หวงนา้ํ ) ใหญท เี ดียว. มมี าในบญั ญัติ ในประโยคมีอาทวิ า พระผูม ีพระภาคเจาไดท อดพระเนตรเหน็ ทอนไมใหญ ทีก่ าํ ลงัถกู กระแสนํา้ คงคาพัดมา. มาในความงอกงาม ดังในประโยคมีอาทิวา จติมโน มานัส หทัย ปณฑระ มนะ มนายตนะ วิญญาณ วิญญาณขันธ.มาในคณุ ธรรม ดงั ในประโยคมีอาทิวา ดูกอ นวสิ าขะผูม ีอายุ ขันธท้ัง ๓ไมไ ดส งเคราะหเขาดว ยอรยิ มรรคมอี งค ๘ เลย ดกู อนวสิ าขะผมู อี ายุ แตวาอริยมรรคมอี งค ๘ สงเคราะหเขา ดว ยขนั ธท ้ัง ๓ อยางแล. แมในพระสตู รน้ีขนั ธศัพทพ งึ เห็นวา (มาแลว) ในคุณธรรมอยางเดียว. เพราะฉะน้นั จงึ มีอธบิ ายวา ดวยคณุ ธรรมกลาวคือศลี ทีเ่ ปนอเสกขะ. บทวา สมนฺนาคโต ความวา ประกอบพรอ มแลว คือเปน ผูพร่งั พรอ มแลว . ชอื่ วา สมาธิ เพราะเปน เหตตุ ้งั ม่นั หรือเพราะต้ังมั่นเองหรอื ความตัง้ ม่นั แหง จิตนั่นเอง. ชื่อวา ปญญา เพราะรู คือแทงตลอดตามเปน จริง โดยประการท้ังหลาย. ขนั ธค อื ศลี น่นั เอง ช่อื วา ศลี ขนั ธ แมใ นสมาธิ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 385และปญ ญาที่เหลือ ก็มนี ยั นีเ้ หมือนกนั . สัมมาวาจา สมั มากัมมันตะสมั มาอาชวี ะ อนั เปนผลเลศิ ช่ือวา สลี ขันธทเี่ ปนอเสกขะ โดยสภาพน่นั เองในบรรดาขนั ธเ หลา นนั้ . สมั มาสมาธกิ ็เชนกัน (คือเปนผลอนั เลิศ) ชื่อวาสมาธขิ ันธท เี่ ปนอเสกขะ. สวนสัมมาวายามะ และสมั มาสติ ถึงการสงเคราะหเขาในสมาธิขนั ธ เพราะเปน อุปการะแกส มาธิขันธน ้ัน. สมั มาทฏิ ฐิก็เชนนน้ั(คอื เปน ผลเลศิ ) ชื่อวา ปญ ญาขนั ธท ่เี ปนอเสกขะ. สัมมาสงั กปั ปะ ถึงการสงเคราะหเ ขา ในปญญาขันธ เพราะเปน อปุ การะแกป ญญาขนั ธ ดว ยประการดงั พรรณนามานี้ ในขอน้พี งึ ทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมคอือรหัตผลทั้ง ๘ สงเคราะหเขา กับขนั ธท งั้ ๓. บทวา ยสสฺ เอเต สภุ าวติ า มีการเช่อื มความวา พระอรหันตรูปใด อบรมตามขันธท่ีเปน อเสขะ มีศลี เปน ตนเหลาน้ดี แี ลว คอื เจริญดีแลวพระอรหนั ตนนั้ ยอมรงุ โรจนเหมอื นดวงอาทิตย. บางทานสวดวา ยสสฺ เจเตดงั นีก้ ม็ .ี จ ศัพทข องบทวา เจเต นัน้ เปน เพียงนิบาต. ในวรรคนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวัฏฏะไวใ นสตู รแรก ตรสั ววิ ฏั ฎะไวในสตู รสุดทา ย สว นในสูตรนอกนี้ ตรสั ไวทัง้ วฏั ฏะและววิ ัฏฏะ ดังพรรณนามาน้.ี จบอรรถกถามารเธยยสูตรท่ี ๑๐ จบวรรควรรณนาที่ ๑ รวมพระสูตรทมี่ ีในวรรคนี้ คอื ๑. อกุศลมลู สูตร ๒. ธาตุสูตร ๓. ปฐมเวทนาสูตร ๔. ทุตยิ เวทนาสตู ร ๕. ปฐมเอสนาสูตร ๖. ทตุ ยิ เอสนาสูตร ๗. ปฐมอาสวสตู ร ๘. ทุติยอาสวสูตร ๙. ตัณหาสูตร ๑๐. มารเธยยสตู ร และอรรถกถา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 386 อติ ิวุตตกะ ติกนบิ าต วรรคท่ี ๒ ๑. ปุญญกิริยาวตั ถสุ ตู ร วา ดว ยเรอ่ื งทําบุญ ๓ ประการ [๒๓๘] จรงิ อยู พระสูตรนพี้ ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว พระสูตรนี้พระผูมีพระภาคเจา ผเู ปนอรหันตตรสั แลว เพราะเหตุน้ัน ขา พเจาไดส ดบั มาแลว วา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย บุญกิรยิ าวตั ถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉน ? คอื ทานมัยบุญกริ ิยาวัตถุ ๑ ภาวนามัยบุญกิริยาวตั ถุ ๑ ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย บุญกิรยิ าวัตถุ ๓ ประการนี้แล. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั เนื้อความน้ีแลว ในพระสตู รนน้ั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั คาถาประพันธด งั น้ีวา กลุ บตุ รผใู ครป ระโยชน พึงศึกษา บญุ นัน่ แล อันใหผลเลิศตอไป ซึ่งมีสุข เปนกาํ ไร คอื พึงเจริญทาน ๑ ความ ประพฤตเิ สมอ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิต ครั้นเจรญิ ธรรม ๓ ประการอนั เปน เหตุให เกิดความสุขเหลานีแ้ ลว ยอ มเขา ถงึ โลก อันไมม ีความเบียดเบยี น. เนื้อความแมน ้พี ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขาพ-เจา ไดสดบั มาแลว ฉะน้ีแล. จบปญุ ญกริ ิยาวตั ถสุ ตู รท่ี ๑

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 387 วรรควรรณนาท่ี ๒ อรรถกถาปุญญกริ ิยาวตั ถสุ ตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉัยใน ปุญญกริ ิยาวตั ถุสูตรที่ ๑ แหง วรรคที่ ๒ดังตอ ไปน้ี :- บทวา ปุ ฺกิริยาวตฺถนู ิ ความวา กุศลท้ังหลายท่ใี หเกดิ ผลในภพทค่ี วรบชู า หรอื ชําระสันดานของตน เพราะฉะน้ัน จงึ ชื่อวาบุญ บญุ เหลานนั้ดวย ชอ่ื วา เปนกริ ยิ า เพราะตอ งทาํ ดวยเหตดุ ว ยปจจยั ท้ังหลายดวย เพราะฉะนัน้ จงึ ชือ่ วา บญุ กริ ยิ า. และบุญกริ ิยานั่นเอง ช่อื วาบุญกริ ิยาวัตถุเพราะความเปนทตี่ ้งั แหง อานสิ งสน ัน้ ๆ. บทวา ทานมย ไดแ กเ จตนาเปนเครือ่ งบริจาคไทยธรรมของตนแกผอู ื่น ดวยสามารถแหง การอนุเคราะห หรือดว ยสามารถแหง การบชู าของผทู ี่ตดั ราก คือ ภพยังไมข าด. ชอื่ วา ทาน เพราะเปนเหตุใหเ ขาให. ทานน่ันเองชอ่ื วา ทานมัย. เจตนาที่เปนไปแลว โดยนัยทีก่ ลาวแลว ในกาลท้งั ๓ คือในกาลอนั เปน สว นเบื้องตน ต้ังแตการใหปจจยั ๔ เหลา นนั้ เกิดขึ้น ๑ ในเวลาบรจิ าค ๑ ในการโสมนสั จิตระลกึ ถงึ ในภายหลงั (จากที่ใหแ ลว ) ๑ ของผูใหสิ่งนน้ั ๆ ในบรรดาปจจัย ๔ มีจีวรเปน ตน หรือในบรรดาทานวตั ถุ ๑๐ อยา งมีขาวเปนตน หรือบรรดาอารมณ ๖ มีรูปเปนตน ชือ่ วา บญุ กริ ิยาวตั ถุ ท่ีสาํ เรจ็ ดว ยการใหทาน. บทวา สลี มย ไดแก เจตนาทเ่ี ปนไปแลว แกบ คุ คลผูส มาทานศีล ๕ศลี ๘ หรอื ศลี ๑๐ ดว ยสามารถแหง การกําหนดใหเ ปนนิจศลี และอุโบสถ

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 388ศลี เปนตน (หรือ) ผทู ี่คิดวา เราจะบวชเพือ่ บาํ เพ็ญศีลใหบรบิ รู ณ แลว ไปวหิ าร บวช ผจู ะยงั มโนรถใหถงึ ทส่ี ดุ ระลึกอยูว า เราบวชแลว เปน การดีแลวหนอ บาํ เพญ็ ปาฏิโมกขใ หบรบิ รู ณดวยศรทั ธา พิจารณาปจจัย ๔ มจี ีวรเปนตน ดวยปญ ญาสาํ รวมจักษทุ วารเปนตน ในรปู เปน ตน ท่มี าสูค ลอง ดว ยสติ และชาํ ระอาชีวปาริสทุ ธศิ ีล ดวยความเพียร ยอมต้งั ม่นั เพราะฉะนนั้เจตนานน้ั จึงช่อื วา บุญกริ ยิ าวัตถุสําเรจ็ ดว ยศลี อนงึ่ เจตนาของภิกษุผพู จิ ารณาเห็นแจง ซง่ึ จกั ษุ โสตะ ฆานะชิวหา กาย มนะ โดยไมเ ที่ยง เปน ทุกข เปนอนัตตาดว ยวปิ สสนามรรคทกี่ ลาวแลว ในปฏสิ มั ภิทา ๑ เจตนา ของผูพิจารณาเห็นแจง รูปท้ังหลาย ฯลฯธรรมทง้ั หลาย จกั ขุวญิ ญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ จักขสุ ัมผัส ฯลฯ มโนสัมผสัจกั ขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเวทนา รปู สญั ญา ฯลฯ ธรรมสัญญา(และ) ชรามรณะ โดยเปน ของไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปนอนัตตา ๑ ฌาน-เจตนาทีเ่ ปนไปแลวในอารมณ ๓๘ ประการมีปฐวีกสณิ เปน ตน ๑ เจตนาที่เปน ไปแลว ดว ยสามารถแหง การสัง่ สมและมนสกิ ารเปนตน ในบอ เกิดแหงงาน บอเกิดแหง ศลิ ปะ และฐานะท่ตี ัง้ แหง วชิ า ท่ไี มมโี ทษ ๑ อันใด ผยู งัเจตนาท้งั หมดนน้ั ใหเ จริญ ดวยบญุ กริ ยิ านี้ เพราะฉะนนั้ จึงชื่อวา บุญกริ ิยา-วตั ถุ ทีส่ าํ เร็จดว ยภาวนา ตามนัยทีก่ ลาวแลว ดังน้แี ล. กใ็ นบรรดากรรมท้ัง ๓ อยา งนี้ เมือ่ กระทํากรรมอยางหน่งึ ๆ ดว ยกาย จําเดิมแตส วนเบอ้ื งตน ตามสมควร กรรมเปนกายกรรม. เมื่อเปลงวาจาอันเปนประโยชนแ กก รรมน้ัน กรรมเปน วจกี รรม เม่ือไมยังองค คอืกายและองค คือ วาจาใหห วนั่ ไหว คิดดว ยใจ (อยางเดยี ว) กรรมเปนมโนกรรม. อกี อยา งหน่งึ ในเวลาทผี่ ใู หขาวเปน ตน ให (ทาน) โดยคิดวา เราจะใหข า วและนาํ้ เปน ตนก็ดี โดยระลึกถึงทานบารมีกด็ ี บุญกริ ิยาวัตถเุ ปนทาน-
























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook