พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 373ทรงแสดงพรหมจรยิ เอสนาไวแลว โดยอาการแหง การเปนไป และโดยความสําเรจ็ . บทวา สพพฺ ราควริ ตสสฺ ความวา พระอรหันตผ คู ลายความกําหนัดจากกามราคะ และภวราคะทง้ั หลาย ทั้งปวง ดงั แตน้ันไป กช็ ่ือวา ผูหลุดพนเพราะธรรมเปนทส่ี ้ินไปแหง ตัณหา เพราะพน ในเพราะพระนิพพาน กลา วคือธรรมเปนท่สี ิ้นไปแหง ตณั หา. บทวา เอสนา ปฏนิ สิ สฺ ฏ า ความวากามเอสนาและภวเอสนา เปนอนั ทานสลัดออกแลว คอื ละแลว โดยประการทั้งปวง. บทวา ทฏิ ฏิ านา สมหู ตา ความวา เปน ทตี่ ้งั แหง ทฏิ ฐกิ ลาวคอืพรหมจริยเอสนา และถูกถอนขน้ึ ดวยปฐมมรรคนัน่ เอง. บทวา เอสนาน ขยาความวา เพราะส้ินไป คอื เพราะดับไปโดยไมเ กิดขึ้น แหง การแสวงหาทัง้ ๓ อยา งเหลา นี้ ตรสั เรยี กวา ภิกษุ เพราะทําลายกิเลสไดแลว ตรสั เรียกวานริ าโส เพราะหาความหวงั มิได โดยประการทง้ั ปวง และตรัสเรยี กวา อก-ถงั กถี เพราะละการกลา วถอ ยคําวา อยา งไร ดว ยความสงสัยทเ่ี ปน ทิฏฐิไดแ ลว. จบอรรถกถาทุติยเอสนาสตู รท่ี ๖ ๗. ปฐมอาสวสูตร วาดว ยอาสวะ ๓ ประการ [๒๓๔] จรงิ อยู พระสูตรนี้พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั แลว พระสตู รน้ีพระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนพระอรหันตต รัสแลว เพราะเหตนุ ้นั ขาพเจา ไดสดับมาแลว วา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย อาสวะ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปน ไฉน ?คอื กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ อวชิ ชาสวะ ๑ ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลายอาสวะ ๓ ประการนี้แล.
พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 374 พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั เน้อื ความนี้แลว ในพระสูตรนั้น พระ-ผมู พี ระภาคเจา ตรสั คาถาประพันธด ังน้วี า สาวกของพระพทุ ธเจาผมู ีจิตต้ังมนั่ ผรู ูท่ัว มสี ติ ยอ มรชู ัด ซ่งึ อาสวะทัง้ หลาย เหตุเกิดแหง อาสวะทง้ั หลาย ธรรมเปน ท่ี ดับแหง อาสวะทงั้ หลาย และมรรคอนั ให ถึงความสนิ้ ไปแหงอาสวะท้งั หลาย ภกิ ษุ หายหวิ แลว ดบั รอบแลว เพราะความส้ิน ไปแหง อาสวะท้ังหลาย. เนือ้ ความแมนพี้ ระผูมพี ระภาคเจาตรัสแลว เพราะเหตนุ น้ั ขา พเจาไดสดบั มาแลว ฉะน้นั แล. จบปฐมอาสวสตู รที่ ๗ อรรถกถาปฐมอาสวสูตร ในปฐมอาสวสตู รที่ ๗ พึงทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปน้ี :- อาสวะในกามท้งั หลาย ชือ่ วา กามาสวะ อกี อยางหน่งึ อาสวะกลา วคือกาม ชอ่ื วา กามาสวะ แตโ ดยเนอื้ ความ กามราคะ และความยนิ ดีย่งิ ในรปู เปนตน ช่อื วา กามสวะ. ฉันทราคะ ในรปู ภพและอรปู ภพความใครในฌาน ราคะอนั สหรคตดวยสัสสตทิฏฐิ และความปรารถนาในภพช่ือวา ภวาสวะ. อวิชชานั่นแหละ ชือ่ วา อวชิ ชาสวะ.
พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 375 ในบทวา อาสวานฺจ สมฺภว นี้ อโยนิโสมนสกิ าร และกเิ ลสทั้งหลายมอี วชิ ชาเปน ตน ชอ่ื วา เปน เหตเุ กิดแหง อาสวะทั้งหลาย. สมดังคาํท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวว า ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย อวชิ ชาเกดิ กอ น ความไมละอายแกใจ ความไมเ กรงกลวั ตอบาป จะคลอ ยตามการถึงพรอ มแหง-อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย. บทวา มคฺคฺจ ขยคามนิ ความวา ซ่งึ พระอรยิ มรรคอนั เปน เหตใุ หถ งึ ธรรมเปนที่สน้ิ ไปแหง อาสวะดว ย. บรรดาอาสวะเหลา นัน้กามาสวะจะละไดดว ยอนาคามมิ รรค ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ จะละไดดวยอรหัตมรรค. แตอาจารยบางพวกกลาววา แมกามาสวะ กถ็ กู มรรคเบ้อื งปลายฆา เหมือนกามุปปาทาน. คาํ ท่ีเหลอื มีนัยดังกลา วท้ังนัน้ . จบอรรถกถาปฐมอาสวสูตรที่ ๗ ๘. ทตุ ิยอาสวสูตร/H2 ผสู ิ้นอาสวะยอ มชนะมารพรอมทัง้ พาหนะ [๒๓๕] จรงิ อยู พระสตู รนี้พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว พระสตู รนี้พระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนพระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขา พเจา ไดสดบั มาแลว วา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย อาสวะ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉนคอื กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อาสวะ ๓ประการนแ้ี ล. พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รัสเนือ้ ความนีแ้ ลว ในพระสูตรนัน้ พระ-ผูมพี ระภาคเจา ตรัสคาถาประพันธด ังน้ีวา
พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 376 ภิกษุใดมกี ามาสวะสนิ้ ไปแลว สาํ รอก อวชิ ชาออกไดแลว และมีภวาสวะหมดสนิ้ แลว ภิกษุนน้ั พน วิเศษแลว หาอุปธมิ ิได ชนะมารพรอ มดวยพาหนะแลว ยอ มทรง ไวซึ่งรา งกายอันมใี นท่ีสดุ . เนอื้ ความแมน ้ีพระผูมพี ระภาคเจาตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขาพเจาไดส ดบั มาแลว ฉะนแ้ี ล. จบทุตยิ อาสวสตู รที่ ๘ ในสตู รที่ ๘ ไมมีขอ ความท่ไี มเ คยมมี ากอ น. ๙. ตัณหาสูตร วา ดวยตัณหา ๓ ประการ [๒๓๖] จริงอยู พระสตู รน้ีพระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว พระสูตรนี้พระผมู พี ระภาคเจาผูเปนพระอรหนั ตต รสั แลว เพราะเหตนุ ั้น ขา พเจา ไดสดับมาแลว วา ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ตณั หา ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉน ?คือ กามตณั หา ๑ ภวตณั หา ๑ วิภวตัณหา ๑ ดกู อนภิกษทุ งั้ หลายตณั หา ๓ ประการน้ีแล.
พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 377 พระผมู พี ระภาคเจาไดต รัสเนอ้ื ความนี้แลว ในพระสตู รน้นั พระ-ผูมีพระภาคเจา ตรสั คาถาประพนั ธด งั นี้วา ชนทงั้ หลาย ประกอบแลวดวยตัณหา เครื่องประกอบสัตวไ ว มจี ิตยนิ ดีแลวใน ภพนอยและภพใหญ ชนเหลานนั้ ประกอบ แลวดว ยโยคะ คือ บว งแหง มาร เปน ผู ไมมีความเกษจากโยคะ สตั วท ั้งหลายผถู งึ ชาตแิ ละมรณะ ยอ มไปสูสงสาร สวนสตั ว เหลาใดละตัณหาไดข าด ปราศจากตณั หา ในภพนอ ยและภพใหญ ถึงแลว ซง่ึ ความ ส้ินไปแหงอาสวะ สตั วเ หลา น้นั แล ถึงฝง แลวในโลก. เน้อื ความแมนพ้ี ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว เพราะเหตุนนั้ ขาพเจาไดส ดับมาแลว ฉะนแี้ ล. จบตัณหาสตู รที่ ๙ อรรถกถาตัณหาสตู ร ในตัณหาสตู รท่ี ๙ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดังตอ ไปนี้ :- กิเลสชาติ ชอ่ื วา ตัณหา เพราะหมายความวา ทะยานอยาก. อีกอยางหนงึ่ช่ือวาตัณหา เพราะหว่ันไหวอารมณมรี ูปเปน ตน บดั นี้ เพือ่ จะทรงแสดงแยกตัณหานัน้ จึงตรัสคาํ มีอาทิวา กามตณั หา ดงั นี.้
พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 378 บรรดาตัณหาทงั้ ๓ นน้ั ราคะท่ีประกอบไปดว ยเบญจกามคณุ ชอ่ื วากามตณั หา. ฉันทราคะในรปู ภพและอรปู ภพ ความใครใ นฌาน ราคะที่สหรคตดวยสัสสตทฏิ ฐิ และความปรารถนาดวยอํานาจแหงภวราคะ ช่อื วาภวตัณหา. ราคะทส่ี หรคตดว ยอจุ เฉททิฏฐิ ชอ่ื วา วิภวตณั หา. อกี อยางหนง่ึตัณหาทเี่ หลอื แมทง้ั หมด เวนตณั หาสองอยา งขางหลัง ชือ่ วา กามตณั หาท้ังนัน้ . สมดงั คําทพี่ ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไววา ในตณั หาเหลานัน้ ภวตณั หาคอื อะไร ? คอื ความกาํ หนัด ความกําหนดั นกั ความกาํ หนัด กลา แหง จิตอนั สหรคตดวยสสั สตทิฏฐิ นเ้ี ราตถาคตเรียกวา ภวตัณหา. ในตัณหาเหลานน้ัวิภวตณั หาคืออะไร ? คอื ความกาํ หนัด ความกาํ หนดั นัก ความกําหนัดกลาแหงจติ นี้เราตถาคตเรียกวา วภิ วตณั หา. ตณั หาท่เี หลอื เรยี กวา กามตัณหา.กต็ ณั หาทั้ง ๓ เหลาน้ี แยกแตละอยางออกเปน ๖ โดยประเภทอารมณ คือรูปตณั หา ฯลฯ ธรรมตณั หา จึงเปน ตัณหา ๑๘ อยา ง ตัณหาเหลาน้ันรวมเปน ๓๖ คือ ตัณหาในรปู ภายในเปน ตน ๑๘ ตัณหาในรปู ภายนอกเปนตน ๑๘ ดังนั้น จงึ รวมเปน ตณั หา ๑๐๘ โดยแยกเปนอดีต ๓๖ อนาคต ๓๖ปจจุบัน ๓๖ (แต) ตณั หานน้ั เม่ือทําการสงเคราะหอีก จัดโดยไมเ ก่ียวกบัการแยกประเภทตามกาล (ทัง้ ๓) กม็ ี ๓๖ เทา นัน้ เอง เม่อื ไมท ําการจําแนกรปู (ตัณหา) เปนตน ออกเปนภายใน ภายนอก ก็จะมี ๑๘ เทา น้นั เมอื่กระทําเพียงการจาํ แนกตามอารมณม รี ูปเปน ตน ก็เหลือ ๖ เทาน้ัน ตัณหาเหลา น้ัน เมื่อจดั โดยไมทาํ การจาํ แนกไปตามอารมณ ก็มเี พยี ง ๓ เทานั้นแล. พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในคาถาทัง้ หลายดังตอไปน้ี บทวา ตณหฺ าโยเคนความวา ดว ยเครอื่ งผูกคือตัณหา เช่อื มความวา ประกอบดวยกามโยคะ และภวโยคะ. อีกอยางหน่ึง ไดแ ก ถกู ประกอบไวในภพเปนตน เพราะเหตุนั้นแลพระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา รตตฺ จิตฺตา ภวาภเว มีจติ ยินดีแลวในภพนอย
พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 379และภพใหญ อธบิ ายวา มีจติ ขอ งอยแู ลว ในภพนอย และภพใหญ. อกี อยางหนง่ึบทวา ภโว ไดแ ก สัสสตทิฏฐิ. บทวา อภโว ไดแ ก อุจเฉททิฏฐิเพราะฉะน้ัน ชนเหลา น้นั เปนผูม ีจิตติดขอ งอยใู นภวาภวะ คือสสั สตทฏิ ฐิและอจุ เฉททิฏฐิท้ังหลาย ดวยคําวาภวาภวะน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงภวตณั หา และวิภวตัณหา. ในธรรมฝายนี้ พึงทราบวา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงกามตัณหาอยา งเดียวไว ดวยบทนี้วา ตณหฺ าโยเคน ดงั นี.้ บทวาเต โยคยุตฺตา มารสฺส ความวา บุคคลเหลาน้ัน คอื ผูเ ปน อยา งที่วา มาน้ีถูกประกอบแลว คือถูกผกู ไวแ ลว ดว ยเคร่อื งผกู กลา วคอื บวงแหงมาร เพราะวาราคะ พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา เปนเครอื่ งผกู ของมาร เปนบวงของมาร.สมดังทมี่ ารกราบทลู วา บวงน้ใี ดทม่ี อี ยใู นใจ เทย่ี วไปไดใน อากาศสญั จรไปอยู เราจกั ผูกทา นดว ยบว ง น้นั ดูกอ นสมณะ ทานจกั ไมพนเรา ดังน้ี. เหลา สตั วช่ือวาผไู มเ กษมจากโยคะ เพราะยังไมไ ดบ รรลุนิพพาน และพระอรหัตท่ีชอ่ื วา เปน แดนเกษมจากโยคะ เพราะถกู โยคะทัง้ ๔ ขดั ขวางชอ่ื วาชน เพราะเปน ทีเ่ กิดกิเลส และอภิสงั ขารท้งั หลายติดตอ กนั ไปช่อื วา สัตว เพราะตดิ คือขอ งอยใู นรปู เปนตน จะไปสสู งสาร กลาวคือการเกิดขึน้ ตอ ๆ แหง ขันธเ ปน ตน ท่ตี รัสไวอ ยางน้วี า ลาํ ดบั แหงขนั ธ ธาตุ และอายตนะ ทั้งหลาย เปนไปอยูไ มข าดสาย เรียกวา สงสาร คอื จะไมพ น ไปจากสงสารนนั้ . เพราะเหตุไร เพราะประกอบดวยเครอ่ื งผกู คอื ตัณหา. สตั วทง้ั หลายผมู ปี กตไิ ปสคู วามเกิดความตาย คือเปน
พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 380ผูมีปกติเขา ถงึ ความเกิด ความตายบอย ๆ นัน่ เอง พระผูมีพระภาคเจา ครนั้ทรงแสดงวฏั ฏะดวยคาํ มีประมาณเทานแ้ี ลว บัดนี้ เพอ่ื จะทรงแสดงวิวฏั ฏะ จงึตรัสคาถาวา เย จ ตณหฺ ปหนฺตวฺ าน ดังน.ี้ พระคาถานั้น เขา ใจงายอยูแลวเพราะนัยดังกลาวแลว ในหนหลงั . จบอรรถกถาตณั หาสูตรที่ ๙ ๑๐. มารเธยยสตู ร วาดว ยธรรม ๓ เครอื่ งกา วลว งบว งมาร [๒๓๗] จริงอยู พระสูตรน้พี ระผมู พี ระภาคเจาตรสั แลว พระ-สตู รน้ีพระผมู ีพระภาคเจาผูเ ปน พระอรหนั ตตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขา พเจาไดส ดบั มาแลว วา ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษผุ ปู ระกอบดวยธรรม ๓ ประการกาวลว งบวงแหง มารแลว ยอ มรุงเรื่องดจุ พระอาทิตยฉ ะนน้ั ธรรม ๓ ประการเปนไฉน ? ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปนผูประกอบแลวดว ยศีลขนั ธอนั เปนของพระอเสขะ ๑ เปน ผูประกอบแลว ดวยสมาธิขันธอนัเปนของพระอเสขะ ๑ เปนผูประกอบแลว ดวยปญญาขนั ธอ นั เปน ของพระ-อเสขะ ๑ ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษผุ ูประกอบแลว ดวยธรรม ๓ ประการนี้แล กาวลว งบว งแหง มารแลว ยอ มรงุ เรอื่ งดจุ พระอาทติ ยฉะน้ัน. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสเนือ้ ความนแ้ี ลว ในพระสูตรนัน้ พระ-ผูมีพระภาคเจาตรัสคาถาประพนั ธด งั นว้ี า
พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 381 ภิกษุใด เจรญิ ศีล สมาธิ และปญญา ดูแลว ภกิ ษนุ น้ั กา วลว งบว งแหง มาร ไดแลว ยอมรุง เรือ่ ง ดุจพระอาทติ ยฉ ะน้นั . เน้อื ความแมน พี้ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตนุ ้ัน ขาพเจาไดส ดบั มาแลว ฉะน้แี ล. จบมารเธยยสูตรท่ี ๑๐ จบวรรคท่ี ๑ อรรถกถามารเธยยสูตร มารเธยยสตู รท่ี ๑๐ มีการเกิดขึน้ อยางไร ? เลากนั มาวา วนั หน่งึพระบรมศาสดา มีบรษิ ทั ผเู ปน พระเสกขะเปน สว นมากแวดลอมแลว ประทบั นง่ัตรวจดอู ธั ยาศยั ของบริษทั เหลานั้น เมอื่ จะทรงชมเชยอเสขภมู ิ จึงตรัสพระสตู รนีไ้ ว เพ่อื ใหเกิดอตุ สาหะในการบรรลุคณุ พิเศษ ท่สี งู ๆ ขน้ึ ไป. บรรดาบทเหลาน้ัน ในบทเปน ตนวา อติกกฺ มฺม มีความสังเขปดังตอ ไปนี้ (ภิกษผุ ูประกอบดวยธรรม ๓) จะรุงโรจน กา วลว ง คือ ลว งเลยไดแ กค รอบงาํ ท่ีตัง้ แหงมารคอื อารมณ ไดแกว ิสัย คอื ฐานะเปน ท่ตี ัง้ แหงอสิ รยิ ะของมาร ดุจพระอาทติ ย. พระอาทิตยท ่พี นจากความมืดมวั มีเมฆเปนตน ประกอบดวยคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ ฤทธ์ิ อานภุ าพ และเดชของตนพงุ ขึ้นสนู ภากาศ ไพโรจน สวา งไสว แผดแสง ขม ขับ ครอบงาํกาํ จดั ความมดื ทีอ่ ยูในอากาศทง้ั หมด ฉนั ใด ภกิ ษุผูเ ปนพระขณี าสพ กฉ็ นั นน้ัเหมือนกนั ประกอบดวยคุณธรรม ๓ ประการ พนจากอปุ กิเลสทุกอยา ง
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 382ยอ มรงุ โรจน ครอบงําพฤตกิ ารแหงธรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๓ กลา วคือท่ตี ั้งแหงมาร ฉะน้ีแล. ธรรมชอ่ื วา เสกขะ ในบทวา อเสกฺเขน นี้ เพราะเกดิ แลว ในเพราะสกิ ขาท้งั หลาย. อกี อยางหน่ึง ธรรมทงั้ หลายช่อื วาเสกขะ เพราะธรรมเหลานี้เปนของพระเสกขะ ๗ จําพวก. อีกอยา งหนึ่ง ชื่อวา เสกขะ เพราะกําลังศกึ ษาอยูด ว ยตนเองทเี ดียว โดยทย่ี ังศกึ ษาไมส ําเร็จ ไดแกม รรคธรรมและผลธรรมเบอ้ื งตํ่า ๓ อยาง แตผ ลธรรมอันเลศิ (อรหัตผล) ไมเปน เสกขธรรมเพราะไมม ศี ีลที่จะตอ งศึกษาในเบื้องสงู เพราะฉะนัน้ จึงชอ่ื วา อเสกขะ. เพราะวาน้ีเปนการคดั คา นในธรรมทยี่ ังมคี วามสงสัยในความเปนพระเสกขะ เพราะฉะน้ันท้ังในโลกยิ ธรรม และนิพพานธรรม พงึ ทราบวา ยังไมค วรแกค วามเปนอเสขธรรม. เพราะวา สกิ ขา กลา วคอื ศีล สมาธิ ปญญา ทพ่ี น แลวจากกิเลสท่ีเปน ปฏปิ ก ษตอตน คือบริสุทธ์แิ ลว ที่ควรกลา วไดว า เปน สกิ ขาท่ีดยี งิ่เพราะไมเขา ถงึ แมความเปน อารมณข องอปุ กิเลสทัง้ หลาย มอี ยใู นมรรคผลท้ัง๘ เพราะเหตนุ น้ั แมธรรมคอื อรหัตผล ก็จะเปนธรรมเกดิ ขน้ึ ในเพราะสิกขาเหลา นน้ั เหมอื นกบั ธรรม คอื มรรค ๔ และผล ๓ เบอื้ งตา่ํ ฉะนัน้ กเ็ ม่ือพระอรหันตผ ูประกอบดว ยสกิ ขานัน้ ยงั เปนเสกขะเหมือนทานนอกน้ี กจ็ ะพงึ มีความสงสยั วา ท่ีช่อื วาเสกขะ เพราะอรรถวาธรรมเหลา น้ี เปน ของเสกขบคุ คลเพราะอรรถวา ศลี เปน สิกขาของทา นเหลานีม้ ีอยู เพราะเหตนุ ัน้ เพือ่ จะหามความสงสัยนนั้ เสีย ทานจึงกลา วคําวา อเสกขฺ า ไว เปนการปฏิเสธภาวะแหงเสกขบคุ คลตามที่กลา วแลว . เพราะวาสกิ ขาทง้ั หลาย ท่ีเปน ไปอยูใ นอรหตั ผล จะไมทํากจิ ของการศกึ ษา เพราะเสรจ็ กิจของการศกึ ษาแลว จะเปนไปโดยความเปนผลของการศกึ ษาอยา งเดยี ว. เพราะฉะน้ัน สกิ ขาเหลานั้นจงึ ไมควรเรยี กวา สกิ ขา. ท้ังผทู ่พี รอ มดวยสกิ ขานนั้ ก็ไมควรเรียกวา เสกขบคุ คล.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 383อนึ่ง ธรรมทีส่ ัมปยุตดวยสกิ ขานน้ั ก็ไมไดม ีการศกึ ษาเปน ปกติ. ผลธรรมอันเลิศ (อรหัตผล) ก็ไมเ ปนเสกขธรรมตามความหมาย มีอาทอิ ยา งนว้ี าเกดิ แลว ในสกิ ขาทง้ั หลาย. สวนสิกขาในผลเบ้ืองตาํ่ ท้งั หลาย ยังทํากจิ ของการศกึ ษา ในสกทาคามิมรรคอยเู พราะความเปน อุปนสิ ัยของวิปสสนาเปนตนเพราะฉะนน้ั สกิ ขาทงั้ หลายจึงควรเรยี กวา สกิ ขา และผูท ่ีพรอ มเพรยี งดว ยสกิ ขานน้ั กค็ วรเรียกวาเสกขบุคคล ท้งั ธรรมทสี่ มั ปยุตดวยสกิ ขานัน้ ก็เปนธรรมมกี ารศึกษาเปนปกติ. เสกขธรรมทง้ั หลายตองเปนเสกขธรรมอยูน นั่ เองตามความหมายทกี่ ลาวแลว. อีกอยา งหนงึ่ ถา จะมคี าํ ทว งวา บทวา เสกฺขา เปน คําเรยี กพระ-อรยิ ะทง้ั หลาย ผูยังไมส ําเร็จการศกึ ษา ดังน้ี (สว น) บทวา อเสกฺขา เปน คําแสดงถึงพระอรยิ สาวกทง้ั หลาย ผสู าํ เร็จการศึกษา เพราะฉะนน้ั โลกิยธรรมและนิพพานธรรม หาควรเปนอเสกขธรรมไม ธรรมทงั้ หลายทถ่ี ึงความเจริญเปน ทัง้ เสกขธรรม เปนทง้ั อเสกขธรรม ความทีธ่ รรมบางประเภท ในบรรดาเสกขธรรมทัง้ หลายท่ีถึงความเจริญแลว เปน อเสกขธรรมก็ถกู ตอ ง เพราะฉะนน้ั ธรรมคอื อรหตั มรรคทง้ั หลาย เปนอเสกขธรรมกถ็ กู ตอง เพราะอธิบายอยางนว้ี า ถึงความเจรญิ แลว และเปนเสกขธรรม ตามความหมายท่ีกลา วแลว ดังนีห้ รอื ? ตอบวา ขอนน้ั หาเปนเชน น้ันไม เพราะการเรยี กอยางน้ัน (ม)ี ในธรรมทคี่ ลายกนั . เพราะวา อรหัตผลมกี ารกระทําทไ่ี มแ ตกตา งออกไปจากอรหตั มรรค เวน ไวแตก ารกระทาํ หนา ท่ี มีปรญิ ญาเปน ตน (ของอรหัตมรรค) และความเปนวบิ ากของ (อรหัตผล) เพราะฉะน้ัน เสกขธรรมเหลานั้นแหละ อาจกลาวไดว า ถึงความเปน อรหตั ผล และวปิ ากสุข (ความสขุ ท่เี กดิ แตผล) เปนสุขประณตี กวา กุศลสขุ (สุขที่เกดิ แตก ศุ ล) เพราะสงบ
พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อิติวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 384กวากัน. เพราะฉะนนั้ ธรรมท่ถี งึ ความเจรญิ น่ันแหละยงั มอี ยู ฉะนั้นจึงเรยี กวาอเสกขธรรม. ก็พระผูม ีพระภาคเจา เมื่อจะทรงประกาศอานภุ าพของพระขณี าสพดว ยการถงึ พรอ มดวยธรรมเหลานน้ั โดยทรงจาํ แนกอเสกขธรรมเหลา นั้นออกเปน ๓ อยาง ตามอํานาจของขนั ธไวในทีน่ ี้ จึงตรสั คํามีอาทวิ า อเสกเฺ ขนสีลกฺขนฺเธน ดังนี้. เนือ้ ความของสีลศัพท ในคาํ วา สลี กขฺ นฺเธน น้ัน ขา พเจาไดกลาวแลว ในหนหลงั . สวนขนั ธศัพท มีประโยคทเ่ี ห็นได (ใชไ ด) ในอรรถทัง้ หลายเปนอันมาก คอื ในกอง ในบัญญัติ ในความงอกงาม ในคณุ ธรรม. จรงิ อยา งน้ันขนั ธศพั ทม าในกอง ในประโยคมอี าทิวา อาโป น้าํ ท่นี บั ไมถ วน คํานวณไมไ ด ยอมถงึ การนับวา เปนกอง (หวงนา้ํ ) ใหญท เี ดียว. มมี าในบญั ญัติ ในประโยคมีอาทวิ า พระผูม ีพระภาคเจาไดท อดพระเนตรเหน็ ทอนไมใหญ ทีก่ าํ ลงัถกู กระแสนํา้ คงคาพัดมา. มาในความงอกงาม ดังในประโยคมีอาทิวา จติมโน มานัส หทัย ปณฑระ มนะ มนายตนะ วิญญาณ วิญญาณขันธ.มาในคณุ ธรรม ดงั ในประโยคมีอาทิวา ดูกอ นวสิ าขะผูม ีอายุ ขันธท้ัง ๓ไมไ ดส งเคราะหเขาดว ยอรยิ มรรคมอี งค ๘ เลย ดกู อนวสิ าขะผมู อี ายุ แตวาอริยมรรคมอี งค ๘ สงเคราะหเขา ดว ยขนั ธท ้ัง ๓ อยางแล. แมในพระสตู รน้ีขนั ธศัพทพ งึ เห็นวา (มาแลว) ในคุณธรรมอยางเดียว. เพราะฉะน้นั จงึ มีอธบิ ายวา ดวยคณุ ธรรมกลาวคือศลี ทีเ่ ปนอเสกขะ. บทวา สมนฺนาคโต ความวา ประกอบพรอ มแลว คือเปน ผูพร่งั พรอ มแลว . ชอื่ วา สมาธิ เพราะเปน เหตตุ ้งั ม่นั หรือเพราะต้ังมั่นเองหรอื ความตัง้ ม่นั แหง จิตนั่นเอง. ชื่อวา ปญญา เพราะรู คือแทงตลอดตามเปน จริง โดยประการท้ังหลาย. ขนั ธค อื ศลี น่นั เอง ช่อื วา ศลี ขนั ธ แมใ นสมาธิ
พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 385และปญ ญาที่เหลือ ก็มนี ยั นีเ้ หมือนกนั . สัมมาวาจา สมั มากัมมันตะสมั มาอาชวี ะ อนั เปนผลเลศิ ช่ือวา สลี ขันธทเี่ ปนอเสกขะ โดยสภาพน่นั เองในบรรดาขนั ธเ หลา นนั้ . สมั มาสมาธกิ ็เชนกัน (คือเปนผลอนั เลิศ) ชื่อวาสมาธขิ ันธท เี่ ปนอเสกขะ. สวนสัมมาวายามะ และสมั มาสติ ถึงการสงเคราะหเขาในสมาธิขนั ธ เพราะเปน อุปการะแกส มาธิขันธน ้ัน. สมั มาทฏิ ฐิก็เชนนน้ั(คอื เปน ผลเลศิ ) ชื่อวา ปญ ญาขนั ธท ่เี ปนอเสกขะ. สัมมาสงั กปั ปะ ถึงการสงเคราะหเ ขา ในปญญาขันธ เพราะเปน อปุ การะแกป ญญาขนั ธ ดว ยประการดงั พรรณนามานี้ ในขอน้พี งึ ทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมคอือรหัตผลทั้ง ๘ สงเคราะหเขา กับขนั ธท งั้ ๓. บทวา ยสสฺ เอเต สภุ าวติ า มีการเช่อื มความวา พระอรหันตรูปใด อบรมตามขันธท่ีเปน อเสขะ มีศลี เปน ตนเหลาน้ดี แี ลว คอื เจริญดีแลวพระอรหนั ตนนั้ ยอมรงุ โรจนเหมอื นดวงอาทิตย. บางทานสวดวา ยสสฺ เจเตดงั นีก้ ม็ .ี จ ศัพทข องบทวา เจเต นัน้ เปน เพียงนิบาต. ในวรรคนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวัฏฏะไวใ นสตู รแรก ตรสั ววิ ฏั ฎะไวในสตู รสุดทา ย สว นในสูตรนอกนี้ ตรสั ไวทัง้ วฏั ฏะและววิ ัฏฏะ ดังพรรณนามาน้.ี จบอรรถกถามารเธยยสูตรท่ี ๑๐ จบวรรควรรณนาที่ ๑ รวมพระสูตรทมี่ ีในวรรคนี้ คอื ๑. อกุศลมลู สูตร ๒. ธาตุสูตร ๓. ปฐมเวทนาสูตร ๔. ทุตยิ เวทนาสตู ร ๕. ปฐมเอสนาสูตร ๖. ทตุ ยิ เอสนาสูตร ๗. ปฐมอาสวสตู ร ๘. ทุติยอาสวสูตร ๙. ตัณหาสูตร ๑๐. มารเธยยสตู ร และอรรถกถา.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 386 อติ ิวุตตกะ ติกนบิ าต วรรคท่ี ๒ ๑. ปุญญกิริยาวตั ถสุ ตู ร วา ดว ยเรอ่ื งทําบุญ ๓ ประการ [๒๓๘] จรงิ อยู พระสูตรนพี้ ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว พระสูตรนี้พระผูมีพระภาคเจา ผเู ปนอรหันตตรสั แลว เพราะเหตุน้ัน ขา พเจาไดส ดบั มาแลว วา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย บุญกิรยิ าวตั ถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉน ? คอื ทานมัยบุญกริ ิยาวัตถุ ๑ ภาวนามัยบุญกิริยาวตั ถุ ๑ ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย บุญกิรยิ าวัตถุ ๓ ประการนี้แล. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั เนื้อความน้ีแลว ในพระสตู รนน้ั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั คาถาประพันธด งั น้ีวา กลุ บตุ รผใู ครป ระโยชน พึงศึกษา บญุ นัน่ แล อันใหผลเลิศตอไป ซึ่งมีสุข เปนกาํ ไร คอื พึงเจริญทาน ๑ ความ ประพฤตเิ สมอ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิต ครั้นเจรญิ ธรรม ๓ ประการอนั เปน เหตุให เกิดความสุขเหลานีแ้ ลว ยอ มเขา ถงึ โลก อันไมม ีความเบียดเบยี น. เนื้อความแมน ้พี ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว เพราะเหตุนนั้ ขาพ-เจา ไดสดบั มาแลว ฉะน้ีแล. จบปญุ ญกริ ิยาวตั ถสุ ตู รท่ี ๑
พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 387 วรรควรรณนาท่ี ๒ อรรถกถาปุญญกริ ิยาวตั ถสุ ตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉัยใน ปุญญกริ ิยาวตั ถุสูตรที่ ๑ แหง วรรคที่ ๒ดังตอ ไปน้ี :- บทวา ปุ ฺกิริยาวตฺถนู ิ ความวา กุศลท้ังหลายท่ใี หเกดิ ผลในภพทค่ี วรบชู า หรอื ชําระสันดานของตน เพราะฉะน้ัน จงึ ชื่อวาบุญ บญุ เหลานนั้ดวย ชอ่ื วา เปนกริ ยิ า เพราะตอ งทาํ ดวยเหตดุ ว ยปจจยั ท้ังหลายดวย เพราะฉะนัน้ จงึ ชือ่ วา บญุ กริ ยิ า. และบุญกริ ิยานั่นเอง ช่อื วาบุญกริ ิยาวัตถุเพราะความเปนทตี่ ้งั แหง อานสิ งสน ัน้ ๆ. บทวา ทานมย ไดแ กเ จตนาเปนเครือ่ งบริจาคไทยธรรมของตนแกผอู ื่น ดวยสามารถแหง การอนุเคราะห หรือดว ยสามารถแหง การบชู าของผทู ี่ตดั ราก คือ ภพยังไมข าด. ชอื่ วา ทาน เพราะเปนเหตุใหเ ขาให. ทานน่ันเองชอ่ื วา ทานมัย. เจตนาที่เปนไปแลว โดยนัยทีก่ ลาวแลว ในกาลท้งั ๓ คือในกาลอนั เปน สว นเบื้องตน ต้ังแตการใหปจจยั ๔ เหลา นนั้ เกิดขึ้น ๑ ในเวลาบรจิ าค ๑ ในการโสมนสั จิตระลกึ ถงึ ในภายหลงั (จากที่ใหแ ลว ) ๑ ของผูใหสิ่งนน้ั ๆ ในบรรดาปจจัย ๔ มีจีวรเปน ตน หรือในบรรดาทานวตั ถุ ๑๐ อยา งมีขาวเปนตน หรือบรรดาอารมณ ๖ มีรูปเปนตน ชือ่ วา บญุ กริ ิยาวตั ถุ ท่ีสาํ เรจ็ ดว ยการใหทาน. บทวา สลี มย ไดแก เจตนาทเ่ี ปนไปแลว แกบ คุ คลผูส มาทานศีล ๕ศลี ๘ หรอื ศลี ๑๐ ดว ยสามารถแหง การกําหนดใหเ ปนนิจศลี และอุโบสถ
พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 388ศลี เปนตน (หรือ) ผทู ี่คิดวา เราจะบวชเพือ่ บาํ เพ็ญศีลใหบรบิ รู ณ แลว ไปวหิ าร บวช ผจู ะยงั มโนรถใหถงึ ทส่ี ดุ ระลึกอยูว า เราบวชแลว เปน การดีแลวหนอ บาํ เพญ็ ปาฏิโมกขใ หบรบิ รู ณดวยศรทั ธา พิจารณาปจจัย ๔ มจี ีวรเปนตน ดวยปญ ญาสาํ รวมจักษทุ วารเปนตน ในรปู เปน ตน ท่มี าสูค ลอง ดว ยสติ และชาํ ระอาชีวปาริสทุ ธศิ ีล ดวยความเพียร ยอมต้งั ม่นั เพราะฉะนนั้เจตนานน้ั จึงช่อื วา บุญกริ ยิ าวัตถุสําเรจ็ ดว ยศลี อนงึ่ เจตนาของภิกษุผพู จิ ารณาเห็นแจง ซง่ึ จกั ษุ โสตะ ฆานะชิวหา กาย มนะ โดยไมเ ที่ยง เปน ทุกข เปนอนัตตาดว ยวปิ สสนามรรคทกี่ ลาวแลว ในปฏสิ มั ภิทา ๑ เจตนา ของผูพิจารณาเห็นแจง รูปท้ังหลาย ฯลฯธรรมทง้ั หลาย จกั ขุวญิ ญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ จักขสุ ัมผัส ฯลฯ มโนสัมผสัจกั ขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเวทนา รปู สญั ญา ฯลฯ ธรรมสัญญา(และ) ชรามรณะ โดยเปน ของไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปนอนัตตา ๑ ฌาน-เจตนาทีเ่ ปนไปแลวในอารมณ ๓๘ ประการมีปฐวีกสณิ เปน ตน ๑ เจตนาที่เปน ไปแลว ดว ยสามารถแหง การสัง่ สมและมนสกิ ารเปนตน ในบอ เกิดแหงงาน บอเกิดแหง ศลิ ปะ และฐานะท่ตี ัง้ แหง วชิ า ท่ไี มมโี ทษ ๑ อันใด ผยู งัเจตนาท้งั หมดนน้ั ใหเ จริญ ดวยบญุ กริ ยิ านี้ เพราะฉะนนั้ จึงชื่อวา บุญกริ ิยา-วตั ถุ ทีส่ าํ เร็จดว ยภาวนา ตามนัยทีก่ ลาวแลว ดังน้แี ล. กใ็ นบรรดากรรมท้ัง ๓ อยา งนี้ เมือ่ กระทํากรรมอยางหน่งึ ๆ ดว ยกาย จําเดิมแตส วนเบอ้ื งตน ตามสมควร กรรมเปนกายกรรม. เมื่อเปลงวาจาอันเปนประโยชนแ กก รรมน้ัน กรรมเปน วจกี รรม เม่ือไมยังองค คอืกายและองค คือ วาจาใหห วนั่ ไหว คิดดว ยใจ (อยางเดยี ว) กรรมเปนมโนกรรม. อกี อยา งหน่งึ ในเวลาทผี่ ใู หขาวเปน ตน ให (ทาน) โดยคิดวา เราจะใหข า วและนาํ้ เปน ตนก็ดี โดยระลึกถึงทานบารมีกด็ ี บุญกริ ิยาวัตถเุ ปนทาน-
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 742
Pages: