Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_45

tripitaka_45

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_45

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 559ประโยคมอี าทวิ า ทานผูน้ี เปนผเู ลิศ เปนผูประเสรฐิ สุด เปนผสู ูงสดุเปน ผลู ้ําเลศิ กวา บุคคล ๔ จําพวกเหลาน้ี เราเปน ผปู ระเสริฐของชาวโลก.แมในพระสูตรนี้ อคฺค ศัพทน ้ี พงึ ทราบวา ปรากฏในความหมายประเสรฐิ -ทีส่ ดุ เทา นั้น เพราะฉะน้ัน จงึ มีอธบิ ายวา ความเลื่อมใสในส่งิ ที่ล้าํ เลศิ ท้งั หลายคอื สงิ่ ทปี่ ระเสรฐิ สุด จงึ ชอ่ื วา เปน สง่ิ ทล่ี ํ้าเลิศ หรอื ความเลอ่ื มใสท่เี ปน สงิ่ประเสริฐสุด จึงชอื่ วา เปนความเลอ่ื มใสทีล่ ํ้าเลศิ . อน่ึง ในความหมายอยางกอนพระผูมพี ระภาคเจา ตรัสพระรัตนตรยั มีพระพทุ ธเจาเปนตนไวด วยอคั คศัพท. ในสตั วโลกเหลา นั้น พระผูมีพระภาคเจา ชอื่ วา เปน ผูประเสรฐิ กอ นโดยความหมายวา ไมม ีผเู ปรยี บ โดยความหมายวาเปน ผูวิเศษ ดว ยคุณความดีและโดยความหมายวาไมม ผี เู สมอเหมือน. จริงอยู พระองคช ่ือวา เปน ผูล้าํ เลิศโดยความหมายวา ไมม ีผเู ปรียบ เพราะทรงทําอภินิหารมามาก และการสั่งสมบารมี ๑๐ ประการมาเปน เบื้องตน จงึ ไมเปนเชนกบั คนทงั้ หลายทเ่ี หลอื เพราะพระคุณคอื พระโพธสิ มภารเหลา น้นั และเพราะพทุ ธคณุ ทงั้ หลาย. ชื่อวาเปนผลู ํา้ เลิศ เพราะเปน ผสู งู สุดกวาสรรพสัตว แมโ ดยความหมายวา เปนผวู ิเศษดวยคุณความดี เพราะพระองคมพี ระคณุ มีพระมหากรุณาคุณเปน ตน ท่วี เิ ศษกวา คณุ ทงั้ หลายของสรรพสัตวท เ่ี หลือ. ชอ่ื วา เปน ผลู ํา้ เลิศ แมโ ดยความหมายวาไมมผี ูเ สมอเหมือน เพราะพระสัมมาสมั พทุ ธเจาพระองคน ี้เอง เปน ผเู สมอโดยพระคณุ ทางรปู กาย และพระคุณทางธรรมกายกับพระสมั มาสัมพุทธเจา -ทั้งหลาย ในปางกอ น ผไู มเ สมอเหมอื นกบั สรรพสัตว. อนง่ึ พระผมู ีพระภาคเจาทา นเรียกวา เปนผูเลศิ ในโลก เพราะมปี รากฏการณท ห่ี าไดย าก เพราะความเปน อัจฉริยะ. เพราะนาํ มาซึง่ หิตสุขแกคนหมมู าก และเพราะความเปนผไู มเปนทส่ี อง (ของใคร) และไมมใี ครเปนสหาย (รว มคิด) เปนตน เชนทตี่ รสั ไวในปาฐะ (พระบาลี) วา ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ความปรากฏขนึ้ แหง บคุ คล

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 560ผเู ปนเอก หาไดยากในโลก. บุคคลผเู ปนเอกคอื ใคร ? คอื พระตถาคตอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา ภกิ ษุท้งั หลาย บุคคลผเู ปนเอก เม่ืออุบตั ขิ ้นึ ในโลกจะอุบัติขนึ้ เปนอัจฉรยิ มนษุ ย ภิกษุท้งั หลาย บคุ คลผเู ปนเอก เมอื่ อุบตั ิข้นึในโลก จะอบุ ัตขิ ้ึน เพอ่ื ประโยชนเกื้อกูลแกชนหมูมาก ฯลฯ บุคคลผเู ปนเอกน้นั คอื พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ภกิ ษุท้งั หลาย บคุ คลผเู ปนเอกเม่อื เกดิ ขนึ้ ในโลก จะเกิดขน้ึ ไมเปนที่ ๒ (ของใคร) ไมมใี ครเปนสหาย(รว มคิด) ไมมผี เู ทยี บ ไมม ผี ูเทียม ไมมีบคุ คลเทียมทัน ไมม ีผเู สมอ ไมม ีผูเสมอเหมือน เปน ผูลํ้าเลศิ กวาสัตว ๒ เทาท้ังหลาย บุคคลผเู ปนเอก (นัน้ )คอื ใคร คอื พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา. แมพระธรรมและพระสงฆกช็ ือ่ วา ลํา้ เลิศกวา พระธรรมและพระสงฆเหลา อ่นื (ของลทั ธิอื่น) โดยความ-หมายวา ไมมีสิ่งเหมอื นและผูละมาย และโดยเปนของมีปรากฏการณทีห่ าไดย ากเพราะเปนผมู คี ณุ ความดีพิเศษเปน ตน . จริงอยางนน้ั พระธรรมและพระสงฆเหลา อ่ืน จะละมายหรือมคี วามเลวนอ ยกวาคุณวเิ ศษมีความทพ่ี ระธรรมเปนสวากขาตธรรม และความทพี่ ระสงฆนั้นเปนผูป ฏิบัติดเี ปนตน หามไี ม คอืจะเปน ผปู ระเสริฐสดุ มาแตไหน. กแ็ หละพระธรรมและพระสงฆ (ในพระ-ศาสนาน)้ี ช่อื วา ประเสริฐท่สี ุด กวา พระธรรมและพระสงฆอืน่ เหลา นั้นเพราะเปน ธรรมและเปนหมทู ่มี ีคณุ วเิ ศษในตัวเองนัน่ แหละ. อนึง่ พระธรรมและพระสงฆเ หลา นั้น เปน เหตนุ าํ ประโยชนเ ก้อื กูล และความสขุ มาใหชนหมมู ากเพราะเปน ความเกิดข้นึ ทห่ี าไดย ากและเปน ส่ิงที่นาอศั จรรย และมีสภาพไมเปนที่ ๒ ของใคร และไมมใี ครเปน สหาย (รว มคดิ ) เปนตน . แทจ ริง พระผูมี-พระภาคเจา เปน ผูม คี วามปรากฏทห่ี าไดย าก เพราะธรรมทีล่ า้ํ เลศิ อันใด แมพระธรรมและพระสงฆ กเ็ ปนผูมีความปรากฏทหี่ าไดย าก็เพราะธรรมที่ลา้ํ เลิศอนั น้นั . แมในความเปนอจั ฉรยิ ะเปนตน กม็ ีนัยนเ้ี หมอื นกนั . ความเลือ่ มใส

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 561ในสงิ่ ทีล่ า้ํ เลิศ คอื สง่ิ ท่ีประเสริฐ สงู สดุ ทบี่ วร ไดแ ก สิ่งท่ีวิเศษดว ยคุณอยา งน้ี เพราะฉะนน้ั จึงชอ่ื วา อคั คัปปสาทา (ความเลื่อมใสในสิง่ ทลี่ ํ้าเลศิ )แตความเลือ่ มใสที่เปน ของล้ําเลศิ เพราะเกิดขึ้นในพระพทุ ธเจา เปนตนผลู าํ้ เลิศตามทีก่ ลาวมาแลว ในความหมายที่ ๒ ชอ่ื วา เปนความเล่อื มใสอัน-ล้ําเลิศ. สวนชนเหลา ใด ดําเนินมาแลว ตามทางของพระอรยิ เจา มคี วามเลอื่ มใสหย่ังลงแลว ความเล่อื มใสเหลา นั้น เปน ความเลอ่ื มใสล้ําเลศิ โดยสว น-เดยี วน่ันเอง เพราะฉะนัน้ จึงชอื่ วา อคั คัปปสาทา. ดังท่ตี รสั ไวว า ดูกอนภกิ ษ-ุทัง้ หลาย อริยสาวกในพระศาสนานเี้ ปนผูประกอบแลว ดวยความเล่ือมใสท่ีหยัง่ ลงแลวในพระพทุ ธเจาดงั นี้เปน ตน . อนึง่ ความเล่ือมใสเหลา น้ี ชอื่ วาเปน ความเลือ่ มใสลํา้ เลิศ เพราะมผี ลลาํ้ เลิศบา ง. สมจริงดงั ที่พระองคไดต รสัไววา กเ็ มอื่ บุคคลเลอ่ื มใสในส่งิ ทีเ่ ลศิ แลว ผลเลิศก็จะม.ี บทวา ยาวตา ความวา มปี ระมาณเทา ใด. บทวา สตฺตา ไดแกสตั วม ีชวี ิตทงั้ หลาย. บทวา อปาทา ไดแ ก หาเทา มไิ ด. บทวา ทฺวปิ าทาไดแก มีเทา ๒ เทา. แมใน ๒ บททเ่ี หลอื กม็ นี ัยนเี้ หมอื นกนั . วา ศัพทเปน สมุจจยัตถะ ไมใ ชเปนวิกปั ปตถะ (มคี วามหมายรวม ไมใ ชแยกแปลและไมใชแปลวาหรอื ) เหมอื นในคําน้ีวา กามาสวะทย่ี ังไมเ กดิ ขึน้ จะเกิดขน้ึ บา งกามาสวะท่เี กดิ ข้นึ แลว จะเจริญขึ้นบา ง มีความหมายวา ยงั ไมเกดิ ขึน้ และเกิดขนึ้ แลว และในคํานว้ี า เพ่อื การดํารงอยแู หง สตั วท ง้ั หลายทีเ่ ปนภูตบา งเพอ่ื อนุเคราะหส ตั วทง้ั หลายท่เี ปน สัมภเวสีบาง มคี วามหมายวา ท้งั ภูตและสัมภเวสี และในคาํ วา จากไฟบาง จากน้ําบา ง จากความแตกแยกมิตรสมั พันธกันบา ง มีความหมายวา ท้งั จากไฟ ทงั้ จากนา้ํ และจากความแตกจากมติ รสมั พนั ธก ัน ฉนั ใด แมใ นคาํ วา อปาทา วา ฯเปฯ อคฺคมกขฺ ายติ(ไมม ีเทากต็ าม ฯลฯ กลา ววา เลศิ ) นี้ กฉ็ ันนั้น พึงทราบความหมายดวยอํานาจ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 562การรวมกนั วา ทัง้ ไมมเี ทา ท้ังมี ๒ เทา ดวยเหตุน้นั ขาพเจาจงึ ไดกลาวไววาวา ศัพท เปน สมุจจยตั ถะ ไมใชเ ปน วกิ ปั ปตถะ. บทวา รปู โ น วา ไดแกมรี ูป. บทวา อรปู โน วา ไดแ ก ไมมีรูป. บทวา สฺโิ น วา ไดแ กมีสญั ญา ช่ือวา ไมมีสัญญา เพราะหาสัญญามไิ ด. สตั วท ง้ั หลายที่นับเน่อื งในภวคั พรหม ชอ่ื วา มสี ัญญากม็ ิใช ไมม ีสญั ญากม็ ใิ ช กด็ ว ยคาํ เพยี งเทา น้ีพระสมั มาสมั พุทธเจาผทู รงเปน พระธรรมราชาทรงแสดงเทา ความถึงภพทั้ง ๙โดยไมมีเหลือ คือ กามภพ ๑ รปู ภพ ๑ อรูปภพ เอกโวการภพ ๑ จตุโวการ-ภพ ๑ ปญจโวการภพ ๑ สญั ญีภพ ๑ อสญั ญีภพ ๑ เนวสัญญีนาสัญญีภพ ๑. อธบิ ายวา บรรดาภพทง้ั ๙ นี้ พระสมั มาสมั พุทธเจา ทรงแสดงกามภพ รปู ภพ ปญ จโวการภพ เอกโวการภพไวด วย รูป ศัพท. ทรงแสดงอรูปภพ จตุโวการภพ ไวดวย อรปู ศพั ท. สวนสญั ญภี พเปน ตน ทรงแสดงไวโดยสรปุ นน่ั เอง. ดว ยอปาทศพั ทเปนตน ทรงแสดงเอกเทศ (สวนหน่งึ )ของกามภพปญ จโวการภพและสญั ญภี พ. ถามวา กเ็ หตไุ ฉน ในทนี่ ้พี ระผูมีพระภาคเจา จึงไปทรงทาํ การหมายเอาสตั วไ มม ีเทา เปน ตน โดยไปทรงหมายเอาสัตว ๒ เทา เทานั้นวาเปนผเู ลศิกวาสตั ว ๒ เทาทั้งหลาย เหมือนในอทุติยสตู ร (สตู รท่ีวาดวยบคุ คลเอกท่ไี มเปน ที่ ๒ ของใคร) แตทรงหมายเอาสตั วไ มมีเทาเปนตน ? ขา พเจา จะกลาวตอบในอทตุ ยิ สตู ร (สตู รวา ดวยบคุ คลอยางเอกทไ่ี มเปนที่ ๒ ของใคร) กอ นพระองคทรงหมายเอาสตั ว ๒ เทาเทา นน้ั ดวยอาํ นาจทีเ่ ปน ผูป ระเสรฐิ กวาบุคคลผูช อื่ วา ประเสรฐิ ทส่ี ดุ เม่ือจะอบุ ตั ขิ ้นึ ในโลกน้ี จะไมอ ุบัติขนึ้ ในจําพวกสัตวผูไมมเี ทา หรือมี ๔ เทา หรอื มมี ากเทา แตจะอุบัตขิ นึ้ ในจําพวกสตั วผ ูมี๒ เทา เทา นั้น. ในสตั วมี ๒ เทาจําพวกไหน ? ในจําพวกมนษุ ยแ ละเทวดาท้งั หลายเทานั้น. เมือ่ อบุ ตั ิขึน้ ในจาํ พวกมนุษย จะอุบัติเปนพระพุทธเจาผทู รง

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 563สามารถ ใหสตั วโลกทัง้ มวลเปนไปในอํานาจ (ของพระองค) แตในอรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย ทา นกลาวไวว า ทรงสามารถใหส ตั วโลกสามพันโลกธาตุเปน ไปในอํานาจ. เม่ืออุบัติขนึ้ ในจําพวกเทพจะอบุ ัตเิ ปน ทา วมหาพรหม ผูใหสัตวหมืน่ โลกธาตเุ ปนไปในอํานาจ ชนผเู ปน กปั ปยการก หรืออารามกิ ชน ยอ มถึงพรอ มแกพระพทุ ธเจา น้นั ดว ยประการดังนี้ ทานจงึ กลา วไวใ นอทุตยิ สูตรนั้นวา เปน ผเู ลิศกวาสตั ว ๒ เทา ทั้งหลายโดยประเสริฐแมก วา มนุษยและเทวดานน้ั นัน่ เอง. แตใ นพระสูตรนต้ี รสั ไวอยางนี้ โดยครอบคลมุ ไปถงึ สัตวไมม-ีเหลือวา ก็สัตวท้งั ท่เี น่อื งดว ยอตั ภาพมีประมาณเทา ใด หาเทา มิไดก็ตาม ฯลฯมสี ัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญาก็ไมใช กต็ าม บรรดาสตั วเ หลาน้นั พระตถาคตเจาบัณฑิตกลา ววา เปน ผเู ลศิ . กค็ ําวา เตส นี้ เปนฉฏั ฐีวภิ ัตติใชในอรรถนทิ -ธารณะ (สง่ิ ท่ีรวมกันอยซู ง่ึ จะตอ งแยกออก). ม อักษร ทําการเช่อื มบทแยกบทออกเปน อคฺโค อกขฺ ายติ ดังน้.ี บทวา อคฺโค วปิ าโก โหติ ความวา ความเลอื่ มใสใดของผู-เล่ือมใสในพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ผูเลิศ ความเลอ่ื มใสนนั้ เปน สงิ่ ลา้ํ เลศิ เปนสง่ิประเสริฐ เปน สิง่ สงู สดุ หรอื เปน สิ่งสดุ ยอด เพราะฉะน้นั แมผ ลของความเลื่อมใสนัน้ กเ็ ปน ส่ิงล้าํ เลิศ เปน สิ่งประเสริฐ เปน สง่ิ สูงสุด เปน ส่ิงสุดยอดเปนส่ิงโอฬารที่สุด เปนสง่ิ ประณตี ทสี่ ดุ แตค วามเลือ่ มใสนน้ั ยังมี ๒ อยางโดยแยกเปน โลกยิ ะ และโลกุตระ ใน ๒ อยา งนน้ั (จะวาถึงผล) ของความเลื่อมใสทเี่ ปน โลกยิ ะกอ น ควรทราบการประกอบผลพิเศษของความเล่ือมใสดวยสามารถแหงสตุ ตบท มอี าทิอยา งน้วี า ชนเหลา ใดเหลา หนง่ึ ถงึ พระพทุ ธ- เจา แลว สิ วาเปน สรณะ ชนเหลานน้ั จกั ไมไปอบายภูมิ พวกเขาละรางมนุษยไ ป

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 564 แลว จกั ใหกายทพิ ยบ รบิ ูรณ. เพราะวา ปต ทิ มี่ อี ยู ในกายของผูกาํ หนดวา พุทฺโธ เปนส่งิ ประเสรฐิ กวา ปติของชาวชมพทู วปี แมโ ดยกสณิ ชา งแสนเชือก มา แสนตัว รถเทยี มดวยมาหนง่ึ แสน หญงิ สาวผูตก แตง ดวยแกวมณแี ละแกว กณุ ฑลแสนคน ยอมไมถ ึงเส้ยี วท่ี ๑๖ อันจาํ แนกแลว ๑๖ ครั้ง แหงการยา งเทากา วเดยี ว. ขา แตทา นจอมเทพ การถงึ พระพทุ ธเจา เปนทีร่ ะลกึ เปนการดแี ลเพราะเหตุแหงการถึงพระพุทธเจาเปนสรณะแล ทานจอมเทพ สตั วทงั้ หลายบางจาํ พวกในโลกน้ี หลงั จากตายแลว เพราะกายแตกสลายไป จะเขา ถึงสคุ ติ คือ โลกสวรรค อยา งนี้ สตั วเหลาน้นั จะประสบส่ิงเปนทพิ ยอยา งอืน่โดยฐานะ ๑๐ อยา งคอื อายุทพิ ย วรรณทิพย ความสุขทิพย ยศทิพยอธปิ ไตยทิพย รูปทพิ ย เสียงทิพย กลนิ่ ทิพย รสทพิ ย โผฏฐัพพทิพย.เพราะฉะนน้ั ความเล่อื มใสน้ันพงึ ทราบวา อํานวยวิบากเปนสขุ ในสมั ปต-ติภพ พรอ มดว ยการใหอบายทกุ ขห มนุ กลบั (หามอบายทกุ ขได). สวนความเลอื่ มใสที่เปน โลกุตระ ใหวิบากที่เปนสามัญผลดวย ยงั วัฎทุกขใหหมุนกลับดวย (หามวัฏทุกขไว). และความเลอื่ มใสแมทั้งหมดนี้ จะใหวฏั ทุกขหมนุ กลับไดในสมั ปรายภพทเี ดียว. สมจริงดงั ทต่ี รัสไววา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลายสมัยใด อริยสาวกระลกึ ถงึ ศรัทธาของตน สมัยน้นั จิตของทานจะไมถกู ราคะกลมุ รมุ จะไมถ ูกโทสะกลมุ รมุ จะไมถ ูกโมหะกลมุ รุมเลย สมัยนน้ั จติ ของ

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิติวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 565ทานจะดาํ เนนิ ไปตรงทีเดียว ผูมจี ติ ดาํ เนินไปตรงแลว ความปราโมทยจะเกดิขึ้น ผมู ปี ราโมทย (บรรเทิง) แลว ปติจะเกดิ ข้นึ จะรชู ดั วา ฯลฯ กจิ อื่นเพ่ือความเปน อยา งน้ี ไมมีอีกแลว . สภาวธรรม ชอื่ วาธรรม. บทวา สงฺขตาความวา ธรรมท้ังหลายท่ปี จ จัยทั้งหลาย ปรุงแตง เสรจ็ เรยี บรอยแลว เพราะฉะนน้ั จงึ ช่ือวา ปรงุ แตงแลว คอื ธรรมท่มี ปี จจยั . (สวน) ธรรมท้ังหลายท่ีท้ังเหตุทง้ั ปจ จัยอะไร ๆ ไมไ ดท ํา คอื ไมไ ดปรงุ แตง แลว เพราะฉะนนั้ จึงช่อื วา อสังขตะ คอื พระนพิ พานทหี่ าปจจยั ไมได. ธรรมทั้งหลายท่ชี ือ่ วาอสังขตะ เพราะขดั แยงตอ สงั ขตธรรมท้ังหลาย เพราะฉะนน้ั (คาํ นี้) จึงเปนพหพู จน. บทวา วิราโค เตส อคคฺ มกขฺ ายติ ความวา บรรดาสงั ขต-ธรรมและอสงั ขตธรรมทั้งหลาย เหลานน้ั อสงั ขตธรรม กลาวคอื วิราคะบณั ฑิตเรียกวา เลิศ คือประเสริฐ ไดแกสูงสดุ หมายความวา ลา้ํ เลศิ เพราะเปนสิ่งละเอยี ด และสขุ มุ ตามสภาพนน่ั เอง เพราะเปนสงิ่ สงบและประณตี กวาเพราะเปน สิ่งลกึ ซง้ึ เปนตน และเพราะเปน ความสรา งเมาเปน ตน . บทวายทิท เปน นบิ าต ความหมายคือ โย อย (แปลวา น้ใี ด). คาํ วา มทนิมมฺ ทโนเปน ตน ท้ังหมดเปน ไวพจนข องนพิ พานเหมือนกนั . จรงิ อยางน้นั ความเมาทกุ อยาง มเี มาเพราะมานะ เมาในความเปน บรุ ษุ เปนตน จะสรางไป คือถูกทาํ ลายเพราะมาถึงนิพพานนน้ั ความระหายทัง้ หมดมีระหายกามเปนตน กจ็ ะถูกนาํ ออกไป ถงึ ความอาลยั ทัง้ มวล มีอาลัยในกามเปน ตน ก็จะถูกถอนขน้ึกรรมวฏั กิเลสวฏั และวปิ ากวัฏทั้งผอง ก็จะถูกตัดขาด ตณั หาท้ังปวงท่ีแยกประเภทออกเปน ๑๐๘ อยาง ก็จะสน้ิ ไป กเิ ลส กจ็ ะสาํ รอกออกหมด ทุกขยอ มจะดบั ไปสน้ิ เพราะมาถงึ นิพพานนั้น เพราะฉะนั้น พระผมู ีพระภาคเจา จงึตรัสวา มทนิมมฺ ทโน (สรางเมา) ฯลฯ นโิ รโธ (ดบั ทกุ ข). อน่ึง ตัณหานี้ใด ที่ทานเรยี กวา วานะ เพราะตงั้ วิเคราะหว า นําไป คอื เย็บภพเขากบั ภพ

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อิตวิ ตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 566(และ) กรรมเขากบั ผล ตณั หา คอื วานะนน้ั ไมม ีในธรรมชาตนิ ้ี หรอื เม่อืบรรลถุ งึ ธรรมชาตนิ ั้นแลว วานะนน้ั ไมมแี กพ ระอรยิ บคุ คล เพราะฉะนน้ัธรรมชาตินั้น จงึ ช่อื วา นพิ พาน. แมในคาํ วา อคฺโค วิปาโก โหติ น้ี ควรทราบผลพิเศษของความเล่อื มใสในพระธรรม ดว ยสามารถแหงสตุ ตบท มอี าทวิ า ชนเหลา ใดเหลาหนึง่ ถงึ พระธรรม วา เปนทรี่ ะลึกแลวสิ ฯลฯ เพราะวาปต ทิ ่มี ี อยใู นกายของผูกาํ หนดวา ธมฺโม เปน สง่ิ ประเสรฐิ ทเี ดยี ว ขา แตทานจอมเทพ การถึงพระธรรม เปน สรณะ เปน การดแี ลขาแตท า นจอมเทพ เพราะเหตแุ หง การถงึ พระธรรมเปนสรณะแล คนบางจาํ พวกในโลกน้ี ฯลฯ โผฏฐพั พทพิ ย. เมอื่ เปน เชนนั้น ในขอ นี้ ความเลิศกช็ อื่ วา มาแลวดว ยสามารถแหง อสังขตธรรมเทาน้นั . แมค วามสามารถแหงอรยิ มรรค กไ็ ดเนอ้ื ความน้ีเหมอื นกนั เพื่อแสดงถงึ การออกไปแหง สังขตธรรมทง้ั หมด. สมจริงตามทตี่ รสั ไวว า ดกู อนภิกษุท้ังหลาย สังขตธรรมทั้งหลายมีประมาณทา ใด อริยมรรคมอี งค ๘ บณั ฑติ กลาววา เลิศ กวาสังขตธรรมเหลา นน้ั ดงั นี้ และวาอฏั ฐังคิกมรรค ประเสรฐิ ที่สุดดังนี.้ บทวา สงฆฺ า วา คณา วา ไดแ ก หมูห รอื คณะ ในโลกกลาวคอื ชุมนุมชน มปี ระมาณเทาใด. บทวา ตถาคตสาวกสงโฺ ฆ ไดแกสงฆส าวกของพระตถาคตเจา ผรู วมกันดว ยความเสมอกันแหงทฏิ ฐิ และศลีกลาวคอื ชมุ นมุ พระอริยบุคคล ๘ จาํ พวก. บทวา เตส อคคฺ มกฺขายติความวา สงฆสาวกของพระตถาคตเจา บัณฑติ กลา ววา เลศิ คอื ประเสริฐ

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 567สุด ไดแ ก สูงสุด หมายความวา ล้ําเลิศ ดวยคุณวิเศษ มศี ีล สมาธิ ปญ ญาและวิมตุ ติเปน ตน ของตน. บทวา ยททิ  ความวา เหลานีใ้ ด. บทวา จตฺตาริปรุ ิสยุคานิ ไดแก คบู รุ ุษ ๔ คู โดยเปน คู ๆ อยางนี้ คือ ทานผูดํารงในมรรคที่ ๑ ทานผูดาํ รงอยูในผลท่ี ๑ นี้คู ๑ จนถึงทานผูดํารงอยใู นมรรคท่ี ๔ทานผูดํารงอยูในผลที่ ๔ นี้คู ๑. บทวา อฏ ปุรสิ ปคุ ฺคลา ไดแ กบุรษุ บุคคล ๘ จาํ พวก ดว ยอาํ นาจบุรษุ บคุ คลตามนยั นี้ คอื บรุ ุษบคุ คลผูดาํ รงอยูใ นปฐมมรรค คน ๑ บุรุษบุคคลผดู าํ รงอยูในปฐมผล คน ๑. ก็ในที่นี้ บทเหลา น้ี คือ ปุริโส ก็ตาม ปุคคฺ โล ก็ตาม มคี วามหมายอยางเดียวกนั . แตค าํ น้ีพระองคตรัสไวด วยอํานาจแหง เวไนยสัตว. บทวาเอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ความวา โดยเปน คู คูบุรุษ ๔ คู เหลานี้โดยแยกกนั บรุ ษุ บุคคล ๘ จาํ พวกน่ีแหละ ชือ่ วา สงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคเจา. พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในคําวา อาหุเนยโฺ ย เปน ตนตอไป สง่ิ ของชอ่ื วาอาหุนะ เพราะเขาพึงนํามาบูชา. อธิบายวา พึงนํามาจากทไี่ กล แลวถวายแดท า นทง้ั หลายผูมศี ีล. คํานเี้ ปน ชอ่ื ของปจจยั ๔. พระสงฆช่อื วา เปน ผูควรรับของที่เขาพึงนาํ มาบชู านนั้ เพราะทําใหเปนทานมีผลมาก เพราะฉะนัน้จงึ ชอ่ื วา อาหเุ นยยะ. อีกอยางหนง่ึ แมส มบัตทิ ั้งมวล ท่ีเขาพึงนาํ มาแมแ ตทไี่ กลแลว บชู าไวใ นไฟคอื อาหุนะน้ี หรอื ไฟคืออาหวนะ ควรแกสกั การะเปน ตน เพราะฉะนนั้ จงึ ชอื่ วา อาหวนยี ะ. ไฟของพราหมณท ัง้ หลายน้ีใดชือ่ วา อาหวนยี ะ ท่ีเปนเหตุใหพราหมณเหลา น้นั มีลทั ธวิ า ยญั ทบ่ี ูชาแลว มีผลมาก ถาหากไฟน้ันช่ือวา อาหวนยี ะ เพราะภาวะที่บูชาแลวมผี ลมากพระสงฆน ัน่ เอง ก็ช่ือวา อาหวนยี ะ เพราะยัญท่ีบชู าแลว ในพระสงฆ กม็ ีผลมาก ดังท่ีตรัสไวว า

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 568 กก็ ารบูชาของผบู ูชา ทานผูอบรม คนแลว ผเู ดียว แมเพยี งครูเดียวเทา นน้ั ประเสรฐิ กวาการบูชาของผบู ําเรอ (บูชา) ไฟในปา เปน เวลารอยป การบูชาเปน เวลารอ ยป จะประเสรฐิ อะไรเลา ? บทวา อาหวนีโย นน้ี นั้ ในนิกายอืน่ โดยเนือ้ ความแลว เปนอนั เดยี วกันกบั บทวา อาหเุ นยโฺ ย ในพระสตู รนี้ แตโ ดยพยัญชนะแลวตางกันเพยี งเลก็ นอยเทา นัน้ . เพราะฉะนนั้ ทานจึงทําการพรรณนาความไวอยา งนี้. แตวา ของทีจ่ ะใหแขก (ของรบั แขก) ทีจ่ ดั ไวดวยสกั การะ เพ่ือประโยชนแกญ าติและมิตรทั้งหลาย ผูเปน ทร่ี ักใคร เปน ทีพ่ อใจ ทม่ี า ๆ แลวจากทศิ และทิศเฉยี ง พระองคตรสั เรียกวา ปาหุนะ ในคําวา ปาหเุ นยฺ โย น้ีของที่จะใหแ ขกแมน น้ั เวน คนเหลา นั้น คอื แขกประเภทนัน้ แลว ควรถวายแกพ ระสงฆเทานน้ั . อนึ่ง เพราะวาพระสงฆน ่ันจะปรากฏ แมใ นระหวา งพุทธันดรหน่งึ และไมดาษดืน่ . แตในท่นี ี้ ความหมายของบทมดี ังนี้ พระสงฆประกอบแลว ดวยธรรมทง้ั หลาย อนั กระทาํ ความเปน ผนู ารัก นาพอใจ ดังนน้ัตามท่ีพรรณนามานี้ พระสงฆจ ึงช่อื วา ปาหุเนยฺโย เพราะของตอนรบัควรจะถวายแกทาน และทานควรรบั ของตอนรับ สวนอรรถาธบิ ายของอาจารยท งั้ หลาย ท่ีมบี าลวี า ปาหวนีโย มวี า เพราะเหตทุ ีพ่ ระสงฆควรซง่ึการทาํ กอน ฉะน้นั พระสงฆจงึ ช่อื วา ปาหวนีโย เพราะคนทัง้ หลายควรนําของมาบูชากอ นผอู ่ืน. อกี อยางหนึ่ง พระสงฆช่อื วา ปาหวนีโย เพราะควรซึง่ การบชู า โดยประการทัง้ ปวง. ในพระสตู รน้ี พระสงฆน ้นี น้ั พระองคตรัสเรียกวา ปาหเุ นยฺโย โดยอรรถาธบิ ายนน้ั นั่นแหละ.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 569 บทวา ทกขฺ ณิ า ความวา พระสงฆช อ่ื วา ทักขิเณยยะ เพราะควรซงึ่ ทานท่ีคนทง้ั หลายเช่ือปรโลกแลว ถวายซง่ึ ทกั ษณิ านน้ั หรอื เปน ผเู กื้อกลู แกทกั ษณิ า เพราะใหท ักษณิ าหมดจด โดยทาํ ใหมีผลมาก. พระสงฆช ่ือ อัญชลี-กรณียะ เพราะควรซ่ึงอญั ชลกี รรม (การไหว) ที่ชาวโลกทงั้ หมดทาํ โดยวางมอื ท้งั ๒ ไวบ นศีรษะ. บทวา อนุตฺตร ปุฺ กฺเขตฺต โลกสฺส ไดแกเปนสถานทง่ี อกงามแหง บญุ ของสตั วโลกทั้งมวล ไมม สี ถานท่อี ่ืนเหมือน.อปุ มาเสมือนหน่ึงวา สถานที่ ๆ ขาวสาลแี ดง หรือขาวยวะงอกงาม ชาวโลกเรยี กวา นาขา วสาลี นาขา วยวะ ฉนั ใด พระสงฆก ็ฉันน้ัน เปนสถานที่งอกงามแหงบุญของสตั วโลก พรอมทั้งเทวโลก. เพราะวา บญุ ท้งั หลายที่ใหเกดิ ประโยชนเกอ้ื กูล และความสขุ แกส ตั วโลก อาศัยพระสงฆแ ลว จึงงอกงามขน้ึ เพอ่ื ฉะน้ัน พระสงฆจ งึ ชอื่ วา เปนนาบุญของสตั วโลก ไมม นี าบญุ อน่ืยง่ิ กวา. แมในทีน่ ้กี ็ควรทราบ การประกอบผลพเิ ศษของความเลอ่ื มใสในพระสงฆ ดว ยสามารถแหงสตุ ตบท มอี าทอิ ยางน้วี า ชนเหลาใดเหลาหน่งึ ถงึ พระสงฆ วา เปนทพี่ ่งึ แลว ซิ ฯลฯ เพราะวา ปติทีม่ ีอยู ในกายของผูก าํ หนดอยู (ในใจ) วา สงฺโฆ เปนส่งิ ท่ปี ระเสรฐิ ทเี ดียว ขาแตทานจอมเทพ การถึงพระสงฆเปนสรณะ เปน การดีแล เพราะเหตุแหง การถงึ พระสงฆเ ปน สรณะแล ทานจอมเทพ ฯลฯ คนบางจําพวกใน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อติ วิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 570โลกน้ี ฯลฯ โผฏฐัพพทพิ ย. ดวยพระพุทธพจนนนั้ พงึ ทราบความท่ีความเลือ่ มใสนัน้ เปนของลํา้ เลิศ และความทค่ี วามเลอื่ มใสนัน้ มผี ลเลศิ . อน่ึงพงึ ทราบความทีค่ วามเล่อื มใสมผี ลเลิศ ดว ยสามารถแหงการใหสําเรจ็ ผลอนัโอฬาร มีอาทอิ ยา งนว้ี า การตดั ขาดวัฏทกุ ข เร่ิมตน แตการเกดิ ในภพท่ี ๗เปนตน เพราะไดเ ฉพาะซง่ึ การเห็นอันยอดเยย่ี ม เปน เหตแุ หง การบรรลคุ วามสขุ ทยี่ อดเยยี่ ม. พึงทราบวนิ ิจฉัยในคาถาทั้งหลาย ดงั ตอไปน.้ี บทวา อคคฺ โตความวา ผเู ล่ือมใสแลว ในพระรัตนตรยั อันลา้ํ เลิศ โดยความเปน ของเลศินน่ั เอง. บทวา อคคฺ  ธมฺม ความวา รูอ ยู คือทราบอย.ู ซึง่สภาวะทลี่ าํ้ เลศิ คือ ความท่ีพระพุทธเจา เปนผูตรสั รูดีแลว ความที่พระธรรมเปน ธรรมดี และความทพ่ี ระสงฆเปน ผปู ฏบิ ตั ิดแี ลว ไดแ กภาพที่สงู สดุ ของพระรัตนตรัย ทไี่ มท วั่ ไปแกส่งิ อืน่ หรอื สภาพของคณุ ความดี มีทศพลญาณเปน ตน (ของพระพุทธเจา ) ความเปน ธรรมทพี่ ระผูม ีพระภาคเจาตรสั ไวดีแลว (ของพระธรรม) และความเปน ผปู ฏิบัตดิ ีแลว เปน ตน (แหงพระสงฆ). พระผมู พี ระภาคเจา ครั้นทรงแสดงพระรตั นตรยั อันเปนท่ีต้งั แหงความเลอื่ มใสอันเลศิ โดยทั่วไปอยา งน้ีแลว บัดน้ี เพือ่ จะทรงแสดงพระ-รตั นตรัยนนั้ โดยไมทัว่ ไป ดวยการทรงจาํ แนกออกไป จงึ ไดต รัสคํามีอาทิไวว า อคฺเค พทุ ฺเธ ดงั นี้. บรรดาบทเหลานั้น บทวา ปสนฺ ฺนาน ความวา เล่ือมใสแลว คอืนอมใจเช่อื แลว ดว ยความเลื่อมใสท่ีตั้งม่นั แลว และดวยความเลอื่ มใสนอก

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ที่ 571จากน.ี้ บทวา วิราคูปสเม ความวา ท่คี ลายกาํ หนัดและท่ีสงบ. อธบิ ายวาทีเ่ ปนเหตุคลายกาํ หนัดลวงสวนแหงราคะท้งั หมด และที่เปน เหตสุ งบลว งสว นแหงกเิ ลสทง้ั มวล. บทวา สเุ ข ความวา ทชี่ อ่ื วาเปนสขุ เพราะพระธรรมเปน เหตสุ นิ้ วัฏทกุ ข และเพราะพระธรรมเปนเหตแุ หงความสุข เพราะระงับสังขารทัง้ หลาย. บทวา อคฺคสฺมึ ทาน ททต ความวา ใหทานอยู คอืบริจาคไทยธรรมอยู ในพระรตั นตรัยทลี่ ํา้ เลิศ. บรรดารตั นะทง้ั ๓ เหลา นน้ั เหลาชนเมื่อบํารงุ คือบชู าพระผูม ี-พระภาคเจา ผยู งั ทรงดาํ รงพระชนมอยู ดวยปจจยั สี่ และบาํ รุงคอื บูชาไดแ กสักการะพระธาตเุ จดยี เปน ตน อทุ ศิ พระผูมพี ระภาคเจา ผเู สดจ็ ปรินิพพานแลว ชือ่ วา ถวายทานในพระพุทธเจา. บทวา ธมฺม ปูเชสสฺ าม ความวาชนเหลาใดอุปฐากคือบูชา ไดแ กส ักการะอยซู ่งึ บุคคลทั้งหลายผูท รงธรรมดว ยปจ จยั ส่ี และเมื่อสรา งพระธรรมไวใหด ํารงอยตู ลอดกาลนาน ชอ่ื วา ใหทานในพระธรรม. เม่อื อปุ ฐากคือบูชา ไดแ กสักการะพระอริยสงฆอ ยางนนั้ดวยปจจัย ๔ และปฏบิ ตั อิ ยา งนน้ั แมใ นภกิ ษนุ อกจากน้ี อุทิศพระอรยิ สงฆน ้ันช่อื วา ถวายทานในพระสงฆ. บทวา อคฺค ปุ ฺ ปวฑฺฒติ ความวา เมอ่ื ชนทั้งหลายมใี จเล่ือมใสในพระรัตนตรัยอยา งนี้ ยังการบริจาคอยางโอฬาร และการบชู าสักการะอยางโอฬารใหเปนไป เปนอนั กอ สรางกศุ ลท่ีลํา้ เลศิ คือ โอฬารทุก ๆวนั . บัดนี้ เพอ่ื จะทรงแสดงความท่บี ญุ นัน้ เปนของลํา้ เลศิ เพราะมีผลเลศิจงึ ตรัสคํามอี าทไิ วว า อคฺค อายุ ดงั นี้. บรรดาบทเหลานั้น บทวา อคฺค อายุ ไดแก อายทุ พิ ย (เทวดา)หรอื อายุมนษุ ยท ่ีล้าํ เลิศคอื ยืนที่สุด. บทวา ปวฑฺฒติ ความวา เพ่มิ พนู สูง ๆ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิตวิ ุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาที่ 572ขึ้นรูป. บทวา วณโฺ ณ ไดแก รปู สมบตั .ิ บทวา ยโส ไดแ ก บรวิ าร-สมบตั .ิ บทวา กติ ตฺ ิ ไดแก เสยี งสดุดีกึกกอง. บทวา สุข ไดแก ความสุขทางกายและความสุขทางใจ. บทวา พล ไดแ ก กําลงั กายและกําลงั ความร.ูบทวา อคฺคสสฺ ทาตา ความวา ถวายแกพระรัตนตรัยอนั ลํ้าเลิศ อีกอยางหนึง่บาํ เพญ็ บุญในพระรัตนตรัยนั้น โดยทําการถวายไทยธรรมอนั เลศิ ใหโอฬาร.บทวา อคคฺ ธมมฺ สมาหิโต ความวา ดาํ รงอยแู ลว คือ ประกอบแลว ดว ยธรรมคอื ความเล่ือมใส และธรรมมีทานเปนตน ท่ีล้าํ เลิศ ไดแ กประกอบดว ยความเล่อื มใสทไ่ี มห วน่ั ไหว หรอื ประกอบดว ยธรรมท้ังหลาย มคี วามรักใครและความพอใจของคนจาํ นวนมากเปน ตน ทเี่ ปนผลของความเล่อื มใสนั้น. บทวา อคฺคปปฺ ตโฺ ต ปโมทติ ความวา ประสบความลา้ํ เลิศ คือความประเสรฐิ สดุ ในหมสู ตั วทต่ี นเกิดแลว หรอื เปน ผบู รรลมุ รรคผลท่เี ปนโลกุตระแลว ยอมบันเทงิ คอื รืน่ เรงิ ใจ ไดแ กพอใจมาก ดงั นแี้ ล. จบอรรถกถาปสาทสตู รท่ี ๑ ๒. ชีวติ สตู ร วา ดว ยกอ นขา วของชาวแวน แควน [๒๗๑] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ความเปน อยูเพราะการแสวงหากอน-ขา วน้ี เปนกรรมทล่ี ามกของบุคคลผูเปนอยูท้ังหลาย บคุ คลผูดา ยอมดาวาทา นผนู ีม้ บี าตรในมอื ยอ มเท่ยี วแสวงหากอ นขา วในโลก ดกู อ นภิกษุทั้งหลายกก็ ลุ บุตรทง้ั หลาย เปน ผูเ ปน ไปในอาํ นาจแหง เหตุ อาศัยอาํ นาจแหง เหตุ ไมไดถูกพระราชาทรงใหน าํ ไปจองจําไวเ ลย ไมไ ดถูกพวกโจรนําไปกักขังไว

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อติ ิวตุ ตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนา ท่ี 573ไมไ ดเ ปนหนี้ ไมไดต กอยใู นภยั เปน ผมู ีความเปน อยูเปนปกติ ยอมเขา ถงึความเปน อยูดวยการแสวงหากอ นขา วนนั้ ดวยคิดวา กแ็ มพ วกเราแล เปน ผูถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั อุปายาส ครอบงําแลวถกู ทกุ ขติดตามแลว ถกู ทกุ ขครอบงาํ แลว แมไฉน การการทาํ ซง่ึ ที่สุดแหงกองทุกขท ัง้ สนิ้ น้ีจะพึงปรากฏ ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ก็กุลบตุ รผูบวชแลว อยางน้ีเปน ผูมีอภิชฌามาก มีความกาํ หนดั อันแรงกลาในกามทัง้ หลาย มีจิตพยาบาทมีความดํารแิ หง ใจช่วั ราย มีสตหิ ลงลืม ไมร สู ึกตัว มจี ติ ไมตั้งม่นั มจี ติ หมนุไปผดิ ไมส าํ รวมอนิ ทรยี  เรากลาวบคุ คลนีว้ า มอี ปุ มาเหมอื นดนุ ฟน ในทเ่ี ผาผีทไ่ี ฟติดท่วั แลว ทง้ั สองขาง ตรงกลางเปอ นคถู จะใชประโยชนเ ปนฟน ในบานในปา ก็ไมส ําเร็จฉะนั้น บคุ คลนเ้ี ส่อื มแลว จากโภคะแหงคฤหัสถ และไมยังผลแหงความเปน สมณะใหบรบิ รู ณได. พระผูมพี ระภาคเจาไดต รัสเน้อื ความนแ้ี ลว ในพระสูตรนัน้ พระ-ผมู ีพระภาคเจา ตรัสคาถาประพนั ธด ังนว้ี า บคุ คลผมู ีสวนชว่ั เสอื่ มแลวจาก โภคะแหง คฤหสั ถ ยอ มขจดั ผลแหง ความ เปนสมณะใหกระจัดกระจายไป เหมือน ดนุ ฟนในทเี่ ผาผีฉิบหายไปอยู ฉะนัน้ กอ นเหล็กรอ นเปรยี บดวยเปลวไฟ อัน บุคคลบริโภคแลว ยังจะดกี วา บุคคลผู ทศุ ีล ผูไมสาํ รวม พึงบริโภคกอนขา ว ของชาวแวน แควนจะดอี ะไร. จบชีวติ สตู รท่ี ๒

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อติ ิวุตตก เลม ๑ ภาค ๔ - หนาท่ี 574 อรรถกถาชีวติ สตู ร ชีวิตสตู รท่ี ๒ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงไวด วยอาํ นาจเหตุที่เกดิ ขึ้น. ดังไดท ราบมาวา สมัยหน่งึ เม่อื พระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยทู ี่นโิ ครธาราม ใกลกรงุ กบลิ พสั ดุ ภกิ ษุทงั้ หลายพากนั ปทู ่นี ง่ั ทน่ี อนสาํ หรับภกิ ษุอาคนั ตกุ ะทงั้ หลาย กาํ ลงั เกบ็ บาตรและจวี รอยู และสามเณรทั้งหลายพากนั รับเอาลาภ ของภกิ ษุทง้ั หลาย ผมู าแลวมาถึงแลว ในที่ ๆ แจกลาภไดส งเสียงอกึ ทกึพระผมู พี ระภาคเจา ทรงสดับเสียงนนั้ แลว ไดทรงประณาม (ขับไล) ภิกษุเหลา นนั้ . ไดทราบวา ภิกษุเหลา นน้ั เปน ภกิ ษุใหมท ้งั น้นั มาสพู ระธรรมวนิ ยั นี้ยังไมน าน. ทา วมหาพรหมทราบพฤตกิ ารณน ั้นแลว ไดเสด็จมาแลว ทูลขอพระพทุ ธานเุ คราะห แกภ ิกษทุ ถี่ ูกประณามเหลา นั้นวา ขาแตพ ระองคผูเ จริญขอพระผูมพี ระภาคเจา จงทรงพอพระทยั ภิกษสุ งฆ. พระผูม พี ระภาคเจาไดทรงเปดโอกาสใหท า วมหาพรหมน้ัน. ทนี ้ันทา วมหาพรหมไดกราบทูลพระผมู ีพระ-ภาคเจา วา พระผูมีพระภาคเจา ไดเ ปด โอกาสใหข าพระองคแ ลว ไดถ วายบังคมพระผูมีพระภาคเจา กระทําประทกั ษิณแลว ไดเสดจ็ หลีกไป. ครัง้ นน้ั พระผูมี-พระภาคเจาทรงดาํ รวิ า ขอพระภกิ ษุสงฆจ งมาเถิด แลว ไดทรงแสดงอาการแกพระอานนทเถระ. เมื่อเปน เชนน้นั ภิกษุเหลา นั้นจึงถกู พระอานนทเถระเรยี กใหม าหา ไดพากันเขาเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ยินดแี ลว ไดน ง่ั อยู ณ ท่สี มควรขางหนึง่ . พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพจิ ารณาหาพระธรรมเทศนาทจี่ ะเปน สปั ปายะของภกิ ษุเหลานั้น ทรงพระดํารวิ า ภิกษเุ หลานถี้ ูกเราตถาคตประณาม เพราะเหตุแหง อามิส ธรรมเทศนาวา ดวยกอนขา วที่ทําเปนคาํ ๆ จะเปน สัปปายะของ




















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook