Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_28

tripitaka_28

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_28

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 131พระปณุ ณเถระกลบั ดวยตรัสส่ังวา เธอจงอยใู นทีน่ ้แี ล ไดเสดจ็ ไปยังฝงแมน้าํ นัมมทานที อันมอี ยโู ดยลาํ ดับ. พระยานาคนมั มทากระทาํ การตอนรบั พระศาสดา ใหเสดจ็ เขาไปสูภ พนาค ไดก ระทําสักการะตอพระรตั นตรัย. พระศาสดาแสดงธรรมแกพระยานาคนน้ั แลวออกจากภพนาค. พระยานาคน้ัน ออ นวอนวา ขา แตพ ระองคผ เู จริญ ขอพระองคจงประทานส่งิ ทีค่ วรสละแกขาพระองค. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงเจดียคอื รอยพระบาทไว ณ ฝงแมน า้ํ นมั มทานที เจดียค อื รอยพระบาทนัน้ เม่อื คลน่ื หลากมา ๆ ยอ มปด เมอ่ื คลน่ื ไปแลวยอ มเปดออก ความถึงพรอมดวยมหาสกั การะไดม แี ลว . พระศาสดาเสด็จออกจากท่นี ้ัน แลวเสดจ็ ไปยงั สจั จพนั ธบรรพต ตรสั กะสจั จพันธภกิ ษุวา เธอทาํ ใหมหาชนหย่งั ลงไปในทางอบาย เธอจงอยใู นที่นี้แหละ ใหช นเหลา น้ันสละลทั ธเิ สยีแลว ใหด ํารงอยใู นทางแหง พระนพิ พาน. ฝายพระสัจจพนั ธภิกษุนนั้ ทูลขอขอ ทคี่ วรประพฤต.ิ พระศาสดาแสดงพระเจดีย คอื รอยพระบาท ที่หลังแผนหนิ แทงทบึ เหมอื นรอยตรา ทกี่ อ นดนิ เหนียวเปย ก. แตน นั้ ก็เสดจ็กลับพระวหิ ารเชตวนั ตามเดิม. ทานหมายเอาขอนั้น จงึ กลา วคํามีอาทิวาเตเนว อนตฺ รวสเฺ สน เปนตน. บทวา ปรนิ ิพพฺ ายิ ไดแ ก ปรินพิ พานดว ยอนุปาทเิ สสปรนิ ิพพานธาตุ. มหาชน กระทาํ การบูชาสรีระของพระเถระ ๗ วนั ใหรวบรวมไมหอมเปนอนั มาก ใหณาปนกจิ แลวเก็บเอาธาตทุ ําพระเจดีย. บทวาสมฺพหลุ า ภิกฺขู ไดแก เหลา ภกิ ษุ ผูอ ยใู นทใ่ี กลพระเถระ. คาํ ท่เี หลอืในบททงั้ ปวงงา ยท้ังนัน้ . จบ อรถถกถาปุณณสูตรที่ ๕

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 132 ๖. พาหยิ สูตร วาดวยทรงแสดงธรรมเพอื่ อยูผ เู ดียว [๑๑๘] ครง้ั น้ันแล ทา นพระพาหยิ ะไดเขาไปเฝาพระผมู ีพระ-ภาคเจา ถึงที่ประทับ ฯลฯ คร้ันแลวไดกราบทลู พระผูมีพระภาคเจาวา ขา แตพระองคผูเจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผมู พี ระภาคเจา โปรดแสดงธรรมแกขา พระองคโดยยอ ท่ีขาพระองคไดฟ งแลวพึงเปนผู ๆ เดียวหลกี ออกจากหมู ไมป ระมาท มคี วามเพียร มีใจเดด็ เด่ียว อยูเถดิ . พระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา ดูกอนพาหยิ ะ เธอจะสําคัญความขอ น้นัเปน ไฉน จกั ษเุ ที่ยงหรอื ไมเทยี่ ง. ทา นพระพาหิยะกราบทลู วา ไมเ ทย่ี งพระเจาขา . พ. ก็สิ่งใดไมเทย่ี ง สงิ่ นั้นเปน ทกุ ขหรอื เปน สุขเลา. พา. เปน ทกุ ข พระเจาขา . พ. กส็ ่งิ ใดไมเทีย่ ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื ที่จะตามเห็นสงิ่ นัน้ วา นัน่ ของเรา เราเปนนน่ั นน่ั เปนตวั ตนของเรา. พา. ไมค วรเหน็ อยา งนั้น พระเจาขา . พ. รปู เท่ียงหรือไมเ ทย่ี ง. พา. ไมเท่ียง พระเจา ขา. พ. จักษุวญิ ญาณ จกั ษสุ มั ผัส สขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอือทุกขมสุขเวทนา ท่เี กิดขนึ้ เพราะจักษุสมั ผสั เปนปจ จยั เทย่ี งหรือไมเทยี่ ง

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 133 พา. ไมเทยี่ ง พระเจา ขา. พ. ก็ส่ิงใดไมเ ที่ยง ส่ิงน้นั เปนทกุ ขห รือเปนสุขเลา . พา. เปน ทกุ ข พระเจา ขา. พ. ก็สิ่งใดไมเทยี่ ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาควรหรือท่จี ะตามเหน็ สงิ่ น้นั วา นนั่ ของเรา เราเปนนั่น น่ันเปนตัวตนของเรา. พา. ไมค วรเห็นอยา งน้นั พระเจาขา. พ. ใจเท่ียงหรอื ไมเ ทยี่ ง. พา. ไมเท่ียง พระเจาขา . พ. ก็สิง่ ใดไมเทยี่ ง ส่ิงน้ันเปนทุกขหรือเปน สุขเลา. พา. เปนทกุ ข พระเจาขา . พ. กส็ ่งิ ใดไมเ ท่ียง เปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรือท่ีจะตามเห็นสงิ่ นั้นวา นน่ั ของเรา เราเปน นั่น นนั่ เปน ตวั ตนของเรา. พา. ไมควรเห็นอยา งนั้น พระเจา ขา . พ. ธรรมารมณเที่ยงหรือไมเ ทยี่ ง พา. ไมเทีย่ ง พระเจาขา. พ. มโนวญิ ญาณ มโนสัมผสั สขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสุขเวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะมโนสมั ผัสเปน ปจจัย เทยี่ งหรอื ไมเท่ยี ง. พ. ไมเ ที่ยง พระเจา ขา. พ. กส็ งิ่ ใดไมเ ที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรอื เปน สุขเลา . พา. เปน ทกุ ข พระเจา ขา .

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 134 พ. กส็ ง่ิ ใดไมเทย่ี ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื ทจ่ี ะตามเหน็ สงิ่ นั้นวา น่ันของเรา เราเปนน่ัน น่ันเปนตวั ตนของเรา. พา. ไมควรเหน็ อยา งนั้น พระเจาขา. พ. ดกู อ นพาหิยะ อรยิ สาวกผไู ดส ดบั แลว เหน็ อยอู ยา งนี้ ยอมเบ่อื หนา ย ท้ังในจักษุ ท้ังในรปู ทง้ั ในจกั ษวุ ญิ ญาณ ท้งั ในจกั ษสุ มั ผัสทั้งในสุขเวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทุกขมสุขเวทนา ท่เี กิดข้ึนเพราะจกั ษุสมั ผัสเปนปจจยั ฯลฯ ยอมเบือ่ หนายท้งั ในใจ ทัง้ ในธรรมารมณ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสมั ผัส ทง้ั ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสขุ เวทนา ท่ีเกดิ ขึ้นเพราะมโนสมั ผัสเปนปจ จยั เมื่อเบื่อหนา ยยอมคลายกําหนดั เพราะคลายกาํ หนัด จึงหลดุ พน เมื่อหลดุ พนแลวยอมมีญาณหยงั่ รูวา หลดุ พนแลว ยอ มรูชัดวา ชาตสิ ้ินแลว พรหมจรรยอยูจ บแลว กิจทีค่ วรทาํ ทําเสร็จแลว กิจอน่ื เพือ่ ความเปน อยา งน้มี ิไดม.ี [๑๑๙] คร้ังนน้ั แล ทา นพระพาหิยะช่นื ชมยนิ ดพี ระภาษติ ของพระผูม พี ระภาคเจา ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผูม พี ระภาคเจาทําประทกั ษิณแลว หลีกไป คร้ังนั้นแล ทา นพระพาหยิ ะเปนผู ๆ เดียวหลีกออกจากหมู ไมป ระมาท มีความเพียร มใี จเด็ดเดี่ยว กระทําใหแจง ซึง่ ทสี่ ดุ แหง พรหมจรรยอ นั ยอดเยย่ี ม ซึง่ กลุ บตุ รท้ังหลายออกบวชเปนบรรพชติ โดยชอบตอ งการ ดวยปญญาอนั ยงิ่ ดว ยตนเองในปจ จุบนั เขาถึงอยู ไดร ูชัดวา ชาติสนิ้ แลว พรหมจรรยอ ยูจบแลว กจิ ท่ีควรทําทาํเสรจ็ แลว กิจอน่ื เพ่ือความเปน อยา งน้มี ิไดมี กแ็ หละทานพระพาหยิ ะไดเปนพระอรหันตองคห นึ่ง ในจาํ นวนพระอรหนั ตท้งั หลาย. จบ พาหิยสูตรท่ี ๖

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 135 อรรถกถาพาหยิ สูตรท่ี ๖ พาหยิ สูตรที่ ๖ มเี นอ้ื ความงา ยทง้ั น้นั . จบ อรรถกถาพาหยิ สูตรท่ี ๖ ๗. ปฐมเอชสตู ร๑ วา ดว ยความหวนั่ ไหว [ ๑๒๐ ] พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ความหว่ันไหวเปนโรค ความหวั่นไหวเปน ฝ ความหวั่นไหวเปนลกู ศร ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เพราะเหตุนั้นแล ตถาคตเปนผูไมหวน่ั ไหว ปราศจากลกู ศรอยู ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย เพราะเหตนุ น้ั แล ถา แมภิกษพุ ึงหวงั วา เราพงึเปนผูไมมคี วามหวน่ั ไหว ปราศจากลูกศรอยู ภกิ ษไุ มพงึ สาํ คญั ซงึ่ จักษุไมพงึ สําคัญในจกั ษุ ไมพึงสําคัญแตจกั ษุ ไมพงึ สาํ คญั วาจักษุของเรา ไมพึงสําคญั ซ่งึ รปู ท้ังหลาย ไมพงึ สําคญั ในรูปท้ังหลาย ไมพงึ สาํ คัญแตร ปูทง้ั หลาย ไมพ ึงสําคญั วา รปู ท้งั หลายของเรา ไมพงึ สําคัญซงึ่ จักษุวิญญาณไมพงึ สําคญั ในจกั ษุวญิ ญาณ ไมพึงสาํ คญั แตจ กั ษวุ ญิ ญาณ ไมพึงสาํ คญั วาจักษุวิญญาณของเรา ไมพงึ สาํ คญั ซึ่งจักษุสัมผสั ไมพึงสาํ คญั ในจกั ษุสัมผสัไมพึงสําคัญแตจ ักษสุ มั ผสั ไมพ ึงสาํ คญั วา จักษสุ มั ผัสของเรา ไมพึงสาํ คัญซง่ึ สขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทุกขมสุขเวทนา ทีเ่ กดิ ข้นึ เพราะจักษสุ ัมผัสเปนปจ จัย ไมพ ึงสาํ คญั ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนาที่เกดิ ข้ึนเพราะจักษสุ มั ผสั เปนปจจยั ไมพ ึงสาํ คญั แตสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา.๑. อรรถกถาสตู รที่ ๗-๘ แกรวมไวท ายสูตรท่ี ๘

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 136หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทีเ่ กิดข้ึนเพราะจักษุสมั ผัสเปนปจจยั ไมพงึ สําคัญวาสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ท่ีเกิดข้นึ เพราะจักษสุ ัมผสัเปน ปจจัย ของเราไมพ ึงสาํ คญั ซงึ่ โสตะ... ไมพึงสาํ คัญซ่ึงฆานะ... ไมพงึสาํ คัญซ่ึงกาย . . . ไมพ งึ สาํ คญั ซ่งึ ใจ ไมพ ึ่งสาํ คญั ในใจ ไมพ งึ สําคญั แตใ จไมพ ึงสําคญั วา ใจของเรา ไมพึงสําคญั ซง่ึ ธรรมารมณท ้ังหลาย . . . ไมพงึสาํ คญั ซ่ึงมโนวญิ ญาณ ไมพึงสําคัญในมโนวญิ ญาณ ไมพ งึ สาํ คญั แตม โน-วญิ ญาณ ไมพึงสาํ คัญวา มโนวิญญาณของเรา ไมพ ึงสําคญั ซงึ่ มโนสมั ผสัไมพึงสําคัญในมโนสัมผัส ไมพงึ สําคญั แตม โนสมั ผัส ไมพงึ สาํ คัญวามโน-สัมผสั ของเรา ไมพึงสาํ คัญซ่ึงสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนาทเี่ กิดขึ้นเพราะมโนสมั ผสั เปนปจ จยั ไมพ ึงสาํ คญั ในสขุ เวทนา ทุกขเวทนาหรอื อทุกขมสุขเวทนาทีเ่ กดิ ขึ้นเพราะมโนสัมผสั เปน ปจ จัย ไมพ ึงสําคัญแตสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสุขเวทนา ทเี่ กิดขึน้ เพราะมโนสมั ผสัเปนปจจัย ไมพึงสาํ คญั วา สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนาทเ่ี กิดขึ้นเพราะมโนสัมผสั เปน ปจจัย ของเรา ไมพ ึงสําคัญซ่ึงส่ิงทั้งปวง ไมพงึ สาํ คญั ในสงิ่ ทั้งปวง ไมพึงสาํ คัญแตสงิ่ ทัง้ ปวง ไมพ ึงสําคัญวา สง่ิ ทัง้ ปวงของเรา เธอนน้ั เมือ่ ไมส ําคญั อยางนี้ กไ็ มถอื มนั่ อะไร ๆ ในโลก เม่ือไมถือมน่ั กไ็ มส ะดงุ เมอื่ ไมสะดงุ ยอมดบั สนิทเฉพาะตนทเี ดยี ว ยอมรูชัดวาชาติสิน้ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ทีค่ วรทาํ ทาํ เสรจ็ แลว กจิ อ่ืนเพ่อืความเปนอยา งนี้มิไดม.ี

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 137 [ ๑๒๑ ] พระผูม พี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ความหว่ันไหวเปนโรค ความหวั่นไหวเปน ฝ ความหวนั่ ไหวเปน ลกู ศร ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ตถาคตยอ มเปน ผไู มห วัน่ ไหว ปราศจากลูกศร เพราะเหตุน้นั แล ถึงแมภกิ ษุก็พงึ หวงั วา เราพงึ เปน ผไู มหวนั่ ไหวปราศจากลกู ศรอยู. จบ ปฐมเอชสูตรท่ี ๗ ๘. ทตุ ยิ เอชสตู ร วา ดว ยไมพึงสาํ คัญอะไร ๆ วา เปนของเรา [ ๑๒๒] พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ภกิ ษไุ มพงึ สาํ คญั ซงึ่ จักษุ ไมพึงสาํ คัญในจกั ษุ ไมพ งึ สาํ คัญแตจกั ษุ ไมพ ึงสาํ คัญวา จักษุของเรา ไมพึงสาํ คัญซง่ึ รปู ทงั้ หลาย ไมพ ึงสําคญั ในรปู ทง้ั หลาย ไมพึงสําคัญแตร ปู ทัง้ หลายไมพงึ สําคัญวา รปู ท้ังหลายของเรา ไมพึงสําคัญซ่ึงจกั ษวุ ญิ ญาณ ไมพงึสาํ คัญในจักษวุ ิญญาณ ไมพึงสําคัญแตจกั ษุวิญญาณ ไมพ ึงสําคญั วา จักษ-ุวญิ ญาณของเรา ไมพ งึ สาํ คญั ซ่งึ จกั ษสุ ัมผัส ไมพึงสําคัญในจักษุสัมผสัไมพงึ สาํ คัญแตจ ักษสุ มั ผสั ไมพึงสาํ คญั วา จักษสุ ัมผสั ของเรา ไมพึงสาํ คัญซงึ่ สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทกุ ขมสุขเวทนา ทีเ่ กิดขน้ึ เพราะจักษุสมั ผสัเปน ปจจยั ไมพงึ สําคญั ในสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนาที่เกิดข้นึ เพราะจักษุสัมผสั เปน ปจจัย ไมพงึ สาํ คญั แตส ุขเวทนา ทกุ ขเวทนาหรืออทกุ ขมสุขเวทนา ทเ่ี กิดขึน้ เพราะจักษุสมั ผสั เปน ปจ จยั ไมพ งึ สาํ คัญวาสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทุกขมสขุ เวทนา ทเี่ กิดขน้ึ เพราะจักษุสัมผสั

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 138เปนปจ จัย ของเรา ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็ภกิ ษยุ อมสาํ คัญซึ่งสงิ่ ใด ยอมสาํ คญั ในสงิ่ ใด ยอ มสาํ คัญแตสิ่งใด ยอ มสําคญั วา ส่งิ ใดของเรา ส่งิ นน้ัยอมเปน อยา งอื่นจากสง่ิ น้นั โลกมีภาวะเปน อยางอนื่ ขอ งอยูในภพ ยอ มยินดภี พนั่นแหละ ไมพึงสําคญั ซึง่ โสตะ ฯลฯ ไมพึงสําคญั ซงึ่ ฆานะ ฯลฯไมพ งึ สําคัญซ่งึ ชิวหา ฯลฯ ไมพงึ สําคัญซงึ่ กาย ฯลฯ ไมพ ึงสาํ คญั ซงึ่ ใจ ไมพึงสาํ คญั ในใจ ไมพ ึงสาํ คญั แตใ จ ไมพ ึงสําคัญวา ใจของเรา ไมพึงสาํ คัญซงึ่ ธรรมารมณท ง้ั หลาย ไมพ ึงสําคัญในธรรมารมณท งั้ หลาย ไมพึงสาํ คัญแตธ รรมารมณท ง้ั หลาย ไมพ ึงสําคญั วา ธรรมารมณทง้ั หลายของเรา ไมพงึ สาํ คญั ซ่ึงมโนวญิ ญาณ ไมพงึ สาํ คญั ในมโนวิญญาณ ไมพงึ สาํ คญั แตมโน-วิญญาณ ไมพ ึงสาํ คัญวา มโนวิญญาณของเรา ไมพ ึงสําคัญซึง่ มโนสมั ผสัไมพึงสําคญั ในมโนสมั ผสั ไมพึงสาํ คัญแตม โนสมั ผสั ไมพ ึงสําคญั วา มโน-สมั ผัสของเรา ไมพึงสําคัญซง่ึ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนาทเ่ี กดิ ขึน้ เพราะมโนสมั ผัสเปนปจจัย ไมพงึ สาํ คัญในสุขเวทนา ทกุ ขเวทนาหรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเี่ กดิ ข้ึนเพราะมโนสมั ผสั เปน ปจ จัย ไมพงึ สําคัญแตส ขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนา ทเี่ กิดข้ึนเพราะมโนสมั ผสัเปนปจจัย ไมพึงสาํ คัญวา สขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสุขเวทนาทเ่ี กดิ ข้นึ เพราะมโนสมั ผสั เปนปจ จัย ของเรา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็ภิกษุยอ มสําคัญซ่งึ สิ่งใด ยอ มสําคัญในสง่ิ ใด ยอ มสาํ คัญแตสงิ่ ใด ยอมสําคัญวาสงิ่ ใดของเรา สงิ่ นน้ั ยอมเปนอยา งอ่นื จากสิ่งนั้น โลกมีภาวะเปนอยา งอ่ืนขอ งอยใู นภพ ยอ มเพลิดเพลินภพน่นั แหละ ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ภิกษุไมพงึ สําคญั ซึ่งขนั ธ ธาตุและอายตนะ ไมพ งึ สาํ คญั ในขันธ ธาตุและอายตนะ

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 139ไมพ ึงสําคญั แตข นั ธ ธาตุและอายตนะ ไมพ ึงสาํ คญั วา ขนั ธ ธาตุ และอายตนะของเรา เธอเมื่อไมสาํ คัญอยา งนี้ ยอมไมถ อื ม่นั ส่งิ อะไร ๆ ในโลกเม่อื ไมถอื มั่น ยอ มไมสะดงุ เมอ่ื ไมสะดุง ยอ มดับสนทิ เฉพาะตนทีเดียวยอมรชู ดั วา ชาตสิ ิน้ แลว พรหมจรรยอยูจบแลว กจิ ทค่ี วรทาํ ทําเสรจ็ แลวกิจอื่นเพอ่ื ความเปน อยา งนี้มิไดม .ี จบ ทุติยเอชสตู รที่ ๘อรรถกถาปฐมเอชสูตรท่ี ๗- ทุติยเอชสูตรที่ ๘ ในปฐมเอชสตู รท่ี ๗ มีวนิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้. บทวา เอชา ไดแก ตัณหา. ตัณหา แมน นั้ ทานเรียกวา เอชาเพราะอรรถวา. หวั่นไหว. อนึง่ เอชา นน้ั ช่อื วา โรคะ เพราะอรรถเบียดเบยี น. ช่ือวา คณั ฑะ ฝ เพราะอรรถวา ประทษุ รายในภายใน.ชือ่ วา สัลละ ลกู ศร เพราะอรรถวา ตดั . บทวา ตสมฺ า ความวาเพราะเหตทุ เ่ี อชา ชอื่ วา เปน ตัวตัณหา เปน ตัวโรค และเปน ลูกศรฉะนนั้ . คําวา จกฺขุ น มเฺ ยยฺ เปน ตน มนี ยั ดงั กลา วแลวนัน่ แล.สูตรทงั้ หมด ทา นจดั ไวในหนหลงั ชกั มาแสดงไวแ มใ นท่ีน้ี. สูตรท่ี ๘ มนี ัยดงั กลา วแลวนน่ั แล. จบ อรรถกถาปฐมเอชสตู รท่ี ๗ - ทุตยิ เอชสูตรท่ี ๘

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 140 ๙. ปฐมทวยสูตร วา ดว ยทรงแสดงสว นสอง [ ๑๒๓ ] พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย เราจักแสดงสว นสองแกเธอท้งั หลาย เธอทง้ั หลายจงฟง ก็สว นสองเปน ไฉน คอืจกั ษุกบั รปู ๑ โสตะกับเสียง ๑ ฆานะกบั กลน่ิ ๑ ชวิ หากบั รส ๑ กายกบั โผฏฐัพพะ ๑ ใจกบั ธรรมารมณ ๑ น้ีเรียกวาธรรมคู ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย บคุ คลใดพึงกลา วอยา งนวี้ า เราบอกเลิกสวนสองนัน้ เสียแลวจักบัญญตั ิสว นสองเปนอยางอนื่ วาจาของบคุ คลนั้นกันใหเปนเรือ่ งของเทวดา. กบ็ ุคคลน้ันถกู เขาถามเขาแลวก็อธบิ ายไมได และถึงความอึดอดัยง่ิ ขน้ึ ขอ นัน้ เปน เพราะเหตไุ ร เพราะขอ นัน้ ไมใชวสิ ยั . จบ ปฐมทวยสูตรท่ี ๙ อรรถกถาปฐมทวยสตู รท่ี ๙ ปฐมทวยสูตรที่ ๙ คาํ วา ทวฺ ย แปลวา สว นสอง. จบ อรรถกถาปฐมทวยสูตรที่ ๙ ๑๐. ทตุ ิยทวยสตู ร วาดวยทรงแสดงสว นสอง [๑๒๔] พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย วญิ ญาณเกิดขน้ึ เพราะอาศัยสว นสอง วญิ ญาณเกิดข้นึ เพราะอาศยั สว นสองเปนอยา งไร จกั ษวุ ญิ ญาณเกิดขน้ึ เพราะอาศยั จักษแุ ละรปู จักษุไมเ ท่ียง มคี วาม

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 141แปรปรวน มีความเปนอยา งอื่น รปู ไมเ ทีย่ ง มีความแปรปรวน มีความเปนอยา งอืน่ สว นสองอยา งน้ี หว่ันไหวและอาพาธ ไมเ ท่ียง มีความแปรปรวน มคี วามเปน อยางอนื่ จักษุวญิ ญาณไมเ ท่ียง มีความแปรปรวนมีความเปนอยา งอื่น แมเหตปุ จ จยั เพือ่ ความเกิดขน้ึ แหง จักษุวญิ ญาณกไ็ มเทยี่ ง มคี วามแปรปรวน มีความเปน อยางอืน่ ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ก็จักษุวญิ ญาณทเี่ กดิ ข้ึนแลว เพราะอาศยั ปจจัยอันไมเท่ียงจกั เปนของเทย่ี งแตไหนดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ความประจวบ ความประชมุ ความพรอ มกนั แหงธรรมทัง้ ๓ น้ีแล เรียกวา จักษุสมั ผัส. [ ๑๒๕ ] ถงึ จกั ษุสมั ผัสก็ไมเท่ียง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปนอยา งอน่ื แมเ หตปุ จ จัยเพ่อื ความเกิดขึ้นแหงจักษสุ ัมผสั ก็ไมเ ที่ยง มคี วามแปรปรวน มีความเปนอยางอ่นื กจ็ กั ษสุ ัมผัสท่ีเกดิ ขนึ้ แลว เพราะอาศัยปจ จัยอันไมเทยี่ ง จกั เปน ของเท่ียงแตไ หน ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เวทนาอนั ผัสสะกระทบแลวยอมเสวย เจตนาอันผสั สะกระทบแลวยอ มคดิ สัญญาอนั ผัสสะกระทบแลว ยอ มจาํ แมธรรมเหลาน้นั ก็หวนั่ ไหวและอาพาธ ไมเท่ียงมีความแปรปรวน มีความเปนอยางอนื่ ฯลฯ ชวิ หาวิญญาณ ยอมเกดิ ขน้ึเพราะอาศัยล้ินและรส ลิน้ ไมเ ท่ยี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปน อยา งอื่นรสไมเ ที่ยงมีความแปรปรวน มีความเปน อยางอ่ืน สว นสองอยา งน้หี ว่นั ไหวและอาพาธ ไมเ ที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปน อยา งอนื่ ชิวหาวิญญาณไมเ ทีย่ ง มีความแปรปรวน มคี วามเปนอยา งอนื่ แมเ หตปุ จจยั เพือ่ ความเกดิ ขึ้นแหง ชวิ หาวญิ ญาณ กไ็ มเ ที่ยง มีความแปรปรวน มคี วามเปนอยางอ่นื ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็ชวิ หาวิญญาณทเี่ กดิ ข้ึนแลว เพราะอาศยั

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 142ปจ จัยอันไมเทย่ี ง จักเปนของเทย่ี งแตไ หน ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ความประจวบ ความประชมุ ความพรอ มกนั แหง ธรรมท้งั ๓ นแ้ี ล เรียกวาชวิ หาสมั ผสั . [๑๒๖] แมช วิ หาสมั ผสั กไ็ มเทยี่ ง มีความแปรปรวน มีความเปนอยางอื่น แมเ หตปุ จ จยั เพอื่ ความเกดิ ขน้ึ แหงชวิ หาสมั ผสั กไ็ มเที่ยง มีความแปรปรวน มคี วามเปน อยา งอ่นื ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็ชวิ หาสัมผสัทีเ่ กิดขน้ึ แลว เพราะอาศัยปจ จยั อันไมเ ท่ียง จักเปนของเทยี่ งแตไ หนดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย เวทนาอนั ผสั สะกระทบแลวยอ มเสวย เจตนาอนั ผสั สะกระทบแลวยอมคดิ สญั ญาอนั ผสั สะกระทบแลว ยอมจาํ แมธ รรมเหลานี้กห็ ว่ันไหวและอาพาธ ไมเทีย่ ง มีความแปรปรวน มคี วามเปนอยางอื่นฯลฯ มโนวิญญาณเกิดข้ึนเพราะอาศยั ใจและธรรมารมณ ใจไมเ ที่ยง มีความแปรปรวน มคี วามเปนอยา งอ่ืน ธรรมท้ังหลายกไ็ มเ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปนอยางอ่นื สวนสองอยางนี้หวัน่ ไหวและอาพาธไมเทีย่ ง มีความแปรปรวน มีความเปน อยา งอื่น มโนวญิ ญาณไมเ ที่ยงมีความแปรปรวน มีความเปน อยา งอนื่ แมเหตุปจจัยเพอื่ ความเกดิ ขึ้นแหงมโนวญิ ญาณกไ็ มเ ทยี่ ง มีความแปรปรวน มีความเปนอยา งอืน่ มโน-วญิ ญาณทเี่ กดิ ข้นึ แลว เพราะอาศัยปจจัยอันไมเ ทยี่ ง จกั เปนของเทยี่ งแตไหน ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ความประจวบ ความประชมุ ความพรอ มกันแหง ธรรม ๓ ประการน้แี ล เรียกวา มโนสัมผัส.

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 143 [ ๑๒๗ ] แมม โนสัมผสั ก็ไมเ ท่ยี ง มีความแปรปรวน มคี วามเปน อยา งอื่น แมเหตปุ จจยั เพ่ือความเกดิ ข้นึ แหง มโนสมั ผสั กไ็ มเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปน อยางอ่ืน ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ก็มโนสัมผัสทเี่ กดิ ข้นึ แลว เพราะอาศัยปจ จัยอนั ไมเ ทยี่ ง จักเปนของเทยี่ งแตไ หนดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เวทนาอนั ผสั สะกระทบแลว ยอ มเสวย เจตนาอันผัสสะกระทบแลว ยอ มคิด สัญญาอันผัสสะกระทบแลวยอมจํา แมธ รรมเหลานี้กห็ วัน่ ไหวและอาพาธ ไมเ ที่ยง มีความแปรปรวน มคี วามเปน อยา งอืน่ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย มโนวิญญาณยอ มเกิดเพราะอาศยั สว นสอง ดวยประการฉะน้ีแล. จบ ทตุ ยิ ทวยสูตรที่ ๑๐ ฉันนวรรคท่ี ๔ อรรถกถาทตุ ยิ ทวยสตู รที่ ๑๐ ในทุติยทวยสตู รท่ี ๑๐ มวี ินิจฉัยดงั ตอไปน.ี้ บทวา อิตเฺ ถต ทฺวย เปน เอวเมต ทฺวย แปลวา ทง้ั ๒ นี้ดว ยประการฉะน.้ี บทวา จลเฺ จว พฺยาธิจฺ ความวา ยอ มหวั่นไหวและเจบ็ ปว ย เพราะไมเ ปนไปตามสภาวะของตน. บทวา โยป เหตุโยป ปจฺจโย ความวา วัตถแุ ละอารมณ เปน เหตแุ ละเปน ปจจัย แกจักขวุ ญิ ญาณ. บทวา จกขฺ ุโต นจิ จฺ  ภวสิ สฺ ติ ความวา จักเปนของเทย่ี งเพราะเหตุไร. เหมอื นอยา งวา บุตรผูเ กิดในทองของทาสีของชายผเู ปน ทาสกก็ ลายเปนทาสคนหนึ่งไป ฉนั ใด วตั ถารมณ วัตถุและอารมณ ก็เปน ของ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 144ไมเท่ยี งเชน นน้ั เหมอื นกัน. บทวา สงฺคติ แปลวา มาประจวบเขา.บทวา สนนฺ ปิ าโต ไดแ กป ระชมุ รวมกัน บทวา สมวาโย ไดแกมารวมเปน อนั เดียวกนั . บทวา อย วจุ ฺจติ จกขฺ สุ มฺผสฺโส ความวา ความประจวบดว ยปจจัยนี้ คอื ช่ือวาประจวบกนั ประชุมกัน มาพรอมกันโดยชอื่ วาปจจัยน่ันเอง เพราะเกดิ ดวยปจ จยั กลา วคือ ความประจวบความประชุม และความมาพรอ มกัน นเ้ี รยี กวา จกั ขสุ มั ผสั . บทวาโสป เหต.ุ ความวา จกั ษุและอารมณ ขนั ธ ๓ ท่เี ปนสหชาตธรรมเปน เหตุแหง ผัสสะ ธรรมดงั วามาน้ี เรียกวา เหต.ุ บทวา ผสโฺ สเปนปฐมาวิภตั ติ ลงในอรรถแหงทตุ ิยาวิภตั ติ อธิบายวา เวทนายอ มเสวยเจตนายอ มคิด สัญญา ยอมจําได ซึง่ อารมณอ นั ผัสสะถูกตอ งแลว เทานั้นบทวา ผุฏโ  ไดแกบุคคลผพู รงั่ พรอม ดว ยผัสสะ. เวทนาอันผสั สะถูกตอ งแลว ยอมรทู วั่ ซงึ่ อารมณเทา นนั้ อธิบายวา ยอ มคิดก็ม.ี ดังน้ันในพระสตู รน้ี เปน อนั พระผูมีพระภาคเจาตรสั ขนั ธ ๓๐ ถว น. อยางไร.คอื อันดับแรก ในจักขุทวาร วตั ถุ ( จกั ขวุ ตั ถุ ) และอารมณ จัดเปนรูปขนั ธ, ขนั ธใ ด เสวย อารมณอ ันผสั สะถูกตองแลว เหตุนั้น ขันธน ้ันช่ือวา เวทนาขนั ธ ขนั ธใดคดิ อารมณอ ันผสั สะถกู ตอ งแลว เหตุนน้ัขนั ธน ั้น ชอื่ วาสงั ขารขันธ. ขันธใด จําไดซ งึ่ อารมณอนั ผัสสะถูกตองแลวเหตุนั้น ขันธนัน้ ชือ่ วา สญั ญาขนั ธ, ขันธใดรูแจง ซง่ึ อารมณอ ันผัสสะถกู ตองแลว เหตุน้นั ขันธน ้นั ช่ือวาวญิ ญาณขนั ธ แมใ นทวารท่เี หลือกน็ ัยนี้เหมือนกนั . จริงอยแู มในมโนทวาร วตั ถุรปู จัดเปน รูปขันธ โดยสว นเดยี ว. เมอ่ื อารมณ คือ รปู มีอยู แมอารมณก ็จัดเปนรูปขันธ

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 145ดังนัน้ จงึ ไดขันธ ๕ ในทวาร ๖ รวมเปน ขนั ธ ๓๐ ถวน. แตเ มือ่ วาโดยสงั เขป สหชาตธรรมเหลาน้ี จดั เปน ขนั ธ ในทวารทง้ั ๖. เมอ่ื ตรสัขันธ ๕ พรอมดว ยปจ จยั ใหพ ิสดารวา ไมเทย่ี ง เปน อนั ทรงแสดงพระสตู รน้ี ตามอธั ยาศยั ของสตั วผ ูจะตรสั รูแล. จบ อรรคกถาทตุ ิยทวยสตู รท่ี ๑๐ จบ ฉันนวรรค ๔ รวมพระสตู รท่ีมีในวรรคนี้ คือ ๑. ปโลกสูตร ๒. สุญญสูตร ๓. สงั ขิตตสตู ร ๔. ฉันนสตู ร๕. ปณุ ณสตู ร ๖. พาหยิ สูตร ๗. ปฐมเอชสูตร ๘. ทตุ ิยเอชสูตร๙. ปฐมทวยสตู ร ๑๐. ทตุ ิทวยสูตร.

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 146 ฉฬวรรคที่ ๕ ๑. ปฐมสงั คยั หสูตร วา ดว ยผัสสายตนะ ๖ [ ๑๒๘] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการน้ี ทบ่ี คุ คลไมฝก ฝน ไมค ุม ครอง ไมร ักษา ไมสาํ รวมระวังแลว ยอ มนาํ ทกุ ขหนักมาใหผัสสายตนะ ๖ ประการเปนไฉน คอื จกั ษุ โสตะ ฆานะ ชวิ หา กายมนะ ท่ีบคุ คลไมฝ กฝน ไมค มุ ครอง ไมร ักษา ไมส าํ รวมระวงั แลว ยอ มนําทุกขห นกั มาให ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการนี้แล ทบี่ ุคคลไมฝ ก ฝน ไมค มุ ครอง ไมร กั ษา ไมส าํ รวมระวังแลว ยอมนาํ ทุกขหนกั มาให. [๑๒๙] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ผสั สายตนะ ๖ ประการนี้ ทบ่ี คุ คลฝกฝนดี คมุ ครองดี รักษาดี สาํ รวมระวงั ดีแลว ยอมนําสุขมากมาใหผัสสายตนะ ๖ เปน ไฉน คอื จักษุ โสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มนะท่บี คุ คลฝก ฝนดี คมุ ครองดี รกั ษาดี สาํ รวมระวงั ดแี ลว ยอ มนาํ สขุ มากมาใหดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ผสั สายตนะ ๖ ประการน้ีแล ท่บี ุคคลฝก ฝนดี คมุ ครองดี รกั ษาดี สาํ รวมระวงั ดแี ลว ยอมนําสุขมากมาให พระผูม พี ระภาคเจาผูส ุคตศาสดา คร้ันไดต รัสไวยากรณภาษิตนีจ้ บลงแลว จงึ ไดต รสั คาถาประพนั ธตอ ไปอีกวา. [๑๓๐] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย บุคคลไมสาํ รวมผัส- สายตนะ ๖ น่นั แหละ เวนการสํารวมในอายตนะ ใด ยอมเขาถึงทุกข บุคคลเหลาใด ไดสํารวมระวงั

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 147 อายตนะเหลานัน้ บคุ คลเหลานน้ั มศี รัทธาเปนเพื่อน ยอ มเปนผูอันราคะไมช มุ อยู บุคคลเหน็ รปู ท่ีชอบใจและเหน็ รูปทไ่ี มชอบใจแลว พึงบรรเทาราคะในรปู ที่ชอบใจ และไมพึงเคอื งใจวา รปู ไมน ารกัของเรา (เราเห็นรปู ไมนา รกั เขา แลว) ไดยินเสยี งทนี่ า รกั และเสียงทีไ่ มนารกั พงึ สงบใจในเสียงที่นารัก และพงึ บรรเทาความเคืองใจในเสียงทีไ่ มน ารักและไมพึงเคืองใจวา เสยี งไมนา รักของเรา (เราไดฟง เสียงที่ไมนารกั เขา แลว ) ไดด มกลิน่ ท่ีชอบใจอนั นายินดี และไดดมกลิ่นท่สี ะอาด ไมน ารกั ใครพงึ บรรเทาความหงุดหงิดในกลน่ิ ท่ไี มน า ใคร และไมพงึ พอใจในกลิน่ ทีน่ าใคร ไดล มิ้ รสท่อี รอ ยเล็กนอ ย และลมิ้ รสทไี่ มอรอ ยในบางคราว ไมพ ึงลมิ้ รสทอ่ี รอ ยดว ยความติดใจ และไมค วรยนิ รา ยในเมอื่ ลิ้มรสท่ไี มอ รอ ย ถูกสัมผัสทเ่ี ปนสขุ กระทบเขา แลว และถูกผัสสะทีเ่ ปนทุกขกระทบเขา แลวไมพ งึ หวั่นไหวในระหวาง ๆ ควรวางเฉยผัสสะทง้ั ที่เปน สขุ ท้ังทเ่ี ปน ทุกขทงั้ สอง ไมค วรยินดี ไมค วรยินรา ย เพราะผัสสะอะไร ๆ นรชนทง้ั หลายท่ที รามปญญา มคี วามสาํ คัญในกิเลสเปนเหตใุ หเน่ินชายินดอี ยดู ว ยกิเลสเปน เหตุใหเน่ินชา เปนสัตวท ี่มี

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 148 สญั ญา ยอ มวนเวียนอยู ก็บคุ คลบรรเทาใจ ท่ี ประกอบดว ยปญจกามคณุ ทัง้ ปวงแลว ยอ มรกั ษา ใจใหป ระกอบดวยเนกขัมมะ ใจทบี่ คุ คลเจรญิ ดี แลวในอารมณ ๖ อยา งนี้ ในกาลใด ในกาลนั้น จติ ของบุคคลนั้น อนั สุขสัมผัสกระทบเขา แลว ยอ มไมห วน่ั ไหวในท่ไี หน ๆ ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย เธอทัง้ หลายปราบราคะและโทสะเสียแลว ยอ ม เปนผูถ งึ นพิ พานซง่ึ เปนฝง ขางโนนแหง ชาตแิ ละ มรณะ. จบ ปฐมสงั คยั หสตู รท่ี ๑ ฉฬวรรคท่ี ๕ อรรถกถาปฐมสังคัยหสตู รท่ี ๑ ในปฐมสงั คัยหสูตรที่ ๑ ฉฬวรรคที่ ๕ มีวนิ จิ ฉยั ดงั ตอไปน.้ี บทวา อทนตฺ า แปลวา ไมฝ กแลว . บทวา อคตุ ตฺ า เเปลวาไมคุมครองแลว . บทวา อรกฺขิตา แปลวา ไมรกั ษาแลว บทวา อส วตุ าแปลวา ไมปด แลว . บทวา ทกุ ขฺ าธิวาหา โหนฺติ ความวา ยอ มนาํ มาซง่ึ ทุกขม ปี ระมาณยงิ่ ตา งดว ยทุกขใ นนรกเปนตน . บทวา สุขาธ-ิวาหา โหนฺติ ความวา ยอ มนาํ มาซ่งึ สุขมีประมาณยิง่ ตางดว ยฌาน และมรรค ผล. บาลวี า อธวิ าหา ดงั นีก้ ็มี. ความกเ็ หมอื นกัน.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 149 บทวา ฉเฬว แยกสนธเิ ปน ฉ เอว. บทวา อส วโุ ต ยตถฺทุกขฺ  นคิ จฺฉติ ความวา บุคคลผเู วนจากการสาํ รวม ในอายตนะเหลา ใดยอ มถึงทกุ ข. บทวา เตสฺจ เย ส วรณ อเวทสึ ุ ความวาชนเหลา ใดประสบคือได ความสาํ รวมอายตนะ เหลานัน้ . บทวา วิหรนตฺ านวสสฺ ตุ าไดแก เปน ผอู ันราคะ ไมชมุ ไมเปย กอย.ู บทวา อสาทุ สาทุ ไดแกไมอ รอย และอรอ ย. บทวา ผสฺสทฺวย สุขทกุ ขฺ  อุเปกเฺ ข ไดแกผ สั สะในอุเบกขามี ๒ คือ สขุ สัมผัส หรือ ทุกขสัมผัส อธบิ ายวา พึงใหอเุ บกขา เกิดขึน้ ในผสั สะ ๒ อยา งเดยี ว อีกอยางหนึ่ง บาลวี า ผสฺสทฺวย สขุ ทุกฺข อุเปกฺขา(ผสั สะ ๒ สขุ ทกุ ข อเุ ปกขา ). อธิบายวา สุขทุกข อเุ บกขา มผี สั สะเปนเหตุ. บคุ คลไมย ังความยนิ ดใี หเ กดิ ขน้ึ ในสุข ไมย งั ความยนิ รา ยใหเกิดขน้ึในทกุ ข กพ็ ึงเปน ผอู ุเบกขาวางเฉย. บทวา อนานรุ ุทฺโธ อวิรุทธฺ เกนจิความวา ไมพึงยินดี ไมพึงยนิ รา ย กับอารมณไ ร ๆ. บทวา ปปฺจสฺา ความวา ชื่อวา เปนผูมีสญั ญาเนน่ิ ชาเพราะกิเลสสญั ญา. บทวา อิตรตี รา นรา ไดแ กสตั วผูต ่าํ ทราม. บทวาปปฺจยนตฺ า อปุ ยนตฺ ิ ความวา ยินดธี รรมเปนเคร่ืองเน่ินชา. ยอ มเขาถงึ วัฏฏะ บทวา สฺญิโน ไดแ กสตั วผ มู ีสัญญา. บทวา มโนมยเคหสิตจฺ สพฺพ ความวา จิตสาํ เร็จดว ยใจอันอาศยั เรอื นคอื กามคุณ ๕ทั้งปวงนนั่ เอง. บทวา ปนชุ ฺช แปลวา บรรเทา คือนําออก. บทวาเนกขฺ มฺมสติ  อริ ยิ ติ ความวา ภกิ ษุผเู ปน ชาตบิ ัณฑิต ยอ มดาํ เนนิ จติอาศัยเนกขมั มะ. บทวา ฉสสฺ ุ ยทา สภุ าวโิ ต ความวา คราวใด

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 150ใจอบรมดวยดใี นอารมณ ๖. บทวา ผฏุ สฺส จิตตฺ  น วิกมปฺ เต กวฺ จิความวา หรอื เม่อื บคุ คล ถกู สุขสัมผสั กระทบแลว จติ ยอมไมห วน่ั ไมไ หวในอารมณอ ะไร ๆ. บทวา ภวถ ชาตมิ รณเสฺส ปารคา ความวา จงเปนผูถึงฝงแหงชาติและชรา. จบ อรรถกถาปฐมสังคัยหสูตรที่ ๑ ๒. ทุตยิ สงั คยั หสูตร วาดวยทรงแสดงธรรมเพ่ืออยูผเู ดยี ว [๑๓] คร้งั น้ันแล ทา นพระมาลกุ ยบตุ ร มีความเพียร มใี จเด็ดเดย่ี ว เขา ไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจาถงึ ทีป่ ระทับ ฯลฯ ครั้นแลว ไดกราบทลู พระผมู พี ระภาคเจาวา ขาแตพระองคผ ูเจรญิ ขาพระองคข อประทานวโรกาส ขอพระผูม ีพระภาคเจา โปรดแสดงธรรมแกข าพระองค.โดยยอ ท่ขี าพระองคสดับแลว พึงเปน ผู ๆ เดยี วหลกี ออกจากหมู ไมป ระมาทมคี วามเพียร มีใจเด็ดเด่ียวอยูเถดิ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นมาลกุ ยบุตร ในการทีเ่ ธอขอโอวาทน้ใี นบัดน้ี เราจกั บอกกะพวกภิกษหุ นมุทาํ ไม ก็ทานใดแกแลว เปนผเู ฒา ผูใหญ ลว งกาลผา นวัยแลว ยอมขอโอวาทโดยยอ เราจักบอกแกเ ธอนนั้ . [๑๓๒] มา. ขาแตพระองคเจริญ ขา พระองคแ กแลว เปน ผูเฒาผูใหญ ลว งกาลผานวัยแลวก็จรงิ ถงึ กระนัน้ ขอพระผูมพี ระภาคเจาขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมโดยยอแกขา พระองคเถดิ ไฉนขาพระองคพึงรูถึงพระภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจา พงึ เปนผไู ดรับพระภาษติ ของพระ-ผมู ีพระภาคเจา.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook