Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_28

tripitaka_28

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_28

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 351สิน้ ทุกขโ ดยชอบ จงึ ปรากฏ ฯลฯ ใจจักเปนสังโยชนเ คร่อื งผูกของธรรมารมณ หรือธรรมารมณจกั เปนสงั โยชนเ ครือ่ งผูกของใจ การอยูประพฤตพิ รหมจรรยเ พ่ือความสน้ิ ทกุ ขโดยชอบ ยอมไมป รากฏ แตเ พราะใจไมเ ปน สงั โยชนเ คร่ืองผูกของธรรมารมณ ธรรมารมณกไ็ มเ ปนสงั โยชนเครอ่ื งผกู ของใจ แตฉนั ทราคะความพอใจรกั ใครเกิดข้ึนเพราะอาศัยใจและธรรมารมณท้งั สองน้ัน เปน สังโยชนเครอื่ งผูกใจและธรรมารมณน ั้นเพราะฉะนั้น การอยปู ระพฤติพรหมจรรยเพ่อื ความสิ้นทุกขโ ดยชอบ จึงปรากฏ ทา นโกฏฐิกะ ขอ นี้พึงทราบโดยปรยิ ายแมนี้ จกั ษไุ มเ ปน สงั โยชนเครือ่ งผูกของรูป รปู กไ็ มเปน สังโยชนเครื่องผกู ของจักษุ แตฉ ันทราคะความพอใจรักใครเ กดิ ข้นึ เพราะอาศัยจักษุและรูปท้งั สองน้ัน เปน สงั โยชนเครอื่ งผูกจักษุและรูปน้นั ฯลฯ ใจไมเ ปนสังโยชนเครอ่ื งผูกของธรรมารมณธรรมารมณก ไ็ มเปน สังโยชนเครอื่ งผกู ของใจ แตฉ นั ทราคะความพอใจรักใครเ กิดขน้ึ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณท ง้ั สองนั้น เปนสังโยชนเ ครือ่ งผกู ใจและธรรมารมณน้ัน. [๒๙๘] ทานโกฏฐิกะ จกั ษขุ องพระผูมีพระภาคเจา มีอยแู ท พระ-องคก ท็ รงเหน็ รปู ดว ยจักษุ แตพระผูมีพระภาคเจาไมม ีฉันทราคะความพอใจรักใครเ ลย พระผมู พี ระภาคเจา ทรงมจี ติ หลุดพน ดีแลว โสตของพระผมู -ีพระภาคเจามอี ยแู ท พระองคก็ยังทรงฟง เสียงดวยโสต แตพระองคไมม ีฉนั ทราคะความพอใจรักใคร ทรงมจี ิตหลุดพน ดีแลว ฆานะของพระผู-มีพระภาคเจา มีอยูแท พระองคก ท็ รงสดู กลิ่นดวยฆานะ แตพระองคไมมีฉนั ทราคะความพอใจรกั ใคร ทรงมีจติ หลุดพนดีแลว ชวิ หาของพระ-

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 352ผมู ีพระภาคเจา มอี ยูแท พระองคก ็ทรงลมิ้ รสดว ยชวิ หา แตพ ระองคไมม ีฉันทราคะความพอใจรกั ใคร ทรงมีจิตหลดุ พนดีแลว กายของพระผมู พี ระ-ภาคเจา มอี ยูแท พระองคก ท็ รงถกู ตองโผฏฐพั พะดวยกาย แตพ ระองคไ มมีฉันทราคะความพอใจรักใคร ทรงมีจิตหลุดพน ดีแลว มนัสของพระผูมี-พระภาคเจามอี ยแู ท พระองคก็ทรงรูแ จงธรรมารมณดว ยมนัส แตพ ระองคไมม ีฉันทราคะความพอใจรักใคร ทรงมีจติ หลุดพน แลว ทา นโกฏฐิกะ ขอน้ีพึงทราบโดยปริยายน้ี จกั ษุไมเ ปน สงั โยชนเ ครอื่ งผกู ของรปู รูปก็ไมเ ปนสังโยชนเครอ่ื งผูกของจกั ษุ แตฉันทราคะความพอใจรักใครเ กดิ ขนึ้ เพราะอาศยั จกั ษแุ ละรปู ทั้งสองนนั้ เปนสงั โยชนเ ครอ่ื งผูกจักษแุ ละรปู น้นั ฯลฯใจไมเปนสงั โยชนเคร่ืองผกู ของธรรมารมณ ธรรมารมณก ็ไมเ ปน สังโยชนเครอื่ งผกู ของใจ แตฉ ันทราคะความพอใจรกั ใครเ กดิ ขน้ึ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณท ้ังสองนั้น เปน สังโยชนเ คร่ืองผกู ใจและธรรมารมณน ้นั . จบ โกฏฐิกสูตรที่ ๕ อรรถกถาโกฏฐกิ สูตรที่ ๕ ในโกฏฐิกสตู รที่ ๕ มีวินิจฉัยดังตอไปน.ี้ บทวา ตทุภย ตัดเปน ต อภุ ย แปลวา สูตรทง้ั ๒ น้ัน. จบ อรรถกถาโกฏฐกิ สตู รที่ ๕

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 353 ๖. กามภสู ูตร วาดว ยปญ หาของพระกามภูภิกษุ [๒๙๙] สมยั หน่งึ พระทา นอานนทและทานพระกามภอู ยู ณโฆสติ าราม กรุงโกสมั พี ครัง้ น้ันแล เปนเวลาเยน็ ทา นพระกามภูออกจากที่พักแลว เขา ไปหาทานพระอานนทถึงทอ่ี ยู ไดปราศรัยกับทานพระอานนทครัน้ ผานการปราศรยั พอใหร ะลึกถงึ กนั ไปแลว จงึ น่ัง ณ ทคี่ วรสว นขา งหนึ่ง ครน้ั แลวไดถามทานพระอานนทวา ทา นพระอานนท จักษุเปนสังโยชนเ ครือ่ งผกู ของรูป รปู เปนสงั โยชนเครอื่ งผูกของจกั ษุ ฯลฯ ใจเปนสังโยชนเคร่อื งผูกของธรรมารมณ ธรรมารมณเปน สงั โยชนผ ูกเครอ่ื งของใจหรือ. ทา นพระอานนทต อบวา ทา นพระกามภู จักษเุ ปน สังโยชนเ คร่ืองผูกของรูป รูปเปนสงั โยชนเครื่องผกู ของจกั ษุหามิได แตฉนั ทราคะความพอใจรกั ใครเ กิดข้นึ เพราะอาศัยจกั ษแุ ละรปู ท้งั สองน้ัน เปน สังโยชนเครอ่ื งผูกจกั ษุและรปู น้นั ฯลฯ ใจเปน สงั โยชนเ คร่ืองผกู ของธรรมารมณ ธรรมา-รมณเ ปน สงั โยชนเครอ่ื งผกู ของใจหามไิ ด แตฉ นั ทราคะความพอใจรักใครเกิดข้นึ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณท ้งั สองนั้น เปนสงั โยชนเ ครื่องผกู ใจและธรรมารมณน น้ั ทา นพระกามภู โคดาํ กับโคขาว เขาผูกตดิ กนั ดวยสายคราวหรือดวยเชือกเสน เดียวกนั หากจะมีบคุ คลใดกลา ววา โคดําเก่ียวเน่อื งกบั โคขาว โคขาวเกย่ี วเนือ่ งกับโคดาํ ดงั นี้ บคุ คลนั้นกลา วถูกหรือ.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 354 กา. ทา นพระอานนท ไมถกู เลย โคดําไมเกย่ี วเนอื่ งกับโคขาวทง้ั โคขาวกไ็ มเกี่ยวเนอื่ งกบั โคดํา โคคาํ กบั โคขาวนั้น เขาผูกติดกนั ดว ยสายครา วหรอื ดว ยเชือกเสนเดยี วกัน สายครา วหรือเชือกเสน เดียวกนั นน้ั เปนเคร่อื งผกู โคท้งั สองน้ันใหตดิ กนั ฉันใด. อา. ทา นกามภู ขอ นี้ก็ฉนั นัน้ เหมือนกัน จักษุเปนสังโยชนเครือ่ งผกู ของรูป รปู กเ็ ปนสงั โยชนเ คร่อื งผูกของจักษหุ ามไิ ด แตฉ ันทราคะความพอใจรักใครเกิดขึน้ เพราะอาศัยจักษุและรปู ทง้ั สองน้ันเปน สังโยชนเครื่องผูกจักษุและรปู น้ัน ฯลฯ ใจเปน สงั โยชนเ คร่ืองผกู ของธรรมารมณธรรมารมณก ็เปน สงั โยชนเคร่อื งผกู ของใจหามิได แตฉันทราคะความพอใจรกั ใครเกิดขน้ึ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณท ง้ั สองนั้น เปน เครอื่ งผกู ใจและอารมณน น้ั . จบ กามภูสูตรที่ ๖ อรรถกถากามภูสูตรท่ี ๖ กามภสู ตู รที่ ๖ งา ยทั้งนั้น. จบ อรรถกถากามสูตรท่ี ๖ ๗. อทุ ายสี ตู ร วา ดวยปญ หาของพระอทุ ายภี ิกษุ [๓๐๐] สมัยหนง่ึ ทา นพระอานนทแ ละทานพระอุทายี อยู ณโฆสติ าราม กรงุ โกสมั พี ครัง้ นั้น เปนเวลาเยน็ ทา นพระอุทายีออกจากที่

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 355พกั แลว เขา ไปหาทา นพระอานนทถงึ ที่อยู ไดปราศรัยกบั ทานพระอานนทคร้ันผานการปราศรัยพอใหร ะลกึ ถงึ กันไปแลว จงึ นัง่ ณ ท่ีควรสวนขางหนึง่ครั้นแลว ไดกลา วกะทานพระอานนทวา ทา นพระอานนท กายน้ี พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั บอกเปด เผย ประกาศแลว โดยปรยิ ายตาง ๆ วา แมเพราะเหตุน้ี กายน้เี ปน อนตั ตาดงั นี้ ฉันใด แมว ญิ ญาณน้ี ทา นอาจจะบอก แสดงบญั ญัติ ตั้งแต เปดเผย จําแนก กระทาํ ใหต ื้นวา แมเพราะเหตุน้ี วญิ ญาณนี้เปน อนตั ตา ฉันนนั้ หรอื . ทานพระอานนทก ลา ววา ทานพระอทุ ายี กายนี้ พระผมู พี ระ-ภาคเจา ตรัสบอก เปด เผย ประกาศแลว โดยปริยายตาง ๆ วา แมเ พราะเหตนุ ี้ กายน้เี ปนอนตั ตา ดงั นี้ ฉนั ใด แมว ิญญาณน้ี ผมอาจจะบอกแสดง บัญญัติ แตง ต้ัง เปด เผย จําแนก กระทาํ ใหต ื้นวา แมเพราะเหตนุ ้ี วิญญาณน้เี ปนอนัตตา ฉนั นั้น. [๓๐๑] ทานพระอทุ ายี จักษวุ ญิ ญาณยอ มเกดิ ขึ้นเพราะอาศัยจกั ษุและรปู หรือ. อุ. อยางนัน้ ทานผมู ีอายุ. อา. เหตแุ ละปจจยั ทอี่ าศัยจักษุวิญญาณเกดิ ขน้ึ พึงดบั ไปหมดสิ้นหาสว นเหลอื มิได จกั ษุวิญญาณจะปรากฏบา งหรือหนอ. อ.ุ ไมปรากฏเลย ทานผมู อี าย.ุ อา. แมโ ดยปรยิ ายน้แี ล จักษวุ ญิ ญาณน้ี พระผมู พี ระภาคเจาตรัสบอก เปดเผย ประกาศแลววา แมเ พราะเหตนุ ้ี วญิ ญาณนเ้ี ปน อนัตตาดังน้ี ฯ ฯ ทา นพระอทุ ายี มโนวญิ ญาณยอมเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั ใจและธรรมารมณห รอื .







































































พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 391คือศรทั ธา. จรงิ อยู บคุ คลผูทุศลี ผไู มมีศรทั ธา ไมต้ังมน่ั ในพระศาสนา ไมเธอขอปฏิบตั ิ ไมอ าจจะผกู แพคืออริยมรรคได. อนงึ่ แมบุคคลผูมือเทาบรบิ รู ณ แตไมม ีเร่ียวแรง ถกู พยาธเิ บียดเบยี น กไ็ มส ามารถจะผูกแพไดตอ สมบูรณดวยกําลังเทา นน้ั จงึ สามารถ ฉนั ใด แมค นมีศลี มศี รทั ธา ก็ฉนันน้ั แตเ ปน คนเกยี จคราน นั่งจมนาเกลยี ด กไ็ มสามารถจะผกู แพคือมรรคนีไ้ ด ผูปรารภความเพียรเทา นัน้ จึงสามารถ ฉะนนั้ ผปู ระสงคจะผกูแพคือมรรคนี้ จงึ ควรปรารภความเพยี ร. อนง่ึ บุรุษนัน้ ผกู แพยืนอยทู ี่รมิ ฝง เมื่อจะขามหวงนํ้า ซ่ึงกวา งประมาณโยชนห น่ึง จงึ ผูกใจวา เราตองอาศัยความเพียรของลกู ผชู าย พึงขามหวงนาํ้ นี้ไดฉนั ใด แมพ ระโยคีก็ฉนั นั้น ลงจงกรมพึงผูกใจวา วนั นี้ เราขา มหว งน้ําคอื กิเลส ที่มรรคทั้ง ๔ พงึ ฆา ไดแ ลวกพ็ งึ ดาํ รงอยูในพระอรหัต. อน่งึ บุรุษอาศัยแพ เม่อื จะขามหว งน้ํา เดินทางไดคาวุตหนง่ึ กลับเหลยี วดู ยอมรวู าเราขา มสวนหนง่ึไดแลว ยงั เหลืออยูอกี ๓ สวน เดินทางไปอกี คาวตุ หน่ึงกลับเหลยี วดู ก็รูวาขา มได ๒ สวนแลว ยงั เหลืออยู ๒ สว น เดนิ ทางไปอกี คาวุตหนึ่งตอนนั้ กก็ ลับเหลยี วดู รูว า เราขามได ๓ สว นแลว ยังเหลอื อยสู ว นเดยี วแมล ว งสวนนั้นไปแลว กลับเหลียวดู กร็ ูว า เราขา มได ๔ สว นแลวและใชเทาถีบแพนนั้ ทิ้งไป มุง ตรงไปตามกระแสน้าํ ขา มไดแ ลว ยนื อยูท ่ฝี งฉนั ใด ภิกษุแมนีก้ ็ฉันนน้ั อาศัยแพคอื อริยมรรค เมื่อจะขามหว งนํา้ คือกเิ ลส ขามกเิ ลสอันปฐมมรรคคอื โสดาปต ตมิ รรคจะพึงฆา ดาํ รงอยใู นผลจติ ในลาํ ดับตอ จากมรรคจติ กลบั ตรวจดูดวยปจจเวกขณญาณ ยอ มรวู าบรรดากิเลสทั้งหลายทีม่ รรคทัง้ ๔ พงึ ฆา สวนหนง่ึ เราละไดแลว ยงั เหลอื

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 392อยูอีก ๓ สว น. เม่ือประชุมอนิ ทรยี  พละ และโพชฌงคเ หมือนอยา งนั้นน้นั แลอกี พจิ ารณาสังขาร ขามกิเลสอนั มรรคจติ ที่ ๒ คือสกทาคามมิ รรคจะพึงฆา แลวดาํ รงอยูในผลจิต ในลาํ ดบั ตอจากมรรคจติ แลว กลบั ตรวจดูดวยปจ จเวกขณญาณยอมรวู า บรรดากเิ ลสท้งั หลายทม่ี รรคจิตท้งั ๔ พึงฆา เราละไดแลว ๒ สวน ยังเหลืออยูอีก ๒ สว น. เมอื่ ประชมุ อนิ ทรยี พละ และโพชฌงค เหมือนอยา งน้ันนั่นแลอกี พิจารณาสงั ขาร ขา มกเิ ลสทัง้ หลาย ท่ีมรรคจติ ท่ี ๓ คอื อนาคามิมรรคจะพงึ ฆา แลวดาํ รงอยูใ นผลจิต ในลําดบั ตอจากมรรคจิต กลับตรวจดูดวยปจจเวกขณญาณยอ มรวู าบรรดากิเลสทงั้ หลายท่ีมรรคจิตท้ัง ๔ พงึ ฆาเราละไดแ ลว ๓ สวน ยงั เหลอือยสู วนเดียว. เม่ือประชุม อินทรยี  พละและโพชฌงค เหมอื นอยางน้ันนน้ั แลอีก พิจารณาสังขาร ขา มกเิ ลสทัง้ หลายทม่ี รรคจิตท่ี ๔ คอื อรหตั -มรรคจติ จะพงึ ฆา ดาํ รงอยูในผลจิต ในลําดับตอ จากมรรคจติ กลบั ตรวจดูดว ยปจจเวกขณญาณยอมรูวา กิเลสท้ังหมดเราละไดแลว . ลําดบั นนั้ ภกิ ษนุ ้ันน่งั บนอาสนะนน่ั แล หรือในท่อี ่ืน มที ่ีสถานที่พักกลางวนั และท่ีพกั กลางคืนแหงใดแหง หนึง่ แลว คิดวา เราพน แลว จากอนัตถะภาวะทีไ่ มนา ปรารถนามปี ระมาณเทา นหี้ นอ แลวแนบสนทิ ผลสมาบตั ิ อนั มีพระนพิ พานเปนอารมณ เปนผูมีจิตมีอารมณเปน หนึง่ มีใจราเรงิ นงั่ อยู เปรยี บเหมือนบุรุษนัน้ ลอยแพไปในกระแสนํา้ ขนึ้ นา้ํ ยนื อยูบนบก หรอื เขาไปยังพระนคร ไปปราสาทชน้ั บนอันประเสรฐิ คิดวา เราพนแลว จากอนตั ถะภาวะท่ีไมนาปรารถนามปี ระมาณเทานี้หนอ มจี ติ มีอารมณเ ปน หน่ึง มีใจรา เรงิ ยินดี น่ังอยู ฉะนั้นพระผูมพี ระภาคเจา ทรงหมายเอาขอนี้จงึ ตรสั ไววา

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 393ตณิ ฺโณ ปารคโต ถเล ตฏิ  ติ พฺราหมฺ โณติ โข ภกิ ฺขเว อรหโตเอต อธวิ จน . กใ็ นคาํ วาดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย คําวา ขามถงึ ฝง ยนื อยูบ นบกคอื พราหมณน ้ีเปนช่ือของพระอรหนั ต ทนี่ ี้ ตรัสกรรมฐานตาง ๆ ไวอ ยา งนี้กอ น. แตพึงรวบรวมพระสตู รทัง้ หมด แสดงรวมกนั อน่งึ เมอ่ื แสดงรวมกัน ควรอธิบายโดยอาํ นาจปญ จขนั ธ เทา น้นั . อยา งไร. ความจริงในขอน้ี มหาภตู รูป ๔ อายตนะภายใน ๕อายตนะภายนอก ๕ สขุ ุมรูป ๑๕ ในธรรมายตนะ เปนสวนหนึง่ แหงสัก-กายะ* ดงั กลาวมานช้ี อื่ วา รูปขันธ มนายตนะ วิญญาณขันธ สวนหน่งึแหง ธรรมายตนะ โอฆะ ๔ เปน สวนหนงึ่ แหง สกั กายะ ดงั กลาวมาน้ีจัดเปน อรูปขันธ ๔. ใน ๒ อยางน้ัน รูปขันธ คงเปน รปู อรูปขันธจัดเปน นาม ดังกลาวมาน้ี จดั เปน นามรูป. นันทิราคะ กาโมฆะ ภโวฆะสวนหนง่ึ แหงธรรมายตนะ เปน สว นหนงึ่ แหงสกั กายะ ดังกลาวมาน้ีธรรมเหลา นี้ เปน ปจ จัย แกน ามรูปนน้ั ภกิ ษนุ ้ัน กําหนดนามรปู พรอ มท้งั ปจจัย ดังวามานี้ ยกขึน้ สไู ตรลกั ษณะ เจรญิ วปิ สสนา พิจารณาสงั ขารยอ มบรรลพุ ระอรหัต นเี้ ปน มขุ คือขอ ปฏบิ ตั ินาํ ออกจากทกุ ขส าํ หรับภกิ ษุรปู หนง่ึ . ในธรรมเหลา นั้น มหาภตู รูป ๔ อปุ าทานขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๑ ท้ังท่เี ปน ภายในและภายนอก เปน สว นหน่งึ แหงธรรมายตนะ ทฏิ โฐฆะอวชิ โชฆะ เปนสวนหนง่ึ แหงสกั กายะ ดงั วานจี้ ดั เปนทกุ ขสจั , สว นนันท-ิ๑. จุฬเวทลั ลสูตร วาไดแ กอ ปุ าทานขันธ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 394ราคะ เปนสว นหน่งึ แหงธรรมายตนะ กาโมฆะ ภโวฆะ เปน สว นหนึ่งแหงสักกายะ ดังกลา วนีจ้ ดั เปนสมุทัยสจั , นิพพานกลาวคือฝง โนน จัดเปนนิโรธสัจ, อริยมรรค จับเปนมรรคสัจ. ในสจั จะ ๔ นนั้ สัจจะ ๒ ( ขางตน ) เปน วฏั ฏะ สจั จะ ๒( ขา งหลัง ) เปน ววิ ัฏฏะ. สจั จะ ๒ ( ขางตน ) จัดเปนโลกยิ ะ สจั จะ ๒( ขา งหลัง ) จดั เปนโลกตุ ตระ, สจั จะ ๔ ดงั กลาวน้ี พงึ แสดงจาํ แนก ดวยอาการ ๑๖ ๖ หม่ืนนัยและ ในเวลาจบเทศนา ภกิ ษุ ๕๐๐ รูป ผเู ปนวปิ จิตัญู ดาํ รงอยูในพระอรหัต. แตพ ระสูตร ทรงแสดง ดวยอํานาจทกุ ขลกั ขณะ. จบ อรรถกถาอาสวี สิ สูตรที่ ๑ ๒. รถสตู รวาดว ยผูประกอบดว ยธรรม ๓ ประการ ยอมมากดว ยความสุขโสมนสั [๓๑๗] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษผุ ูป ระกอบดวยธรรม ๓ ประการยอ มมากดวยความสขุ โสมนสั อยูในปจจบุ นั และยอ มเปน อันภกิ ษนุ ้ันปรารภเหตุเพอื่ ความสนิ้ อาสวะท้งั หลาย ธรรม ๓ ประการเปนไฉน. คอืภิกษุเปน ผูคมุ ครองทวารในอนิ ทรียท้ังหลาย ๑ รปู ระมาณในโภชนะ ๑ประกอบความเพียรเปนเคร่ืองตนื่ อยู ๑ ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย กภ็ ิกษุเปนผูคมุ ครองทวารในอนิ ทรยี ท ง้ั หลายอยา งไร. ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ เห็นรูปดวยจักษุแลว ไมถ ือนิมติ ไมถืออนพุ ยญั ชนะ เธอยอ มปฏบิ ัตเิ พอ่ื สํารวมจกั ขนุ ทรีย ที่เมอื่ ไมส ํารวมแลว จะพึงเปนเหตใุ หอ กศุ ลธรรมอนั ลามก คอื

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 395อภชิ ฌาและโทมนัสดรอบงํา ชือ่ วารกั ษาจักขุนทรีย ช่ือวาถงึ ความสาํ รวมในจักขุนทรยี  ภิกษุฟง เสยี งดวยหู ดมกลิ่นดว ยจมูก ล้ิมรสดว ยลน้ิ ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย รูแจง ธรรมารมณด วยใจแลว ไมถ ือนมิ ิต ไมถอือนพุ ยัญชนะ เธอยอ มปฏบิ ตั ิเพ่ือความสํารวมมนินทรยี  ที่เมอ่ื ไมส ํารวมแลว จะพงึ เปนเหตใุ หอ กศุ ลธรรมอนั ลามก คือ อภชิ ฌาและโทมนัสครอบงาํ ช่ือวา รกั ษามนินทรีย ช่ือวาถงึ ความสํารวมในมนินทรีย ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย นายสารถฝี ก มาผูฉลาด เปน อาจารยฝ ก ฝนมา ข้นึ สูร ถอนัเทยี มมา แลว ซงึ่ มีแสอันวางไวแ ลว ถอื เชอื กดว ยมือซาย ถอื แสด ว ยมือขวาขบั ไปทางหนา กไ็ ด ถอยกลับขางหลังก็ได ในถนนใหญ ๔ แยก ซึง่ มีพน้ืเรียบดี ตามความประสงค ฉันใด ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษุยอ มศกึ ษาเพ่ือจะรกั ษา ศกึ ษาเพือ่ จะสาํ รวม ศึกษาเพ่ือจะฝกฝน ศกึ ษาเพ่ือจะระงับอินทรียท งั้ ๖ เหลา นี้ ก็ฉนั น้นั เหมือนกนั ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ภิกษุชือ่วา เปนผูค มุ ครองทวารในอินทรยี ท้ังหลายอยางนี้แล. [๓๑๘] ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษเุ ปน ผรู ูประมาณในโภชนะอยา งไร. ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี พิจารณาโดยแยบคาย บริโภคอาหารดว ยมนสิการวา เราไมบ รโิ ภค เพอ่ื เลน เพื่อความมัวเมา เพ่อื จะประดบัเพือ่ จะตกแตง บริโภคเพยี งเพอ่ื ดํารงอยูแหงรางกายนี้ เพอ่ื ใหเปน ไปไดเพื่อจะกําจัดความลําบาก เพื่ออนุเคราะหพรหมจรรย ดวยประการดังกลา วมาน้ี เราจักกําจดั เวทนาเกา เสยี จกั ไมใหเ วทนาใหมเ กดิ ขนึ้ การยังชีพใหเ ปน ไป ความไมมีโทษและความอยสู บายจกั มแี กเ รา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลายบุรุษพึงทายาแผล ก็เพียงเพ่อื ตอ งการใหเ นื้อขน้ึ มา หรอื บุรุษพึงหยอดนา้ํ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 396มนั เพลารถก็เพยี งเพ่อื ตองการขนสิ่งของไปได ฉนั ใด ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลายภกิ ษุพิจารณาโดยแยบคาย บรโิ ภคอาหารดว ยมนสิการวา เราไมบริโภคเพ่อื เลน เพ่อื ความมัวเมา เพือ่ จะประดับ เพือ่ จะตกแตง ผิว บริโภคเพยี งเพื่อดาํ รงอยแู หง รางกายนี้ เพอ่ื ใหเปน ไปได เพื่อจะกาํ จัดความลาํ บาก เพ่อือนุเคราะหพ รหมจรรย ดว ยประการดงั กลาวมาน้ี เราจักกาํ จดั เวทนาเกา เสีย จกั ไมใหเ วทนาใหมเกดิ ขึน้ การยังชพี ใหเปนไป ความไมม ีโทษและความอยสู บายจักมีแกเ ราฉนั นั้นเหมือนกนั ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุชอ่ื วาเปนผรู ูประมาณในโภชนะอยางนแ้ี ล. [๓๑๙] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุเปนผูป ระกอบความเพียรเครือ่ งตื่นอยูอยางไร. ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี ยอมชําระจติ ใหบ รสิ ุทธจิ์ ากธรรมเครื่องกน้ั ความดี ดว ยการเดนิ การน่ัง ในเวลากลางวัน พอถงึกลางคนื ตอนปฐมยาม ยอมชําระจติ ใหบรสิ ทุ ธจ์ิ ากธรรมเครอื่ งกนั้ ความดีดว ยการเดนิ การน่งั ในตอนมัชฌิมยามแหง ราตรี ยอมสาํ เร็จสีหไสยาสนโดยขางเบอ้ื งขวา ซอนเทา เหล่อื มเทา มสี ติสมั ปชญั ญะทําไวใ นใจซ่งึอุฏฐานสญั ญาคิดจะลุกขึ้น พอถึงปจฉิมยามแหง ราตรี ก็ลุกขึ้นชําระจิตใหบริสทุ ธ์จิ ากธรรมเคร่อื งกน้ั ความดีดวยการเดิน การนงั่ ดูกอ นภิกษุทัง้ หลายภิกษชุ ือ่ วา เปนผปู ระกอบความเพยี รเคร่ืองต่นื อยูอยา งนแี้ ล ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษผุ ูประกอบดวยธรรม ๓ ประการนี้ ชื่อวายอมมากดว ยความสุขโสมนสั อยใู นปจ จุบัน และยอมเปน อันปรารภเหตเุ พื่อความสน้ิอาสวะทง้ั หลาย. จบ รถสูตรที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 397 อรรถกถารถสูตรท่ี ๒ ในรถสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดงั ตอ ไปน้ี . บทวา สุขโสมนสสฺ พหโุ ล ความวา ภกิ ษุชื่อวา ผูมากดว ยสุขและโสมนัส เพราะภกิ ษุนั้นมสี ขุ ทางกาย และมีสุขทางใจมาก. บทวา โยนิจสฺส อารทฺธา โหติ ความวา และเหตุของภิกษุนนั้ บริบูรณ. ในบทอาสวาน ขยา นีท้ า นประสงคเ อาพระอรหตั ตมรรควาอาสวกั ขัย. อธบิ ายวาเพ่ือประโยชนแ กพระอรหตั นนั้ . บทวา โอธตปโตโท ไดแ กแ สท่ขี วางขวางไวก ลางรถ บทวา เยนจิ ฉฺ ก ไดแ กปรารถนาไปทางทิศใด บทวา ยทิจฺฉกไดแก ปรารถนาการไปใดๆ. บทวา สาเรยยฺ แปลวา พึงสงไปว่ิงไปขา งหนาบทวา ปจจฺ าสาเรยยฺ แปลวา พึงวงิ่ กลับ ( ถอยหลัง ) บทวา อารกขฺ ายแปลวา เพ่ือประโยชนแ กอ นั รักษา. บทวา สฺมาย ไดแก เพ่อื หามความสลดใจ. บทวา ทมาย ไดแ ก เพอ่ื หมดพยศ. บทวา อุปสมายไดแก เพอื่ ประโยชนแกก ารเขาไปสงบกเิ ลส. ในบทวา เอวเมวโข มวี ินิจฉัยดงั ตอ ไปนี้ :- เหมอื นอยางวาเม่ือนายสารถี ผูไมฉลาด เทยี มมาสนิ ธพท่ีไมไ ดฝก ขับรถไปตามทางขรุขระ(ไมสมา่ํ เสมอ) แมล อ ก็ยอ มแตก แมเ ขลาและกีบของมา สินธพ ก็ถึงความยอ ยยับกับท้งั ตนเอง และไมส ามารถจะใหแลน ไปไดตามทางไปตามทต่ี อ งการไดฉันใด ภกิ ษผุ ูไมค มุ ครองทวารในอนิ ทรีย ๖ ก็ฉันนั้น ไมสามารถเสวยความยนิ ดีในความสงบตามท่ตี องการได. สวนนายสารถีผฉู ลาดเทียมมา สนิ ธพท่ีฝกแลว ใหร ถแลนในพื้นทีเ่ รียบ จับเชือก ตั้งสตไิ วทก่ี บี มา สนิ ธพทง้ั หลาย ถือแสจ ับใหห มดพยศขับไป ใหม นั วิง่ ไปตามทางไปทีต่ นตองการ ๆ ฉนั ใด ภิกษผุ คู มุ ครองทวารในอินทรยี ทั้ง ๖ กฉ็ นั นั้น

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 398ยอ มเสวยความยินดีในความสงบ ตามท่ีตนตองการ ๆ ในพระศาสนาน้ี.ถาภกิ ษเุ ปนผปู ระสงคจ ะสงญาณมงุ ตรงตออนุ ิจจานุปสสนาไซร ญาณก็ไปตรงทางอนจิ จานุปส สนานัน้ แมใ นทกุ ขานุปส สนา ก็นยั น้เี หมอื นกนั . บทวา โภชเน มตฺตฺู แปลวา รูจกั ประมาณในโภชนะ.ในบทวา รจู ักประมาณน้ัน ประมาณมี ๒ อยาง คอื ประมาณในการรบัและประมาณในการบริโภค. ใน ๒ อยา งนนั้ ประมาณในการรับ พงึทราบโดยสามารถของทายก พงึ ทราบโดยสามารถของไทยธรรม พงึทราบโดยกําลงั ของตน. จริงอยู ภกิ ษุเห็นปานน้ี ถา ไทยธรรมมมี ากทายกประสงคจะใหนอย ยอมรบั แตน อ ย ไทยธรรมมีนอ ย ทายกประสงคจะใหม าก กร็ บั แตน อ ย ดวยอาํ นาจไทยธรรม ทัง้ ไทยธรรม กม็ มี ากทง้ั ทายกกป็ ระสงคจะใหม าก ยอ มรกู าํ ลังของตน รบั โดยประมาณ ภกิ ษนุ ัน้ยอมทําลาภทีย่ ังไมเกิดใหเ กิดขึน้ และทาํ ลาภท่ีเกิดข้ึนแลวใหม ัน่ คง เพราะความท่ีตนเปน ผรู จู ักประมาณในการรบั นนั้ เหมือนสามเณรผมู ีอายุ ๗ ขวบในรชั สมยั แหง พระเจาติสสมหาราชผทู รงธรรม. ไดย ินวา ราชบุรุษทั้งหลายขนงบนา้ํ ออ ยมา ๕๐๐ เลม เกวยี นถวายแดพ ระราชา. พระราชาทรงพระดาํ ริวา เครือ่ งบรรณาการ นาชอบใจไมถ วายพระผเู ปน เจากอ น เราจกั ไมก นิ จงึ สงเกวยี น ๒๕๐ เลม ไปยังมหาวหิ าร ฝายพระองคเสวยพระกระยาหารเขาแลว ก็เสดจ็ ไป. เมื่อเขาติกลอง ภิกษุ ๑๒,๐๐๐ รปู ประชมุ กนั พระราชา ประทับยนิ อยู ณ สวน .ขางหน่ึง รบั สั่งไดเ รียกคนวัดมาตรสั วา ในการถวายทานของพระราชาถวายองคล ะประมาณเต็มบาตรหน่ึง บรรจเุ ตม็ ภาชนะทถ่ี ือมาแลว จงบอกถา องคไร ๆ มนั่ อยูใ นการรบั พอประมาณ กจ็ ะไมร ับ กพ็ ึงบอกแกเรา.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 399 ลาํ ดบั นั้น พระมหาเถระรูปหนงึ่ ประสงคจ ะไหวตนพระมหาโพธ์ิพระมหาเจดีย กม็ าจากเจติยบรรพตเขา ไปยังวิหาร เห็นพวกภกิ ษุถืองบนํ้าออย ณ ท่ีมณฑปใหญ จึงกลาวกะสามเณรผตู ามมาขา งหลังวา เธอไมตองการงบน้ําออยหรือ. สามเณรตอบวา ขอรับกระผมไมต อ งการ.(พระเถระ) พอ สามเณร พวกเราเดนิ ทางมาลําบาก ตอ งการอาหารเพียงผลมะขวดิ สกั ผลหน่งึ . สามเณรจึงนาํ ภาชนะออกมา แลวไดว างเรียงไวต ามลาํ ดบั พรรษาของพระเถระ. คนวดั บรรจเุ ตม็ ภาชนะท่พี อรับ แลวยกข้ึน.สามเณรกระดิกน้วิ . คนวดั กลา ววา พอ สามเณร ในทานของราชสกลุกําหนดถวายเตม็ ภาชนะท้งั นั้น โปรดรบั ภาชนะทีเ่ ตม็ เถดิ . สามเณรกลาววา อยา งน้ัน อบุ าสก ธรรมดาพระราชาทัง้ หลาย มพี ระราชอธั ยาศัยใหญ พระอปุ ช ฌายของพวกอาตมาตองการเพยี งเทานแ้ี หละ. พระราชาทรงพึงถอยคาํ ของคนวัดนัน้ แลว ตรสั ถามวา ทา นผูเ จริญ สามเณรพดู อะไรจึงเสด็จมาย่งิ สาํ นกั ของสามเณร คนวดั ทลู วา ภาชนะของสามเณรเลก็ มาก.พระราชาตรสั วา ทานบรรจุเตม็ ภาชนะทท่ี านนาํ มารบั ไวเถดิ พอสามเณรสามเณรทูลวา มหาบพติ ร ธรรมดาวา พระราชาท้งั หลาย มีพระราชอธั ยาศัยใหญ และมพี ระราชประสงคจ ะบรรจเุ ต็มภาชนะท่ียกข้ึนแลว จงึถวาย แตอ ุปชฌายข องอาตมภาพ ตองการของมปี ระมาณเทา นีแ้ หละพระราชาทรงพระดํารวิ า สามเณรนี้ มีอายุ ๗ ขวบ แมแตปากของเธอก็ยงั ไมส ิน้ กลิ่นนํ้านม เธอยงั ไมกลา ววาเราจะรับเตม็ หมอ หรอื ตมุ แลวจกั ฉันทั้งในวันนที้ ั้งในวันพรุงนี้ ใคร ๆ ไมส ามารถทจ่ี ะรกั ษาพระศาสนาของพระพุทธเจา ไวได จึงทรงสง่ั ราชบุรษุ ทั้งหลายวา ทานผูเ จริญ เราเลื่อมใสสามเณรจรงิ ๆ พวกทา นจงนําเกวยี นบรรทุกน้าํ อายงบ ๒๕๐ เลมมาอีกแลว ถวายแกสงฆ.

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 400 กพ็ ระราชานน้ั นั่นแล วนั หน่งึ มพี ระราชประสงคจ ะเสวยเน้ือนกกระทา จึงทรงพระดาํ รวิ า ถาเราประสงคจะบรโิ ภคเนอ้ื นกกระทาํ ปง ไฟจึงทรงดาํ รวิ า ถา เราจักบอกแกค นอ่ืนวาเราอยากกนิ เนื้อนกกระทาปง ไฟคนท้ังหลายกจ็ กั กระทาํ ฆานกกระทา ในที่รอบ ๆ โยชนห นง่ึ จึงทรงอดกลนั้ บวงมาร แมท เ่ี กดิ ขน้ึ แลว ทรงยบั ยง้ั ถงึ ๓ ป. ตอมาพระราชานั้นเกิดเปน น้าํ หนวก. ทาวเธอ เมื่อไมอาจจะอดกลั้นได จึงตรสั ถามวา ใคร ๆท่ีเปน อุบาสกผอู ุปฏฐากเราเปนคนรกั ษาศลี มอี ยูบางไหม. ราชบรุ ษุ เหลานน้ัทลู วา เทวะ มีอยพู ระเจา ขา เขาช่ือวา ติสสะ รักษาศีลไมข าด. ลําดบั น้ันพระราชาประสงคจะทดลองอบุ าสกนน้ั จึงรบั สัง่ ใหเ รยี กตัวมา. อุบาสกน้นักม็ าเฝา ยนื ถวายบงั คมพระราชา. ลาํ ดับน้ัน พระราชาตรสั กะอบุ าสก น้ันวาแนพอ ทานช่ือติสสะหรอื อบุ าสกทลู รับวา พระเจาขา. พระราชาตรสั วาถา อยางนน้ั ทา นจงไปได. เม่ืออบุ าสกนั้นไปแลว พระราชารับส่ังใหนาํ ไกมาตวั หน่ึง แลว ตรัสสั่งราชบรุ ุษผหู น่ึงวาเจา จงไป บอกกะติสสะวา เธอจงปงไกใหสกุ ๓ เวลา และจงใหปรนนิบตั ิเรา. ราชบุรษุ นัน้ ไดไ ปบอกอยางน้ัน. อบุ าสกนั้น กลาววา ผูเจรญิ ถา ไกตวั นพี้ งึ เปน ไกตายแลว ไซรเราจะพึงปง ตามที่เรารู และปรนนบิ ตั ิ ความจรงิ เราไมทาํ ปาณาตบิ าตราชบรุ ุษน้ันไดไปทลู แดพ ระราชา. พระราชา ทรงสง ไปส่งั วา เธอจงไปอกี ครัง้ เขาไปบอกวา ทา นผเู จรญิ ขึน้ ช่อื วา การปรนนบิ ตั ิพระราชา เปนภาระหนกั ทา นอยาทําอยางน้ี ศีลทา นสามารถจะสมาทานไดอกี จงปงไกน้นั เถดิ ลาํ ดบั นั้น ตสิ สะไดก ลาวกะบรุ ุษน้ันวา ผเู จริญธรรมดาวา ในอัตภาพหน่งึ ความตายมี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook