Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_28

tripitaka_28

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_28

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 201ปสฺสติ ไดแก ยอมเหน็ สง่ิ ท่ีควรเหน็ เทา นนั้ . อนง่ึ บคุ คลบางคน แมเมือ่ ยดึ ถือสิง่ ที่ผดิ ๆ กย็ งิ่ ไมรู แมเ ม่ือเหน็ ก็ชื่อวา ไมเ หน็ ฉันใดพระผูม ีพระภาคเจา หาเปนฉันนน้ั ไม. ก็พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือทรงทราบ ช่อื วาทรงทราบ เมือ่ ทรงเห็นกช็ อื่ วา ทรงเหน็ เหมอื นกัน พระผูม-ีพระภาคเจา นนี้ น้ั ช่อื วา เปนผมู ีจักษุ เพราะอรรถวา มีทสั สนะเปน ตวั นาํช่อื วา เปน ผูม ญี าณ เพราะอรรถวา กระทําความเปนผูรูแจง ชอ่ื วา เปน ผูมีธรรม เพราะสาํ เรจ็ มาแตธ รรม เหมือนคดิ ดว ยพระหทัย เปลง ดวยพระวาจา เพราะอรรถวา มีความไมแ ปรปรวนเปน สภาวะ หรือเพราะประกาศโดยปรยิ ตั ิธรรม ชื่อวา เปน พรหม เพราะอรรถวา เปนผปู ระเสริฐ.อีกนยั หนึ่ง ทรงเปนราวกะวา มีจกั ษุ ช่อื จักขภุ โู ต. พงึ ทราบอรรถในบทเหลาน้ดี ว ยประการฉะน้ี. พระผมู พี ระภาคเจานน้ี นั้ ช่อื วา เปนผูกลาว เพราะอรรถวา กลาวธรรม. ชอื่ วา เปนผูประกาศ เพราะยังธรรมใหเ ปน ไป. ช่ือวา เปน ผแู นะนาํ ขอความ เพราะทรงสามารถนาํ พระหัตถออกชแ้ี จงได ชื่อวา ประทานอมตะ เพราะทรงแสดงขอ ปฏิบตั เิ พ่ือบรรลุอมตะได. บทวา อครุ กริตฺวา ความวา แมเ มอ่ื ไมใ หเขาออ นวอนบอ ย ๆชอื่ วา ทรงกระทําใหห นกั . แมเ ม่ือทรงยนื หยัดอยูใ นเสขปฏสิ มั ภิทาญาณของพระองคแ ลว แสดงใหรูไดย าก เหมอื นขุดทรายข้ึนจากเชิงเขาสเิ นรุช่ือวา ทําใหห นกั เหมอื นกนั . ทานกลา วอธิบายไววา เมอ่ื ไมท าํ อยา งนัน้ไมย อมใหพ วกเราขอบอ ย ๆ กลา วใหพวกเรารูไดงา ย.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 202 บทวา ย โข โว ไดแ ก ยจฺ โข ตุมหฺ าก . บทวา จกฺขนุ าโข อาวุโส โลกสฺมึ โลกสฺ ี โหติ โลกมานี ความวา ปถุ ชุ นผยู ังละทิฏฐิไมไ ดในโลก ยอ มจําหมายและยอมสําคญั ดวยจักษุทั้งหลาย วาโลก คอื สตั วโ ลก ยอ มจาํ หมายและสาํ คญั ดว ยอํานาจ จักกวาลโลกก็อยางน้นั จรงิ อยู เวน อายตนะ ๑๒ มีจักขวายตนะเปน ตน สัญญาหรอื มนะน้นั ยอมไมเ กิดขึน้ แกเขา. ดวยเหตนุ นั้ ทานจงึ กลาววาจกขฺ นุ า โข อาวุโส โลกสมฺ ึ โลกสฺ ี โหติ โลกมานี ดังนี.้ก็ข้นึ ชอ่ื วา ทส่ี ุดแหงโลกนี้ ใคร ๆ ไมอ าจ จะรู จะเห็น จะถงึ ดวยการไปได แตผูท ย่ี ังไมถ งึ ท่สี ดุ กลาวคอื การดบั โลก อันตางดว ยจักขเุ ปน ตนน้นั นนั่ แล เพราะอรรถวา เปนของชาํ รดุ พึง่ ทราบวา ช่อื วา ไมมกี ารกระทาํ ทส่ี ดุ แหง วัฏฏทกุ ข. ครัน้ วิสัชนาปญ หาอยางนีแ้ ลว บัดน้ี เมือ่ จะสง ภกิ ษุเหลา น้นั ไปดวยคาํ วา พวกทา นอยาสงสัยไปเลยวา พระสาวกถามปญ หา พระผูม-ีพระภาคเจา น้ี ประทับน่งั จับตาช่ัง คือ พระสัพพัญุตญาณ พวกทานเมื่อปรารถนา เขา ไปเฝาพระองคนัน้ นัน่ แล กค็ งหายสงสยั จงึ กลาววาอากงขฺ มานา เปน ตน . บทวา อิเมหิ อากาเรหิ ความวา ดว ยเหตเุ หลา นี้ คือ ดวยเหตุแหงความมที ี่สุดแหง จกั รวาลโลก และดวยเหตยุ ังไมถึงทีส่ ุดแหงสังขารโลก.บทวา อิเมหิ ปเทหิ ไดแ ก ดวยการประมวลอกั ษรเหลา นี้. บทวาพฺยฺชเนหิ ไดแ ก ดว ยอกั ษรแผนกหนง่ึ . บทวา ปณฺฑิโต ไดแ กประกอบดว ยความเปนบัณฑิต. อกี อยางหน่งึ เปน ผูฉลาดดว ยเหตุ ๔ประการ คอื เปนผฉู ลาดในธาตุ เปนผูฉลาดในอายาตนะ เปนผฉู ลาดใน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 203ปจจยาการ เปนผฉู ลาดในเหตุและมิใชเหต.ุ บทวา มหาปฺโ คอืเปน ผปู ระกอบดว ยปญ ญามาก เพราะเปนผูฉลาดในการกาํ หนดถือเอาอรรถเปนอนั มาก ธรรมเปนอนั มาก นิรตุ ติเปนอนั มาก ปฏภิ าณเปน อันมาก.บทวา ยถา ต อานนฺเทน ความวา ทานกลาวหมายเอาคําทที่ านพระอานนทพยากรณไว. อธบิ ายวา คาํ นนั้ ทา นพระอานนทพยากรณไวอ ยางใด แมเราก็พึงพยากรณคํานัน้ อยางน้นั เหมอื นกัน. จบ อรรถกถาปฐมโลกกามคณุ สูตรท่ี ๓ ๔. ทตุ ิยโลกกามคุณสูตร วา ดว ยความดับแหง อายตนะ ๖ [ ๑๗๓ ] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เมอ่ื กอนตรสั รู เราเปน พระโพธสิ ัตวยงั มไิ ดต รสั รู ไดม ีความปริวติ กวา เบญจกามคุณของเราที่เราเคยสัมผัสดว ยใจมาแลว ลว งไปแลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว จติ ของเราเมื่อเกิดพงึ เกิดข้นึ ในเบญจกามคณุ ทเ่ี ปนปจ จบุ นั มาก หรอื ทีเ่ ปน อนาคตนอย ลําดับน้นั เราคดิ วา เบญจกามคุณปองเราท่เี ราเคยสมั ผัสดวยใจมาแลว ลว งไปแลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว เราปรารถนาประโยชนแกต น พึงทําความไมป ระมาทในเบญจกามคุณนัน้ และสตใิ หเปน เคร่อื งรักษาจติ เพราะเหตุนัน้ แหละ เบญจกามคุณ แมของทา นท้งั หลาย ทท่ี า นทงั้ หลายเคยสัมผสั ดว ยใจมาแลว ลวงไปแลว ดบั ไปแลว แปรปรวนไปแลว จติ ของทานทง้ั หลายเมอ่ื เกิด พึงเกดิ ขนึ้ ในเบญจกามคณุ ที่เปนปจ จุบันมาก หรอืท่ีเปน อนาคตนอ ย ( เชน เดยี วกัน ) เพราะเหตุนั้นแหละ เบญจกามคุณ

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 204แมของทานท้งั หลาย ท่ที านทงั้ หลายเคยสมั ผสั ดวยใจมาแลว ลว งไปแลวดับไปแลว แปรปรวนไปแลว ทา นทั้งหลายปรารถนาประโยชนแ กตนพงึ ทาํ ความไมประมาทในเบญจกามคุณนัน้ และสติใหเปน เครื่องรกั ษาจิตแลวตรสั ตอ ไปอกี วา ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตนุ ั้นแหละ อายตนะอนั บุคคลจาํ ตอ งรไู ว คอื จักษุดับ ณ ท่ใี ด รปู สญั ญาก็สน้ิ ไป ณ ท่นี น้ัหดู บั ณ ทใ่ี ด สัททสัญญาก็สิ้นไป ณ ทน่ี ้นั จมกู ดบั ณ ที่ใด คนั ธสญั ญากส็ ิน้ ไป ณ ทนี่ ัน้ ล้นิ ดับไป ณ ทใ่ี ด รสสัญญากส็ ิ้นไป ณ ทน่ี นั้ กายดับณ ทีใ่ ด โผฏฐัพพสัญญาก็ส้ินไป ณ ที่นัน้ ใจดับ ณ ทีใ่ ด ธรรมสญั ญากส็ ้ินไป ณ ท่ีน้นั คร้ันพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ดังนแ้ี ลว ก็เสด็จลุกขึ้นจากพุทธอาสนเ ขา ไปสูพ ระวิหาร เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสดจ็ ไปไมน าน ภิกษุเหลานั้นมีความคดิ วา พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงอุเทศน้แี กเ ราทงั้ หลายโดยยอ ไมทรงจาํ แนกเนื้อความใหพ สิ ดารวา เพราะเหตุนัน้ แหละ อายตนะอนั บุคคลจาํ ตอ งรูไว คอื จกั ษุดบั ณ ท่ใี ด รปู สัญญากส็ ิ้นไป ณ ทน่ี ้ัน ฯลฯใจดับ ณ ที่ใด ธรรมสญั ญาก็ส้นิ ไป ณ ทนี่ น้ั ดังนี้แลว เสดจ็ ลกุ จากพุทธอาสนเ ขา ไปสูพระวิหารเสยี ใครหนอจะจาํ แนกเน้อื ความแหง อุเทศที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงโดยยอ ไมทรงจาํ แนกเนอ้ื ความใหพสิ ดารน้ีโดยพสิ ดารได ลําดับนั้น ภกิ ษุเหลา น้นั คิดวาทา นพระอานนทน้ี เปนผทู ่ีพระศาสดาและเพอ่ื นสพรหมจารีผเู ปนปราชญยกยองสรรเสรญิ ท้งั ทาน สามารถจําแนกเนอื้ ความแหง อุเทศท่ีพระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงโดยยอไมทรงจําแนกเนือ้ ความใหพสิ ดารนี้ โดยพสิ ดารได ถากระไร พวกเราพงึเขาไปหาทา นพระอานนทถ งึ ทอี่ ยู แลวพงึ ไตถ ามเน้อื ความขอนั้นกะทา นเถิด.

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 205 [๑๗๔] ครง้ั น้ันแล ภิกษเุ หลา นนั้ จึงเขาไปหาทา นพระอานนทถงึ ที่อยู ไดป ราศรัยกบั ทา น ครั้นผา นการปราศรยั พอใหระลึกถงึ กนั ไปแลวจึงน่ัง ณ ที่ควรสว นขางหนง่ึ ครัน้ แลว ไดกลาวกะทา นพระอานนทว า ทานอานนท พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงอเุ ทศนแ้ี กพ วกเราโดยยอ ไมทรงจาํ แนกเนือ้ ความใหพ ิสดาร เสด็จลกุ ขึ้นจากพทุ ธอาสนเขา ไปสูพระวหิ ารเสีย เมือ่ พระองคเ สดจ็ ลุกไปไมน าน พวกเราจึงใครครวญวา ใครหนอจะชว ยจําแนกเนอ้ื ความแหง อเุ ทศทพ่ี ระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงโดยยอ ไมทรงจาํ แนกเนอ้ื ความใหพิสดารนี้ โดยพสิ ดารได พวกเราจึงคิดไดวาทานพระอานนทน เ้ี ปนผอู นั พระศาสดาและเพื่อนสพรหมจารีผเู ปน ปราชญยกยองสรรเสริญ ทง้ั สามารถจาํ แนกเนือ้ ความแหง อุเทศท่ีพระผูม ีพระ-ภาคเจาทรงแสดงโดยยอ ไมท รงจําแนกเนือ้ ความใหพ สิ ดารนโ้ี ดยพิสดารไดถากระไร เราพงึ เขาไปหาทานพระอานนทถ งึ ท่ีอยู แลว ไตถ ามเนือ้ ความขอ นั้นกะทาน ขอทา นพระอานนทไดโปรดจําแนกเนอื้ ความเถดิ ทา นพระอานนทก ลาววา ผูมีอายทุ ้งั หลาย เปรียบเหมอื นบรุ ษุ ผตู อ งการแกนไมแสวงหาแกนไม เท่ยี วหาแกน ไมอยู กลบั ลว งเลยราก ลว งเลยลาํ ตนแหงตน ไมม ีแกน ตนใหญซ่งึ ต้ังอยูเ ฉพาะหนาไปเสยี มาสาํ คญั แกนไมท ีจ่ ะพึงแสวงหาไดท ีก่ ิง่ และใบ ฉนั ใด คําอุปไมยนี้กฉ็ ันนั้น คือ พวกทานลวงเลยพระผูม ีพระภาคเจาผปู ระทับอยูเฉพาะหนา ในฐานะเปน ศาสดาของทา นทง้ั หลายไปเสยี มาสาํ คญั เน้อื ความทจี่ ะไตถามนี้กะขา พเจา แทจ ริง พระ-ผมู ีพระภาคเจาเมอื ทรงทราบ ยอมทราบ เม่ือทรงเห็น ยอ มเหน็ พระองคเปน ผมู ีพระจกั ษุ มพี ระญาณ มีธรรม เปนผปู ระเสริฐ เปนผูกลาว เปน ผู

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 206ประกาศ เปน ผทู ําเนื้อความใหต ืน้ เปนผใู หอมตธรรม เปนเจา ของแหงธรรม เปน ผถู งึ ธรรมทแ่ี ท เวลานเ้ี ปนกาลสมควรที่จะทลู ถามเนอ้ื ความขอนั้นกะพระผูม ีพระภาคเจา พระองคท รงแกป ญหาแกท า นท้งั หลายอยางใดทานทง้ั หลายพงึ ทรงจาํ ความขอน้ันไวอยางนนั้ เถดิ . ภิ. ทา นอานนท ขอ ท่ที า นวา น้นั เปนการถกู ตองแลว พระผมู ี-พระภาคเจา เมื่อทรงทราม ยอ มทราบ เมือ่ ทรงเหน็ ยอ มเหน็ พระองคเปน ผูม ีพระจกั ษุ มพี ระญาณ มธี รรม เปนผูประเสริฐ เปน ผกู ลาว เปน ผูประกาศ เปนผูทําเนอื้ ความใหต ้ืน เปนผูใหอ มตธรรม เปนเจา ของแหงธรรม เปน ผถู งึ ธรรมทแ่ี ท เวลานเ้ี ปน กาลสมควรทีจ่ ะทลู ถามเนื้อความขอนั้นกะพระผมู ีพระภาคเจา พระองคทรงแกปญหาแกพ วกเราอยางใด พวกเรากค็ วรทรงจาํ ความขอ นัน้ ไวอ ยา งน้ัน ก็แตว า ทานอานนทเปน ผูท่พี ระ-ศาสดาและเพ่ือนสพรหมจารีผูเปนปราชญ ยกยอ งสรรเสริญ ท่ที า นก็สามารถจะจําแนกเนอ้ื ความแหงอุเทศทพี่ ระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงไวโดยยอ ไมท รงจาํ แนกเนื้อความใหพ ิสดารนี้ โดยพิสดารได ขอทา นอยาไดหนักใจ โปรดชว ยจาํ แนกเนอื้ ความทเี ถดิ . [๑๗๕] อา. ทานผมู ีอายทุ ้งั หลาย ถาอยา งน้นั ทานท้งั หลายจงฟง จงใสใ จใหดี ขา พเจาจกั กลา ว ภกิ ษเุ หลาน้ันรับคาํ ทานพระอานนทแลว ทา นพระอานนทกลา ววา ทานผูมีอายุทัง้ หลาย ขอ ท่ีพระผมู ีพระภาค-เจาทรงแสดงอเุ ทศโดยยอไมท รงจาํ แนกเนือ้ ความใหพ สิ ดาร เสดจ็ ลุกจากพทุ ธอาสนเขาไปสพู ระวิหารเสยี นั้น ขา พเจาทราบแลว ผมู ีอายทุ ้งั หลายผมยอมทราบเนอ้ื ความแหงอเุ ทศที่ทรงแสดงโดยยอ ไมทรงจําแนกเนอ้ื

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 207ความใหพ สิ ดารน้ี โดยพิสดารวา ผมู ีอายทุ ัง้ หลาย พระพุทธวจนะนัน้ อนัพระผูมีพระภาคเจา ทรงภาษติ หมายเอาความดบั แหงอายตนะ ๖ ขอ ทีพ่ ระ-ผูม พี ระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอ ไมทรงจําแนกเนอื้ ความใหพ สิ ดารเสด็จลุกจากพทุ ธอาสนเ ขา ไปสพู ระวหิ ารเสยี นน้ั ผมรูเนอ้ื ความแหง อเุ ทศท่ีทรงแสดงโดยยอ ไมท รงจําแนกเน้อื ความใหพ สิ ดารน้ี โดยพิสดารอยา งนี้แล ผมู อี ายทุ งั้ หลาย ทา นทั้งหลายประสงคค วามแจม แจง พึงเขาไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจาแลว ทลู ถามเนอ้ื ความขอ น้ัน พระองคท รงพยากรณแกทานทั้งหลายอยา งไร ทา นทง้ั หลายพึงทรงจาํ ขอท่ีตรัสน้นั ไวอยา งน้นั เถิด. [๑๗๖] ภกิ ษุเหลา นั้นรับคําทานพระอานนทวา อยางน้นั ทานผูมอี ายุ ดงั น้ีแลว ลุกจากอาสนะเขา ไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจา ถงึ ทป่ี ระทับถวายบงั คมพระผูมีพระภาคเจาแลว นัง่ ณ ท่คี วรสวนขางหน่งึ คร้ันแลวไดก ราบทูลพระผมู พี ระภาคเจา วา พระเจาขา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงอเุ ทศโดยยอ ไมท รงจําแนกเน้ือความใหพสิ ดารแกขาพระองคทัง้ หลายเสดจ็ ลุกจากพุทธอาสนเ ขา ไปสูวิหารเสีย เมือ่ พระองคเ สด็จลกุ ไปไมน านขาพระองคทง้ั หลายจงึ ใครค รวญดูวา . . . ใครหนอจะชว ยจําแนกเนือ้ ความแหงอเุ ทศท่ีทรงแสดงโดยยอ ไมทรงจาํ แนกเนื้อความใหพ สิ ดารนี้ โดยพิสดารได ขา พระองคท ง้ั หลายคดิ วา ทา นพระอานนทน ้ี เปนผทู ีพ่ ระ-ศาสดาและเพอื่ นสพรหมจารีผูเปนปราชญย กยองสรรเสรญิ ท้งั ทา นสามารถจะจําแนกเน้ือความแหง อเุ ทศทท่ี รงแสดงโดยยอ ไมท รงจาํ แนกเนือ้ ความใหพิสดารน้ี โดยพิสดารได ถา กระไร เราทัง้ หลายพึงเขา ไปหาทา นพระอานนทถ งึ ท่ีอยู แลวไตถ ามเนอ้ื ความขอน้ันกะทานเถิด ครัน้ คิด

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 208ฉะน้แี ลว ขา พระองคท ัง้ หลายก็เขาไปหาทานพระอานนทถ ึงที่อยู แลวไตถ ามเนือ้ ความขอนัน้ กะทา น ทานพระอานนทก จ็ าํ แนกเนอื้ ความแกข าพระองคท้งั หลายดว ยอาการเหลาน้ี ดวยบทเหลานี้ ดว ยพยญั ชนะเหลานี้พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย อานนทเ ปนบัณฑติ มีปญ ญามาก หากทานทง้ั หลายพึงถามเน้อื ความขอ นนั้ กะเรา แมเรากพ็ งึพยากรณปญ หานัน้ เหมอื นอยา งทีอ่ านนทพยากรณแ ลว น้ันแหละ นัน่เปน เน้อื ความแหง อเุ ทศนั้น ทานทงั้ หลายพึงทรงจาํ เนือ้ ความนั้นไวอยา งนัน้ เถิด. จบ ทุตยิ โลกกามคุณสตู รที่ ๔ อรรถกถาทตุ ยิ โลกกามคุณสตู รท่ี ๔ ในทุติยโลกกามคณุ สตู รท่ี ๔ มีวินิจฉัยดงั ตอไปน.้ี บทวา เย เม ไดแ ก เย มม. บทวา เจตโส สมผฺ ฏุ ปุพฺพาไดแ กกามคุณ ๕ อนั จติ เคยเสวยแลว ดว ยคําวา ตตรฺ เม จิตฺต พหุลคจฉฺ มาน คจฺเฉยฺย น้ี ทา นแสดงวา จติ เม่อื เกิด ยอ มเกิด มากวาระในกามคณุ ๕ ทเี่ คยเสดงแลว ดว ยอํานาจสมบตั ิตา งดว ยปราสาท ๓ ชั้นและนางราํ เปนตนเหลา น้นั . บทวา ปจฺจปุ ปฺ นเฺ น วา ความวา พระองคเม่อื จะทรงแสดงอารมณนา รกั รืน่ รมยแ หง ใจ ตา งดวยรปู ที่เคยเห็น และเสยี งที่เคยไดฟ งเปน ตน ดว ยอาํ นาจไพรสณฑที่มีดอกไมบานสะพรง่ัสระทีเ่ กดิ โดยธรรมชาติ และหมูม ฤค เปนตน ใหเปนสิง่ ส่ิงนาใคร(กามคุณ) ในเวลาทรงบาํ เพ็ญเพียรตลอด ๖ พรรษาน้ี จึงทรงแสดงวา

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 209หรือในปจจบุ นั เห็นปานน้ี จิตพึงเกดิ ขน้ึ เปนสว นมาก. ดว ยบทวา อปปฺ วา อนาคเตสุ นี้ ทรงแสดงวา จติ ทเ่ี ปน สว นนอยเทาน้ัน พึงเกิดข้ึนในกามคุณ ดว ยสามารถแหง คําเปน ตน วา ในอนาคต จักมพี ระพทุ ธเจาทรงพระนามวา เมตตรัย พระราชา ทรงพระนามวา สงั ขะ ราชธานีนามวา เกตุมด.ี บทวา ตตฺร เม อตฺตรูเปน ความวา ในทีน่ ้ันเราผูห วังประโยชนเ กอ้ื กูลแกตน ( พึงทาํ ) บทวา อปปฺ มาโท ไดแ กกระทาํ ใหส ตเิ ปนไปตา งตอ คอื ไมป ลอยจิตไปในกามคุณ ๕. บทวา สติไดแ ก สตคิ อยกําหนดจับอารมณ. บทวา อารกโฺ ข ความวา ความไมประมาทและสตนิ ี้ เปน เครื่องกระทาํ อารกั ขาจติ ทานแสดงไววา ความคดิอยา งนนั้ ไดมีแกเ ราแลว. ทา นอธบิ ายไวว า ควรกระทําธรรม ๒ ( คอือปั ปมาทและสติ ) อยางเหลานี้ เพ่ือประโยชนแกอารักขา. บทวา ตสมฺ า ตหิ ภกิ ขฺ เว เส อายตเน เวทติ พฺเพเพราะเหตุทค่ี วรกระทาํ ความไมประมาทและสติ เพอื่ ประโยชนแกอารกั ขาเพราะเหตทุ ี่เมอื่ รูแจง อายตนะน้ันแลว ไมจ ําตองทําดวยความไมป ระมาทหรอื สติ ฉะนั้นแล จงึ ควรทราบอายตนะนั้น อธิบายวา จําตองรูเ หตนุ ้ัน.บทวา สฬายตนนิโรธ ความวา การดับสฬายตนะเรียกวานพิ พาน.อธบิ ายวา ทา นกลา วหมายเอาพระนิพพานนนั้ . จรงิ อยู จักขวายตนะเปน ตน และรูปสัญญาเปนตน ยอ มดับในเพราะพระนพิ พานนัน้ . คาํ ท่ีเหลือมีนยั ดังกลา วแลว นน้ั แล. จบ อรรถกถาทตุ ยิ โลกกามคณุ สูตรที่ ๔

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 210 ๕. สักกสูตร วาดวยทรงแกป ญหาของทาวสักกะ [ ๑๗๗ ] สมยั หนงึ่ พระผูมีพระภาคเจา ประทับอยู ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห ครั้งน้ันแล ทาวสักกะผูเปน จอมแหงเทวดาทั้งหลาย เสด็จเขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจาถึงทป่ี ระทับ ถวายบงั คมพระผูมีพระภาคเจาแลว ประทบั อยู ณ ทค่ี วรสว นขา งหนงึ่ คร้ันแลวไดทูลถามพระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตพระองคผ เู จริญ เหตุปจ จัยอะไรหนอ ทเี่ ปนเครื่องทาํ ใหสตั วบ างพวกในโลกน้ีไมป รนิ ิพพานในปจจุบนั อนงึ่ เหตุปจ จยัอะไร ทีเ่ ปน เคร่ืองทาํ ใหสัตวบางพวกในโลกน้ปี รินพิ พานในปจจุบนั . [๑๗๘] พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดูกอ นทานจอมเทพ รูปท่ีจะพงึ รูแจง ดวยจักษุ อนั นาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นา รกั อาศยัความใคร ชวนใหกาํ หนัด มีอยู หากภกิ ษเุ พลิดเพลินสรรเสริญหมกมนุ พัวพนั รปู น้ันอยู เมือ่ เธอเพลดิ เพลนิ สรรเสริญ หมกมนุ พวั พนัรปู นั้นอยู วญิ ญาณอันอาศยั ตัณหานน้ั ยอ มมี อปุ าทานอนั อาศยั ตณั หานนั้ ก็ยอ มมี ภิกษยุ งั มีอุปาทาน ยงั ไมปรินิพพาน ฯลฯ ธรรมารมณท่ีจะพึงรแู จงดวยใจ อันนาปรารถนา . นา ใคร นาพอใจ นา รกั อาศัยความใครชวนใหกําหนัดมอี ยู หากภิกษเุ พลดิ เพลนิ สรรเสรญิ หมกมุน พัวพนัธรรมารมณน้นั เม่ือเธอเพลิดเพลนิ สรรเสริญ หมกมุน พวั พันธรรมารมณนั้นอยู วิญญาณอนั อาศัยตัณหานัน้ ยอ มมี อปุ าทานอนั อาศัยตัณหานนั้ .ยอ มมี ภิกษผุ ยู ังมีอปุ าทาน ยังไมป รินพิ พาน ดกู อนทานจอมเทพเหตปุ จ จัยน้ีแล ท่เี ปน เครอ่ื งทําใหส ัตวบ างพวกในโลกนไี้ มป รนิ พิ พานในปจ จบุ นั .

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 211 [๑๗๙] ดกู อนทานจอมเทพ รูปทจี่ ะพึงรูแจงดว ยจกั ษุ อนั นาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นารัก อาศยั ความใคร ชวนใหก าํ หนดัมีอยู หากภิกษุไมเ พลดิ เพลนิ ไมส รรเสรญิ ไมห มกมนุ ไมพัวพนั รปู นัน้เม่ือเธอไมเ พลิดเพลนิ ไมส รรเสรญิ ไมหมกมุน ไมพ วั พนั รปู น้นั วิญญาณอนั อาศัยตณั หาน้ันยอ มไมม ี อุปาทานอนั อาศัยตณั หานน้ั ยอ มไมม ี ภิกษผุ ูไมมอี ุปาทาน ยอมปรนิ พิ พาน ฯลฯ ธรรมารมณท่ีจะพงึ รูแจง ดวยใจอนั นาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ นา รัก อาศยั ความใคร ชวนใหกาํ หนัดมอี ยู หากภิกษุไมเพลดิ เพลินไมสรรเสริญ ไมหมกมุน ไมพัวพนธรรมารมณนน้ั เมอ่ื เธอไมเ พลดิ เพลนิ ไมส รรเสรญิ ไมห มกมนุ ไมพวั พันธรรมารมณน ัน้ วิญญาณอันอาศยั ตณั หานัน้ ยอ มไมม ี อปุ าทานอันอาศัยตณั หานนั้ ยอมไมม ี ภกิ ษุผไู มม ีอุปาทาน ยอมปรนิ พิ พาน ดูกอน-ทา นจอมเทพ เหตุปจจัยน้ีแล ทเ่ี ปน เครื่องทาํ ใหสัตวบ างพวกในโลกน้ีปรินพิ พานในปจ จุบนั . จบ สักกสตู รท่ี ๕ อรรถกถาสักกสูตรท่ี ๕ ในสักกสตู รท่ี ๕ มวี ินิจฉัยดงั ตอ ไปน้ี. บทวา ทฏิ เว ธมเฺ ม ไดแก ในอตั ภาพน้ีเอง. บทวาปรินพิ ฺพายนฺติ ไดแ ก ยอ มปรนิ พิ พาน ดว ยการดับสนิทซ่งึ กเิ ลส. บทวาต นสิ ฺสิต วิ ฺ าณ โหติ ไดแ ก กรรมวิญญาณท่ีอาศยั ตัณหา. จบ อรรถกถาสกั กสตู รที่ ๕

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 212 ๖. ปญ จสิขสตู ร๑ วาดวยทรงแกป ญ หาของปญ จสขิ เทพบุตร [๑๘๐] สมยั หนง่ึ พระผูม พี ระภาคเจาประทับอยู ณ ภูเขาคชิ ฌกฏู กรงุ ราชคฤห คร้งั นน้ั ปญจสขิ เทพบุตรบตุ รแหงคนธรรพ เขาไปเฝา พระผูม ีพระภาคเจา ถึงท่ปี ระทบั ถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจา แลวยืนอยู ณ ท่พี ระสว นขา งหน่งึ ครนั้ แลว ไดท ลู ถามพระผมู ีพระภาคเจาวาขาแตพระองคผ ูเจริญ เหตุปจ จยั อะไรหนอ ทเี่ ปนเครอื่ งทําใหส ัตวบางจําพวกในโลกนี้ ไมป รนิ พิ พานในปจจบุ ัน เหตปุ จ จัยอะไร ที่เปนเครอ่ื งทาํ ใหสัตวบ างพวกในโลกน้ี ปรินพิ พานในปจ จบุ นั . [๑๘๑] พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั วา ดูกอ นปญจสขิ ะ รูปท่ีจะพึงรแู จง ดว ยจักษุ ฯลฯ ธรรมารมณท ีจ่ ะพึงรูแจง ดวยใจ อันนา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ นารกั อาศัยความใคร ชวนใหก ําหนัด มีอยู หากภิกษุเพลิดเพลนิ สรรเสรญิ หมกมุน พัวพนั ธรรมารมณน้นั เม่ือเธอเพลิดเพลิน สรรเสริญ หมกมนุ พัวพนั ธรรมารมณนั้นอยู วิญญาณอนั อาศัยตัณหานนั้ ยอมมี อุปาทานอนั อาศยั ตัณหานนั้ ยอมมี ภิกษุยังมีอุปาทานยงั ไมปรนิ พิ พาน ดกู อนปญ จสิขะ เหตุปจจัยน้แี ล เปน เคร่อื งทาํ ใหส ตั วบางพวกในโลกน้ี ไมป รินิพพาน ในปจจุบนั . [๑๘๒] ดูกอนปญจสขิ ะ รูปที่จะพึงรูแจงดว ยจักษุ อันนาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ นา รัก อาศยั ความใคร ชวนใหกําหนัดมีอยู ฯลฯ ธรรมารมณท ่ีจะพงึ รแู จงดวยใจ อนั นา ปรารถนา นา ใคร๑. สูตรที่ ๖ อรรถกถาแกวา งายท้งั นัน้ .

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 213นา พอใจ นารัก อาศยั ความใคร ชวนใหก ําหนดั มอี ยู หากภิกษไุ มเพลิดเพลนิ ไมส รรเสรญิ ไมหมกมุน ไมพ วั พนั ธรรมารมณน ้นั เมอ่ืเธอไมเ พลิดเพลนิ ไมส รรเสรญิ ไมห มกมุน ไมพวั พนั ธรรมารมณนนั้อยู วญิ ญาณอันอาศัยตัณหานนั้ ยอมไมมี อปุ าทานอันอาศยั ตัณหาน้ันยอมไมมี ภิกษุผไู มม อี ปุ าทานยอมปรนิ ิพพาน ดกู อนปญจสิขะ เหตุปจจัยนีแ้ ล เปน เครอื่ งทาํ ใหส ตั วบางพวกในโลกนี้ ปรนิ พิ พานในปจจุบนั . จบ ปญ จสขิ สูตรที่ ๖ ๗. สารีปุตตสตู รวา ดว ยผคู ุมครองทวารอนิ ทรียไดกป็ ระพฤตพิ รหมจรรยได [๑๘๓] สมัยหนึ่ง ทา นพระสารีบุตรอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของทา นอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรุงสาวัตถี คร้งั นนั้ ภกิ ษุรูปหนง่ึเขา ไปหาทา นพระสารีบุตรถึงท่ีอยู ไดปราศรยั กบั ทานพระสารบี ตุ ร คร้นัผา นการปราศรัย พอใหระลกึ ถึงกนั ไปแลว จึงน่งั ณ ท่คี วรสว นขางหนง่ึคร้ันแลว ไดกลาวกะทานพระสารีบตุ รวา ทา นสารีบตุ ร ภิกษผุ เู ปนสทั ธิวิหารกิ ของทานลาสิกขาสึกเสียแลว . ทา นพระสารบี ตุ รกลา ววา ดูกอ นผูมีอายุ ผูท ี่ไมคมุ ครองทวารในอินทรยี ทง้ั หลาย ไมรูป ระมาณในโภชนะ ไมป ระกอบความเพียร ยอ มเปน เชน น้ีแหละ ดูกอ นผูมอี ายุ ขอ ที่ภกิ ษไุ มคมุ ครองทวารในอินทรียทงั้ หลาย ไมร ูจักประมาณในโภชนะ ไมประกอบความเพยี ร จักประพฤติพรหมจรรยใ หบริสุทธ์ิ บรบิ รู ณ ติดตอ กันไปจนตลอดชีวติ นัน้ ไมใชฐ านะ

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 214ทีจ่ ะมีได ดูกอ นผูมีอายุ ขอ ท่ภี ิกษุคมุ ครองทวารในอนิ ทรียท้งั หลาย รูประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร จกั ประพฤติพรหมจรรยใหบรสิ ทุ ธ์ิ บรบิ รู ณ ติดตอกนั ไปจนตลอดชวี ิตน้ัน เปนฐานะท่จี ะมไี ด. [๑๘๔] ดูกอ นผมู อี ายุ กภ็ กิ ษเุ ปนผูค ุม ครองทวารในอนิ ทรียทัง้ หลายอยา งไร ดูกอ นผูมอี ายุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เหน็ รูปดวยจักษุแลว ไมถ อื นิมติ ไมถืออนพุ ยญั ชนะ เธอยอมปฏบิ ตั ิเพื่อสํารวมจักขนุ ทรียทีเ่ ม่ือไมสํารวมแลว จะเปน เหตใุ หอกุศลธรรมอันลามก คอื อภชิ ฌาและโทมนัสครอบงํา ชื่อวารักษาจกั ขุนทรยี  ชอ่ื วา ถงึ ความสาํ รวมในจกั ขุนทรยี ภกิ ษฟุ งเสียงดว ยหู . . . ดมกลน่ิ ดวยจมกู . . . ล้ิมรสดว ยลิ้น . . . ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย . . . รแู จง ธรรมารมณด ว ยใจแลว ไมถ อื นิมติ ไมถ อือนุพยัญชนะ เธอยอมปฏบิ ตั ิเพอื่ สาํ รวมมนินทรยี  ที่เมื่อไมสํารวมแลวจะเปน เหตุใหอ กุศลธรรมอันลามก คอื อภชิ ฌาและโทมนสั ดรอบงํา ชื่อวารักษามนนิ ทรยี  ชอื่ วาถึงความสํารวมในมนินทรยี  ดูกอนผูมีอายุ ภกิ ษุเปนผูคุมครองทวารในอนิ ทรียท ั้งหลายอยางนี้แล. [๑๘๕] ดกู อ นผูมอี ายุ ภกิ ษุเปนผรู ปู ระมาณในโภชนะอยา งไรดกู อ นผมู ีอายุ ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ พจิ ารณาโดยแยบคายแลว จงึ ฉนั อาหารไมฉ ันเพ่ือเลน ไมฉันเพอ่ื เมามวั ไมฉนั เพอ่ื ประดบั ไมฉนั เพื่อตกแตงยอ มฉนั เพยี งเพื่อความดาํ รงอยแู หงกายนี้ เพอื่ ยังกายน้ีใหเ ปนไป เพอื่กาํ จดั ความเบยี ดเบียน เพื่อจะอนเุ คราะหพรหมจรรย ดวยคิดเหน็ วาเพราะเหตุท่ฉี ันอาหารน้ี เราจักกาํ จัดเวทนาเกาเสยี ดว ย จกั ไมใหเ วทนา

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 215ใหมเ กิดข้ึนดว ย ความทีก่ ายเปนไปไดนาน ความไมมีโทษและความอยสู ําราญจกั มแี กเรา ดูกอนผูมีอายุ ภิกษุเปน ผรู ปู ระมาณในโภชนะอยางนี้แล. [๑๘๖] ดูกอนผูมอี ายุ ภกิ ษุเปน ผปู ระกอบความเพยี รอยา งไรดูกอ นผูม ีอายุ ภิกษใุ น ธรรมวินยั นี้ ชาํ ระจติ ใหบริสุทธิ์ จากธรรมอนั กัน้จิตท้งั หลายดว ยการเดิน ดวยการนงั่ ตลอดวัน ยอ มชําระจิตใหบ ริสุทธิ์จากธรรมอันกัน้ จิตทั้งหลายดว ยการเดิน ดวยการนัง่ ตลอดปฐมยามแหงราตรี ในมชั ฌมิ ยามแหงราตรี สําเร็จสหี ไสยาสนโ ดยขางเบือ้ งขวา ซอ นเทาเหลอ่ื มเทา มีสติสัมปชัญญะ ทําในใจถึงสัญญาจําหมายทจ่ี ะลกุ ขึ้นรีบลุกขึ้นในปจ ฉิมยามแหงราตรี ชาํ ระจิตใหบรสิ ทุ ธิ์จากธรรมอนั กัน้ จิตท้งั หลายดว ยการเดนิ ดว ยการนัง่ ดกู อนผูม ีอายุ ภิกษเุ ปนผูป ระกอบความเพียรอยางนแี้ ล เพราะเหตุนน้ั แหละ ทานทัง้ หลายพงึ ศึกษาอยา งนว้ี า เราจกั เปน ผูคมุ ครองทวารในอนิ ทรียท ง้ั หลาย จกั เปน ผูร ูป ระมาณในโภชนะจกั เปนผปู ระกอบความเพยี ร ดกู อ นผูมอี ายุ ทา นทงั้ หลายพงึ ศึกษาอยา งน้ีแล. จบ สารปี ุตตสตู รท่ี ๗ อรรถกถาสารปี ุตตสตู รท่ี ๗ ในสารปี ุตตสตู รที่ ๗ มีวนิ จิ ฉัยดงั ตอ ไปน้.ี บทวา สนฺตาเนสสฺ ติ ไดแกจักพยายาม คือไมใ หถ ึงการตดั ขาด. จบ อรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๗

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 216 ๘. ราหุลสูตร วา ดวยสิ่งใดไมเ ทยี่ งสง่ิ น้ันก็เปนทกุ ข [๑๘๗] สมยั หนง่ึ พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวิหารเชตวนั อารามของทา นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กรุงสาวัตถี ครัง้ นั้น พระผมู ี-พระภาคเจาทรงหลีกเรนอยูใ นทสี่ งัด ทรงเกิดปริวติ กแหงพระหฤทยั อยางน้วี า ธรรมท่ีเปน เครอ่ื งบมวมิ ุตติของราหุลแกกลาแลว ถา กระไร เราควรแนะนาํ ราหลุ ในธรรมเปน ที่สน้ิ อาสวะยงิ่ ขึ้นไปเถดิ ครน้ั ทรงพระดํารฉิ ะนี้แลว ในเวลาเชา พระผมู ีพระภาคเจา ทรงครองอนั ตรวาสก ทรงถอืบาตรและจีวร เสด็จเขาไปบิณฑบาตยังกรงุ สาวัตถี ครั้นเวลาภายหลงั ภัตเสด็จกลับจากบิณฑบาตแลว ตรสั เรียกทา นพระราหุลมาตรสั วา ราหลุเธอจงถือผา นสิ ที นะไปสูปา อนั ธวนั ดวยกนั เพอ่ื พักในกลางวัน. ทา นพระราหลุ ทลู รบั พระดํารสั พระผมู พี ระภาคเจา แลว ไดถอื ผานสิ ที นะตามเสด็จพระผมู ีพระภาคเจาไปขา งหลัง ก็สมยั นน้ั พวกเทวดาหลายพนั ตดิ ตามพระผูมีพระภาคเจาไปดวยคิดวา วันนี้ พระผูมีพระภาคเจาจักทรงแนะนาํ ทา นพระราหุลในธรรมเปนทส่ี ิ้นอาสวะอนั ยิ่งข้ึนไป. [๑๘๘] ครงั้ นั้น พระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ เขา ไปสูปา อนั ธวันประทบั ณ พุทธอาสนทพ่ี ระราหลุ ปลู าดถวาย ทค่ี วงตน ไมแหง หนงึ่ ฝา ยทานพระราหุลถวายอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจา แลว นงั่ ณ ที่ควรสว นขางหน่ึง คร้ันแลว พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสถานวา ดกู อนราหุล เธอจะสําคัญความขอ นน้ั เปนไฉน จักษเุ ทย่ี งหรือไมเทีย่ ง ทานพระราหุลกราบทูลวา ไมเท่ียง พระเจา ขา.

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 217 พ. ก็ส่ิงใดไมเ ทยี่ ง ส่งิ น้นั เปน ทุกขห รือเปน สุขเลา . รา. เปน ทกุ ข พระเจา ขา. พ. กส็ ่งิ ใดไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดาควรหรือท่จี ะตามเหน็ สงิ่ น้ันวา นนั่ ของเรา เราเปน นน่ั นัน่ เปนตวั ตนของเรา. รา. ไมควรเหน็ อยา งน้นั พระเจาขา . พ. รปู เทีย่ งหรอื ไมเทีย่ ง. รา. ไมเ ทย่ี ง พระเจา ขา . พ. ก็สงิ่ ใดไมเทยี่ ง สง่ิ นัน้ เปนทุกขหรอื เปน สุขเลา . รา. เปน ทุกข พระเจา ขา. พ. ก็สงิ่ ใดไมเท่ยี ง เปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื ท่ีจะตามเห็นสิ่งน้ันวา นน่ั ของเรา เราเปน นั่น นนั่ เปนตวั ตนของเรา. รา. ไมค วรเหน็ อยา งนั้น พระเจา ขา . พ. จกั ษวุ ิญญาณ...จักษสุ ัมผัส...เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณที่เกดิ ข้ึนเพราะจักษุสมั ผัสเปน ปจจัย เท่ียงหรอื ไมเที่ยง. รา. ไมเทย่ี ง พระเจา ขา . พ. ก็สง่ิ ใดไมเท่ียง สิ่งนัน้ เปน ทุกขหรอื เปนสุขเลา. รา. เปน ทกุ ข พระเจา ขา . พ. กส็ ิ่งใดไมเท่ียง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื ทจี่ ะตามเห็นส่ิงน้ันวา นั่นของเรา เราเปน นน่ั น่ันเปน ตวั ตนของเรา.

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 218 รา. ไมควรเหน็ อยางนน้ั พระเจาขา ฯลฯ พ. ใจเที่ยงหรอื ไมเ ทยี่ ง. รา. ไมเ ท่ยี ง พระเจาขา . พ. ก็ส่ิงใดไมเท่ยี ง สง่ิ น้นั เปน ทกุ ขห รือเปน สุขเลา. รา. เปนทกุ ข พระเจาขา . พ. กส็ ิ่งใดไมเท่ียง เปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาควรหรอื ท่ีจะตามเหน็ สิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปน นน่ั นัน่ เปน ตวั ตนของเรา. รา. ไมค วรเห็นอยา งน้ัน พระเจาขา. พ. ธรรมารมณเ ทย่ี งหรอื ไมเทยี่ ง. รา. ไมเทย่ี ง พระเจา ขา พ. ก็สง่ิ ใดไมเทยี่ ง สิ่งนนั้ เปน ทกุ ขห รอื เปนสุขเลา รา. เปน ทกุ ข พระเจา ขา. พ. กส็ ิง่ ใดไมเท่ียง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดาควรหรือที่จะตามเหน็ สิ่งน้ันวา นนั่ ของเรา เราเปนนน่ั นนั่ เปน ตวั ตนของเรา. รา. ไมค วรเห็นอยางนนั้ พระเจาขา . พ. มโนวิญญาณเทย่ี งหรือไมเ ทยี่ ง. รา. ไมเท่ยี ง พระเจาขา . พ. ก็สิ่งใดไมเ ทยี่ ง สิ่งนัน้ เปน ทุกขห รือเปน สุขเลา. รา. เปนทุกข พระเจาขา

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 219 พ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดาควรหรอื ทจ่ี ะตามเหน็ สง่ิ นั้นวา น่ันของเรา เราเปนนนั่ น่ันเปน ตวั ตนของเรา. รา. ไมค วรเห็นอยา งน้ัน พระเจา ขา . พ. มโนสัมผัสเทยี่ งหรือไมเ ทีย่ ง. รา. ไมเ ท่ยี ง พระเจา ขา. พ. ก็สงิ่ ใดไมเที่ยง สิ่งนนั้ เปนทกุ ขหรือเปนสุขเลา . รา. เปน ทกุ ข พระเจาขา. พ. กส็ ง่ิ ใดไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรือที่จะตามเห็นสงิ่ นนั้ วา นัน่ ของเรา เราเปนน่นั นัน่ เปน ตัวตนของเรา. รา. ไมควรเห็นอยางน้นั พระเจา ขา. พ. เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ท่ีเกดิ ขน้ึ เพราะ มโนสัมผสัเปน ปจ จยั เทย่ี งหรอื ไมเทยี่ ง. รา. ไมเ ที่ยง พระเจาขา . พ. ก็สิง่ ใดไมเท่ยี ง สงิ่ นนั้ เปนทกุ ขหรอื เปน สขุ เลา . รา. เปน ทุกข พระเจา ขา . พ. กส็ ิ่งใดไมเ ท่ยี ง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื ทีจ่ ะตามเหน็ ส่ิงน้นั วา นั่นของเรา เราเปน นั่น นัน่ เปน ตัวตนของเรา. รา. ไมควรเหน็ อยา งนั้น พระเจาขา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 220 พ. ดูกอนราหลุ อรยิ สาวกผไู ดส ดบั แลว เห็นอยอู ยางน้ี ยอ มเบอ่ื หนา ยทัง้ ในจักษุ ท้งั ในรูป ท้ังในจักษุวญิ ญาณ ท้งั ในจักษุสมั ผสัท้ังในเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะจกั ษุสัมผัสเปนปจ จัย ฯลฯ ยอมเบ่อื หนายทั้งในใจ ทัง้ ในธรรมารมณ ทั้งในมโน-วญิ ญาณ ทัง้ ในมโนสมั ผัส ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณที่เกดิ ข้นึ เพราะ มโนสมั ผสั เปน ปจ จยั เมือ่ เบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัดเพราะคลายกาํ หนัด จติ ยอมหลุดพน เมอ่ื จิตหลุดพน แลว ยอมมีญาณหยัง่ รวู า หลุดพนแลว รูช ดั วา ชาติสิน้ แลว พรหมจรรยอยูจ บแลวกิจท่ีควรทาํ ทําเสรจ็ แลว กิจอืน่ เพอ่ื ความเปนอยา งน้ีมไิ ดมี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสพระสตู รนีจ้ บลงแลว ทานพระราหลุ ชนื่ ชมยนิ ดีพระภาษติของพระผูมพี ระภาคเจา อนึง่ เมอ่ื พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสไวยากรณภาษิตนอี้ ยู จิตของทานพระราหลุ หลดุ พนแลว จากอาสวะ ไมถือม่นั ดว ยอุปาทานฝายเทวดาหลายพันกเ็ กดิ ธรรมจกั ษอุ ันปราศจากธลุ ี ปราศจากมลทนิ วาสงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ มีความเกิดขึน้ เปนธรรมดา ส่งิ น้ันทง้ั มวลลวนมีความดับไปเปน ธรรมดา. จบ ราหลุ สตู รที่ ๘ อรรถกถาราหุลสตู รที่ ๘ ในราหลุ สูตรท่ี ๘ มีวนิ จิ ฉัยดงั ตอไปนี้ . บทวา วมิ ุตตฺ ปิ ริปาจนียา ความวา ชอ่ื วา วมิ ตุ ฺตปิ ริปาจริยาเพราะอรรถวา บมวมิ ุตติ บทวา ธมฺมา ไดแ กธ รรม ๑๕ ธรรมเหลาน้ัน

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 221พงึ ทราบโดยกระทําสทั ธินทรียเ ปนตนใหหมดจด สมจรงิ ดังคําทที่ า นกลา วไวว า เม่ือบคุ คลเวน บุคคลผไู มม ศี รทั ธา เสพ คบ เขาไปน่งั ใกลบคุ คลผูม ีศรัทธา พิจารณาสัมปสาทนยี สูตรทัง้ หลาย สัทธนิ ทรียยอมหมดจดดว ยอาการ ๓ เหลา น.้ี เมือ่ เวน บุคคลผูเกยี จคราน เสพ คบ เขาไปน่งั ใกลบ ุคคลผปู รารภความเพียร พิจารณาสัมมปั ปธานสตู ร วริ ิยนิ ทรียยอ มหมดจด ดวยอาการ ๓ เหลานี้ เม่ือเวนบุคคลผมู ีสติหลงลืม เสพ คบเขาไปน่งั ใกลบ คุ คลผมู สี ติตัง้ มั่น พจิ ารณาสติปฏ ฐานสูตร สตนิ ทรียยอมหมดจด ดวยอาการ ๓ เหลานี้ . เม่อื เวน บคุ คลผมู จี ิตไมต ั้งมั่น เสพ คบเขา ไปน่ังใกลบุคคลผูม จี ติ ต้งั ม่ัน พจิ ารณาฌานและวิโมกข สมาธินทรียยอ มหมดจด ดว ยอาการ ๓ เหลาน้ี . เมอ่ื เวน บุคคลผูท รามปญ ญา เสพ คบเขา ไปนั่งใกลบคุ คลผมู ีปญญา พจิ ารณาญาณจริยาการบําเพ็ญญาณอันลึกซ้งึปญญนิ ทรียย อ มหมดจดดว ยอาการ ๓ เหลา น้.ี ดงั น้ัน เม่ือบคุ คลเวนบุคคล๕ จาํ พวก เสพ คบ เขา ไปนั่งใกลบ คุ คล ๕ จาํ พวก พจิ ารณากองแหงสตุ ตันตะ ปญจินทรียเ หลา น้ี ยอ มหมดจด ดว ยอาการ ๑๕ เหลา น้ีแล. ธรรม ๑๕ อีกหมวดหนึ่ง ซึ่งไดช ือ่ วาวมิ ตุ ตปิ ริปาจรยิ า ธรรมบม-วิมุตติ คือ อนิ ทรีย ๕ สัญญาอนั เปนสว นแหงธรรมเคร่ืองตรัสรู ๕ คอือนจิ จสญั ญา ๑ อนจิ เจทกุ ขสญั ญา สญั ญาในสิ่งไมเที่ยงวา เปน ทกุ ข ๑ทกุ เขอนัตตสัญญา สญั ญาในทุกขว าเปนอนัตตา ๑ ปหานสญั ญา ๑วริ าคสญั ญา ๑ และธรรม ๕ มกี ลั ยาณมติ ตตาท่ตี รสั แกพระเมฆิยเถระ. ถามวา กใ็ นเวลาไร ที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงมีพระดาํ ริดงั นี้.แกวา ในเวลาใกลรงุ พระองคทรงตรวจดูสัตวโลก.

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 222 บทวา อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ ความวา กใ็ นบรรดาเทวดาผตู ั้งความปรารถนากับทา นพระราหุลผูต้ังความปรารถนา ในรัชกาลแหงพระเจาปาลติ นาคราช แทบบาทมูลแหง พระพทุ ธเจา ทรงพระนามวา ปทุ-มุตตระ บางพวกเกดิ เปนภมุ มฏั ฐกเทวดา บางพวกเกดิ เปนอันตลิกขัฏฐ-เทวดา บางพวกเกดิ เปน จาตมุ หาราชกเทวดา บางพวกเกิดในเทวโลกบางพวกเกดิ ในพรหมโลก. กใ็ นวนั นี้ เทวดาทัง้ หมด ประชุมกันในอนั -ธวันนน้ั เอง ในทีแ่ หง หนึ่ง. บทวา ธมมฺ จกขฺ ุ ความวา ในพระสูตรน้ี มรรค ๔ ผล ๔ พึงทราบวา ธรรมจักข.ุ จรงิ อยูในพระสตู รน้นั เทวดาบางพวก ไดเปนพระโสดาบนั บางพวก เปน พระสกทาคามี บางพวก พระอนาคามีบางพวก พระขีณาสพ อนง่ึ เทวดาเหลาน้นั นับไมไดว า มีประมาณเทา นี.้ คาํ ทเ่ี หลือในบทท้ังปวง งายทัง้ น้ัน. จบ อรรถกถาราหุลสูตรท่ี ๘ ๙. สังโยชนสูตร วาดวยธรรมเปนที่ตัง้ แหง สังโยชน [๑๘๙] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันเปนท่ตี ้งั แหง สงั โยชนแ ละสงั โยชน เธอทงั้ หลายจงฟงธรรมนั้น ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็ธรรมอนั เปน ทต่ี ้งั แหง สงั โยชน และสงั โยชนเปน ไฉน ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ธรรมอนั เปน ทตี่ ัง้ แหง สังโยชนแ ละสังโยชนนน้ั คอื รปู ที่จะพึงรูแ จงดวยจักษุ อนั นาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นารัก

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 223อาศยั ความใคร ชวนใหกาํ หนดั เหลานี้เรยี กวาธรรมเปนทต่ี ง้ั แหง สังโยชนความกาํ หนดั ดวยอาํ นาจความพอใจในรูปนน้ั เปน ตวั สังโยชนใ นรปู นั้นฯลฯ ธรรมารมณที่จะพึงรแู จง ดว ยใจ อันนาปรารถนา นา ใคร นา พอใจนา รัก อาศัยความใคร ชวนใหกาํ หนด เหลานเ้ี รยี กวาธรรมเปน ท่ีตง้ั แหงสังโยชน ความกาํ หนัดดว ยอาํ นาจความพอใจในธรรมารมณน ้ัน เปนตัวสังโยชนในธรรมารมณนั้น. จบ สังโยชนสูตรที่ ๙ ๑๐. อปุ าทานสูตร วาดวยธรรมอนั เปนทต่ี ั้งแหงอุปาทาน [๑๙๐] พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เราจักแสดงธรรมอันเปน ทตี่ ง้ั แหง อุปาทานและอปุ าทาน เธอท้ังหลายจงฟง ธรรมน้ัน ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็ธรรมอนั เปนที่ต้ังแหง อปุ าทาน และอปุ าทานเปนไฉน ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ธรรมอันเปนท่ตี ง้ั แหง อปุ าทานและอปุ าทานนั้น คือรูปท่จี ะพึงรูแจง ดวยจกั ษุ อันนาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นา รักอาศัยความใคร ชวนใหก ําหนัด เหลา นเ้ี รยี กวาธรรมอันเปนทต่ี ง้ั แหงอุปาทาน ความกาํ หนดั ดว ยอาํ นาจความพอใจในรปู น้ัน เปน ตัวอปุ าทานในรปู นนั้ ฯลฯ ธรรมารมณท ่จี ะพงึ รูแจงดว ยใจ อันนาปรารถนา นาใครนาพอใจ นารัก อาศยั ความใคร ชวนใหก าํ หนดั เหลา นเ้ี รยี กวาธรรมอนัเปนทต่ี ้ังแหง อปุ าทาน ความกาํ หนดั ดว ยอํานาจความพอใจในธรรมารมณน้นั เปน ตัวอปุ าทานในธรรมารมณน ้นั . จบ อปุ าทานสตู รท่ี ๑๐ โลกกามคณุ วรรคท่ี ๒

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 224อรรถกถาสงั โยชนสูตรที่ ๙ - อปุ าทานสตู รที่ ๑๐ สตู รที่ ๙ และที่ ๑ เม่ือทา นกลา วโดยอนฏิ ฐารมณ ก็เปน อันกลาวโดยบคุ คลผูตรัสรู. จบ อรรถกถาสงั โยชนสูตรท่ี ๙ - อปุ าทานสตู รท่ี ๑๐ จบ อรรถกถาโลกกามคุณวรรคที่ ๒ รวมพระสูตรทีม่ ใี นวรรคนี้ คือ ๑. ปฐมมารปาสสูตร ๒. ทตุ ยิ มารปาสสตู ร ๓. ปฐมโลกกามคุณสตู ร ๔. ทตุ ิยโลกกามคุณสูตร ๕. สกั กสตู ร ๖. ปญ จสิขสูตร ๗ . สารีปตุ ตสตู ร ๘. ราหุลสตู ร ๙. สงั โยชนสตู ร ๑๐. อุปาทานสูตร.




















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook