Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_28

tripitaka_28

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_28

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 456เปนผไู มเ ขาไปตง้ั กายคตาสติไว มีใจมีประมาณนอยอยู และยอ มไมร ชู ดัซ่งึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญญาวมิ ุตติ อันเปน ทด่ี ับไปไมเ หลือแหงอกุศลธรรมอนั ลามกทบ่ี งั เกิดข้ึนแลวแกเ ธอ ตามความเปนจรงิ ฯลฯ ภกิ ษุรแู จง ธรรมารมณดว ยใจแลว ยอ มนอ มใจไปในธรรมารมณอันนา รัก ยอ มขาเคอื งในธรรมารมณอ นั ไมน า รกั เปน ผูไ มเ ขาไปตง้ั กายคตาสตไิ วแ ลว มีใจมีประมาณนอยอยู และยอ มไมรูชดั ซ่ึงเจโตวมิ ตุ ติ ปญญาวมิ ตุ ติ อนั เปน ทีด่ บัไปไมเ หลือแหงอกุศลธรรมอนั ลามก ทบ่ี งั เกิดขึน้ แลว แกเธอ ตามความเปนจรงิ ดูกอนภิกษุท้งั หลาย อสังวรยอมมีอยางนแี้ ล. [๓๓๖] ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย สงั วรยอ มมอี ยา งไร. ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี เหน็ รปู ดวยจักษุแลว ยอ มไมนอ มใจไปในรปู อนั นา รัก ยอ มไมขัดเคอื งในรูปอนั ไมน า รัก เปน ผูเขา ไปต้ังกายคตาสติไว มใี จหาประมาณมิไดอ ยู ยอมรูชดั ซ่ึงเจโตวมิ ุตติ ปญญาวิมตุ ติ อนั เปนทด่ี ับไปไมเหลือแหง อกุศลธรรมอนั ลามก ท่ีบังเกิดขนึ้ แลวแกเธอ ตามความเปน จรงิ ฯลฯ ภิกษุรูแจง ธรรมารมณด วยใจแลว ยอมไมน อ มใจไปในธรรมารมณอนั นา รู ไมข ัดเคืองในธรรมารมณอนั ไมน ารัก เปน ผูเขา ไปต้ังกายคตาสติไว มใี จหาประมาณมไิ ดอ ยู และยอมรชู ดั ซ่ึงเจโตวิมุตตปิ ญ ญาวมิ ตุ ติ อนั เปนท่ีดับไปไมเหลอื แหงอกศุ ลธรรมอันลามก ทบี่ ังเกิดขึ้นแลวแกเ ธอ ตามความเปนจริง ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย สงั วรยอมมีอยา งนีแ้ ล. [๓๓๗] ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ถาเมือ่ ภกิ ษนุ ้นั ประพฤตอิ ยา งน้ีอยูอ ยางนี้ อกุศลธรรมอันลามก คือ ความดําริอนั ซานไป เปน ที่ตง้ั แหงสังโยชน ยอมบังเกิดขึ้นเพราะความหลงลมื แหงสติบางคร้ังบางคราว การ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 457บังเกดิ ขน้ึ แหง สตชิ า ที่น้นั แลภิกษนุ ้นั ยอมละ ยอ มบรรเทาอกุศลธรรมอนั ลามกนัน้ ยอมกระทําใหพินาศ ยอ มใหถงึ ความไมมไี ดเรว็ พลัน ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรุ ษุ พึงใหห ยาดน้ําสองหรอื สามหยาดตกลงในกะทะเหล็กอันรอ นจดั ตลอดวัน หยาดนา้ํ ตกลงชา ที่นัน้ แล นํา้ นน้ั พงึ ถึงความสิ้นไปเหือดแหง ไปเรว็ พลนั แมฉ ันใด ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ถาเมอื่ ภิกษนุ น้ัประพฤตอิ ยางนี้ อยอู ยางน้ี อกศุ ลธรรมอันลามก คือ ความดํารอิ ันซานไปเปน ทต่ี ั้งแหง สังโยชน ยอ มบงั เกดิ ข้ึนเพราะความหลงลืมแหงสติบางครงั้บางคราว การบังเกดิ ข้นึ แหงสติชา ท่นี ้นั แล ภกิ ษนุ ัน้ ยอมละ ยอมบรรเทาอกศุ ลธรรมอนั ลามกนนั้ ยอมกระทาํ ใหพ นิ าศ ยอ มใหถึงความไมมไี ดเร็วพลนั ฉนั นัน้ เหมอื นกันแล ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย อกุศลธรรมอนั ลามก คอือภชิ ฌาและโทมนสั ยอ มไมค รอบงาํ ภิกษุผูประพฤติอยูดวยอาการใด ธรรมเปนเครื่องประพฤตแิ ละธรรมเปนเคร่อื งอยู เปนอันตดิ ตามภกิ ษดุ วยอาการอยางนีแ้ ล. [๓๓๘] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ถา วาพระราชา ราชมหาอํามาตยมติ ร อาํ มาตย ญาติ หรือสาโลหติ พึงปวารณาภกิ ษุนัน้ ผปู ระพฤตอิ ยางน้ีอยูอ ยางน้ี เพอื่ ใหยนิ ดยี ่งิ ดวยโภคะทงั้ หลายวา ทานจงมาเถดิ บุรษุ ผูเจรญิ ผากาสาวะ เหลา น้ยี งั ความเรารอนใหเ กดิ ขึน้ แกทานมใิ ชหรือ. ทานจะเปน คนโลนเทย่ี วถอื กระเบอ้ื งอยูท ําไม. ทา นจงสกึ มาบรโิ ภคโภคะและจงทาํ บญุ เถิด. ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ก็ภิกษนุ ัน้ ประพฤตอิ ยางนี้ อยูอยางน้ีจกั บอกคืนสิกขาสกึ มาเปนคฤหสั ถ ขอ น้ันไมใ ชฐ านะท่ีจะมีได ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย แมน ้าํ คงคาไหลหลัง่ ถึงเทไปในทศิ ปราจนี ถาวามหาชนพึง

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 458เอาจอบและตะกรามาดว ยคิดวา พวกเราจักชวยกันทําแมน ํา้ คงคานีใ้ หไหลหลง่ั ถง่ั เทกลบั หลังไป เธอทงั้ หลายจะสาํ คัญความขอ นัน้ เปน ไฉน. หมูมหาชนน้นั พงึ กระทาํ แมน ็าคงคานใี้ หไ หลหล่ังถง่ั เทกลบั หลงั ไปไดบา งหรือหนอแล. ภกิ ษทุ ้งั หลายกราบทูลวา หามิได พระเจา ขา. สา. ขอน้ันเปน เพราะเหตุไร. ภ.ิ ขาแตพ ระองคผเู จรญิ เพราะแมน าํ้ คงคาไหลหลัง่ ถ่งั เทไปในทศิ ปราจนี แมนํา้ คงคานนั้ อนั บุคคลจะทาํ ใหไ หลหล่งั ถงั่ กลับหลังไปไมใชกระทําไดงา ย ก็หมูมหาชนน้นั พึงเปน ผูมสี วนแหง ความลาํ บากยากแคนเพยี งไรแมฉันใด ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา วา พระราชา ราชมหาอาํ มาตยมิตร อํามาตย ญาติหรอื สาโลหิต พงึ ปวารณาภิกษนุ ้ันผปู ระพฤตอิ ยางนี้อยอู ยา งน้ี เพ่ือจะใหยนิ ดยี ิ่งดวยโภคะท้งั หลายวา ทา นจงมาเถดิ บุรุษผูเจรญิ ผา กาสาวะเหลาน้ี ยังความเรา รอนใหเ กดิ ขน้ึ แกท านมิใชห รือ.ทานจะเปนคนโลนเท่ยี วถือกระเบือ้ งอยทู ําไม. ทานจงสกึ มาบรโิ ภคโภคะและจงทําบญุ เถิด ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษนุ ้ัน ประพฤตอิ ยางน้ี อยูอยางน้ี จักบอกคนื สกิ ขาสกึ ออกมาเปน คฤหสั ถ ขอ น้ันไมใ ชฐ านะที่จะมไี ดฉนั นั้นเหมอื นกนั แล ขอ นั้นเพราะเหตไุ ร เพราะวาจติ ของเธอนอ มไปโนมไป เอนไปในวเิ วกสิ้นกาลนาน ก็จติ นน้ั จักเวยี นมาเพ่ือเปนคฤหัสถขอ นั้นไมใ ชฐานะที่จะมไี ด. จบ ทกุ ขธรรมสตู รท่ี ๗

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 459 อรรถกถาทุกขธรรมสตู รท่ี ๗ ในสูตรท่ี ๗ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ดังตอไปน้ี. บทวา ทุกขฺ ธมฺมาน ไดแ ก ธรรมเปน เหตุเกิดทุกข เม่ือขนั ธทัง้ ๕มอี ยู ทกุ ขแยกประเภทออกเปนการตัด. ( ตีนสิบมือ ) การฆา และการจองจาํ เปน ตน กเ็ กิดขนึ้ . เพราะฉะนัน้ ขนั ธเหลานัน้ พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรัสเรียกวา ทกุ ขธรรม เพราะเปนธรรมเปนเหตุใหเกิดทุกข.* บทวา ตถา โข ปนสฺสา ความวา กามท้งั หลาย เปนอนั ภิกษุนนั้ เหน็ แลว ดวยอาการนั้น. บทวา ยถาสสฺ กาเม ปสสฺ โต ความวา เม่อื เธอเหน็ กามทั้งหลายดวยอาการใด. บทวา ยถา จรนฺต ความวา ผเู ทยี่ วตดิ ตาม การเท่ยี วไป และการอยู โดยอาการใด. บทวา องคฺ ารกาสปู มา กามา ทฏิ  า โหนฺติ ความวา กามท้ังหลาย เปนอนั ภิกษุนัน้ เหน็ แลววา มคี วามเรารอ นมาก เหมือนความเรารอ นในหลุมถานเพลงิ ดวยอาํ นาจทกุ ขท ่ีมกี ารแสวงหาเปน มูล และมีปฏสิ นธิเปน มลู . อธิบายวา การแลนเรือออกมหาสมทุ ร การเดินไปตามทางท่ียากลาํ บาก และตามทางท่โี คง ยอมมแี กบุคคลแสวงหากาม. จรงิ อยูสาํ หรบั ผแู สวงหากาม จะเกดิ ทุกขมกี ารเสวงหา และมีมรดกเปนมูล โดยการออกเรือ ( หากนิ ) ทางทะเล การเดนิ ทางวิบาก๑. ปาฐะวา ทกุ ขสมฺภวธมมฺ ตา ฉบับพมาเปน ทุกขสมภฺ วธมฺมตฺตา แปลตามฉบับพมา

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 460และทางทค่ี ดโคง และการเขาสสู งความประชดิ กนั ท้ังสองฝายเปนตน บาง๑สําหรบั ผบู ริโภคกาม จะเกดิ ทกุ ขมคี วามเรา รอนมาก มเี จตนาท่บี รโิ ภคกามใหเ กิดปฏิสนธิในอบายทัง้ ๔ เปน มลู บา ง. กามท้งั หลายเปน อนั ภกิ ษุเห็นวามีความเรารอ น อปุ มาดว ยหลมุ ถา นเพลงิ ดวยอาํ นาจทกุ ขท ั้งสองอยา งดังพรรณนามาน. บทวา ทาย แปลวา ดง. บทวา ปุรโต กณฏฺ โก ความวา หนามอยใู นทีใ่ กลน ่นั เองประหนึง่ วา อยากจะตําท่ดี า นหนา. แมในบทวา ปจฺฉโต เปน ตน กน็ ยั นเ้ี หมอื นกัน แตข า งลา งคือ ในท่ใี กลซ ่ึงเทา เหยยี บ ไดแ กตรงทีท่ เี่ ทาเหยยี บนน่ั แล บุรุษนัน้ พึงเปนเหมือนเขา ไปสดู งหนามดวยอาการอยา งน.้ี บทวา มา ม กณฺฏโก ความวา ระวังหนามจะตํา ดวยคิดวา\"หนามอยา ตาํ เราเลย\".๒ บทวา ทนโฺ ธ ภิกขฺ เว สตุปฺปาโท ความวา การเกิดขนึ้ แหงสตินนั้ แล ชา แตเ ม่ือสตินั้นพอเกิดขนึ้ แลว ชวนจติ กจ็ ะแลน ไป กเิ ลสทงั้ หลายกจ็ ะถกู ขมไว ไมสามารถดํารงอยูไ ด. อธิบายวา ในจกั ษทุ วาร เมื่อกเิ ลส๑. ปาฐะวา นาวาย มหาสมุทโทคหณ อกชุ ฺชุปถสงฺกุปถปฏิปชฺชน อภุ โต พยฺ ูฬฺหาสงคฺ ามปกขฺ นฺทนาทวิ เสน. ฉบบั พมาเปน นาวาย มหาสมุทฺโทคาหณ อชปถสงฺกุปถปฏปิ ชชฺ นอกุ โตพฺยฬุ หฺ สงครามปกขฺ นฺทนาทวิ เสน. แปลตามฉบบั พมา .๒. ปาฐะวา มา ม กณฏฺ โก วิชฌฺ ติ กณฺฏกเวธ รกขฺ มาโน ฉบับพมา เปน มา มกณฏฺ โกติ มา ม กณฏฺ โก วชิ ฺฌตี ิ กณฺฏกเวธ รกฺขมาโน แปลตามฉบบั พมา.

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 461ท้งั หลายมีราคะเปนตนเกิดข้ึนแลว เพราะทราบโดยวาระแหง ชวนจติทสี่ องวา กเิ ลสท้ังหลายเกดิ ขนึ้ แลวแกเ รา ชวนจติ สหรคตดว ยสงั วรก็จะแลนไปในวาระแหงชวนจิตทสี่ าม ก็ขอทภ่ี ิกษผุ เู จรญิ วิปส สนา พงึ ขมกิเลสทัง้ หลายไดในวาระแหงชวนจติ ท่สี ามไมใชเ รือ่ ง นาอศั จรรยเ ลย. อนึง่ ในจักษุทวาร เม่อื อฏิ ฐารมณ ( อารมณทนี่ า ปรารถนา ) มาสคู รอง ภวังคจิตกจ็ ะระลึก คร้ันเมอื่ อาวัชชนจิตเปนตน เกดิ ขนึ้ กจ็ ะหา มวาระแหง ชวนจิตที่มกี เิ ลสคละเคลา เสีย ตอ จากโวฏฐัพพนจิตแลว ใหวาระแหง ชวนจิตท่ีเปนกุศลเกิดข้ึนแทนทันท.ี ก็นเ้ี ปนอานสิ งสของการท่ภี ิกษุผเู จริญวิปสสนา ดาํ รงมน่ั อยใู นการพจิ ารณาภาวนา. บทวา อภิหฏุ ปวาเรยยฺ ุ ความวา ( พระราชาหรอื ราชอํามาตยก็ดี มิตรหรืออาํ มาตย ญาติหรอื สาโลหิตกด็ ี ) พงึ นาํ รตนะ ๗ ประการมามอบใหตามกาล เหมอื นท่ีนํามามอบ ใหแ กพ ระสทุ ินเถระ และพระรฐั บาลกลุ บุตร หรอื กลา วปวารณา ดว ยวาจาวา ทา นปรารถนาทรพั ยของเราจํานวนเทา ใด จนเอาไปเทาน้นั .๑ บทวา อนทุ หนฺติ ความวา ผากาสาวะทั้งหลาย ชอ่ื วาเผาไหมใหเกดิ ความเรา รอ น เพราะปกคลุมรางกาย. อกี อยา งหนง่ึ หมายความวาคลอ งตดิ แนบสนิทอยทู รี่ างกายซึง่ เกิดเหงอื่ ไคลไหลยอ ย.๑. ปาฐะวา ... กาเล สตฺตรตนานิ อภหิ รติ วฺ า ตยฺ า วา... แตฉ บับพมา เปนกาเยน วา สตตฺ รตนานิ อภหิ รติ ฺวา วาจาย วา... แปลตามฉบบั พมา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 462 บทน้ีวา ย หิ ต ภิกฺขเว จติ ฺต พระผูมพี ระภาคเจาตรสั ไวเพราะเมอ่ื จิตไมห วนกลับ ชื่อวา ความเปน ไป ( หวนกลบั ) ของบุคคลไมม ีและจติ เห็นปานน้ี กไ็ มเปนรปู ( ไมหวนกลบั ). พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงพลังของวปิ สสนา ไวใ นสตู รนด้ี ว ยประการดงั พรรณนามาฉะนี้. จบ อรรถกถาธัมมสตู รท่ี ๗ ๘. กงิ สกุ สูตร วาดว ยเหตุเกิดและความดบั แหง ผัสสายตนะ ๖ [๓๓๙] ครงั้ นั้นแล ภกิ ษุรปู หนงึ่ เขาไปหาภกิ ษุรปู หน่งึ ถงึ ท่ีอยูคร้นั แลวไดถ ามภกิ ษรุ ูปนนั้ วา ดกู อนทานผมู ีอายุ ทศั นะของภกิ ษเุ ปนอันหมดจดดีดวยเหตเุ พียงเทา ไรหนอแล. ภกิ ษุรปู นน้ั กลาววา ดูกอนทา นผูมีอายุ ทัศนะของภกิ ษุเปน อนั หมดจดดดี วยเหตุที่ภกิ ษรุ ูชัดเหตุเกดิ และความดับแหงผสั สายตนะ ๖ ตามความเปนจริง ท่ีนัน้ แล ภกิ ษนุ ัน้ ไมพอใจดวยการพยากรณปญหาของภกิ ษนุ นั้ จงึ เขาไปหาภกิ ษุอีกรูปหน่ึง ครั้นแลวไดถามวา ดูกอ นทานผูม อี ายุ ทศั นะของภกิ ษเุ ปน อนั หมดจดดดี ว ยเหตุเพียงเทา ไรหนอแล. ภิกษุรปู นน้ั กลาววา ดกู อนทา นผมู อี ายุ ทัศนะของภิกษุเปนอันหมดจดดวยเหตุทภี่ ิกษรุ ชู ัดเหตเุ กดิ และความดับแหง อปุ าพานขนั ธ๕ ตามความเปน จรงิ ทนี่ น้ั แล ภกิ ษุน้นั ไมพ อใจดวยการพยากรณป ญหาของภกิ ษุนน้ั จึงเขาไปหาภกิ ษอุ ีกรปู หน่ึงแลวไดถามวา ดกู อ นทานผมู ีอายุ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 463ทศั นะของภิกษุเปนอันหมดจดดดี วยเหตเุ พยี งเทาไรหนอแล. ภกิ ษุนัน้กลาววา ดูกอนทานผมู อี ายุ ทัศนะของภิกษเุ ปน อันหมดจดดี ดว ยเหตทุ ่ีภิกษุรชู ัดเหตุเกิด และความดับแหงมหาภูตรปู ๔ ตามความเปน จรงิ ที่นัน้ แล ภกิ ษนุ น้ั ไมพ อใจดวยการพยากรณป ญ หาของภิกษุน้นั จึงเขา ไปหาภิกษอุ ีกรปู หนึง่ แลวไดถ ามวา ดกู อนทานผมู ีอายุทศั นะของภิกษุเปน อันหมดจดดดี ว ยเหตเุ พียงไรหนอแล. ภิกษุรปู น้ันกลาววา ดกู อ นทา นผมู ีอายุ ทัศนะของภิกษเุ ปนอันหมดจดดวยเหตุท่ภี กิ ษรุ ชู ดั ตามความเปน จรงิวา ส่ิงใดส่งิ หน่งึ มีความเกดิ ขน้ึ เปนธรรมดา ส่ิงนั้นทัง้ มวลลวนมีความดบัเปน ธรรมดา. [๓๔๐] ทนี ้นั แล ภิกษุไมพอใจดว ยการพยากรณปญ หาของภิกษุนั้น จงึ เขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคเจาถงึ ทีป่ ระทบั ถวายบงั คมแลวน่ัง ณทีค่ วรสวนขา งหน่งึ คร้ังแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจา วา ขา แตพระองคผ ูเจรญิ ขา พระองคข อประทานพระวโรกาส ขาพระองคเขาไปหาภิกษรุ ูปหนง่ึ ถึงทอี่ ยู แลวไดถ ามวา ดูกอนทา นผูม อี ายุ ทัศนะของภกิ ษุเปน อนั หมดจดดดี วยเหตุเพยี งเทาไรหนอแล ขาแตพระองคผ ูเจริญเมอ่ื ขา พระองคถามอยางนแ้ี ลว ภิกษนุ ั้นไดกลา วกะขา พระองควา ดูกอ นทานผมู อี ายุ ทศั นะของภิกษเุ ปนอันหมดจดดีดวยเหตทุ ่ีภกิ ษรุ ชู ัดเหตเุ กดิและความดับแหง ผสั สายตนะ ๖ ตามความเปน จรงิ ทีนน้ั แล ขา พระองคไมพ อใจดวยการพยากรณปญหาของภิกษุนัน้ จงึ เขา ไปหาภิกษุรปู หนึง่ ถงึ ที่อยู แลว ไดถามวา ดูกอนทานผมู อี ายุ ทัศนะของภิกษเุ ปน อนั หมดจดดีดวยเหตุเพยี งไร. เม่ือขา พระองคถามอยางนีแ้ ลว ภกิ ษนุ ้นั ไดก ลา วกะ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 464ขาพระองคว า ดูกอนทานผูม ีอายุ ทศั นะของภกิ ษเุ ปน อันหมดจดดีดว ยเหตทุ ี่ภิกษุรชู ัดเหตเุ กดิ และความดบั แหงอปุ าทานขันธ ๕ ตามความเปน จริง.ทนี น้ั แล ขาพระองคไ มพ อใจดวยการพยากรณปญ หาของภกิ ษุนนั้ จึงเขาไปหาภกิ ษรุ ปู หน่ึงถงึ ท่อี ยู แลวไดถ ามวา ดูกอ นทานผูมอี ายุ ทศั นะของภกิ ษุเปนอนั หมดจดดดี วยเหตุเพยี งเทาไร. เมือ่ ขาพระองคถามอยางนีแ้ ลวภิกษนุ ัน้ ไดก ลา วกะขาพระองคว า ดกู อนทา นผมู ีอายุ ทศั นะของภกิ ษเุ ปนอนั หมดจดดดี ว ยเหตุที่ภกิ ษุรูชดั เหตุเกดิ และความดับแหงมหาภูตรูป ๔ตามความเปน จริง. ทนี ัน้ แล ขา พระองคไ มพ อใจดว ยการพยากรณป ญหาของภิกษนุ น้ั จงึ เขา ไปหาภกิ ษรุ ปู หน่งึ ถงึ ทอ่ี ยู แลวไดถามวา ดูกอ นทา นผูมีอายุ ทศั นะของภิกษุเปน อันหมดจดดีดวยเหตเุ พยี งเทา ไร. เม่อื ขาพระองคถ ามอยางนีแ้ ลว ภิกษุนนั้ ไดก ลา วกะขาพระองควา ดูกอนทา นผูม อี ายุ ทศั นะของภกิ ษุเปนอันหมดจดดีดว ยเหตทุ ภ่ี ิกษุรชู ดั ตามความเปนจริงวา สงิ่ ใดสงิ่ หนงึ่ มีความเกิดขึ้นเปน ธรรมดา สิ่งนนั้ ท้ังมวลลวนมีความดับไปเปนธรรมดา ทนี น้ั แล ขาพระองคไ มพ อใจดว ยการพยากรณปญหาของภิกษนุ ั้น จงึ เขามาเฝา พระผมู พี ระภาคเจาถงึ ที่ประทับ ขอทลูถามพระผมู ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผูเจริญ ทัศนาของภิกษเุ ปน อันหมดจดดีดวยเหตุเพยี งไรหนอแล. [๓๔๑] พระผูม ีพระภาคเจาตรสั วา ดูกอนภิกษุ บุรษุ ยงั ไมเ คยเหน็ ตน ทองกวาว บรุ ุษนั้นพงึ เขาไปหาบรุ ุษคนใดคนหนึง่ ผูเคยเหน็ ตนทองกวาวถงึ ท่อี ยู แลวถามอยา งนวี้ า ดกู อ นบุรุษผูเจรญิ ตน ทองกวาวเปน เชน ไร. บุรุษน้นั พึงตอบวา ดูกอนบุรษุ ผูเจริญ ตนทองกวาวดาํ เหมือน

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 465ตอไฟไหม กส็ มัยน้ันแล ตนทองกวาวเปนดงั ทบี่ ุรษุ นน้ั เหน็ ทนี ้นั แลบรุ ษุ น้นั ไมพ อใจดวยการพยากรณปญ หาของบรุ ษุ นนั้ พึงเขา ไปหาบุรุษคนหนึ่งผเู คยเหน็ ตน ทองกวาวถึงท่อี ยู แลวถามวา ดกู อนบรุ ุษผเู จรญิตนทองกวาวเปนเชนไร. บรุ ุษน้ันพงึ ตอบวา ตนทองกวาวแดงเหมอื นช้ินเน้ือ ก็สมัยนน้ั ตนทองกวาวเปน ดงั ทบ่ี ุรษุ น้นั เหน็ ทนี ั้นแล บุรุษนัน้ไมย ินดีดวยการพยากรณปญหาของบุรุษน้นั พึงเขาไปหาบรุ ุษคนหนง่ึ ผูเคยเหน็ ตน ทองกวาวถึงทอ่ี ยู แลวถามอยางนีว้ า ดกู อนบุรุษผเู จริญตนทองกวาวเปน เชน ไร. บุรษุ นัน้ พึงตอบอยา งน้ีวา ดูกอนบุรุษผูเ จรญิตนทองกวาวทีเ่ กดิ นานมีฝก เหมือนตน ซึก ก็สมัยนน้ั แล ตนทองกวาวเปนดงั ทบี่ ุรุษนน้ั เหน็ ทนี นั้ แล บรุ ุษนัน้ ไมพ อใจดว ยการพยากรณปญหาของบรุ ุษน้นั พงึ เขาไปหาบุรุษคนหนึ่งผูเคยเหน็ ตน ทองกวาวถงึ ท่ีอยู แลวถามอยา งน้ีวา ดกู อนบรุ ษุ ผูเจริญ ตนทองกวาวเปน เชน ไร. บุรษุ นนั้พึงตอบวา ดกู อ นบรุ ุษผูเจรญิ ตน ทองกวาวมีใบแกและใบออ นหนาแนนมรี ม ทบึ เหมอื นตนไทร กส็ มยั นนั้ ตน ทองกวาวเปนดงั ทบี่ รุ ุษนนั้ เห็นแมฉนั ใด ดกู อ นภิกษุ ทศั นะของสัตบุรษุ เหลา นน้ั ผนู อมไปแลว เปนอันหมดจดดดี ว ยประการใด ๆ เปนอนั สตั บุรุษทง้ั หลายผฉู ลาด พยากรณแ ลวดวยประการน้ัน ๆ ฉันนน้ั แล. [๓๔๒] ดูกอนภิกษุ เหมอื นอยางวา เมืองชายแดนของพระราชาเปนเมอื งท่ีมั่นคง มีกําแพงและเชิงเทิน มปี ระตู ๖ ประตู นายประตูเมืองน้ันเปน คนฉลาด เฉียบแหลม มปี ญญา คอยหามคนที่ตนไมรจู ักอนุญาตใหค นทีต่ นรูจกั เขา ไปในเมอื งน้ัน ราชทตู คูห น่งึ มรี าชการดว น

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 466มาแตทศิ บรู พา พงึ ถามนายประตูน้ันวา แนะบุรุษผเู จริญ เจาเมืองน้ีอยูท่ไี หน. นายประตูน้ันตอบวา แนะ ทา นผูเจริญ นัน่ เจาเมืองนง่ั อยูณ ทางสามแพรง กลางเมือง ทีน้นั แล ราชทตู คูน้นั มอบถอยคําตามความเปนจริงแกเ จาเมืองแลว พงึ ดาํ เนินกลบั ไปตามทางทมี่ าแลว ราชทตู คูหนงึ่มรี าชการดวนมาแตท ิศปจ จิม ราชทตู คหู นง่ึ มีราชการดวนมาแตทิศอดุ รราชทตู คูห น่ึงมีราชการดว นมาแตท ศิ ทักษิณ แลว ถามนายประตนู ั้นอยางน้ีวา แนะ บุรุษผเู จริญ เจา เมืองน้ีอยทู ่ไี หน. นายประตูนนั้ พงึ ตอบวา แนะทา นผูเ จรญิ น่นั เจา เมอื งน่ังอยู ณ ทางสามแพรง กลางเมอื ง ทนี ้นั แลราชทูตคหู นงึ่ นน้ั มอบถอ ยคาํ ตามความเปน จริงแกเจาเมอื งแลว พงึ ดําเนินกลบั ไปทางตามทมี่ าแลว ดูกอ นภกิ ษุ อปุ มาน้แี ล เรากระทาํ แลวเพื่อจะใหเน้ือความแจมแจง กใ็ นอุปมานนั้ มีเน้ือความดังตอไปน้ี คําวา เมือง เปน ชอ่ืของกายนี้ทปี่ ระกอบดวยมหาภตู รูป ๔ ซงึ่ มมี ารดาและบิดาเปน แดนเกดิเจริญขนึ้ ดว ยขา วสุกและขนมสด มอี ันตองอบ ตอ งนวดฟน เปนนิตย มอี ันทาํ ลายและกระจัดกระจายเปน ธรรมดา คาํ วาประตู ๖ ประตู เปน ช่อื ของอายตนะภายใน ๖ คําวานายประตูเปนชือ่ ของสติ คาํ วาราชทูตคหู นึ่งมีราชการดวน เปน ชื่อของสมถะและวิปสสนา คําวาเจา เมอื ง เปน ช่อื ของวญิ ญาณ คาํ วาทางสามแพรง กลางเมอื ง เปนชอื่ ของมหาภตู รปู ๔ คอืปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ คําวา ถอยคาํ ตามความเปน จริงเปนชื่อของนพิ พาน คําวา ทางตามทมี่ าแลว เปน ชือ่ ของอริยมรรคมอี งค ๘คือ สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ. จบ กงิ สุกสูตรที่ ๘

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 467 อรรถกถากิงสุกสูตรท่ี ๘ ในกงิ สกุ สตู รที่ ๘ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ดังตอไปนี้ . บทวา ทสฺสน นั่นเปนชื่อเรียก ปฐมมรรค (โสดาปตติมรรค)เพราะวา ปฐมมรรค ( นน้ั ) ทําหนาที่คอื การละกิเลสไดส ําเรจ็ เหน็พระนพิ พานเปน ครง้ั แรก ฉะนั้นจึงเรยี กวา ทสั สนะ. ถึงแมวา โคตรภูญาณ จะเหน็ พระนิพพานกอ นกวามรรคกจ็ ริงถึงกระนน้ั ก็ไมเรียกวา ทสั สนะ เพราะไดแตเห็น แตไมม กี ารละกเิ ลสอันเปน กจิ ทีจ่ ะตอ งทาํ . อีกอยา งหน่ึง มรรคทง้ั ๔ ก็ชอื่ วาทสั สนะเหมอื นกนั เพราะฉะนั้นภกิ ษนุ ้ันไดฟง ภิกษทุ งั้ หลายกลา วอยูอ ยา งนวี้ า ในขณะแหง โสดาปตติมรรคทัสสนะกาํ ลงั บริสุทธ์ิ ในขณะแหงผล ( โสดาปตตผิ ล ) บรสิ ุทธแ์ิ ลว ในขณะแหง สกทาคามมิ รรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค ทสั สนะกาํ ลงั บรสิ ุทธ์ิ สว นในขณะแหงผล บรสิ ุทธิ์แลว จึงคดิ วา ถึงเราก็จกัชําระทสั สนะใหบริสทุ ธิ์ แลวดาํ รงอยใู นอรหตั ตผล คอื จักทําใหแจง ซง่ึพระนพิ พานที่มที สั สนะอนั บริสุทธ์อิ ยู ดังน้แี ลว เขา ไปหาภิกษนุ ั้น แลวเริ่มถามอยางน้.ี ภิกษุนน้ั บําเพ็ญกมั มฏั ฐาน มีผัสสายตนะเปนอารมณ กาํ หนดรปู -ธรรมและอรปู ธรรม ดวยอํานาจผสั สายตนะ ๖ แลวสําเร็จเปนพระอรหนั ต. ก็ในอายตนะ ๖ น้ี อายตนะ ๕ ประการแรกจดั เปน รปู มนายตนะจดั เปนรูป เพราะเหตุนนั้ ภกิ ษุน้นั จึงพูดถงึ เฉพาะมรรคท่ีตนบรรลุแลว .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 468 บทวา อสนฺตุฏโ ความวา ภิกษุนน้ั ไมพ อใจ เพราะทา นกลาวยืนยันสงั ขารบางสวน ไดยนิ วาภิกษทุ ีถ่ ามน้ัน ไดมีความคิดอยา งน้ี วา ทานรูปนไี้ ดก ลา วยนื ยันสงั ขารบางสว น ใคร ๆ จะสามารถยนื หยดั อยู ในสงั ขารบางสว น แลว บรรลุนพิ พาน ทเ่ี ปน ทัสสนวสิ ุทธิไดหรอื หนอ. แตนั้นทานจึงถามทา นรปู นนั้ วา ผมู อี ายุ ทานองคเ ดยี วเทา น้นั หรือทีร่ ูจ ักพระนิพพาน ซง่ึ เปน ทสั สนะอนั บริสุทธ์นิ ี้ หรอื วา แมผอู ืน่ ทรี่ ูจกักม็ ีอย.ู คร้งั นนั้ ภกิ ษุทถ่ี กู ถามนนั้ ไดก ลา ววา ผมู อี ายุ ในวหิ ารแหง โนนมพี ระเถระชื่อโนน อย.ู ภิกษุรูปทีถ่ ามน้นั จึงเขาไปถามพระเถระแมน ้นั . ทา นเขาไปถามพระเถระรปู อนื่ ๆ โดยอุบายนแี้ ล. อน่ึงในสตู รนี้ ภกิ ษุรปู ที่ ๒ เจรญิ กัมมัฏฐาน มเี บญจขนั ธเ ปนอารมณ ไดก าํ หนดนามรปู คือ กาํ หนดรปู ดว ยอํานาจรูปขันธ กําหนดนามดว ยอํานาจขนั ธท ี่เหลอื แลว ไดบรรลเุ ปน พระอรหนั ตตามลําดบั เพราะฉะนน้ัภกิ ษรุ ูปท่ี ๒ แมนัน้ จึงพูดถึงเฉพาะมรรคทีต่ นบรรลุแลว. ฝายภิกษรุ ปู ทีถ่ ามน้ี ไมพอใจดว ยคดิ วา คาํ พูดของภิกษเุ หลานี้เขากนั ไมได (เพราะ) ภิกษุรูปท่ี ๑ กลาวยืนยนั สังขารทีเ่ ปนไปกับดวยบางสวน ( สว น ) ภกิ ษุรปู ท่ี ๒ น้ี กลา วยนื ยนั สังขารท่ไี มมีสว นเหลอื( ท้ังหมด ) จงึ ถามภกิ ษุนัน้ อยางนน้ั แลว หลีกไป.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 469 ภิกษรุ ปู ท่ี ๓ เจริญกัมมัฏฐานมมี หาภูตรูปเปน อารมณ กําหนดมหาภูตรูป ๔ ทั้งโดยยอและโดยพสิ ดารแลว สําเร็จอรหตั ตผล. เพราะฉะนน้ัภกิ ษุรูปที่ ๓ แมน ี้ จึงพูดถงึ เฉพาะมรรคท่ตี นบรรลแุ ลว เทาน้นั . แตภ กิ ษุรูปทถี่ ามนี้ กย็ ังไมพอใจดวยคิดวา คาํ พูดของภิกษเุ หลานี้เขากนั ไมได(เพราะ) ภิกษุรปู ท่ี ๑ กลา วยืนยนั สงั ขารทีเ่ ปนไปกบั ดว ยบางสวน ภิกษุรปู ที่ ๒ กลาวยืนยันสังขารท่ไี มมีสวนเหลอื (ท้งั หมด) ภิกษรุ ปู ที่ ๓กลา วยืนยนั สังขารที่มสี ว นยิง่ ใหญ (มหาภตู รปู ) จึงถามภกิ ษุรูปท่ี ๓ น้นัอยา งน้ันแลว หลกี ไป. ภิกษรุ ปู ท่ี ๔ เจรญิ กมั มัฏฐานทเี่ ปน ไปในภมู ิ ๓. ไดยินวา ธาตุของทานเปนไปอยา งสม่ําเสมอ เรอื นรา งสวยงามแข็งแรง แมก มั มัฏฐานทกุ ขอก็เปน สปั ปายะสาํ หรับทาน สังขารไมวา จะเปน อดตี อนาคต ปจ จุบนัเปน กามาวจร รปู าวจร หรอื อรปู าวจร ท้ังหมด ลว นเปนสปั ปายะ(สําหรับทา น ) ทัง้ น้ัน ชอื่ วา กัมมัฏฐานทีไ่ มเ ปนสัปปายะไมม.ี แมในกาลท้ังหลาย จะเปนเวลากอ นอาหาร หลังอาหาร หรือปฐมยามเปนตน กต็ าม ( เปนสปั ปายะท้ังน้ัน ) กาลทไ่ี มเปนสัปปายะ ไมมเี ลย. เปรียบเหมอื นชา งใหญ กาวลงสูภมู ิภาคอนั เปนทีเ่ ทย่ี วหากิน ตน ไมที่ตอ งใชงวงจบั กใ็ ชงวงน่นั เองถอนมาจบั ไว ตน ไมท ต่ี อ งใชเทากระชนุกใ็ ชเทา น้นั เองกระชนุ แลวจับไวฉันใด ภกิ ษุรปู ที่ ๔ นัน้ ก็ฉนั นนั้ เหมอื น

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 470กัน คอื กําหนดธรรมทเ่ี ปน ไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด ดว ยการกาํ หนดกลาปะ๑แลวพิจารณา จนสาํ เรจ็ เปน พระอรหันต เพราะฉะนัน้ ภิกษรุ ูปที่ ๔ แมน้ัน จึงบอกเฉพาะมรรคทีต่ นบรรลุแลว. ฝายภกิ ษุรูปท่ีถามน้ี กย็ ิ่งไมพ อใจดว ยคิดวา คาํ พดู ของภิกษเุ หลา นี้เขา กนั ไมได (เพราะ) ภิกษุรูปท่ี ๑ ดํารงอยใู นสปเทสสงั ขารกลาวภิกษรุ ปู ที่ ๒ ดาํ รงอยูในนิปปเทสังขารกลาว ภิกษรุ ปู ที่ ๓ กเ็ หมอื นเดมิคือดาํ รงอยใู นสปเทสสงั ขารกลา ว ( ฝา ย ) ภกิ ษุรูปที่ ๔ กด็ ํารงอยูในนิปปเทสสงั ขารเชนกันกลาว จงึ ไดเรียนถามภิกษนุ น้ั วา ผูมีอายุ นพิ พานซงึ่ มที ัสสนะอนั บริสทุ ธิ์นี้ ทา นรูไดต ามธรรมดาของตน หรือวาใครบอกทาน. ภกิ ษุน้นั ก็ตอบวา ผมู อี ายุ พวกผมจะรอู ะไร แตพ ระสัมมาสัมพทุ ธเจามีอยใู นโลก กบั ท้ังเทวโลก พวกผมอาศยั พระองคจงึ รพู ระนิพพานนน้ั . ภกิ ษุรปู ท่ถี ามนนั้ คดิ วา ภิกษุเหลาน้ี ไมสามารถบอกใหถ กู อธั ยาศัยของเราได เราเองจะไปทลู ถามพระสัพพญั ูพทุ ธเจาเทา น้นั จึงจะหมดความสงสยั ดังนี้แลว เขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา จนถงึ ท่ปี ระทับ.๑. ปาฐะวา ยถา นาม ปาริภูมิโอตณิ ฺโณ มหาหตฺถี หตเฺ ถน คเหตพฺพ หตฺเถเนวมุจฺ ติ วา คณหฺ าติ ปาเทหิ ปหริตวฺ า คเหตพพฺ  ปหรติ ฺวา คณหฺ าติ เอวเมวสกลเตภมู กิ ธมเม กลาปคหเณ...ฉบบั พมาเปน ยถานาม จารภิ มู ึ โอตณิ โฺ ณมหาหตถฺ ี หตเฺ ถน คเหตพฺพ หตเฺ ถเนว ลุจฺ ติ ฺวา คณฺหาติ ปาเทหิ ปหริตวฺ าคเหตพพฺ  ปาเทหิ ปหริตฺวา คณฺหาติ เอวเมว สกเล เตภูมกิ ธมฺเม กลาปค-ฺคาเหน...แปลตามฉบบั พมา.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 471 พระผูมีพระภาคเจา ทรงสดับคาํ ของภกิ ษนุ ัน้ แลว ก็หาไดท าํ ใหเธอลาํ บากใจอยางน้ีไมวา ภิกษทุ กี่ ลา วแกป ญ หาแกเธอทัง้ ๔ รูปนัน้ เปนพระขีณาสพ ภิกษเุ หลา นนั้ กลาวแกดีแลว๑ แตเธอเองตางหาก กําหนดปญ หาน้นั ไมไ ด เพราะตนเองเปน คนโงทบึ . แตเ พราะทรงทราบวา ภิกษรุ ปู ทีถ่ ามปญหานนั้ เปน การกรบุคคลพระผูม ีพระภาคเจา จึงทรงพระดาํ รวิ า ภกิ ษุนีเ้ ปนผแู สวงหาประโยชน( คือพระนพิ พาน ) เราจักสอนเธอใหต รสั รดู วยพระธรรมเทศนา๒ นนั้ แลดังนแ้ี ลว จงึ ทรงนาํ กงิ สุโกปมสูตร มา ( แสดง ) ควรหยิบยกเอาเรอ่ื งท่ปี รากฏอยู ในกงิ สุโกปมสูตรนนั้ มาอธบิ ายขยายความ ใหแ จมแจง ดังตอ ไปนี้ :- มีเรือ่ งเลา วา แพทยพ ราหมณคนหน่งึ เปนผูเชี่ยวชาญในการรักษาโรคทกุ ชนิด เปน บณั ฑติ อาศัยอยใู นนครใหญแหงหนึง่ . ตอ มาคนเปนวัณโรคคนหน่ึง อาศัยอยูในหมูบาน. ซึง่ ตง้ั อยทู างประตูเมอื ง ดานทิศปราจนี ไดไ ปหาแพทยน น้ั ไหวเขาแลว ยนื อยู. แพทยผ เู ปน บัณฑติสนทนาปราศรยั กบั เขา แลว ไดถ ามวา พอมหาจําเริญ พอ มาดว ยประสงคอะไร. เขาตอบวา พอ หมอ ขา พเจา ถูกโรคคุกคาม ขอพอ หมอชวยบอกยาใหข า พเจา ดวยเถดิ . หมอแนะนาํ วา พอ มหาจาํ เริญ ถาอยางนั้นเชญิ๑.ปาฐะวา สกุ ถติ า เต... ฉบับพมา เปน สกุ ถิต เตหแิ ปลตามฉบับพมา๒.ปาฐะวา อตถคเวสโก เอส ธมฺมเทสนาย เอส ธมมฺ เทสนาย เอว น พุชฌฺ า-เปสฺสามิ. ฉบับพมาเปน อตฺตคเวสดก เอส, ธมมฺ เทสนาย เอว น พชุ ฌฺ าเปสฺสามตี ิแปลตามฉบับพมา .

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 472พอ ไปตัดตน ทองกวาว เอามาตากแดดใหแหง เผาแลว เอาน้ําดางของตนทองกวาวน้นั มาปรงุ เขา กบั ยาชนิดน้ี ๆ ทาํ ใหเปนยาดอง แลวดื่มเถิดทา นจักสบาย. คนที่เปนโรคนัน้ ทาํ ตามหมอบอกแลว กห็ ายโรค กลับเปน คนแขง็ แรง ผวิ พรรณผอ งใส. ตอ มา คนอีกคนหนงึ่ อาศัยอยูใ นหมูบา นซึ่งตัง้ อยทู างประตูเมอื งดานทศิ ใต กระสบั กระสายดว ยโรคเดียวกนั น้นั ไดส ดับวา ขา ววาคนโนนทาํ ยา ( ดืม่ ) แลวกลบั ทายโรค จึงเขาไปหาคนนัน้ แลว. ถามวา สหายทานหายปวยเพราะอะไร. คนทถ่ี ูกถามน้นั กต็ อบวา เพราะยาดองทองกวาวเชญิ ทานไปทําดูบา งเถดิ ฝายคนทีเ่ ปน โรคนนั้ ก็ไปทาํ ตามนั้น แลว กลับหายโรคเหมอื นอยา งน้นั . อยูมา คนอีกคนหนึ่ง อาศยั อยูใ นหมซู ่งึ ตั้งอยูทางประตูเมืองดานทศิ ตะวันตก ฯลฯ คนอกี คนหนึง่ อาศยั อยใู นหมบู านซึง่ ตัง้ อยูทางประตูเมืองดานทิศเหนอื กระสบั กระสายดวยโรคชนดิ เดยี วกันนน้ั ไดส ดบั วาไดยนิ วา คนโนนทาํ ยา ( ดมื่ ) แลวกลับทายโรค จึงเขาไปหาแลวถามวาหาย ทานหายปว ย เพราะอะไร. คนทถ่ี กู ถามก็ตอบวา เพราะยาดองทองกวาว เชิญทานไปทาํ ดบู างเถิด. ฝายคนทถ่ี ามนั้น ก็ไปทําตามนัน้แลว กลบั ทายโรคเหมอื นอยางน้นั . ตอมา ชายอกี คนหนง่ึ เปน คนบา นนอก ไมเ คยเหน็ ตนทองกวาวทุรนทุรายดว ยโรคเดยี วกันน้นั ทาํ ยา ( แกโ รค ) เหลา นน้ั ( รกั ษาตัว )อยูนาน เมือ่ โรคยงั ไมหาย ไดฟ งวา ขาววา คนทอ่ี ยใู นหมบู า น ซง่ึ ต้ัง

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 473อยทู างประตเู มืองดา นทิศปราจีน ทาํ ยา ( ดืม่ ) แลวหายโรค จึงคดิ วาเราจะถามดูบาง จักไดทาํ ยาอยางทเ่ี ขาทํา ดงั น้แี ลว เอาไมเ ทา ยนั เดนิ ทางไปหาเขา ตามลาํ ดับ ( ถึงแลว ) ไดถ ามวา สหาย ทานหายปวยเพราะอะไร. คนท่ถี กู ถามกต็ อบวา เพราะยาดองทองกวาวนะเพอ่ื น. เขาถามตอ ไปวา พอ มหาจําเรญิ กไ็ มท องกวาวเปนเชน ไร คนที่ถกู ถามกต็ อบวา เปนเหมอื นเสาไฟไหม ตั้งตระหงา นอยใู นบา นที่ถูกไฟไหม. ดวยประการดงั พรรณนามาฉะนี้ เปนอนั บรุ ษุ นั้น บอก (ลักษณะ)ตนั ทองกวาวตามอาการท่ตี นไดเห็นมาอยางเดียว. เพราะวาในเวลาท่เี ขาเหน็ ตนทองกวาว สลดั ใบแลว ๑ จึงไดเ ปนเชน น้ัน เพราะเขามาเหน็ ในเวลาเปน ตอ. กช็ ายคนทพ่ี ูดวา ตน ทองกวาวน้เี ปนเหมอื นเสาที่ถูกไฟไหมในบานท่ถี ูกไฟไหม เพราะเขาเปน บคุ คลประเภท สตุ มังคลกิ ะ ( เชือ่ ในส่ิงที่ไดยนิ แลววา เปน มงคล ) (แต) เร่อื งนี้ไมเ ปน มงคล. เขาไมพ อใจคําบอกเลาของคนคนน้นั ดวยคดิ วา ความจริงเมือ่ เราไดปรงุ ยาขนานหนึ่งแลว โรคก็ไมห าย จึงถามชายคนนน้ั ตอ ไปวา พอคุณ. พอคนเดยี วเทานั้นท่ีรจู ักตนทองกวาว หรือวาคนอื่น (ที่ร)ู กย็ งั ม.ี ยงั มอี ยู พอคณุ คนชอ่ื โนน อยทู ่บี านใกลประตูทศิ ทกั ษิณ.เขาไดเ ขาไปถามชายคนนั้น. ชายคนนนั้ บอกวา ตนทองกวาวมีสแี ดงโดยอนรุ ูปแกตนทองกวาวที่ตนเหน็ เพราะตนเหน็ ในเวลาท่ีตนทองกวาว๑. ปาฐะวา ปตติ มตฺโต ขารกชเลน ทิฏตตฺ า ฉบบั พมา เปน ปตติ ปตฺโต ขาณกุ กเลทฏิ ตฺตา แปลตามฉบบั พมา.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 474บาน. เขาไมพอใจคาํ บอกเลา แมของชายคนน้นั ดวยคดิ วา ชายผูน ี้บอกวา ตนทองกวาวแดง ผิดจากคนกอนท่ีบอกวาดํา เพราะเหน็ ใกลม ากและเหน็ ใกลม าก ( ตางกนั ) จึงถามวา พอ คุณ ยังมอี ยูไหม ใครคนอื่นทเี่ คยเห็นดอกทองกวาว. เม่อื เขาตอบวา มคี นชื่อโนน อยทู ี่บานใกลประตูพระนครดา นทศิ ตะวนั ตก จึงเขา ไปถามชายผูนนั้ . ชายคนนัน้ ตอบวาทองกวาวมีดอกทนทาน เหมอื นฝกดาบทย่ี งั ดี ๆ ( ยังไมช ํารุด) ตามแนวที่ตนเหน็ เพราะเขาเห็นในเวลาทองกวาวมดี อก. จริงอยูทองกวาวในเวลามีดอกบาน เหมือนจะหอ ยอยนู าน และเหมอื นฝก ดาบท่ถี ือหอ ยลงมา จะมีฝกหอยลงมาเหมือนตนซกึ . เขา (ไดฟงแลว ) ไมพอใจคําบอกของคนนน้ั ดว ยคดิ วา คนผนู ี้ พดู ผิดจากคนกอน เราไมอ าจเชือ่ ถือถอ ยคาํ ของคนผูน ้ีได จงึ ถามวา พอ คณุ ยงั มไี หมใครคนอื่น ท่ีเคยเหน็ ดอกทอง-กวาว เมอ่ื เขาตอบวา มีคนชอ่ื โนน อยใู นบา นใกลป ระตูพระนครทิศอุดรจงึ เขา ไปถามคน ๆ น้ัน. คน ๆ น้นั บอกวา ตน ทองกวาว มีใบดกหนามีรม เงาทึบ. รม เงาท่ชี ิดตดิ กัน ชือ่ วา รม เงาทึบ. เขาไมพอใจคําตอบของคน ๆ น้นั ดวยคดิ วาคนผูน้ี พูดผดิ จากคนกอน เราไมอาจเชื่อถอื ถอยคาํของคนน้ไี ด จึงถามเขาวา พอคณุ พวกทา นรจู ักทองกวาว ตามธรรมดาของตน หรอื วาใครบอกทา น. พวกเขาตอบวา พอ คุณ พวกเราจะรูไ ดอยางไร แตเราทั้งหลาย มอี าจารยทเี่ ปน แพทยบ ณั ฑติ อยูท ามกลางมหานครพวกเราอาศยั ทา นแลว จึงรไู ด. ชายคนน้ัน คดิ วา ถึงเรากจ็ ะเขา ไปหาอาจารยน ้ัน จะไดส นิ้ ขอ กังขา แลว เขาไปยงั สาํ นักอาจารย ไหวแลว นง่ั อยู.แพทยบณั ฑิตทักทายกับเขา พอเกิดความบนั เทงิ แลว ถามวา พอมหา

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 475จาํ เริญ เธอมาโดยมีประสงคอันใด เขาตอบวา ผมนถี้ ูกโรคคุกคาม ขออาจารยจ งบอกยาสกั ขนานหน่งึ . แพทยบณั ฑติ จึงบอกวา พอคุณ ถากระน้นั เธอจงไปตัดเอาตน ทองกวาวมาตากใหแ หง เผาแลว เอานํ้าดางของมันมาปรงุ กบั ยาอยางนี้ อยา งนี้ ดองแลวดมื่ เธอจะถึงความสบายดวยยาขนานนี้ เขาทาํ อยา งนน้ั แลว หายโรค กลบั เปน ผมู ีกาํ ลังวังชาผดุ ผอ ง. ในขอ อุปมานนั้ พระนครคอื พระนิพพาน พึงเห็นวา เหมือนมหานคร. พระสมั มาสัมพุทธเจา เหมอื นแพทยบ ัณฑติ สมจริงดังท่ีพระผูม พี ระภาคเจาตรสั ไววา ดกู อนสนุ กั ขตั ตะ คาํ วาภิสโภ (อายุรแพทย) สลลฺ ถตฺโต (ศลั ยแพทย) นีเ้ ปน ช่อื ของตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา. พระขณี าสพผูบ รรลุทัสสนวสิ ุทธิ ๔ ประเภทเหมอื นลกู มอื ของแพทย ๔ คน ผอู ยูในบานใกลประตพู ระนครทั้ง ๔.ภกิ ษผุ ทู ูลถามปญหา เหมอื นบรุ ุษชาวปจ จนั ตชนบทคนแรก. เวลาเขาไปเฝา พระศาสดาแลว ทูลถามปญ หาของภิกษนุ ี้ ผูไ มพ อใจดวยถอ ยคาํ ของพระขณี าสพ ๔ ประเภท ผูบรรลทุ สั สนวิสุทธิ เหมอื นการเขาไปหาอาจารยแลวถาม ของชาวปจ จนั ตชนบทผูไมพอใจดว ยถอ ยคํา ของลูกมือแพทยท้งั ๔ คน ฉะนนั้ . บทวา ยถา ยถา อธมิ ุตตฺ าน ความวา นอ มไปแลว โดยอาการใด. บทวา ทสสฺ น สุวสิ ทุ ฺธ ความวา การเห็นพระนิพพานเปนทัสสนะท่บี ริสทุ ธ์ิดวยด.ี

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 476 บทวา ตถา ตถา เฉเกหิ สปฺปรุ เิ สหิ พฺยากต ความวาสตั บุรษุ (ผูฉลาดทลู หลาย) เหลา นัน้ ไดบ อกแลวแกเธอ โดยอาการน้นั ๆแล๑. . อปุ มาเหมอื นหน่งึ วา บคุ คลเมอื่ บอกวา ทองกวาวดาํ กจ็ ะไมบ อกอยางอืน่ คงบอกทองกวาวนน่ั แหละ ตามนยั ทีต่ นไดเห็นฉันใด แมพระขณี าสพผูไดบ รรลุทสั สนวสิ ุทธิ ดวยอํานาจแหงผสั สายตนะ ๖ ก็ฉนันน้ั เหมอื นกัน เมือ่ จะตอนปญหาน้ี กไ็ มบอกอยา งอ่ืน บอกนิพพานน่ันแหละ ที่เปน ทัสสนวิสุทธิ ตามมรรคทีต่ นไดบ รรลุ. และบคุ คลแมเ มือ่ จะบอกวา ทองกวาวแดง เกดิ มานานแลวใบดกหนา จะไมบอกอยา งอน่ื . คงบอกดอกทองกวาวนั่นแหละ ตามนัยที่ตนไดเ ห็นแลว ฉนั ใด พระขณี าสพผไู ดบรรลทุ สั สนวสิ ุทธิ ดว ยสามารถแหงอุปาทานขันธทั้ง ๕ ดวยสามารถแหงมหาภูตรูป ๔ หรอื ดว ยสามารถแหง ธรรมเปนไปในภมู ิ ๓ กฉ็ นั นนั้ เหมือนกนั . เม่อื จะตอบปญหาน้ี ก็จะไมตอบอยา งอน่ื คงตอบนพิ พานนนั่ เอง ทีเ่ ปน ทัสสนวสิ ทุ ธ์ิ ตามมรรคท่ตี นไดบ รรลุแลว. บรรดาคนเหลานัน้ ผเู หน็ ทองกวาว ในเวลาทองกวาวดาํ การเห็นนนั้ เปนเรือ่ งจริง เปนของแท ไมใ ชเขาเหน็ อยา งอืน่ เห็นทองกวาวน่นั แหละฉันใด พระขีณาสพแมผไู ดบรรลทุ สั สนวิสทุ ธิ ดว ยอํานาจแหง-ผัสสายตนะ ก็ฉันน้ันเหมือนกนั ทสั สนะเปนของจรงิ เปน ของแท ไมใช๑. ปาฐะวา เตน เตน อากาเรน วา ฉบับพมา เปน เตน เตเนวากาเรน แปลตามฉบับพมา.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 477ทานบอกอยางอ่นื บอกพระนิพพานนน่ั แหละ ทเ่ี ปน ทสั สนวิสุทธิ ตามมรรคที่ตนไดบรรลุแลว. อนึ่งแมผเู ห็นทองกวาว ในเวลามันมีสแี ดงเกิดมานาน มีใบดกหนา การเห็นน้นั กเ็ ปนของจริง เปนของแทไมใ ชเ หน็อยางอ่ืน เห็นทองกวาวนั่นแหละฉนั ใด พระขีณาสพแมผไู ดบรรลทุ ัสสน-วสิ ุทธิ ดว ยอาํ นาจอุปาทานขนั ธทงั้ ๕ ดวยอาํ นาจมหาภูตรูป ๔ ( หรือ )ดวยอํานาจธรรมท่ีเปนไปในภมู ิ ๓ กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกัน ทสั สนะเปน ของจริงเปน ของแท ทา นไมไ ดบอกส่ิงอืน่ บอกนพิ พานน่นั แหละ ท่ีเปน ทสั สน-วิสุทธิ ตามมรรคท่ีตนไดบรรล.ุ ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผมู ีพระภาคเจา จงึ เร่มิ คาํ น้ไี วว าเสยฺยถาป ภิกฺขุ รฺโ ปจฺจนฺติม นคร . ตอบวา เพราะถาภกิ ษุนน้ั เขา ใจคาํ นัน้ ไดแ ลว ตอนนน้ั ๑ พระผูมี-พระภาคเจา จะไดเ ร่ิมพระธรรมเทศนา ถาไมเ ขาใจ พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ไดท รงเรมิ่ เพอ่ื ตอ งการจะแสดง คอื เพื่อตอ งการขยายความนน้ั แล๒ แกภิกษุนน้ั ดว ยขออปุ มา ดวยนครน้.ี ในขอ อุปมานั้น เพราะเหตทุ ี่นครในมัชฌมิ ประเทศ๓สิ่งลอมรอบท้ังหลายมกี ําแพงเปน ตน มั่นคงบา ง ไมมั่นคงบา ง๔หรอื วาไมม่ันคงโดยประการทงั้ ปวง ความหวาดระแวงโจรยอ มไมม .ี ฉะนนั้ พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรสั วา ปจจฺ นฺติม นคร ดังนี้ โดยมไิ ดมงุ หมายเอานครในมัชฌิม-ประเทศนนั้ .๑. ปาฐะวา อตฺถสฺส ฉบับพมาเปน อถลสฺ แปลตามฉบับพมา๒. ปาฐะวา ตสฺเสว วตถฺ ุสฺส ฉบบั พมา เปน ตสฺเสวตฺถสฺส แปลตามฉบับพมา.๓. ปาฐะวา มชิฌมิ ปเทเสน ฉบับพมา เปน มชฺฌิมปเทเส แปลตามฉบับพมา.๔. ปาฐะวา โหนฺติ ฉบับพมา เปน โหนตฺ ุ แปลตามฉบบั พมา.

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 478 บทวา ทฬหฺ  แปลวา ม่ันคง. บทวา ปาการโตรณ ไดแ กกําแพงที่มั่นคง และเสาคา ยท่มี น่ั คง. อันธรรมดาวา เสาคายสงู ๑ ชวงคน เขาสรา งไวเ พอ่ื เปน เครอื่ งประดับนคร ทง้ั เปนสถานทีส่ าํ หรับปองกันโจรไดเ หมือนกัน. อกี อยางหน่งึ บทวา โตรณ นนั่ เปนชอ่ื ของบานประต๑ู หมายความวา มีบานประตแู ขง็ แรง. บทวา . ฉทฺวาร ความวา ธรรมดาวาประตูเมือง ยอมมปี ระตเู ดยี วบาง ๒ ประตบู า ง ๑๐๐ ประตบู า ง ๑๐๐๐ ประตูบาง. แตในทนี่ ีพ้ ระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงนครมี ๖ ประตู จึงตรสั อยา งน้.ี บทวา ปเณฑฺ โิ ต ไดแก ผปู ระกอบดวยความเปนผูฉ ลาด. บทวา พฺยตโฺ ต ไดแก ผปู ระกอบดวยความเปน ผเู ฉยี บแหลม คอืมญี าณอนั ผองใส. บทวา เมธาวี ไดแก ผูประกอบดว ยปญญา กลาวคือ ปญ ญาสาํ หรับวินิจฉยั เหตทุ เ่ี กิดข้นึ . พงึ ทําเนอ้ื ความในคําวา ปุรตฺถิมาย ทิสาย เปนตน ใหแ จมแจงแลวทราบความหมายอยา งน้ี ( ดงั ตอไปน้ี ) เถิด. ไดยินวา ในมหานครอันมงั่ คง่ั พระราชาผูประกอบดว ยรตนะทงั้๗ ประการ ทรงครองจักรพรรดริ าชสมบัติ ( แตว า ) ปจจันตนครนัน่ ของพระองค กลบั ขาดผูปฏิบัตริ าชการแทนพระองค๒ ครานัน้ ราชบุรษุ ท้งั หลาย๑.ปาฐะวา ป สงฺฆาตสฺเสต ฉบบั พมา เปน ปฏสงฺฆาตสฺเสต แปลตามฉบบั พมา๒. ปาฐะวา ตสฺเสต น ปจจนตฺ นคร ราชายุตฺตวริ หติ  ฉบับพมา เปน ตสฺเสตปจฺจนตฺ นคร ราชายุตฺตวริ หิต แปลตามฉบับพมา.

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 479จึงพากนั กราบทลู วา ขา แตเทวะ ในนครของพวกขา พระองค ไมมีผปู ฏิบัติราชการแทนพระองค ขอพระองคไ ดโ ปรดประทานผปู ฏิบัติราชการแทนพระองค ใหพ วกขา พระองค สกั คนหนึง่ เถดิ . พระราชาพระราชทาน พระราชโอรสพระองคห น่งึ แลว ตรสั วาไปเถดิ จงพาเอาราชบตุ รน่ันไปอภเิ ษกไวใ นเมืองนน้ั ใหร บั ตําแหนง มีตาํ แหนง วินิจฉัยเปน ตน แลวอยูเถดิ . ราชบุรุษเหลานนั้ ไดท าํ ตามกระแสพระราชดํารัส. เพราะคลกุ คลีอยูกบั มติ รท่เี ลว ลวงไปได ๒ - ๓ วัน ราชโอรสก็กลายเปน นักเลงสรุ า ละเลยตําแหนง ทุกอยา งมตี ําแหนง วนิ จิ ฉยั เปนตนอนั เหลานักเลงแวดลอม ด่มื สุรา ปลอ ยวันและคนื ใหล ว งไป ดวยความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ กับการฟอ นรําขับรอ งเปนตน อยทู า มกลางนคร. ตอมา ราชบุรษุ ท้ังหลาย ไดก ราบทูลใหพ ระราชาทรงทราบ.พระราชาทรงสง่ั บังคับ อาํ มาตยผูเปนบณั ฑิตคนหนง่ึ วา เจาจงไปตักเตือนพระกมุ ารใหร บั ผิดชอบตอ ตาํ แหนง มีการวนิ ิจฉัยคดีเปน ตน อภิเษกใหมแลวคอยกลับมา. อํามาตยก ราบทลู วา ขาแตเทวะ ขาพระองคไ มส ามารถจะตกั เตือนพระกมุ ารไดหรอก พระกมุ ารเปน คนดรุ าย ( บางที ) จะพึงฆา ขาพระองคก็ได.๑. ปาฐะวา อมฺหาก เทวนคเร อายตุ ตฺ โก เทหิ ฉบับพมาเปน อมหฺ าก เทว นคเรอายุตตฺ โก นตถฺ ิ แปลตามฉบบั พมา .

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 480 ครานนั้ พระราชาจึงส่ังบังคับนายทหารผูส มบรู ณด วยพลงั คนหนึง่วา เจาจงไปกับอาํ มาตยน ี้ ถา พระกมุ ารน้นั ไมยอมอยูใ นโอวาท กจ็ งตัดศรี ษะเขาเสยี . ดว ยพระบรมราชโองการน้ี ราชทตู ดวนท้งั คู คอื อาํ มาตยแ ละ๑นายทหารผูน้ัน กพ็ ากนั ไปในเมืองนน้ั แลว ถามนายทวารบาลวา พอมหาจําเริญ พระกุมารผูวา การพระนครอยูทไ่ี หน. นายทวารบาลตอบวา( ขณะน้ี ) พระองคอ นั เหลานักเลงหอ มลอม ประทับนง่ั เสวยนาํ้ จณั ฑทรงเกษมสาํ ราญอยกู บั การขับรอ งเปนตน อยทู ีท่ างสามแยกกลางนคร. ทนั ใดนั้น ราชทตู ทัง้ คูนน้ั จงึ เขาไปเฝา แลวทูลวา มพี ระบรม-ราชโองการใหอ มาตยย ังเปนใหญ ( รักษาการ ) ในเมืองนี้ไปกอน ขอ-พระองคจงรับสั่งใหเ ขารับผดิ ชอบตําแหนงวนิ จิ ฉยั เปนตน แลวจงปกครองบานเมอื งใหด .ี พระกุมารประทับนง่ั เปน เหมอื นไมทรงไดยิน. เมื่อเหตุการณเปนเชนนี้ ทูตฝา ยทหาร ก็จบั พระเศยี รของพระกมุ ารนัน้ แลวชัก-พระขรรคออกพรอมท้ังทลู วา ถา พระองคจ ะทาํ ตามพระราชอาญากจ็ งทําเสยี เถิด หากไมท ํา หมอมฉนั จกั บน่ั พระเศียร ( ของพระองค) ใหหลดุหลน ลงเสียในท่ีนแ้ี หละ. เหลานกั เลงผูคอยบาํ รุงบาํ เรอก็หนกี ระจดั กระจายไปคนละทศิ ละทางในทนั ใดนัน้ เอง. พระกุมารตกพระทยั กลัว ยอมรับพระราชสาสน.๑. ปาฐะวา โยโธ วา ฉบับพมา เปน โยโธ จ (แปลตามฉบบั พมา)

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 481 คร้ันแลว ราชทูตทง้ั คนู น้ั กท็ าํ การอภเิ ษก แกพ ระกุมารนั้นในท่ีน้นั น่นั แล แลว ใหยกเศวตฉตั รขน้ึ มอบพระบรมราชโองการท่มี ีพระดาํ รัสเหนือเกลา เหนอื กระหมอมไววา เจาจงปกครองบานเมอื งโดยชอบเถิด ดังน้ีแลว เดินทางกลับไปตามทางท่มี าแลวนั่นแล. พระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงทําเน้อื ความนใ้ี หแ จม แจง จึงตรสัคําวา ปรุ ตถฺ มิ าย ทสิ าย เปน ตน. ในสูตรน้ัน มขี อ อปุ มาเปรยี บเทียบ ดังตอไปน:้ี - ก็พระนครคอื นพิ พาน พึงเห็นเหมือนมหานครทม่ี ง่ั ค่งั . พระธรรมราชาสัมมาสัมพทุ ธเจา ผูป ระกอบดวยโพชฌงคร ตนะ ๗ ประการ พึงเหน็เหมอื นพระเจา จักรพรรดิ ผูประกอบดวยรตนะ ๗ ประการ. นครคอืกายของตน พงึ เหน็ เหมอื นนครชายแดน. จิตตุปบาทที่โกงของภกิ ษนุ ้ีพึงเห็นเหมือนราชบุตรโกง ( ทรราช ) ในนครนนั้ เวลาท่ีภกิ ษนุ ้ีพรั่งพรอ มดว ยนิวรณ ๕ พึงเห็นเหมอื นเวลาท่ีราชบุตร ( ทรราช ) อนั เหลานกั เลงแวดลอม. สมถกมั มัฏฐาน และวปิ สสนากมั มฏั ฐาน พงึ เหน็ เหมอื นราชทตู เร็วท้ังค.ู เวลาท่ีจติ ถูกสมาธิในปฐมฌานเกดิ ขน้ึ ตรึงไวมิใหหวน่ั ไหว พึงเหน็ เหมือนเวลาทีร่ าชบุตรทรราชถกู ทหารใหญจบั พระเศยี ร.ภาวะที่เมือ่ ปฐมฌาน พอเกิดข้นึ แลว นิวรณ ๕ ก็อยหู า งไกล พงึ เหน็เหมอื นภาวะท่ีเม่อื ราชบุตรทรราช พอถูกทหารใหญจับพระเศียร เหลานกั เลงทั้งหลายก็หนีกระจัดกระจายไปไกลคนละทศิ ละทาง. เวลาทีภ่ กิ ษนุ ั้นออกจากฌาน พงึ เห็นเหมือนเวลาที่ทหารใหญ พอราชบุตรทรราชรบั รองวาจกั ทําตามพระบรมราชโองการ กป็ ลอ ยพระราชกมุ าร.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 482 เวลาทภ่ี กิ ษนุ ั้นทําจติ ใหค วรแกก ารงาน ดว ยสมาธิแลว เจรญิ -วปิ ส สนากมั มัฏฐาน พงึ เห็นเหมือนเวลาทอี่ าํ มาตยท ูลใหทราบกระแสพระบรมราชโองการ ( แกราชบุตร ) การท่ีภกิ ษผุ ูอาศยั สมถกัมมฏั ฐาน และวิปสสนากมั มฏั ฐาน แลวสําเรจ็ เปนพระอรหันต ยกเศวตฉตั รคือวิมุตติข้นึ พึงทราบเหมือนการท่ีราชบตุ รน้นั อนั ราชทตู ทั้งคูนั้นทาํ การอภเิ ษก แลว ยกเศวตฉัตรขน้ึ ถวายในเมอื งน้นั น่นั แล. สว นเน้อื ความของบททัง้ หลาย มีอาทวิ า จาตุมมฺ หาภูตกิ สสฺ ในคาํ มีอาทิวา นครนฺติ โข ภกิ ฺขุ อิมสเฺ สต จาตุมฺมหาภูตกิ สสฺ กายสสฺอธวิ จน ไดอธิบายไวอ ยางพิสดารแลว ในตอนตน. ก็ในสตู รน้ี กายพระผูมีพระภาคเจา ตรสั เรียกวา นคร เพราะเปนท่ีประทบั อยูของราชบุตร คือวญิ ญาณอยางเดยี ว. อายตนะ ๖ ตรสั เรยี กวา ทวาร เพราะเปนประตู ( ทางออก )ของราชบตุ ร คอื วิญญาณน้นั นนั่ แล. สติ ตรัสเรยี กวา นายทวารบาล ( คนเฝา ประตู ) เพราะเฝาประจาํ อยู ในทวารทง้ั ๖ น้นั . ในบทนี้วา สมถะ และ วปิ สสนา เปน ราชทูตดว น สมถะพงึทราบวา เหมือนทหารใหญ วิปส สนา พงึ ทราบวา เหมือนอาํ มาตย ผูประกอบดวยความเปน บัณฑิต เพราะถูกพระธรรมราชา ผตู รัสบอกกมั มัฏฐาน ทรงสงไปแลว .

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 483 บทวา มชเฺ ฌ สึฆาฏโก ความวา ทางสามแยกกลางนคร. บทวา มหาภูตาน ไดแ ก มหาภตู รปู อันเปนท่ีอาศยั ของหทยวัตถุอธบิ ายวา พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ศัพทวา มหาภตู รูป ๔ ไวก ็เพอื่ แสดง( นิสสย ) ปจจยั ของวัตถุรูปนัน่ เอง. พระราชบุตร คือ วปิ ส สนาจติ ประทับน่งั อยทู ่ที างสามแยกคือหทยรปู ในทา มกลาง ( นครคือ ) กาย อันเหลา ราชทูต คอื สมถะและวปิ สสนาพึงอภิเษกตอ งการอภิเษกเปนพระอรหนั ต พงึ เห็นเหมือนพระราชกุมารนน้ั( ประทบั นั่ง ) อยกู ลางนคร. สวนพระนิพพานตรัสเรียกวา ยถาภตู พจน เพราะขยายสภาพตามเปน จริง มไิ ดห วั่นไหว. กอ็ รยิ มรรค ตรสั เรยี กวา ยถาคตมรรค เพราะอธิบายวา วิปสสนามรรคแมน ี้ กเ็ ปนเชน กับวิปสสนามรรค อันเปนสว นเบ้ืองตนนั่นเองเพราะประกอบดแี ลว ดวยองค ๘. ขอเปรียบเทียบ ( ดงั จะกลาวตอ ไปนี้ ) เปน ขอเปรยี บเทยี บ ในฝา ยทนี่ ํามา เพ่อื ทาํ ความน้นั เองใหป รากฏชดั . อธบิ ายวา ในสูตรนี้ อุปมาดว ยทวาร ๖ ( พระผมู ีพระภาคเจา ทรงยก ) มาเพอื่ แสดงถึงพระขณี าสพ ผูบรรลุทสั สนวสิ ุทธิ ดว ยอํานาจผัส-สายตนะ ๖. อปุ มาดวยเจานคร ( พระผูม พี ระภาคเจา ทรงยก ) มาเพ่ือแสดงถงึพระขีณาสพ ผูบรรลทุ ัสสนวิสุทธิ ดวยอํานาจเบญจขนั ธ

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 484 อปุ มาดว ยทางสามแยก ( พระผูมีพระภาคเจา ทรงยก ) มาเพื่อแสดงถงึ พระขณี าสพ ผบู รรลุทัสสนวิสุทธิ ดวยอํานาจเตภมู กิ ธรรม. แตใ นสตู รน้ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสสัจจะทัง้ ๔ นน่ั แหละไวโดยยอ . แทจ ริง ทุกขสจั น่ันแล พระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวแลวดวยองคประกอบของเมอื งทั้งหมด. นิโรธสจั ตรัสไวแ ลว ดวยยถาภตู วจนะ มัคคสจัตรัสไวแลว ดวยถาคตมรรค. สวนตณั หาที่เปนเหตใุ หท ุกขเกดิ คอืสมุทยสจั . ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ภิกษุผถู ามปญ หา ไดด ํารงอยใู นโสดาปต ติผลแล. จบ อรรถกถากงิ สุกลสตู รท่ี ๘ ๙. วณี าสูตร วา ดวยทรงแสดงธรรมเปรยี บดวยพิณ [๓๔๓] ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ความพอใจ ความกําหนดั ความขัดเคือง ความหลง หรอื แมค วามคับแคน ใจในรูปอันบุคคลพงึ รแู จงดว ยจกั ษุ พึงบงั เกิดข้นึ แกภกิ ษหุ รอื แกภิกษณุ ีรูปใดรปู หนึ่ง ภกิ ษุหรอื ภกิ ษุณีพงึ หา มจิตเสียจากรูปอันบุคคลพงึ รแู จง ดวยจกั ษนุ น้ั ดว ยมนสิการวา หน-ทางน้ันมีภยั มีภัยตง้ั อยูเฉพาะหนา มีหนาม มรี กชฏั เปนทางผิด เปนทางอนั บัณฑิตเกลยี ด และเปนทางทไ่ี ปลาํ บาก เปน ทางอันอสัตบุรุษ

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 485ดาํ เนินไป ไมใ ชทางทส่ี ตั บรุ ษุ ดาํ เนินไป ทา นไมควรดําเนนิ ทางน้นั ภกิ ษุหรอื ภิกษุณีพงึ หา มจติ เสยี จากรูปอนั บคุ ุคลพึงรูแจงดว ยจกั ษนุ ้ัน ฯลฯ ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ความพอใจ ความกาํ หนัด ความขดั เคือง ความหลง หรอืแมความคับแคน ใจในธรรมารมณอันบุคคลพงึ รูแจง ดว ยใจ พึงบงั เกดิ ข้ึนแกภ กิ ษหุ รอื ภกิ ษณุ ีรูปใดรูปหนง่ึ ภิกษหุ รอื ภกิ ษุณพี งึ หามจติ เสียจากธรรมารมณน ้ัน ดว ยมนสกิ ารวา หนทางนั้นมภี ยั มีภยั ตัง้ อยเู ฉพาะหนามีหนาม มีรกชฏั เปน ทางผิด เปน ทางอันบณั ฑิตเกลียด และเปน ทางท่ไี ปลําบาก เปน ทางอันอสัตบรุ ษุ ดําเนินไป ไมใชท างท่สี ัตบุรษุ ดําเนินไป เธอยอ มไมควรดาํ เนินทางนัน้ ภิกษหุ รือภกิ ษุณพี งึ หา มจิตเสียจากธรรมารมณอันบุคคลพงึ รแู จง ดวยใจนัน้ . [๓๔๔] ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ขา วกลาถึงสมบูรณ แตเ จา ของผรู กั ษาขาวกลาเปนผปู ระมาท และโคกินขาวกลา ลงสขู าวกลาโนน พงึ ถงึความเมา ความประมาทตามตองการ แมฉ ันใด ปุถชุ นผูไ มส ดับแลวไมท ําความสาํ รวมในผสั สายตนะ ๖ ยอ มถึงความเมา ความประมาทในกามคณุ ๕ ตามความตองการฉนั น้นั . ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ขาวกลาสมบรู ณแ ลว เจา ของผูรกั ษาขา วกลา เปนผูไมประมาท และโคกินขาวกลาพงึ ลงสูขา วกลาโนน เจาของผรู กั ษาขาวกลา พึงจับโคนน้ั สนพาย แลวผกู รวมไวทีร่ ะหวา งเขาทงั้ สอง ครั้นแลวพงึ ตีกระหนํา่ ดวยตะพดแลว จงึปลอ ยไป โคตัวกินขาวกลา พงึ ลงสขู าวกลา โนน แมครัง้ ที่ ๒ ... แมคร้ังที่ ๓เจา ของผูรกั ษาขา วกลาพึงจับโคสนสะพายแลว ผูกรวมไวท ร่ี ะหวา งเขาทั้ง ๒ครัน้ แลวจงึ ตกี ระหนาํ่ ดวยตะพด แลวจงึ ปลอ ยไป โคกินขา วกลานั้น

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 486อยใู นบา นกด็ ี อยูใ นปากด็ ี พงึ เปนสัตวยืนมากหรือนอนมาก ไมพ ึงลงสูขา วกลานัน้ อีก พลางระลกึ ถงึ การถูกตีดวยไมคร้งั กอนน้ันนนั่ แหละ ฉนั ใดดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย คราใด จติ อนั ภิกษุขมขูแลว ขมไวดแี ลว ในผสั -สายตนะ ๖ คราวน้นั จติ ยอ มดาํ รงอยู สงบนิง่ ในภายใน มีธรรมเอกผุดขึน้ยอมตงั้ ม่นั ฉนั นั้นเหมือนกนั แล. [๓๔๕] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย พระราชาหรือราชมหาอาํ มาตยยังไมเ คยไดฟ งเสียงพณิ พระราชาหรอื ราชมหาอํามาตย ฟง เสยี งพณิ แลวพึงกลาวอยา งนี้วา แนะ ทา นผูเจรญิ น่ันเสียงอะไรหนอ นา ชอบใจ นาใครนา มวั เมา นา หมกมนุ นาพวั พนั อยา งนี้ บรุ ุษนน้ั กราบทูลวา ขอเดชะเสียงนัน้ เปนเสยี งพิณ พระราชาหรอื ราชมหาอํามาตยพ ึงกลา ววา แนะทา นผเู จรญิ ทานทงั้ หลายจงไปนาํ พิณนั้นมาใหเ รา ราชบรุ ุษทงั้ หลายพึงนําพิณมาถวาย พึงกราบทลู วา นีค่ ือพณิ น้ัน พระราชาหรอื ราชมหาอํามาตยนั้นพงึ กลาววา แนะทานผูเจรญิ ฉนั ไมต อ งการพณิ นนั้ ทานท้งั หลายจงนาํ เสยี งพณิ น้ันมาใหแ กเราเถดิ ราชบรุ ษุ กราบทูลวา ขอเดชะ ขนึ้ ชื่อวาพิณน้ีมีเครื่องประกอบหลายอยา ง มีเคร่ืองประกอบมาก นายชางประกอบดีแลว ดวยเครอ่ื งประกอบหลายอยาง คือธรรมดาวาพิณน้ี อาศยั กระพองอาศยั ราง อาศัยลกู บิด อาศัยนม อาศยั สาย อาศยั คนั ชกั และอาศัยความพยายามของบรุ ษุ ซึ่งสมควรแกพิณน้ัน มเี ครอื่ งประกอบหลายอยา งมเี ครอ่ื งประกอบมาก นายชา งประกอบดีแลวดวยเคร่อื งประกอบหลายอยา งจึงจะสง เสยี งได พระราชาหรอื ราชมหาอํามาตยท รงผา พณิ นนั้ ๑๐ เส่ยี งหรือ ๑๐๐ เสี่ยง แลว กระทาํ ใหเ ปน ช้ินเล็กชิน้ นอย แลว พงึ เผาไฟแลว




























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook