Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_30

tripitaka_30

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_30

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 151ยอมเจรญิ สัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษายอ มทาํ ลายอวชิ ชา ยอ มยังวิชชาใหเ กดิยอมทํานิพพานใหแ จง เพราะทิฏฐทิ ี่ต้ังไวชอบ เพราะมรรคภาวนาที่ต้ังไวชอบอยางน้แี ล. จบสกุ กสูตรท่ี ๙ ๑๐. อากาสสูตร ผูเ จรญิ อรยิ มรรคยอ มทาํ สตปิ ฏฐานใหบ รบิ รู ณ [๒๘๒] สาวัตถีนิทาน. ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย ลมหลายชนดิ พัดไปในอากาศคอื ลมตะวันออกบาง ลมตะวนั ตกบา ง ลมเหนือบาง ลมใตบา งลมมธี ลุ ีบาง ลมไมมธี ลุ บี าง ลมหนาวบาง ลมรอนบาง ลมพัดเบา ๆ บางลมพดั แรงบาง แมฉันใด เมือ่ ภิกษุเจรญิ อริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘เมอ่ื กระทาํ ใหม ากซง่ึ อรยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘ สติปฏฐาน ๔ ยอมถึงความเจรญิ บริบรู ณบา ง สมั มัปปธาน ๔ ยอ มถึงความเจริญบรบิ รู ณบา งอทิ ธบิ าท ๔ ยอมถงึ ความเจรญิ บริบูรณบ าง อินทรยี  ๕ ยอมถงึ ความเจริญบริบูรณบาง พละ ๕ ยอ มถึงความเจริญบรบิ ูรณบ า ง โพชฌงค ๗ ยอ มถึงความเจรญิ บริบูรณบา ง ฉนั น้ันเหมอื นกัน. [๒๘๓] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เมอื่ ภกิ ษุเจริญอรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ กระทําใหมากซงึ่ อริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ อยางไรเลา สติปฏ ฐาน ๔ จึงถึงความเจรญิ บรบิ ูรณบา ง สัมมัปปธาน ๔ . . . อทิ ธิบาท ๔ . . .อนิ ทรยี  ๕ . . . พละ ๕ . . . โพชฌงค ๗ จึงถงึ ความเจริญบริบรู ณบาง ดู

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 152กอ นภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี ยอมเจรญิ สมั มาทฏิ ฐิ อนั อาศยั วิเวกอาศยั วิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญสมั มาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย ภิกษุเมื่อเจรญิ อรยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘ กระทําใหม ากซงึ่อริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ อยางนแ้ี ล สตปิ ฏ ฐาน ๔ ยอ มถงึ ความเจริญบริบูรณบาง สัมมัปปธาน ๔ . . . อทิ ธิบาท ๔ . . . อินทรีย ๕ . . . พละ ๕ . . .โพชฌงค ๗ ยอมถึงความเจรญิ บริบรู ณบา ง. จบอากาสสตู รที่ ๑๐ อรรถกถาอากาสสูตร บทวา ปรุ ตฺถิมา ไดแก ลมมาจากทิศตะวนั ออก. แมใ นทิศตะวันตกเปน ตน กม็ ีนยั นี้เหมือนกัน บทวา จตฺตาโรป สติปฏ านา ความวา เหมือนอยางวา การรวมประเภทของทิศมีทศิ ตะวนั ออกเปน ตนเหลานน้ัสําเรจ็ ลงไดใ นอากาศ ฉนั ใด โพธิปกขยิ ธรรมทท่ี า นกลาวไวโดยนัยมีอาทิวาจตฺตาโร สติปฎานา ดงั น้ี แมในที่น้ีกฉ็ นั น้นั ยอมสาํ เรจ็ ลงไดด ว ยการเจรญิ อรยิ มรรค อันเปน มหาวปิ ส สนา. ดวยเหตุนนั้ ทานจึงกลาวคํานไ้ี ว. จบอรรถกถาอากาสสตู รท่ี ๑๐

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 153 ๑๑. ปฐมเมฆสูตร ผเู จริญอริยมรรคทําอกศุ ลธรรมใหสงบโดยพลัน [๒๘๔] สาวตั ถนี ทิ าน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ฝุน ละอองอนั ต้ังข้ึนในเดอื นทา ยแหงฤดรู อน เมฆกอนใหญท่เี กิดในสมยั มใิ ชกาล ยอ มยงั ฝนุ ละอองนน้ั ใหหายราบไปไดโ ดยพลัน แมฉนั ใด ภกิ ษุเจริญอริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ กระทําใหม ากซงึ่ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ ยอ มยงั อกศุ ลธรรมอันลามกที่เกดิ ขน้ึ แลวใหหายสงบไปไดโ ดยพลนั ฉันนัน้ เหมือนกัน. [๒๘๕] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมอื่ ภกิ ษุเจริญอริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหมากซง่ี อริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ อยางไรเลา จึงใหอกศุ ลธรรมอนั ลามกทเี่ กิดข้ึนแลว หายสงบไปไดโ ดยพลัน ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ ยอมเจรญิ สัมมาทฏิ ฐิ อันอาศยั วเิ วก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ สัมมาสมาธิ อนั อาศยั วิเวกอาศัยวริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอมไปในการสละ ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษเุ มอ่ืเจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหมากซึง่ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ อยางนี้แล จงึ ใหอกุศลธรรมอนั ลามกทเ่ี กิดขนึ้ แลว หายสงบไปไดโดยพลนั . จบปฐมเมฆสตู รที่ ๑๑

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 154 อรรถกถาปฐมเมฆสตู ร บทวา คมิ หฺ าน ปจฉฺ เิ ม มาเส ไดแก ในเดอื น ๘. บทวาอุปหต ไดแ ก ฝุน ละอองถูกสตั วส องเทา สีเ่ ทาเหยยี บย่าํ ตงั้ ขน้ึ ในพ้ืนดนิ เปนสายตลบไปเบื้องบนงไปในอากาศ. บทวา รโชชลลฺ  ไดแก ฝนุ ละออง. จบอรรถกถาปฐมเมฆสูตรท่ี ๑๑ ๑๒. ทตุ ยิ เมฆสูตรผเู จรญิ อรยิ มรรคทําอกศุ ลธรรมใหส งบใหระหวา งโดยพลนั [๒๘๖] สาวตั ถีนทิ าน. ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ลมแรงยอ มยงั มหา-เมฆอนั เกิดขนึ้ แลวใหห ายหมดไปไดใ นระหวางนัน่ เอง แมฉนั ใด ภิกษุเมอื่เจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ กระทาํ ใหมากซึ่งอริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ยอมยังอกศุ ลธรรมอนั ลามกที่เกิดขนึ้ แลว ใหหายสงบไปในระหวา งไดโดยพลนั ฉันน้ันเหมือนกัน. [๒๘๗] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษเม่ือเจริญอรยิ มรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ กระทําใหมากซ่งึ อริ ยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘ อยางไรเลา จงึใหอ กศุ ลธรรมอันลามกท่ีเกดิ ข้ึนแลว หายสงบไปในระหวา งได ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสมั มาทิฎฐิ อนั อาศัยวเิ วก อาศยัวริ าคะ อาศยั นิโรธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญสมั มาสมาธิ อาศยัวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศยั นิโรธ นอ มไปในการสละ ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลายภกิ ษุเจริญอริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหม ากซงึ่ อรยิ มรรคอัน

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 155ประกอบดวยองค ๘ อยา งนีแ้ ล จึงใหอกุศลธรรมอนั ลามกทเี่ กดิ ข้นึ แลวหายสงบไปในระหวา งไดโ ดยพลัน. จบทุติยเมฆสตู รท่ี ๑๒ ๑๓. นาวาสูตร ผูเจรญิ อริยมรรคทําใหสังโยชนส งบหมดไป [๒๘๘] สาวัตถีนทิ าน. ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย เม่อื เรอื เดินสมทุ รที่ผกู ดว ยเคร่ืองผูกคือหวาย แชอยใู นนา้ํ ตลอด ๖ เดอื น เขายกขน้ึ บกในฤดูหนาวเคร่ืองผูกตอ งลมและแดดแลว อันฝนตกรดแลว ยอมจะเสียไป ผุไป โดยไมยากเลย แมฉันใด ภิกษเุ มอื่ เจริญอริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ กระทําใหม ากซึ่งอรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ สังโยชนทง้ั หลายยอมสงบหมดไปโดยไมย ากเลย ฉนั นัน้ เหมอื นกนั . [๒๘๙] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ภกิ ษเุ มอื่ เจริญอริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหมากซ่งึ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ อยา งไรเลาสังโยชนทั้งหลายจงึ จะสงบหมดไป โดยไมย ากเลย ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสมั มาทฏิ ฐิ อันอาศยั วิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนโิ รธนอมไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญสมั มาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวริ าคะอาศยั นโิ รธ นอมไปในการสละ ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ภิกษุเม่ือเจริญอรยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘ กระทาํ ใหมากซ่งึ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘อยางน้แี ล สังโยชนทั้งหลายจึงสงบหมดไป โดยไมยากเลย. จบนาวาสูตรท่ี ๑๓

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 156 อรรถกถานาวาสตู ร บทวา สามุททฺ ิกาย นาวาย เปนตน พิสดารแลวในวาณิชโกปมสูตรตอนตน . จบอรรถกถานาวาสูตรที่ ๑๓ ๑๔. อาคันตุกาคารสูตรธรรมท่คี วรกําหนดรู ควรละ ควรทาํ ใหแ จง ควรทาํ ใหเจริญ [๒๙๐] สาวตั ถนี ิทาน. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย คนผมู าจากทิศบรู พากด็ ี จากทิศปจฉิมก็ดี จากทิศอดุ รกด็ ี จากทิศทักษณิ กด็ ี ยอ มพักอยูท่เี รือนสาํ หรับรับแขก ถึงกษตั รยิ  พราหมณ. แพทย ศูทรก็ดี ท่มี าแลวก็ยอมพกัอยูท ่เี รือนสาํ หรบั รบั แขกน้ัน แมฉนั ใด ภิกษุเจรญิ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ กระทําใหม ากซึ่งอริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ ยอ มก าหนดรูธรรมท่ีควรก าหนดรูดว ยปญ ญาอนั ยง่ิ ยอ มละธรรมทค่ี วรละดว ยปญ ญาอนั ยิ่งยอมกระทําใหแจง ซ่งึ ธรรมท่ีควรทาํ ใหแจงดวยปญญาอนั ย่งิ ยอ มเจริญธรรมท่ีควรใหเจริญดว ยปญญาอันยิ่ง ฉันนัน้ เหมอื นกัน. [๒๙๑] ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ก็ธรรมท่คี วรก าหนดรดู วยปญญาอันยง่ิ เปน ไฉน คือ ธรรมท่ีเรยี กวา อุปาทานขนั ธ ๕ อุปาทานขนั ธ ๕เปน ไฉน คอื รปู ูปาทานขันธ ฯลฯ วญิ ญาณูปาทานขนั ธ ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลายธรรมเหลา นค้ี วรก าหนดรูด ว ยปญญาอันยง่ิ .

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157 [๒๙๒] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย กธ็ รรมที่ควรละดว ยปญญาอนั ยง่ิเปน ไฉน คือ อวชิ ชาและภวตัณหา ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ธรรมเหลานี้ควรละดว ยปญญาอนั ยง่ิ . [๒๙๓] ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็ธรรมท่คี วรทาํ ใหแจว ดว ยปญญาอันย่งิ เปน ไฉน คอื วชิ ชาและวิมุตติ กอนภกิ ษุทั้งหลาย ธรรมเหลา น้ีควรทาํ ใหแจงดว ยปญ ญาอนั ยง่ิ . [๒๙๔] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ก็ธรรมที่ควรใหเจรญิ ดว ยปญ ญาอันยงิ่เปนไฉน คือ สมถะและวปิ ส สนา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ธรรมเหลาน้ีควรใหเจริญดวยปญญาอันยง่ิ . [๒๙๕] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษุเมอ่ื เจรญิ อรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหมากซึง่ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ อยา งไรเลาจึงก าหนดรูธ รรมทคี่ วรก าหนดรูด วยปญ ญาอันยงิ่ ฯลฯ จงึ เจรญิ ธรรมท่ีควรใหเ จรญิ ดว ยปญญาอนั ยงิ่ ดกู อนภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวินยั น้ี ยอ มเจริญสัมมาทิฏฐิ อนั อาศัยวเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศัยนโิ รธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ สัมมาสมาธิ อันอาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะ อาศัยนิโรธนอ มไปในการสละ ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุเมอ่ื เจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ กระทาํ ใหมากซ่ึงอรยิ มรรคอันประกอบดวยองค ๘ อยา งน้ีแลจงึ ก าหนดรูธรรมท่ีควรก าหนดรูดว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ฯลฯ จงึ เจรญิ ธรรมท่คี วรใหเจริญดวยปญ ญาอันยง่ิ . จบอาคนั ตุกาควรสตู รที่ ๑๔

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 158 อรรถกถาอาคันตกุ าคารสตู ร บทวา อาคนฺตุกาคาร ไดแ กเ รือนรับรองแขกท่ผี ตู อ งการบญุ สรางไวทา มกลางเมือง แมพ ระราชาและมหาอํามาตยของพระราชากส็ ามารถเขา ไปพกัอาศยั ได. บทวา อภิ ฺ า ปริ เฺ ยยฺ ความวา เหมอื นอยางวา การอยูของกษตั ริยเปน ตนผูมาจากทิศ มีทศิ ตะวนั ออกเปน ตน เหลานัน้ ยอ มสาํ เรจ็ไดในเรือนรบั รองฉันใด ภกิ ษุทงั้ หลายยอ มสาํ เร็จดวยการเจริญอรยิ มรรคอนัเปน สมาธิวิปสสนา ดวยการกําหนดรดู วยปญ ญาอันยงิ่ เปนตนแหง ธรรมท้ังหลายมอี าทิวา อภิฺา ปริเฺ ยฺย แมเหลา นี้ก็ฉันน้นั ดว ยเหตนุ ้นัทานจึงกลาวคํานี้ไว. จบอรรถกถาอาคันตกุ าควรสูตรที่ ๑๔ ๑๕. นทีสูตร ไมม ีผูสามารถใหผ เู จรญิ อริยมรรคกลับเปนคนเลวได [๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผมู พี ระภาคเจาตรัสถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวาดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย แมน ้าํ คงคาไหลไปสูทิศปราจนี หล่งั ไปสูทิศปราจีนบาไปสูทศิ ปราจีน คร้ังนนั้ หมูมหาชนพากนั ถือเอาจอบและตะกรามาดวยประสงควา พวกเราจักทําการทดแมนํา้ คงคานใี้ หไ หลกลับ ใหหล่ังกลับ ใหบากลบั ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เธอทัง้ หลายจะสาํ คัญความขอนัน้ เปนไฉน

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 159หมูมหาชนน้ันจะพงึ ทาการทดแมน ้ําคงคาใหไหลกลับ ใหห ลงกลบั ใหบ ากลับไดละหรอื ภิกษาเหลา นั้นกราบทูลวา ไมไ ด พระเจา ขา . พ. ขอ นัน้ เพราะเหตอุ ะไร ภ.ิ เพราะแมน ํ้าคงคาไหลไปสทู ิศปราจีน หลัง่ ไปสทู ิศปราจนี บา-ไปสทู ศิ ปราจนี การท่จี ะทําการทดแมน ํ้าคงคาใหไหลกลับ ใหหล่ังกลบั ใหบากลับ มใิ ชก ระทําไดง าย แตหมมู หาชนพงึ เปน ผูมีสวนแหงความลาํ บากยากแคนแนนอน. พ. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย พระราชา มหาอํามาตยข องพระราชามิตรสหาย หรอื ญาตสิ าโลหิต จะพึงเช้อื เชิญภกิ ษผุ ูเ จรญิ อริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ ผกู ระทําใหม ากซง่ึ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ดวยโภคะทง้ั หลาย เพอื่ นําไปตามใจวา ดูกอ นบุรษุ ผูเจรญิ เชญิ ทา นมาเถดิ ทา นจะนงุ หมผา กาสายะเหลา นที้ ําไม ทา นจะเปนคนโลนถอื กระเบือ้ งเทย่ี วไปทําไมทา นจงสกึ มาบริโภคโภคะและกระทําบุญเถดิ ภกิ ษผุ เู จริญอริยมรรคอนัประกอบดว ยองค ๘ ผูกระทาํ ใหมากซึง่ อริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ นน้ัจกั ลาสิกขาสกี ออกเปน คฤหสั ถ ขอนี้มใิ ชฐ านะที่จะมไี ด ขอ น้นั เพราะเหตไุ รเพราะวาจติ ท่ีนอ มไปในวิเวก โนมไปในวเิ วก โอนไปในวเิ วก ตลอดกาลนานนน้ั จักสึกออกมาเปนคฤหัสถ ขอ นมี้ ใิ ชฐ านะท่ีจะมีได. [๒๙๗] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษยุ อ มเจริญอรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ ยอ มกระทาํ ใหมากซ่งึ อรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ อยา งไรเลาดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวินัยน้ี ยอ มเจริญสมั มาทฏิ ฐิ อนั อาศัยวเิ วกอาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจรญิ สมั มาสมาธิ

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 160อันอาศยั วิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ภกิ ษยุ อ มเจรญิ อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ยอมกระทําใหม ากซึ่งอริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ อยางนแ้ี ล. จบนทสี ูตรที่ ๑๕ จบพลกรณยี วรรคที่ ๑๑ อรรถกถา นทสี ูตร มนี ยั ดังกลาวในหนหลังน้นั แล. จบอรรถกถาพลกณณียวรรค รวมพระสูตทม่ี ีในวรรคน้ี คอื ๑. ปฐมพลกรณยี สูตร ๒. ทุตยิ พลกรณยี สูตร ๓. ตตยิ พลกรณียสตู ร ๔. จตุตถพลกรณยี สตู ร ๕. พีชสตู ร ๖. นาคสตู ร ๗. รุกขสตู ร๘็ . กุมภสตู ร ๙. สุกกสูตร ๑๐. อากาลสตู ร ๑๑. ปฐมเมฆสูตร ๑๒.ทุติยเมฆสตู ร ๑๓. นาวาสูตร ๑๔. อาคันตุกาคารสูตร ๑๕. นทสี ตู รพรอ มทงั้ อรรถกถา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 161 เอสนาวรรคที่ ๑๒ ๑. ปฐมเอสนาสูตร การแสวงหา ๓ [๒๙๘] สาวัตถนี ทิ าน. ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย การแสวงหา ๓ อยา งนี้๒ อยา งเปน ไฉน คอื การแสวงหากาม ๑ การแสวงหาภพ ๑ การแสวงหาพรหมจรรย ดกู อนภิกษุท้งั หลาย การแสวงหา ๓ อยา งน้แี ล. [๒๙๙] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษคุ วรเจรญิ อริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ เพ่อื ความรูยงิ่ ซึ่งการแสวงหา ๓ อยา งนีแ้ ล อริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ เปน ไฉน ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย. ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอมเจรญิสมั มาทิฏฐิ อันอาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯยอมเจริญสมั มาสมาธิ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษคุ วรเจรญิ อรยิ มรรคอัน ประกอบดว ยองค๘ น้ี เพอ่ื รูย่ิงซ่งึ การแสวงหา ๓ อยางนี้แล. จบปฐมเอสนาสตู รที่ ๑

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 162 เอสนาวรรควรรณนาที่ ๑๒ อรรถกถาปฐมเอสนาสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในเอสนาวรรค. ( ปฐมเอสนาสูตรที่ ๑ ) บทวา กาเมสนา ไดแ ก การแสวงหา คน หา เท่ยี วหา ปรารถนากามทง้ั หลาย. บทวา ภเวสนา ไดแก การแสวงหาภพท้ังหลาย. บทวาพฺรหฺมจริเยสนา ไดแ ก การแสวงหาพรหมจรรยก ลา วคอื มจิ ฉาทฏิ ฐิ จบอรรถกถาปฐมเอสนาสูตรท่ี ๑ ๒. ทตุ ยิ เอสนาสตู ร* การแสวงหา ๑ [๓๐๐] สาวัตถีนิทาน. ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย การเเสวงหา ๓ อยา งนี้ ๓ อยางเปนไฉน คือ การแสวงหากาม ๑ การแสวงหาภพ ๑ การแสวงหาพรหมจรรย ๑ ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลง การแสวงหา ๓ อยางน้แี ล. [๓๐๑] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ภกิ ษุควรเจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ เพ่ือรยู ิง่ ซง่ึ การแสวงหา ๓ อยางนแ้ี ล อริยมรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ เปน ไฉน ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ยอ มเจรญิสมั มาทิฏฐิ มอี นั ก าจัดราคะเปน ท่ีสดุ มีอันก าจัดโทสะเปน ทส่ี ุด มีอันก าจัดโมหะเปนทสี่ ดุ ฯลฯ ยอมเจรญิ สัมมาสมาธิ มอี ันกาํ จัดราคะเปน ที่สุด มีอนั* ตง้ั แตส ตู รท่ี ๒ - ๘ ไมมอี รรถกถาแก

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 163ก าจดั โมหะเปน ทีส่ ดุ ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุควรเจริญอรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ น้ี เพ่อื รยู ่ิงซ่ึงการแสวงหา ๓ อยางนแ้ี ล. จบทตุ ยิ เอสนาสูตรท่ี ๒ ๓. ตติยเอสนาสตู ร การแสวงหา ๓ [๓๐๒] สาวตั ถีนทิ าน. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลง การแสวงหา ๓ อยา งน้ี ๓ อยางเปนไฉน คือ การแสวงหากาม ๑ การแสวงหาภพ ๑ การแสวงหาพรหมจรรย ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย การแสวงหา ๓ อยางน้แี ล. [๓๐๓] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย ภิกษคุ วรเจริญอรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ เพือ่ รูย งิ่ ซ่ึงการแสวงหา ๓ อยา งนี้แล อริยมรรคอนั ประกอบดว ยองค ๘ เปน ไฉน ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ยอมเจริญสัมมาทฏิ ฐิ อนั หย่งั ลงสอู มตะ มีอมตะเปนเบือ้ งหนา มีอมตะเปนทีส่ ดุ ฯลฯยอ มเจรญิ สมั มาสมาธิ อนั หยัง่ ลงสอู มตะ มอี มตะเปน เบ้อื งหนา มีอมตะเปนท่สี ดุ ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ภิกษคุ วรเจริญอริยมรรคอันประกอบดว ยองค ๘ น้ีเพอื่ รูย ิ่งซึ่งการแสวงหา ๓ อยางนแ้ี ล. จบตตยิ เอสนาสูตรท่ี ๓





















































พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 190โสมนสกิ ารในสงิ่ เหลา นี้ นี้เปนอาหารใชวริ ยิ สัมโพชฌงคท ี่ยงั ไมเกิดเกดิ ขนึ้หรือท่ีเกิดขึ้นแลวใหเจริญบรบิ รู ณ. [๓๖๘] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหปติสมั โพชฌงคทีย่ ังไมเกิดเกิดขึ้น หรอื ทเี่ กิดขน้ึ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลายธรรมท้งั หลายเปนที่ต้งั แหง ปตสิ ัมโพชฌงค มีอยู . การกระทําใหมากซ่งึ โยน-ิโสมนสิการในธรรมเหลา น้นั น้ีเปน อาหารใหป ต สิ มั โพชฌงคท ีย่ งั ไมเกิดเกิดขึ้น หรอื ทเี่ กดิ ขนึ้ แลวใหเจริญบรบิ รู ณ [๓๖๙] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ก็อะไรเลาเปน อาหารใหป ส สทั ธิ-สมั โพชฌงคทยี่ งั ไมเกิดเกดิ ขึน้ หรอื ทีเ่ กิดขึ้นแลว ใหเ จรญิ บริบูรณ. ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความสงบกาย ความสงจติ มีอยู การกระทาํ ใหมากซึง่ โยน-ิโสมนสิการในความสงบนน้ั น้ีเปน อาหารใหปสสัทธสิ มั โพชฌงคท่ียังไมเ กดิเกดิ ขึน้ หรอื ที่เกิดขนึ้ แลวใหเจรญิ บรบิ ูรณ. [๓๗๐] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย. ก็อะไรเลา เปนอาหารใหสมาธ-ิสัมโพชฌงคท่ียังไมเกดิ เกิดข้นึ หรือทีเ่ กดิ ขนึ้ แลว ใหเจรญิ บริบูรณ. ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย สมาธนิ ิมิต อัพยัคคนิมติ * มีอยู การกระทําใหม ากซง่ึ โยน-ิโสมนสกิ ารในนมิ ิตนน้ั นเี้ ปนอาหารใหสมาธสิ ัมโพชฌงคที่ยงั ไมเกดิ ข้ึนหรอื ท่เี กิดขึน้ แลวใหเ จริญบริบูรณ [๓๗๑] ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหอ เุ บกขาสมั โพชฌงคท ี่ยังไมเกิดเกดิ ขนึ้ หรือทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ. ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย ธรรมท้งั หลายเปนทต่ี ้งั แหงอุเบกขาสมั โพชฌงค มีอยู การกระทําใหม ากซ่งึ โยนโิ สมนสิการในธรรมเหลา นน้ั นเ้ี ปน อาหารใหอ เุ บกขา-สัมโพชฌงคท ี่ยังไมเ กิดเกิดขึน้ หรอื ท่เี กิดขนึ้ แลว ใหเจริญบรบิ รู ณ.* หมายถงึ นมิ ติ แหงจติ ที่มอี ารมณไ มฟุง ซาน.

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 191 [๓๗๒] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย กายนม้ี อี าหารเปน ทต่ี ง้ั ดาํ รงอยูไดเพราะอาศยั อาหาร ไมมีอาหารดาํ รงอยูไมได แมฉ นั ใด โพชฌงค ๗ เหลาน้ีก็มีอาหารเปนท่ีต้งั ดํารงอยไู ดเพราะอาศัยอาหาร ไมมีอาหารดาํ รงอยูไมไ ด ฉันนั้นเหมอื นกนั . จบกายสตู ร ๒ อรรถกถากายสตู ร พงึ ทราบวินิจฉัยในกายสตู รที่ ๒. บทวา อาหารฎติ โิ ก คอื กายน้ดี าํ รงอยไู ดเพราะปจจัย. บทวาอาหาร ปฎจิ จฺ ไดแก อาศัยปจ จยั . บทวา สุภนิมิตตฺ  ไดแก แมส งิ่ทง่ี ามก็เปนศภุ นิมิต แมอารมณของสงิ่ ทีง่ าม กเ็ ปนศุภนิมิต. บทวา อโยนโิ สมนสกิ าโร ไดแก ไมก ระทาํ ไวในใจโดยอบุ าย คือ กระทําไวในใจนอกทางไดแก กระทําในใจในความไมเ ทย่ี งวาเทยี่ ง หรือในความทกุ ขวาสขุ ในสง่ิท่มี ิใชตนวาตน หรอื ในสิ่งทไี่ มงามวา งาม กามฉันทะยอมเกดิ ขึ้นแกผ ยู งัมนสิการนน้ั ใหเปนไปอยใู นสุภารมณนั้นโดยมาก. เพราะเหตนุ ั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสคาํ วา อตฺติ ภกิ ขฺ เว สภุ นิมิตตตฺ  ดงั นเี้ ปน ตน. พึงทราบวาจาประกอบในนิวรณใ นทท่ี งั้ ปวงดวยประการฉะน้ี.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 192 สว นในบทวา ปฏฆิ นมิ ติ ตฺ  เปน ตน ปฏิฆะก็ดี อารมณของปฏฆิ ะก็ดี จัดเปนปฏฆิ นมิ ิต. บทวา อรติ แปลวา ความกระสัน. พระองคตรัสขอวา ในบทเหลานั้น ความไมยนิ ดเี ปน ไฉน คอื ความไมยนิ ดีความไมยินดยี ิ่ง ความไมอภริ มย ความกระสัน ความสะดงุ ในเสนาสนะท้ังหลายอันสงดั หรือในธรรมทง้ั หลาย อนั เปน อธกิ ศุ ลอยางใดอยา งหนึ่งนเี้ รียกวา ความไมย นิ ด.ี บทวา ตนทฺ ิ ไดแก ความครา นกายที่จรมาเกดิ ขึน้ เพราะมหี นาวนกัเปนตน เปนปจจยั เมอ่ื มนั เกิดขนึ้ เขาจะกลา ววา หนาวนกั รอนนกั เราหวิ นัก กระหายนกั เราเดนิ ทางไกลนกั . พระองคต รัสขอ วา ในบทเหลา น้นัความเกยี จครานเปนไฉน คอื กริ ิยาทเี่ กียจคราน ความมใี จเกียจครา นความครา น กริ ิยาที่คราน ความเปนคนมคี วามครา นอันใด น้ีเรียกวาความเกยี จครา น. บทวา วิชมฺภติ า ไดแก ความบิดกายดวยอาํ นาจกิเลส. พระองคตรสั ขอวา ในบทเหลานั้น ความบิดขีเ้ กียจเปนไฉน คือความบิดกายความบดิ ความเอียงมา ความเอยี งไป ความสยบลง ความซบเซา ความปว ยไขข องกายอันใด น้ีเรยี กวา ความบิดข้เี กียจ. บทวา ภตฺตสมฺมโท ไดแ ก ความเรา รอ นในอาหาร. พระองคตรัสขอวา ในบทเหลาน้นั ความเมาในอาหารเปน ไฉน ความสยบในอาหาร ลําบากในอาหาร ความเรา รอ นในอาหาร ความอวนของกายของคนผบู รโิ ภคอนั ใด อนั น้เี รยี กวา คงเมาในอาหาร. บทวา เจตโส ลีนตตฺ  ไดแก อาการหดหูของจติ . พระองคตรัสขอวา ในบทเหลานนั้ ความหดหขู องจิตใจเปนไฉน คอื ความไมงาม ความ

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 193ไมค วรแกการงาน ความหดหลู ง กริ ยิ าหดหู ความหดหขู องจิต ทอแท กริ ิยาทีท่ อแท ความทอแทข องจิตอนั ใด อันนเี้ รยี กวาความหดหขู องจติ . บทวา เจตโส อวปู สโม ความวา อาการไมส งบของจิต เหมือนคนนั่งกอไฟ มแี ตถานปราศจากเปลวไฟ และเหมือนคนนัง่ ไมก อไฟในท่ีสมุ -บาตร ฉะน้นั แตโดยเน้อื ความขอนัน้ เปนความฟุง ซา นรําคาญแท. บทวา วจิ ิกิจฉฺ าฎานิยา ธมมฺ า ไดแก ธรรมเปน อารมณข องวิจิกิจฉา. อโยนโิ สมนสิการมนี ยั อันกลาวไวในบทท้ังปวงแล ในขอ น้ี ธรรม๒ เหลา นี้ คือ กามฉนั ทะ วจิ ิกิจฉา ทานกลาวไวอ ยางน้ี โดยอารมณพยาบาท กลาวไวโ ดยอารมณแ ละอุปนสิ สัยปจ จยั ธรรมที่เหลือกลาวไวโดยสหชาตปจ จยั และอุปนสิ สยั ปจ จยั ดวยประการฉะน้.ี บทวา สติสมโฺ พชฺณงฺคฎานยิ า ธมฺมา ไดแก ธรรมเปนอารมณของสติ คือโพธิปกขยิ ธรรม ๓๗ และโลกุตรธรรม ๙. บทวา ตตฺถโยนิโสมนสิการพหลุ ีกาโร ไดแ ก การทาํ บอย ๆ ซ่งึ มนสิการโดยอุบายในธรรมนั้น. บทวา กุสลา ในบทเปน ตน วา กุสลากุสลา ธมฺมา ไดแ กธรรมเกดิ แตความฉลาดไมม ีโทษมีผลเปนสุข. บทวา อกสุ ลา ไดแ ก ธรรมเกิดแตค วามไมฉ ลาด มโี ทษ มผี ลเปน ทกุ ข. บทวา สาวชฺชา ไดแกธรรมเปน อกุศล. บทวา อนวชฺชา ไดแก ธรรมเปนกศุ ล. แมในธรรมเลวประณตี ดําและขาว กม็ ีนยั น้เี หมอื นกัน. บทวา สปปฺ ฏิภาคา ไดแ กกัณหธรรมและสุกกธรรมเทานัน้ ดวยวา กณั หธรรมชือ่ วามสี ว นเปรยี บเพราะใหผ ลดํา และสกุ กธรรมชื่อวา มสี วนเปรียบ เพราะใหผ ลขาว อธิบายวา มสี วนแหง วบิ ากเชน กัน อกี อยา งหนึง่ ชือ่ วา มสี วนเปรียบ เพราะมสี ว นตรงกนัขา ม. คือมสี วนเปรยี บแมอยางนีว้ า สวนสกุ กธรรมตรงกนั ขา มกบั กณั หธรรม

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 194และกณั หธรรมตรงกันขามกับสกุ กธรรม อกี อยา งหนง่ึ ชื่อวา มีสว นเปรยี บเพราะอรรถวา จะนํามากลับกันไมไ ด. คือกัณหะและสกุ กธรรมมีสว นเปรียบกันไดอ ยา งนว้ี า ฝายอกุศลหา มกุศลแลว จงึ ใหวบิ ากของตน สวนกศุ ลหา มอกุศลแลว จึงใหวบิ ากของตน ดังน้ี. บทวา อารพภฺ ธาตุ ไดแ กค วามเพียรครั้งแรก. บทวา นิกฺขมธาตุไดแ กค วามเพียรมีก าลังกวา น้ัน เพราะออกจากความเกียจครา น. บทวาปรกฺกมธาตุ ไดแก ความเพียรมกี าํ ลังกวานัน้ เพราะเปนเหตกุ า วไปขา งหนา ๆ คอื ฐานะ เพราะฉะนนั้ ทา นจงึ กลาวดว ยบท ๓. บทวา ปติสมโฺ พชณฺ งคฺ ฎานยิ า ไดแ ก ธรรมเปน อารมณของปต.ิ บทวา กายปสฺสทธฺ ิ ไดแก ความสงบแหงขนั ธ* สาม. บทวา จิตตฺปสฺสทฺธิ ไดแก ความสงบแหง วญิ ญาณขนั ธ บทวา สมาธินมิ ิตตฺ  ไดแ กสมถะบา ง อารมณของสมถะบาง. บทวา อพฺยคฺคนมิ ิตฺต เปนไวพจนข องบทวา สมาธนิ มิ ิตฺต นั้น. บทวา อเุ ปกขฺ าสมฺโพชฺฌงฺคฏฺ  านิยา ไดแก ธรรมเปนอารมณของอเุ บกขา แตโ ดยเนอื้ ความ พึงทราบอาการอนั เปนกลางวา ธรรมทั้งหลายเปนท่ตี ง้ั แหง อุเบกขา ในขอ น้ี สติ ธรรมวิจยะ และอุเบกขาสัมโพชฌงคทานกลาวไวโดยความเปนอารมณอยา งนี้. ธรรมทั้งหลายทีเ่ หลือทานกลาวไวโดยความเปนอารมณบาง โดยความเปนอุปนสิ สัยบาง. จบอรรถกถากายสูตรที่ ๒* คอื เวทนาขันธ สญั ญาขันธ และสังขารขันธ.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 195 ๓. สลี สตู ร การหลีกออก ๒ วิธี [๓๗๓] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษเุ หลาใดเปนผถู งึ พรอมดว ยศีลเปนผถู งึ พรอมดว ยสมาธิ เปน ผถู ึงพรอ มดวยปญ ญา เปน ผถู ึงพรอ มดวยวมิ ตุ ติเปนผูถึงพรอมดวยวิมตุ ติญาณหสั สนะ การไดเ หน็ ภิกษเุ หลา นนั้ ก็ดี การไดฟงภิกษุเหลาน้ันก็ดี การเขาไปนงั่ ใกลภ ิกษเุ หลา นน้ั กด็ ี การระลกึ ถงึ ภิกษเุ หลานัน้ กด็ ี แตล ะอยาง ๆ เรากลา ววามอี ุปการะมาก ขอนน้ั เพราะเหตุไร. เพราะวาผทู ีไ่ ดฟง ธรรมของภกิ ษุเหน็ ปานน้ันแลว ยอมหลกี ออกอยดู ว ย ๒ วิธี คือหลีกออกดวยกาย ๒ หลกี ออกดว ยจิต ๑ เธอหลกี ออกอยอู ยา งนัน้ แลว ยอมระลกึ ถงึ ยอมตรึกถงึ ธรรมนั้น. [๓๗๔] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย สมยั ใด ภิกษหุ ลกี ออกอยูอยา งน้นั แลวยอ มระลกึ ถงึ ยอมตรกึ ถงึ ธรรมนัน้ สมยั นน้ั สตสิ ัมโพชฌงค เปนอันภิกษุปรารภแลว ภกิ ษุยอมชอ่ื วา เจริญสตสิ ัมโพชฌงค สติสัมโพชฌงคของภิกษยุ อมถึงความเจรญิ บริบรู ณ เธอมีสติอยอู ยา งนั้น ยอมเลอื กเฟน ตรวจตรา ถงึความพนิ จิ พิจารณาธรรมน้ันดวยปญ ญา. [๓๗๕] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย สมยั ใด ภิกษมุ ีสติอยูอยา งน้นั ยอ มเลอื กเฟน ตรวจตรา ถึงความพนิ ิจพิจารณาธรรมน้ันดวยปญญา สมัยนนั้ธรรมวิจยสมั โพชฌงค เปน อนั ภิกษุปรารภแลว ภิกษยุ อมช่ือวา เจรญิ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค ธรรมวิจยสัมโพชฌงคขอภิกษุยอ มถงึ ความเจริญบริบูรณเม่ือภิกษเุ ลอื กเฟน ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนัน้ ดว ยปญญา ความเพียรอนั ไมยอหยอนเปนอนั ภกิ ษุปรารภแลว .

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 196 [๓๗๖] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย สมัยใด เมอื่ ภกิ ษุเลอื กเฟน ตรวจตราพินจิ พจิ ารณาธรรมนั้นดวยปญญา ความเพียรอันไมย อหยอ น อนั ภกิ ษุปรารภแลว สมยั น้นั วิรยิ สมั โพชฌงคเ ปน อันภกิ ษุปรารภแลว ภิกษยุ อ มช่ือวา เจรญิวริ ยิ สมั โพชฌงค วริ ยิ สมั โพชฌงคข องภิกษุยอมถึงความเจริญบริบรู ณ ปต ิท่ีไมมอี ามิสยอมเกดิ แกภิกษผุ ูปรารภความเพียร. [๓๗๗] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย สมัยใด ปต ทิ ่ีไมมอี ามสิ ยอ มเกิดแกภกิ ษุ ผปู รารภความเพยี ร สมยั น้นั ปต สิ ัมโพชฌงคเปนอันภกิ ษุปรารภแลวภิกษุยอมชื่อวาเจริญปตสิ มั โพชฌงค ปต สิ ัมโพชฌงคข องภิกษุยอมถงึ ความเจรญิ บริบูรณ กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผูม ีใจกอปรดวยปติ ยอ มสงบระงบั . [๓๗๘] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย สมยั ใด กายก็ดี จิตก็ดี ของภกิ ษผุ ูมใี จกอปรดว ยปติ ยอ มสงบระงบั สมยั นัน้ ปส สทั ธสิ มั โพชณงคเปนอนัภิกษุปรารภแลว ภกิ ษยุ อ มชอื่ วา เจรญิ ปสสัทธสิ มั โพชฌงค ปส สทั ธสิ ัม-โพชฌงคข องภกิ ษุ ยอมถึงความเจรญิ บริบูรณ จติ ของภิกษผุ ูม กี ายสงบแลวมีความสุข ยอ มตง้ั มน่ั . [๓๗๙] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย สมัยใด จติ ของภกิ ษุผูมกี ายสงบแลวมคี วามสขุ ยอมต้ังมนั่ สมัยนัน้ สมาธิสัมโพชฌงคเ ปน อันภิกษุปรารภแลวภิกษยุ อ มชือ่ วาเจรญิ สมาธสิ ัมโพชฌงค สมาธิสมั โพชฌงคของภิกษุยอ มถึงความเจริญบรบิ รู ณ เธอยอมเปน ผูเพงดจู ติ ทีต่ ้งั มนั แลว อยางน้นั ดวยดี. [๓๘๐] ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย สมัยใด ภกิ ษุยอมเปน ผูเพิงดูจติ ท่ีต้งั มั่นแลว อยางนั้นดวยดี สมัยนัน้ อุเบกขาสมั โพชฌงคเปนอนั ภิกษปุ รารภแลว ภิกษยุ อมช่ือวา เจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค อเุ บกขาสัมโพชฌงคข องภกิ ษุยอมถึงความเจรญิ บรบิ ูรณ.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 197 [๓๘๑] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย เม่อื โพชฌงค ๗ อนั ภิกษุเจรญิ แลวอยา งน้ี กระทําใหม ากแลว อยา งน้ี ผลานสิ งส ๗ ประการ อันเธอพงึ หวงั ไดผลานสิ งส ๗ ประการเปน ไฉน. [๓๘๒] คอื (๑) ในปจจุบัน จะไดบรรลอุ รหตั ผลโดยพลนั (๒)ในปจ จุบันไมไดบรรลุ ทีน่ น้ั จะไดบ รรลใุ นเวลาใกลตาย (๓) ถา ในปจจุบนัก็ไมไดบรรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ท่ีนัน้ จะไดเปน พระอนาคามีผูอันตราปรนิ ิพพายี เพราะสังโยชนเ บอ้ื งต่าํ ๕ ส้นิ ไป (๔) ถา ในปจ จุบนั ก็ไมไดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายก็ไมไ ดบรรลุ และไมไดเปนพระอนาคามผี อู นั ตรา-ปรินพิ พายี เพราะสงั โยชนเ บ้อื งตํ่า ๕ ส้นิ ไป ทนี ้ัน จะไดเปน พระอนาคามีผอู ปุ หจั จปรินิพพายี เพราะสังโยชนเ บอื้ งตาํ่ ๕ สิ้นไป (๕) ถา ในปจจบุ ันก็ไมไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายก็ไมไ ดบรรลุ ไมไ ดเปน พระอนาคามีผูอตั ราปรินิพพายี และไมไ ดเปนพระอนาคามีผอู ปุ หัจจปรนิ ิพพายี ทนี ้นัจะไดเปน พระอนาคามีผอู สังขารปรินพิ พายี เพราะสงั โยชนเ บื้องตํา่ ๕ สิ้นไป(๖) ถาในปจ จบุ นั ก็ไมไดบ รรลุ ในเวลาใกลตายกไ็ มไดบ รรลุ ไมไดเ ปนพระอนาคามีผอู ันตราปรินพิ พายี ไมไ ดเปน พระอนาคามีผอู ุปหัจจปรนิ ิพพายีพระไมไดเ ปนพระอนาคามีผอู สงั ขารปรนิ ิพพายี ทีนน้ั จะไดเ ปนพระอนาคามีสสงั ขารปรนิ ิพพายี เพราะสังโยชนเบ้ืองตาํ่ ๕ สนิ้ ไป (๗) ถาในปจจบุ ันก็ไมไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลตายกไ็ มไ ดบรรลุ ไมไ ดเ ปนพระอนาคามผี อู ันตรา-ปรนิ ิพพายี ไมไดเ ปนพกะอนาคามีผูอุปหจั ปรนิ ิพพายี ไมไดเปน พระอนาคามีผอู สงั ขารปรนิ ิพพายี และไมไ ดเปนพระอนาคามผี ูสสงั ขารปรินพิ พายี ทีนัน้จะไดเปนพระอนาคามีผูอ ทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามี เพราะสงั โยชนเบ้อื งตํา่ ๕

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 198สิน้ ไป ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย เมอ่ื โพชฌงค ๗ อนั ภกิ ษเุ จริญแลวอยางนี้ กระทาํใหม ากแลว อยา งนี้ ผลานิสงส ๗ ประการเหลา นี้ อนั เธอพงึ หวงั ได. จบสลี สูตรที่ ๓ อรรถกถาสลี สตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในสลี สตู รท่ี ๓. ในบทวา สีลสมปฺ นนฺ า นี้ ทา นถือเอาโลกิยศีลและโลกุตรศีลของภิกษผุ มู ีอาสวะส้ินแลว. อธบิ ายวา พวกภกิ ษุเปนผูถ งึ พรอ มดว ยศีลนั้น. แมในสมาธแิ ละปญ ญาก็มีนัยนเี้ หมอื นกัน. สว นความหลุดพน เปนผลวมิ ตุ ติเทา น้ัน. วิมุตตญิ าณทัสสนะ เปน ปจจเวกขณญาณ. ในขอน้ี ธรรมมีศีลเปนตน เปนท้งั โลกิยะและโลกตุ ระอยา งนี้ วิมุตตเิ ปน โลกุตระ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะเปนโลกยิ ะเทานั้น. บทวา ทสสฺ นมปฺ ห ตดั บทเปน ทสฺสน ป อห กก็ ารไดเ ห็นนน้ี ้นัมี ๒ อยา งคอื การเหน็ ดวยจกั ษุ ๑ เหน็ ดว ยญาณ ๑. ในการไดเ ห็น ๒ อยางน้นั การไดเห็นคือการไดแลดพู ระอริยะทงั้ หลายดว ยจกั ษุ อันเลือ่ มใสชือ่ วา การไดเหน็ ดว ยจกั ษ.ุ สว นการไดเห็นลกั ษณะอนั พระอรยิ ะเหน็ แลวและการแทงตลอดลกั ษณะอันพระอริยะแทงตลอดแลว ดวยฌาน ดวยวิปสสนา หรือดวยมรรคและผล คือวา การไดเ ห็นดว ยญาณ. แตใ นการไดเห็น ๒ อยา งน้ี การไดเ ห็นดว ยจักษุ ประสงคเอาในทน่ี ้.ี เพราะวา แมการไดแ ลดพู ระอรยิ ะดวยจักษุอนั เลือ่ มใส มีอุปการะมากทีเดียว. บทวา สวนไดแ ก การไดฟง ดวยหู ตอบคุ คลทั้งหลายผูกลาวอยูว า พระขีณาสพชอ่ื โนน

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 199ยอมอยใู นแวนแควน ชนบท บา น นิคม วิหาร หรอื ในถํ้าช่ือโนน การไดฟ งนัน้ กม็ ีอปุ การะมากเหมอื นกัน. บทวา อปุ สงกฺ มน ไดแ ก การเขา ไปหาพระอรยิ ะดวยจิตเห็นปานน้วี า เราจักถวายทาน หรือจักถามปญ หา เราจกัฟงธรรมหรอื เราจักทําสักการะ. บทวา ปยิรปู าสน ไดแ ก การเขา ไปน่ังใกลเ พ่อื จะถาม. อธิบายวา การฟงคุณของพระอริยะ เขาไปหาพระอรยิ ะเหลาน้นั นิมนต ถวายทาน ถามปญหาโดยนัยเปน ตนวา ขาแตทานผูเ จริญอะไรเปน กุศล ดงั น.ี้ บทวา อนุสสฺ ตึ ไดแ ก การระลึกถงึ ภกิ ษผุ ูน ่ังอยูในทพ่ี ักกลางคนืและท่พี ักกลางวนั วา บดั น้ี พระอริยะท้งั หลายใหเ วลาลว งไปอยูดว ยความสุขเกดิ แตฌ าน วิปสสนามรรคและผล ในทม่ี ที ีเ่ รน ถ้าํ และมณฑปเปนตนอนึง่ โอวาทใดอันเราไดแลวในสํานักของพระอริยะเหลา นน้ั การจาํ แนกโอวาทนนัน้ แลวระลึกถึงอยางนว้ี า ในที่น้ที านกลา วถงึ ศีล ในทนี่ ี้ทานกลาวถึงสมาธิ ในท่นี ี้ทา นกลา วถงึ วิปส สนา ในที่นท้ี า นกลา วถงึ มรรค ในทีน่ ้ีทานกลา วถงึ ผล. บทวา อนปุ พพฺ ชชฺ  ไดแก การยังจติ ใหเ ลอื่ มใสในพระอรยิ ะแลวออกจากเรอื นบวชในสํานกั ของพระอรยิ ะเหลา นัน้ . อนึง่ การบวชแมของบคุ คลผูยงั จิตใหเลอ่ื มใสในสํานักของพระอริยะ บวชในสํานกั ของทา นเหลานั้นหวังประพฤตติ ามโอวาทานุสาสนีของทาน ชื่อวา การบวชตาม. การบวชของบุคคลผหู วังประพฤติตามโอวาทานุสาสนี ในสาํ นกั คนเหลาอน่ื กด็ ี ของบุคคลผูบวชในท่ีอ่นื ดว ยความเล่อื มใสในพระอริยะ หวังประพฤตติ ามโอวาทานุสาสนีในสํานกั ของพระอรยิ ะก็ดี ช่ือวา การบวชตาม. สว นการบวชของคนผูบวชในสํานักของเจา ลัทธอิ น่ื ดว ยความเลอ่ื มใสในเจาลทั ธิอ่นื หวังประพฤตติ ามโอวาทานสุ าสนขี องเจาลัทธิอื่น ไมช ือ่ วา บวชตาม.

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 200 กใ็ นบรรพชิตทัง้ หลาย บรรพชิตท่ีบวชตามพระมหากัสสปเถระอยา งน้ี คราวแรกไดมปี ระมาณแสนรปู . และที่บวชตามพระจันทคุตตเถระผเู ปน สัทธิวหิ ารกิ ของพระเถระนนั้ ก็มปี ระมาณเทาน้ันเหมือนกัน. พระสุริย-คุตตเถระผเู ปน สัทธวิ ิหารกิ ของพระจันทคตุ ตเถระนั้นก็ดี พระอสั สคุตตเถระผเู ปน สทั ธวิ หิ ารกิ ของพระสรู ิยคตุ ตเถระนัน้ ก็ดี พระโยนกธรรมรกั ขติเถระผูเปนสทั ธิวหิ าริกของพระอัสสคุตตเถระนัน้ ก็ดี ก็ไดม ีประมาณเทา นน้ัเหมือนกัน. สว นพระอนชุ าของพระเจา อโศกผเู ปน สัทธวิ หิ ารกิ ของพระโยนกกรรมรักขติ เถระ ชอื่ วา ตสิ สเถระ บรรพชิตบวชตามพระติสสเถระนนั้ นบั ไดส องโกฏิครง่ึ . พวกบวชตามพระมหนิ ทเถระก าหนดนบั ไมไ ด.เมอ่ื คนบวชดว ยความเส่ือมใสในพระศาสดาในเกาะลงั กาจนถึงวนั น้ี ก็ชื่อวาบวชตามพระมหินทเถระเหมือนกนั บทวา ต ธมฺม ไดแก ซ่งึ ธรรมคอื โอวาทานสี าสนีของทานเหลานน้ั .บทวา อนุสฺสรติ แปลวา ยอ มระลึก. บทวา อนวุ ิตกเฺ กติ ไดแ ก ทาํ ใหวิตกนาํ ไป. บทวา อารทฺโธ โหติ ไดแ ก บรบิ รู ณ คาํ เปนตน วา ปวจิ นิ ติทัง้ หมดทา นกลา วดว ยอาํ นาจการเท่ียวไปดวยญาณในธรรมนัน้ . อีกอยา งหนึ่งบทวา ปวิจินติ ไดแ ก เลือกเฟนลักษณะแหง ธรรมเหลาน้ัน ๆ บทวาปวจิ รติ ไดแ ก ยังญาณใหเท่ียวไปในธรรมนั้น. บทวา ปริวีม สมาปชชฺ ติไดแก ยอ มถงึ ความพิจารณา ตรวจดู คน ควา . บทวา สตฺต ผลานิ สตฺตวนสิ  สา น้นั โดยใจความเปน อยาง.เดยี วกัน. บทวา ทฎิ เว ธมฺเม ปฎจิ จฺ อฺ  อาราเธติ ไดแก เม่ือบรรลอุ รหตั ผล ก็ไดบ รรลใุ นอัตภาพนี้แล. และยอมบรรลอุ รหตั ผลนน้ั แล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook