พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 253 ๗. อาวรณานีวรณสูตร ธรรมเปนอุปกิเลสของจติ ๕ [๔๙๐] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ธรรมเปน เคร่ืองกั้น เปน เครอ่ื งหา มเปนอปุ กเิ ลสของจิต ทําปญญาใหทราม ๕ อยางน้ี. ๕ อยางเปน ไฉน ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กามฉนั ทะเปน ธรรมเครื่องก้นั เปน ธรรมเครอื่ งหาม เปนอปุ กเิ ลสของจิต ทาํ ปญญาใหท ราม. พยาบาท . . . ถีนมิทธะ . . . อุทธจั จ-กกุ กจุ จะ . . . วจิ ิกจิ ฉา เปน ธรรมเครอ่ื งก้ัน เปน ธรรมเคร่อื งหา ม เปนอุปกเิ ลสของจิต ทําปญญาใหท ราม. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ธรรม ๕ อยางนแ้ี ลเปน เครอื่ งก้ัน เปนเครือ่ งหาม เปนอุปกิเลสของจิต ทาํ ปญญาใหท ราม. [๔๙๑] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย โพชฌงค ๗ เหลาน้ี ไมเปน เคร่อื งก้นัไมเปน เครอ่ื งหา ม ไมเปนอปุ กเิ ลสของจิต อันบคุ คลเจริญแลว กระทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพ่ือกระทําใหแจง ซง่ึ ผลคอื วชิ ชาและวมิ ุตติ. โพชฌงค๗ เปน ไฉน. คอื สตสิ ัมโพชฌงค ไมเ ปน เคร่ืองก้นั ไมเปนเคร่อื งหา มไมเปนอปุ กเิ ลสของจิต อนั บุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพ่อื กระทาํ ใหแจง ซึ่งผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงคไมเ ปนเครอื่ งกนั้ ไมเปนเคร่ืองหา ม ไมเปนอปุ กิเลสของจิต อนั บคุ คลเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว ยอมเปน ไปเพ่ือทาํ ใหแ จง ซ่งึ ผล คอื วิชชาและวมิ ุตติ ดกู อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค นแ้ี ล ไมเ ปนเครื่องก้นั ไมเปนเครอ่ื งหาม ไมเปน อปุ กเิ ลสของจติ อนั บุคคลเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพอื่ กระทําใหแจง ซงึ่ ผล คือ วชิ ชาและวิมุตต.ิ
พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 254 [๔๙๒] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย สมยั ใด อรยิ สาวกตั้งใจ ใสใ จ รวมเขาไวด ว ยใจทัง้ หมด เงย่ี โสตลงฟงธรรม สมัยน้นั นิวรณ ยอมไมม แี กเ ธอโพชฌงค ๗ ยอมถงึ ความเจริญบริบูรณ จบอาวรณานีวรณสูตรท่ี ๗ อรรถกถาอาวรณานวี รณสตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในอาวรณานีวรณสูตรท่ี ๗. บทวา ปฺ ายทุพฺพลีกรณา ไดแ ก ทําใหอ อนปญญา. เพราะวาเม่อื มนี ิวรณธรรมทง้ั หลายเกดิ ข้ึนเนอื ง ๆ ปญญาเม่อื เกดิ ขึน้ ในระหวา ง ๆ เปนปญ ญาทราม ออ น ไมฉลาด. จบอรรถกถาอาวรณานวี รณสูตรที่ ๗ ๘. นวิ รณาวรณสตู ร นิวรณ ๕ โพชฌงค ๗ [๔๙๓] ในสมัยนนั้ นิวรณ ๕ เปนไฉน ยอมไมมแี กเ ธอ คือกามฉันทนิวรณ ยอมไมมี พยาบาทนิวรณ . . . ถีนมิทธนิวรณ . . . อทุ ธจั จ-กุกกุจจนวิ รณ . . . วิจกิ จิ ฉานิวรณ ยอ มไมม ี ในสมัยนนั้ นิวรณ ๕ ยอมไมมีแกเ ธอ. [๔๙๔] ในสมยั นน้ั โพชฌงค ๗ เปนไฉน ยอมถึงความเจริญบริบูรณ คือ สตสิ มั โพชฌงค ยอมถึงความเจรญิ บรบิ ูรณ ฯลฯ อุเบกขา
พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 255สมั โพชฌงค ยอมถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ โพชฌงค ๗ เหลานี้ ยอมถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ. [๔๙๕] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย สมยั ใด อริยสาวกต้ังใจ ใสใจ รวมไวดว ยใจทั้งหมด เงีย่ โสตลงฟง ธรรม สมัยนัน้ นิวรณ ๕ ยอ มไมม ีแกเ ธอโพชฌงค ๗ เหลาน้ี ยอ มถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ. จบนีวรณาวรณสูตรท่ี ๘ อรรถกถานีวรณาวรณสตู ร พึงทราบวินจิ ฉัยในนวี รณาวรณสตู รท่ี ๘. บทวา ปจฺ สฺส นวี รณา ตสฺสึ สมเย น โหนฺติ สตฺตโพชฺฌงฺคา ตสมฺ ึ สมเย ภาวนาปารปิ ูรึ คจฉฺ นฺติ ความวา นิวรณ๕ อยางของพระอรยิ สาวก ผฟู งอยูซ ง่ึ ธรรมเปนที่สบาย ยอมอยใู นทไี่ กลถาพระอรยิ สาวกนั้นสามารถเพ่ือยงั คณุ วิเศษใหเกดิ ในทีน่ ัน้ ได โพชฌงค ๗ของพระอรยิ สาวกนน้ั ยอ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณอยา งนี.้ ถาไมส ามารถแตนัน้ ทานไปยงั ท่ีพักกลางคืนและทพ่ี กั กลางวนั เม่อื ยังไมล ะปตนิ ัน้ เสีย ขมนวิ รณ ๕ ไดแ ลว จกั ยังคณุ วเิ ศษใหเกดิ ได. ขอนนั้ ทา นกลาวหมายถงึ ขอ นี้วาแมเ ม่ือไมสามารถอยใู นท่ีนน้ั ได เม่ือยังไมล ะปต นิ ้ัน จนถงึ ภายใน ๗ วันขม นิวรณไดแลว จักยังคุณวเิ ศษใหเ กิดได ดงั น.้ี ความจริง โพชฌงคที่เธอไดแลว ซ่งึ เปนฝายปต แิ ละปราโมทยคราวเดียวดว ยการฟงธรรม ยอ มเสอื่ มไปเพราะอาศยั ความเปน ผูยนิ ดใี นการงานเปนตน . แตเมื่อไดอตุ ุสัปปายะเปน ตน
พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 256เห็นปานน้ัน ก็เกิดขึน้ อกี ยอมถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณในสมัยนนั้ เขากลาวไวอยางน้ี ดว ยประการฉะน้แี ล จบอรรถกถานวี รณาวรณสตู รที่ ๘ ๙. รกุ ขสตู ร ธรรมเปนเคร่อื งก้ัน ๕ อยาง [๔๙๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ตน ไมใหญ มพี ืชนอ ย มีลาํ ตนใหญงอกคลมุ ตน ไมทั้งหลาย เปนเหตทุ าํ ตน ไมท่ีมันงอกคลุมแลว ใหลม หักกระจัดกระจายวบิ ตั ไิ ป. [๔๙๗] ก็ตน ไมใ หญเหลา น้ัน ท่ีมพี ชื นอย มลี ําตนใหญง อกคลุมตน ไมท้งั หลาย เปนเหตุทําตนไมท ม่ี ันงอกคลมุ แลว ใหลม หกั กระจัดกระจายวิบตั ไิ ปเปนไฉน. คือ ตน โพธิ ตน นิโครธ ตนมลิ กั ขุ* ตนมะเดื่อ ตน ไทรตน มะขวดิ ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ตน ไมใ หญเ หลา นี้แล ทมี่ ีพชื นอย มีลาํ ตนใหญ งอกคลุมตน ไมทง้ั หลาย เปน เหตทุ ําตนไมท ี่มนั งอกคลุมแลว ใหล มหกั กระจัดกระจายวิบตั ิไป. [๔๙๘] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ฉันนัน้ เหมือนกัน กุลบุตรบางคนในโลกน้ี ละกามเชน ใดแลว ออกบวชเปน บรรพชติ กลบุตรนนั้ ยอมเปน ผูเสยี หายวิบัตไิ ปดวยกามเชนน้ัน หรือที่เลวกวานนั้ .* พมาเปน ปล กโข เเปลวา ตน เลียบ.
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 257 [๔๙๙] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ธรรมเปนเครื่องกนั้ เปนเครือ่ งหา ม๕ อยางเหลา น้ี ครอบงาํ จติ ทําปญ ญาใหท ราม. ๕ อยา งเปน ไฉน. คือกามฉันทะ เปนธรรมเครอื่ งกน้ั เปนธรรมเคร่ืองหาม ครอบงําจติ ทําปญญาใหท ราม พยาบาท. . . ถีนมิทธะ . . . อุทธจั จกุกกุจจะ . . .วจิ ิกิจฉา เปน ธรรมเคร่อื งกนั้ เปน ธรรมเคร่อื งหา ม ครอบงําจติ ทําปญ ญาใหท ราม ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ธรรมเปน เครอื่ งกน้ั เปน เคร่อื งหาม ครอบงาํ จิต ทาํ ปญ ญาใหท ราม อยา งเหลานแ้ี ล. [๕๐๐] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ี ไมเ ปนธรรมกั้นไมเ ปนธรรมหา ม ไมครอบงาํ จติ อนั บุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลวยอ มเปนไปเพ่อื ทําใหแจง ซึง่ ผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ โพชฌงค ๗ เปน ไฉนคอื สตสิ มั โพชฌงค ไมเปน ธรรมกน้ั ไมเปน ธรรมหา ม ไมครอบงําจติอนั บคุ คลเจริญแลว กระทําใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพ่อื ทาํ ใหแ จง ซึ่งผล คอืวชิ ชาและวิมตุ ติ. ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค ไมเปน ธรรมกน้ั . . . ยอมเปนไปเพอ่ื ทําใหแ จง ซงึ่ ผล คอื วิชชาและวิมุตติ ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย โพชฌงค๗ เหลา น้ีแล ไมเปนธรรมกัน้ ไมเปนธรรมหา ม ไมค รอบงําจิต อนั บุคคลเจริญแลว กระทําใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ทาํ ใหแจงซง่ึ ผล คือวชิ ชาและวมิ ตุ ต.ิ จบรุกขสูตรท่ี ๙
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 258 อรรถกถารุกขสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในรกขสตู รที่ ๙. บทวา อชฌฺ ารหา แปลวา งอกขึ้น. บทวา กจฺฉโก แปลวาตนไทร. บทวา กปต ฺถโน ไดแก ตน มลิ กั ขเุ กิดขน้ึ แลวมผี ลเชนกับนมลิง. จบอรรถกถารกุ ขสูตรที่ ๙ ๑๐. นวี รณสูตร นวิ รณท าํ ใหม ดื [๕๐๑] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย นิวรณ ๕ เหลานี้ กระทาํ ใหม ดืกระทาํ ไมใ หม ีจักษุ กระทาํ ไมใหมญี าณ เปนท่ีตัง้ แหง ความดับปญญา เปนไปในฝก ฝายแหง ความคบั แคน ไมเปน ไปเพื่อนิพพาน. นวิ รณ ๕ เปน ไฉนคือ กามฉนั ทนิวรณ กระทาํ ใหม ืด กระทาํ ไมใ หม ีจักษุ กระทาํ ไมใหมญี าณเปนที่ตั้งแหงความดับปญญา เปน ไปในฝก ฝา ยแหงความคับแคน ไมเ ปนไปเพอื่ นพิ พาน พยาบาทนวิ รณ. . . ถีนมทิ ธนิวรณ . . . อทุ ธัจจกุกกจุ จ-นวิ รณ . . . วิจิกจิ ฉานวิ รณ กระทําใหม ดื กระทําไมใหมีจักษุ กระทําไมใหมีญาณ เปน ทต่ี ั้งแหง ความดับปญญา เปนไปในฝกฝา ยแหงความคับแคนไมเปน ไปเพื่อนิพพาน. ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย นวิ รณ ๕ เหลานี้แล กระทําใหมดื กระทําไมใหม ีจกั ษุ กระทาํ ไมใ หม ญี าณ เปน ทีต่ ง้ั แหงความดับปญ ญาเปน ไปในฝก ฝา ยแหง ความคบั แคน ไมเปน ไปเพื่อนพิ พาน.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 259 [๕๐๒] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย โพชฌงค ๗ เหลานี้ กระทาใหม จี กั ษุกระทาํ ใหม ญี าณ เปน ที่ตงั้ แหงความเจรญิ ปญ ญา ไมเ ปนไปในฝก ฝายแหงความคบั แคน เปนไปเพือ่ นิพพาน โพชฌงค ๗ เปนไฉน. คอื สตสิ มั -โพชฌงค กระทําใหมจี กั ษุ กระทาํ ใหมญี าณ เปนที่ต้ังแหง ความเจริญปญ ญาไมเ ปน ไปในฝก ฝา ยแหงความคบั แคน เปนไปเพื่อนพิ พาน ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงค กระทําใหม จี กั ษุ กระทําใหมีญาณ เปน ทตี่ ั้งแหงความเจริญปญญา ไมเ ปนไปในฝก ฝายแหงความคบั แคน เปน ไปเพอ่ื นพิ พาน. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ีแล กระทาํ ใหมีจกั ษุ กระทําใหมญี าณเปนทตี่ ้ังแหง ความเจริญปญญา ไมเ ปนไปในฝกฝา ยแหงความคบั แคน เปนไปเพ่ือนิพพาน. จบนีวรณสตู รที่ ๑๐ จบนีวรณวรรคท่ี ๔
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 260 อรรถกถานีวรณสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในนีวรณสตู รที่ ๑๐. บทวา อนธฺ กรณา แปลวา กระทําใหมดื . บทวา อจกขฺ ุกรณาไดแ ก กระทําไมใหมีปญ ญาจักษุ. บทวา ปฺ านิโรธยิ า ไดแ ก ดับปญญา.บทวา วิฆาตปกขฺ ิยา แปลวา เปน ฝายทกุ ข. บทวา อนิพพฺ านส วตตฺ นิกาไดแก ไมเ ปน ไปเพื่อนิพพาน. คําทเี่ หลอื ในบททงั้ ปวงมีเนื้อความงายทั้งนัน้แล ในวรรคน้ี แมท ัง้ สน้ิ ทา นกลา วโพชฌงคคลกุ เคลากันไป ดวยประการฉะนี้. จบอรรถกถานวี รณสตู รท่ี ๑๐ จบนีวรณวรรควรรณนาท่ี ๔ รวมพระสูตรทม่ี ใี นวรรคน้ี คอื ๑. ปฐมกุสลสูตร ๒. ทตุ ยิ กสุ ลสตู ร ๓. อปกิเลสสูตร ๔. อโย-นิโสสูตร ๕. โยนโิ สสตู ร ๖. วฑุ ฒสิ ตู ร ๗. อาวรณานวี รณสตู ร๘. นีวรณาวรณสตู ร ๙. รกุ ขสตู ร ๑๐. นีวรณสตู ร พรอ มท้งั อรรถกถา.
พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 261 จักกวัตติวรรคท่ี ๕ ๑. วิธาสตู ร ละมานะ ๓ เพราะโพชฌงค [๕๐๓] สาวัตถีนิทาน. ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลา หนึ่ง ในอดีตกาล ละมานะ ๓ อยา งไดแ ลว สมณะหรอื พราหมณเหลานัน้ ทัง้ หมด ละไดแ ลวกเ็ พราะโพชฌงค ๗ อันตนเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว. สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใดเหลา หนงึ่ ในอนาคตกาล จักละมานะ ๓ อยางได สมณะหรอื พราหมณเหลาน้ันท้งั หมด จักละไดก ็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจรญิ แลว กระทาํ ใหมากแลว. สมณะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลา หนึ่งในปจจุบันละมานะ ๓ อยางได สมณะหรอื พราหมณเ หลาน้นัทง้ั หมดละไดก็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว . [๕๐๔] โพชฌงค ๗ เปน ไฉน คอื สตสิ มั โพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงค ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย กส็ มณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หน่งึในอดีตกาล ละมานะ ๓ อยางไดแ ลว สมณะหรอื พราหมณเ หลาใดเหลาหนึ่ง ในอนาคตกาล จักละมานะ ๓ อยา งได . . . สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึง่ ในปจ จบุ นั ละมานะ ๓ อยา งได สมณะหรือพราหมณเหลานัน้ ทัง้ หมด ละไดก็เพราะโพชฌงค ๗ อันตนเจรญิ แลว กระทาํ ใหมากแลว . จบวธิ าสูตรท่ี ๑
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 262 จกั กวัตตวิ รรควรรณนาที่ ๕ อรรถกถาวิธาสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในวธิ าสูตรที่ ๑ แหงจักกวัตตวิ รรคที่ ๕ บทวา ติสฺโส วิธา ไดแก หมวดแหงมานะ ๓ อยา ง. อกี อยา งหนึ่งมานะอยางเดียว กเ็ พราะทานจดั ไวอยา งนน้ั ๆ จงึ กลาวมานะวา ๓ อยา งเหมอื นกนั . จบอรรถกถาวิธาสตู รท่ี ๑ ๒. จกั กวัตติสูตร รตั นะ ๗ อยา ง [๕๐๕] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะพระเจาจักรพรรดปิ รากฏ รัตนะ๗ อยาง จึงปรากฏ รัตนะ อยา งเปนไฉน คือ จกั รแกว ๑ ชา งแกว ๑แกวมณี ๑ นางแกว ๑ คฤหบดแี ลว ๑ ปริณายกแกว ๑ ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลายเพราะพระเจาจักรพรรดปิ รากฏ รัตนะ ๗ อยา งเหลา น้ี จงึ ปรากฏ. [๕๐๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย เพราะพระตถาคตอรหนั ตสัมมา-สัมพทุ ธเจา ปรากฏ รตั นะ คอื โพชฌงค ๗ จงึ ปรากฏ. รัตนะ คอื โพชฌงค๗ เปน ไฉน ไดแก รัตนะ คือ สติสมั โพชฌงค ฯลฯ รัตนะ คือ อเุ บกขาสมั โพชฌงค. ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสมั พุทธเจาปรากฏ รัตนะ คือ โพชฌงค ๗ เหลา น้ี จึงปรากฏ. จบจกั กวตั ติสตู รท่ี ๒
พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 263 อรรถกถาจักกวัตตสิ ูตร พึงทราบวินจิ ฉัยในจักกวัตตสิ ตู รท่ี ๒ ในบทวา รโฺ ภกิ ขฺ เว จกฺกวตตฺ ิสฺส น้ี ช่ือวา พระราชาเพราะอรรถวา ทรงยนิ ดใี นสิริสมบัติของพระองค หรอื ทรงใหพสกนกิ รยินดีดว ยสังคหวัตถุ ๔ ชอื่ วา เจา จักรพรรดิ เพราะอรรถวา สงั่ การอยูดวยวาจาคลอ งแคลว ยงั จกั รใหเปนไปดว ยบญุ ญานุภาพวา ขอจักรรัตนะจงแลนไปตลอดภพ ดังนี.้ บทวา ปาตุภาวา แปลวา เพราะปรากฏ. บทวา สตตฺ นฺน แปลวาก าหนดการถอื เอา. บทวา รตนาน ไดแก แสดงเรอ่ื งทกี่ าหนด. สวนความหมายของคาํ ในบทนี้ ชือ่ วา รัตนะ เพราะอรรถวา ใหเกดิ ความยินด.ี อีกอยา งหนง่ึ วา ที่เรียกวา รตั นะ เพราะทําความ เคารพ มีคามาก ช่ังไมได เหน็ ไดย าก เปนของใชข องสตั วผ ูไมท ราม ดังนี้. จําเดิมแตจกั รรัตนะบงั เกดิ ช่อื วา เทวสถานอ่นื ยอมไมม .ี คนทัง้ ปวงกระทาํ การบูชาและอภวิ าทเปนตน ซึ่งรตั นะนนั้ อยางเดียว ดว ยของหอมและดอกไมเ ปนตนั ดงั นั้น จึงชื่อวา รัตนะ เพราะอรรถวา ทําความเคารพ ลว นจักรรัตนะมีคาหามิได เพราะทรัพยย ังมีคาประมาณเทา น้ี ดังน้ันจงึ ช่ือวา รตั นะ แมเ พราะอรรถวา มคี ามาก จักรรตั นะ ไมเ หมอื นกับรตั นะท่ีมอี ยใู นโลกอยา งอนื่ ดงั นั้นจงึ ชอื่ วา รัตนะ เพราะอรรถวา ชงั่ ไมได.ก็เพราะในกัปท่ีพระพทุ ธเจา ทั้งหลายไมอ บุ ัติ พระเจา จกั รพรรดแิ ละพระ-
พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 264ปจ เจกพุทธเจา ยอ มเกิดในกาลบางครง้ั บางคราวเทานั้น ฉะนั้น จึงช่อื วารตั นะ เพราะอรรถวา เห็นไดย าก รัตนะนนี้ ้ัน ยอ มเกิดขึ้นแกสัตวอ นัโอฬาร ไมต ่ํา โดยชาติ รปู ตระกูล และความเปนใหญเปน ตน หาเกิดขน้ึแกสัตวอ่นื ไม ดงั นน้ั จึงชื่อวา รตั นะ เพราะอรรถวา เปน เคร่ืองใชส อยของสัตวท่ีไมทราม. รัตนะแมทเี่ หลือก็เหมือนจกั รรัตนะฉะนนั้ ดวยประการฉะน.ี้ เพราะเหตุน้ัน ทา นจึงกลาววา เรยี กวา รัตนะ เพราะทําความ เคารพ มีคา มาก ซ่งึ ไมไ ด เหน็ ไดยาก เปน ของใชของสตั วผ ูไมท ราม ดงั น.ี้ บทวา ปาตภุ าโว โหติ ไดแ ก ความบงั เกดิ . ในขอนี้มีวาจาประกอบความดังนี้ ขอ วา พระเจา จักรพรรดิปรากฏ รัตนะ ๗ จงึ ปรากฏ ดังน้ีกค็ วร ขอวา ช่อื วา พระเจา จักรพรรดนิ น้ั ยอ มยงั จักรอนั เกิดแลวใหห มุนไปดังน้กี ็ควร. ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะมงุ ถึงความนยิ มของพระเจาจักรพรรด.ิ ก็ผใู ดจกั ยังจักรใหห มนุ ไปตามความนิยม ผูนั้นต้งั แตปฏสิ นธยิ อมถงึ ความเปน ผูค วรกลาววา พระเจาจักรพรรดปิ รากฏ ดงั นี้.คาํ นั้น ก็ควรเหมือนกนั เพราะพูดถึงความเกดิ แหงมูลของบุรษุ ที่ไดช ือ่ แลวกผ็ ใู ดเปน สัตวว ิเศษ ไดช ่ือวา พระเจาจกั รพรรดิ ความปรากฏกลาวคือปฏิสนธิของผูนนั้ มีอยู ดงั น้ี เปน อธบิ ายในขอ นี้. ก็เพราะพระเจา จกั รพรรดิปรากฏ รตั นะท้งั หลาย ยอ มปรากฏ. พระเจาจักรพรรดนิ น้ั ยอมประกอบอยใู นบุญสมภารแกเต็มท่ีพรอมกับรัตนะเหลานน้ั ท่ปี รากฏ. ในกาลนัน้ ชาวโลกเกดิ ความคิด ปรากฏในรัตนะเหลา น้นั ขอ นั้นก็ควร เพราะพูดถงึ กนั มาก ก็เมือ่ ใด สญั ญามีความปรากฏในรัตนะเหลา นัน้
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 265เกดิ ขนึ้ แกชาวโลก เม่อื นัน้ กเ็ ปน อยา งเดียวเทา นน้ั กอ น ภายหลังปรากฏรัตนะนอกน้ี ๖ อยาง เพราะฉะนน้ั จงึ ถึงรัตนะนนั้ อยางนี้ เพราะพูดถึงกนัมาก แมโ ดยความตางเนอื้ ความแหง ความปรากฏ ขอนั้นกค็ วรแลว ความปรากฏมใิ ชปรากฏเพียงอยา งเดียว ช่ือวา ปาตุภาวะ เพราะยงั ความปรากฏใหเกดิ ขึน้ น้ีเปนประเภทแหง ความของความปรากฏ เพราะการสัง่ สมบุญอันใด ยังพระเจาจักรพรรดใิ หปรากฏดวยอาํ นาจปฏิสนธิ ชอื่ วา ปาตภุ าวะนี้เปนประเภทแหง ความของความปรากฏ เพราะการสัง่ สมบญุ ใด ยังพระเจาจักรพรรดิใหป รากฏดว ยอํานาจปฏสิ นธิ ฉะนั้น ความปรากฏแหงพระเจาจกั รพรรดิ ไมเ ปน จักรพรรดิอยา งเดียว แตแ มร ตั นะ ๗ เหลา น้ี ก็ปรากฏดว ย เพราะฉะนนั้ น้เี ปน อธิบายในขอนี.้ เหมือนอยา งวา การสัง่ สมบญุ นน้ัเปนเหตใุ หเกิดพระราชา ฉันใด การสง่ั สมบุญเปน เหตุอปุ นสิ ัย แมแ หง รัตนะโดยปริยาย ฉันนน้ั เพราะฉะนน้ั พระผูม ีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะความปรากฏแหง พระเจาจกั รพรรดิ จึงเปน ความปรากฏแหงรัตนะ ๗ ดว ยดังน.ี้ บัดน้ี พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรสั คาํ เปน ตน วา กตเมส สตฺตนฺนจกกฺ รตนสฺส ดงั น้ี เพอื่ ทรงแสดงรัตนะเหลา น้นั โดยอํานาจสรปุ . ในบทเหลา นัน้ ในบทเปนตนวา จกฺกรตนสสฺ มอี ธบิ ายโดยยอดงั นี้ จกั รแกวสามารถเพื่อยดึ สิรสิ มบตั ิของทวปี ใหญ ๔ มีทวปี สองพนั เปน บริวารมาใหป รากฏอยู. ชา งแกว ไปสเู วหาส อนั สามารถติดตามไปสแู ผน ดินมีสาครเปนท่สี ดุมาใหไดก อนภัตรอยางนั้น มา แกวกเ็ ชนนั้นเหมอื นกนั . แกวมณี อนั สามารถกําจดั ความมือประมาณโยชนในทมี่ ดื แมประกอบดว ยองคส ี่ มองเห็นแสงสวา งได. นางแกว มปี กติเวน โทษ ๖ อยางแลว เท่ียวไปไดตามชอบใจ.คฤหบดแี กว อันสามารถเห็นขุมทรัพยอ ยภู ายในแผน ดินในประเทศประมาณ
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 266โยชน ปริณายกแกว กลา วคือบตุ รคนหวั ป ผเู กิดในทอ งของอัครมเหสแี ลวเปน ผสู ามารถปกครองสมบัติทั้งส้ินมิไดปรากฏอยู ดังนั้น นีเ้ ปน อธิบายยอ ในขอนี้. สวนวธิ ปี รากฏแหง จักรแกว เปน ตน เหลานั้น มาแลว ในสตู รมีมหา-สุทสั สนะเปน ตน โดยพิสดารแล แมอธบิ ายวธิ ปี รากฏของจักรแกวน้ัน ทา นพรรณนาไวใ นอรรถกถาแหง สตู รเหลานั้นแล. ในบทวา สติสมฺโพชณฺ งคฺ รตนสสฺ เปนตน พงึ ทราบแมค วามท่มี ีลกั ษณะคลา ยกันอยางน.้ี จกั รแกว ของพระเจาจักรพรรดิ เทยี่ วไปกอนกวารตั นะทง้ั ปวง ฉันใด สติสมั โพชณงั ครัตนะ เท่ยี วไปกอนกวาธรรมทเ่ี ปนไปในภูมิ ๔ ทั้งปวง ฉันน้นั คอื เปรียบดวยจกั รแกวของพระเจา จกั รพรรดิ เพราะอรรถวาเท่ียวไปกอ น. บรรดารัตนะท้งั หลาย ชา งแกว ของพระเจาจักรพรรดิเกดิ รางใหญ สงู ไพบูลยใ หญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงั ครัตนะ เขา ถึงหมูธรรมเปนอันมาก สงู แผไ ป กวา งใหญ ดงั นัน้ จงึ เปรียบดวยชางแกว. มาแกว ของพระเจา จักรพรรดมิ ีฝเทาเรว็ วริ ยิ สมั โพชฌงั ครตั นะ แมน ี้มกี าลังฉับพลนัดงั นัน้ จงึ เปรยี บดวยมา แกว เหตมุ ีก าลังฉบั พลันน.้ี แกวมณีของพระเจาจักรพรรดิ ก าจดั ความมดื ใหส วา งได ปต สิ ัมโพชณังครัตนะ แมน ีอ้ ยูใ นหมธู รรมเปนอันมาก ก าจัดความมืดคอื กเิ ลสใหสวางดวยญาณ ดว ยอาํ นาจสหชาตปจ จัยเปน ตน เพราะเปน กศุ ลโดยสวนเดยี ว ดังน้ัน จงึ เปรยี บดว ยแกว มณี เหตกุ าจัดความมืดใหสวา งน้ี. นางแกวของพระเจา จักรพรรดิ ระงับความกระวนกระวายทางกายและทางจติ ใหความรอนสงบ ปสสทั ธสิ ัมโพชฌงั ครัตนะ แมน ี้ ระงบั ความกระวนกระวายทางกายและทางจิต ใหความรอ นสงบ ดงั นนั้ จงึ เปรียบดว ยนางแกว . คฤหบดแี กว ของพระเจาจกั รพรรดิ ก าหนดความฟุงซา น ทําใหจ ติ
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 267มอี ารมณเ ดียวดว ยการใหทรพั ย ในขณะที่ตนปรารถนาแลว และปรารถนาแลวสมาธสิ มั โพชฌังครัตนะแมน ี้ ยงั อัปปนาใหถงึ พรอมดว ยอํานาจความท่ตี นปรารถนาเปน ตน ตดั ขาดแลว ซง่ึ ความฟุงซา น ทําจิตใหม ีอารมณเดียวดังน้นั จงึ เปรยี บดวยคฤหบดีแกว . สว นปริณายกแกว ของพระเจา จกั รพรรดิทาํ ความขวนขวายนอ ยให ดวยการทาํ กจิ ในที่ท้งั ปวงใหสาํ เร็จ อเุ บกขาสมั -โพชฌังครตั นะแมน ี้ เปลือ้ งจิตตปุ บาทจากความหดหูและความฟงุ ซาน ทําความขวนขวายนอ ย วางตนไวในทามกลางประกอบความเพียร ดงั นน้ั จงึเปรยี บดวยปริณายกแกว. พึงทราบวา การก าหนดธรรมท่ีรวมไวท ้งั หมดเปน๔ ภมู ิ ไดกลา วไวในสตู รน้ี ดวยประการฉะน.้ี จบอรรถกถาจกั กวตั ตสิ ตู รท่ี ๒ ๓. มารสตู ร * โพชฌงคเปนมรรคาเครอื่ งยา่ํ ยีมาร [๕๐๗] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย เราจักแสดงมรรคาเปน เครื่องยํา่ ยมี ารและเสนามารแกเ ธอท้งั หลาย เธอท้งั หลายจงฟงมรรคานั้น. ก็มรรคาเปนเคร่ืองยํา่ ยีมารและเสนามารเปน ไฉน. คอื โพชฌงค ๗. โพชฌงค ๗ เปนไฉนคือ สติสมั โพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค. ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย น้เี ปนมรรคาเครอ่ื งยาํ่ ยีมาร และเสนามาร. จบมารสูตรที่ ๓* สตู รที่ ๓ ไมม อี รรถกถาแก.
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 268 ๔. ทปุ ปญญสตู ร เหตทุ เ่ี รยี กวา คนโงค นใบ [๕๐๘] สาวตั ถนี ทิ าน ครง้ั นั้นแล ภิกษุรูปหนงึ่ เขา ไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจา ถึงทป่ี ระทับ ฯลฯ คร้นั แลว ไดทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพ ระองคผเู จรญิ ที่เรียกวา คนโง คนใบ คนโง คนใบ ดังน้ี ดว ยเหตุเพียงเทาไรหนอ จงึ จะเรียกวา คนโง คนใบ. [๕๐๙] พระผูมีพระภาคเจาตรัสตอบวา ดกู อนภิกษุ ท่เี รยี กวา คนโง คนใบ กเ็ พราะโพชฌงค ๗ อันตนไมเ จริญแลว ไมกระทําใหม ากแลวโพชฌงค ๗ เปน ไฉน. คือ สตสิ ัมโพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสัมโพชฌงคดกู อ นภิกษุ ทเ่ี รียกวา คนโง คนใบ ก็เพราะโพชฌงค ๗ เหลานีแ้ ล อันตนไมเ จริญแลว ไมกระทําใหมากแลว . จบทุปปญญสูตรที่ ๔ อรรถกถาทปุ ปญญสูตร พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในทปุ ปญ ญสูตรที่ ๔. บทวา เอฬมโู ค ความวา คนเม่อื ไมสามารถเพอื่ จะเปลงวาจาทางปากได เปนคนใบพูดไมได เพราะโทษทง้ั หลาย. คาํ ท่ีเหลือในบททง้ั ปวง งา ยทงั้ นน้ั แล. จบอรรถกถาทปุ ปญญสูตรท่ี ๔
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 269 ๕. ปญญวาสูตร * ดวยเหตเุ พียงเทา ไรจงึ เรยี กวาคนมีปญ ญา [๕๑๐] สาวตั ถีนิทาน. ภิ. ขา แตพ ระองคผ ูเ จรญิ ที่เรียกวา คนมีปญ ญา ไมใชคนใบ คนมีปญญา ไมใชคนใบ ดังน้ี ดวยเหตเุ พียงเทาไรหนอจงึ จะเรยี กวา คนมีปญญา ไมใชคนใบ. [๕๑๑] พ. ดูกอ นภกิ ษุ ทเี่ รียกวา คนมปี ญ ญา ไมใ ชคนใบ ก็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว. โพชฌงค ๗ เปน ไฉนคอื สติสัมโพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค. ดกู อ นภกิ ษุ ทเ่ี รียกวา คนมีปญญา ไมใชค นใบ กเ็ พราะโพชฌงค ๗ เหลา น้ีแล อนั ตนเจริญแลวกระทาํ ใหมากแลว. จบปญญวาสตู รที่ ๕ ๖. ทลิททสตู ร ดว ยเหตเุ พียงเทาไรจงึ เรยี กวา คนจน [๕๑๒] สาวัตถีนทิ าน. ภิ. ขา แตพระองคผเู จริญ ทเ่ี รยี กวา คนจน คนจน ดงั น้ี ดวยเหตุเพียงเทา ไรหนอ จึงเรยี กวา คนจน. [๕๑๓] พ. ดูกอนภิกษุ ท่ีเรยี กวา คนจน กเ็ พราะโพชฌงค ๗อนั ตนไมเจรญิ แลว ไมกระทําใหมากแลว . โพชฌงค ๗ เปนไฉน. คือ สติ-สัมโพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสัมโพชฌงค ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ท่เี รยี กวา คนจน ก็เพราะโพชฌงค เหลา น้ีแล อันตนไมเจรญิ แลว ไมกระทาํ ใหม ากแลว. จบทลทิ ทสตู รท่ี ๖* ต้ังแตสูตรที่ ๕ ถึงสตู รท่ี ๑๐ ไมมอี รรถกถาแก.
พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 270 ๗. อทลิททสูตร ดวยเหตเุ พยี งเทาไรจึงเรยี กวา คนไมจน [๕๑๔] สาวตั ถนี ิทาน. ภ.ิ ขาแตพระองคผเู จริญ ท่ีเรียกวา คนไมจ น คนไมจน ดังน้ี ดว ยเหตุเพยี งเทาไรหนอ จงึ เรยี กวา คนไมจ น. [๕๑๕] พ. ดูกอ นภิกษุ ท่ีเรยี กวา คนไมจ น กเ็ พราะโพชฌงค ๗อนั ตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว โพชฌงค เปนไฉน คือ สติสมั -โพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชณงค. ดกู อนภิกษุ ทเ่ี รยี กวา คนไมจ น ก็เพราะโพชฌงค ๗ เหลาน้แี ล อันตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว. จบอทลทิ ทสตู รท่ี ๗ ๘. อาทิจจสตู ร ความเปนผมู มี ติ รดีเปน เบ้ืองตน แหงโพชฌงค ๗ [๕๐๖] สาวตั ถีนิทาน. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เมอ่ื พระอาทติ ยจะข้นึ ส่ิงทีข่ ้นึ กอน สิง่ ท่ีเปนนิมติ มากอ น คือ แสงเงนิ แสงทอง ฉันใด สิงทีเ่ ปน เบอ้ื งตนเปนนมิ ิตมากอน เพื่อความบังเกดิ แหงโพชฌงค ๗ แกภกิ ษุ คอื ความเปน ผมู ีมติ รดี ฉันนัน้ เหมอื นกัน ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย อันภกิ ษุผมู มี ิตรดี พึงหวงัขอ น้ไี ดวา จกั เจริญโพชฌงค็ ๗ สูจกั กระทาํ ใหมากซงึ่ โพชฌงค ๗. [๕๐๗] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย กภ็ กิ ษผุ ูมมี ติ รดี ยอ มเจรญิ โพชฌงค๗ ยอมกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยา งไรเลา . ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอ มเจริญสตสิ มั โพชฌงค อันอาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค อนั อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผมู ีมิตรดี ยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหม ากซ่งึ โพชฌงค ๗ อยา งนแ้ี ล. จบอาทจิ จสตู รที่ ๘
พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 271 ๙. ปทุมองั คสูตร โยนีโสมนสิการเปน ปจจยั แหงโพชฌงค ๗ [๕๑๘] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ทาํ ปจ จยั ภายในใหเ ปนเหตแุ ลว เรายังไมเล็งเห็นเหตุอืน่ อนั หนงึ่ เพื่อความบังเกิดแหงโพชฌงค ๗ เหมอื นโยน-ิโสมนสกิ ารเลย. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย อันภิกษุผถู ึงพรอมดวยโยนิโสมนสกิ ารพงึ หวังขอนีไ้ ดวา จักเจรญิ โพชฌงค ๗ จกั กระทําใหมากซงึ่ โพชฌงค ๗. [๕๑๙] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ก็ภิกษุผูถึงพรอมดว ยโยนิโสมนสกิ ารยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอมกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยางไรเลา . ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอมเจริญสตสิ มั โพชฌงคอันอาศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌงค อันอาศยัวเิ วก, อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในสละ ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลายภิกษุผถู ึงพรอ มดว ยโยนิโสมนสกิ าร ยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหม ากซึง่ โพชฌงค ๗ อยางน้แี ล. จบปฐมองั คสตู รที่ ๙ ๑๐. ทุติยอังคสูตร ความเปน ผูมมี ิตรดเี ปนปจ จยั แหงโพชฌงค [๕๒๐] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ทาํ ปจจัยภายนอกใหเ ปน เหตแุ ลวเรายังไมเล็งเหน็ เหตุอื่นแมอ ันหนึง่ เพื่อความบังเกดิ ขนึ้ แหงโพชฌงค ๗ เหมอื น
พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 272ความเปนผูมมี ติ รดีเลย. ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย อันภกิ ษผุ ูม มี ติ รดี พึงหวงั ขอมไิ ดว า จักเจรญิ โพชฌงค ๗ จกั กระทําใหมากซ่ึงโพชฌงค ๗. [๕๒๑] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กภ็ กิ ษุผูมมี ิตรดี ยอมเจรญิ โพชฌงค๗ ยอมกระทาํ ใหม ากซ่งึ โพชฌงค ๗ อยางไรเลา . ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสติสมั โพชฌงค อนั อาศัยวเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ อเุ บกขาสัมโพชฌงค อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะอาศยั นโิ รธ นอ มไปในการสละ ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษผุ ูม มี ติ รดี ยอ มเจริญโพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยางนี้แล. จบทุติยอังคสูตรที่ ๑๐ จบจกั กวัตติวรรคท่ี ๕ รวมพระสูตรทม่ี ีในวรรคท่ี ๕ ๑. วิธาสูตร ๒. จกั กวัตติสตู ร ๓. มารสูตร ๔.ทปุ ปญญสตู ร๕. ปญญวาสูตร ๖. ทลิททสูตร ๗. อทลิททสตู ร ๘. อาทิจจสตู ร ๙. ปฐม-องั คสตู ร ๑๐. ทุติยองคั สูตร พรอมท้งั อรรถกถา.
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 273 หมวด ๖ แหงโพชฌงคท ี่ ๖ ๑. อาหารสูตร อาหารของนิวรณ [๕๒๒] สาวัตถนี ิทาน. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เราจักแสดงอาหารและสิง่ ทม่ี ิใชอาหาร ของนิวรณ ๕ และโพชฌงค ๗ แกเ ธอทั้งหลาย เธอทัง้ หลายจงฟงเรอ่ื งนัน้ . [๕๒๓] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหกามฉนั ทะทีย่ ังไมเ กิด เกดิ ข้ึน หรือท่ีเกิดแลว ใหเจริญไพบูลยย ่งิ ข้ึน. ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ศภุ นมิ ติ มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ อโยนิโสมนสิการในศุภนมิ ิตนั้นนีเ้ ปนอาหารใหกามฉนั ทะที่ยังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเจริญไพบูลยย่งิ ขึน้ . [๕๒๔] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหพยาบาททย่ี งั ไมเ กิด เกิดขึ้น หรือทีเ่ กดิ แลว ใหเจรญิ ไพบูลยยงิ่ ขนึ้ . ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ปฏิฆนิมิตมอี ยู การกระทําใหมากซ่ึงอโยนโิ สมนสิการในปฏฆิ นมิ ตินนั้ นี้เปน อาหารใหพยาบาทท่ียงั ไมเ กิด เกดิ ข้นึ หรือท่ีเกิดแลว ใหเ จริญไพบูลยย ิง่ ข้นึ . [๕๒๕] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหถ ีนมทิ ธะที่ยังไมเกดิ เกดิ ขนึ้ หรือท่เี กดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบลู ยยิ่งข้ึน. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ความไมย ินดี ความเกยี จคราน ความบดิ ขีเ้ กยี จ ความเมาอาหารความท่ใี จหดหูมีอยู การกระทําใหมากซ่งึ อโยนโิ สมนสกิ ารในส่ิงเหลานั้น
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 274นีเ้ ปน อาหารใหถ นี มิทธะท่ยี งั ไมเ กิดเกิดขึน้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจรญิ ไพบูลยยิ่งขึน้ . [๕๒๖] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหอ ทุ ธัจจ-กกุ กุจจะที่ยงั ไมเ กิดเกดิ ขน้ึ หรอื ท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบูลยยิ่งข้นึ . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ความไมสงบใจมีอยู การกระทําใหม ากซ่งึ อโยนโิ สมนสกิ ารในความไมส งบใจน้นั นเ้ี ปน อาหารใหอทุ ธจั จะกกุ กุจจะท่ยี ังไมเกิด เกิดข้นึหรือท่ีเกดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบูลยยงิ่ ขึ้น. [๕๒๗] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหว จิ กิ จิ ฉาที่ยังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจริญไพบลู ยย งิ ข้ึน ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลายธรรมทง้ั หลายอันเปน ทตี่ ั้งแหง วจิ กิ จิ ฉามอี ยู การกระทําใหมากซ่ึงอโยนโิ สมน-สิการในธรรมเหลา น้ัน นีเ้ ปน อาหารใหว ิจกิ ิจฉาท่ยี ังไมเ กดิ เกดิ ข้ึน หรือที่เกดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบลู ยย่ิงขึน้ . อาหารของโพชฌงค [๕๒๘] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหส ตสิ ัม-โพชฌงคท ยี่ งั ไมเกดิ เกดิ ขึน้ หรือทเ่ี กดิ แลว ใหเ จรญิ บริบรู ณ. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเปน ท่ีตง้ั แหงสตสิ ัมโพชฌงคม อี ยู การกระทาํ ใหม ากซ่ึงโยนิโสมนสิการในธรรมเหลา น้นั น้ีเปนอาหารใหสติสัมโพชฌงคท่ียงั ไมเ กิดเกิดข้นึ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญบริบรู ณ. [๕๒๙] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหธรรมวิจย-สัมโพชฌงคท ย่ี ังไมเกิด เกิดขน้ึ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ธรรมท้ังหลายที่เปนกศุ ลและอกศุ ล ที่มีโทษและไมมีโทษที่เลวและประณตี ที่เปนสวนขา งดําและขางขาว มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ
พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 275โยนโิ สมนสิการในธรรมเหลา นั้น นีเ้ ปน อาหารใหธ รรมวจิ ยสมั โพชฌงคท ยี่ งัไมเ กิด เกดิ ขนึ้ หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๓๐] ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา เปน อาหารใหวิรยิ -สัมโพชฌงคท่ยี ังไมเ กิด เกิดขึ้น หรือทีเ่ กดิ แลว ใหเจริญบริบูรณ. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบน่ั มอี ยู การกระทาํใหม ากซงึ่ โยนิโสมนสิการในสิง่ เหลา นน้ั น้เี ปน อาหารใหว ิรยิ สัมโพชฌงคท่ียังไมเกิด เกิดข้ึน หรอื ทเ่ี กดิ แลว ใหเ จรญิ บริบูรณ. [๕๓๑] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหปต ิสัมโพชฌงคทยี่ งั ไมเ กดิ เกิดข้ึน หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจรญิ บรบิ รู ณ. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลายธรรมทัง้ หลายเปน ท่ีตั้งแหง ปติสมั โพชฌงค มีอยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ โยนิ-โสมนสกิ ารในธรรมเหลา นัน้ นเ้ี ปน อาหารใหปต สิ มั โพชฌงคท ่ียังไมเกิดเกิดข้นึ หรอื ท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๓๒] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา เปน อาหารใหปสสทั ธ-ิสัมโพชฌงคท ีย่ ังไมเ กิด เกิดขึ้น หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ. ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซ่ึงโยนโิ สมนสกิ ารในความสงบนี้ นเี้ ปน อาหารใหปส สทั ธิสัมโพชฌงคท ่ียังไมเกดิเกิดข้นึ หรือท่ีเกิดแลว ใหเจรญิ บริบรู ณ. [๕๓๓] ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหสมาธิสมั -โพชฌงคท่ียังไมเ กิด เกิดข้นึ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดูกอนภิกษุท้งั หลาย สมาธนิ ิมิต อัพยัคคนิมติ (นิมติ แหงจติ อันมอี ารมณไมฟุงซาน)มีอยู การกระทาํ ใหม ากซึ่งโยนโิ สมนสกิ ารในนมิ ติ นั้น นเี้ ปน อาหารใหสมาธิสมั โพชฌงคที่ยังไมเกดิ เกิดขึ้น หรือทเี่ กิดแลว ใหเ จรญิ บริบูรณ
พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 276 [๕๓๔] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหอ เุ บกขา-สมั โพชฌงคท ย่ี ิ่งไมเกิด เกิดขน้ึ หรอื ทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ธรรมทงั้ หลายเปน ทีต่ ง้ั แหงอุเบกขาสมั โพชฌงค มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซงึ่ โยนิโสมนสิการในธรรมเหลา นัน้ นเี้ ปน อาหารใหอ เุ บกขา-สมั โพชฌงคท ่ียังไมเกิด เกดิ ข้ึน หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. มิใชอ าหารของนวิ รณ [๕๓๕] ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหกามฉันทะที่ยังไมเ กิด เกดิ ขน้ึ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบูลยย่งิ ขึน้ . ดกู อนภกิ ษุท้งั หลายอศุภนมิ ติ มอี ยู การกระทําใหมากซง่ึ โยนิโสมนสิการในอศุภนมิ ิตน้ัน นไ้ี มเ ปนอาหารใหก ามฉนั ทะท่ยี งั ไมเ กิด เกิดขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเจริญไพบูลยยงิ่ ข้นึ . [๕๓๖] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหพยาบาทท่ยี ังไมเกิด เกิดขนึ้ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบลู ยยิ่งขนึ้ . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลายเจโตวมิ ตุ ติมีอยู การกระทําใหม ากซึง่ โยนโิ สมนสิการในเจโตวิมุตตนิ ้ัน นไี้ มเปนอาหารใหพยาบาททย่ี งั ไมเ กิด เกดิ ขนึ้ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญไพบูลยย่งิ ข้ึน. [๕๓๗] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหถนี มทิ ธะท่ยี งั ไมเ กดิ เกดิ ข้ึน หรือทเี่ กิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยยิง่ ขึ้น. ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลายความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบัน่ มีอยู การกระทาํ ใหมากซงึ่ โยน-ิโสมนสิการในส่ิงเหลานนั้ นไ้ี มเปน อาหารใหถนี มทิ ธะท่ยี งั ไมเกดิ เกดิ ข้นึหรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญไพบูลยย่ิงขึน้ . [๕๓๘] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหอทุ ธัจจ-กกุ กจุ จะทยี่ ังไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยย ่งิ ขึน้ . ดกู อน
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 277ภิกษุทั้งหลาย ความสงบใจมีอยู การกระทําใหมากซ่งึ โยนิโสมนสกิ ารในความสงบใจนั้น นีไ้ มเปน อาหารใหอ ุทธัจจกกุ กุจจะท่ยี งั ไมเกดิ เกิดขน้ึ หรือที่เกิดแลว ใหเ จรญิ ไพบูลยย งิ่ ข้ึน. [๕๓๙] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหว ิจกิ ิจฉาทยี่ งั ไมเกิด เกดิ ข้ึน หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยย ่งิ ข้ึน. ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรมท้งั หลายท่เี ปนกศุ ลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและไมมีโทษ ท่เี ลวและประณีต ท่ีเปนสวนขา งดําและขางขาว มีอยู การกระทาํ ใหมากซึ่งโยน-ิโสมนสกิ ารในธรรมเหลา น้ัน นี้ไมเ ปน อาหารใหวิจกิ ิจฉาทย่ี ังไมเ กิด เกดิ ขนึ้หรอื ท่เี กิดแลว ใหเจริญไพบลู ยยง่ิ ข้นึ . มิใชอ าหารของโพชฌงค [๕๕๐] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหส ตสิ ัม-โพชฌงคทยี่ งั ไมเกดิ เกิดขน้ึ หรอื ท่เี กดิ แลว ใหเจรญิ บริบูรณ. ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ธรรมทัง้ หลายเปน ท่ตี ง้ั แหงสตสิ ัมโพชฌงค มอี ยู การไมก ระทําใหม ากซง่ึ มนสกิ ารในธรรมเหลา นั้น นี้ไมเ ปน อาหารใหส ติสมั โพชฌงคท ่ยี ังไมเ กดิ เกดิ ข้นึ หรือท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๔๑] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหธ รรมวจิ ย-สัมโพชฌงคท่ยี ังไมเ กิด เกิดขึน้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ธรรมท้ังหลายทีเ่ ปนกุศลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและไมม โี ทษทเ่ี ลวและประณีต ท่ีเปน สวนขางดําและขา งขาว มีอยู การไมกระทาํ ใหมากซึ่งมนสิการในธรรมเหลาน้นั น้ีไมเ ปนอาหารใหธ รรมวจิ ยสัมโพชฌงคท ี่ยง่ิไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ที่เกิดแลว ใหเ จริญบรบิ รู ณ.
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 278 [๕๔๒] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหวริ ยิ -สมั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเกดิ เกิดขนึ้ หรือที่เกดิ แลว ใหเจริญบรบิ รู ณ. ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ความริเร่มิ ความพยายาม ความบากบนั่ มีอยู การไมกระทาํใหมากซึ่งมนสกิ ารในสิง่ เหลา นนั้ นไ้ี มเปน อาหารใหว ริ ยิ สัมโพชฌงคทย่ี งั ไมเกดิเกิดขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๔๓] ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปน อาหารใหปตสิ มั -โพชฌงคท ่ียงั ไมเ กดิ . เกดิ ข้นึ หรือทีเ่ กิดแลว ใหเจรญิ บริบูรณ ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ธรรมทั้งหลายเปน ท่ตี ั้งแหงปต ิสัมโพชฌงค มอี ยู การไมกระทาํใหม ากซึ่งมนสิการในธรรมเหลานนั้ นีไ้ มเ ปน อาหารใหปตสิ ัมโพชฌงคที่ยงัไมเกดิ เกดิ ขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเ จริญบริบรู ณ. [๕๔๔] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหปสสัทธิ-สัมโพชฌงคที่ยงั ไมเกดิ เกิดขึ้น หรือทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความสงบกาย ความสงบจติ มีอยู การไมก ระทําใหมากซึง่มนสิการในความสงบนั้น น้ีไมเ ปนอาหารใหปส สทั ธิสัมโพชฌงคท ี่ยังไมเ กิดเกิดขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเจรญิ บริบรู ณ. [๕๔๕] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหสมาธ-ิสัมโพชฌงคท่ยี งั ไมเ กดิ เกดิ ขึ้น หรือท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบูรณ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย สมาธนิ มิ ิต อัพยัคคนิมติ มอี ยู การไมก ระทาํ ใหม ากซ่งึมนสิการในนิมิตนนั้ นไี้ มเปนอาหารใหส มาธิสมั โพชฌงคท่ียงั ไมเ กดิ เกิดขน้ึหรือท่ีเกิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ.
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 279 [๕๔๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเ ปน อาหารใหอุเบกขา-สัมโพชฌงคท ีย่ ังไมเกดิ เกิดข้ึน หรอื ที่เกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเปนท่ีตง้ั แหง อเุ บกขาสัมโพชฌงค มอี ยู การไมกระทาํ ใหมากซง่ึ มนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นไี้ มเปน อาหารใหอเุ บกขาสัม-โพชฌงคท ยี่ ังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ. จบอาหารสูตรท่ี ๑
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 280 อรรถกถาหมวดที่ ๖ แหง โพชฌงค* อรรถกถาอาหารสูตร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอาหารสตู รท่ี ๑ แหง วรรคที่ ๖ ในบทวา อยมาหาโร อนุปปฺ นฺนสสฺ วา สตสิ มโฺ พชฺฌงฺคสสฺอปุ ปฺ าทาย เปนตน น้ีเปน ความตางกันจากนยั กอ น. ธรรมเหลา น้นั มีประการอันกลาวแลว เพือ่ ความเกิดขึ้นแหง สตสิ ัมโพชฌงคเปน ตน อยางเดียวเทานน้ั ก็หามิได ยอ มเปนปจจยั เพอื่ ความเจริญเตม็ ทีแ่ หงโพชฌงคท ั้งหลายท่ีเกดิ แลว ดว ย สวนธรรมแมเ หลาอ่ืน พงึ ทราบอยา งนนั้ แล. สว นธรรมอืน่ อีก ๔ ประการ ยอ มเปน ไปเพื่อความเกดิ ขนึ้ แหง สติสัม-โพชฌงค คอื สติสมั ปชัญญะ ๑ การหลกี เวนคนลืมสติ ๑ ความคบบุคคลมีสติตั้งมั่น ๑ ความนอมจิตไปในธรรมน้นั ๑. ก็สตสิ มั โพชฌงค ยอมเกดิ ข้ึนในฐานะ ๗ มกี ารกา วไปเปนตน ดว ยสตสิ ัมปชญั ญะ ดว ยการหลีกเวนคนลมื สติ เชนกาทิ้งเหย่อื ดวยคบคนมสี ติตงั้ ม่ัน เชน พระติสสทัตตเถระและพระอภยั เถระเปน ตน และดวยมจี ิตนอมไปโนม ไป โอนไป เพ่อื ใหเ กิดขน้ึ ในอิรยิ าบถมกี ารยืนและการน่งั เปน ตน สว นสตสิ ัมโพชฌงคน ั้น อนั เกิดขึ้นดวยเหตุ ๔ ประการ อยา งน้แี ลว ยอมเจรญิเตม็ ทดี่ วยอรหตั มรรค. ธรรม ๗ ประการ ยอ มเปนไปเพอื่ ความเกิดข้นึ แหงธมั มวจิ ยสัม-โพชฌงค คือ ความเปนผไู ตถาม ๑ ความทําวัตถใุ หส ละสลวย ๑ การปรับอนิ ทรียใหเสมอกัน ๑ การหลีกเวนบุคคลทรามปญ ญา ๑ การคบหาบคุ คลมี*อรรถกถาใชว า วรรคที่ ๖.
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 281ปญ ญา ๑ การพิจารณาปาฐะท่ตี อ งใชปญ ญาอนั ลึก ๑ ความนอ มจิตไปในธัมม-วจิ ยะน้ัน ๑. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ปริปุจุฉกตา ไดแ ก ความเปนผมู ากดวยการไตถามถงึ ท่ีอาศยั ของอรรถแหงขนั ธ ธาตุ อายตนะ อินทรีย พละโพชฌงค องคม รรค ฌาน สมถะและวปิ ส สนา. บทวา วตถฺ ุวสิ ทกิรยิ าไดแก การทําวตั ถุท้งั หลายภายในและภายนอกใหส ดใส. ก็เมอื่ ใด ผม เล็บขนของพระโยคาวจรนัน้ ยาว หรอื วา รา งกายมีโทษมาก และเปอ นดว ยเหง่อื ไคลเมอ่ื นน้ั ช่ือวา วัตถภุ ายในไมสดใสคอื ไมห มดจด. ก็เมื่อใด จีวรคร่ําคราเปอ นเปรอะ เหมน็ สาบ หรือวา เสนาสนะรกเรื้อ เมอื่ นั้นชอ่ื วา วัตถุภายนอกไมส ดใส คอื ไมส ะอาด. เพราะฉะนัน้ ควรทาํ วตั ถภุ ายในใหส ดใสดว ยการตัดผมเปน ตน ดวยการทาํ ใหรา งการเบาดว ยการถายยาทั้งเบ้อื งบนและเบอ้ื งลาง และดวยการถูและอาบนํา้ . ควรทาํ วตั ถุภายนอกใหส ดใส ดว ยทาํสูจกิ รรม การซัก และของใชเ ปน ตน. แมญ าณในจติ และเจตสิกทีเ่ กดิ ขนึ้ ในวัตถภุ ายในและภายนอกนน้ั อันไมส ดใส กไ็ มบ รสิ ทุ ธไิ์ ปดว ย ดจุ แสงของเปลวประทีปท่อี าศยั โคม ไสแ ละน้ํามนั ไมส ะอาดเกิดขึ้น กไ็ มสะอาดไปดวยฉะน้นั . เพราะเหตุนน้ั ทา นจึงกลาววา การทาํ วตั ถใุ หส ละสลวย ยอมเปน ไปเพอ่ื ความเกดิ ขนึ้ แหงธัมมวิจยสัมโพชฌงค ดังน.้ี การทาํ อนิ ทรยี ท ัง้ หลายมศี รัทธาเปน ตน ใหเ สมอกัน ชือ่ วา การปรับอินทรยี ใ หเสมอกัน. เพราะวา ถาสัทธินทรยี ข องเธอแกก ลา อนิ ทรยี นอกน้ีออ น. ทนี ั้น วิรยิ นิ ทรยี จะไมอาจทาํ ปค คหกิจ (กจิ คือการยกจติ ไว) สตนิ -ทรยี จะไมอาจทําอปุ ฏ ฐานกิจ (กิจคอื การอุปการะจติ ) สมาธินทรียจะไมอาจทาํอวิกเขปกจิ (กิจคอื ทําจติ ไมใ หฟ ุงซา น) ปญ ญนิ ทรียจะไมอาจทาํ ทัสสนกิจ(กจิ คือการเห็นตามเปนจริง). เพราะฉะน้นั สทั ธนิ ทรียอนั กลา น้นั ตอ งทาํ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 282ใหล ดลงเสียดวยพิจารณาสภาวะแหง ธรรม ดว ยไมทาํ ไวในใจ เหมอื นเมอื่ เขามนสิการ สัทธนิ ทรยี ทีม่ ีกําลังนัน้ . กใ็ นขอ นม้ี ีเรือ่ งพระวักกลิเถระเปน ตัวอยาง.แตถ าวริ ิยินทรียก ลา ทีนน้ั สัทธินทรยี กจ็ ะไมอ าจทําอธโิ มกขกิจได (กจิ คือการนอ มใจเชื่อ). อนิ ทรียน อกนี้ ก็จะไมอ าจทํากิจนอกน้ี แตล ะขอ ได.เพราะฉะนน้ั วิริยนิ ทรยี อ นั กลานัน้ ตอ งทาํ ใหลดลงดว ยเจรญิ ปสสทั ธสิ ัม-โพชฌงคเ ปนตน . แมใ นขอนนั้ กพ็ ึงแสดงเร่อื งพระโสณเถระ. ความท่ีเม่ือความกลา แหงอนิ ทรยี อ ันหนึ่งมอี ยู อินทรียนอกน้ี จะไมสามารถในกจิ ของตน ๆได พงึ ทราบในอนิ ทรียท ี่เหลอื อยา งน้ีแล. ก็โดยเฉพาะในอินทรยี ๕ น้ี บณั ฑิตทั้งหลาย สรรเสริญอยูซึ่งความเสมอกันแหงสัทธากบั ปญ ญาและสมาธกิ บั วริ ยิ ะ. เพราะคนมีสัทธาแกก ลาแตปญญาออน จะเปนคนเชื่องา ย เลอ่ื มใสในส่ิงอนั ไมเปนวัตถ.ุ สวนคนมีปญญากลา แตส ัทธาออ น จะตกไปขา งอวดดี จะเปน คนแกไขไมไ ด เหมอื นโรคมราเกดิ แตย า รกั ษาไมไ ดฉะนั้น ว่งิ พลานไปดวยคดิ วา จิตเปน กุศลเทานั้นกพ็ อ ดงั นีแ้ ลว ไมทําบญุ มที านเปนตน ยอ มเกดิ ในนรก. ตอ ธรรมทง้ั ๒เสมอกนั บคุ คลจึงจะเล่ือมใสในวตั ถแุ ท. โกสชั ชะยอ มครอบงําคนมีสมาธิกลาแตว ริ ยิ ะออ น เพราะสมาธเิ ปน ฝายโกสัชชะ. อุทธจั จะยอ มครอบงาํ คนมีวริ ิยะกลา แตสมาธอิ อ น เพราะวริ ยิ ะเปน ฝายอุทธัจจะ แตส มาธิที่มวี ริ ิยะประกอบเขา ดวยกันแลว จะไมตกไปในโกสชั ชะ. วริ ิยะทม่ี สี มาธปิ ระกอบพรอ มกันแลวจะไมตกไปในอทุ ธจั จะ เพราะฉะนน้ั อนิ ทรยี ทั้ง ๒ นัน้ ตอ งทําใหเ สมอกัน.ดวยวา อปั ปนาจะมไี ด ก็เพราะความเสมอกนั แหง อนิ ทรียท้ัง ๒. อีกอยางหนง่ึ สัทธาแมม ีกาํ ลงั กค็ วรสาํ หรับสมาธิกมั มกิ ะ (ผบู ําเพญ็สมถกัมมัฏฐาน). เธอเมือ่ สัทธามกี ําลงั อยางนี้ เชอื่ ดิ่งลงไปจักบรรลอุ ปั ปนาได. ในสมาธแิ ละปญญาเลา เอกคั คตา (สมาธิ) มีกาํ ลังก็ควร สาํ หรับ
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 283สมาธกิ ัมมกิ ะ ดวยเมอ่ื เอกคั คตามกี ําลงั อยา งนั้น เธอจะบรรลุอัปปนาได.ปญ ญามีกาํ ลงั ยอ มควรสาํ หรับวิปส สนากัมมกิ ะ (ผูบ ําเพญ็ วิปส สนากัมมัฎฐาน).ดว ยเม่อื ปญ ญามกี ําลงั อยางน้นั เธอยอ มจะบรรลุลักขณปฏิเวธ (เห็นแจง ไตร-ลักษณ) ได. แตแ มเพราะสมาธิและปญญาท้งั ๒ เสมอกนั อัปปนาก็คงมไี ด. สวนสติ มีกําลงั ในทท่ี ั้งปวง จึงจะควร เพราะสติรักษาจิตไวแตความตกไปในอทุ ธจั จะ เพราะอาํ นาจแหง สทั ธา วริ ิยะ และปญญาอันเปนฝายอุทธจั จะและรกั ษาจิตไวแ ตความตกไปในโกสชั ชะ เพราะสมาธเิ ปน ฝายโกสัชชะ.เพราะฉะน้นั สตนิ ้นั จงึ จําปรารถนาในทที่ งั้ ปวง ดุจเกลือสะตเุ ปนส่ิงท่พี ึงปรารถนาในกบั ขาวทั้งปวง และดุจสรรพกัมมกิ อาํ มาตย (ผรู อบรูในการงานทงั้ ปวง) เปนผพู ึงปรารถนาในสรรพราชกจิ ฉะนน้ั . เพราะฉะนัน้ ทานจึงกลา ววา ก็แลสติ พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา เปนคณุ ชาติจําปรารถนาในที่ทงั้ ปวง. ถามวา เพราะเหตไุ ร. ตอบวา เพราะจิตมสี ติเปนที่พ่ึงอาศยั และสติมกี ารรกั ษาเอาไวเปน เคร่อื งปรากฏ การยกและขมจิตเวนสตเิ สยี หามไี ดไ มดงั น.ี้ การหลีกเวนไกลบุคคลทรามปญญา ผไู มห ย่งั ลงในความตา งมขี ันธเปน ตน ชอ่ื วา การหลกี เวนบุคคลทรามปญ ญา. การคบหาบุคคลประกอบดว ยปญญาเห็นความเกดิ และความเสื่อมกําหนดได ๕๐ ลักษณะ ขอ วาการคบหาบุคคลมีปญ ญา. การพิจารณาประเภทปาฐะ ดว ยปญญาอันลกึ เปนไปในขนั ธเ ปนตน อันละเอยี ด ชอื่ วา การพจิ ารณาปาฐะท่ตี อ งใชปญญาอันลกึ . ความท่ีจติ นอ มไป โนม ไป โอนไป ในอริ ยิ าบถมกี ารยนื และการนง่ัเปน ตน เพอ่ื ใหเกิดธมั มวจิ ยสัมโพชฌงคข นึ้ ชือ่ วา ความนอมจติ ไปในธัมมวจิ ยะนนั้ . กธ็ มั มวจิ ยสัมโพชฌงคน ั้น ฉนั เกดิ ข้นึ อยางนแี้ ลว ยอมเจริญเตม็ ที่ได ดว ยอรหตั มรรค.
พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 284 ธรรม ๑๑ ประการ ยอ มเปน ไปเพ่อื ความเกดิ ข้นึ แหง วริ ยิ สมั โพชฌงคคือ ความพจิ ารณาเหน็ ภัยในอบาย ๑ ความเปนผปู กติเหน็ อานิสงส ๑ ความพิจารณาเห็นทางดาํ เนิน ๑ ความเคารพในการเทีย่ วบณิ ฑบาต ๑ ความพิจารณาเห็นความเปน ใหญแ หงมฤดก ๑ ความพจิ ารณาเห็นความเปน ใหญแ หงพระศาสดา ๑ ความพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงชาติ ๑ ความพิจารณาเห็นความเปนใหญแหง สพรหมจารี ๑ ความหลกี เวน บคุ คลเกยี จคราน ๑ ความคบหาบุคคลปรารภความเพยี ร ๑ ความนอมใจไปในวิรยิ ะน้นั ๑. ในบทเหลา นั้น เม่อื คนแมพ ิจารณาเหน็ ซง่ึ ภัยในอบายอยางนีว้ า ใคร ๆกไ็ มอาจเพ่ือใหว ิรยิ สัมโพชฌงคเกิดขนึ้ ได ในเวลาเสวยทุกขใ หญ จําเดิมแตร บัเครอ่ื งจองจํา ๕ อยา ง ในนรกก็ดี ในเวลาที่ถกู จับดวยแหและไซดักปลาเปนตน ในกาํ เนิดดริ ัจฉานก็ดี ในเวลาทเ่ี ขาท่มิ แทงดวยเคร่อื งประหารมีปฏักตอ นไปเปน ตน นําเกวยี นไปเปนตน ก็ดี ในเวลาเดือดรอนดว ยความหวิ กระหายในปต ตวิ ิสยั ถึงหลายพนั ป ถงึ พทุ ธนั ดรหน่ึงก็ดี ในเวลาเสวยทุกขเกดิ แตล มและแดดเปน ตน เพราะอัตภาพมเี พยี งหนงั หมุ กระดกู ขนาด ๖๐ ศอก และ๘๐ ศอก ในกาลกัญชกิ อสรู กด็ ี ดกู อนภิกษุ น้แี ลเปนเวลาของทาน ดงั นี้วิรยิ สัมโพชฌงคก ย็ อมเกิดขึน้ . เมอื่ มีปกตเิ ห็นอานสิ งสอยางน้วี า คนเกยี จครานหาอาจไดโลกตุ ร-ธรรม ๙ ไม คนปรารภความเพยี รเทานัน้ อาจได. นี้เปน อานิสงสแ หง ความเพยี ร ดงั นี้ วิรยิ สัมโพชฌงคก ็ยอมเกิดข้ึน เมอ่ื พิจารณาเห็นทางดาํ เนนิอยางนวี้ า เราควรดาํ เนินตามทางที่พระพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธะ และมหาสาวกท้งั ปวงดาํ เนินไปแลว และทางน้ัน คนเกียจครา นหาอาจดําเนนิ ไปไดไมดงั น้ี วิรยิ สมั โพชฌงคกย็ อมเกิดขนึ้ .
พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 285 เม่ือพจิ ารณาเห็นซง่ึ ความเคารพในบณิ ฑบาตอยางน้ันวา คนทอี่ ุปฏ ฐากทานดว ยบิณฑบาตเปน ตนเหลา นี้ จะเปนญาติทาสกรรมกรของทา น กห็ ามไิ ดเลย พวกเขาเหลานน้ั ถวายบิณฑบาตเปน ตนอันประณีตดว ยคิดวา พวกเราอาศยั ทา นเลยี้ งชีพ กห็ ามไิ ด โดยทีแ่ ท กห็ วังการทาํ ของตนวามีผลใหญ จงึไดถ วาย. ถึงพระศาสดาทรงพจิ ารณาเห็นอยอู ยางน้ันวา ภิกษุน้ี บรโิ ภคปจจัยเหลา นี้แลว มรี า งกายแข็งแรงมาก จักอยสู บายดังน้ี จงึ ไมท รงอนุญาตปจ จยั แกทาน โดยท่แี ท ทรงอนญุ าตปจจยั เหลานนั้ ดวยพระดาํ ริวา ภิกษุนี้ เม่อืบรโิ ภคปจจยั เหลา นี้ จกั ทําสมณธรรมพนจากวฏั ทุกข บดั น้ี เมอื่ ทา นนน้ัเปน คนเกยี จครา น จกั ไมเ คารพกอนขาวนน้ั แตทานผูปรารภความเพยี รเทานั้น ชอื่ วา เคารพในบณิ ฑบาท วริ ยิ สมั โพชฌงคก็ยอมเกิดขึ้น เหมอื นท่ีเกดิ ขึ้นแกพ ระมหามิตตเถระ ผูพ จิ ารณาอยูซ ึ่งความเคารพในบณิ ฑบาต. ไดย นิ วา พระเถระอยปู ระจาํ ในถ้ํากสกะ มหาอบุ าสิกาคนหน่งึ ในโคจรคามของพระเถระนั้นแล ทาํ พระเถระใหเ ปน บตุ รบาํ รงุ อยู วันหนงึ่ เมอ่ื นางไปปา จึงกลาวกะธดิ าวา แม ขา วสารเกา อยใู นที่โนน นํา้ นมอยใู นท่โี นนเนยใสอยูในทีโ่ นน นาํ้ ออยอยใู นทโ่ี นน เจาจงหงุ ขา วแลวถวายพรอ มกับน้ํานมเนยใสและน้าํ ออ ยในเวลาอัยยมิตตเถระผูเปน พ่ีชายของเจา มาแลว เถดิ เจา พงึบริโภคสวนเมื่อวาน แมบรโิ ภคขา วดงั ทีส่ ุกดวยนํ้าสมแลว ดังน้ี. ธิดาจงึถามวา แมกลางวันแมจ กั กนิ อะไร. มารดาจึงกลา ววา ลกู เจา จงตมขาวยาคูเปร้ียวดวยขา วสารปนรํา ใสผ ักวางไว. พระเถระหมจีวรเสรจ็ พอนําบาตรออกไปไดยินเสียงน้นั จึงสอนตนวา ไดย ินวา มหาอบุ าสกิ าบรโิ ภคขาวตงั ดวยน้ําสม ถึงกลางวนั ก็จักบรโิ ภคขา วยาคเู ปรยี้ วใสผกั ยังบอกขาวสารเกา เปน ตน ไว เพือ่ ประโยชนแกเ จา ก็แลนางนน้ั อาศัยกรรมนั้นแลว จะหวังที่นา ส่งิ ของ ภัตร กห็ ามิไดเ ลย แต
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 286นางปรารถนาสมบตั ิ ๓ จึ งถวาย เจาจกั อาจเพ่อื ใหสมบติเหลา นั้นแกนางไดหรอื ไม คดิ วา เจายงั มีราคะ โทสะ โมหะอยู ไมอ าจรบั บณิ ฑบาตนไ้ี ดดังนี้ แลว จึงใสบ าตรไวในถุง ปลดรังดมุ กลับไปยังถาํ้ กสกะนั่นแล วางบาตรไวภายใตเ ตียง พาดจีวรไวทีร่ าวจีวร นง่ั ตง้ั ใจมน่ั ทาํ ความเพียรวา เราไมบรรลพุ ระอรหัตแลว จักไมออกไป ดงั น.ี้ ภิกษุอยูไมประมาทตลอดกาลนานเจริญวิปสสนา บรรลพุ ระอรหตั กอ นภัตเปน มหาขณี าสพ ทาํ การแยม ออกไปดุจปทมุ กําลงั แยม . เทพยดาสิงอยทู ต่ี น ไมใกลประตูถาเปลง อุทานวา ขา แตบุรษุ อาชาไนย ความนอบนอม จงมแี ดทา น ขาแตบรุ ุษผสู ูงสดุ ความ นอบนอ มจงมีแดทาน ขา แตท านนฤทกุ ข ทา นเปน ทักขิไณยบุคคล ผมู ีอาสวะสน้ิ แลว ดังนี้จึงเรยี นวา ขาแตทา นผเู จรญิ หญิงแกถ วายภิกษาแกพระอรหนั ตเ ชนทาน ผเู ขาไปบณิ ฑบาทแลว จกั พน จากทกุ ข. พระเถระลุกข้ึนเปดประตูมองดูเวลา รวู ายงั เชา อยู จงึ ถอื เอาบาตรและจีวรเขาไปยงั บา น. ฝายนางทาริกา จดั ภัตไวพรอมแลว นง่ั แลดูประตอู ยูวา พระพี่ชายของเราจักมาบดั น้ี พระพช่ี ายของราจักมาบดั น้ี . เม่ือพระเถระถึงประตูเรือน นางรับบาตร บรรจุบาตรใหเต็มดว ยบิณฑบาต นํ้านม ประกอบดว ยเนยใสและน้ําออ ย วางไวใ นมอื . พระเถระทําอนโุ มทนาวา จงมคี วามสุขเถดิ เสรจ็ แลวก็หลกี ไป. แมน างกย็ นื แลดูพระเถระนัน้ อย.ู เพราะวา ผิวพรรณของพระเถระในวันนั้นบริสุทธยิ์ งิ่ นกัอินทรยี ก ผ็ องใส สหี นา เปลงปล่งั ดังตาลสกุ หลุดจากข้ัว.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 287 มหาอุบาสกิ ากลับจากปาแลว จึงถามวา ลกู พระพี่ชายของเจามาแลวหรือ. นางบอกความเปน ไปน้นั ท้ังปวง. อุบาสิกาทราบวา กิจแหงบรรพชติของบตุ รของเราถงึ ท่สี ุดแลวในวันน้ี จึงกลาววา ลูก พระพชี่ ายของเจา ยอมยินดีในพระพุทธศาสนา จะกระสนั ก็หาไม ดงั น้.ี เมื่อพจิ ารณาเหน็ ความเปนใหญแหง มรดกวา อริยทรพั ย ๗ นเ้ี ปนมรดกอันยง่ิ ใหญข องพระศาสดา คนเกียจคราน หาอาจรับมรดกนน้ั ไดไ ม.เปรยี บเหมือนมารดาบดิ าไมรบั รองบุตรผปู ฏิบตั ผิ ดิ วา ผนู ีไ้ มใชบตุ รของเราโดยความลว งไปแหงมารดาบิดาเหลาน้นั เขาก็ไมไ ดมรดก ฉนั ใด แมค นเกยี จครา น ยอมไมไ ดม รดกคอื อริยทรพั ยน ้ี ฉนั นน้ั ผปู รารภความเพียรเทาน้นั ยอ มไดดงั น้ี วริ ยิ สัมโพชฌงคก ็ยอ มเกิดขนึ้ . แมเมื่อพจิ ารณาเหน็ ความเปนใหญแหงพระศาสดาอยางนี้วา กแ็ ลพระศาสดาของทานใหญ คือ ในกาลท่พี ระศาสดาทรงถือปฏิสนธิในพระครรภของพระมารดาของทา นก็ดี ในการเสดจ็ ทรงผนวชกด็ ี ในการตรัสรกู ็ดี ในการทรงยังธรรมจกั รใหเ ปน ไป ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย การเสดจ็ ลงจากเทวโลกและในการทรงปลงอายุสังขารกด็ ี ในกาลปรนิ ิพพานกด็ ี หมื่นโลกธาตุไดห วั่นไหวแลว คนที่บวชในศาสนาของพระศาสดาเหน็ ปานน้ี เปน ผูเกียจครา น สมควรหรอื ดังน้ี วริ ยิ สมั โพชฌงคกย็ อมเกิดข้นึ . แมเ ม่ือพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงชาตอิ ยางนว้ี า บดั นี้แมโดยชาติทา นไมใ ชม ชี าตติ ํ่า คือ ทานเกิดในวงศของพระเจา โอกกากราช สืบตอจากพระเจา มหาสมมติ อันไมป ะปนกัน เปน หลานของพระเจาสุทโธทนมหาราชและพระนางมหามายาเทวี เปนนอ งของราหลุ ภัทร ทา นไดช อ่ื วา เปนชินบคุ คลเห็นปานนี้ เกียจครานอยู ไมส มควรเลยดงั นี้ วริ ยิ สัมโพชฌงคก ็ยอ มเกดิ ขนึ้แมเมือ่ พจิ ารณาเห็นความเปน ใหญแหงสพรหมจารีอยา งน้ันวา พระสารบี ตุ ร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 498
Pages: