Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_30

tripitaka_30

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_30

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 253 ๗. อาวรณานีวรณสูตร ธรรมเปนอุปกิเลสของจติ ๕ [๔๙๐] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ธรรมเปน เคร่ืองกั้น เปน เครอ่ื งหา มเปนอปุ กเิ ลสของจิต ทําปญญาใหทราม ๕ อยางน้ี. ๕ อยางเปน ไฉน ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กามฉนั ทะเปน ธรรมเครื่องก้นั เปน ธรรมเครอื่ งหาม เปนอปุ กเิ ลสของจิต ทาํ ปญญาใหท ราม. พยาบาท . . . ถีนมิทธะ . . . อุทธจั จ-กกุ กจุ จะ . . . วจิ ิกจิ ฉา เปน ธรรมเครอ่ื งก้ัน เปน ธรรมเคร่อื งหา ม เปนอุปกเิ ลสของจิต ทําปญญาใหท ราม. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ธรรม ๕ อยางนแ้ี ลเปน เครอื่ งก้ัน เปนเครือ่ งหาม เปนอุปกิเลสของจิต ทาํ ปญญาใหท ราม. [๔๙๑] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย โพชฌงค ๗ เหลาน้ี ไมเปน เคร่อื งก้นัไมเปน เครอ่ื งหา ม ไมเปนอปุ กเิ ลสของจิต อันบคุ คลเจริญแลว กระทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพ่ือกระทําใหแจง ซง่ึ ผลคอื วชิ ชาและวมิ ุตติ. โพชฌงค๗ เปน ไฉน. คอื สตสิ ัมโพชฌงค ไมเ ปน เคร่ืองก้นั ไมเปนเคร่อื งหา มไมเปนอปุ กเิ ลสของจิต อนั บุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพ่อื กระทาํ ใหแจง ซึ่งผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงคไมเ ปนเครอื่ งกนั้ ไมเปนเคร่ืองหา ม ไมเปนอปุ กิเลสของจิต อนั บคุ คลเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว ยอมเปน ไปเพ่ือทาํ ใหแ จง ซ่งึ ผล คอื วิชชาและวมิ ุตติ ดกู อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค นแ้ี ล ไมเ ปนเครื่องก้นั ไมเปนเครอ่ื งหาม ไมเปน อปุ กเิ ลสของจติ อนั บุคคลเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพอื่ กระทําใหแจง ซงึ่ ผล คือ วชิ ชาและวิมุตต.ิ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 254 [๔๙๒] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย สมยั ใด อรยิ สาวกตั้งใจ ใสใ จ รวมเขาไวด ว ยใจทัง้ หมด เงย่ี โสตลงฟงธรรม สมัยน้นั นิวรณ ยอมไมม แี กเ ธอโพชฌงค ๗ ยอมถงึ ความเจริญบริบูรณ จบอาวรณานีวรณสูตรท่ี ๗ อรรถกถาอาวรณานวี รณสตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในอาวรณานีวรณสูตรท่ี ๗. บทวา ปฺ ายทุพฺพลีกรณา ไดแ ก ทําใหอ อนปญญา. เพราะวาเม่อื มนี ิวรณธรรมทง้ั หลายเกดิ ข้ึนเนอื ง ๆ ปญญาเม่อื เกดิ ขึน้ ในระหวา ง ๆ เปนปญ ญาทราม ออ น ไมฉลาด. จบอรรถกถาอาวรณานวี รณสูตรที่ ๗ ๘. นวิ รณาวรณสตู ร นิวรณ ๕ โพชฌงค ๗ [๔๙๓] ในสมัยนนั้ นิวรณ ๕ เปนไฉน ยอมไมมแี กเ ธอ คือกามฉันทนิวรณ ยอมไมมี พยาบาทนิวรณ . . . ถีนมิทธนิวรณ . . . อทุ ธจั จ-กุกกุจจนวิ รณ . . . วิจกิ จิ ฉานิวรณ ยอ มไมม ี ในสมัยนนั้ นิวรณ ๕ ยอมไมมีแกเ ธอ. [๔๙๔] ในสมยั นน้ั โพชฌงค ๗ เปนไฉน ยอมถึงความเจริญบริบูรณ คือ สตสิ มั โพชฌงค ยอมถึงความเจรญิ บรบิ ูรณ ฯลฯ อุเบกขา

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 255สมั โพชฌงค ยอมถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ โพชฌงค ๗ เหลานี้ ยอมถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ. [๔๙๕] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย สมยั ใด อริยสาวกต้ังใจ ใสใจ รวมไวดว ยใจทั้งหมด เงีย่ โสตลงฟง ธรรม สมัยนัน้ นิวรณ ๕ ยอ มไมม ีแกเ ธอโพชฌงค ๗ เหลาน้ี ยอ มถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ. จบนีวรณาวรณสูตรท่ี ๘ อรรถกถานีวรณาวรณสตู ร พึงทราบวินจิ ฉัยในนวี รณาวรณสตู รท่ี ๘. บทวา ปจฺ สฺส นวี รณา ตสฺสึ สมเย น โหนฺติ สตฺตโพชฺฌงฺคา ตสมฺ ึ สมเย ภาวนาปารปิ ูรึ คจฉฺ นฺติ ความวา นิวรณ๕ อยางของพระอรยิ สาวก ผฟู งอยูซ ง่ึ ธรรมเปนที่สบาย ยอมอยใู นทไี่ กลถาพระอรยิ สาวกนั้นสามารถเพ่ือยงั คณุ วิเศษใหเกดิ ในทีน่ ัน้ ได โพชฌงค ๗ของพระอรยิ สาวกนน้ั ยอ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณอยา งนี.้ ถาไมส ามารถแตนัน้ ทานไปยงั ท่ีพักกลางคืนและทพ่ี กั กลางวนั เม่อื ยังไมล ะปตนิ ัน้ เสีย ขมนวิ รณ ๕ ไดแ ลว จกั ยังคณุ วเิ ศษใหเกดิ ได. ขอนนั้ ทา นกลาวหมายถงึ ขอ นี้วาแมเ ม่ือไมสามารถอยใู นท่ีนน้ั ได เม่ือยังไมล ะปต นิ ้ัน จนถงึ ภายใน ๗ วันขม นิวรณไดแลว จักยังคุณวเิ ศษใหเ กิดได ดงั น.้ี ความจริง โพชฌงคที่เธอไดแลว ซ่งึ เปนฝายปต แิ ละปราโมทยคราวเดียวดว ยการฟงธรรม ยอ มเสอื่ มไปเพราะอาศยั ความเปน ผูยนิ ดใี นการงานเปนตน . แตเมื่อไดอตุ ุสัปปายะเปน ตน

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 256เห็นปานน้ัน ก็เกิดขึน้ อกี ยอมถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณในสมัยนนั้ เขากลาวไวอยางน้ี ดว ยประการฉะน้แี ล จบอรรถกถานวี รณาวรณสตู รที่ ๘ ๙. รกุ ขสตู ร ธรรมเปนเคร่อื งก้ัน ๕ อยาง [๔๙๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ตน ไมใหญ มพี ืชนอ ย มีลาํ ตนใหญงอกคลมุ ตน ไมทั้งหลาย เปนเหตทุ าํ ตน ไมท่ีมันงอกคลุมแลว ใหลม หักกระจัดกระจายวบิ ตั ไิ ป. [๔๙๗] ก็ตน ไมใ หญเหลา น้ัน ท่ีมพี ชื นอย มลี ําตนใหญง อกคลุมตน ไมท้งั หลาย เปนเหตุทําตนไมท ม่ี ันงอกคลมุ แลว ใหลม หกั กระจัดกระจายวิบตั ไิ ปเปนไฉน. คือ ตน โพธิ ตน นิโครธ ตนมลิ กั ขุ* ตนมะเดื่อ ตน ไทรตน มะขวดิ ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ตน ไมใ หญเ หลา นี้แล ทมี่ ีพชื นอย มีลาํ ตนใหญ งอกคลุมตน ไมทง้ั หลาย เปน เหตทุ ําตนไมท ี่มนั งอกคลุมแลว ใหล มหกั กระจัดกระจายวิบตั ิไป. [๔๙๘] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ฉันนัน้ เหมือนกัน กุลบุตรบางคนในโลกน้ี ละกามเชน ใดแลว ออกบวชเปน บรรพชติ กลบุตรนนั้ ยอมเปน ผูเสยี หายวิบัตไิ ปดวยกามเชนน้ัน หรือที่เลวกวานนั้ .* พมาเปน ปล กโข เเปลวา ตน เลียบ.

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 257 [๔๙๙] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ธรรมเปนเครื่องกนั้ เปนเครือ่ งหา ม๕ อยางเหลา น้ี ครอบงาํ จติ ทําปญ ญาใหท ราม. ๕ อยา งเปน ไฉน. คือกามฉันทะ เปนธรรมเครอื่ งกน้ั เปนธรรมเคร่ืองหาม ครอบงําจติ ทําปญญาใหท ราม พยาบาท. . . ถีนมิทธะ . . . อุทธจั จกุกกุจจะ . . .วจิ ิกิจฉา เปน ธรรมเคร่อื งกนั้ เปน ธรรมเคร่อื งหา ม ครอบงําจติ ทําปญ ญาใหท ราม ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ธรรมเปน เครอื่ งกน้ั เปน เคร่อื งหาม ครอบงาํ จิต ทาํ ปญ ญาใหท ราม อยา งเหลานแ้ี ล. [๕๐๐] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ี ไมเ ปนธรรมกั้นไมเ ปนธรรมหา ม ไมครอบงาํ จติ อนั บุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหม ากแลวยอ มเปนไปเพ่อื ทําใหแจง ซึง่ ผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ โพชฌงค ๗ เปน ไฉนคอื สตสิ มั โพชฌงค ไมเปน ธรรมกน้ั ไมเปน ธรรมหา ม ไมครอบงําจติอนั บคุ คลเจริญแลว กระทําใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพ่อื ทาํ ใหแ จง ซึ่งผล คอืวชิ ชาและวิมตุ ติ. ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค ไมเปน ธรรมกน้ั . . . ยอมเปนไปเพอ่ื ทําใหแ จง ซงึ่ ผล คอื วิชชาและวิมุตติ ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย โพชฌงค๗ เหลา น้ีแล ไมเปนธรรมกัน้ ไมเปนธรรมหา ม ไมค รอบงําจิต อนั บุคคลเจริญแลว กระทําใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ทาํ ใหแจงซง่ึ ผล คือวชิ ชาและวมิ ตุ ต.ิ จบรุกขสูตรท่ี ๙

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 258 อรรถกถารุกขสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในรกขสตู รที่ ๙. บทวา อชฌฺ ารหา แปลวา งอกขึ้น. บทวา กจฺฉโก แปลวาตนไทร. บทวา กปต ฺถโน ไดแก ตน มลิ กั ขเุ กิดขน้ึ แลวมผี ลเชนกับนมลิง. จบอรรถกถารกุ ขสูตรที่ ๙ ๑๐. นวี รณสูตร นวิ รณท าํ ใหม ดื [๕๐๑] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย นิวรณ ๕ เหลานี้ กระทาํ ใหม ดืกระทาํ ไมใ หม ีจักษุ กระทาํ ไมใหมญี าณ เปนท่ีตัง้ แหง ความดับปญญา เปนไปในฝก ฝายแหง ความคบั แคน ไมเปน ไปเพื่อนิพพาน. นวิ รณ ๕ เปน ไฉนคือ กามฉนั ทนิวรณ กระทาํ ใหม ืด กระทาํ ไมใ หม ีจักษุ กระทาํ ไมใหมญี าณเปนที่ตั้งแหงความดับปญญา เปน ไปในฝก ฝา ยแหงความคับแคน ไมเ ปนไปเพอื่ นพิ พาน พยาบาทนวิ รณ. . . ถีนมทิ ธนิวรณ . . . อทุ ธัจจกุกกจุ จ-นวิ รณ . . . วิจิกจิ ฉานวิ รณ กระทําใหม ดื กระทําไมใหมีจักษุ กระทําไมใหมีญาณ เปน ทต่ี ั้งแหง ความดับปญญา เปนไปในฝกฝา ยแหงความคับแคนไมเปน ไปเพื่อนิพพาน. ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย นวิ รณ ๕ เหลานี้แล กระทําใหมดื กระทําไมใหม ีจกั ษุ กระทาํ ไมใ หม ญี าณ เปน ทีต่ ง้ั แหงความดับปญ ญาเปน ไปในฝก ฝา ยแหง ความคบั แคน ไมเปน ไปเพื่อนพิ พาน.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 259 [๕๐๒] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย โพชฌงค ๗ เหลานี้ กระทาใหม จี กั ษุกระทาํ ใหม ญี าณ เปน ที่ตงั้ แหงความเจรญิ ปญ ญา ไมเ ปนไปในฝก ฝายแหงความคบั แคน เปนไปเพือ่ นิพพาน โพชฌงค ๗ เปนไฉน. คอื สตสิ มั -โพชฌงค กระทําใหมจี กั ษุ กระทาํ ใหมญี าณ เปนที่ต้ังแหง ความเจริญปญ ญาไมเ ปน ไปในฝก ฝา ยแหงความคบั แคน เปนไปเพื่อนพิ พาน ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงค กระทําใหม จี กั ษุ กระทําใหมีญาณ เปน ทตี่ ั้งแหงความเจริญปญญา ไมเ ปนไปในฝก ฝายแหงความคบั แคน เปน ไปเพอ่ื นพิ พาน. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ีแล กระทาํ ใหมีจกั ษุ กระทําใหมญี าณเปนทตี่ ้ังแหง ความเจริญปญญา ไมเ ปนไปในฝกฝา ยแหงความคบั แคน เปนไปเพ่ือนิพพาน. จบนีวรณสตู รที่ ๑๐ จบนีวรณวรรคท่ี ๔

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 260 อรรถกถานีวรณสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในนีวรณสตู รที่ ๑๐. บทวา อนธฺ กรณา แปลวา กระทําใหมดื . บทวา อจกขฺ ุกรณาไดแ ก กระทําไมใหมีปญ ญาจักษุ. บทวา ปฺ านิโรธยิ า ไดแ ก ดับปญญา.บทวา วิฆาตปกขฺ ิยา แปลวา เปน ฝายทกุ ข. บทวา อนิพพฺ านส วตตฺ นิกาไดแก ไมเ ปน ไปเพื่อนิพพาน. คําทเี่ หลอื ในบททงั้ ปวงมีเนื้อความงายทั้งนัน้แล ในวรรคน้ี แมท ัง้ สน้ิ ทา นกลา วโพชฌงคคลกุ เคลากันไป ดวยประการฉะนี้. จบอรรถกถานวี รณสตู รท่ี ๑๐ จบนีวรณวรรควรรณนาท่ี ๔ รวมพระสูตรทม่ี ใี นวรรคน้ี คอื ๑. ปฐมกุสลสูตร ๒. ทตุ ยิ กสุ ลสตู ร ๓. อปกิเลสสูตร ๔. อโย-นิโสสูตร ๕. โยนโิ สสตู ร ๖. วฑุ ฒสิ ตู ร ๗. อาวรณานวี รณสตู ร๘. นีวรณาวรณสตู ร ๙. รกุ ขสตู ร ๑๐. นีวรณสตู ร พรอ มท้งั อรรถกถา.

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 261 จักกวัตติวรรคท่ี ๕ ๑. วิธาสตู ร ละมานะ ๓ เพราะโพชฌงค [๕๐๓] สาวัตถีนิทาน. ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลา หนึ่ง ในอดีตกาล ละมานะ ๓ อยา งไดแ ลว สมณะหรอื พราหมณเหลานัน้ ทัง้ หมด ละไดแ ลวกเ็ พราะโพชฌงค ๗ อันตนเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว. สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใดเหลา หนงึ่ ในอนาคตกาล จักละมานะ ๓ อยางได สมณะหรอื พราหมณเหลาน้ันท้งั หมด จักละไดก ็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจรญิ แลว กระทาํ ใหมากแลว. สมณะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลา หนึ่งในปจจุบันละมานะ ๓ อยางได สมณะหรอื พราหมณเ หลาน้นัทง้ั หมดละไดก็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว . [๕๐๔] โพชฌงค ๗ เปน ไฉน คอื สตสิ มั โพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชฌงค ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย กส็ มณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หน่งึในอดีตกาล ละมานะ ๓ อยางไดแ ลว สมณะหรอื พราหมณเ หลาใดเหลาหนึ่ง ในอนาคตกาล จักละมานะ ๓ อยา งได . . . สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึง่ ในปจ จบุ นั ละมานะ ๓ อยา งได สมณะหรือพราหมณเหลานัน้ ทัง้ หมด ละไดก็เพราะโพชฌงค ๗ อันตนเจรญิ แลว กระทาํ ใหมากแลว . จบวธิ าสูตรท่ี ๑

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 262 จกั กวัตตวิ รรควรรณนาที่ ๕ อรรถกถาวิธาสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในวธิ าสูตรที่ ๑ แหงจักกวัตตวิ รรคที่ ๕ บทวา ติสฺโส วิธา ไดแก หมวดแหงมานะ ๓ อยา ง. อกี อยา งหนึ่งมานะอยางเดียว กเ็ พราะทานจดั ไวอยา งนน้ั ๆ จงึ กลาวมานะวา ๓ อยา งเหมอื นกนั . จบอรรถกถาวิธาสตู รท่ี ๑ ๒. จกั กวัตติสูตร รตั นะ ๗ อยา ง [๕๐๕] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะพระเจาจักรพรรดปิ รากฏ รัตนะ๗ อยาง จึงปรากฏ รัตนะ อยา งเปนไฉน คือ จกั รแกว ๑ ชา งแกว ๑แกวมณี ๑ นางแกว ๑ คฤหบดแี ลว ๑ ปริณายกแกว ๑ ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลายเพราะพระเจาจักรพรรดปิ รากฏ รัตนะ ๗ อยา งเหลา น้ี จงึ ปรากฏ. [๕๐๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย เพราะพระตถาคตอรหนั ตสัมมา-สัมพทุ ธเจา ปรากฏ รตั นะ คอื โพชฌงค ๗ จงึ ปรากฏ. รัตนะ คอื โพชฌงค๗ เปน ไฉน ไดแก รัตนะ คือ สติสมั โพชฌงค ฯลฯ รัตนะ คือ อเุ บกขาสมั โพชฌงค. ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสมั พุทธเจาปรากฏ รัตนะ คือ โพชฌงค ๗ เหลา น้ี จึงปรากฏ. จบจกั กวตั ติสตู รท่ี ๒

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 263 อรรถกถาจักกวัตตสิ ูตร พึงทราบวินจิ ฉัยในจักกวัตตสิ ตู รท่ี ๒ ในบทวา รโฺ  ภกิ ขฺ เว จกฺกวตตฺ ิสฺส น้ี ช่ือวา พระราชาเพราะอรรถวา ทรงยนิ ดใี นสิริสมบัติของพระองค หรอื ทรงใหพสกนกิ รยินดีดว ยสังคหวัตถุ ๔ ชอื่ วา เจา จักรพรรดิ เพราะอรรถวา สงั่ การอยูดวยวาจาคลอ งแคลว ยงั จกั รใหเปนไปดว ยบญุ ญานุภาพวา ขอจักรรัตนะจงแลนไปตลอดภพ ดังนี.้ บทวา ปาตุภาวา แปลวา เพราะปรากฏ. บทวา สตตฺ นฺน แปลวาก าหนดการถอื เอา. บทวา รตนาน ไดแก แสดงเรอ่ื งทกี่  าหนด. สวนความหมายของคาํ ในบทนี้ ชือ่ วา รัตนะ เพราะอรรถวา ใหเกดิ ความยินด.ี อีกอยา งหนง่ึ วา ที่เรียกวา รตั นะ เพราะทําความ เคารพ มีคามาก ช่ังไมได เหน็ ไดย าก เปนของใชข องสตั วผ ูไมท ราม ดังนี้. จําเดิมแตจกั รรัตนะบงั เกดิ ช่อื วา เทวสถานอ่นื ยอมไมม .ี คนทัง้ ปวงกระทาํ การบูชาและอภวิ าทเปนตน ซึ่งรตั นะนนั้ อยางเดียว ดว ยของหอมและดอกไมเ ปนตนั ดงั นั้น จึงชื่อวา รัตนะ เพราะอรรถวา ทําความเคารพ ลว นจักรรัตนะมีคาหามิได เพราะทรัพยย ังมีคาประมาณเทา น้ี ดังน้ันจงึ ช่ือวา รตั นะ แมเ พราะอรรถวา มคี ามาก จักรรตั นะ ไมเ หมอื นกับรตั นะท่ีมอี ยใู นโลกอยา งอนื่ ดงั นั้นจงึ ชอื่ วา รัตนะ เพราะอรรถวา ชงั่ ไมได.ก็เพราะในกัปท่ีพระพทุ ธเจา ทั้งหลายไมอ บุ ัติ พระเจา จกั รพรรดแิ ละพระ-

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 264ปจ เจกพุทธเจา ยอ มเกิดในกาลบางครง้ั บางคราวเทานั้น ฉะนั้น จึงช่อื วารตั นะ เพราะอรรถวา เห็นไดย าก รัตนะนนี้ ้ัน ยอ มเกิดขึ้นแกสัตวอ นัโอฬาร ไมต ่ํา โดยชาติ รปู ตระกูล และความเปนใหญเปน ตน หาเกิดขน้ึแกสัตวอ่นื ไม ดงั นน้ั จึงชื่อวา รตั นะ เพราะอรรถวา เปน เคร่ืองใชส อยของสัตวท่ีไมทราม. รัตนะแมทเี่ หลือก็เหมือนจกั รรัตนะฉะนนั้ ดวยประการฉะน.ี้ เพราะเหตุน้ัน ทา นจึงกลาววา เรยี กวา รัตนะ เพราะทําความ เคารพ มีคา มาก ซ่งึ ไมไ ด เหน็ ไดยาก เปน ของใชของสตั วผ ูไมท ราม ดงั น.ี้ บทวา ปาตภุ าโว โหติ ไดแ ก ความบงั เกดิ . ในขอนี้มีวาจาประกอบความดังนี้ ขอ วา พระเจา จักรพรรดิปรากฏ รัตนะ ๗ จงึ ปรากฏ ดังน้ีกค็ วร ขอวา ช่อื วา พระเจา จักรพรรดนิ น้ั ยอ มยงั จักรอนั เกิดแลวใหห มุนไปดังน้กี ็ควร. ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะมงุ ถึงความนยิ มของพระเจาจักรพรรด.ิ ก็ผใู ดจกั ยังจักรใหห มนุ ไปตามความนิยม ผูนั้นต้งั แตปฏสิ นธยิ อมถงึ ความเปน ผูค วรกลาววา พระเจาจักรพรรดปิ รากฏ ดงั นี้.คาํ นั้น ก็ควรเหมือนกนั เพราะพูดถึงความเกดิ แหงมูลของบุรษุ ที่ไดช ือ่ แลวกผ็ ใู ดเปน สัตวว ิเศษ ไดช ่ือวา พระเจาจกั รพรรดิ ความปรากฏกลาวคือปฏิสนธิของผูนนั้ มีอยู ดงั น้ี เปน อธบิ ายในขอ นี้. ก็เพราะพระเจา จกั รพรรดิปรากฏ รตั นะท้งั หลาย ยอ มปรากฏ. พระเจาจักรพรรดนิ น้ั ยอมประกอบอยใู นบุญสมภารแกเต็มท่ีพรอมกับรัตนะเหลานน้ั ท่ปี รากฏ. ในกาลนัน้ ชาวโลกเกดิ ความคิด ปรากฏในรัตนะเหลา น้นั ขอ นั้นก็ควร เพราะพูดถงึ กนั มาก ก็เมือ่ ใด สญั ญามีความปรากฏในรัตนะเหลา นัน้

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 265เกดิ ขนึ้ แกชาวโลก เม่อื นัน้ กเ็ ปน อยา งเดียวเทา นน้ั กอ น ภายหลังปรากฏรัตนะนอกน้ี ๖ อยาง เพราะฉะนน้ั จงึ ถึงรัตนะนนั้ อยางนี้ เพราะพูดถึงกนัมาก แมโ ดยความตางเนอื้ ความแหง ความปรากฏ ขอนั้นกค็ วรแลว ความปรากฏมใิ ชปรากฏเพียงอยา งเดียว ช่ือวา ปาตุภาวะ เพราะยงั ความปรากฏใหเกดิ ขึน้ น้ีเปนประเภทแหง ความของความปรากฏ เพราะการสัง่ สมบุญอันใด ยังพระเจาจักรพรรดใิ หปรากฏดวยอาํ นาจปฏิสนธิ ชอื่ วา ปาตภุ าวะนี้เปนประเภทแหง ความของความปรากฏ เพราะการสัง่ สมบญุ ใด ยังพระเจาจักรพรรดิใหป รากฏดว ยอํานาจปฏสิ นธิ ฉะนั้น ความปรากฏแหงพระเจาจกั รพรรดิ ไมเ ปน จักรพรรดิอยา งเดียว แตแ มร ตั นะ ๗ เหลา น้ี ก็ปรากฏดว ย เพราะฉะนนั้ น้เี ปน อธิบายในขอนี.้ เหมือนอยา งวา การสัง่ สมบญุ นน้ัเปนเหตใุ หเกิดพระราชา ฉันใด การสง่ั สมบุญเปน เหตุอปุ นสิ ัย แมแ หง รัตนะโดยปริยาย ฉันนน้ั เพราะฉะนน้ั พระผูม ีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะความปรากฏแหง พระเจาจกั รพรรดิ จึงเปน ความปรากฏแหงรัตนะ ๗ ดว ยดังน.ี้ บัดน้ี พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรสั คาํ เปน ตน วา กตเมส สตฺตนฺนจกกฺ รตนสฺส ดงั น้ี เพอื่ ทรงแสดงรัตนะเหลา น้นั โดยอํานาจสรปุ . ในบทเหลา นัน้ ในบทเปนตนวา จกฺกรตนสสฺ มอี ธบิ ายโดยยอดงั นี้ จกั รแกวสามารถเพื่อยดึ สิรสิ มบตั ิของทวปี ใหญ ๔ มีทวปี สองพนั เปน บริวารมาใหป รากฏอยู. ชา งแกว ไปสเู วหาส อนั สามารถติดตามไปสแู ผน ดินมีสาครเปนท่สี ดุมาใหไดก อนภัตรอยางนั้น มา แกวกเ็ ชนนั้นเหมอื นกนั . แกวมณี อนั สามารถกําจดั ความมือประมาณโยชนในทมี่ ดื แมประกอบดว ยองคส ี่ มองเห็นแสงสวา งได. นางแกว มปี กติเวน โทษ ๖ อยางแลว เท่ียวไปไดตามชอบใจ.คฤหบดแี กว อันสามารถเห็นขุมทรัพยอ ยภู ายในแผน ดินในประเทศประมาณ

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 266โยชน ปริณายกแกว กลา วคือบตุ รคนหวั ป ผเู กิดในทอ งของอัครมเหสแี ลวเปน ผสู ามารถปกครองสมบัติทั้งส้ินมิไดปรากฏอยู ดังนั้น นีเ้ ปน อธิบายยอ ในขอนี้. สวนวธิ ปี รากฏแหง จักรแกว เปน ตน เหลานั้น มาแลว ในสตู รมีมหา-สุทสั สนะเปน ตน โดยพิสดารแล แมอธบิ ายวธิ ปี รากฏของจักรแกวน้ัน ทา นพรรณนาไวใ นอรรถกถาแหง สตู รเหลานั้นแล. ในบทวา สติสมฺโพชณฺ งคฺ รตนสสฺ เปนตน พงึ ทราบแมค วามท่มี ีลกั ษณะคลา ยกันอยางน.้ี จกั รแกว ของพระเจาจักรพรรดิ เทยี่ วไปกอนกวารตั นะทง้ั ปวง ฉันใด สติสมั โพชณงั ครัตนะ เท่ยี วไปกอนกวาธรรมทเ่ี ปนไปในภูมิ ๔ ทั้งปวง ฉันน้นั คอื เปรียบดวยจกั รแกวของพระเจา จกั รพรรดิ เพราะอรรถวาเท่ียวไปกอ น. บรรดารัตนะท้งั หลาย ชา งแกว ของพระเจาจักรพรรดิเกดิ รางใหญ สงู ไพบูลยใ หญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงั ครัตนะ เขา ถึงหมูธรรมเปนอันมาก สงู แผไ ป กวา งใหญ ดงั นัน้ จงึ เปรียบดวยชางแกว. มาแกว ของพระเจา จักรพรรดมิ ีฝเทาเรว็ วริ ยิ สมั โพชฌงั ครตั นะ แมน ี้มกี  าลังฉับพลนัดงั นัน้ จงึ เปรยี บดวยมา แกว เหตมุ ีก าลังฉบั พลันน.้ี แกวมณีของพระเจาจักรพรรดิ ก าจดั ความมดื ใหส วา งได ปต สิ ัมโพชณังครัตนะ แมน ีอ้ ยูใ นหมธู รรมเปนอันมาก ก าจัดความมืดคอื กเิ ลสใหสวางดวยญาณ ดว ยอาํ นาจสหชาตปจ จัยเปน ตน เพราะเปน กศุ ลโดยสวนเดยี ว ดังน้ัน จงึ เปรยี บดว ยแกว มณี เหตกุ  าจัดความมืดใหสวา งน้ี. นางแกวของพระเจา จักรพรรดิ ระงับความกระวนกระวายทางกายและทางจติ ใหความรอนสงบ ปสสทั ธสิ ัมโพชฌงั ครัตนะ แมน ี้ ระงบั ความกระวนกระวายทางกายและทางจิต ใหความรอ นสงบ ดงั นนั้ จงึ เปรียบดว ยนางแกว . คฤหบดแี กว ของพระเจาจกั รพรรดิ ก าหนดความฟุงซา น ทําใหจ ติ

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 267มอี ารมณเ ดียวดว ยการใหทรพั ย ในขณะที่ตนปรารถนาแลว และปรารถนาแลวสมาธสิ มั โพชฌังครัตนะแมน ี้ ยงั อัปปนาใหถงึ พรอมดว ยอํานาจความท่ตี นปรารถนาเปน ตน ตดั ขาดแลว ซง่ึ ความฟุงซา น ทําจิตใหม ีอารมณเดียวดังน้นั จงึ เปรยี บดวยคฤหบดีแกว . สว นปริณายกแกว ของพระเจา จกั รพรรดิทาํ ความขวนขวายนอ ยให ดวยการทาํ กจิ ในที่ท้งั ปวงใหสาํ เร็จ อเุ บกขาสมั -โพชฌังครตั นะแมน ี้ เปลือ้ งจิตตปุ บาทจากความหดหูและความฟงุ ซาน ทําความขวนขวายนอ ย วางตนไวในทามกลางประกอบความเพียร ดงั นน้ั จงึเปรยี บดวยปริณายกแกว. พึงทราบวา การก าหนดธรรมท่ีรวมไวท ้งั หมดเปน๔ ภมู ิ ไดกลา วไวในสตู รน้ี ดวยประการฉะน.้ี จบอรรถกถาจกั กวตั ตสิ ตู รท่ี ๒ ๓. มารสตู ร * โพชฌงคเปนมรรคาเครอื่ งยา่ํ ยีมาร [๕๐๗] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย เราจักแสดงมรรคาเปน เครื่องยํา่ ยมี ารและเสนามารแกเ ธอท้งั หลาย เธอท้งั หลายจงฟงมรรคานั้น. ก็มรรคาเปนเคร่ืองยํา่ ยีมารและเสนามารเปน ไฉน. คอื โพชฌงค ๗. โพชฌงค ๗ เปนไฉนคือ สติสมั โพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค. ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย น้เี ปนมรรคาเครอ่ื งยาํ่ ยีมาร และเสนามาร. จบมารสูตรที่ ๓* สตู รที่ ๓ ไมม อี รรถกถาแก.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 268 ๔. ทปุ ปญญสตู ร เหตทุ เ่ี รยี กวา คนโงค นใบ [๕๐๘] สาวตั ถนี ทิ าน ครง้ั นั้นแล ภิกษุรูปหนงึ่ เขา ไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจา ถึงทป่ี ระทับ ฯลฯ คร้นั แลว ไดทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพ ระองคผเู จรญิ ที่เรียกวา คนโง คนใบ คนโง คนใบ ดังน้ี ดว ยเหตุเพียงเทาไรหนอ จงึ จะเรียกวา คนโง คนใบ. [๕๐๙] พระผูมีพระภาคเจาตรัสตอบวา ดกู อนภิกษุ ท่เี รยี กวา คนโง คนใบ กเ็ พราะโพชฌงค ๗ อันตนไมเ จริญแลว ไมกระทําใหม ากแลวโพชฌงค ๗ เปน ไฉน. คือ สตสิ ัมโพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสัมโพชฌงคดกู อ นภิกษุ ทเ่ี รียกวา คนโง คนใบ ก็เพราะโพชฌงค ๗ เหลานีแ้ ล อันตนไมเ จริญแลว ไมกระทําใหมากแลว . จบทุปปญญสูตรที่ ๔ อรรถกถาทปุ ปญญสูตร พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในทปุ ปญ ญสูตรที่ ๔. บทวา เอฬมโู ค ความวา คนเม่อื ไมสามารถเพอื่ จะเปลงวาจาทางปากได เปนคนใบพูดไมได เพราะโทษทง้ั หลาย. คาํ ท่ีเหลือในบททง้ั ปวง งา ยทงั้ นน้ั แล. จบอรรถกถาทปุ ปญญสูตรท่ี ๔

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 269 ๕. ปญญวาสูตร * ดวยเหตเุ พียงเทา ไรจงึ เรยี กวาคนมีปญ ญา [๕๑๐] สาวตั ถีนิทาน. ภิ. ขา แตพ ระองคผ ูเ จรญิ ที่เรียกวา คนมีปญ ญา ไมใชคนใบ คนมีปญญา ไมใชคนใบ ดังน้ี ดวยเหตเุ พียงเทาไรหนอจงึ จะเรยี กวา คนมีปญญา ไมใชคนใบ. [๕๑๑] พ. ดูกอ นภกิ ษุ ทเี่ รียกวา คนมปี ญ ญา ไมใ ชคนใบ ก็เพราะโพชฌงค ๗ อนั ตนเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว. โพชฌงค ๗ เปน ไฉนคอื สติสัมโพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค. ดกู อ นภกิ ษุ ทเ่ี รียกวา คนมีปญญา ไมใชค นใบ กเ็ พราะโพชฌงค ๗ เหลา น้ีแล อนั ตนเจริญแลวกระทาํ ใหมากแลว. จบปญญวาสตู รที่ ๕ ๖. ทลิททสตู ร ดว ยเหตเุ พียงเทาไรจงึ เรยี กวา คนจน [๕๑๒] สาวัตถีนทิ าน. ภิ. ขา แตพระองคผเู จริญ ทเ่ี รยี กวา คนจน คนจน ดงั น้ี ดวยเหตุเพียงเทา ไรหนอ จึงเรยี กวา คนจน. [๕๑๓] พ. ดูกอนภิกษุ ท่ีเรยี กวา คนจน กเ็ พราะโพชฌงค ๗อนั ตนไมเจรญิ แลว ไมกระทําใหมากแลว . โพชฌงค ๗ เปนไฉน. คือ สติ-สัมโพชฌงค ฯลฯ อเุ บกขาสัมโพชฌงค ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ท่เี รยี กวา คนจน ก็เพราะโพชฌงค เหลา น้ีแล อันตนไมเจรญิ แลว ไมกระทาํ ใหม ากแลว. จบทลทิ ทสตู รท่ี ๖* ต้ังแตสูตรที่ ๕ ถึงสตู รท่ี ๑๐ ไมมอี รรถกถาแก.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 270 ๗. อทลิททสูตร ดวยเหตเุ พยี งเทาไรจึงเรยี กวา คนไมจน [๕๑๔] สาวตั ถนี ิทาน. ภ.ิ ขาแตพระองคผเู จริญ ท่ีเรียกวา คนไมจ น คนไมจน ดังน้ี ดว ยเหตุเพยี งเทาไรหนอ จงึ เรยี กวา คนไมจ น. [๕๑๕] พ. ดูกอ นภิกษุ ท่ีเรยี กวา คนไมจ น กเ็ พราะโพชฌงค ๗อนั ตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว โพชฌงค เปนไฉน คือ สติสมั -โพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสมั โพชณงค. ดกู อนภิกษุ ทเ่ี รยี กวา คนไมจ น ก็เพราะโพชฌงค ๗ เหลาน้แี ล อันตนเจริญแลว กระทําใหมากแลว. จบอทลทิ ทสตู รท่ี ๗ ๘. อาทิจจสตู ร ความเปนผมู มี ติ รดีเปน เบ้ืองตน แหงโพชฌงค ๗ [๕๐๖] สาวตั ถีนิทาน. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เมอ่ื พระอาทติ ยจะข้นึ ส่ิงทีข่ ้นึ กอน สิง่ ท่ีเปนนิมติ มากอ น คือ แสงเงนิ แสงทอง ฉันใด สิงทีเ่ ปน เบอ้ื งตนเปนนมิ ิตมากอน เพื่อความบังเกดิ แหงโพชฌงค ๗ แกภกิ ษุ คอื ความเปน ผมู ีมติ รดี ฉันนัน้ เหมอื นกัน ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย อันภกิ ษุผมู มี ิตรดี พึงหวงัขอ น้ไี ดวา จกั เจริญโพชฌงค็ ๗ สูจกั กระทาํ ใหมากซงึ่ โพชฌงค ๗. [๕๐๗] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย กภ็ กิ ษผุ ูมมี ติ รดี ยอ มเจรญิ โพชฌงค๗ ยอมกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยา งไรเลา . ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอ มเจริญสตสิ มั โพชฌงค อันอาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค อนั อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผมู ีมิตรดี ยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหม ากซ่งึ โพชฌงค ๗ อยา งนแ้ี ล. จบอาทจิ จสตู รที่ ๘

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 271 ๙. ปทุมองั คสูตร โยนีโสมนสิการเปน ปจจยั แหงโพชฌงค ๗ [๕๑๘] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ทาํ ปจ จยั ภายในใหเ ปนเหตแุ ลว เรายังไมเล็งเห็นเหตุอืน่ อนั หนงึ่ เพื่อความบังเกิดแหงโพชฌงค ๗ เหมอื นโยน-ิโสมนสกิ ารเลย. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย อันภิกษุผถู ึงพรอมดวยโยนิโสมนสกิ ารพงึ หวังขอนีไ้ ดวา จักเจรญิ โพชฌงค ๗ จกั กระทําใหมากซงึ่ โพชฌงค ๗. [๕๑๙] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ก็ภิกษุผูถึงพรอมดว ยโยนิโสมนสกิ ารยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอมกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยางไรเลา . ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอมเจริญสตสิ มั โพชฌงคอันอาศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌงค อันอาศยัวเิ วก, อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในสละ ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลายภิกษุผถู ึงพรอ มดว ยโยนิโสมนสกิ าร ยอมเจรญิ โพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหม ากซึง่ โพชฌงค ๗ อยางน้แี ล. จบปฐมองั คสตู รที่ ๙ ๑๐. ทุติยอังคสูตร ความเปน ผูมมี ิตรดเี ปนปจ จยั แหงโพชฌงค [๕๒๐] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ทาํ ปจจัยภายนอกใหเ ปน เหตแุ ลวเรายังไมเล็งเหน็ เหตุอื่นแมอ ันหนึง่ เพื่อความบังเกดิ ขนึ้ แหงโพชฌงค ๗ เหมอื น

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 272ความเปนผูมมี ติ รดีเลย. ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย อันภกิ ษผุ ูม มี ติ รดี พึงหวงั ขอมไิ ดว า จักเจรญิ โพชฌงค ๗ จกั กระทําใหมากซ่ึงโพชฌงค ๗. [๕๒๑] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กภ็ กิ ษุผูมมี ิตรดี ยอมเจรญิ โพชฌงค๗ ยอมกระทาํ ใหม ากซ่งึ โพชฌงค ๗ อยางไรเลา . ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสติสมั โพชฌงค อนั อาศัยวเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ อเุ บกขาสัมโพชฌงค อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะอาศยั นโิ รธ นอ มไปในการสละ ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษผุ ูม มี ติ รดี ยอ มเจริญโพชฌงค ๗ ยอ มกระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ อยางนี้แล. จบทุติยอังคสูตรที่ ๑๐ จบจกั กวัตติวรรคท่ี ๕ รวมพระสูตรทม่ี ีในวรรคท่ี ๕ ๑. วิธาสูตร ๒. จกั กวัตติสตู ร ๓. มารสูตร ๔.ทปุ ปญญสตู ร๕. ปญญวาสูตร ๖. ทลิททสูตร ๗. อทลิททสตู ร ๘. อาทิจจสตู ร ๙. ปฐม-องั คสตู ร ๑๐. ทุติยองคั สูตร พรอมท้งั อรรถกถา.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 273 หมวด ๖ แหงโพชฌงคท ี่ ๖ ๑. อาหารสูตร อาหารของนิวรณ [๕๒๒] สาวัตถนี ิทาน. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เราจักแสดงอาหารและสิง่ ทม่ี ิใชอาหาร ของนิวรณ ๕ และโพชฌงค ๗ แกเ ธอทั้งหลาย เธอทัง้ หลายจงฟงเรอ่ื งนัน้ . [๕๒๓] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหกามฉนั ทะทีย่ ังไมเ กิด เกดิ ข้ึน หรือท่ีเกิดแลว ใหเจริญไพบูลยย ่งิ ข้ึน. ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ศภุ นมิ ติ มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ อโยนิโสมนสิการในศุภนมิ ิตนั้นนีเ้ ปนอาหารใหกามฉนั ทะที่ยังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเจริญไพบูลยย่งิ ขึน้ . [๕๒๔] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหพยาบาททย่ี งั ไมเ กิด เกิดขึ้น หรือทีเ่ กดิ แลว ใหเจรญิ ไพบูลยยงิ่ ขนึ้ . ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ปฏิฆนิมิตมอี ยู การกระทําใหมากซ่ึงอโยนโิ สมนสิการในปฏฆิ นมิ ตินนั้ นี้เปน อาหารใหพยาบาทท่ียงั ไมเ กิด เกดิ ข้นึ หรือท่ีเกิดแลว ใหเ จริญไพบูลยย ิง่ ข้นึ . [๕๒๕] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหถ ีนมทิ ธะที่ยังไมเกดิ เกดิ ขนึ้ หรือท่เี กดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบลู ยยิ่งข้ึน. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ความไมย ินดี ความเกยี จคราน ความบดิ ขีเ้ กยี จ ความเมาอาหารความท่ใี จหดหูมีอยู การกระทําใหมากซ่งึ อโยนโิ สมนสกิ ารในส่ิงเหลานั้น

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 274นีเ้ ปน อาหารใหถ นี มิทธะท่ยี งั ไมเ กิดเกิดขึน้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจรญิ ไพบูลยยิ่งขึน้ . [๕๒๖] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหอ ทุ ธัจจ-กกุ กุจจะที่ยงั ไมเ กิดเกดิ ขน้ึ หรอื ท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบูลยยิ่งข้นึ . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ความไมสงบใจมีอยู การกระทําใหม ากซ่งึ อโยนโิ สมนสกิ ารในความไมส งบใจน้นั นเ้ี ปน อาหารใหอทุ ธจั จะกกุ กุจจะท่ยี ังไมเกิด เกิดข้นึหรือท่ีเกดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบูลยยงิ่ ขึ้น. [๕๒๗] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหว จิ กิ จิ ฉาที่ยังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจริญไพบลู ยย งิ ข้ึน ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลายธรรมทง้ั หลายอันเปน ทตี่ ั้งแหง วจิ กิ จิ ฉามอี ยู การกระทําใหมากซ่ึงอโยนโิ สมน-สิการในธรรมเหลา น้ัน นีเ้ ปน อาหารใหว ิจกิ ิจฉาท่ยี ังไมเ กดิ เกดิ ข้ึน หรือที่เกดิ แลว ใหเ จรญิ ไพบลู ยย่ิงขึน้ . อาหารของโพชฌงค [๕๒๘] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหส ตสิ ัม-โพชฌงคท ยี่ งั ไมเกดิ เกดิ ขึน้ หรือทเ่ี กดิ แลว ใหเ จรญิ บริบรู ณ. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเปน ท่ีตง้ั แหงสตสิ ัมโพชฌงคม อี ยู การกระทาํ ใหม ากซ่ึงโยนิโสมนสิการในธรรมเหลา น้นั น้ีเปนอาหารใหสติสัมโพชฌงคท่ียงั ไมเ กิดเกิดข้นึ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญบริบรู ณ. [๕๒๙] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหธรรมวิจย-สัมโพชฌงคท ย่ี ังไมเกิด เกิดขน้ึ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ธรรมท้ังหลายที่เปนกศุ ลและอกศุ ล ที่มีโทษและไมมีโทษที่เลวและประณตี ที่เปนสวนขา งดําและขางขาว มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 275โยนโิ สมนสิการในธรรมเหลา นั้น นีเ้ ปน อาหารใหธ รรมวจิ ยสมั โพชฌงคท ยี่ งัไมเ กิด เกดิ ขนึ้ หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๓๐] ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา เปน อาหารใหวิรยิ -สัมโพชฌงคท่ยี ังไมเ กิด เกิดขึ้น หรือทีเ่ กดิ แลว ใหเจริญบริบูรณ. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบน่ั มอี ยู การกระทาํใหม ากซงึ่ โยนิโสมนสิการในสิง่ เหลา นน้ั น้เี ปน อาหารใหว ิรยิ สัมโพชฌงคท่ียังไมเกิด เกิดข้ึน หรอื ทเ่ี กดิ แลว ใหเ จรญิ บริบูรณ. [๕๓๑] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย กอ็ ะไรเลา เปนอาหารใหปต ิสัมโพชฌงคทยี่ งั ไมเ กดิ เกิดข้ึน หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจรญิ บรบิ รู ณ. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลายธรรมทัง้ หลายเปน ท่ีตั้งแหง ปติสมั โพชฌงค มีอยู การกระทาํ ใหม ากซง่ึ โยนิ-โสมนสกิ ารในธรรมเหลา นัน้ นเ้ี ปน อาหารใหปต สิ มั โพชฌงคท ่ียังไมเกิดเกิดข้นึ หรอื ท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๓๒] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา เปน อาหารใหปสสทั ธ-ิสัมโพชฌงคท ีย่ ังไมเ กิด เกิดขึ้น หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ. ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซ่ึงโยนโิ สมนสกิ ารในความสงบนี้ นเี้ ปน อาหารใหปส สทั ธิสัมโพชฌงคท ่ียังไมเกดิเกิดข้นึ หรือท่ีเกิดแลว ใหเจรญิ บริบรู ณ. [๕๓๓] ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหสมาธิสมั -โพชฌงคท่ียังไมเ กิด เกิดข้นึ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดูกอนภิกษุท้งั หลาย สมาธนิ ิมิต อัพยัคคนิมติ (นิมติ แหงจติ อันมอี ารมณไมฟุงซาน)มีอยู การกระทาํ ใหม ากซึ่งโยนโิ สมนสกิ ารในนมิ ติ นั้น นเี้ ปน อาหารใหสมาธิสมั โพชฌงคที่ยังไมเกดิ เกิดขึ้น หรือทเี่ กิดแลว ใหเ จรญิ บริบูรณ

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 276 [๕๓๔] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย ก็อะไรเลา เปนอาหารใหอ เุ บกขา-สมั โพชฌงคท ย่ี ิ่งไมเกิด เกิดขน้ึ หรอื ทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ธรรมทงั้ หลายเปน ทีต่ ง้ั แหงอุเบกขาสมั โพชฌงค มอี ยู การกระทาํ ใหม ากซงึ่ โยนิโสมนสิการในธรรมเหลา นัน้ นเี้ ปน อาหารใหอ เุ บกขา-สมั โพชฌงคท ่ียังไมเกิด เกดิ ข้ึน หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. มิใชอ าหารของนวิ รณ [๕๓๕] ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหกามฉันทะที่ยังไมเ กิด เกดิ ขน้ึ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบูลยย่งิ ขึน้ . ดกู อนภกิ ษุท้งั หลายอศุภนมิ ติ มอี ยู การกระทําใหมากซง่ึ โยนิโสมนสิการในอศุภนมิ ิตน้ัน นไ้ี มเ ปนอาหารใหก ามฉนั ทะท่ยี งั ไมเ กิด เกิดขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเจริญไพบูลยยงิ่ ข้นึ . [๕๓๖] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหพยาบาทท่ยี ังไมเกิด เกิดขนึ้ หรือท่ีเกดิ แลว ใหเจริญไพบลู ยยิ่งขนึ้ . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลายเจโตวมิ ตุ ติมีอยู การกระทําใหม ากซึง่ โยนโิ สมนสิการในเจโตวิมุตตนิ ้ัน นไี้ มเปนอาหารใหพยาบาททย่ี งั ไมเ กิด เกดิ ขนึ้ หรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญไพบูลยย่งิ ข้ึน. [๕๓๗] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหถนี มทิ ธะท่ยี งั ไมเ กดิ เกดิ ข้ึน หรือทเี่ กิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยยิง่ ขึ้น. ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลายความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบัน่ มีอยู การกระทาํ ใหมากซงึ่ โยน-ิโสมนสิการในส่ิงเหลานนั้ นไ้ี มเปน อาหารใหถนี มทิ ธะท่ยี งั ไมเกดิ เกดิ ข้นึหรือที่เกดิ แลว ใหเ จริญไพบูลยย่ิงขึน้ . [๕๓๘] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหอทุ ธัจจ-กกุ กจุ จะทยี่ ังไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ท่ีเกิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยย ่งิ ขึน้ . ดกู อน

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 277ภิกษุทั้งหลาย ความสงบใจมีอยู การกระทําใหมากซ่งึ โยนิโสมนสกิ ารในความสงบใจนั้น นีไ้ มเปน อาหารใหอ ุทธัจจกกุ กุจจะท่ยี งั ไมเกดิ เกิดขน้ึ หรือที่เกิดแลว ใหเ จรญิ ไพบูลยย งิ่ ข้ึน. [๕๓๙] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหว ิจกิ ิจฉาทยี่ งั ไมเกิด เกดิ ข้ึน หรือทเ่ี กิดแลว ใหเจรญิ ไพบูลยย ่งิ ข้ึน. ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรมท้งั หลายท่เี ปนกศุ ลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและไมมีโทษ ท่เี ลวและประณีต ท่ีเปนสวนขา งดําและขางขาว มีอยู การกระทาํ ใหมากซึ่งโยน-ิโสมนสกิ ารในธรรมเหลา น้ัน นี้ไมเ ปน อาหารใหวิจกิ ิจฉาทย่ี ังไมเ กิด เกดิ ขนึ้หรอื ท่เี กิดแลว ใหเจริญไพบลู ยยง่ิ ข้นึ . มิใชอ าหารของโพชฌงค [๕๕๐] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหส ตสิ ัม-โพชฌงคทยี่ งั ไมเกดิ เกิดขน้ึ หรอื ท่เี กดิ แลว ใหเจรญิ บริบูรณ. ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ธรรมทัง้ หลายเปน ท่ตี ง้ั แหงสตสิ ัมโพชฌงค มอี ยู การไมก ระทําใหม ากซง่ึ มนสกิ ารในธรรมเหลา นั้น นี้ไมเ ปน อาหารใหส ติสมั โพชฌงคท ่ยี ังไมเ กดิ เกดิ ข้นึ หรือท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๔๑] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหธ รรมวจิ ย-สัมโพชฌงคท่ยี ังไมเ กิด เกิดขึน้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ธรรมท้ังหลายทีเ่ ปนกุศลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและไมม โี ทษทเ่ี ลวและประณีต ท่ีเปน สวนขางดําและขา งขาว มีอยู การไมกระทาํ ใหมากซึ่งมนสิการในธรรมเหลาน้นั น้ีไมเ ปนอาหารใหธ รรมวจิ ยสัมโพชฌงคท ี่ยง่ิไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ที่เกิดแลว ใหเ จริญบรบิ รู ณ.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 278 [๕๔๒] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเปนอาหารใหวริ ยิ -สมั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเกดิ เกิดขนึ้ หรือที่เกดิ แลว ใหเจริญบรบิ รู ณ. ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ความริเร่มิ ความพยายาม ความบากบนั่ มีอยู การไมกระทาํใหมากซึ่งมนสกิ ารในสิง่ เหลา นนั้ นไ้ี มเปน อาหารใหว ริ ยิ สัมโพชฌงคทย่ี งั ไมเกดิเกิดขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ใหเจริญบริบรู ณ. [๕๔๓] ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปน อาหารใหปตสิ มั -โพชฌงคท ่ียงั ไมเ กดิ . เกดิ ข้นึ หรือทีเ่ กิดแลว ใหเจรญิ บริบูรณ ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ธรรมทั้งหลายเปน ท่ตี ั้งแหงปต ิสัมโพชฌงค มอี ยู การไมกระทาํใหม ากซึ่งมนสิการในธรรมเหลานนั้ นีไ้ มเ ปน อาหารใหปตสิ ัมโพชฌงคที่ยงัไมเกดิ เกดิ ขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเ จริญบริบรู ณ. [๕๔๔] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเ ปนอาหารใหปสสัทธิ-สัมโพชฌงคที่ยงั ไมเกดิ เกิดขึ้น หรือทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความสงบกาย ความสงบจติ มีอยู การไมก ระทําใหมากซึง่มนสิการในความสงบนั้น น้ีไมเ ปนอาหารใหปส สทั ธิสัมโพชฌงคท ี่ยังไมเ กิดเกิดขึน้ หรือทเี่ กิดแลว ใหเจรญิ บริบรู ณ. [๕๔๕] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา ไมเปนอาหารใหสมาธ-ิสัมโพชฌงคท่ยี งั ไมเ กดิ เกดิ ขึ้น หรือท่เี กิดแลว ใหเจริญบริบูรณ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย สมาธนิ มิ ิต อัพยัคคนิมติ มอี ยู การไมก ระทาํ ใหม ากซ่งึมนสิการในนิมิตนนั้ นไี้ มเปนอาหารใหส มาธิสมั โพชฌงคท่ียงั ไมเ กดิ เกิดขน้ึหรือท่ีเกิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ.

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 279 [๕๔๖] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ก็อะไรเลา ไมเ ปน อาหารใหอุเบกขา-สัมโพชฌงคท ีย่ ังไมเกดิ เกิดข้ึน หรอื ที่เกดิ แลว ใหเ จริญบรบิ ูรณ. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเปนท่ีตง้ั แหง อเุ บกขาสัมโพชฌงค มอี ยู การไมกระทาํ ใหมากซง่ึ มนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นไี้ มเปน อาหารใหอเุ บกขาสัม-โพชฌงคท ยี่ ังไมเ กดิ เกิดข้นึ หรอื ทีเ่ กิดแลว ใหเจริญบรบิ ูรณ. จบอาหารสูตรท่ี ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 280 อรรถกถาหมวดที่ ๖ แหง โพชฌงค* อรรถกถาอาหารสูตร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอาหารสตู รท่ี ๑ แหง วรรคที่ ๖ ในบทวา อยมาหาโร อนุปปฺ นฺนสสฺ วา สตสิ มโฺ พชฺฌงฺคสสฺอปุ ปฺ าทาย เปนตน น้ีเปน ความตางกันจากนยั กอ น. ธรรมเหลา น้นั มีประการอันกลาวแลว เพือ่ ความเกิดขึ้นแหง สตสิ ัมโพชฌงคเปน ตน อยางเดียวเทานน้ั ก็หามิได ยอ มเปนปจจยั เพอื่ ความเจริญเตม็ ทีแ่ หงโพชฌงคท ั้งหลายท่ีเกดิ แลว ดว ย สวนธรรมแมเ หลาอ่ืน พงึ ทราบอยา งนนั้ แล. สว นธรรมอืน่ อีก ๔ ประการ ยอ มเปน ไปเพื่อความเกดิ ขนึ้ แหง สติสัม-โพชฌงค คอื สติสมั ปชัญญะ ๑ การหลกี เวนคนลืมสติ ๑ ความคบบุคคลมีสติตั้งมั่น ๑ ความนอมจิตไปในธรรมน้นั ๑. ก็สตสิ มั โพชฌงค ยอมเกดิ ข้ึนในฐานะ ๗ มกี ารกา วไปเปนตน ดว ยสตสิ ัมปชญั ญะ ดว ยการหลีกเวนคนลมื สติ เชนกาทิ้งเหย่อื ดวยคบคนมสี ติตงั้ ม่ัน เชน พระติสสทัตตเถระและพระอภยั เถระเปน ตน และดวยมจี ิตนอมไปโนม ไป โอนไป เพ่อื ใหเ กิดขน้ึ ในอิรยิ าบถมกี ารยืนและการน่งั เปน ตน สว นสตสิ ัมโพชฌงคน ั้น อนั เกิดขึ้นดวยเหตุ ๔ ประการ อยา งน้แี ลว ยอมเจรญิเตม็ ทดี่ วยอรหตั มรรค. ธรรม ๗ ประการ ยอ มเปนไปเพอื่ ความเกิดข้นึ แหงธมั มวจิ ยสัม-โพชฌงค คือ ความเปนผไู ตถาม ๑ ความทําวัตถใุ หส ละสลวย ๑ การปรับอนิ ทรียใหเสมอกัน ๑ การหลีกเวนบุคคลทรามปญ ญา ๑ การคบหาบคุ คลมี*อรรถกถาใชว า วรรคที่ ๖.

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 281ปญ ญา ๑ การพิจารณาปาฐะท่ตี อ งใชปญ ญาอนั ลึก ๑ ความนอ มจิตไปในธัมม-วจิ ยะน้ัน ๑. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ปริปุจุฉกตา ไดแ ก ความเปนผมู ากดวยการไตถามถงึ ท่ีอาศยั ของอรรถแหงขนั ธ ธาตุ อายตนะ อินทรีย พละโพชฌงค องคม รรค ฌาน สมถะและวปิ ส สนา. บทวา วตถฺ ุวสิ ทกิรยิ าไดแก การทําวตั ถุท้งั หลายภายในและภายนอกใหส ดใส. ก็เมอื่ ใด ผม เล็บขนของพระโยคาวจรนัน้ ยาว หรอื วา รา งกายมีโทษมาก และเปอ นดว ยเหง่อื ไคลเมอ่ื นน้ั ช่ือวา วัตถภุ ายในไมสดใสคอื ไมห มดจด. ก็เมื่อใด จีวรคร่ําคราเปอ นเปรอะ เหมน็ สาบ หรือวา เสนาสนะรกเรื้อ เมอื่ นั้นชอ่ื วา วัตถุภายนอกไมส ดใส คอื ไมส ะอาด. เพราะฉะนัน้ ควรทาํ วตั ถภุ ายในใหส ดใสดว ยการตัดผมเปน ตน ดวยการทาํ ใหรา งการเบาดว ยการถายยาทั้งเบ้อื งบนและเบอ้ื งลาง และดวยการถูและอาบนํา้ . ควรทาํ วตั ถุภายนอกใหส ดใส ดว ยทาํสูจกิ รรม การซัก และของใชเ ปน ตน. แมญ าณในจติ และเจตสิกทีเ่ กดิ ขนึ้ ในวัตถภุ ายในและภายนอกนน้ั อันไมส ดใส กไ็ มบ รสิ ทุ ธไิ์ ปดว ย ดจุ แสงของเปลวประทีปท่อี าศยั โคม ไสแ ละน้ํามนั ไมส ะอาดเกิดขึ้น กไ็ มสะอาดไปดวยฉะน้นั . เพราะเหตุนน้ั ทา นจึงกลาววา การทาํ วตั ถใุ หส ละสลวย ยอมเปน ไปเพอ่ื ความเกดิ ขนึ้ แหงธัมมวิจยสัมโพชฌงค ดังน.้ี การทาํ อนิ ทรยี ท ัง้ หลายมศี รัทธาเปน ตน ใหเ สมอกัน ชือ่ วา การปรับอินทรยี ใ หเสมอกัน. เพราะวา ถาสัทธินทรยี ข องเธอแกก ลา อนิ ทรยี นอกน้ีออ น. ทนี ั้น วิรยิ นิ ทรยี  จะไมอาจทาํ ปค คหกิจ (กจิ คือการยกจติ ไว) สตนิ -ทรยี จะไมอาจทําอปุ ฏ ฐานกิจ (กิจคอื การอุปการะจติ ) สมาธินทรียจะไมอาจทาํอวิกเขปกจิ (กิจคอื ทําจติ ไมใ หฟ ุงซา น) ปญ ญนิ ทรียจะไมอาจทาํ ทัสสนกิจ(กจิ คือการเห็นตามเปนจริง). เพราะฉะน้นั สทั ธนิ ทรียอนั กลา น้นั ตอ งทาํ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 282ใหล ดลงเสียดวยพิจารณาสภาวะแหง ธรรม ดว ยไมทาํ ไวในใจ เหมอื นเมอื่ เขามนสิการ สัทธนิ ทรยี ทีม่ ีกําลังนัน้ . กใ็ นขอ นม้ี ีเรือ่ งพระวักกลิเถระเปน ตัวอยาง.แตถ าวริ ิยินทรียก ลา ทีนน้ั สัทธินทรยี  กจ็ ะไมอ าจทําอธโิ มกขกิจได (กจิ คือการนอ มใจเชื่อ). อนิ ทรียน อกนี้ ก็จะไมอ าจทํากิจนอกน้ี แตล ะขอ ได.เพราะฉะนน้ั วิริยนิ ทรยี อ นั กลานัน้ ตอ งทาํ ใหลดลงดว ยเจรญิ ปสสทั ธสิ ัม-โพชฌงคเ ปนตน . แมใ นขอนนั้ กพ็ ึงแสดงเร่อื งพระโสณเถระ. ความท่ีเม่ือความกลา แหงอนิ ทรยี อ ันหนึ่งมอี ยู อินทรียนอกน้ี จะไมสามารถในกจิ ของตน ๆได พงึ ทราบในอนิ ทรียท ี่เหลอื อยา งน้ีแล. ก็โดยเฉพาะในอินทรยี  ๕ น้ี บณั ฑิตทั้งหลาย สรรเสริญอยูซึ่งความเสมอกันแหงสัทธากบั ปญ ญาและสมาธกิ บั วริ ยิ ะ. เพราะคนมีสัทธาแกก ลาแตปญญาออน จะเปนคนเชื่องา ย เลอ่ื มใสในส่ิงอนั ไมเปนวัตถ.ุ สวนคนมีปญญากลา แตส ัทธาออ น จะตกไปขา งอวดดี จะเปน คนแกไขไมไ ด เหมอื นโรคมราเกดิ แตย า รกั ษาไมไ ดฉะนั้น ว่งิ พลานไปดวยคดิ วา จิตเปน กุศลเทานั้นกพ็ อ ดงั นีแ้ ลว ไมทําบญุ มที านเปนตน ยอ มเกดิ ในนรก. ตอ ธรรมทง้ั ๒เสมอกนั บคุ คลจึงจะเล่ือมใสในวตั ถแุ ท. โกสชั ชะยอ มครอบงําคนมีสมาธิกลาแตว ริ ยิ ะออ น เพราะสมาธเิ ปน ฝายโกสัชชะ. อุทธจั จะยอ มครอบงาํ คนมีวริ ิยะกลา แตสมาธอิ อ น เพราะวริ ยิ ะเปน ฝายอุทธัจจะ แตส มาธิที่มวี ริ ิยะประกอบเขา ดวยกันแลว จะไมตกไปในโกสชั ชะ. วริ ิยะทม่ี สี มาธปิ ระกอบพรอ มกันแลวจะไมตกไปในอทุ ธจั จะ เพราะฉะนน้ั อนิ ทรยี ทั้ง ๒ นัน้ ตอ งทําใหเ สมอกัน.ดวยวา อปั ปนาจะมไี ด ก็เพราะความเสมอกนั แหง อนิ ทรียท้ัง ๒. อีกอยางหนง่ึ สัทธาแมม ีกาํ ลงั กค็ วรสาํ หรับสมาธิกมั มกิ ะ (ผบู ําเพญ็สมถกัมมัฏฐาน). เธอเมือ่ สัทธามกี ําลงั อยางนี้ เชอื่ ดิ่งลงไปจักบรรลอุ ปั ปนาได. ในสมาธแิ ละปญญาเลา เอกคั คตา (สมาธิ) มีกาํ ลังก็ควร สาํ หรับ

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 283สมาธกิ ัมมกิ ะ ดวยเมอ่ื เอกคั คตามกี ําลงั อยา งนั้น เธอจะบรรลุอัปปนาได.ปญ ญามีกาํ ลงั ยอ มควรสาํ หรับวิปส สนากัมมกิ ะ (ผูบ ําเพญ็ วิปส สนากัมมัฎฐาน).ดว ยเม่อื ปญ ญามกี ําลงั อยางน้นั เธอยอ มจะบรรลุลักขณปฏิเวธ (เห็นแจง ไตร-ลักษณ) ได. แตแ มเพราะสมาธิและปญญาท้งั ๒ เสมอกนั อัปปนาก็คงมไี ด. สวนสติ มีกําลงั ในทท่ี ั้งปวง จึงจะควร เพราะสติรักษาจิตไวแตความตกไปในอทุ ธจั จะ เพราะอาํ นาจแหง สทั ธา วริ ิยะ และปญญาอันเปนฝายอุทธจั จะและรกั ษาจิตไวแ ตความตกไปในโกสชั ชะ เพราะสมาธเิ ปน ฝายโกสัชชะ.เพราะฉะน้นั สตนิ ้นั จงึ จําปรารถนาในทที่ งั้ ปวง ดุจเกลือสะตเุ ปนส่ิงท่พี ึงปรารถนาในกบั ขาวทั้งปวง และดุจสรรพกัมมกิ อาํ มาตย (ผรู อบรูในการงานทงั้ ปวง) เปนผพู ึงปรารถนาในสรรพราชกจิ ฉะนน้ั . เพราะฉะนัน้ ทานจึงกลา ววา ก็แลสติ พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา เปนคณุ ชาติจําปรารถนาในที่ทงั้ ปวง. ถามวา เพราะเหตไุ ร. ตอบวา เพราะจิตมสี ติเปนที่พ่ึงอาศยั และสติมกี ารรกั ษาเอาไวเปน เคร่อื งปรากฏ การยกและขมจิตเวนสตเิ สยี หามไี ดไ มดงั น.ี้ การหลีกเวนไกลบุคคลทรามปญญา ผไู มห ย่งั ลงในความตา งมขี ันธเปน ตน ชอ่ื วา การหลกี เวนบุคคลทรามปญ ญา. การคบหาบุคคลประกอบดว ยปญญาเห็นความเกดิ และความเสื่อมกําหนดได ๕๐ ลักษณะ ขอ วาการคบหาบุคคลมีปญ ญา. การพิจารณาประเภทปาฐะ ดว ยปญญาอันลกึ เปนไปในขนั ธเ ปนตน อันละเอยี ด ชอื่ วา การพจิ ารณาปาฐะท่ตี อ งใชปญญาอันลกึ . ความท่ีจติ นอ มไป โนม ไป โอนไป ในอริ ยิ าบถมกี ารยนื และการนง่ัเปน ตน เพอ่ื ใหเกิดธมั มวจิ ยสัมโพชฌงคข นึ้ ชือ่ วา ความนอมจติ ไปในธัมมวจิ ยะนนั้ . กธ็ มั มวจิ ยสัมโพชฌงคน ั้น ฉนั เกดิ ข้นึ อยางนแี้ ลว ยอมเจริญเตม็ ที่ได ดว ยอรหตั มรรค.

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 284 ธรรม ๑๑ ประการ ยอ มเปน ไปเพ่อื ความเกดิ ข้นึ แหง วริ ยิ สมั โพชฌงคคือ ความพจิ ารณาเหน็ ภัยในอบาย ๑ ความเปนผปู กติเหน็ อานิสงส ๑ ความพิจารณาเห็นทางดาํ เนิน ๑ ความเคารพในการเทีย่ วบณิ ฑบาต ๑ ความพิจารณาเห็นความเปน ใหญแ หงมฤดก ๑ ความพจิ ารณาเห็นความเปน ใหญแ หงพระศาสดา ๑ ความพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงชาติ ๑ ความพิจารณาเห็นความเปนใหญแหง สพรหมจารี ๑ ความหลกี เวน บคุ คลเกยี จคราน ๑ ความคบหาบุคคลปรารภความเพยี ร ๑ ความนอมใจไปในวิรยิ ะน้นั ๑. ในบทเหลา นั้น เม่อื คนแมพ ิจารณาเหน็ ซง่ึ ภัยในอบายอยางนีว้ า ใคร ๆกไ็ มอาจเพ่ือใหว ิรยิ สัมโพชฌงคเกิดขนึ้ ได ในเวลาเสวยทุกขใ หญ จําเดิมแตร บัเครอ่ื งจองจํา ๕ อยา ง ในนรกก็ดี ในเวลาที่ถกู จับดวยแหและไซดักปลาเปนตน ในกาํ เนิดดริ ัจฉานก็ดี ในเวลาทเ่ี ขาท่มิ แทงดวยเคร่อื งประหารมีปฏักตอ นไปเปน ตน นําเกวยี นไปเปนตน ก็ดี ในเวลาเดือดรอนดว ยความหวิ กระหายในปต ตวิ ิสยั ถึงหลายพนั ป ถงึ พทุ ธนั ดรหน่ึงก็ดี ในเวลาเสวยทุกขเกดิ แตล มและแดดเปน ตน เพราะอัตภาพมเี พยี งหนงั หมุ กระดกู ขนาด ๖๐ ศอก และ๘๐ ศอก ในกาลกัญชกิ อสรู กด็ ี ดกู อนภิกษุ น้แี ลเปนเวลาของทาน ดงั นี้วิรยิ สัมโพชฌงคก ย็ อมเกิดขึน้ . เมอื่ มีปกตเิ ห็นอานสิ งสอยางน้วี า คนเกยี จครานหาอาจไดโลกตุ ร-ธรรม ๙ ไม คนปรารภความเพยี รเทานัน้ อาจได. นี้เปน อานิสงสแ หง ความเพยี ร ดงั นี้ วิรยิ สัมโพชฌงคก ็ยอมเกิดข้ึน เมอ่ื พิจารณาเห็นทางดาํ เนนิอยางนวี้ า เราควรดาํ เนินตามทางที่พระพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธะ และมหาสาวกท้งั ปวงดาํ เนินไปแลว และทางน้ัน คนเกียจครา นหาอาจดําเนนิ ไปไดไมดงั น้ี วิรยิ สมั โพชฌงคกย็ อมเกิดขนึ้ .

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 285 เม่ือพจิ ารณาเห็นซง่ึ ความเคารพในบณิ ฑบาตอยางน้ันวา คนทอี่ ุปฏ ฐากทานดว ยบิณฑบาตเปน ตนเหลา นี้ จะเปนญาติทาสกรรมกรของทา น กห็ ามไิ ดเลย พวกเขาเหลานน้ั ถวายบิณฑบาตเปน ตนอันประณีตดว ยคิดวา พวกเราอาศยั ทา นเลยี้ งชีพ กห็ ามไิ ด โดยทีแ่ ท กห็ วังการทาํ ของตนวามีผลใหญ จงึไดถ วาย. ถึงพระศาสดาทรงพจิ ารณาเห็นอยอู ยางน้ันวา ภิกษุน้ี บรโิ ภคปจจัยเหลา นี้แลว มรี า งกายแข็งแรงมาก จักอยสู บายดังน้ี จงึ ไมท รงอนุญาตปจ จยั แกทาน โดยท่แี ท ทรงอนญุ าตปจจยั เหลานนั้ ดวยพระดาํ ริวา ภิกษุนี้ เม่อืบรโิ ภคปจจยั เหลา นี้ จกั ทําสมณธรรมพนจากวฏั ทุกข บดั น้ี เมอื่ ทา นนน้ัเปน คนเกยี จครา น จกั ไมเ คารพกอนขาวนน้ั แตทานผูปรารภความเพยี รเทานั้น ชอื่ วา เคารพในบณิ ฑบาท วริ ยิ สมั โพชฌงคก็ยอมเกิดขึ้น เหมอื นท่ีเกดิ ขึ้นแกพ ระมหามิตตเถระ ผูพ จิ ารณาอยูซ ึ่งความเคารพในบณิ ฑบาต. ไดย นิ วา พระเถระอยปู ระจาํ ในถ้ํากสกะ มหาอบุ าสิกาคนหน่งึ ในโคจรคามของพระเถระนั้นแล ทาํ พระเถระใหเ ปน บตุ รบาํ รงุ อยู วันหนงึ่ เมอ่ื นางไปปา จึงกลาวกะธดิ าวา แม ขา วสารเกา อยใู นที่โนน นํา้ นมอยใู นท่โี นนเนยใสอยูในทีโ่ นน นาํ้ ออยอยใู นทโ่ี นน เจาจงหงุ ขา วแลวถวายพรอ มกับน้ํานมเนยใสและน้าํ ออ ยในเวลาอัยยมิตตเถระผูเปน พ่ีชายของเจา มาแลว เถดิ เจา พงึบริโภคสวนเมื่อวาน แมบรโิ ภคขา วดงั ทีส่ ุกดวยนํ้าสมแลว ดังน้ี. ธิดาจงึถามวา แมกลางวันแมจ กั กนิ อะไร. มารดาจึงกลา ววา ลกู เจา จงตมขาวยาคูเปร้ียวดวยขา วสารปนรํา ใสผ ักวางไว. พระเถระหมจีวรเสรจ็ พอนําบาตรออกไปไดยินเสียงน้นั จึงสอนตนวา ไดย ินวา มหาอบุ าสกิ าบรโิ ภคขาวตงั ดวยน้ําสม ถึงกลางวนั ก็จักบรโิ ภคขา วยาคเู ปรยี้ วใสผกั ยังบอกขาวสารเกา เปน ตน ไว เพือ่ ประโยชนแกเ จา ก็แลนางนน้ั อาศัยกรรมนั้นแลว จะหวังที่นา ส่งิ ของ ภัตร กห็ ามิไดเ ลย แต

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 286นางปรารถนาสมบตั ิ ๓ จึ งถวาย เจาจกั อาจเพ่อื ใหสมบติเหลา นั้นแกนางไดหรอื ไม คดิ วา เจายงั มีราคะ โทสะ โมหะอยู ไมอ าจรบั บณิ ฑบาตนไ้ี ดดังนี้ แลว จึงใสบ าตรไวในถุง ปลดรังดมุ กลับไปยังถาํ้ กสกะนั่นแล วางบาตรไวภายใตเ ตียง พาดจีวรไวทีร่ าวจีวร นง่ั ตง้ั ใจมน่ั ทาํ ความเพียรวา เราไมบรรลพุ ระอรหัตแลว จักไมออกไป ดงั น.ี้ ภิกษุอยูไมประมาทตลอดกาลนานเจริญวิปสสนา บรรลพุ ระอรหตั กอ นภัตเปน มหาขณี าสพ ทาํ การแยม ออกไปดุจปทมุ กําลงั แยม . เทพยดาสิงอยทู ต่ี น ไมใกลประตูถาเปลง อุทานวา ขา แตบุรษุ อาชาไนย ความนอบนอม จงมแี ดทา น ขาแตบรุ ุษผสู ูงสดุ ความ นอบนอ มจงมีแดทาน ขา แตท านนฤทกุ ข ทา นเปน ทักขิไณยบุคคล ผมู ีอาสวะสน้ิ แลว ดังนี้จึงเรยี นวา ขาแตทา นผเู จรญิ หญิงแกถ วายภิกษาแกพระอรหนั ตเ ชนทาน ผเู ขาไปบณิ ฑบาทแลว จกั พน จากทกุ ข. พระเถระลุกข้ึนเปดประตูมองดูเวลา รวู ายงั เชา อยู จงึ ถอื เอาบาตรและจีวรเขาไปยงั บา น. ฝายนางทาริกา จดั ภัตไวพรอมแลว นง่ั แลดูประตอู ยูวา พระพี่ชายของเราจักมาบดั น้ี พระพช่ี ายของราจักมาบดั น้ี . เม่ือพระเถระถึงประตูเรือน นางรับบาตร บรรจุบาตรใหเต็มดว ยบิณฑบาต นํ้านม ประกอบดว ยเนยใสและน้ําออ ย วางไวใ นมอื . พระเถระทําอนโุ มทนาวา จงมคี วามสุขเถดิ เสรจ็ แลวก็หลกี ไป. แมน างกย็ นื แลดูพระเถระนัน้ อย.ู เพราะวา ผิวพรรณของพระเถระในวันนั้นบริสุทธยิ์ งิ่ นกัอินทรยี ก ผ็ องใส สหี นา เปลงปล่งั ดังตาลสกุ หลุดจากข้ัว.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 287 มหาอุบาสกิ ากลับจากปาแลว จึงถามวา ลกู พระพี่ชายของเจามาแลวหรือ. นางบอกความเปน ไปน้นั ท้ังปวง. อุบาสิกาทราบวา กิจแหงบรรพชติของบตุ รของเราถงึ ท่สี ุดแลวในวันน้ี จึงกลาววา ลูก พระพชี่ ายของเจา ยอมยินดีในพระพุทธศาสนา จะกระสนั ก็หาไม ดงั น้.ี เมื่อพจิ ารณาเหน็ ความเปนใหญแหง มรดกวา อริยทรพั ย ๗ นเ้ี ปนมรดกอันยง่ิ ใหญข องพระศาสดา คนเกียจคราน หาอาจรับมรดกนน้ั ไดไ ม.เปรยี บเหมือนมารดาบดิ าไมรบั รองบุตรผปู ฏิบตั ผิ ดิ วา ผนู ีไ้ มใชบตุ รของเราโดยความลว งไปแหงมารดาบิดาเหลาน้นั เขาก็ไมไ ดมรดก ฉนั ใด แมค นเกยี จครา น ยอมไมไ ดม รดกคอื อริยทรพั ยน ้ี ฉนั นน้ั ผปู รารภความเพียรเทาน้นั ยอ มไดดงั น้ี วริ ยิ สัมโพชฌงคก ็ยอ มเกิดขนึ้ . แมเมื่อพจิ ารณาเหน็ ความเปนใหญแหงพระศาสดาอยางนี้วา กแ็ ลพระศาสดาของทานใหญ คือ ในกาลท่พี ระศาสดาทรงถือปฏิสนธิในพระครรภของพระมารดาของทา นก็ดี ในการเสดจ็ ทรงผนวชกด็ ี ในการตรัสรกู ็ดี ในการทรงยังธรรมจกั รใหเ ปน ไป ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย การเสดจ็ ลงจากเทวโลกและในการทรงปลงอายุสังขารกด็ ี ในกาลปรนิ ิพพานกด็ ี หมื่นโลกธาตุไดห วั่นไหวแลว คนที่บวชในศาสนาของพระศาสดาเหน็ ปานน้ี เปน ผูเกียจครา น สมควรหรอื ดังน้ี วริ ยิ สมั โพชฌงคกย็ อมเกิดข้นึ . แมเ ม่ือพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงชาตอิ ยางนว้ี า บดั นี้แมโดยชาติทา นไมใ ชม ชี าตติ ํ่า คือ ทานเกิดในวงศของพระเจา โอกกากราช สืบตอจากพระเจา มหาสมมติ อันไมป ะปนกัน เปน หลานของพระเจาสุทโธทนมหาราชและพระนางมหามายาเทวี เปนนอ งของราหลุ ภัทร ทา นไดช อ่ื วา เปนชินบคุ คลเห็นปานนี้ เกียจครานอยู ไมส มควรเลยดงั นี้ วริ ยิ สัมโพชฌงคก ็ยอ มเกดิ ขนึ้แมเมือ่ พจิ ารณาเห็นความเปน ใหญแหงสพรหมจารีอยา งน้ันวา พระสารบี ตุ ร


























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook