Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_30

tripitaka_30

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_30

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 316เปนอยา งย่งิ เพราะภิกษุผยู ังไมแ ทงตลอดวมิ ุตตอิ ันยวดยงิ่ ในธรรมวนิ ยั น้ีปญ ญาของเธอจงึ ยังเปน โลกีย. [๕๙๙] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ก็มุทิตาเจโตวิมตุ ติ อันบคุ คลเจริญแลวอยางไร มอี ะไรเปน คติ มีอะไรเปนอยา งยง่ิ มอี ะไรเปนผล มอี ะไรเปนทีส่ ุด.ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอมเจริญสติสัมโพชฌงค ฯลฯยอมเจรญิ อุเบกขาสัมโพชฌงค อันสหรคตดวยมุทติ า อาศยั วิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ถาเธอหวงั อยวู า เราพึงมคี วามสาํ คัญวาปฏกิ ลู ในส่ิงไมป ฏิกลู อยู. เธอก็ยอมมีความสาํ คญั วา ปฏิกลู ในส่งิ ไมป ฏิกลู น้นั อยู.ฯลฯ ถา หวังอยวู า เราพึงแยกสิ่งไมป ฏิกลู และปฏกิ ูลทั้งสองนน้ั ออกเสยี แลววางเฉย มสี ตสิ ัมปชัญญะอยูก ็ยอ มวางเฉย ทีส่ ตสิ มั ปชญั ญะในส่งิ ทง้ั สองนัน้ อยูหรอื อีกอยางหนง่ึ เพราะลว งอากาสานัญจายตนะเสียโดยประการทัง้ ปวง เธอคาํ นงึ อยวู า วญิ ญาณไมม ีทส่ี ดุ ยอมบรรลุวญิ ญาณัญจายตนะอยู ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เรากลา วมทุ ติ าเจโตวมิ ุตตวิ า มวี ญิ ญาณัญจายตนะเปนอยางยง่ิเพราะภิกษนุ ้นั ยงั ไมแทงตลอดวิมตุ ติอนั ยวดยิง่ ในธรรมวนิ ยั นี้ ปญญาของเธอจงึ ยังเปนโลกยี . [๖๐๐] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็อเุ บกขาเจโตวมิ ุตตอิ ันบคุ คลเจริญแลวอยา งไร มอี ะไรเปนคติ มีอะไรเปนอยา งย่ิง มีอะไรเปน ผล มอี ะไรเปนท่ีสุด.ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยอ มเจริญสตสิ ัมโพชฌงค ฯลฯยอ มเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อนั สหรคตดว ยอุเบกขา อาศัยวิเวก อาศยัวริ าคะ อาศยั นิโรธ นอ มไปในการสละ ถา เธอหวงั อยวู า เราพึงมคี วามสาํ คญั วาปฏกิ ูลในส่งิ ไมป ฏกิ ูลอยู เธอก็ยอมมคี วามสาํ คญั วา ปฏิกลู ในส่ิงไมปฏิกลู นัน้ อยู ถาหวังอยูวา เราพงึ มคี วามสาํ คัญวา ไมป ฏิกลู ในสงิ่ ปฏิกูลอยูกย็ อมมคี วามสาํ คญั วา ไมป ฏกิ ูลในส่งิ ปฏิกลู น้ันอยู ถาหวงั อยวู า เราพึงมีความ

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 317สาํ คญั วาปฏิกูลในสิง่ ไมป ฏิกลู และสิ่งปฏกิ ูลอยู ก็ยอ มมีความสาํ คัญวา ปฏิกลู ในสงิ่ ไมป ฏกิ ูลและส่งิ ปฏิกูลน้นั อยู ถา หวังอยวู า เราพึงมคี วามสาํ คญั วาไมป ฏกิ ลูในสิ่งปฏกิ ลู และไมป ฏกิ ูลอยู ก็ยอ มมีความสําคญั วาไมป ฏกิ ลู ในส่งิ ปฏกิ ลู และในส่งิ ไมป ฏกิ ลู นน้ั อยู ถา หวงั อยวู า เราพึงแยกสิ่งไมป ฏกิ ลู และปฏิกูลท้งั สองน้นั ออกเสยี แลว วางเฉย มีสติสมั ปชญั ญะอยู ก็ยอมวางเฉย มีสตสิ ัมปชญั ญะในส่ิงทง้ั สองนั้นอยู หรอื อีกอยางหนึ่ง เพราะลวงวิญญาณญั จายตนะเสียโดยประการทงั้ ปวง เธอคาํ นงึ อยวู า อะไรนิดหนง่ึ ไมม ี ยอ มบรรลุอากิญจญั ญาย-ตนะอยู ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เรากลา วอเุ บกขาเจโตวิมตุ ตวิ า มีอากญิ จัญญายตนะเปนอยางย่งิ เพราะภิกษนุ นั้ ยงั ไมแทงตลอดวิมุตตอิ นั ยวดย่ิง ในธรรมวนิ ัยน้ี ปญ ญาของเธอจึงยังเปนโลกีย. จบเมตตาสตู รท่ี ๔ อรรถกถาเมตตาสูตร พงึ ทราบวินิจฉยั ในเมตตาสตู รที่ ๔. บทวา เมตตฺ าสหคเตน เจตสา เปนตน ท้ังหมดทา นใหพ สิ ดารไวใ นวิสุทธิมรรค โดยอาการทง้ั ปวงแลว. พวกอัญญเดียรถยี เหลานั้น ฟงธรรมเทศนาของพระศาสดาโดยนัยกอนน่นั แล จึงกลาวบทแมน ี้วา มยมฺปโข อาวโุ ส สาวกาน เอว ธมฺม เทสม ดงั น.้ี ความจริง ในลทั ธขิ องพวกเดียรถีย การละนวิ รณ ๕ หรือการเจรญิพรหมวิหารมีเมตตาเปน ตน ยอ มไมมี. บทวา กึ คตกิ า โหติ คือมีอะไรสาํ เร็จ. บทวา กมิ ปฺ รมา คืออะไรสูงสดุ . บทวา กมิ ฺผลา คือมีอะไรเปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 318อานสิ งส. บทวา กมิ ฺปรโิ ยสานา คือมีอะไรจบลง. บทวา เมตตฺ าสหคตไดแ ก สติสัมโพชฌคงคอนั ประกอบเกี่ยวของสัมยตุ ดว ยเมตตา. ในบททั้งปวงก็นัยน้แี ล. บทวา วเิ วกนิสฺสติ า เปนตน มเี นื้อความอนั กลา วแลวแล. บทวา อปปฺ ฏิกูล ความวา สิ่งไมป ฏกิ ูลมี ๒ อยาง คอื ไมปฏกิ ูลในสัตว และไมป ฏิกลู ในสังขาร. อธิบายวา ในสิงอนั นาปรารถนาอันไมป ฏิกูลน้ัน. บทวา ปฏกิ ูลสฺ ี คือมีความสาํ คัญวา ไมน า ปรารถนา. ถามวาขอ ท่เี ธอมีความสาํ คญั วา ปฏิกูลในสง่ิ ไมปฏิกูลนน้ั อยา งไร จงึ อยอู ยางน้ีไดตอบวา เธอทําในใจวา ไมงามแผไปหรือวา ไมเ ทยี ง จงึ อยอู ยา งนี้ได. ขอ น้ันจริง ตามทที่ า นกลาวไวในปฏสิ มั ภทิ าวา เธอมีความสาํ คญั วา ปฏกิ ลู ในสง่ิ ไมปฏิกูลอยา งไร เธอยอมแผไปในสิ่งอันนาปรารถนา โดยความเปน ของไมงามหรือพิจารณาโดยความเปนของไมเทย่ี ง. แตเ มอ่ื เธอทาํ การแผเ มตตา หรอื ทําในใจถงึ โดยความเปน ธาตุ ในสิง่ อันเปนปฏกิ ลู ไมน า ปรารถนา ช่ือวา มีความสาํ คัญวา ไมป ฏิกลู อยู เหมือนทท่ี า นกลา วไววา ผูมคี วามสาํ คญั วา ไมปฏิกลู อยูอยา งไร เธอแผไ ปในส่งิ อันไมน าปรารถนาโดยเมตตา หรอื พิจารณาโดยความเปน ธาตุ ดังนี้. แมในบททีค่ ลกุ เคลากนั ท้ังสอง ก็มนี ยั น้ีเหมอื นกัน.ก็เธอเมือ่ ทาํ ในใจวา ไมงามแผไป หรอื วาไมเทย่ี ง นน้ั นัน่ แล ท้ังในสิ่งไมปฏกิ ูล และปฏิกลู มีความสําคญั วา ปฏิกลู อยู. กเ็ ธอทําการแผเ มตตา หรือทําในใจถงึ โดยความเปน ธาตนุ ้นั นั่นแลทงั้ ในส่ิงปฏกิ ลู และไมป ฏิกูล ชือ่ วา มีความสําคัญวา ไมป ฏกิ ูลอยู. แตเม่อื ปรารถนา ฉฬงั คเุ ปกขาอันทานกลา วไวโดยนัยเปน ตน วา ตาเหน็ รปู ไมดใี จเลยดังน้ี พงึ ทราบวา เธอแยกสงิ่ ท้ังสองนั้น ในสิง่ ไมป ฏิกลู หรอื สิ่งปฏิกูลออกเสยี แลว วางเฉย มีสตสิ ัมปชญั ญะอยูใ นสงิ่ ท้งั สองนั้น. ก็เทศนา พึงแยกออกจากกนั เพราะมรรคโพชฌงค และอรยิ ิทธกิ ับวปิ สสนา ทรงแสดงแกภ ิกษนุ ี้ ผูยังฌานหมวด ๓ หรอื ฌานหมวด ๔ ใหเกดิ

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 319แลวดว ยเมตตา ทําฌานนั้นแลใหเ ปนบาท เจริญวิปส สนาบรรลุพระอรหัตดวยคํามปี ระมาณเทาน.้ี สวนภิกษุใดทําเมตตาฌานนีใ้ หเ ปน บาทแลว แมพิจารณาสังขารทัง้ หลายอยู ยงั ไมส ามารถจะบรรลุพระอรหตั ได เพราะเมตตามีพระอรหัตเปน อยางย่ิงไมมแี กภิกษนุ ัน้ . แตพ งึ แสดงขอทเ่ี มตตามพี ระอรหตัเปนอยา งย่งิ น้ัน. ฉะนน้ั ทรงเร่มิ เทศนานเ้ี พอ่ื แสดงขอนัน้ . แมใ นบทเปนตน วา สพฺพโส วา ปน รูปสฺ าน สมตกิ ฺกมฺมา พึงทราบถึงประโยชนในการเริ่มตนของเทศนา โดยนยั น้ีอกี ตอ ไป. บทวา สภุ ปรม ความวา มคี วามงามเปน ที่สุด มีความงามเปนสวนสุด มีความงามสาํ เรจ็ . บทวา อิธ ปฺ สฺส ความวา ปญญาของเธอในธรรมวินัยน้ี ปญ ญาในทน่ี ี้ ยงั ลวงโลกน้ีไมไ ด. อธิบายวา ปญ ญาน้นั เปนโลกยิ ปญ ญา. บทวา อุตฺตริวมิ ตุ ฺตึ อปปฺ ฏวิ ิชฌฺ โต ความวา แทงตลอดโลกุตรธรรมยงั ไมได. อธบิ ายวา สว นภกิ ษุใด ยอมสามารถเพื่อแทงตลอดได ภิกษนุ ้ัน ไดเ มตตา มีอรหตั เปน อยา งย่ิง. แมในบทวา กรุณาเปนตนก็มีนัยน้เี หมอื นกัน. ถามวา กเ็ พราะเหตุไร พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรัสธรรมมคี วามงามเปนอยางยิ่งเปนตน แหง ธรรมมเี มตตาเปนตน เหลาน้ัน. ตอบวา เพราะธรรมนน้ั เปน อปุ นสิ ยั ของภิกษนุ ้ัน ๆ ดว ยอํานาจความเปน ธรรมมสี วนเสมอกัน.ความจริง พวกสัตว ไมเปน สง่ิ ปฏกิ ลู สําหรบั ภิกษผุ อู ยูดวยเมตตา. ลาํ ดบั นนั้เมื่อเธอนําจิตเขา ไปในสีเขยี วเปนตน อันเปน สบี รสิ ทุ ธิ์ ไมปฏิกูล จติ ยอมแลน ไปในสิง่ อนั ไมเ ปนปฏกิ ลู นัน้ โดยไมย าก เมตตาเปนอุปนสิ สัยปจ จยั แหงสุภวโิ มกข ดว ยอาการอยา งนนั้ หายิง่ กวาน้นั ไม เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั วาสภุ ปรมา ดังนี้แล. ภกิ ษุผูอ ยดู วยกรณุ า พิจารณาเห็นทกุ ขของสตั ว มีความเดอื ดรอนเปน ตน เปนเคร่อื งหมายแหง รปู . โทษในรปู จงึ ยอมเปนอนั แสดง เพราะ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 320ความเปน ไปและความเกดิ แหงกรุณา. ลําดับนนั้ เธอเม่อื เพกิ ซ่ึงในบรรดากสณิ ๔ มปี ฐวกี สณิ เปนตน กสิณอยา งใดอยางหนง่ึ ไดแ ลว เพราะโทษแหงรปู ไดร หู มดแลว นําจติ เขา ไปในอากาศเปนท่ีสลัดรูปออก จิตยอ มแลน ไปในกสิณนัน้ โดยไมยาก. กรุณาเปนอปุ นิสสยปจ จัยแกอ ากาสานญั จายตนะดว ยอาการอยางนนั้ หาย่งิ กวา นนั้ ไม เพราะฉะนัน้ จึงตรสั วา อากาสานฺจาย-ตนปรมา ดังน.้ี สว นภิกษุผอู ยูดวยมุทติ า พิจารณาเหน็ ความรสู กึ ของพวกสัตวผูม ีปราโมทยทีเ่ กิดขึ้น ดว ยทําปราโมทยน ัน้ จะมคี วามรสู กึ ไดเ พราะความเปนไปและความเกิดแหง มทุ ติ า. ลําดับนนั้ เมอื่ เธอนาํ จติ เขาไปในวญิ ญาณ ลว งอากาสานัญจายตนะทไ่ี ดแ ลวตามลาํ ดบั แตย งั มอี ากาศนมิ ิตเปนอารมณจ ติ ยอ มแลนไปในอากาศนมิ ิตนนั้ โดยไมย าก มทุ ติ าเปนอุปนิสสยปจจยั แกวิญญา-ณัญจายตนะดว ยอาการอยางนั้น หายงิ่ กวา น้ันไม. เพราะฉะน้ัน จงึ ตรสั วาวิฺาณญิจายตนปรมา ดังน้.ี สว นภกิ ษผุ อู ยูดวยเบกขา มจี ติ ลําบากดวยยดึ ส่งิ ทไี่ มม ี เพราะไมมีความหว งใยวา ขอสตั วท ง้ั หลายจงมีสขุ เถิด หรือจงพน ทกุ ขเ ถิด หรอื วา จงอยาพลดั พรากจากสุขท่ีถึงแลว เถดิ ดังน้ี เพราะมงุ หนายดึ ปรมตั ถ จากสุขและทุกขเ ปน ตน . ลําดับนั้น เม่ือเธอนาํ จติ เขา ไปในความไมม ีแหง วญิ ญาณเปน ปรมัตถ ซึง่ ไมม ีอยู เพราะเกิดลว งวญิ ญาณัญจายตนะทไ่ี ดแ ลวตามลําดับของจิต ซึ่งลําบากเพราะยดึ สิง่ ทีม่ ีอยู โดยปรมัตถของจติ ซึ่งมงุ หนายดึ ปรมัตถจติ ยอมแลนไปในวญิ ญาณัญจายตนะนั้นโดยไมยาก อุเบกขาเปน อปุ นสิ สยปจจัยแกอากญิ จัญญายตนะดว ยอาการอยา งนัน้ หายิ่งกวา นัน้ ไม เพราะฉะนน้ั จึงตรัสวา อากิฺจฺ ายตนปรมา ดังวามาดว ยประการฉะนี้. ในท่สี ดุ แหง เทศนา พวกภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลพุ ระอรหัต. จบอรรถกถาเมตตาสูตรที่ ๔

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 321 ๕. สคารวสูตร นิวรณเ ปน เหตุใหมนตไ มแ จมแจง [๖๐๑] สาวตั ถีนิทาน. คร้ังนน้ั พราหมณช่อื วาสคารวะ เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงทีป่ ระทับ ไดป ราศรยั กบั พระผูมีพระภาคเจาครน้ั ผานการปราศรัยพอใหระลกึ ถงึ กนั ไปแลว จงึ นัง่ ณ ทีค่ วรสว นขางหนง่ึครน้ั แลวไดทลู ถามพระผูมพี ระภาคเจาวา [๖๐๒] ขาแตพ ระโคดมผูเจรญิ อะไรหนอเปน เหตุ เปน ปจจยั ใหมนตแมท ี่บุคคลกระทําการสาธยายไวน าน ไมแจม แจงในบางคราว ไมตอ งกลาวถงึ มนตท ่มี ไิ ดก ระทาํ การ. สาธยายะ ขา แตพ ระโคดมผูเ จรญิ อะไรหนอเปนเหตุ เปนปจจยั ใหม นตแ มท่ีมไิ ดกระทาํ การสาธยายเปนเวลานาน กย็ งั แจมแจงในบางคราว ไมตองกลา วถงึ มนตท ี่กระทาํ การสาธยาย [๖๐๓] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสตอบวา ดกู อนพราหมณ สมัยใดแล บคุ คลมีใจฟุงซานดวยกามราคะ อนั กามราคะเหนี่ยวรั้งไป และไมรูไมเหน็ อบุ ายเปน เคร่ืองสลดั ออกซงึ่ กามราคะท่ีบงั เกดิ ขึ้นแลว ตามความเปนจริงสมยั น้ัน เขาไมร ูไมเหน็ แมซึง่ ประโยชนคนตามความเปนจรงิ แมซ ึ่งประโยชนบคุ คลอ่ืนตามความเปน จริง แมซงึ่ ประโยชนท ง้ั สองอยางตามความเปนจริงมนตแมท ี่กระทาํ การสาธยายไวนาน ก็ไมแ จมแจงได ไมตอ งกลาวถงึ มนตท ่ีมิไดกระทําการสาธยาย. [๖๐๔] ดูกอนพราหมณ เปรียบเหมือนภาชนะใสน าํ้ ซ่งึ ระคนดว ยสคี รงั่ สเี หลือง สเี ชยี ว สีแดงออ น บุรุษผมู จี กั ษุ เมอื่ มองดเู งาหนา ของตนในนํ้านัน้ ไมพึงรู ไมพ ึงเหน็ ตามความเปน จรงิ ได ฉนั ใด ฉันนัน้ เหมอื นกนั

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 322สมัยใด บุคคลมีใจฟุง ซานดวยกามราคะ อันกามราคะเหน่ยี วร้ังไป และไมรูไมเ ห็นอบุ ายเปนเคร่อื งสลดั ออกซง่ึ กามราคะทบ่ี ังเกดิ ข้ึนแลว ตามความเปนจริง ในสมัยน้ัน เขายอมไมรู ไมเ ห็นแมซึง่ ประโยชนต นตามความเปน จรงิแมซง่ึ ประโยชนบคุ คลอื่นตามความเปนจริง แมซึง่ ประโยชนทัง้ สองนั้นตามความเปน จริง มนตแมทกี่ ระทาํ การสาธยายไวน าน กไ็ มแ จมแจง ได ไมตอ งกลาวถึงมนตท่มี ไิ ดก ระทาํ การสาธยาย. [๖๐๕] ดูกอนพราหมณ อีกประการหน่ึง สมัยใด บคุ คลมใี จฟุงซา นดว ยพยาบาท อนั พยาบาทเหนย่ี วรง้ั ไป และยอ มไมร ู ไมเ หน็ อุบายเปน เครอื่ งสลดั ออกซงึ่ พยาบาททบี่ งั เกิดขนึ้ แลว ตามความเปน จริง . . . [๖๐๖] ดกู อ นพราหมณ เปรียบเหมือนภาชนะใสน้ํา ซง่ึ รอ นเพราะไฟเดือดพลาน มีไอพลงุ ข้นึ บรุ ุษผูมีจกั ษุ เมื่อมองดูเงาหนา ของตนในน้ํานนั้ไมพงึ รูไ มพ งึ เห็นตามความเปนจรงิ ฉันใดฉนั นนั้ เหมอื นกัน สมยั ใด บคุ คลมใี จฟงุ ซานดวยพยาบาท อนั พยาบาทเหนย่ี วรัง้ ไป และยอ มไมร ู ไมเหน็ อุบายเปนเครือ่ งสลัดออกซง่ึ พยาบาทที่บังเกิดขึ้นแลว ตามความเปนจริง . . [๖๐๗] ดกู อ นพราหมณ อกี ประการหนงึ่ สมัยใด บุคคลมใี จฟุงซานดวยถนี มทิ ธะ อันถนี มิทธะเหนยี่ วร้งั ไป ยอ มไมร ู ไมเหน็ อุบายเปนเคร่ืองสลัดออกซง่ึ ถีนมทิ ธะที่บังเกิดข้นึ แลว ตามความเปน จริง. . . [๖๐๘] ดกู อนพราหมณ เปรียบเหมอื นภาชนะใสนํา้ อันสาหรา ยและจอกแหนปกคลมุ ไว บุรุษผูมจี กั ษุ เมื่อมองดเู งาหนาของตนในนํา้ น้นัไมพ ึงรู ไมพงึ เหน็ ตามความเปนจรงิ ฉันใด ฉนั น้นั เหมอื นกนั สมัยใดบคุ คลมใี จฟุงซา นดวยถีนมนิ ธะ อันถีนมนิ ธะเหน่ียวรัง้ ไว และยอมไมร ู ไมเหน็ อบุ ายเปนเครอ่ื งสลดั ออกซ่งึ ถีนมิทธะทีบ่ งั เกิดข้ึนแลว ตามความเปน จริง . . .

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 323 [๖๐๙] ดกู อ นพราหมณ อกี ประการหนึง่ สมยั ใด บุคคลมใี จฟงุ ซานดวยอุทธจั กุกกุจจะ อันอุทธจั จกกุ กุจจะเหนีย่ วรงั้ ไป และยอมไมร ูไมเ หน็ อบุ ายเปน เครอ่ื งสลัดออกซ่ึงอุทธจจั กุกกุจจะทบี่ ังเกดิ ขึ้นแลวตามความเปนจริง. [๖๑๐] ดูกอ นพราหมณ เปรยี บเหมือนภาชนะใสนา้ํ อนั ลมพัดตองแลว หวั่นไหว กระเพอ่ื ม เกดิ เปนคล่ืน บรุ ุษผมู จี ักษุ เมื่อมองดูเงาหนาของตนในนํา้ น้ัน ไมพ ึงรู ไมพ ึงเห็นตามความเปน จรงิ ฉนั ใด ฉันนนั้ เหมอื นกนั สมยั ใด บุคคลมใี จฟุงซานดวยอุทธัจจกกุ กุจจะ อนั อุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป และยอ มไมร ู ไมเหน็ อบุ ายเปนเครอ่ื งสลัดออกซง่ึ อทุ ธัจจ-กกุ กจุ จะท่บี ังเกิดขึน้ แลวตามความเปนจรงิ . . . [๖๑๑] ดกู อนพราหมณ อีกประการหนงึ่ ในสมยั ใด บคุ คลมใี จฟุงซานดว ยยวิจิกิจฉา อันวจิ กิ จิ ฉาเหนีย่ วรัง้ ไป และไมรู ไมเ หน็ อบุ ายเปนเครอ่ื งสลดั ออกซ่ึงวิจกิ จิ ฉาท่บี งั เกิดขนึ้ แลว ตามความเปน จริงสมยั นั้น เขายอมไมร ู ไมเหน็ แมซึง่ ประโยชนตนตามความเปนจริง แมซ ึง่ ประโยชนบ คุ คลอ่นืตามความเปน จริง แมซง่ึ ประโยชนท้งั สองอยา งตามความเปนจรงิ มนตแ มท ี่กระทาํ การสาธยายไวน าน ก็ไมแจมแจงได ไมต องกลาวถงึ มนตท ี่มไิ ดก ระทาํการสาธยาย. [๖๑๒] ดูกอนพราหมณ เปรยี บเหมอื นภาชนะใสน้ําท่ีขนุ มวั เปนเปอ กตมอนั บคุ คลวางไวใ นทม่ี ดื บุรุษผูม จี กั ษุ เมือมองดเู งาหนา าข องตนในนํ้านนั้ ไมพ งึ รไู มพ ึงเห็นตามความเปนจริง ฉนั ใด ฉนั นนั้ เหมอื นกัน สมยั ใดบคุ คลมใี จฟุงซา นดวยยวิจิกจิ ฉา อันวจิ ิกิจฉาเหนย่ี วแรงไป และยอ มไมรู ไมเห็นอบุ ายเปนเครอื่ งสลัดออกซง่ึ วิจิกจิ ฉาท่ีบังเกิดขน้ึ แลวตามความเปน จริงสมยั น้ัน เขายอ มไมรไู มเห็นแมซ ่ึงประโยชนต นตามความเปนจรงิ แมซ ึ่ง

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 324ประโยชนบุคคลอ่ืนตามความเปนจริง แมซ งึ่ ประโยชนท ้งั สองอยางตามความเปน จริง มนตท ก่ี ระทําการสาธยายไวน าน กไ็ มแจมแจง ได ไมต องกลาวถึงมนตท ม่ี ไิ ดกระทาํ การสาธยาย [๖๑๓] ดกู อนพราหมณ น้แี ลเปนเหตุ เปนปจจยั ใหมนตแมท ี่กระทาํ การสาธยายไวนาน ไมแจมแจงในบางคราว ไมต องกลาวถงึ มนตที่มิไดกระทําการสาธยาย. [๖๑๔] ดกู อ นพราหมณ สว นสมัยใด บคุ คลมีใจไมฟุงซา นดวยกามราคะ ไมถกู กามราคะเหน่ียวรั้งไป และยอ มรู ยอมเห็นอบุ ายเปน เคร่ืองสลดั ออกซึง่ กามราคะทบ่ี ังเกดิ ข้นึ แลวตามความเปน จริง สมยั น้นั เขายอมรูยอมเหน็ แมซ ึ่งประโยชนต นตามความเปนจรงิ แมซ งึ่ ประโยชนบ คุ คลอน่ื ตามความเปนจริง แมซงึ่ ประโยชนทัง้ สองอยางตามความเปน จริง มนตแมที่มิไดกระทําการสาธยายเปน เวลานาน ยอ มแจม แจงได ไมตอ งกลาวถึงมนตท ่ีกระทาํ การสาธยาย. [๖๑๕] ดกู อ นพราหมณ เปรียบเหมอื นภาชนะใสน ํา้ อันไมร ะคนดวยสคี รัง่ สเี หลอื ง สเี ขยี ว หรอื สีแดงออน บรุ ุษผมู จี กั ษุ เมอ่ื มองดูเงาหนาของตนในนํ้านัน้ พึงรู พึงเห็นตามความเปนจรงิ ฉนั ใด ฉันนน้ั เหมอื นกนัสมยั ใด บุคคลมใี จไมฟงุ ซานดว ยกามราคะ ไมถูกกามราคะเหนีย่ วรัง้ ไป และยอ มรู ยอ มเห็นอุบายเปน เครื่องสลดั ออกซงึ่ กามราคะทีบ่ งั เกดิ ขึน้ แลว ตามความเปนจรงิ ฯลฯ [๖๑๖] ดูกอ นพราหมณ อีกประการหน่งึ สมัยใด บคุ คลมใี จไมฟงุ ซาน ดวยพยาบาท ไมถกู พยาบาทเหนี่ยวรง้ั ไป และยอมรู ยอ มเหน็ อุบายเปน เคร่ืองสลดั ออกซ่ึงพยาบาททบี่ ังเกดิ ขึ้นแลวตามความเปน จริง ฯลฯ

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 325 [๖๑๗] ดกู อนพราหมณ เปรียบเหมอื นภาชนะใสน ํ้าทไ่ี มร อ นเพราะไฟ ไมเดือดพลาน ไมเกิดไอ บุรุษผมู จี ักษุ เมื่อมองดูเงาหนา ของตนในนํา้ นัน้ พึงรู พึงเห็นตามความเปน จรงิ ได ฉนั ใด ฉนั นั้นเหมอื นกันสมัยใด บุคคลมใี จไมฟุง ซานดวยพยาบาท ไมถูกพยาบาทเหนี่ยวร้ังไป และยอมรู ยอ มเหน็ อุบายเปน เครอ่ื งสลดั ออกซึ่งพยาบาทท่บี งั เกดิ ขนึ้ แลว ตามความเปน จริง ฯลฯ [๖๑๘] ดูกอ นพราหมณ อีกประการหน่งึ สมัยใด บคุ คลมีใจไมฟงุ ซา นดวยถนี มทิ ธะ ไมถูกถีนมทิ ธะเหนี่ยวรั้งไป และยอมรู ยอมเห็นอุบายเปนเครอ่ื งสลัดออกซ่งึ ถนี มิทธะท่บี งั เกิดขึน้ แลว ตามความเปน จริง ฯลฯ [๖๑๙] ดกู อนพราหมณ เปรยี บเหมอื นภาชนะใสนา้ํ อนั สาหรา ยและจอกแหนไมปกคลุมไว บุรุษผมู จี ักษุ เมือมองดูเงาหนาของตนในนํา้ น้ัน พึงรูพงึ เห็นตามความเปนจรงิ ได ฉนั ใด ฉันน้นั เหมอื นกนั สมัยใด บุคคลมใี จไมฟ ุงซานดว ยถนี มทิ ธะ ไมถูกถีนมทิ ธะเหนย่ี วร้ังไป และยอ มรู ยอมเหน็อบุ ายเปน เคร่ืองสลดั ออกซึ่งถีนมทิ ธะที่บังเกิดขึน้ แลว ตามความเปน จรงิ ฯลฯ [๖๒๐] ดูกอ นพราหมณ อกี ประการหน่ึง สมัยใด บุคคลมใี จไมฟุงซานดว ยอุทธัจจกกุ กจุ จะ ไมถูกอทุ ธัจจกกุ กุจจะเหนย่ี วรง้ั ไป และยอ มรูยอ มเห็นอบุ ายเปนเคร่อื งสลัดออกซ่ึงอทุ ธัจจกุกกุจจะทบี่ งั เกิดขน้ึ แลว ตามความเปน จรงิ ฯลฯ [๖๒๑] ดูกอ นพราหมณ เปรยี บเหมอื นภาชนะใสน ้าํ อนั ลมไมพ ดัตอ งแลว ไมห วน่ั ไหว ไมกระเพื่อม ไมเ กดิ เปน คลน่ื บุรุษผมู จี ักษุ เม่อืมองดเู งาหนาของตนในนํ้านัน้ พึงรู พึงเห็นตามความเปนจรงิ ได ฉนั ใดฉนั นัน้ เหมอื นกัน สมยั ใด บุคคลมใี จไมฟ ุงซานดว ยอทุ ธัจจกกุ กุจจะ ไมถ กูอุทธัจจกุกกวุ สจะเหนี่ยวรัง้ ไป และยอ มรูยอ มเห็นอุบายเปนเครื่องสลัดออกซง่ึอทุ ธจั จกุกกุจจะท่ีบงั เกิดข้นึ แลวตามความเปน จริง ฯลฯ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 326 [๖๒๒] ดูกอนพราหมณ อกี ประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมใี จไมฟงุ ซานดวยวจิ ิกิจฉา ไมถ ูกวิจิกิจฉาเหนี่ยวรง้ั ไป และยอมรู ยอมเหน็ อบุ ายเปน เครีอ่ งสลัดออกซึ่งวิจิกจิ ฉาท่บี งั เกดิ ข้ึนแลว ตามความเปนจริง ฯลฯ [๖๒๓] ดูกอ นพราหมณ เปรียบเหมอื นภาชนะใสนาํ้ อันใสสะอาดไมข นุ มวั อันบุคคลวางไวใ นทแี่ จง บุรุษผมู จี กั ษุ เมือ่ มองดเู งาหนาของตนในน้าํ น้ัน พึงรู พงึ เห็นตามความเปนจริงได ฉนั ใด ฉนั นัน้ เหมือนกันสมัยใด บคุ คลมีใจไมฟ งุ ซานดวยวิจิกิจฉา ไมถกู วจิ ิกจิ ฉาเหนยี่ วรงั้ ไป และยอ มรู ยอมเหน็ อุบายเปน เครื่องสลดั ออกซึ่งวิจกิ ิจฉาท่ีบงั เกิดขน้ึ และตามความเปน จริง สมยั นัน้ เขายอ มรู ยอมเหน็ แมซึ่งประโยชนต นตามความเปนจริงแมซึ่งประโยชนบคุ คลอืน่ ตามความเปนจริง แมซงึ่ ประโยชนทงั้ สองอยา งตามความเปนจรงิ มนตแ มทม่ี ิไดก ระทําการสาธยายเปน เวลานาน ยอมแจมแจง ไดไมต องกลา วถึงมนตท ก่ี ระทาํ การสาธยาย. [๖๒๔] ดกู อ นพราหมณ น้แี ลเปน เหตุ เปน ปจจัย ใหม นตแ มท ี่มไิ ดก ระทําการสาธยายเปน เวลานาน ก็ยงั แจมแจง ไดในบางคราว ไมตองกลา วถงึ มนตทีก่ ระทําการสาธยาย. [๖๒๕] ดูกอ นพราหมณ โพชฌงคแ มท ้งั ๗ นี้ มใิ ชเปน ธรรมกนั้มิใชเ ปน ธรรมหาม ไมเปนอุปกิเลสของใจ อนั บคุ คลเจริญแลว กระทําใหมากแลว ยอ มเปน ไปเพ่ือกระทําใหแ จง ซง่ึ ผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ. โพชฌงค๗ เปน ไฉน. คือสตสิ มั โพชฌงค ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค. ดกู อ นพราหมณโพชฌงค ๗ นี้แล มใิ ชเปนธรรมก้นั มิใชเ ปนธรรมหา ม ไมเ ปนอปุ กิเลสของใจ อนั บคุ คลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว ยอมเปน ไปเพื่อกระทําใหแจงซ่งึ ผล คอื วชิ ชาและวิมุตติ.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 327 [๖๒๖] เมื่อพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสอยา งนั้นแลว สคารวพราหมณไดก ราบทูลพระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตพระโคคมผเู จริญ ภาษติ ของพระองคไพเราะย่งิ นัก ฯลฯ ขอพระโคดมผเู จรญิ โปรดทรงจําขาพระองควาเปนอบุ าสกผูถึงสรณะจนตลอดชีวติ จาํ เดมิ แตวันนเ้ี ปน ตน ไป. จบสคารวสตู รท่ี ๕ อรรถกถาสคารวสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในสคารวสูตรที่ ๕. บทวา ปเคว แปลวา กอ นทเี ดยี ว. บทวา กามราคปรยิ ฏุ  เิ ตนไดแ ก อนั กามราคะเหนีย่ วไว. บทวา กามราคปเรเตน ไดแก ไปตามกามราคะ. บทวา นิสสฺ รณ ความวา อุบายเครอ่ี งสลัดออกซึง่ กามราคะมี ๓ อยา งคือ วิกขัมภนนิสสรณะ สลดั ออกดวยการขมไว ตทงั คนิสสรณะสลดั ออกช่ัวคราว สมุจเฉทนิสสรณะ สลัดออกไดเ ด็ดขาด. ในอบุ ายเครื่องสลัดออก ๓ อยางน้ัน ปฐมฌานในอสุภะ ชอื่ วา สลดั ออกดว ยการขมไว.วปิ ส สนา ชื่อวา สลัดออกไดชว่ั คราว อรหัตมรรค ชื่อวา สลัดออกไดเด็ดขาด. อธบิ ายวา เขายอ มไมรูอุบายเครอื่ งสลดั ออกแมสามอยา งนัน้ . ในบทวา อตตฺ ตถฺ มฺปติ เปน ตน ประโยชนค นกลาวคอื อรหตั ช่ือวา ประโยชนของตน. ประโยชนข องผถู วายปจ จยั ทงั้ หลาย ช่อื วา ประโยชนข องคนอื่น.ประโยชนแมสองอยา งน้นั แล ชอ่ื วา ประโยชนท ้งั สอง ในวาระทงั้ ปวงพงึ ทราบเนอ้ื ความโดยนัยนี.้

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 328 สว นความตา งกนั ดังนี้ กใ็ นบทวา พฺยาปาทสสฺ นสิ สฺ รณ เปนตนมีอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออกสองอยา ง คือ วกิ ขัมภนนิสสรณะ การสลัดออกดวยการขมไว และสมจุ เฉทนิสสรณะ การสลดั ออกไดเด็ดขาด ในอุบายทั้ง ๒นัน้ ปฐมฌานในเมตตา สลดั พยาบาทออกไดดว ยการขม. อนาคามิมรรคสลัดพยาบาทออกไดเ ด็ดขาด. อาโลกสญั ญา สลดั ถนี มทิ ธะออกไดด ว ยการขมอรหตั มรรค สลัดออกไดเด็ดขาด. สมถกมั มัฏฐานอยา งใดอยา งหนงึ่ สลัดอทุ ธจั จกกุ กจุ จะออกไดดว ยการขม. สว นในอทุ ธัจจกกุ กจุ จะนี้ อรหตั มรรคเปนเคร่ืองสลัดอทุ ธจั จะออกไดเ ด็ดขาด. อนาคามมิ รรค เปนเครื่องสลดักกุ กุจจะออกไดเ ด็ดขาด. การกําหนดธรรมเปน เครือ่ งสลัดวจิ กิ จิ ฉาออกไดดว ยการขม ปฐมมรรค เปน เครือ่ งสลดั ออกไดเ ด็ดขาด. สวนในขอนี้ พระผูมีพระภาคเจา ตรัสอุปมามบี ทวา เสยยฺ ถาปพฺราหฺมณ อุทปตฺโต ส สฏโ  ลาขาย วา เปนตน ใด ในอุปมาเหลา น้นับทวา อทุ ปตฺโต ไดแก ภาชนะเต็มดว ยนํา้ . บทวา ส สฏโ ไดแ กระคนดวยอํานาจทําสใี หต างกัน . บทวา อสุ ฺมาทกชาโต คอื มีไอพลงุ ข้ึนบทวา เสวาลปณกปริโยนทโฺ ธ ความวา อันสาหรายอนั ตา งดวยพืชงาเปนตน หรอื อันจอกแหนมีสีหลงั เขยี วเกิดขน้ึ ปดหลงั น้าํ ปกคลมุ ไว บทวาวาเตริโต ไดแ ก ถกู ลมพดั หวัน่ ไหว. บทวา อาวิโล คือ ไมใส บทวาลุฬิโต คือ ไมน่ิง. บทวา กลลีภูโต คอื เปอ กตม. บทวา อนธฺ กเรนกิ ฺขตฺโต ไดแ ก อันบุคคลวางไวในท่ไี มส วาง มีระหวางฉางเปน ตน เปนประเภท. ในพระสตู รน้ี พระผูม ีพระภาคเจา ทรงกลบั เทศนาจากภพท้ังสามแลว ทรงใหเ ทศนาจบลงดว ยธรรมอนั เปน ยอดคืออรหตั . สว นพราหมณตงั้อยแู ลว ในทางอันสงบ. จบอรรถกถาสคารวสูตรท่ี ๕

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 329 ๒. อภยสูตร ความไมรูความไมเ หน็ มเี หตมุ ปี จ จยั [๖๒๗] ขาพเจาไดส ดับมาแลวอยางนี้ :- สมยั หนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกูฏ ใกลก รงุราชคฤห คร้ังน้นั อภัยราชกุมารเขา ไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ถงึ ท่ปี ระทบัถวายบงั คมพระผมู พี ระภาคเจา แลว ประทับนั่ง ณ ท่ีควรสว นขา งหน่งึ คร้ันแลว ไดตรสั ทูลถามพระผมู ีพระภาคเจา วา [๖๒๘] ขาแตพระองคผ ูเจริญ ปุรณกสั สปกลา วอยางน้ันวา เหตไุ มม ีปจ จัยไมม ี เพือ่ ความไมรู เพอ่ื ความไมเห็น ความไมรู ความไมเ หน็ ไมมีเหตุ ไมม ปี จจัย เหตไุ มมี ปจจยั ไมม ี เพอ่ื ความรู เพอ่ื ความเห็น ความรูความเหน็ ไมมเี หตุ ไมมีปจจัย ดังน.ี้ ในเรอื่ งนี้ พระผูม พี ระภาคเจาตรสัไวอ ยา งไร. [๖๒๙] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสตอบวา ดูกอ นราชกมุ าร เหตมุ ีปจจัยมี เพอ่ื ความไมร ู เพือ่ ความไมเ ห็น ความไมรู ความไมเ ห็น มีเหตุมีปจ จยั เหตมุ ี ปจจัยมี เพื่อความรู เพอื่ ความเห็น ความรู ความเหน็มีเหตุ มปี จจัย. [๖๓๐] อ. ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ เหตุเปนไฉน ปจจยั เปนไฉนเพื่อความไมรู เพอ่ื ความไมเ ห็น ความไมรู ความไมเหน็ มเี หตุ มปี จจัยอยางไร. [๖๓๑] พ. ดูกอ นราชกมุ าร สมยั ใด บคุ คลมใี จฟุงซานดวยกามราคะ อนั กามราคะเหนี่ยวรงั้ ไป และยอมไมร ู ไมเห็น อุบายเปนเคร่ือง

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 330สลัดออกซงึ่ กามราคะทีบ่ ังเกิดขนึ้ แลว ตามความเปน จรงิ แมขอนี้แล ก็เปน เหตุเปนปจจัย เพือ่ ความไมรู เพ่ือความไมเหน็ ความไมร ู ความไมเหน็ มีเหตุมปี จ จัย แมดว ยประการฉะนี้. [๖๓๒] ดกู อ นราชกุมาร อีกประการหนงึ่ สมัยใด บุคคลมใี จฟงุ ซา นดวยพยาบาท. . . [๖๓๓] ดกู อนราชกุมาร อกี ประการหน่งึ สมยั ใด บุคคลมใี จฟุง ซา นดวยถนี มทิ ธะ. . . [๖๓๔] ดูกอนราชกมุ าร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บคุ คลมีใจฟงุ ซา นดว ยอทุ ธัจจกกุ กจุ จะ . . . [๖๓๕] ดูกอ นราชกุมาร อีกประการหนง่ึ สมยั ใด บุคคลมใี จฟุง ซา นดวยวิจิกจิ ฉา อันวิจิกจิ ฉาเหน่ยี วรัง้ ไป และยอมไมร ูไ มเห็นอุบายเปน เครอ่ื งสลัดออกซึ่งวจิ ิกจิ ฉาทบ่ี ังเกดิ ข้นึ แลวตามความเปนจรงิ แมขอ นี้แล ก็เปน เหตุเปน ปจ จยั เพ่ือความไมร ู เพอ่ื ความไมเหน็ ความไมร ู ความไมเหน็ มเี หตุมปี จ จัย ดว ยประการฉะน้.ี [๖๓๖] อ. ขาแตพระองคผ เู จริญ ธรรมปรยิ ายน้ี ชือ่ อะไร. พ. ดูกอ นราชกมุ าร ธรรมเหลาน้ี ชอื่ นิวรณ. อ. ขาแตพ ระองคผเู จรญิ นิวรณเปนอยางน้ี ขา แตพระสุคต นวิ รณเปนอยางน้นั ขา แตพ ระองคผ เู จริญ บคุ คลถูกนวิ รณแมอ ยางเดียวครอบงาํ แลวไมพงึ รู ไมพ ึงเหน็ ตามความเปนจรงิ ได จะกลาวไปไยถึงการถูกนวิ รณท ้งั ๕ครอบงาํ แลว . [๖๓๗] อ. ขาแตพ ระองคผูเจรญิ ก็เหตเุ ปน ไฉน ปจจัยเปน ไฉนเพ่อื ความรู เพอื่ ความเห็น ความรู ความเหน็ มเี หน็ มปี จจัย อยา งไร.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 331 [๖๓๘] พ. ดูกอ นราชกมุ าร ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี ยอ มเจรญิ สติ-สัมโพชฌงค อันอาศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละเธอเจรญิ สตสิ ัมโพฌงคอยู ยอ มรู ยอมเห็นตามความเปน จริง ดวยจิตนน้ัแมข อนี้แล ก็เปน เหตุ เปนปจจัย เพือ่ ความรู เพอ่ื ความเหน็ ความรูความเหน็ มเี หตุ มีปจ จยั ดวยประการฉะน้.ี [๖๓๙] ดกู อ นราชกุมาร อีกประการหน่ึง ฯลฯ ภกิ ษยุ อมเจรญิอุเบกขาสัมโพชฌงค อันอาศยั วเิ วก อาศัยวิราคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ เธอเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงคอยู ยอ มรู ยอมเห็นตามความเปน จริงดว ยจิตนั้น แมข อ นแ้ี ล ก็เปน เหตุ เปน ปจจยั เพอื่ ความรู เพ่อื ความเห็นความรู ความเหน็ มเี หตุ มปี จ จัย ดว ยประการฉะน.้ี [๖๔๐] อ. ขาแตพระองคผ เู จริญ ธรรมปรยิ ายน้ี ช่ืออะไร. พ. ดูกอนราชกมุ าร ธรรมเหลา นัน้ ชอ่ื โพชฌงค. อ. ขา แตพ ระผูมีพระภาคเจา โพชฌงคเปนอยางน้ี ขาแตพระสุคตโพชฌงคเ ปน อยา งนี้ ขา แตพระองคผ ูเจริญ บุคคลผูป ระกอบดว ยโพชฌงคแมอ ยางเดียว พึงรู พงึ เหน็ ตามความเปนจรงิ ได จะกลา วไปไยถงึ การที่ประกอบดวยโพชฌงคท ง้ั ๗ เลา . ขาแตพระองคผ เู จริญ เม่อื ขาพระองคข ้ึนภเู ขาคชิ ฌกฏู แมค วามเหน็ดเหน่อื ยกาย ความเหน็ดเหน่ือยใจ ของขาพระองคกส็ งบระงับแลว และธรรมขาพระองคก็ไดบ รรลุแลว. จบอภยสตู รที่ ๖

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 332 อรรถกถาอภยสูตร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอรรถกถาอภยสูตรที่ ๖. บทวา อฺ าณาย อทสสฺ นาย ไดแก เพ่อื ความไมร ู เพื่อความไมเ หน็ . บทวา ตคฆฺ ภควา นวี รณา ไดแ ก ขาแตพระผมู ีพระภาคเจานิวรณโ ดยสว นเดียว. บทวา กายกิลมโถ คอื ความกระวนกระวายทางกาย.บทวา จติ ฺตถิลมโถ คอื ความกระวนกระวายทางจิต. บทวา โสป เมปฏปิ ปฺ สฺสทโฺ ธ ความวา ไดยินวา ความกระวนกระวายกายของพระราชกุมารนั้น เขา ไปยงั ทส่ี ปั ปายะแหง ฤดกู ็เยอื กเย็น นั่งในสาํ นักของพระศาสดากส็ งบระงบั แลว . เมอื่ กายนนั้ สงบ แมค วามกระวนกระวายจิต ก็สงบ โดยคลอยตามกายนั้นแล. อกี อยา งหนึ่ง ความกระวนกระวายกายและจติ แมท ัง้ สองนั้นของพระราชกมุ ารนัน้ พงึ ทราบวา สงบระงับแลวดว ยมรรคน้ันแล จบอรรถกถาอภยสตู รท่ี ๖ จบหมวด ๖ แหง โพชฌงคท่ี ๖ แหงโพชฌงคส ังยุต รวมพระสตู รทม่ี ีในวรรคน้ี คอื ๑. อาหารสตู ร ๒. ปรยิ ายสตู ร ๓. อัคคสิ ูตร ๔. เมตตาสูตร๕. สคารวสตู ร ๖. อภยสตู ร จบหมวด ๖ แหงโพชฌงคท ี่ ๖ แหงโพชฌงคส งั ยุต

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 333 อานาปานาทิเปยยาลที่ ๗ แหงโพชฌงค อัฏฐิกสญั ญามผี ล ๒ อยา ง [๖๔๑] สาวัตถีนทิ าน. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย อัฏฐิกสญั ญาอนั บุคคลเจริญแลว กระทําใหมากแลว ยอมมผี ลมาก มีอานสิ งสมาก. กอ็ ัฏฐิกสัญญาอันบคุ คลเจริญแลวอยางไร กระทําใหม ากแลวอยางไร ยอมมีผลมาก มีอานิสงสม าก. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ยอมเจริญสติสมั -โพชฌงค อนั สหรคตดวยอฏั ฐิกสญั ญา อาศยั วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธนอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อันสหรคตดว ยอฏั ฐิกสญั ญา อาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศัยนโิ รธ นอ มไปในการสละดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย อัฏฐิกสัญญา อันบคุ คลเจริญแลว อยา งนน้ั แล กระทําใหมากแลว อยา งนี้ ยอมมีผลมาก มอี านิสงสม าก. [๖๔๒] สาวตั ถีนิทาน. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย เมือ่ อฏั ฐกิ สัญญาอันบุคคลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว พึงหวงั ผลได ๒ อยาง อยา งใดอยางหนึ่ง คือ อรหตั ผลในปจจบุ ัน หรือเม่อื ยงั มีความยดึ ถือเหลืออยูเปนพระอนาคามี. กเ็ มือ่ อฏั ฐิกสญั ญา อนั บุคคลเจริญแลวอยางไร กระทําใหมากแลว อยางไร พงึ หวงั ผลได ๒ อยาง อยางใดอยา งหนึ่ง คอื อรหตั ผลในปจ จบุ นั หรือเมือ่ ยงั มคี วามยดึ ถอื เหลืออยู เปน พระอนาคามี. ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ มเจรญิ สติสมั โพชฌงค อันสหรคตดวยอฏั ฐกิ สญั ญา อาศยั วเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯยอ มเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค อนั สหรคตดวยยอัฏฐิกสญั ญา อาศัยวิเวกอาศยั วิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ. ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย เม่ือ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 334อฏั ฐกิ สัญญา อนั บคุ คลเจริญแลวอยางน้แี ล กระทําใหมากแลวอยา งนี้ พึงหวังผลได ๒ อยาง อยา งใดอยา งหนงึ่ คือ อรหตั ผลในปจจบุ ัน หรือเมือ่ ยังมคี วามยดึ ถือเหลืออยู เปน พระอนาคาม.ี [๖๔๓] สาวัตถนี ิทาน. ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย อฏั รกิ สัญญาอันบคุ คลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว ยอ มเปนไปเพ่ือประโยชนม าก. กอ็ ฏั ฐิกสญั ญาอนั บคุ คลเจรญิ แลวอยา งไร กระทาํ ใหมากแลว อยา งไร ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนมาก. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษใุ นธรรมวินยั น้ี ยอ มเจริญสติสมั -โพชฌงค อันสหรคตดว ยอฏั ฐิกสัญญา อาศัยวิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธนอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค อันสหรคตดวยอฏั ฐกิ สัญญา อาศัยวิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ.ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย อัฏฐิกสัญญา อันบุคคลผูเจริญแลวอยางนี้แล กระทําใหม ากแลว อยางนั้น ยอมเปนไปเพื่อประโยชนมาก. [๖๔๔] สาวตั ถนี ทิ าน. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย อฏั ฐกิ สญั ญา อนั บุคคลเจรญิ แลว กระทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปนไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะใหญ.ก็อฏั ฐกิ สัญญา อันบคุ คลเจรญิ แลวอยา งไร กระทาํ ใหม ากแลว อยา งไร ยอมเปนไปเพอื่ ความเกษมจากโยคะใหญ. ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ยอมเจรญิ สตสิ ัมโพชฌงค อันสหรคตดวยอัฏฐกิ สญั ญา อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค อันสหรคตดว ยอัฏฐกิ สญั ญา อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย อัฏฐิกสัญญาอนั บุคคลเจรญิ แลวอยางนีแ้ ลกระทําใหมากแลวอยางน้ี ยอมเปนไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะใหญ. [๖๔๕] สาวตั ถีนทิ าน. ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย อฏั ฐิกสญั ญาอนั บุคคลเจรญิ แลว กระทําใหม ากแลว ยอมเปน ไปเพือ่ ความสงั เวชมาก. ก็อัฏฐกิ สัญญา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 335อนั บุคคลเจริญแลวอยา งไร กระทําใหม ากแลวอยา งไร ยอมเปนไปเพอ่ื ความสงั เวชมาก. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ มเจริญสติสัมโพชฌงคอนั สหรคตดว ยอัฏฐิกสญั ญา อาศยั วิเวก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจรญิ อเุ บกขาสัมโพชฌงคอ นั สหรคตดวยอัฏฐิกสัญญาอนั อาศัยวเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ ดกู อนภิกษุท้ังหลาย อฏั ฐกิ สัญญา อนั บุคคลเจริญแลว อยา งนแ้ี ล กระทําใหมากแลวอยางน้ี ยอมเปน ไปเพือ่ ความสงั เวชมาก. [๖๔๖] สาวัตถนี ทิ าน. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อฏั ฐกิ สัญญา อนั บคุ คลเจรญิ แลว กระทาํ ใหมากแลว ยอมเปนไปเพอ่ื ยเู ปนผาสุกมาก. กอ็ ัฏฐิก-สัญญา อันบคุ คลเจรญิ แลวอยา งไร กระทาํ ใหม ากแลว อยา งไร ยอมเปนไปเพือ่ อยูเปนผาสุกมาก. ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี ยอ มเจรญิสติสัมโพชฌงค อันสหรคตดวยอัฏฐิกสญั ญา อาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะ อาศยันโิ รธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ เจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค อนั สหรคตดว ยอัฏฐิกสญั ญา อาศัยวิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนโิ รธ นอ มไปในการสละดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย อัฏฐิกสญั ญา อันบุคคลเจริญแลว อยางน้ีแล กระทําใหมากแลวอยางนี้ ยอ มเปนไปเพ่อื อยเู ปน ผาสกุ มาก. [๖๔๗] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ปุฬวกสญั ญา อนั บคุ คลเจริญแลว ฯลฯ [๖๔๘] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย วินลี กสัญญา ฯลฯ [๖๔๙] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย วจิ ฉิททกสญั ญา ฯลฯ [๖๕๐] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย อทุ ธมุ าตกสัญญา ฯลฯ [๖๕๑] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย เมตตา อันบคุ คลเจรญิ แลว ฯลฯ [๖๕๒] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย กรณุ า อันบุคคลเจรญิ แลว ฯลฯ [๖๕๓] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย มทุ ิตา อันบุคคลเจริญแลว ฯลฯ

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 336 [๖๕๔] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย อุเบกขาอนั บคุ คลเจริญแลว ฯลฯ [๖๕๕] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย อานาปานสติ อนั บุคคลเจรญิ แลว ฯลฯ [๖๕๖] ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย อสภุ สญั ญา อนั บคุ คลเจริญแลว ฯลฯ [๖๕๗] ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย มรณสญั ญา อันบุคคลเจรญิ แลว ฯลฯ [๖๕๘] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ฯลฯ [๖๕๙] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย สัพพโลเก อนภริ คสญั ญา ฯลฯ [๖๖๐] ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อนจิ ขิสัญญา ฯลฯ [๖๖๑] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย อนจิ เจ ทุกขสัญญา ฯลฯ [๖๖๒] ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ทกุ เข อนตั ตสัญญา ฯลฯ [๖๖๓] ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ปหานสญั ญา ฯลฯ [๖๖๔] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย วิราคสัญญา* ฯลฯ [๖๖๕] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย นโิ รธสัญญา อนั บคุ คลเจริญแลวกระทําใหม ากแลว ยอมมีผลมาก มอี านสิ งสม าก. กน็ โิ รธสญั ญา อนั บคุ คลเจรญิ แลวอยางไร กระทําใหมากแลวอยา งไร ยอมมีผลมาก มีอานสิ งสมาก.ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ภิกษใุ นธรรมวินยั น้ี ยอมเจริญสติสมั โพชฌงค อนัสหรคตดว ยนิโรธสัญญา อาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌงค อันสหรคตดวยนิโรธสัญญาอาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะ อาศยั นโิ รธ นอ มไปในการสละ. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลายนโิ รธสัญญา อนั บคุ คลเจรญิ แลวอยางนั้นแล กระทาํ ใหม ากแลว อยา งนี้ ยอมมีผลมาก มีอานสิ งสมาก. [๖๖๖] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เมือ่ นโิ รธสัญญา อันบคุ คลเจริญแลวกระทาํ ใหมากแลว พงึ หวงั ผลได ๒ อยาง อยา งใดอยางหนงึ่ คือ อรหตั ผลในปจ จุบัน หรอื เมอ่ื ยังมคี วามยึดถอื เหลอื อยเู หลอื เปนพระอนาคามี แมนโิ รธ* ต้งั แตขอ ๖๔๗ ถงึ ขอ ๖๖๔ มเี นือ้ ความเหมือนขอ อัฏฐกิ สญั ญา

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 337สญั ญา อันบคุ คลเจรญิ แลว อยา งไร กระทําใหมากแลวอยางไร พงึ หวังผลได ๒ อยา ง อยา งใดอยางหน่งึ คือ อรหัตผลในปจ จบุ นั หรอื เม่อื ยงั มีความยดึ ถอื เหลืออยูเ ปน พระอนาคามี ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ยอมเจรญิ สติสัมโพชฌงค อันสหรคตดว ยนิโรธสัญญา อาศยั วิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงคอันสหรคตดว ยนโิ รธสญั ญา อาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะ อาศยั นิโรธ นอ มไปในการสละ. ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย เม่อื นโิ รธสัญญา อนั บุคคลเจริญแลว อยางน้ีแล กระทาํ ใหม ากแลว อยางน้ัน พึงหวังผลได ๒ อยาง อยา งใดอยางหน่ึงคือ อรหตั ผลในปจจบุ ัน หรือเม่อื ยงั มคี วามยึดถือเหลืออยู เปน พระอนาคาม.ี [๖๖๗] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย นิโรธสญั ญา อนั บคุ คลเจริญแลวกระทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ประโยชนมาก เพอื่ ความเกษมจากโยคะมาก เพื่อความสงั เวชมาก เพื่อยูเปนผาสุกมาก. กน็ โิ รธสญั ญา อันบุคคลเจรญิ แลว อยางไร กระทาํ ใหม ากแลว อยา งไร ยอมเปนไปเพือ่ ประโยชนมากเพอื่ ความเกษมจากโยคะมาก เพ่อื ความสงั เวชมาก เพอื่ ยูเปนผาสุกมากดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี ยอมเจริญสตสิ ัมโพชฌงค อนัสหรคตดวยนโิ รธสญั ญา อาศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญอุเบกขาสมั โพชฌงค อันสหรคตดวยนโิ รธสญั ญาอาศัยวิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ มไปในการสละ. ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลายนิโรธสญั ญา อัน บคุ คลเจรญิ แลวอยา งนแี้ ล กระทําใหม ากแลวอยางนี้ ยอ มเปน ไปเพ่อื ประโยชนม าก เพื่อความเกษมจากโยคะมาก เพ่อื ความสงั เวชมากเพือ่ อยเู ปนผาสกุ มาก.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 338 [๖๖๘] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย แมน ํา้ คงคาไหลไปสทู ศิ ปราจีน หล่ังไปสทู ศิ ปราจนี ปา ไปสูท ศิ ปราจีน ฉันใด ภิกษผุ ูเจริญโพชฌงค ๗ กย็ อ มเปนผูนอมไปสูนพิ พาน โนม ไปสูน พิ พาน โอนไปสูนพิ พาน ฉนั นั้นเหมอื นกนักภ็ กิ ษุผเู จรญิ โพชฌงค ๗ กระทาํ ใหมากซึง่ โพชฌงค ๗ อยา งไร ยอมเปนผูนอมไปสนู พิ พาน โนมไปสนู ิพพาน โอนไปสนู ิพพาน. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลายภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ ยอ มเจรญิ สติสัมโพชฌงค อันอาศัยวเิ วก อาศยั วิราคะอาศัยนโิ รธ นอมไปในการสละ ฯลฯ ยอมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อันอาศัยวเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศยั นิโรธ นอมไปในการสละ. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลายภิกษผุ เู จริญโพชฌงค ๗ กระทําใหมากซ่ึงโพชฌงค ๗ อยางนน้ั แล ยอ มเปนผูนอมไปสูนิพพาน โนม ไปสนู ิพพาน โอนไปสูน พิ พาน. (พึงขยายความบาลไี ปจนกระทง่ั ถงึ การแสวงหา) อุทธัมภาคยิ สงั โยชน ๕ [๖๖๙] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย สงั โยชนอันเปนสว นเบ้ืองสงู ๕ ประการเหลา นี.้ ๕ ประการเปนไฉน. คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธจั จะอวิชชา.สัง่ โยชนอ ันเปน สวนเบอ้ื งสงู ๕ ประการน้ีแล. ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลายโพชฌงค ๗อันภกิ ษคุ วรเจรญิ เพอ่ื รูยงิ่ เพ่ือกาํ หนดรู เพื่อความสิ้นไป เพ่อื ละซง่ึ สงั โยชนอนั เปน สว นเบอ้ื งสงู ๕ ประการนี.้ โพชฌงค ๗ เปนไฉน. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญสติสัมโพชฌงค อนั อาศัยวิเวก อาศยัวิราคะ อาศัยนโิ รธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ ยอ มเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌงคอันอาศยั วเิ วก อาศยั วิราคะ อาศยั นโิ รธ นอมไปในการสละ. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 339หลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ีแล อนั ภกิ ษคุ วรเจริญ เพ่ือรูยิง่ เพ่อื กําหนดรูเพือ่ ความส้นิ ไป เพื่อละซงึ่ สังโยชนอันเปน สว นเบื้องสูง ๕ ประการน้ีแล. [๖๗๐] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย แมน้าํ คงคาไหลไปสูทิศปราจนี หลัง่ไปสทู ศิ ปราจนี บา ไปสทู ศิ ปราจนี ฉันใด ภิกษผุ ูเ จริญโพชฌงค ๗ กระทําใหมากซึ่งโพชฌงค ๗ กย็ อมเปนผูนอมไปสนู พิ พาน โนมไปสูนิพพาน โอนไปสนู ิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน. กภ็ กิ ษุผูเ จริญโพชฌงค ๗ กระทาํ ใหมากซง่ึโพชฌงค ๗ อยา งไร ยอมเปนผนู อ มไปสนู ิพพาน โนมไปสนู ิพพาน โอนไปสนู ิพพาน. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ มเจรญิ สติสมั -โพชฌงค มอี ันกําจดั ราคะเปน ทส่ี ุด มอี นั กําจดั โทสะเปน ทีส่ ดุ มอี ันกําจดัโมหะเปน ท่สี ุด ฯลฯ ยอ มเจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค มีอันกาํ จดั ราคะเปนทส่ี ุดมีอนั กําจดั โทสะเปน ท่ีสุด มอี นั กาํ จัดโมหะเปน ที่สดุ . ดูกอ นภิกษุทง้ั หลายภกิ ษเุ จรญิ โพชฌงค ๗ กระทาํ ใหม ากซงึ่ โพชฌงค ๗ อยา งนนั้ แล ยอ มเปนผูนอมไปสนู พิ พาน โนม ไปสนู ิพพาน โอนไปสนู พิ พาน. (พงึ ขยายความบาลี ต้งั แตการกําจดั ราคะเปนที่สุดเชนนไี้ ปจนถงึ การแสวงหา) [๖๗๑] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย สังโยชนอ ันเปน สว นเบอ้ื งสูง ๕ ประการเหลาน.้ี ๕ ประการเปน ไฉน. คอื รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะอวิชชา. สงั โยชน อันเปน สว นเบอ้ื งสงู ๕ ประการนแ้ี ล. ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลายโพชฌงค ๗ อัน ภกิ ษุควรเจรญิ เพ่ือรูย่งิ เพอ่ื กาํ หนดรู เพื่อความสิน้ ไปเพอื่ ละซงึ่ สงั โยชนอ นั เปนสว นเบอ้ื งสูง ๕ ประการนแี้ ล. โพชฌงค ๗ เปนไฉน. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยอมเจรญิ สติสัมโพชฌงคมอี ัน กาํ จดั ราคะเปนที่สุด มอี ันกาํ จดั โทสะเปน ท่ีสุด มีอันกาํ จดั โมหะเปน ที่สดุฯลฯ ยอมเจริญอุเบกขาสมั โพชฌงค มีอนั กําจดั ราคะเปนท่สี ุด มีอันกาํ จดัโทสะเปน ท่ีสดุ มอี นั กําจดั โมหะเปน ทีส่ ุด ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย โพชฌงค ๗

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 340เหลา นแ้ี ล อนั ภกิ ษคุ วรเจริญ เพือ่ รูย่งิ เพื่อกาํ หนดรู เพอ่ื ความส้ินไปเพ่อื ละสังโยชนอัน เปนสวนเบื้องสงู ๕ ประการนี้แล. (พงึ ขยายความโพชฌงคสงั ยุต เหมือนมรรคสังยตุ ) เรื่องในวรรคน้ี คอื ๑. อัฏฐิกสญั ญา ๒. ปุฬวกสญั ญา ๓. วินลี กสญั ญา ๔. วิจฉิททก-สัญญา ๕. อุทธมุ าตกสัญญา ๖. เมตตา ๗. กรุณา ๘. มทุ ติ า ๙. อเุ บกขา๑๐. อานาปานสต.ิ จบอานาปานวรรคท่ี ๗ แหงโพชฌงคสงั ยตุ ๑. อสภุ สัญญา ๒. มรณสัญญา ๓. อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ๔. สัพพ-โลเกอนภริ ตสญั ญา ๕. อนิจจสญั ญา ๖. อนจิ เจทกุ ขสัญญา ๗. ทุกเธอนัตตสัญญา ๘. ปหานสญั ญา ๙. วริ าคสญั ญา ๑๐. นิโรธสัญญา. จบนิโรธวรรคที่ ๘ แหงโพชฌงคสังยตุ [๖๗๒] สาวตั ถีนิทาน. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย แมนา้ํ คงคาไหลไปสูทิศปราจีน หลง่ั ไปสูทศิ ปราจนี บา ไปสทู ิศปราจนี ฉนั ใด ฯลฯ แมนา้ํ ทง้ั ๖ สายไหลไปสทู ิศปราจีน แมน าํ้ ทงั้ ๖ สายไหลไปสูส มทุ รท้ัง ๒ อยาง ๆ ละ ๖ รวมเปน ๑๒ เพราะเหตุนนั้ จึงเรยี กวา วรรค. จบคงั คาเปยยาลที่ ๙ [๖๗๓] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย สัตวท ไ่ี มม ีเทา ก็ดี ๒ เทา ก็ดี ๔ เทาก็ดี เทา มากก็ดี มปี ระมาณเทา ใด พึงขยายเนอื้ ความอยางที่กลา วนีเ้ ปนตวัอยาง.

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 341 รวมพระสูตรทมี่ ีในวรรคนี้ คือ ๑. ตถาคตสตู ร ๒. ปทสูตร ๓. กฏู สตู ร ๔. มูลสตู ร ๕. สารสตู ร๖. วัสสิกสูตร ๗. ราชสูตร ๘. จนั ทิมสตู ร ๙. สุริยสูตร ๑๐. วัตถสตู ร (พึงขยายความอปั ปมาทวรรค ดวยสามารถโพชฌงค แหงโพชฌงคสังยตุ ) จบอปั ปมาทวรรคท่ี ๑๐ แหง โพชฌงคส งั ยุต [๖๗๔] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย การงานท่จี ะพงึ ทําดวยกาํ ลงั อยางใดอยา งหนึ่ง อนั บุคคลทําอยู การงานที่จะพงึ ทาํ ดว ยกําลังทงั้ หมดน้ัน อนั บคุ คลอาศัยแผน ดนิ ดํารงอยูบนแผนดนิ จงึ ทาํ ได ฯลฯ (พงึ ขยายเนอ้ื ความอยา งทกี่ ลาวน้ีเปนตัวอยา ง) รวมพระสตู รทมี่ ีในวรรคน้ี คอื ๑. พลสูตร ๒. พชี สูตร ๓. นาคสูตร ๔. รุกขสตู ร ๕. กมุ ภสูตร๖. สุกสตู ร ๗. อากาสสูตร ๘. ปฐมเมฆสตู ร ๙. ทตุ ิยเมฆสตู ร ๑๐. นาวาสตู ร ๑๑. อาคนั ตุกสตู ร ๑๒. นทสี ูตร (พงึ ขยายความพลกรณียวรรค ดวยสามารถโพชฌงค แหงโพชฌงคสังยุต) จบพลกรณียวรรคที่ ๑๑

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาท่ี 342 [๖๗๕] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย การแสวงหา ๓ อยา งเหลา นี.้ ๓ อยางเปนไฉน. คอื การเเสวงหากาม ๑ กามแสวงหาภพ ๑ การแสวงพรหมจรรย ๑(พึงขยายเน้อื ความทีก่ ลา วนี้เปน ตัวอยาง.) รวมพระสูตรท่มี ีในวรรคน้ี คือ ๑. เอสนาสตู ร ๒. วธิ าสตู ร ๓. อาสวสตู ร ๔. ภวสูตร ๕.ปฐมทุกข-สตู ร ๖ . ทตุ ิยทุกขสตู ร ๗. ตติยทุกขสูตร ๘. ขีลสตู ร ๙. มลสตู ร๑๐. นีฆสูตร ๑๑. เวทนาสตู ร ๑๒. ตัณหาสตู ร. (เอสนาเปยยาลแหง โพชฌงคสังยุต บณั ฑติ พงึ ใหพสิ ดารโดยอาศัยวิเวก) จบเอสนาวรรคที่ ๑๒ โอฆะ ๔ [๖๗๖] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย โอฆะ ๔ ประการเหลา น้ัน. ๔ ประการเปนไฉน. ไดแก โอฆะคอื กาม โอฆะคือภพ โอฆะคือทฐิ ิ โอฆะคอื อวิชชา(พงึ ขยายเนอ้ื ความดงั ทีก่ ลาวนเ้ี ปน ตวั อยาง). [๖๗๗] สาวตั ถีนิทาน. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย สงั โยชนอันเปน สวนเบือ้ งสูง ๕ ประการเหลาน.้ี ๕ ประการเปนไฉน. คือ รปู ราคะ อรูปราคะมานะ อทุ ธัจจะ อวิชชา สังโยชนอันเปน สวนเบอ้ื งสูง ๕ ประการนแ้ี ล. ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย โพชฌงค ๗ อนั ภกิ ษุควรเจริญ เพ่ือรูย งิ่ เพื่อกําหนดรูเพ่อื ความสน้ิ ไป เพ่ือละซึ่งสงั โยชนอันเปนสว นเบือ้ งสูง ๕ ประการเหลาน้ีแล.โพชฌงค ๗ เปน ไฉน. ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี ยอ มเจริญสติสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวก อาศยั วิราคะ อาศยั นิโรธ นอ มไปในการสละ ฯลฯ

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 343ยอมเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค อนั อาศยั วิเวก อาศยั วริ าคะ อาศัยนโิ รธนอมไปในการสละ. ยอมเจรญิ สตสิ มั โพชฌงค มอี นั กาํ จดั ราคะเปนทส่ี ดุ . มีอนั กําจัดโทสะเปน ทส่ี ุด มีอันกําจัดโมหะเปนทส่ี ดุ ฯลฯ ยอมเจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงคมอี ันกําจดั ราคะเปน ท่ีสุด มอี นั กาํ จดั โทสะเปน ท่สี ุด มีอนั กําจัดโมหะเปน ทสี่ ุด.ยอ มเจริญสติสัมโพชฌงค อนั หย่งั ลงสอู มตะ มีอมตะเปนเบ้อื งหนา มอี มตะเปนที่สุด ฯลฯ ยอ มเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌงค อนั หยั่งลงสอู มตะมีอมตะเปน เบอ้ื งหนามีอมตะเปนทสี่ ุด. ยอ มเจรญิ สติสมั โพชฌงค อนั นอมไปสนู ิพพาน โนม ไปสูนิพพาน โอนไปสนู พิ พาน ฯลฯ ยอมเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค อนั นอมไปสูนิพพาน โนมไปสูนพิ พาน โอนไปสูนิพพาน. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค ๗เหลา น้แี ล อนั ภิกษคุ วรเจริญ เพอ่ื รยู ิ่ง เพื่อกําหนดรู เพ่อื ความสนิ้ ไปเพอื่ ละซ่งึ สังโยชนอ นั เปน สว นเบอื้ งสงู ๕ ประการเหลา น้แี ล. รวมพระสูตรท่มี ีในวรรคน้ี คอื ๑. โอฆสตู ร ๒. โยคสูตร ๓. อปุ าทานสตู ร ๔. คันถสูตร๕. อนุสยสตู ร ๖. กามคณุ สูตร ๗. นวี รณสูตร ๘. ขันธสูตร ๙. อุทธมั -ภาคยิ สูตร จบโอฆวรรคที่ ๑๓ แมน ํ้าทั้ง ๖ สายไหลไปสูทศิ ปราจนี แมน ้ําท้งั ๖ สายไหลไปสสู มทุ รทั้ง ๒ อยางนั้น อยางละ ๖ รวมเปน ๑๒ เพราะเหตุนน้ั จึงเรียกวา วรรค (คังคาเปยยาลแหงโพชฌงคสงั ยุต พงึ ขยายความดว ยสามารถแหงราคะ) จบวรรคที่ ๑๔ ๑. ตถาคตสตู ร ๒. ปทสตู ร ๓. กูฏสูตร ๔. มลู สตู ร ๕. สารสูตร๖. วัสสกิ สตู ร ๗. ราชสตู ร ๘. จนั ทมิ สตู ร ๙. สุริยสูตร ๑๐. วตั ถสูตร

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนาที่ 344 (อัปปมาทวรรค พงึ ขยายเนือ้ ความใหพิสดารดว ยสามารถแหง ราคะ) จบวรรคท่ี ๑๕ ๑. พลสตู ร ๒. พีชสตู ร ๓. นาคสตู ร ๔. รุกขสตู ร ๕. กุมภสูตร๖. สุภสูตร ๗. อากาสสูตร ๘. ปฐมเมฆสูตร ๙. ทตุ ยิ เมฆสูตร ๑๐. นาวาสตู ร ๑๑. อาคันตกุ สูตร ๑๒. นทสี ตู ร. (พลกรณยี วรรคแหงโพชฌงคสงั ยตุ พงึ ขยายเน้ือความใหพิสดารดว ยสามารถแหงราคะ) จบวรรคที่ ๑๖ ๑. เอสนาสตู ร ๒. วิธาสตู ร ๓. อาสวสตู ร ๔. ภวสตู ร ๕. ปฐมทกุ ขสตู ร ๖. ทตุ ิยทุกขสูตร ๗. ตติยทกุ ขสตู ร ๘. ขีลสตู ร ๙. มลสตู ร๑๐. นีฆสตู ร ๑๑. เวทนาสตู ร ๑๒. ตณั หาสตู ร. จบเอสนาวรรคแหง โพชฌงคส ังยุตที่ ๑๗ ๑. โอฆสูตร ๒. โยคสตู ร ๓. อุปาทานสตู ร ๔. คันถสูตร๕. อนสุ ยสตู ร ๖. กามคุณสูตร ๗. นีวรณสตู ร ๘. ขนั ธสตู ร ๙. อทุ ธัม-ภาคิยสูตร. (โอฆวรรคพึงขยายเนื้อความใหพสิ ดารดวยสามารถแหงการกําจัดราคะเปน ทสี่ ุด การกําจัดโทสะเปนทีส่ ุด และการกาํ จัดโมหะเปนท่ีสุด) จบวรรคท่ี ๑๘ (มรรคสงั ยุคแมใ ด ขยายเน้อื ความใหพ ิสดารแลว โพชฌงคสงั ยตุ แมนัน้ กพ็ งึ ขยายเน้อื ความใหพ สิ ดาร) จบโพชฌงคส ังยตุ

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 345 อรรถกถาอานาปานาทิเปยยาลท่ี ๗* อรรถกถาอัฏฐกิ สญั ญา พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในอฏั ฐกิ สญั ญา ในอานาปานวรรคท่ี ๗ เปนตน. บทวา อฏ ิกสฺ า ไดแก สญั ญาที่เกดิ ขน้ึ แกภิกษผุ ูเจริญอยูวากระดกู กระดูก ดังน.ี้ ก็เมอ่ื เจรญิ อฏั ฐกิ สัญญาน้ันอยู ผิวกด็ ี หนังก็ดียอ มปรากฏตลอดเวลาทีน่ มิ ติ ยังไมเ กิดข้ึน เม่ือนิมติ เกดิ ข้ึน ผิวและหนังยอ มไมปรากฏเลย. อน่ึง โครงกระดูก. ลวนมีสีดจุ สงั ข ยอมปรากฏ ดังที่ปรากฏแกสามเณรผแู ลดพู ระเจาติสสะ ผทู รงธรรมอยบู นคอขา ง และแกพระตสิ สเถระผอู ยูทเ่ี จตยิ บรรพต ผูแลดูหญงิ กาํ ลังหวั เราะในที่สวนทาง. เรอื่ งท้งั หลายขยายใหพ ิสดารไวแลวในวิสุทธิมรรค. บทวา สติ วา อปุ าทิเสเส ความวาเมอื่ ยงั มีความยึดถือเหลืออยู. จบอรรถกถาอัฏฐกิ สัญญา วา ดว ยปฬุ วุ กสัญญา บทวา ปุฬุวกสฺ ไดแ ก สัญญาทเี่ กิดขน้ึ แกภ ิกษุผูเ จรญิ อยวู ามหี นอน. แมในบทวา วินีลกสญั ญาเปนตน ก็นยั นีเ้ หมือนกัน . สวนในขอ น้ีเร่ืองวินจิ ฉยั กลา วไวใ นวิสทุ ธิมรรคกับนยั ภาวนา. พรหมวิหารมเี มตตาเปน ตนพึงทราบดว ยอํานาจฌานหมวด ๓-๔. อเุ บกขา ดว ยอํานาจฌานท่ี ๔ แล. จบอรรถกถาปุฬวุ กสญั ญา* อรรถกถาเปนวรรคที่ ๗

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 346 วาดว ยอสภุ สัญญาเปนตน บทวา อสุภสฺ า ไดแก ปฐมฌานสัญญาในอสภุ ะ. บทวามรณสฺ า ความวา สญั ญาทีเ่ กิดขึ้นแกผ ูพจิ ารณาอยเู นือง ๆ วา เราตอ งตายแน ชวี ิตของเราเนืองดว ยความตาย. บทวา อาหาเร ปฏิกลู สฺาความวา ในขา วสกุ และขนมสดเปน ตน เปน ปฏกิ ลู สญั ญา สําหรับผูกลนื กนิ เทานั้น. บทวา สพฺพโลเก อนภีรตสฺ า ไดแก สญั ญาท่ีเกิดข้ึนแกผ ใู หความไมย ินดเี กิดข้นึ อยใู นโลกท้ังส้นิ . บุพภาค ๒ คอื ปหานสญั ญา วิราคสญั ญา คอื คลกุ เคลา ดว ยนิโรธสัญญา. ทานแสดงกัมมัฏฐาน ๒๐ มอี ฏั ฐิกสญั ญาเปน ตนเหลา น้ันดว ยประการฉะนนั้ แล. กัมมฏั ฐาน ๒๐ เหลา นั้น ๙ เปนอปั ปนา ๑๑ เปนอปุ จารฌาน. สวนในขอ นี้ เรอื่ งวินจิ ฉยั ทเี่ หลอื มาแลวในวิสุทธิมรรคแล. คงคาเปยยาลเปนตน พึงทราบโดยนัยอันกลา วแลว ในมรรคสังยตุ แล. จบอรรถกถาโพชฌงคสังยตุ ในอรรถกลาสงั ยตุ ตนิกายชอื่ สารัตถปกาสินี.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 347 สติปฏฐานสงั ยตุ อัมพปาลวิ รรคที่ ๑ ๑. อัมพปาลสิ ูตร วา ดว ยสติปฏ ฐาน ๔ [๖๗๘] ขาพเจาไดสดับมาแลว อยา งนี้ :- สมยั หนงึ่ พระผูม พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ อัมพปาลวิ นั ใกลก รงุ เวสาลีณ ทน่ี ้นั แล พระผูม ีพระภาคเจาตรสั เรยี กภิกษุทัง้ หลายวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย.ภกิ ษุเหลา นน้ั ทลู รับพระผมู ีพระภาคเจา วา พระพุทธเจาขา . พระผูม ีพระภาคเจาไดตรสั พระพุทธภาษติ น้วี า [๖๗๙] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย หนทางนเี้ ปน ท่ไี ปอนั เอก เพือ่ ความบริสุทธข์ิ องสัตวทงั้ หลาย เพ่อื กา วลว งความโศกและความร่ําไร เพ่อื ความดับสญู แหง ทกุ ขแ ละโทมนัส เพอ่ื บรรลญุ ายธรรม เพือ่ ทาํ นิพพานใหแ จง .หนทางน้ี คือ สติปฏ ฐาน ๔. สตปิ ฏฐาน ๔ เปน ไฉน. [๖๘๐] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยน้ี พิจารณาเหน็ กายในกายอยู มีความเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาํ จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑ พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะมีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑ พิจารณาเหน็ จติ ในจิตอยูมคี วามเพยี ร มสี มั ปชัญญะ มีสติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มีความเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ กาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสียได ๑.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ท่ี 348 [๖๘๑] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย หนทางนี้เปนทไ่ี ปอนั เอก เพอื่ ความบรสิ ทุ ธิข์ องสัตวทั้งหลาย เพื่อกา วลวงความโศกและความรา่ํ ไร เพอ่ื ความดบั สญู แหง ทุกขแ ละโทมนสั เพอื่ บรรลญุ ายธรรม เพ่อื ทํานพิ พานใหแจงหนทางนี้ คอื สติปฏฐาน ๔ ฉะนั้นแล. พระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสพระพุทธภาษติ น้ีแลว ภิกษเุ หลานน้ั ช่นื ชมยนิ ดพี ระภาษติ ของพระผมู ีพระภาคเจา. จบอัมพปาลิสูตรท่ี ๑ สตปิ ฏ ฐานสงั ยุตตวรรณนา อรรถกถาอัพปาลสิ ูตร พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในอมั พปาลิสตู รที่ ๑ แหง สติปฏฐานสงั ยตุ . บทวา อมพฺ ปาลวิ เน ไดแก ในสวนมะมว ง อันหญงิ ผูเขา ไปอาศยั รปู เล้ยี งชีพ ชื่ออมั พปาลี ปลูกไว. สวนมะมวงนั้น จงึ ไดเ ปนสวนของนางอมั พปาลี. นางอมั พปาลีน้นั ฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดามจี ิตเล่อื มใส จึงสรา งวหิ ารไว ณ ที่น้ัน มอบถวายแดพระตถาคต. บทวาอมพฺ ปาลีวเน น้ี ทา นกลาวหมายถึง วหิ ารนน้ั . บทวา เอกายนฺวายตัดบทเปน เอกายโน อย แปลวา น้เี ปน ทางเดยี ว. ในบทเหลานนั้ บทวาเอกายโน แปลวา ทางเดยี ว. ทาง มีชอื่ มาก วา มรรค ปน ถะ ปถะ ปชชะ อัญชสะ วฏม ะอายนะ นาวา อุตตรเสตุ กลุ ละ ภิสสิ ังกมะ ดงั น.ี้ ในทนี่ ี้ ทานกลาวถึง

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๑ - หนา ที่ 349ทางนน้ี ้นั โดยชอ่ื อยนะ. เพราะฉะนนั้ ในบทวา เอกายนวฺ าย ภกิ ขฺ เวมคโฺ ค พงึ เหน็ ความอยางนี้วา ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ทางนเี้ ปน ทางเดยี วไมเปนทางสองแพรง . บทวา มคโฺ ค ชอ่ื วา มรรค ดวยอรรถอะไร.ดวยอรรถเปน เครอ่ื งแสวงหานพิ พาน และดวยอรรถอันผมู คี วามตอ งการนพิ พานพงึ แสวงหา. บทวา สตตฺ าน วสิ ทุ ธฺ ยิ า ไดแ ก เพื่อความบริสทุ ธ์ิแหงสตั วทงั้ หลายผมู จี ิตเศรา หมองแลว ดวยมลทนิ มีราคะเปนตน และดว ยอุป-กิเลสมีอภิชฌาวสิ มโลภะเปนตน. บทวา โสกปริเทวาน สมติกฺกมายความวา เพอ่ื กาวลวงคอื เพอ่ื ละความโศกและความพร่าํ เพอ . บทวา ทกุ ขฺ โท-มนสสฺ าน อตถฺ งฺคมาย ความวา เพ่อื ความสิ้นไปคอื เพื่อความดบั แหง ทกุ ขและโทมนัสท้งั สองเหลา นี้ คือ ทกุ ขอนั เปน ไปทางกาย และโทมนสัอันเปนไปทางจิต. บทวา ายสสฺ อธิคมาย ความวา อริยมรรคมีองค ๘ทานเรียกวา าย. ทา นอธิบายวา เพื่อบรรลุ คือ เพอ่ื ถงึ อริยมรรคน้นั . จริงอยู มรรคคอื สตปิ ฏ ฐานอนั เปน โลกิยะ เปน สว นเบือ้ งตน น้ีอันบุคคลเจรญิ แลว ยอมเปนไปเพอ่ื บรรลถุ ึงโลกตุ รมรรคะ ดว ยเหตุน้นัทานจงึ กลา ววา ายสสฺ อธิคมาย ดงั น้ี. บทวา นพิ พฺ านสสฺ สจฉฺ กิ ริ ิยายทา นอธิบายวา เพื่อทําใหแ จง คอื เพือ่ ใหป ระจกั ษแ กต น แหง อมตธรรมอันไดชือ่ วา นพิ พาน เพราะเวน จากเคร่อื งรอยรดั คอื ตัณหา. จรงิ อยู มรรคน้ยี ังสัจฉิกริ ิยาใหส าํ เร็จ. ดว ยเหตุน้ัน ทานจงึ กลาววา นพิ ฺพานสฺสสจฺฉกิ ริ ยิ าย ดงั น้ี. ดวยประการฉะน้ี พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั คณุ ของเอกายนมรรคดวยบท ๗ บท. หากถามวา เพราะเหตุไร พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ตรัสคุณของเอกายนมรรคนนั้ . ตอบวา เพ่ือใหภกิ ษทุ ง้ั หลายเกิดอตุ สาหะ.จริงอยู ภิกษเุ หลา น้นั คร้นั ฟง การกลา วถึงคุณแลว เกดิ ความอุตสาหะวานัยวา มรรคนี้ ยอมกําจดั อุปท วะ ๔ คอื ความโศกอนั เผาหัวใจ ๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook