Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_33

tripitaka_33

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_33

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 129ฬกกรรมท่ที ําในชาตกิ อน ก็มอดไหมประหนง่ึ กองขีเ้ ถา พรอมกันหมด.เหลาทหารรกั ษาสตรีเหลานัน้ ก็ไปเฝา กราบทูลวา ขา แตเ ทวะ คนทงั้ หลายไดก ระทํากรรมชือ่ นี้ . พระราชาทรงสืบสวนวาใครทาํ ก็ทรงทราบวาพระนามมาคัณฑิยาใชใหคนทาํ จึงรับส่งั ใหเ รยี กพระนางมาตรัสวา เจาทํากรรมไดงดงามแลว เจากระทาํ กรรมทีเ่ รากาํ ลงั จะทาํ แมม หาจําเริญความพยายามเพอื่ จะฆาเราที่กอข้ึนและกอขน้ึ แลว ถกู ทาํ ลายลงแลว เจาจะใหสมบตั ิแกเจา จงเรียกพวกญาติของเจามา. พระนางฟง พระราชดํารัสแลว กใ็ หเ รียกคนท่ไี มเปนญาติทําใหเ ปน ญาติมาแลว. พระราชาทรงทราบวา คนทั้งหมดประชุมกนั พรอ มแลว ก็ใหขดุ หลุมฝงคนเหลา น้ันลงเหลือแคค อทพี่ ระลานหลวง แลว ใหทําลายศรี ษะท่โี ผลข ึน้ นาโดยใหไ ถดวยไถเหล็กขนาดใหญ ใหต ัดพระนางมาคณั ฑยิ าเปนชนิ้ เลก็ ช้นิ นอย ใหทอดในกระทะทอดขนม. ถามวา กรรมที่พระนางสามาวดีกบั บรวิ ารถกู ไฟเผาคือกรรมอะไร. ตอบวา ดังไดสดบั มา พระนางสามาวดีน้ัน เมื่อพระพทุ ธเจายงั ไมอ บุ ตั ิ เลน น้าํ ในแมน ํา้ คงคากับสตรี ๕๐๐ คนนน้ั น่นั แหละ ยืนนอกทาน้ํา กเ็ กิดหนาวเย็น เห็นบรรณศาลาของพระปจ เจกพุทธเจา ในท่ีไมไ กล ไมต รวจดขู างในแลวจดุ ไฟพากันผิงไฟ ภายในบรรณศาลาพระ-ปจ เจกพุทธเจานงั่ เขา สมาบัต.ิ สตรเี หลา นน้ั เมือ่ เปลวไฟโทรมลงจึงเห็นพระปจ เจกพุทธเจา คดิ กนั วา พวกเราทํากรรมอะไรหนอ พระปจเจก-พุทธเจา องคนี้เปนพระประจาํ ราชสกลุ พระราชาทรงพบเหน็ เหตุน้ีแลวจักทรงกรวิ้ พวกเรา บดั น้ี ควรท่พี วกเราจะฌาปนกจิ พระองคใ หเ สร็จเรียบรอ ยไป จึงใสฟ นอ่นื ๆ จุดไฟ เม่ือเปลวไฟโทรมลงอีก พระปจเจก-

พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 130พุทธเจา ออกจากสมาบัติ สะบดั จวี รแลวกเ็ หาะข้ึนสูเ วหา ทง้ั ท่ีสตรีเหลานั้นมองเห็นอยนู ั้นแล. สตรเี หลานนั้ ไหมใ นนรกดว ยกรรมนนั้ แลว กถ็ ึงความพนิ าศครั้งนี้ดว ยเศษกรรมท่สี ุกงอมแลว . แตใ นบรษิ ทั ๔ เกดิ การสนทนากันขน้ึ วา นางขชุ ชตุ ตราผูพหูสตู ต้ังอยใู นอตั ภาพเปน สตรี กลาวธรรมแกสตรี ๕๐๐ คนใหด าํ รงอยูในโสดาปต ติผล ฝายพระนางสามาวดแี ผเ มตตาหามลกู ธนูทพ่ี ระราชาทรงกร้ิวตนได. มหาชนก็กลา วคณุ ของพระนาง. เรื่องทเี่ กิดขึน้ อยา งน.้ี ตอ มา พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวนั วหิ าร ทรงทาํ เหตนุ น้ั แลใหเปนอัตถปุ ปต ติเหตเุ กิดเรือ่ งแลว ทรงสถาปนานางขุชชุตตราไวใ นตาํ แหนงเอตทัคคะเปนเลศิ กวา อุบาสิกาอริยสาวิกาผเู ปน พหสู ูตทรงสถาปนาพระนางสามาวดไี วในตาํ แหนง เอตทัคคะเปนเลิศกวา อุบาสิกาผมู ปี กติอยูดวยเมตตา แล. จบอรรถกถาสูตรท่ี ๔ อรรถกถาสูตรท่ี ๕ ๕. ประวตั นิ างอุตตรานันทมารดา ในสูตรที่ ๕ พึงทราบวินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี. ดวยบทวา ณายีน ทานแสดงวา นางอุตตรานันทมารดาเปนเลศิกวาพวกอุบาสิกาผยู นิ ดีในฌาน. ดงั ไดสดบั มา นางอตุ ตราน้ัน ครัง้ พระพุทธเจา พระนามวา ปท-ุมตุ ตระ บงั เกดิ ในเรอื นสกุล กรุงหังสวดี ฟง ธรรมกถาของพระศาสดา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 131เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกิ าผหู น่งึ ไวใ นตําแหนงเอตทคั คะเปนเลศิกวาพวกอุบาสิกาสาวกิ าผยู นิ ดใี นฌาน ทาํ กุศลใหยง่ิ ยวดขึน้ ไป ปรารถนาตําแหนงนัน้ . นางเวียนวา ยอยใู นเทวดาและมนุษยถึงแสนกปั ในพทุ ธุป-บาทกาลน้ถี ือปฏสิ นธิในครรภของภรยิ าปณุ ณ๑เศรษฐี ผูอาศัยสุมนเศรษฐีอยูใ นกรงุ ราชคฤห. บิดามารดาตั้งช่ือนางวา อุตตรา. ในวันงานฉลองนักษตั รฤกษครั้งหน่งึ ราชคหเศรษฐเี รยี กนายปุณณะมากลา ววา พอปณุ ณะ นักษัตรฤกษห รอื อุโบสถจักทําอะไรใหแกคนยากเขญ็ ได เม่ือเปน เชน นั้น เจา จงบอกมาวา เจา จกั รบั ทรัพยคา ใชจ า ยในงานนกั ษตั ร-ฤกษแลว เลนนกั ษตั รฤกษ หรอื จกั พาโคมีกําลงั ผาลและไถไปไถนานายปณุ ณะกลาววา นายทาน ผมจกั ปรกึ ษากบั ภรยิ าผมกอนจงึ จะรู แลวบอกเร่ืองนนั้ แกภ ริยา. ภรยิ าเขากลา ววา ธรรมดาเศรษฐเี ปนนายเปนอสิ รชน คําพูดของเขาทก่ี ลา วกับทา น ยอมงดงาม สวนทานอยา สละการทาํ นาของตนเลย. นายปุณณะนัน้ ฟง คําภรยิ าแลว กไ็ ปเพ่ือนาํ เคร่อื งมือนาํไปไถนา. ในวนั น้ัน พระสารีบุตรเถระออกจากนโิ รธสมาบตั ิ นึกวา วนั นี้เราควรจะทาํ การสงเคราะหใ คร ก็เหน็ อปุ นิสัยของนายปุณณะน้ี ในเวลาแสวงหาอาหาร จงึ ถือบาตรจีวรไปยังที่ ๆ นายปุณณะไถนา แสดงตวัในที่ไมไกล. นายปณุ ณะเห็นพระเถระกห็ ยดุ ไถนาไปหาพระเถระ ไหวดว ยเบญจางคประดิษฐ. พระเถระแสดงเขาแลว ถามถึงนา้ํ ท่ใี ชไ ด. เขาคดิ วา พระผเู ปนเจา นีจ้ กั ตอ งการบวนปาก จงึ รบี ไปจากที่นนั้ นําไมชาํ ระฟน มาทําใหเ ปนกัปปยะของสมควรแลวถวายพระเถระ เม่อื พระเถระกาํ ลงั เคีย้ วไมชาํ ระฟน กน็ ําธมกรก หมอกรองนาํ้ กับบาตรออกแลว๑. ม. ปุณณฺ สีหสฺส นาม ของบรุ ุษช่ือวา ปุณณสีหะ.

พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 132ใสนาํ้ เตม็ แลวนาํ มา. พระเถระก็บว นปาก เดนิ ทางแสวงหาอาหาร. นายปุณณะคิดวา พระเถระไมเดินทางนใ้ี นวนั อนื่ ๆ แตว นั นี้ที่จกัเดนิ ทางเพ่อื สงเคราะหเ รา โอหนอ ภริยาของเราพงึ วางอาหารทีจ่ ะนาํ มาใหเราลงในบาตรพระเถระ. ครั้งนัน้ ภรยิ าของเขาคดิ วา วันนเี้ ปนวนันกั ษตั รฤกษ จึงจัดของเคย้ี วของบริโภค โดยทาํ นองทต่ี นจะได ถอื ไปแตเชา ตรู มายังสถานท่ีสามีไถนา ระหวา งทางพบพระเถระจึงคดิ วา เราพบพระเถระในวนั อนื่ ๆ ไทยธรรมไมมี แมเมือ่ มีไทยธรรมเรากไ็ มพ บพระเปนเจา แตวันนี้ ทง้ั สองอยางมพี รอมหนา แลว จําเราจะจดั แจงสว นของสามขี องเรานํามาใหม จกั ถวายอาหารสวนนแ้ี ดพ ระเถระเสียกอนทําทานใหประกอบดว ยเจตนาทง้ั ๓ แลววางโภชนะนนั้ ลงในบาตรพระ-สารบี ุตรเถระแลว กลา ววา ขอดฉิ ันจงพน จากชวี ิตยากเขญ็ ในโลกน้ี ดวยทานอยา งนเี้ ถดิ เจา ขา. แมพระเถระก็ทําอนุโมทนาแกนางวา ขออธั ยาศยัของนางจงเต็มเทอญ กลบั จากท่ีนน้ั แลว ก็ไปวหิ าร. แมนางกก็ ลับบานตนอีก แลว จดั หาอาหารสําหรบั สามนี ําไปยงั สถานทส่ี ามีไถนา กลัวสามีจะโกรธ จึงกลา ววา นายจา วันน้ขี อนายจงอดกล้นั ใจของนายไวว ันหนึง่เถิด. เขาถามวา เพราะเหตุไร. นางตอบวา วันนดี้ ิฉันกาํ ลังนาํ อาหารมาสาํ หรบั นาย ระหวางทางพบพระเถระ จึงวางอาหารสว นของนายลงในบาตรพระเถระ จึงกลบั ไปเรอื นอีก หงุ ตมอาหารแลว นาํ มา บัดน้ี . เขากลา ววา นองเอย เจา ทาํ ถกู ใจจรงิ ๆ ถึงฉนั ก็ถวายไมชาํ ระฟนและนาํ้บว นปากแดพระเถระแตเ ชา ตรู วันนีช้ างเปนโชคของเราจรงิ ๆ แมข องท้งั หมดทเ่ี ราถวายพระเถระ ก็เกิดเปนสมบัติของเราท้งั นนั้ . แมทั้งสองคนก็มจี ติ เสมือนเปน อนั เดยี วกัน.

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 133 ครงั้ นนั้ นายปณุ ณะกินอาหารเสรจ็ แลว ก็เอาศรี ษะหนนุ ตกั ภรยิ านอนครหู นง่ึ . ขณะน้นั เขาก็หลบั ไป. เขาหลบั ไปหนอยหน่งึ แลว กต็ ื่นมองดูถามท่ไี ถนา สถานที่มองดแู ลวมองดอู ีก กไ็ ดเ ปนประหน่งึ เต็มไปดวยดอกบวบขมขนาดใหญ เขาจงึ พูดกะภรยิ าวา นอ งเอย นั่นอะไรกนัวันน้สี ถานที่ไถนานี้ปรากฏเปนทองไปได. ภริยาพดู วา นายทา น วันน้ีเพราะนายทานเหน็ดเหนือ่ ยมาทั้งวนั ชะรอยดวงตาจะพราไปก็ได. เขาวา นอ งเอย เจาไมเช่ือพก่ี ็มองดูเองสิ. เวลาน้ันภริยามองดแู ลวกพ็ ูดวา นายทา นพูดจริง นน่ั คงจกั เปน อยา งนั้น. นายปุณณะลกุ ขนึ้ จับไมอนั หนงึ่ ตที ี่หัวขไ้ี ถ. ดินหัวขีไ้ ถก็เปนเหมอื นเม็ดกลมๆ ฝง อยูในดนิ หัวขี้ไถฉะนั้น. เขาเรยี กภริยามากลาววา นอ งเอย เมื่อคนอืน่ ๆ หวานเมล็ดพืชพชื กใ็ หผ ล ๓-๔ เดือน สวนผลทานที่ใหในวันนี้ กด็ วยพืชคือศรัทธาทเี่ ราจะปลูกลงในระหวา งทา นพระสารบี ุตรเถระพระผเู ปน เจาของเรา. ในพนื้ ที่ประมาณกรีสหนง่ึ นี้ ทองแมข นาดเทาผลมะขามปอมชอ่ื วา ไมใชทอง ไมมีเลย. ภรยิ าพูดวา นายทา น บดั น้ีเราจักทําอยา งไรเลา . นายปณุ ณะพูดวา นองเอย เราไมอ าจนาํ ทองเทา นี้ไปกินไดดอกแลวใสท องเต็มถาดที่ภรยิ านํามาวางไวใ นทีน่ ัน้ ใหภริยานาํ ไปกราบทูลพระราชาวา มนษุ ยผ ูหนง่ึ ยนื ถอื ถาดใสท อง พระเจา ขา . พระราชารับส่ังใหเรยี กเขาเขาไปตรัสถามวา พอ เอย เจาไดมาแตทไ่ี หน. เขากราบทลู วาขา แตเทวะ. สถานทีข่ าพระองคไถนาแหงหนง่ึ ขอไดโปรดสงคนไปใหขนทองที่เกดิ แลว ทง้ั หมดมาเสีย พระเจาขา . ตรสั ถามวา เจาชือ่ อะไร.ทูลตอบวา ชอ่ื วา ปุณณะ พระเจา ขา. ตรสั สัง่ วา พนาย พวกเจา จงไปเทยี มเกวยี นขนทองมาจากสถานท่นี ายปุณณะไถนา. เหลาราชบรุ ษุ ไปกบั

พระสุตตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 134เหลา เกวยี น กลาววา บญุ ของพระราชา ถอื เอากอนทองไป. กอนทองที่ถอืเอานน้ั ก็เปนกอนดนิ ขไ้ี ถไป. ราชบรุ ษุ เหลาน้ันไปกราบทูลพระราชา.พระราชาตรสั วา พนาย ถาอยางนน้ั พวกเจา จงไปกลา ววา บุญของนายปณุ ณะแลวถือเอาทอง. สง่ิ ทเี่ ขาถือเอาเปนทองไปท้งั น้นั . ราชบุรุษเหลานน้ั กน็ าํ ทองทัง้ หมดนนั้ มากองไวที่พระลานหลวง. กองสูงประมาณเทาตนตาล. พระราชาโปรดใหเ รยี กพวกพอคามาตรสั ถามวา ในเรอื นใดมีทองเทา น้บี าง. พวกพอ คา กราบทูลวา ขา แตเ ทวะ ของใคร ๆ กไ็ มมีพระเจาขา. ตรัสปรึกษาวา เราควรจะทําอะไรแกเ จา ของทรัพยเทานเ้ี ลากราบทลู วา ควรตัง้ เขาเปนธนเศรษฐีสิ พระเจาขา . พระราชาตรสั วาถา อยา งน้นั พวกเจาจงแตง ต้ังปุณณะช่อื วา ธนเศรษฐใี นพระนครนี.้ แลวพระราชทานของท้ังหมดน้นั แกนายปณุ ณะนนั้ เทา นั้น พระราชทานตําแหนง เศรษฐีแกเ ขาในวันน้ันน่ันเอง. เศรษฐีนัน้ เมอื่ กระทํามงคลก็ไดถวายทานแดพ ระภิกษสุ งฆ มีพระพทุ ธเจา เปน ประมขุ ๗ วนั . ในวนั ที่ ๗ เม่ือพระทศพล ทรงทาํ การอนุโมทนาในภัตทานของปณุ ณเศรษฐีกด็ ี ภรยิ ากด็ ี ธิดากด็ ี ทงั้ หมดกด็ ํารงอยูในโสดาปตตผิ ล. ภายหลงั ราชคหเศรษฐที ราบวา ปุณณเศรษฐีมธี ิดาสาวกเจรญิวยั อยู จึงสง สาสนไปเรือนของปุณณเศรษฐนี ัน้ ขอธดิ าเพ่ือบตุ รของตน.ปุณณเศรษฐนี นั้ ฟง สาสนร าชคหเศรษฐนี นั้ แลว ก็สงสาสนต อบไปวาเราไมใหธดิ าดอก. ฝายสุมนเศรษฐี [ราชคหเศรษฐ]ี สงสาสนไ ปอกี วาทา นอาศยั เรอื นเราอยู บดั นี้ กเ็ ปนอสิ รชน โดยทนั ทีทันใด แลวยงั จะไมใ หธ ิดาแกเราหรอื . แตนั้น ปณุ ณเศรษฐี กต็ อบวา ทานพดู ถึงแตสภาพเศรษฐขี องทา นกอนเทา นน้ั ชือ่ วา บุรษุ ทา นไมค วรกําหนดเอาวา

พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 135ตองเปนอยา งนีไ้ ปตลอดกาล ความจริงเราสามารถรับเอาพวกบรุ ุษเชน นน้ัทําเปนทาสกไ็ ดนะ แตเราไมอ าจเอือ้ มถึงชาตแิ ละโคตรของทานไดดอก.อนงึ่ เลา ธิดาของเราก็เปนพระอรยิ สาวิกาผพู ระโสดาบัน กระทาํ การบชู าดวยดอกไมม คี า หลายกหาปณะทุก ๆ วนั เราจกั ไมส งธิดาไปเรอื นคนมิจฉาทฏิ ฐิเชน ทาน. ราชคหเศรษฐรี วู า ปณุ ณเศรษฐปี ฏิเสธอยางน้ัน ก็สง สาสนไปอีกวา โปรดอยา ทาํ ลายความสนทิ สนมเกา ๆ เสยี เลย เราจักใหจ ัดดอกไมม ีคา ๒ กหาปณะทกุ ๆ วัน แกสะใภข องเรา. ปณุ ณเศรษฐีก็ตอบรบั แลว สงธิดาไปเรอื นของราชคหเศรษฐีน้ัน. ตอมาวนั หนึ่ง นางอุตตราธดิ าของปุณณเศรษฐีนนั้ ก็กลาวกะสามีของตนอยางนี้วา ดฉิ นั ทําอุโบสถกรรมประจําเดือนละ ๘ วัน ในเรือนสกุลของตน แมบ ดั น้ี เม่อื ทา นรับใหค วามยินยอมได เรากจ็ ะพึงอธิษฐานองคอ โุ บสถ. สามนี น้ั กลาววา ฉันยินยอมไมได แลวก็ไมร บั คาํ . นางไมอาจทําสามีนนั้ ใหยินยอมได กน็ ง่ิ เสยี คดิ วา เราจกั อธิฐานองคอโุ บสถภายในพรรษาอีก แมครง้ั นน้ั เม่อื นางขอโอกาส ก็ไมไดโ อกาสอีกนน่ั เอง.ภายในพรรษา ลวงไป ๒ เดือนครึ่งยงั เหลอื อยูคร่ึงเดือน นางจึงสงขา วไปบอกบดิ ามารดาวา ดฉิ ันถูกทา นพอทา นแมสง ไปขงั ไวใ นทก่ี กั ขงั ตลอดกาลยาวนานเทาน้ีแลว จะอธษิ ฐานองคอ โุ บสถแมตลอดวนั หน่งึ ก็ไมไดโปรดสงกหาปณะ แกดิฉนั ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเถิด. บิดามารดาฟงขา วธิดาแลวก็ไมถ ามวา เพราะเหตไุ ร สงเงนิ ไปใหเ ลย. นางอตุ ตรารบั กหาปณะเหลา น้ันแลว . มีหญิงโสเภณชี ่อื สิริมาอยใู นนครนัน้ จงึ ใหเ รยี กนางมาแลว กลาววา แมส ิริมาจา ดิฉันจักอธฐิ านองคอ โุ บสถ ตลอดคร่ึงเดือนนี้ ขอแมน างจงรบั กหาปณะ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเหลานนั้ ไว แลว บาํ เรอ

พระสุตตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 136บุตรเศรษฐีตลอดครึ่งเดอื นนี้. นางสิริมากร็ ับปากวา ดีละแมเ จา. ตั้งแตน้นั มา บุตรเศรษฐีคิดวา เราจกั สําเรงิ สาํ ราญกบั นางสิริมา จงึ อนญุ าตใหนางอตุ ตรารบั อโุ บสถกรรมตลอดครง่ึ เดือน. นางอุตตรารูวาสามรี บั ปากยนิ ยอมแลว มีหมูท าสแี วดลอม จัดแจงของเคี้ยวของฉันดวยมอื เองแตเชาตรูทุก ๆ วัน เม่ือพระศาสดาทรงทาํ ภัตกิจเสร็จ เสด็จไปวิหารแลวกอ็ ธษิ ฐานองคอโุ บสถ ข้ึนปราสาทอันประเสริฐ นงั่ ระลกึ ถึงศลี ของตน.ลวงเวลาไปครง่ึ เดอื นดวยอาการอยา งน้ี ในวนั สละอุโบสถ นางจงึ เท่ียวจัดแจงขาวยาคูและของเคย้ี วเปน ตน แตเชา ตรู. เวลานัน้ บุตรเศรษฐอี ยบู นปราสาทอนั ประเสรฐิ กบั นางสริ มิ า เปดหนาตางกรตุ าขา ย ยืนดสู ่ิงของไปตามลําดบั นางอตุ ตราแหงนดไู ปทางชองหนา ตา ง. บุตรเศรษฐมี องดูนางอตุ ตราคดิ วา หญิงผูนค้ี งถอื กาํ เนิดแตสตั วน รกหนอ ละสมบัตอิ ยา งนแี้ ลวเปน ผเู ปรอะเปอ นดว ยเขมา หมอขา ววุน วายอยูระหวางทาสที ัง้ หลายโดยหาควรแกเหตไุ ม แลวกระทําการย้ิมแยมนางอตุ ตราทราบความที่บตุ รเศรษฐีน้ันประมาท คิดวา บุตรเศรษฐีน้ีชอื่ วาเปน คนเขลา คงจกั สาํ คญั วา สมบตั ขิ องตนจะอยูถ าวรทกุ เวลา ดังนี้แลว แมต นเองก็ทาํ การยิม้ แยมบาง. แตน ้นั นางสริ ิมากโ็ กรธแลวบริภาษวา นางทาสผี นู เ้ี มอื่ เรายนื อยูก็ยังทาํ การยมิ้ แยมกบั สามีของเราอยางนี้จงึ รีบลงจากปราสาท. โดยอากปั กิริยาท่มี าของนางสริ มิ าน้นั นน่ั แหละนางอุตตราก็ทราบวา หญงิ โงคนน้ีอยใู นเรอื นหลงั นี้เพยี งครง่ึ เดอื น ก็เกิดสําคญั วาเรอื นหลังน้ีเปน ของเราคนเดียว ดังน้ี ทนั ใดนั้นนัง่ เองก็ยนื เขาฌานมเี มตตาเปน อารมณ. ฝา ยนางสิริมา กม็ าในระหวางทาสีทงั้ หลายจับกระบวยเตม็ ดวยนา้ํ มนั ท่ีเดอื ด ในกระทะทอดขนม ราดลงบนศรี ษะ

พระสตุ ตันตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 137นางอตุ ตรา. ดว ยการแผเ มตตาฌาน นาํ้ มันเดอื ดท่นี างสิรมิ าราดลงบนศรี ษะนางอตุ ตรา ไหลกลับไป เหมือนนํา้ ที่ราดลงบนใบบวั ฉะน้นั .ขณะนั้นทาสที ั้งหลายท่ียนื ใกลนางสริ ิมร เหน็ เหตนุ นั้ แลว ก็บริภาษนางสริ ิมานัน้ ตอหนาวา ไฮ แมมหาจําเริญ เจารบั มลู คา จากมอื แมน ายของเรานาอยใู นเรือนหลงั นี้ ยังพยายามจะมาทาํ เทยี มแมนายของพวกขาหรอื . ขณะนนั้ นางสริ มิ ารูวา ตวั เปนอาคันตกุ ะมาอยูชัว่ คราว ก็ไปจากท่ีน้ันแลวหมอบลงแทบเทานางอตุ ตรา กลา ววา แมน าง ดฉิ ันไมทันใครค รวญก็ทํากรรมอยางนี้ โปรดยกโทษใหดฉิ ันเสียเถดิ . นางอตุ ตรากลาววา แมสริ ิมาจา ฉันยกโทษใหแมในฐานะนไี้ มไ ดดอก ฉันเปนธดิ ามีบิดา จะยกโทษใหก ต็ อ เมอื่ พระทศพลทรงยกโทษใหแ มเ ทานน้ั .แมพ ระศาสดามภี กิ ษุสงฆเ ปนบรวิ าร ก็เสดจ็ มาประทับเหนอื อาสนะที่จดั ไว ณ นเิ วศนข องนางอุตตรา. นางสริ ิมาจงึ ไปหมอบแทบพระยุคลบาทพระศาสดา กราบทลู วา ขาแตพระองคผูเ จรญิ ขาพระองคกระทาํความผิดอยางหน่งึ ในระหวางแมนางอตุ ตรา นางกลา ววา เมอ่ื พระองคทรงยกโทษประทาน เรากจ็ ักยกโทษให ขา แตพ ระผูมีพระภาคเจา ขอพระองคโปรดทรงยกโทษประทานแกข า พระองคซง่ึ ขมาโทษอยดู วยเถิด.พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา สริ ิมา เรายกโทษใหเ จา. เวลานั้น นางสิริมานั้นกไ็ ปขอใหนางอตุ ตรายกโทษให. และในวนั นั้น นางสริ ิมาฟงอนโุ มทนาภตั ทานของพระทศพลวาอกโฺ กเธน ชิเน โกธ อสาธุ สาธุนา ชิเนชเิ น กทริย พาเนน สจฺเจนาลกิ วาทิน .พงึ ชาํ นะคนโกรธดวยความไมโ กรธ พงึ ชาํ นะ

พระสตุ ตันตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 138 คนไมดีดวยความดี พงึ ชําระคนตระหน่ดี ว ยการให พงึ ชํานะคนพดู เท็จดวยคําจรงิ .เมอ่ื จบพระคาถา ก็ดาํ รงอยใู นโสดาปตตผิ ล นิมนตพระทศพลถวายมหา-ทาน ในวันรงุ ขนึ้ . เร่อื งนีเ้ กิดข้ึนอยางน้ี. ภายหลัง พระศาสดาประทับอยู ณ พระเชตวันวหิ ารเม่อื ทรงสถาปนาพวกอบุ าสกิ าไวในตําแหนง ตา ง ๆจงึ ทรงสถาปนานางอุตตรานันทมารดา ไวในตาํ แหนงเอตทคั คะเปนเลิศกวา พวกอบุ าสิกา ผเู ขา ฌานแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๕ อรรถกถาสตู รท่ี ๖ ๖. ประวัตพิ ระนางสปุ ปวาสา โกลยิ ธิดา ในสูตรท่ี ๖ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดังตอ ไปน้ี. ดว ยบทวา ปณีตทายิกาน ทานแสดงวา พระนางสปุ ปวาสาโกลยิ ธิดา เปน เลศิ กวา พวกอบุ าสกิ าผูถวายของมีรสประณีต. ดังไดสดบั มา พระนางสปุ ปวาสา โกลยิ ธดิ านน้ั ครงั้ พระพุทธเจาพระนามวา ปทุมมตุ ตระ บังเกิดในเรือนสกลุ กรุงหงั สวดี กาํ ลงั ฟงพระ ธรรมทศนาของพระศาสดาเหน็ พระศาสดาทรงสถาปนาอบุ าสกิ าผูหนงึ่ไวใ นตําแหนง เอตทัคคะเปน เลศิ กวา พวกอุบาสกิ าผถู วายของมีรสประณีคทาํ กศุ ลใหย ิ่งยวดข้นึ ไป ปรารถนาตําแหนง นน้ั . นางเวยี นวา ยอยใู นเทวดาและมนษุ ยถ ึงแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลน้บี งั เกดิ ในสกลุ กษัตริยพระนครโกลิยะ. พระประยรู ญาติจึงขนานพระนามพระนางวา สุปปวาสา

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 139ทรงเจริญวัยแลว อภิเษกกบั ศากยกุมารพระองคหนง่ึ ดว ยการเขา เฝาคร้ังแรกเทา นนั้ สดบั ธรรมกถาของพระศาสดา กด็ าํ รงอยูใ นโสดาปตตผิ ลตอ มา พระนางประสูติพระโอรส พระนามวา สวี ล.ี เร่อื งของพระสวี ลีน้ันกลาวไวพิสดารแลวแตหนหลงั . วนั หน่ึง พระนางถวายโภชนะอนัประณีตมรี สเลิศตาง ๆ แกพระภิกษสุ งฆ. มีพระพทุ ธเจา เปน ประมขุ .พระศาสดาเสวยเสรจ็ แลว เมอ่ื ทรงกระทําอนุโมทนา ทรงแสดงธรรมนี้แกพระนางสุปปวาสาวา ดูกอ นสุปปวาสา อรยิ สาวิกาผถู วายโภชนะ ชื่อวาใหฐานะท้งั ๕ แกพ วกปฏิคาหก คอื ใหอายุ ใหว รรณะ ใหสุข ใหพ ละใหปฏภิ าณ. กแ็ ลผใู หอายุ ยอ มเปน ผมู สี ว นแหงอายุ ท้ังทเ่ี ปนของทิพยทง้ั ทีเ่ ปนของมนุษย ฯล ฯ ผูใหปฏิภาณ ยอ มเปนผมู ีสวนแหง ปฏิภาณท้งั ทีเ่ ปนของทพิ ย ทงั้ ที่เปน ของมนุษย เรื่องน้ีเกดิ ขน้ึ อยา งนี.้ ตอ มาภายหลงั พระศาสดาประทบั นง่ั พระเชตวนั วหิ าร เมอ่ื ทรงสถาปนาพวกอุบาสกิ าไวในตาํ แหนงตา ง ๆ จึงทรงสถาปนาพระนางสปุ ปวาสา ไกลิยธดิ าไวในตําแหนง เอตทคั คะเปนเลิศกวาพวกอบุ าสิกาสาวิกา ผถู วายของมรี สประณตี แล. จบอรรถกถาสตู รท่ี ๖ อรรถกถาสตู รท่ี ๗ ๗. ประวตั ินางสปุ ปย าอุบาสกิ า ในสูตรท่ี ๗ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดังตอไปน้ี. ดว ยบทวา คิลานุปฏากาน ทา นแสดงวา นางสปุ ปย าอุบาสิกา

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 140เปนเลิศกวา พวกอบุ าสิกาผูอุปฏ ฐากภิกษุไข. ดงั ไดส ดับมา นางสปุ ปยาอบุ าสกิ านี้ ครัง้ พระพุทธเจาพระนามวาปทมุ ตุ ตระ. บงั เกิดในเรือนสกลุ กรุงหงั สวดี ตอ มากาํ ลังฟง พระ-ธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอบุ าสิกาผูห นึ่งไวในตาํ แหนงเอตทคั คะเปนเลศิ กวาพวกอบุ าสกิ าผอู ปุ ฏฐากภิกษุไข จึงทํากุศลใหย ่ิงยวดข้นึ ไป ปรารถนาตาํ แหนงนนั้ . นางเวยี นวา ยอยใู นเทวดาและมนุษยถ ึงแสนกปั ในพุทธุปบาทกาลนบ้ี ังเกดิ ในเรอื นสกลุ กรงุ พาราณส.ีบิดามารดาจงึ ตงั้ ชื่อนางวา สุปปยา. ตอ มาพระศาสดามีภิกษสุ งเปนบริวารไดเสดจ็ ไปกรงุ พาราณส.ี ดวยการเฝาครงั้ แรกเทา นัน้ นางฟงธรรมแลวดํารงอยูในโสดาปต ติผล. อยูมาวนั หนึ่ง นางไปพระวหิ ารเพ่อื ฟงธรรมเทยี่ วจารกิ ไปในพระวหิ าร พบภิกษุไขรปู หนงึ่ ไหวแลว ทําการตอ นรับ ถามวาพระผูเปน เจา ควรจะไดอะไร ภกิ ษไุ ขตอบวา ทา นอบุ าสกิ า ควรไดอาหารมรี ส [เนื้อ] จะ . นางกลา ววา เอาเถดิ เจาขา ดฉิ นั จักสง ไปถวายไหวพ ระเถระแลว เขา ไปในเมอื ง วนั รงุ ข้ึน กส็ ง ทาสีไปตลาดเพอ่ื ตองการปวตั ตมงั สะ [เนื้อท่ีขายกนั ในตลาด]. ทาสนี ้ันหาปวัตตสะท่ัวเมืองก็ไมได กบ็ อกนางวา ไมไดเ สยี แลว. อบุ าสิกาคิดวา เราบอกแกพระผูเ ปน เจาไววา จกั สง เนื้อไปถวาย ถา เราไมสงไป พระผเู ปน เจาเมอ่ื ไมไดจากท่อี นื่ กจ็ ะลาํ บาก ควรทเี่ ราจะทาํ เน้อื อยางใดอยา งหน่งึ สงไปถวาย แลวก็เขาหอง เฉือนเนอื้ ขาใหแ กท าสี ส่งั วา เจาจงเอาเน้ือนี้ปรงุดวยเครื่องปรงุ นําไปวิหารถวายพระผเู ปน เจา ถาทา นถามถึงเรา ก็จงแจงวาเปนไข. ทาสีนัน้ ก็ไดก ระทาํ อยา งนั้น. พระศาสดาทรงทราบเหตนุ ้ัน วันรุงข้นึ เวลาแสวงหาอาหาร กม็ ี

พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 141ภกิ ษุสงฆเ ปนบรวิ าร เสด็จไปเรอื นของอุบาสกิ า. นางทราบวา พระ-ตถาคตเสด็จมาจงึ ปรกึ ษาสามีวา ลกู เจา ดิฉันไมอ าจไปเฝาพระศาสดาไดพี่ทานจงไปกราบทูลเชิญพระศาสดาใหเสดจ็ เขาเรอื นแลวใหป ระทับนงั่ เถิด.สามนี ั้นกไ็ ดกระทําอยางน้นั . พระศาสดาตรัสถามวา สุปปย าไปไหนเสียเลา . สามกี ราบทลู วา นางเปน ไข พระเจา ขา. ตรสั สงั่ วา จงเรยี กนางมาเถิด. นางคดิ วา พระศาสดาทรงสงเคราะหเกือ้ กูลแกช าวโลกทัง้ ปวง ทรงทราบเหตขุ องเรา จงึ ใหเ รียกหา กล็ กุ ขนึ้ จากเตยี งอยา งฉบัพลนั . ครงั้ นนั้ ดว ยพทุ ธานภุ าพ แผล [ทีเ่ ฉอื นเน้อื ขา] ของนางก็งอกข้ึนทนั ทีทนั ใด ผวิ กเ็ รยี บ ผิวพรรณผอ งใสยิ่งกวา เดิม. ขณะนน้ัอบุ าสกิ าก็ยิ้มได ถวายบงั คมพระทศพลดว ยเบญจางคประดิษฐ นัง่ ณ ท่ีสมควรสวนขา งหนึ่ง. พระศาสดาทรงดํารวิ า อุบาสิกาผนู ไ้ี มสบายเพราะเหตุไร จึงตรัสถาม นางจึงเลา เร่ืองที่คนทาํ ทุกอยางถวาย. พระศาสดาเสวยเสรจ็ แลว เสดจ็ ไปพระวิหาร ทรงประชมุ ภิกษุสงฆ แลวทรงตาํ หนิภกิ ษุนัน้ เปนอยา งมาก ทรงบัญญัตสิ กิ ขาบท. เรือ่ งน้เี กิดข้ึนอยางน้.ีกําลงั พระศาสดาประทับน่งั ณ พระเชตวันวิหาร เม่ือทรงสถาปนาพวกอุบาสกิ าไวในตําแหนง ตา ง ๆ ตามลําดับ จึงทรงสถาปนานางสุปปย าอุบาสกิ าไวในตาํ แหนง เอตทคั คะเปนเลศิ กวาพวกอุบาสิกา ผอู ปุ ฏฐากภกิ ษไุ ข แล. จบอรรถกถาสตู รที่ ๗

พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 142 อรรถกถาสูตรที่ ๘ ๘. ประวตั นิ างกาติยานี ในสตู รที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดงั ตอไปน.ี้ ดว ยบทวา อเวจฺปปฺ สนนฺ าน ทา นแสดงวา นางกาติยานี เปนเลศิ กวา พวกอุบาสิกาผปู ระกอบดวยความเลื่อมใสอยา งแนนแฟนทต่ี นบรรลแุ ลว. ดงั ไดส ดับมา นางกาตยิ านีนั้น คร้ังพระพทุ ธเจา พระนามวาปทมุ ุตตระ บงั เกิดในเรอื นสกลุ กรุงหังสวดี เหน็ พระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผูหน่ึงไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลศิ กวา พวกอุบาสิกาผเู ลอ่ื มใสอยางแนนแฟน จึงทาํ กศุ ลใหย ่ิงยวดขน้ึ ไป ปรารถนาตาํ แหนง น้นันางเวียนวา ยอยใู นเทวดาและมนษุ ยถ ึงแสนกปั ในพุทธปุ บาทกาลนบ้ี ังเกิดในกรุ รฆรนคร. บดิ ามารดาต้ังช่ือนางวา กาตยิ านี. ตอ มา นางเจรญิ วัย เปน สหายเปน มติ รสนทิ ของนางกาฬีชาวกุรรฆรนคร กเ็ ม่อื ใด ทานพระโกฏิกณั ณโสณเถระถกู มารดาวอนขอวาทานจงกลาวธรรมแมแ กโ ยมแม โดยทํานองทพ่ี ระทศพลตรสั ไวเถดิ ก็นั่งเหนืออาสนะท่ตี กแตงแลวภายในนคร ตอนเทย่ี งคนื เริ่มเทศนาทํามารดาใหเ ปนพระอรยิ กายสักขี.๑ เมื่อนน้ั นางกาติยานอี บุ าสิกาน้ไี ปกับนางกาฬียนื ฟงธรรมทา ยบรษิ ทั . สมยั นั้นโจรประมาณ ๙๐๐ คน ขดุ อุโมงคเ ริ่มแตมุมหน่งึ ภายในนคร ตามกําหนดหมายท่ีทาํ ไวใ นเวลากลางวันไปทะลุถงึ เรือนนางกาติยานีอุบาสิกาน.ี้ บรรดาโจรเหลา นั้น หัวหนา โจรไมเชาไปกับโจรเหลานัน้ ไปยงั สถานทกี่ ลา วธรรมของทานพระโสณเถระ เพ่อืสืบสวนวา บริษทั น้ปี ระชุมกันทาํ ไมหนอ เมือ่ ยืนทา ยบรษิ ทั ก็ยนื ขางหลงั๑. พระโสดาปต ติผลถงึ พระอรหตั มรรคบคุ คล ช่ือวาพระอารยิ กายสขุ ี บุคคลบญั ญตั ิ หนา ๔๒.

พระสุตตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 143นางกาติยานอี บุ าสิกาน้.ี เวลานน้ั นางกาติยานเี รียกทาสมี าสง่ั วา แมนี่เจาจงเขา ไปเรอื นนาํ ประทีปน้ํามันมา ขา จักจุดประทปี ใหไ ฟสวา งแลวฟงธรรม. ทาสีนน้ั ไปเรอื นจดุ ประทปี พบพวกโจรขดุ อุโมงค ก็ไมถอื เอาประทีปนํ้ามันมา ไปบอกแมน ายของตนวา แมน าย พวกโจรขุดอุโมงคใ นเรอื นเจา คะ. หัวหนา โจรฟง คําทาสนี ั้นแลว คิดวา ถาหญิงผนู ้ี เชือ่ คาํ ทาสีน้ีแลว ไปเรือนไซร เรากจ็ ักเอาดาบฟนนางใหขาดสองทอนในท่นี ้นี ีแ่ หละกถ็ า หญงิ ผูน ีจ้ กั ฟง ธรรมโดยนมิ ติ ทนี่ างถือเอาแลว นน่ั แล เรากจ็ ักใหค ืนทรพั ยท ่ีพวกโจรยึดถือไว. ฝา ยนางกาตยิ านฟี ง คาํ ทาสีแลว ก็กลาววา แมค ุณอยาทําเสียงดงั เลย ข้นึ ช่อื วา พวกโจร เมื่อจะลัก กล็ ักแตทรพั ยท ต่ี นเห็นเทา นั้นดอก สวนขา จะฟง ธรรมท่ีหาไดย ากในวนั น้ี เจาอยาทําอันตรายแกธรรมเลย. หัวหนาโจรฟงคํานางกค็ ดิ วา พวกเรา ซึง่ พากนั ลักทรพั ยสิง่ ของในเรอื นของหญงิ ที่มั่นคงดวยอธั ยาศยั เชน นก้ี พ็ งึ ถกู ธรณสี บู แน. ทันใดนัน่ เอง หวั หนาโจรนนั้ ก็ไปส่ังใหคนื ทรพั ยส่ิงของท่ีลกั มาเสีย แลวพวกโจรก็พรอมกนั มายนื ฟงธรรมทายบรษิ ทั . ฝายนางกาติยานอี ุบาสกิ า จบเทศนาของพระเถระ ก็ดาํ รงอยูในโสดาปตตผิ ล. ขณะนน้ั เมือ่ อรุณข้ึนหวั หนาโจรกไ็ ปหมอบแทบเทาอุบาสิกากลา ววา แมเ จา โปรดยกโทษใหแกพ วกขาท้งั หมดดวยเถดิ . นางถามวา ก็พวกทานทําอะไรแกฉ ันไวหรอื .หัวหนา โจรนั้นก็บอกโทษที่ตนทําท้งั หมด. นางกลา ววา พอเอย ฉนั ยกโทษใหพวกทานจะ. หวั หนา โจรกลา ววา แมเ จา กเ็ ปน อันแมเ จา ยกโทษใหแ กพวกเราแลว แตข อแมเ จา โปรดใหพวกเราทกุ คนไดบ วชในสาํ นกัพระเถระบุตรของแมเจาดว ยเถดิ . นางกพ็ าโจรเหลานั้นทั้งหมดไปใหบ วชในสํานักพระโกฏิกณั ณโสณเถระ. คนเหลานนั้ บวชในสํานกั พระเถระ

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 144แลว ก็บรรลพุ ระอรหัตหมดทุกรปู . เรอื่ งนีเ้ กดิ ขึ้นอยางน้ี. ตอมาภายหลังพระศาสดาประทับอยู ณ พระเชตวนั วหิ าร เม่อื ทรงสถาปนาพวกอบุ าสกิ าไวในตําแหนงตา ง ๆ จึงทรงสถาปนานางกาตยิ านอี บุ าสิกา ไวในตาํ แหนงเอตทคั คะเปน เลิศกวาพวกอบุ าสกิ าอรยิ สาวิกา ผเู ลื่อมใสอยา งแนนแฟนแล. จบอรรถกถาสตู รท่ี ๘ อรรถกถาสูตรท่ี ๙ ๙. ประวัตินางนกลุ มารดาคหปตานี ในสูตรท่ี ๙ พงึ ทราบวินจิ ฉัยดังตอ ไปน้ี. ดว ยบทวา วิสฺสาสกิ าน ทา นแสดงวา นางนกลุ มารดาคหปตานีเปนเลิศกวา พวกอบุ าสิกาอริยสาวกิ าผูกลาวคําคนุ เคย. ก็คําที่จะพึงกลาวในเรอ่ื งนี้ทงั้ หมด มนี ัยทก่ี ลาวไวแลว ในอปุ าสกปาลิในหนหลงั นั้นแล.พงึ ทราบเร่ืองนางนกุลมารดาเทียบเคยี ง (ในอบุ าสกบาลี ) แล. จบอรรถกถาสูตรท่ี ๙ อรรถกถาสูตรท่ี ๑๐ ๑๐. ประวัตนิ างกาฬอี บุ าสกิ าชาวกรุ รฆรนคร ในสตู รที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยดังตอ ไปน้.ี ดว ยบทวา อนุสสฺ วปสนนฺ าน ทานแสดงวา นางกาฬอี ุบาสิกาชาวกรุ รฆรนคร เปนเลิศกวา พวกอุบาสกิ าผูประกอบดวยความเลอื่ มใสทีเ่ กดิ ขน้ึ โดยฟงตาม ๆ กนั มา. ดังไดส ดบั มา นางกาฬอี บุ าสกิ านนั้ ครั้งพระพทุ ธเจาพระนามวา

พระสตุ ตันตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 145ปทมุ ุตตระ บงั เกดิ ในเรือนสกลุ กรุงหงั สวดี กําลงั ฟงธรรมกถาของพระศาสดา เหน็ พระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกิ าผูห น่ึงไวในตาํ แหนงเอตทัคคะเปน เลศิ กวาพวกอุบาสิกาผูเ ล่อื มใสโดยฟงตาม ๆ กันมา จึงทาํกศุ ลใหยงิ่ ยวดขนึ้ ไป ปรารถนาตาํ แหนงน้นั . นางเวียนวา ยอยใู นเทวดาและมนุษยถ ึงแสนกปั ในพทุ ธุปบาทกาสน บงั เกดิ ในเรือนสกุลกรุงราชคฤห. เหลา ญาตไิ ดตัง้ ชอ่ื นางวา กาฬี. นางเจริญวัยแลว มสี ามีในกุรรฆรนคร. ครงั้ นนั้ โดยการอยรู ว มกนั นางจงึ ต้ังครรภ. นางมีครรภครบกําหนดแลว คดิ วา การคลอดบุตรในเรือนของตนเหลา อน่ืไมสมควร จงึ ไปกุรรฆรนครของตน ตอ จากเวลาเทีย่ งคืน ฟงคําของเหลาสาตาคิรยักษแ ละเหมวตยักษซ ่ึงยืนในอากาศเหนอื ปราสาทของตนกลา วพรรณนาพระคณุ พระรตั นตรัย เกิดความเลื่อนใสท่ไี ดย นิ เสยี งสรรเสรญิ คุณพระรตั นตรัย กด็ ํารงอยูใ นโสดาปตตผิ ล โดยยงั ไมไดเฝาพระศาสดาเลย ตอมา นางกค็ ลอดบตุ ร. เร่ืองท้ังหมด กลา วไวพ ิสดารแลวในหนหลงั . ตอมา พระศาสดาประทับนง่ั ทามกลางภกิ ษุสงฆณ พระเชตวนั วหิ าร เม่อื ทรงสถาปนาเหลาอุบาสกิ าไวในตาํ แหนง ตา ง ๆจึงทรงสถาปนาอบุ าสิกาผูนไ้ี วใ นตาํ แหนงเอตทคั คะเปน เลิศกวา พวกอบุ า-สกิ า ผูเส่อื มโดยฟงตาม ๆ กันมา แล. จบอรรถกถาอปุ าสิกาปาลิ ประดบั ดว ยสตู ร ๑๐ สตู ร จบประวัติอุสกิ าสาวิกาเอตทคั คะ ๑๐ ทา น จบอรรถกถาเอตทัคคปาลิท้ังหมด ในมโนรถปูรณี อรรถกถาคุตตรนกิ าย ดวยสตู รมีประมาณเทานี้.

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 146 อฏั ฐานบาลี วรรคท่ี ๑ วา ดว ยฐานะและอฐานะ [๑๕๓] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอท่ีบคุ คลผูถ งึ พรอ มดวยทฏิ ฐิ จะพงึ ยดึ ถือสงั ขารไร ๆ โดยความเปนสภาพเที่ยงนน้ั มใิ ชฐ านะ มิใชโอกาสทจ่ี ะมีได ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย แตข อ ทปี่ ุถชุ นจะพงึ ยดึ ถอื สงั ขารอะไร ๆ โดยความเปน สภาพเทย่ี งนน้ั เปน ฐานะทจี่ ะมไี ด. [๑๕๔] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ขอทีบ่ คุ คลผถู ึงพรอมดว ยทฏิ ฐิจะพึงยดึ ถอื สงั ขารไร ๆ โดยความเปน สุขนั้น มใิ ชฐานะ มิใชโอกาสท่ีจะมีได ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย แตขอท่ีปุถชุ นจะพึงยดึ ถอื สงั ขารไร ๆ โดยความเปนสุขนน้ั เปนฐานะที่จะมไี ด. [๑๕๕] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ขอที่บคุ คลผถู ึงพรอ มดว ยทิฏฐิจะพึงยึดถือธรรมไร ๆ โดยความเปนตนนั้น มใิ ชฐ านะ มิใชโ อกาสท่ีจะมีได ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย แตข อ ท่ปี ถุ ุชนจะพงึ ยึดถือธรรมไร ๆ โดยความเปนตนนน้ั เปน ฐานะท่จี ะมีได. [๑๕๖] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ขอที่บุคคลผูถ ึงพรอมดวยทิฏฐิจะพงึ ฆามารดานัน้ มใิ ชฐานะ มใิ ชโ อกาสที่จะมไี ด ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลายแตข อ ท่ีปถุ ชุ นจะพึงฆามารดานั้น เปน ฐานะทจ่ี ะมีได. [๑๕๗] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ขอ ทบ่ี คุ คลผูถงึ พรอมดวยทิฏฐิจะพงึ ฆา บดิ าน้นั มใิ ชฐ านะ มใิ ชโ อกาสที่จะมีได ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 147แตขอท่ปี ุถุชนจะพึงฆาบดิ าน้ัน เปน ฐานะท่ีจะมไี ด. [๑๕๘] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย ขอ ทีบ่ คุ คลผูถงึ พรอมดวยทิฏฐิจะพึงฆา พระอรหันตนน้ั มใิ ชฐานะ มใิ ชโ อกาสที่จะมไี ด ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย แตขอ ที่ปถุ ชุ นจะพงึ ฆาพระอรหันตน้ัน เปนฐานะทีจ่ ะมีได. [๑๕๙] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ขอทบี่ คุ คลผูถงึ พรอ มดว ยทิฏฐิจะพงึ เปนผมู จี ิตประทษุ รา ยยังพระโลหิตของพระตถาคตใหหอน้ัน มิใชฐานะ มใิ ชโอกาสทจ่ี ะมไี ด ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย แตข อ ทีป่ ุถชุ นพึงเปนผมู จี ิตประทุษรา ยยังพระโลหติ ของพระตถาคตใหห อนนั้ เปนฐานะที่จะมีได. [๑๖๐] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ขอที่บคุ คลผูถึงพรอมดว ยทิฏฐิจะพึงทาํ ลายสงฆใ หแตกกนั น้นั มิใชฐ านะ มใิ ชโ อกาสทจี่ ะมีได ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย แตขอท่ีปถุ ชุ นจะพงึ ทําลายสงฆใหแ ตกกัน เปนฐานะที่จะมไี ด. [๑๖๑] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ขอ ท่ีบคุ คลผูถึงพรอมดวยทฏิ ฐิจะพงึ ถอื ศาสดาอื่นน้ัน มิใชฐานะ มิใชโ อกาสที่จะมีได ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย แตขอท่ปี ถุ ุชนจะพึงถือศาสดาอืน่ เปนฐานะท่จี ะมีได. [๑๖๒] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ขอท่พี ระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจาสองพระองค จะพึงเสดจ็ อบุ ัติขึ้นพรอมกันในโลกธาตเุ ดยี วกนั นน้ั มิใชฐานะ มใิ ชโอกาสท่จี ะมไี ด ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย แตขอท่ีพระอรหนั ต-สมั มาสัมพทุ ธเจาพระองคเดียว จะพงึ เสด็จอบุ ัติข้ึนในโลกธาตุอันหน่งึ น้นัเปนฐานะทจี่ ะมไี ด. จบวรรคท่ี ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 148 อรรถกถาอฏั ฐาน๑บาลี อรรถกถาวรรคที่ ๑ ในอฏั ฐานบาลี พึงทราบวินิจฉยั ดังตอไปนี้. บทวา อฏฐาน ไดแก การปฏเิ สธเหต.ุ บทวา อนวกาโส ไดแ กการปฏิเสธปจ จัย. พระผูมีพระภาคเจาทรงปฏเิ สธเหตเุ ทา นั้น แมด วยเหตแุ ละปจจัยทง้ั สอง. จริงอยู เหตุ ตรัสเรียกวา ฐานะ เปนเหตุทต่ี ง้ัแหง ผลของตน และวา โอกาส ( ชองทาง ) เพราะมีความเปน ไปเน่ืองดวยผลนน้ั . บทวา ย แปลวา เพราะเหตใุ ด. บทวา ทฏิ  ิสมปฺ นฺโนไดแ ก พระอรยิ สาวก คอื พระโสดาบันผถู งึ พรอ มดวยปญ ญาในมรรค.จรงิ อยู พระโสดาบันนั้นมีชื่อมาก เชน ช่ือวา ทิฏสิ มปฺ นโฺ น ผูถงึ พรอ มดว ยทิฏฐิก็มี ทสฺสนสมฺปนฺโน ผถู งึ พรอมดวยทสั สนะก็มี อาคโตอิม สทฺธมฺม ผมู าถงึ พระสทั ธรรมนก้ี ็มี ปสฺสตฺ อิม สทฺธมมฺ  ผเู ห็นพระสัทธรรมอยกู ็มี เสกฺขาน าเณน สมนนฺ าคโต ผปู ระกอบดวยญาณของพระเสกขะกม็ ี เสกฺขาย วิชชฺ าย สมนฺนาคโค ผปู ระกอบดวยวิชชาของพระเสกขะก็มี ธมมฺ โสตสมาปนฺโน ผูถงึ พรอ มดว ยกระแสธรรมก็มี อริโย นพิ เฺ พธิกปโฺ  ผมู ีปญญาเครือ่ งชาํ แรกกเิ ลสอนัประเสริฐก็มี อมตทวฺ าร อาหจจฺ ตฏิ ติ ผตู ั้งอยูใกลป ระตูพระนิพะพานก็มี. บทวา กจฺ ิ สงขฺ าร ความวา บรรดาสังขารทีเ่ ปนไปในภมู ิ ๔เฉพาะสังขารไร ๆ เพยี งสังขารหนึ่ง. บทวา นจิ จฺ โต อุปคจเฺ ฉยยฺ๑. อธบิ ายบาลีขอ ๑๕๓-๑๖๒.

พระสุตตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 149ความวา พงึ ยดึ ถอื วา เท่ยี ง. บทวา เนต าน วิชฺชติ แปลวา เหตนุ ี้ไมมี คอื หาไมไ ด. บทวา ย ปุถุชชฺ โน แปลวา ชอื่ วาปถุ ชุ นเพราะเหตุใด. บทวา านเมต วชิ ฺชติ แปลวา เหตนุ ้มี อี ยู. อธิบายวาจริงอยู เพราะปถุ ุชนนัน้ มีความเห็นวา เที่ยง พงึ ยึดถอื บรรดาสังขารท่ีเปนไปในภมู ิ ๔ เฉพาะสังขารบางอยาง โดยควานเปน ของเทย่ี ง. ก็สังขารที่เปนไปในภมู ทิ ๑่ี ๔ ยอมไมเปน อารมณของทฏิ ฐหิ รอื อกศุ ลอยางอื่น เพราะมากดว ยเดช เหมือนกอ นเหลก็ ที่รอนอยทู ้ังวัน ไมเ ปนอารมณของฝงู แมลงวนั เพราะเปนของรอนมากฉะนัน้ . พงึ ทราบความแมใ นคําวา กจฺ สงขาร สุขโต เปน ตน โดยนัยน้.ี คําวา สุขโตอุปคจฺ เฉยฺย นี้ ตรัสหมายถึงการยดึ ถือโดยความเปนสขุ ดวยอํานาจอตั ตทิฏฐอิ ยางนีว้ า ตนมีสขุ โดยสวนเดยี ว ไมม ีโรค จนกวาจะตายไป.ดวยวา พระอรยิ สาวกถูกความเรา รอ นครอบงําแลวยอ มเขา ไปยึดถือสงั ขารบางอยา งไวโดยความเปน สุข เพ่อื ระงับความเรา รอ นโดยจติ ปราศจากทฏิ ฐิ เหมือนเสกขพราหมณ๒ ผูสะดุงกลัวชางตกมัน กย็ ึดอุจจาระไวฉะน้ัน. ในอัตตวาระ พระผูม พี ระภาคเจาไมต รสั วา สงขฺ าร แตตรสั วากจฺ ิ ธมมฺ  เพือ่ ทรงรวมเอาบัญญตั มิ ีกสิณเปนตน. แตแมในทน่ี ี้พงึ ทราบกําหนดสําหรับพระอริยสาวก ดวยอาํ นาจสังขารท่ีเปน ไปในภูมิทง้ั ๔. สาํ หรับปถุ ุชน ดวยอํานาจสังขารทีเ่ ปนไปในภูมทิ ัง้ ๓. อกีอยางหนงึ่ ในวาระทกุ วาระกําหนดสําหรับแมพระอรยิ สาวก ดวยอํานาจสังขารที่เปนไปในภูมิ ๓ กค็ วร. ก็ปถุ ชุ นยอ มยดึ ถอื ธรรมใด ๆ พระ -๑. จตภุ ูมิกสงฺขารา สงั ขารพึงเปน ไปในภมู ทิ ่ี ๔ คือโลกุตรภูมิ ควรเปน จตตุ ถฺ ภมู กิ สงขฺ ารา.๒. ม. โจกขพราหมณ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 150อรยิ สาวกยอมเปลื้องความยึดถือจากธรรมน้นั ๆ. คอื ปถุ ุชนเมอ่ื ยึดถือธรรมนน้ั ๆ วาเทย่ี ง วา สุข วาตน พระอรยิ สาวกเม่อื ยึดถอื ธรรมน้ัน ๆวา ไมเ ท่ียง วา เปน ทุกข วา ไมใชต น ยอ มเปล้ืองความยึดถือน้ันเสยี .ในพระสตู รทง้ั ๓ พระสูตรนี้ ขอ ๑๕๓, ๑๕๔, ๑๕๕ พระองคตรสั ถงึความเปลอ้ื งความยึดถอื ของปุถชุ นไวดวย. ในคําวา มาตร เปนตน ทา นประสงคเ อาสตรผี ูใหก าํ เนดิ ชื่อวามารดา บุรษุ ผใู หก ําเนิด ชือ่ วา บดิ า และพระขณี าสพผเู ปน มนุษยเ ทาน้ันชอ่ื วา พระอรหนั ต. ถามวา กพ็ ระอริยสาวกพึงปลงชีวิตผูอ่ืนไดหรือ.ตอบวา ขอนั้นไมเ ปนฐานะ. เพราะวา ถาพระอรยิ สาวกที่เกดิ ระหวางภพไมรวู า ตัวเปน อริยสาวกไซร ใคร ๆ ก็จะพงึ บงั คับอยางน้ีวา ทา นจงปลงชีวติ มดดาํ มดแดงน้เี สยี แลวปฏิบัติหนา ท่ีเปน พระเจาจักรพรรดิในหว งจกั รวาลทั้งส้ินเถิด. พระอริยสาวกน้นั กไ็ มพงึ ปลงชวี ิตมดดาํ มดแดงนั้นไดเ ลย. แมเ มอื่ เปนเชนนัน้ คนท้งั หลายพงึ บังคับทา นอยางนี้วา ก็ถาทา นไมฆ า มดดาํ มดแดงนั้นไซร พวกเรากจ็ กั ตัดศีรษะทานเสยี . คนท้ังหลายจะพึงตดั ศีรษะของทาน แตทานก็ไมพ งึ ฆา มดดาํ มดแดงน้ัน. แตคํานพี้ ระผูมีพระภาคเจาตรัสไวเพ่อื ทรงแสดงความมีโทษมากของความเปนปถุ ุชน เพอ่ื ทรงแสดงกําลงั ของพระอริยสาวก. กใ็ นขอนม้ี อี ธบิ ายดงั นวี้ าความเปน ปุถชุ น ช่อื วามีโทษตรงท่ปี ุถุชนจักทําอนนั ตริยกรรมมมี าตุฆาตเปน ตนได อริยสาวกช่ือวามีกําลงั มากตรงที่ไมทาํ กรรมเหลา นน้ั . บทวา ปทฏุ  จิตโฺ ต ไดแ ก เปน ผูมีจิตอันวธกจิต (จติ คิดจะฆา)ประทุษรา ยแลว. บทวา โลหิต อปุ ปฺ าเทยยฺ ไดแ ก ทําพระโลหิตแมเ ทาแมลงวนั ตวั เลก็ ดม่ื ไดใหห อขน้ึ ในพระสรีระของพระตถาคตผยู ังทรง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook