Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_33

tripitaka_33

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_33

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 201พันหนงึ่ สรา งพระเจดียไวในวหิ ารนนั้ น่ันแล. ผทู ยี่ ังไมเ ล่ือมใสยอมเลือ่ มใส ดว ยประการอยางนี.้ ในบทวา ปสนฺนา ภยิ ฺโย ปสที นตฺ ิ นี้ กจิ เนื่องดวยเรอื่ งราว(ทจ่ี ะนาํ มาสาธก) ไมมี. ก็เพราะเหน็ ความมกั นอ ย ความเลอ่ื มใสยอมเจรญิ ยิ่งทีเดยี วแกผ ูท ่เี ลื่อมใสแลว. ก็มหาชนไดเ หน็ คนผมู ักนอยเชน พระมชั ฌันติกตสิ สเถระ เปน ตนยอ มสําคญั ทีจ่ ะเปน ผูมกั นอย ( ตามอยาง ) บา ง เพราะเหตุน้ัน ผมู ักนอ ยจงึ ชื่อวา เปน ทสี่ นใจของมหาชน. อน่ึง ผูม ักนอ ย ชือ่ วายอมกระทําพระ-ศาสนาใหต ้ังมนั่ อยไู ดนาน เพราะพระบาลีวา ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ความมักนอย ยอ มเปนไปเพอ่ื ความตั้งม่นั เพ่ือความไมฟ นเฟอ น เพือ่ ความไมอันตรธานแหง พระสัทธรรม ดังนี้. บทวา โน ทายเกน ความวา กใ็ นพระธรรมวินยั ทตี่ รัสไวดีแลว ช่ือวา กจิ ที่จะตอ งรูประมาณแลว จงึ ให ยอมไมมแี กท ายก. ไทยธรรมประมาณเทาใดมอี ยู ควรใหไ มเ กนิ ประมาณเทา น้นั . กท็ ายกผูใ หน ี้ยอมไดส่ิงท่ปี ระณตี ย่งิ ๆ ขึ้น ไมเกินมนุษยสมบัติ และทพิ ยสมบัติเพราะเหตุทใี่ หจ นเกินประมาณ. บทวา โย อารทธฺ วรี ิโย โส ทกุ ขฺ  วหิ รติ ความวา ผปู ระ-กอบเนอื ง ๆ ซึง่ วัตรมีการทาํ ใหเรา รอนดว ยความรอ น ๕ แหง การทําความเพยี รดว ยการหมกในหลมุ ทราย การพลกิ ไปมาในแสงพระอาทิตย(คือนอนกลางแดด) เพราะความเพียรในการน่งั กระหยง เปน ตน ยอมอยูเปนทกุ ขใ นปจ จบุ ัน. เมื่อคนผนู น้ั น่นั แหละสมาทาน (วัตร) ในลทั ธิ

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 202ภายนอกพระศาสนา (เขา) เกิดในนรกดว ยวบิ ากของการประพฤติตบะนัน้ ช่อื วายอ มอยเู ปนทกุ ขใ นสมั ปรายภพ. บทวา โย กุสโี ต โส ทกุ ข วหิ รติ ความวา แมค นผูเ กียจ-ครานนี้ ก็อยเู ปนทุกขท้ังในปจ จุบนั และสัมปรายภพ. ถามวา อยูเปนทุกขอ ยา งไร. ตอบวา บุคคลใด จําเดมิ แตบวชมาไมม ีการใสใจโดยแยบคาย ไมเ รียนพระพุทธวจนะ ไมกระทําอาจริยวตั รและอุปช ฌายวตั ร ไมกระทาํ วตั ร (คือการปด กวาด) ลานพระเจดียและลานโพธิ.์ บริโภคศรทั ธาไทย ( ของที่เขาใหด วยศรทั ธา ) ของมหาชนดว ยการไมพิจารณา ประกอบเนือง ๆ ซึง่ ความสบายในการนอนตลอดวนัในเวลาต่ืนขน้ึ มาก็ตรกึ ดว ยวติ ก ๓ ประการ (คอื กามวติ ก พยาบาท-วิตก วิหิงสาวติ ก ) บคุ คลนนั้ ยอมเคลื่อนจากภิกษุภาวะความเปน ภิกษุโดย ๒-๓ วันเทา นัน้ . ช่ือวาอยเู ปน ทกุ ขในปจ จบุ ัน ดว ยประการอยางนี.้และกเ็ พราะบวชแลว ไมกระทําสมณธรรมโดยชอบ กุโส ยถา ทุคคหโิ ต หตถฺ เมวานุกนตฺ ติ สามฺ ทปุ ปรามฏ นิรยายปู กฑฺฒตีต.ิ แปลความวา คณุ เครื่องเปนสมณะ (พรหมจรรย) ท่ีบุคคล จับตอ งไมดี ยอ มครา ไปนรก เหมอื นหญา คาที่บคุ คล จับไมแนน (แลว ดงึ มา) ยอ มบาดมือน่ันแหละ ฉะน้ัน. เขายอมถือปฏิสนธิในอบายทเี ดยี ว ชื่อวายอ มอยเู ปนทกุ ขในสัม-ปรายภพ ดวยประการอยา งน้.ี

พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 203 บทวา โย กสุ โี ต โส สขุ  วหิ รติ ความวา บุคคลกระทาํการประพฤตติ บะอะไร ๆ ในการประพฤติตบะซึ่งมปี ระการดังกลา วแลวตามเวลา นงุ ผา ขาว ทัดทรงดอกไมและลบู ไลของหอม บริโภคโภชนะท่อี รอ ย นอนบนที่นอนอนั ออ นนมุ ตามเวลา ยอมอยเู ปน สุขในปจจุบันและสัมปรายภพ. ก็เพราะเขาไมย ึดมั่นการประพฤตติ บะนั้น จึงไมเ สวยทุกขใ นนรกมากยิ่ง เพราะฉะน้ัน จงึ ช่ือวา อยูเปน สุขในสมั ปรายภพ. บทวา โย อารทฺธวีริโย โส สุข วิหรติ ความวา บุคคลปรารภความเพยี ร จาํ เดิมแตกาลที่ไดบวชมา ยอมกระทาํ ใหบ ริบรู ณในวัตรท้งั หลาย เรียนเอาพระพุทธพจน การทํากรรมในโยนโิ ส-มนสิการ ครั้นเมื่อเขานึกถงึ การบาํ เพญ็ วตั ร การเลาเรียนพระพุทธพจนและการทําสมณกรรม จิตยอมเลอ่ื มใส เพราะเหตนุ ัน้ จงึ ชื่อวาอยเู ปน สุขในปจจบุ ัน ดวยประการฉะน.้ี แตเ มื่อไมอาจบรรลพุ ระอรหัตในปจ จุบนัยอ มจะเปน ผตู รัสรเู รว็ ในภพท่เี กดิ เพราะเหตนุ ้ัน จึงช่ือวาอยูเปน สุขแมใ นสัมปรายภพ. พระสูตรน้ี มคี ําเปน ตนวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย คถู แมมีจํานวนนอ ยกม็ ีกล่ินเหมน็ แมฉ นั ใด ดงั นี้ ตรสั ไวเ พราะอัตถปุ ปตตเิ หตเุ กดิ เรอ่ื ง. ถามวา เหตุเกิดเรื่องไหน. ตอบวา เหตุเกดิ เรอื่ งแหง สตุปปาท-สตู รในนวกนบิ าต. จริงอยู พระตถาคต เม่ือจะตรสั เร่ืองน้ัน ไดตรัสวาบคุ คล ๙ จําพวก พน จากนรก พนจากกาํ เนดิ สตั วเ ดยี รจั ฉาน พน จากเปรตวิสัย ดังน้ี เปนตน. ครั้งนนั้ พระตถาคตมีพระดาํ ริวา ก็ถา บตุ รของเราฟงธรรมเทศนานี้แลวสาํ คัญวา พวกเราเปนผสู ิ้นนรก สนิ้ กาํ เนิดสัตวเดียรจั ฉาน สิ้นเปรตวิสยั ส้ินอบาย ทุคติ วนิ ิบาตแลว ก็จะไมพ ึงสาํ คญั ท่จี ะ

พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 204พยายามเพอื่ มรรคผลสูง ๆ ขึ้นไป เราจกั ทําความสังเวชใหเกดิ แกบ ุตรของเราเหลาน้นั ดังน้ีแลว จึงทรงเริ่มพระสูตรนี้วา เสยยฺ ถาป ภิกฺขเวดังน้ี เปน ตน เพ่อื จะใหเกิดสังเวช. บรรดาบทเหลาน้ีนนั้ บทวา อปปฺ มตตฺ โกแปลวา มปี ระมาณหนอ ยหนึ่ง คือมปี ระมาณนอย. คูถนั้น ชนั้ ทีส่ ุดแมแตปลายใบหญาคาแตะแลว ดม กลิน่ ก็เหมน็ อยนู ่นั แหละ. บทวา อปปฺ มตตฺ ก ปภว น วณเฺ ณมิ ความวา เราไมสรรเสรญิ การถอื ปฏสิ นธิในภพชว่ั กาลเวลาเล็กนอย. บัดน้ี เม่ือจะทรงแสดงการเปรียบเทียบกาลเวลานัน้ จงึตรสั วา โดยช้นั ทสี่ ดุ แมช ่ัวกาลเวลาลัดนิ้วมือ ดงั น.ี้ ในคาํ นที้ านอธิบายวา ชัว่ กาลเวลาแมส กั วาเอานิ้ว ๒ น้ิว มารวมกันแลวก็ดีดแยกออกเปน กําหนดอยา งตา่ํ ทส่ี ุด. คาํ ท่เี หลือในทที่ ุกแหงมีความงายทั้งนนั้ แล. จบอรรถกถาวรรคท่ี ๓

พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 205 วรรคที่ ๔ วาดวยสตั วท ่เี กิดในมชั ฌิมชนบทมนี อย [๒๐๕ ] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย สัตวท่ีเกิดบนบก มเี ปนสวนนอยสตั วท เ่ี กิดในนํา้ มากกวา โดยแท สตั วท ่ีกลบั มาเกดิ ในมนุษย มเี ปนสว นนอ ย สตั วที่กลบั มาเกดิ ในกาํ เนิดอ่ืนจากมนุษย มากกวา โดยแทสตั วทีเ่ กดิ ในมัชฌมิ ชนบท มเี ปน สวนนอย สตั วทีเ่ กดิ ในปจจันตชนบทในพวกชาวมลิ กั ขะทโี่ งเขลา มากกวาโดยแท สตั วทม่ี ปี ญญา ไมโงเงาไมเงอะงะ สามารถที่จะรูอ รรถแหงคําเปน สุภาษติ และคําเปนทพุ ภาษิตไดมเี ปน สว นนอย สตั วทีเ่ ขลา โงเงา เงอะงะ ไมสามารถท่จี ะรอู รรถแหงคําเปนสภุ าษติ และคาํ เปน ทุพภาษิตได มากกวา โดยแท สตั วทป่ี ระกอบดวยปญญาจกั ษุอยางประเสรฐิ มเี ปน สวนนอ ย สตั วท ต่ี กอยูในอวิชชาหลงใหล มากกวา โดยแท สัตวทไี่ ดเ ห็นพระตถาคต มีเปน สว นนอ ยสัตวทไี่ มไดเ หน็ พระตถาคต มากกวาโดยแท สตั วทไี่ ดฟงธรรมวนิ ัยที่พระตถาคตประกาศไว มเี ปน สวนนอย สัตวทไี่ มไดฟงธรรมวนิ ัยท่พี ระตถาคตประกาศไว มากกวาโดยแท สตั วทไี่ ดฟงธรรมแลวทรงจําไวไดมเี ปนสวนนอย สตั วที่ไดฟง ธรรมแลว ทรงจาํ ไวไมได มากกวาโดยแทสัตวท ่ีไตรตรองอรรถแหง ธรรมทตี่ นทรงจําไวได มีเปนสวนนอ ย สัตวทไ่ี มไ ตรต รองอรรถแหงธรรมท่ีตนทรงจําไวได มากกวา โดยแท สตั วที่รทู ่วั ถึงอรรถ รูท ่ัวถงึ ธรรมแลว ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม มเี ปนสวนนอ ย สตั วทีไ่ มร ูท ัว่ ถงึ อรรถ ไมรูทวั่ ถึงธรรมแลว ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธรรม มากกวา โดยแท สตั วท ี่สลดใจในฐานะเปน ทต่ี ั้งแหง

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 206ความสลดใจ มีเปนสว นนอ ย สตั วท ่ไี มส ลดใจในฐานะเปนทีต่ ้ังแหง ความสลดใจ มากกวา โดยแท สัตวทีส่ ลดใจเริ่มตง้ั ความเพียรโดยแยบคาย มีเปน สวนนอย สตั วทสี่ ลดใจไมเร่ิมตงั้ ความเพยี รโดยแยบคาย มากกวาโดยแท สตั วท ่ีกระทํานิพพานใหเ ปน อารมณแ ลว ไดสมาธิ ไดเ อกคั คตาจติมเี ปน สวนนอ ย สตั วท ่กี ระทํานพิ พานใหเ ปนอารมณแลว ไมไ ดสมาธิไมไ ดเอกัคคตาจติ มากกวาโดยแท สตั วท ่ไี ดขา วอนั เลิศและรสอนั เลิศมเี ปนสว นนอ ย สตั วทไ่ี มไดขา วอันเลิศและรสอันเลิศ ยงั อตั ภาพใหเ ปนไปดวยการแสวงหา ดวยภัตที่นํามาดวยกระเบอื้ ง มากกวาโดยแท สัตวท่ไี ดอรรถรส ธรรมรส วมิ ตุ ติรส มเี ปนสว นนอ ย สัตวท ไ่ี มไดอ รรถรสธรรมรส วิมุตตริ ส มากกวา โดยแท เปรียบเหมือนในชมพูทวปี นี้ มีสวนที่นา ร่ืนรมย มปี า ท่ีนา รื่นรมย มีภมู ปิ ระเทศทนี่ า รน่ื รมย มีสระโบกขรณที ่นี าร่ืนรมย เพียงเล็กนอย มีทีด่ อน ทีล่ ุม เปนทต่ี ั้งแหงตอและหนาม มภี ูเขาระเกะระกะเปน สว นมาก ฉะนั้น เพราะฉะนั้นแหละเธอทง้ั หลาย พึงศึกษาอยา งน้ีวา เราจกั เปนผูไดอ รรถรส ธรรมรสวิมุตติรส ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย เธอทั้งหลายพงึ ศกึ ษาอยางนี้แล. [๒๐๖] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย สตั วท ีจ่ ตุ ิจากมนุษยกลับมาเกดิ ในมนษุ ย มเี ปนสวนนอย สัตวที่จตุ จิ ากมนษุ ยไ ปเกิดในนรก เกดิ ในกําเนดิสัตวเ ดยี รัจฉาน เกดิ ในปต ติวิสัย มากกวา โดยแท สตั วท่ีจตุ จิ ากมนษุ ยไปเกดิ ในเทพยดา มเี ปนสว นนอย สัตวท ่จี ุตจิ ากมนุษยไปเกดิ ในนรกเกดิ ในกําเนดิ สตั วเ ดียรจั ฉาน เกิดในปต ตวิ สิ ัย มากกวา โดยแท สตั วท ี่จตุ จิ ากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มเี ปนสวนนอ ย สตั วท ่ีจุตจิ ากเทพยดาไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกาํ เนดิ สัตวเดยี รจั ฉาน เกิดในปตติวิสยั

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 207มากกวา โดยแท สตั วที่จุติจากเทพยดากลับมาเกดิ ในมนษุ ย มเี ปน สวนนอ ย สัตวท ่จี ุติจากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกําเนิดสัตวเดยี รัจฉานเกิดในปต ติวิสยั มากกวาโดยแท สัตวทจี่ ุติจากนรกกลบั มาเกิดในมนษุ ยมเี ปน สวนนอย สตั วทีจ่ ุตจิ ากนรกไปเกดิ ในนรก เกิดในกําเนิดสตั วเดียรจั ฉาน เกดิ ในปตติวิสัย มากกวา โดยแท สัตวทจี่ ตุ จิ ากนรกไปเกดิในเทพยดา มเี ปน สว นนอย สัตวท่ีจตุ จิ ากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกําเนดิ สตั วเดียรจั ฉาน เกดิ ในปตติวสิ ัย มากกวา โดยแท สัตวท ี่จตุ จิ ากกาํ เนดิ สัตวเดยี รจั ฉานกลับมาเกดิ ในมนษุ ย มีเปน สว นนอย สตั วทจ่ี ตุ ิจากกําเนิดสตั วเดียรจั ฉาน ไปเกิดในนรก เกิดในกาํ เนิดสัตวเ ดยี รัจฉานเกดิ ในปต ตวิ ิสย มากกวาโดยแท สัตวที่จุติจากกําเนิดสตั วเ ดยี รัจฉานไปเกิดในเทพยดา มเี ปนสวนนอ ย สัตวทจ่ี ุตจิ ากกําเนิดสัตวเ ดยี รจั ฉานไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกาํ เนดิ สัตวเ ดยี รจั ฉาน เกดิ ในปต ติวิสยั มากกวา โดยแท สตั วท่ีจตุ ิจากปต ติวสิ ยั กลบั มาเกดิ ในมนษุ ย มีเปนสว นนอย สัตวท ี่จุติจากปตตวิ สิ ยั ไปเกดิ ในนรก เกิดในกาํ เนิดสัตวเ ดียรจฉาน เกดิ ในปต ติวิสยั มากกวา โดยแท สัตวท่จี ุตจิ ากปตติวิสยั ไปเกดิ ในเทพยดา มีเปนสวนนอ ย สตั วท่ีจุตจิ ากปตตวิ สิ ยั ไปเกิดในนรก เกดิ ในกําเนดิ สัตวเดยี รัจฉาน เกดิ ในปต ตวิ สิ ัย มากกวา โดยแท เปรียบเหมอื นในชมพูทวปี น้ีมสี วนทนี่ าร่นื รมย มีปา ทีน่ า รื่นรมย มภี ูมิประเทศทนี่ ารืน่ รมย มสี ระโบกขรณที ่ีนา ร่ืนรมย เพยี งเล็กนอย มีท่ีดอน ที่ลุม เปน ลาํ นา้ํ เปนท่ีตั้งแหง ตอและหนาม มภี เู ขาระเกะระกะเปน สว นมากโดยแทฉ ะนัน้ . จบวรรคท่ี ๔

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 208 อรรถกถาวรรคที่ ๔๑ วรรคท่ี ๔ สูตรท่ี ๑ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ดังตอไปนี้. บทวา ชมพฺ ทู ีเป ความวา ชื่อวา ซมพทู วีป เพราะเปน ทวปี ที่รูกันทวั่ ไป คือ ปรากฏดวย ตน หวา เปน สําคัญ. เขาวา ทวปี นีม้ ตี นหวา ใหญตระหงานสูง ๑๐๐ โยชน ก่ิงยาว ๕๐ โยชน ลําตน กลม ๑๕ โยชนเกิดอยทู ีเ่ ขาหิมพานตต งั้ อยชู ั่วกัป. ทวปี นีเ้ รียกวา ชมพูทวปี เพราะมีตนหวา ใหญนน้ั . อนึ่ง ในทวปี นี้ ตน หวาตง้ั อยูชวั่ กปั ฉนั ใด แมต น ไมเหลานี้ คือ ตนกระทุม ในอมรโคยานทวีป ตน กลั ปพฤกษ ในอตุ ตรกุรุ-ทวีป ตนซีก ในบุพพวิเทหทวีป ตน แคฝอยของพวกอสรู ตนง้ิวของพวกครุฑ ตน ปารชิ าตของพวกเทวดา กต็ ง้ั อยูชว่ั กปั เหมือนกนั ฉันนน้ั . ทานประพนั ธเ ปนคาถาไวว า ปาตลี สิมพฺ ลี ชมพฺ ู เทวาน ปาริฉตตฺ โก กทมฺโพ กปปฺ รกุ โข จ สริ เี สน ภวติ สตตฺ โม แปลวา ตนแคฝอย ตนง้วิ ตนหวา ตนปารชิ าต ของ เทวดา ตน กระทมุ ตน กัลปพฤกษ และตนซีก ครบ ๗ ตน. บทวา อารามรามเณยยฺ ก ความวา บรรดาสวนดอกไมแ ละสวนผลไม ที่นา รนื่ รมย เชน สวนพระเวฬุวัน ชวี กมั พวนั เชตวัน และบพุ พาราม. สวนอันนาร่ืนรมยนนั้ ในชมพูทวปี นม้ี ีนอ ย คือ นดิ หนอ ย๑. บาลีขอ ๒๐๕-๒๐๖

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 209อธบิ ายวา มไี มมาก. แมใ นบททเี่ หลอื กม็ นี ยั นเ้ี หมือนกนั . บทวาวนรามเณยฺยก ในสูตรน้ี พงึ ทราบวา ปา ไม คอื อรญั ดงไม ในประเทศแหง เขาวงก และเขาหิมวนั ตเปนตน กเ็ ชนเดยี วกบั ปา นาควัน ปา สาลวนัและปา จมั ปกวันเปนตน. บทวา ภมู ิรามเณยยฺ ก ไดแ ก พ้ืนทส่ี มํา่ เสมอคือราบเรียบ เชน พระเชตวนั วหิ ารและนาในแควน มคธเปน ตน . บทวาโปกฺขรณีรามเณยยฺ ก ไดแ ก สถานท่ีต้งั สระโบกขรณีซ่งึ มีสัณฐานกลมสีเ่ หลยี่ ม ยาวและโคงเปน ตน เชนสระโบกขรณีของเจาเชต และสระโบกขรณีของเจา มลั ละ. บทวา อกุ ฺกูลวิกูล แปลวา ทีด่ อนและทลี่ มุ .ในพระบาลีวา อุกฺกลู วกิ ลู  น้ัน ที่ดอนชื่อวา อุกกูละ ท่ลี มุ ชื่อวา วกิ ลู ะบทวา นทวี ิทุคฺค ไดแก แมนา้ํ ที่เรยี กวา นทีวทิ คุ ฺค เพราะเปนแมน า้ํท่ไี หลไปยาก คอื หลม . บทวา ขาณกุ ณฏฺ กฏาน ไดแก ที่ทับถมอยูแหง ตอและหนามอนั เกิดในท่นี นั้ เอง และทค่ี นอืน่ นํามาทงิ้ ไว. บทวาปพพฺ ตวิสม ไดแก ทข่ี รขุ ระแหงภเู ขาน่นั แหละ. บทวา เย โอทกา ความวา สัตวท ีเ่ กิดในน้ําเทานน้ั มากกวา .ไดยนิ วา จากทีน่ ้ไี ป ประมาณ ๗๐๐ โยชน มีประเทศชื่อวา สวุ รรณภูมิ.เรือแลนไปดว ยลมพัดไปทางเดียว จะเดินทางถงึ ในเวลา ๗ วนั ๗ คนื .ครั้นสมัยหน่งึ เรือแลน ไปอยา งนัน้ เดนิ ทางไปเพียง ๗ วนั (โดยแลนไป)ตามหลังปลานนั ทยิ าวฏั ๑ พึงทราบวา สัตวนํา้ มีมากอยา งน้ี อีกประการหนง่ึ เพราะพ้นื ท่บี นบกนอย และเพราะนํ้ามมี าก พงึ ทราบความหมายในเรอื่ งนดี้ งั ตอ ไปน้ี. เหมอื นอยางวา ในบึงใหญมกี อบวั กอหนึ่งมใี บ ๔ ใบ เฉพาะตรงกลาง (กอ) มีดอกบัวตูมดอกหนึง่ ฉันใด๑. เขาวา ปลาขนาดใหญม าก อาจจะเปน ประเภทปลาวาฬกไ็ ด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 210ทวีปทั้ง ๔ เหมอื นใบบวั ๔ ใบ เขาสเิ นรุ เหมือนดอกบวั ตมู ท่ีกลาง(กอ) ฉันน้ันเหมือนกัน. โอกาสวางทนี่ ํ้าลอมรอบทวปี ก็เหมือนนํ้าท่ีเหลอื . ความที่นาน้ันเปนของมาก ยอมปรากฏแกท านผมู ฤี ทธ.ิ์ เพราะเม่ือทา นผฤู ทธไ์ิ ปทางอากาศ ทวีปท้งั ๔ ยอมปรากฏเหมือนใบบวั ๔ ใบเขาสเิ นรปุ รากฏเหมือนดอกบวั ตูมอยตู รงกลาง พงึ ทราบวา เพราะสัตวเกิดในนาํ้ มมี าก สัตวน ํา้ เทานนั้ จงึ มากกวาดว ยประการอยา งนี้. จบอรรถกถาสูตรที่ ๑ อรรถกถาสตู รท่ี ๒ เปนตน ในสตู รท่ี ๒ เปน ตน พึงทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอไปน้.ี บทวา อฺ ตรฺ มนสุ เฺ สหิ ความวา ในทนี่ ี้ทานประสงคเ อาอบายทง้ั ๔ เวนมนษุ ยท ้งั หลาย. บทวา มชฌฺ เิ มสุ ชนปเทสุ อธิบายวา ในทศิ ตะวันออกมนี ิคมชือ่ กชงั คละ, ตอ จากนคิ มน้ันไป เปน มหาสาลนคร. ถัดจากมหาสาลนครนั้นออกไป เปนปจจนั ตชนบท รว มในเขา มา เปน มัชฌิมประเทศ.ในทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต มีแมน้ําช่อื วา สาลวดี ถดั จากแมนา้ํ นั้นออกไปเปนปจ จนั ตชนบท รวมในเขา มา เปนมัชฌมิ ประเทศ, ในทศิ ใต มีนิคมช่อื วา เสตกัณณกิ ะ ถัดจากนคิ มนนั้ ออกไป เปนปจจันตชนบทรว มในเขา มา เปน มชั ฌมิ ประเทศ, ในทศิ ตะวนั ตก มีบา นพราหมณชอ่ื ถูนะ ถดั จาก บานพราหมณนั้นออกไป เปนปจ จันตชนบท รว มในเขามา เปน มัชฌมิ ประเทศ, ในทิศเหนอื มีภูเขาชอ่ื อสุ รี ธชะ ถัดจาก

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 211ภเู ขาน้ันออกไป เปนปจจันตชนบท รว มในเขา มา เปนมัชฌมิ ประเทศ,ในชนบทที่ทานกาํ หนดไวด ังกลา วมาฉะน้ี. ชนบทน้มี ีสัณฐานเหมือนตะโพน (วัด ) โดยตรง บางแหง ๘๐ โยชน บางแหง ๑๐๐ โยชนบางแหง ๒๐๐ โยชน แตตรงกลาง ๓๐๐ โยชน (วัด ) โดยรอบประมาณ๙๐๐ โยชน. สตั วเหลา น้ี คอื พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา พระ-มหาสาวก พระพทุ ธอปุ ฏ ฐาก และพระพุทธสาวก พระพทุ ธมารดาพระพุทธบดิ า พระเจา จกั รพรรดิ ยอ มเกิดในทีม่ ีประมาณเทาน.้ี อกีประการหนงึ่ มัชฌิมประเทศ แมเทียบเคยี งเอายอมได. พึงทราบนัยอยางนวี้ า กช็ มพูทวีปแมทงั้ สน้ิ ชื่อวา เปนมัชฌิมประเทศ ทวีปท่เี หลอืเปนปจ จันตชน. เมืองอนรุ าธปรุ ะในตามพปณณิทวีป (เกาะลังกา )ชือ่ วา เปนมชั ฌิมประเทศ ประเทศทีเ่ หลือเปน ปจจันตชนบท. ในบทวา ปฺวนโต อชฬา อเนฬมูคา นี้ ผปู ระกอบดว ยปญญาเหลา นี้ คือ กัมมสั สกตปญญา ๑ ฌานปญญา ๑ วิปสสนาปญ ญา ๑มัคคปญญา ๑ ผลปญญา ๑ ชอื่ วา ผูม ีปญญา. ผไู มโ งเ ขลา ชอื่ วาผูไมโ งเ งา .นํ้าลายของชนเหลาใดไมไ หลออกจากปาก ชนเหลาน้ัน ชื่อวาผูไ มม ีนํา้ ลายไหล. อธิบายวา ปากไมม ีน้ําลาย (ไหลยดื ) ปากไมมโี ทษ.บทวา ปฏพิ ลา แปลวา ผสู ามารถ คือเปนผูประกอบดวยกําลังกายและกาํ ลังญาณ. บทวา อฺาตุ ความวา เพอ่ื รูป ระโยชนแ ละมิใชประโยชน เหตุและมใิ ชเหตุ. บทวา ทปุ ปฺ ฺา แปลวา ผูไมม ีปญ ญา.บทวา ชฬา แปลวา ผเู ขลา ผหู ลง. บทวา อริเยน ปฺาจกขฺ ุนา ความวา พรอ มกับวิปส สนาและมรรค. บทวา อวชิ ชฺ าคตา แปลวา ผูประกอบดวยความมดื บอด คือ

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 212อวิชชา. บทวา เย ลภนตฺ ิ ตถาคต ทสฺสนาย ความวา สัตวเ หลาใดรคู ณุ ของพระตถาคต ยอ มไดเหน็ พระตถาคตดวยจักขวุ ญิ ญาณ. บทวา ตถาคตปฺปเวทิต ความวา อันพระตถาคตประกาศแลวคือ ตรัสประกาศไวแ ลว. บทวา สวนาย ไดแ ก เพอื่ สดับดว ยโสต- บทวา ธาเรนฺติ ไดแ ก ไมหลงลืมพระธรรมวินัยนั้น. บทวาธตาน ธมมฺ าน อตฺถ อปุ ปริกขฺ นฺติ ความวา สอบสวนอรรถและมิใชอ รรถะแหงพระบาลโี ดยคลอ งแคลว. บทวา อตฺถมฺาย ธมมฺ -มฺาย ไดแก รอู รรถกถาและบาล.ี บทวา ธมฺมานุธมฺม ปฏปิ ซฺซนตฺ ิไดแ ก บําเพญ็ ปฏิปทาอันสมควร. บทวา ส เวชนเี ยสุ าเนสุ ไดแก ในเหตอุ ันนา สงั เวช. บทวาส วิชชฺ นติ ความวา ยอ มถงึ ความสงั เวช. บทวา โยนโิ ส ปทหนตฺ ิความวา กระทาํ ปธานะ คือ ความเพียรอันตั้งไวโ ดยอุบาย. บทวา ววสสฺ คฺคารมฺม ความวา พระนิพพานเรยี กวา ววสั สัคคะ(เปนทีส่ ละสังขาร) กระทําพระนิพพานน้นั ใหเ ปน อารมณ. บทวาลภนตฺ ิ สมาธึ ความวา ยอมไดมรรคสมาธิและผลสมาธิ. บทวา อนนฺ คฺครสคฺคาน ไดแก ขาวอยางดีและรสอยา งด.ี บทวาอุฺเฉน กปาลภตฺเตน ยาเปนตฺ ิ ความวา ยอ มยงั อัตภาพใหเ ปนไปดวยรากไม และผลไมน อ ยใหญในปา หรอื ดว ยภัตตาหารทต่ี นนํามาแลวดวยภาชนะกระเบ้ือง โดยการแสวงหา ก็ในเรอ่ื งน้ี บคุ คลใดเม่ือจิตเกิดตอ งการของเคีย้ วของกิน อะไร ๆ กไ็ มไ ดของนนั้ ในทนั ที บคุ คลน้ี

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 213ชือ่ วาไมไดข าวอยางดีและรสอยางด.ี แมเ มื่อบุคคลใด ไดใ นทนั ทีแลวมองดูอยู (เหน็ ) สี กลิ่น และรส ไมชอบใจ แมบคุ คลน้ี ก็ชือ่ วาไมไดข าวอยางดีและรสอยา งดี. สว นบคุ คลใด ไดข องท่ีมี สี กลน่ิ และรสชอบใจ บคุ คลนี้ ชอ่ื วาไดข า วอยา งดีและรสอยางด.ี บุคคลผนู น้ัพึงทราบโดยตัวอยางสงู สดุ เชน พระเจาจกั รพรรดิ โดยตวั อยา งอยา งตา่ํพระเจา ธรรมาโศกราช. กโ็ ดยสังเขป ภัตตาหารหนง่ึ ถาดมีราคาแสนหนง่ึ น้ีซ่อื วาขาวอยา งดและรสอยา งด.ี ถามวา กก็ ารท่พี วกมนษุ ยไ ดเ หน็ ภิกษุสงฆเ ทยี่ วบณิ ฑบาตแลว ถวายภัตตาหารอนั อุดมและประณตี น้ี เรยี กวา อะไร. ตอบวา นก้ี เ็ รียกวาขา วอยา งดแี ละรสอยางดี เทียบเคยี งบคุ คลผูยงั อตั ภาพใหเปนไปดวยภัตตาหารทต่ี นนํามาดว ยภาชนะ.กระเบือ้ ง ดว ยการเที่ยวแสวงหา. ในบทวา อติถรโส เปน ตน ไป ความวา สามญั ผล ๔ ชอ่ื วาอรรถรส. มรรค ๔ ช่ือวา ธรรมรส. พระอมตนิพพาน ช่อื วา วมิ ตุ ติรส.คําทีเ่ หลือในท่ที กุ แหงมีเน้อื ความงา ยทั้งนนั้ แล. จบอรรถกถาวรรคที่ ๔ จบชมพูทวีปเปยยาล

พระสตุ ตันตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 214 ปาสาทกรธัมมาทิบาลี วา ดวยคุณสมบัติทเี่ ปน สวนหนง่ึ ของลาภ [๒๐๗] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความเปนผูถ อื อยูป าเปน วตั รความเปนผถู ือเท่ียวบณิ ฑบาตเปน วตั ร ความเปนผูถอื ทรงผาบังสุกลุ เปนวตั ร ความเปนผถู ือทรงไตรจวี ร ความเปนพระธรรมกถึก ความเปนพระวนิ ัยธร ความเปนผมู ีพระพทุ ธพจนอ นั ไดส ดับแลวมาก ความเปนผมู นั่ คง ความมอี ากปั ปสมบัติ ความมีบรวิ ารสมบัติ ความเปน ผมู บี รวิ ารมาก ความเปน กุลบตุ ร ความเปน ผมู ีผิวพรรณงาม ความเปน ผูมเี จรจาไพเราะ ความเปน ผูม ักนอย ความเปน ผมู ีอาพาธนอ ย นีเ้ ปน สวนหนง่ึของลาภ. วาดว ยผูช่อื วา ทําตามคาํ สอนของพระศาสนา [๒๐๘] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ถา ภิกษเุ จริญปฐมฌานแมช ่ัวกาลเพยี งลดั น้ิวมอื ไซร ภิกษุน้ีเรากลา ววา อยไู มเหนิ หางจากฌาน ทาํ ตามคําสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไมฉันบณิ ฑบาตของชาวแวนแควนเปลา ก็จะปวยกลา วไปไยถึงผูก ระทาํ ใหมากซง่ึ ปฐมฌานน้นั เลา. [๒๐๙] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ถา ภิกษุผูเจริญทตุ ยิ ฌานแมช่วั กาลเพยี งลัดนิ้วมือ... เจรญิ ตติยฌาน.. . เจริญจตุตถฌาน... เจรญิ เมตตาเจโตวิมตุ ต.ิ .. เจรญิ กรุณาเจโตวมิ ตุ ติ. . . เจรญิ มทุ ิตาเจโตวมิ ตุ ติ. . .เจริญอเุ บกขาเจโตวิมตุ ติ. .. พิจารณากายในกายอยู พึงเปนผูม คี วามเพยี ร มสี มั ปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลก. . .พจิ ารณาเวทนาในเวทนาทัง้ หลาย . . .พิจารณาจติ ในจิตอยู . . .พจิ ารณา

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 215ธรรมในธรรมท้งั หลาย ... ยงั ฉันทะใหเกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว ตัง้ จติ ไว เพอ่ื ไมใ หอกศุ ลธรรมอนั ลามกท่ียงั ไมเกิด เกิดขน้ึ ... ยังฉันทะใหเกดิ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ ไว ตงั้ จติ ไว เพื่อละอกุศลธรรมอนั ลามกทเี่ กดิ ขนึ้ แลว ... ยงั ฉันทะใหเกดิ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ ไว ตัง้ จติ ไว เพ่ือยังกศุ ลธรรมทยี่ ังไมเ กดิ ใหเกดิ ข้ึน . .. ยังฉนั ทะใหเกดิ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว ตั้งจิตไว เพอื่ ความต้งั ม่ัน ไมฟน เฝอ เพอ่ืความมีมาก เพื่อความไพบูลย เพอื่ ความเจริญ เพ่อื ความบริบรู ณแหงกุศลธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ แลว ... เจรญิ อิทธบิ าททีป่ ระกอบดว ยฉันทสมาธปิ ธาน-สงั ขาร... เจรญิ อทิ ธบิ าทท่ปี ระกอบดว ยวริ ิยสมาธิปธานสังขาร... เจริญอิทธิบาททป่ี ระกอบดวยจติ ตสมาธปิ ธานสังขาร.. . เจรญิ อิทธบิ าททป่ี ระ-กอบดว ยวีมงั สาสมาธปิ ธานสังขาร... เจริญสัทธินทรยี .. . เจรญิ วิรยิ นิ -ทรีย. .. เจรญิ สตินทรีย.. . เจรญิ สมาธนิ ทรยี . .. เจรญิ ปญ ญนิ ทรีย...เจรญิ สัทธาพละ.. . . เจริญวิรยิ พละ. . . เจริญสติพละ....เจริญสมาธพิ ละ...เจรญิ ปญ ญาพละ...เจริญสตสิ มั โพชฌงค...เจรญิ ธัมมวจิ ยสมั โพช-ฌงค. . . เจริญวริ ิยสมั โพชฌงค... เจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงคสัมโพชฌงค . . . เจรญิ สมาธิสัมโพชฌงค. . . เจรญิ อุเบกขาสัมโพฌงค... เจริญสมั มาทฏิ ฐิ ... เจริญสมั มาสงั กปั ปะ.... เจรญิ สมั มาวาจา...เจริญสัมมากมั มนั ตะ... เจรญิ สมั มาอาชวี ะ. . . เจรญิ สมั มาวายามะ....เจรญิ สมั มาสติ ถาภกิ ษุเจริญสัมมาสมาธแิ มชว่ั กาลเพยี งลัดนิ้วมอื ไซรภิกษุนีเ้ รากลาววา อยไู มเหนิ หา งจากฌาน ทาํ ตามคาํ สอนของพระศาสดา

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 216ปฏิบตั ติ ามโอวาท ไมฉ นั บณิ ฑบาตของชาวแวนแควน เปลา จะปว ยกลาวไปไยถึงผูก ระทําใหม ากซึ่งสมั มาสมาธิเลา. [๒๑๐] ภิกษุผมู คี วามเขาใจรปู ภายใน เหน็ รูปภายนอกทเี่ ล็กมีวรรณะดีหรอื วรรณะทรามเขา เธอครอบงํารูปเหลานน้ั เสียไดแลว มคี วามเขาใจเชน นี้วา เรารู เราเห็น ดงั น้ี ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุน้ีเรากลา ววา อยูไมเหนิ หา งจากฌาน ทาํ ตามคาํ สอนของพระศาสดา ปฏิบตั ิตามโอวาท ไมฉันบิณฑบาตของชาวแวนแควนเปลา จะปวยกลาวไปไยถึงผกู ระทาํ ใหมากซ่ึงความเขา ใจนั้นเลา. [๒๑๑] ภกิ ษผุ มู คี วามเขาใจรูปภายใน เหน็ รูปภายนอกท่ีไมมีประมาณ มวี รรณะดีหรอื มวี รรณะทรามเขา เธอครอบงาํ รปู เหลา นั้นเสียไดแลว มคี วามเขาใจเชน น้ีวา เรารู เราเห็น... [๒๑๒] ภกิ ษุผูมีความเขา ใจอรูปภายใน เหน็ รูปภายนอกท่ีเลก็มีวรรณะดีหรือวรรณะทราม เธอครอบงํารูปเหลานนั้ เสยี ไดแ ลว มีความเขา ใจเชน นี้วา เรารู เราเห็น . . . [๒๑๓] ภิกษผุ มู ีความเขาใจอรูปภายใน เห็นรปู ภายนอกทไี่ มม ีประมาณ มีวรรณะดีหรือมวี รรณะทรามเขา เธอครอบงํารูปเหลานั้นเสียไดแลว มคี วามเขา ใจเชนนี้วา เรารู เราเหน็ ... [๒๑๔] ภิกษผุ มู ีความเขาใจอรปู ภายใน เห็นรปู ภายนอกทีเ่ ขยี วมีสเี ขยี ว เปรยี บดวยของเขียว มแี สงเขียวเขา เธอครอบงาํ รปู เหลานั้นเสยี ไดแลว มีความเขาใจเชนน้วี า เรารู เราเห็น. . . [๒๑๕] ภิกษผุ ูมีความเขา ใจอรูปภายใน เหน็ รูปภายนอกทเ่ี หลืองมสี เี หลือง เปรยี บดวยของเหลือง มแี สงเหลอื งเขา เธอครอบงาํ รปู เหลา

พระสุตตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 217นนั้ เสียไดแ ลว มคี วามเขา ใจเชน นี้วา เรารู เราเหน็ . . . [๒๑๖] ภกิ ษผุ มู คี วามเขาใจอรปู ภายใน เห็นรปู ภายนอกท่ีแดงมสี แี ดง เปรียบดวยของแดง มแี สงแดงเขา เธอครอบงาํ รปู เหลานนั้เสยี ไดแลว มคี วามเขา ใจเชน นีว้ า เรารู เราเห็น . . . [๒๑๗] ภิกษุผูม ีความเขา ใจอรปู ภายใน เหน็ รูปภายนอกท่ขี าวสีขาว เปรยี บดวยของชาว มีแสงขาวเขา เธอครอบงํารูปเหลา นัน้ เสียไดแลว มีความเขา ใจเชนน้ีวา เรารู เราเหน็ . . . ภกิ ษผุ มู รี ูป ยอ มเห็นรปู ท้งั หลาย . . . [๒๑๘] ภกิ ษผุ ูมีความเขา ใจอรปู ภายใน ยอ มเหน็ รปู ภายนอก... ภิกษยุ อ มเปนผนู อมใจไปวา งามเทานัน้ ... [๒๑๙] ภกิ ษบุ รรลอุ ากาสานัญจายตนฌาน โดยมนสิการวาอากาศไมม ีทสี่ ดุ เพราะลวงรปู สญั ญาโดยประการทงั้ ปวง เพราะดบัปฏิฆสัญญาเสียได เพราะไมใ สใ จซ่งึ สัญญาตาง ๆ อยู. . . . [๒๒๐] ภกิ ษกุ าวลวงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทงั้ ปวงแลว ไดบรรลวุ ญิ ญาณญั จาตนฌาน โดยมนสกิ ารวา วญิ ญาณไมม ที ี่สดุ . . . [๒๒๑] ภิกษกุ าวลวงวิญญาณญั จายตนฌาน โดยประการท้ังปวงแลว ไดบรรลอุ ากญิ จัญญายตนฌาน โดยมนสกิ ารวา สิ่งอะไรไมม .ี . . [๒๒๒] ภกิ ษกุ า วลวงอากญิ จญั ญายตนฌาน โดยประการทัง้ ปวงแลว ไดบ รรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน... [๒๒๓] ภกิ ษกุ าวลวงเนวสญั ญานาสัญายตนฌาน โดยประการท้งั ปวงแลว ไดบ รรลสุ ัญญาเวทยติ นิโรธ . . .

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 218 [๒๒๔] ดกู อนท้ังหลาย ถาภิกษุเจรญิ ปฐวีกสณิ แมชัว่ กาลเพียงลัดนิ้วมือไซร ภิกษุน้เี รากลาววา อยไู มเหนิ หางจากฌาน ทาํ ตามคาํ สอนของพระศาสดา ปฏบิ ตั ติ ามโอวาท ไมฉันบณิ ฑบาตของชาวแวน แควน เปลาก็จะปวยกลาวไปไยถึงผกู ระทําใหมากซ่งึ ปฐวีกสณิ น้นั เลา ถาภกิ ษุเจรญิอาโปกสิณ . . . เจรญิ เตโชกสณิ . . . เจริญวาโยกสณิ . . . เจริญนีลกสิณ.. .เจรญิ ปต กสณิ . . . เจริญโลหิตกสณิ . . . เจรญิ โอทาตกสณิ . . . เจรญิอากาสกสณิ . . . เจรญิ วิญาณกสณิ . . . เจรญิ อสภุ สัญญา. . เจรญิ มรณ-สัญญา. . . เจรญิ อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา. . . เจรญิ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา. . .เจริญอนิจจสญั ญา . . . เจริญอนจิ เจทุกขสัญญา... เจริญทกุ เธอนตั ตสัญญา...เจรญิ ปหานสญั ญา. . . เจรญิ วริ าคสญั ญา . . . เจริญนิโรธสัญญา . . เจรญิอนจิ จสัญญา. . .เจรญิ อนตั ตสัญญา. . . เจริญมรณสญั ญา . . .เจริญอาหาเร-ปฏกิ ูลสญั ญา... เจรญิ สพั พโลเกอนภิรตสญั ญา. . . เจรญิ อฏั ฐกิ สญั ญา. . .เจรญิ ปฬุ วุ กสญั ญา. . . เจริญวินลี กสญั ญา . . . เจรญิ วจิ ฉิททกสญั ญ. . .เจริญอทุ ธุมาตกสญั ญา . . . เจริญพทุ ธานุสสติ . . . เจริญธัมมานุสสติ . . .เจริญสงั ฆานุสสติ . . . เจริญอานาปานสติ . . . เจรญิ มรณสติ . . . เจรญิเทวตานุสสต.ิ . . เจริญอานาปานสติ . . . เจริญมรณสคิ. . . เจริญกายคตาสติ. . . เจริญอุปสมานสุ สติ.. . เจรญิ สทั ธินทรียอ นั สหรคตดว ยปฐมฌาน. . .เจรญิ วริ ิยินทรีย. . .เจริญสตนิ ทรยี . . .เจริญสมาธนิ ทรีย. . . เจรญิ ปญญิน-ทรยี . . . เจรญิ สทั ธาพละ . . . เจรญิ วิริยพละ . . . เจรญิ สตพิ ละ. . . เจรญิสมาธิพละ.. .. เจริญปญ ญาพละ. . . เจรญิ สัทธินทรียอ นั สหรคตดว ยทตุ ิย-ฌาน ฯลฯ เจริญสัทธินทรยี อนั สหรคตดวยตติยฌาน ฯลฯ เจรญิ สทั ธิน-ทรียอ ันสหรคตดว ยจตุตถฌาน ฯ ล ฯ เจรญิ สทั ธนิ ทรียอ นั สหรคตดว ย

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 219เมตตา ฯลฯ เจริญสทั ธินทรยี อ ันสหรคตดวยกรณุ า ฯลฯ เจริญสทั ธิน-ทรยี อนั สรหคตดวยมุทติ า ฯลฯ เจรญิ สทั ธินทรียอันสหรคตดวยอุเบกขา. . . จรญิ วิรยิ นิ ทรยี . . . เจริญสตนิ ทรีย. . . เจรญิ สมาธินทรีย . . . เจริญปญ ญนิ ทรีย. . . เจรญิ สัทธาพละ. . . เจริญวริ ยิ พละ. . . เจรญิ สตพิ ละ. . .เจรญิ สนมธิพละ. . . เจรญิ ปญญาพละ แมชัว่ กาลเพยี งลดั น้วิ มอื ไซรภิกษุน้ีเรากลาววา อยไู มเ หนิ หางจากฌาน ทาํ ตามคําสอนของพระศาสดาปฏบิ ตั ิตามโอวาท ไมฉนั บณิ ฑบาตของชาวแวนแควน เปลา จะปว ยกลาวไปไยถงึ ผูก ารทําใหม าก ซึ่งปญ ญาพละอันสหรคตดวยอเุ บกขาเลา . วาดวยอานิสงสการเจริญกายคตาสติ [๒๒๕] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กายคตาสติอันภกิ ษุรปู ใดรูปหนึ่งเจริญแลว กระทาํ ใหมากแลว กุศลธรรมอยา งใดอยางหน่งึ ซง่ึ เปน ไปในสว นวชิ ชา ยอ มหย่งั ลงในภายในของภิกษุนน้ั เปรยี บเหมือนมหา-สมุทรอันผใู ดผูหนงึ่ ถกู ตอ งดวยใจแลว แมน ้าํ นอ ยสายใดสายหนึ่งซึ่งไหลไปสสู มุทร ยอ มหยง่ั ลงในภายในของผนู น้ั ฉะน้นั . [๒๒๖] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ธรรมขอ หนงึ่ ซึง่ บุคคลเจริญแลวกระทาํ ใหมากแลว เปน ไปเพอื่ ความสังเวชใหญ เปน ไปเพ่ือประโยชนใหญ เปน ไปเพ่ือความเกษมจากโยคะใหญ เปนไปเพ่อื สติและสมั ปชญั ญะเปนไปเพื่อไดญ าณทัสสนะ เปนไปเพ่ืออยเู ปน สุขในปจ จบุ ัน เปนไปเพ่ือทาํ ใหแจงซง่ึ ผล คอื วชิ ชาและวมิ ุตติ ธรรมขอหนง่ึ คอื อะไร คอื กาย-คตาสติ ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ธรรมขอ หนง่ึ น้แี ล บุคคลอบรมแลว กระทาํใหม ากแลว ยอมเปนไปเพือ่ ความสงั เวชใหญ ยอมเปนไปเพอ่ื ประโยชนใหญ ยอมเปน ไปเพอื่ ความเกษมจากโยคะใหญ ยอ มเปนไปเพื่อสตแิ ละ

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 220สมั ปชัญญะ ยอ มเปนไปเพ่อื ไดญ าณทัสสนะ ยอ มเปนไปเพ่อื อยูเปนสขุในปจจุบนั ยอมเปน ไปเพอ่ื ทําใหแจง ซึ่งผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ติ. [๒๒๗] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เมื่อธรรมขอหนง่ึ บุคคลเจรญิ แลวกระทาํ ใหม ากแลว แมก ายก็สงบ แมจติ ก็สงบ แมว ติ กวจิ ารกส็ งบธรรมทีเ่ ปน ไปในสว นแหง วชิ ชาแมทั้งสน้ิ กถ็ งึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ ธรรมขอ หน่ึงคืออะไร คอื กายคตาสติ ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เมอ่ื ธรรมขอหนึง่ นแี้ ล บคุ คลเจริญแลว ทําใหมากแลว แมกายกส็ งบ แมจติ กส็ งบแมวิตกวจิ ารก็สงบ ธรรมทเี่ ปนไปในสว นแหงวิชชาแมทง้ั สน้ิ กถ็ งึ ความเจริญบริบรู ณ. [๒๒๘] ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เม่ือธรรมขอ หนง่ึ บคุ คลเจริญแลวการทาํ ใหมากแลว อกศุ ลธรรมท่ยี งั ไมเกดิ ยอมไมเ กดิ ขึ้นไดเลย และอกุศลธรรมท่ีเกดิ ขนึ้ แลว ยอ มละเสยี ได ธรรมขอหนึ่งคืออะไร คอืกายคตาสติ ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย เมือ่ ธรรมขอ หน่ึงนีแ้ ล บุคคลเจรญิแลว กระทําใหมากแลว อกุศลธรรมที่ยงั ไมเกิด ยอ มไมเกิดข้ึนไดเ ลยและอกุศลธรรมท่เี กิดขึน้ แลว ยอมละเสยี ได. [๒๒๙] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เม่ือธรรมขอหน่ึงบุคคลเจริญแลวทําใหม ากแลว กศุ ลธรรมท่ียังไมเ กิด ยอมเกดิ ขน้ึ และกศุ ลธรรมทีเ่ กิดขน้ึ แลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความเจริญ ไพบลู ยย ง่ิ ธรรมขอ หนงึ่ คืออะไรคือกายคตาสติ ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เม่อื ธรรมขอ หน่งึ น้แี ล บคุ คลเจรญิแลว กระทําใหมากแลว กุศลธรรมที่ยังไมเ กิด ยอ มเกิดข้ึน และกุศล-ธรรมทเ่ี กดิ ขึน้ แลว ยอ มเปน ไปเพื่อความเจรญิ ไพบลู ยย งิ่ .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 221 [๒๓๐] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เมอ่ื ธรรมขอ หนึง่ บุคคลเจรญิ แลวกระทาํ ใหม ากแลว ยอมละอวิชชาเสียได วิชชายอ มเกดิ ขึ้น ยอมละอัสมมิ านะเสียได อนสุ ยั ยอมถงึ ความเพกิ ถอน ยอ มละสงั โยชนเสียไดธรรมขอ หนง่ึ คอื อะไร คอื กายคตาสติ ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย เม่ือธรรมขอหนง่ึ นแ้ี ล บคุ คลเจริญแลว การทาํ ใหมากแลว ยอ มละอวชิ ชาเสยี ไดวิชชายอ มเกดิ ขึน้ ยอมละอัสมิมานะเสียได อนุสัยยอ มถงึ ความเพกิ ถอนยอ มละสังโยชนเ สียได. [๒๓๑] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย เมอื่ ธรรมขอหนง่ึ บคุ คลเจรญิ แลวกระทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพอ่ื ความแตกฉานแหง ปญ ญา ยอ มเปน ไปเพ่ืออนปุ าทาปรนิ พิ พาน ธรรมขอหนง่ึ คอื อะไร คือกายคตาสติ ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ธรรมขอ หน่งึ น้ีแล บุคคลเจริญแลว การทาํ ใหม ากแลวยอ มเปนไปเพื่อความแตกฉานแหง ปญญา ยอมเปนไปเพอ่ื อนุปาทาปริ-นพิ พาน. [๒๓๒] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เมอื่ ธรรมขอหนึ่งบุคคลเจรญิ แลวกระทําใหม ากแลว ยอมมกี ารแทงตลอดธาตมุ ากหลาย ยอมมีการแทงตลอดธาตุตาง ๆ ยอมมีความแตกฉานในธาตมุ ากหลาย ธรรมขอ หนึ่งคืออะไร คือกายคตาสติ ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เมื่อธรรมขอ หน่งึ น้แี ลบุคคลเจรญิ แลว กระทําใหมากแลว ยอมมีการแทงตลอดธาตุมากหลายยอ มมีการแทงตลอดธาตตุ า ง ๆ ยอมมคี วามแตกฉานในธาตมุ ากหลาย [๒๓๓] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เม่อื ธรรมขอ หนึ่งบุคคลเจรญิ แลวกระทําใหม ากแลว ยอ มเปนไปเพ่อื ทําโสดาปตติผลใหแจง ยอ มเปนไปเพ่ือทําสกทาคามผิ ลใหแจง ยอ มเปนไปเพื่อทาํ อนาคามผิ ลใหแจง ยอม


























































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook