พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 257เรียบรอ ย ๑ พิจารณาพระสูตรอนั นา เล่อื มใส ๑ ความเปน ผมู ีจติ นอ มไปในปติสมั โพชฌงคน นั้ ๑. ก็แมเมอ่ื บุคคลระลึกถงึ คณุ ของพระพุทธเจา ปต ิสัมโพชฌงค ยอ มเกดิ แผซา นไปตลอดรางกายทั้งสิน้ จนกระทง่ั ถงึ อุปจารสมาธิ. ปต สิ ัมโพช-ฌงค ยอ มเกดิ แมแกบ ุคคลผูระลึกถึงคณุ ของพระธรรมและพระสงฆ แมแ กบรรพชติ ผพู จิ ารณาจตปุ าริสทุ ธิศีล รกั ษาไมใ หขาดมาตลอดกาลนาน แมแกค ฤหสั ถผพู ิจารณาศลี ๑๐ ศลี ๕ แมแกบ ุคคลผถู วายโภชนะอันประณีตแกเ พ่ือนผปู ระพฤติพรหมจรรยในยามมีภยั อันเกดิ แตก ารท่ภี กิ ษาหาไดย ากเปนตนแลว พิจารณาถงึ การบรจิ าควา เราไดใหทานชอื่ อยา งน้ีแลวเปน ตน แมแ กคฤหัสถผูพ ิจารณาถงึ ทานท่ใี หแ ลว แกทานผูมีศลี ทัง้ หลายเห็นปานน้ี แมแกผูพ จิ ารณาถึงคณุ ทง้ั หลายอนั เปน เหตุใหผูประกอบไวซ่ึงคุณเครือ่ งเปนเทวดาเห็นปานนัน้ วามอี ยูใ นตน แมแกผพู ิจารณาถงึ กเิ ลสท้ังหลายที่ขมไวดวยการเขาสมาบัติวา ไมฟุงซา นมาต้ัง ๖๐ ปบ า ง ๗๐ปบ าง แมแ กผเู วนบุคคลเศรา หมองเชนกับธุลีบนหลังลา เพราะไมมีความรกั ดว ยอาํ นาจความเล่อื มใสในพระพุทธเจา เปนตน เพราะความเปน ผเู ศราหมอง อนั บง ถึงกริ ยิ าทไ่ี มเคารพ ในการเห็นพระเจดยี เห็นตนโพธิ และเหน็ พระเถระ แมแกผูเ สพบคุ คลผูเ รยี บรอย มีจติ ออ นโยนมากดวยความเลอื่ มใสในพระพุทธเจาเปนตน แมแกผ ูพจิ ารณาพระสูตรอันนาเลื่อมใสแสดงคณุ ของพระรตั นตรยั แมแกผมู ีจิตนอ มโนม โอนไปเพ่ือยังปติใหเ กิดขึน้ ในการยนื และการน่งั เปนตน . เพราะเหตนุ ั้น กลุ บุตรผูเรมิ่ บําเพญ็ กรรมฐาน ยังปต ิสมั โพชฌงคใหตั้งขึ้นดว ยเหตุ ๑๑ ประการน้แี ลว ทําปต สิ มั โพชฌงคนนั้ นั่นแหละใหเ ปน ธุระ เริ่มต้งั ความยดึ มนั่ ไว
พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 258ยอ มถอื เอาพระอรหตั ไดโ ดยลําดับ. กุลบตุ รน้นั ชือ่ วา เจริญ ปตสิ มั โพชฌงคจนกระท่งั ถึงอรหตั มรรค. เม่อื บรรลุผลแลว ชอื่ วาเปนผูเจริญปติสมั -โพชฌงคแ ลว . ธรรม ๗ ประการ คอื เสพโภชนะอันประณีต ๑ เสพฤดอู ันสบาย ๑ เสพอริ ยิ าบถอนั สบาย ๑ ประกอบคนเปน กลาง ๑ เวนบุคคลผมู ีกายไมสงบ ๑ เสพบุคคลผูม กี ายสงบ ๑ นอมจิตไปในปสสทั ธิสมั -โพชฌงคน น้ั ๑ ยอมเปนไปเพ่อื ความเกิดปสสทั ธสิ มั โพชฌงค. กค็ วามสงบ ยอมเกดิ แมแ กผ ูบรโิ ภคโภชนะอันเปนสปั ปายะ ประณีตงดงาม แมแกผ ูเสพฤดใู นฤดูหนาวและรอ นและอิริยาบถมยี นื เปน ตน อันเปนสปั ปายะ. ก็บุคคลใดมชี าตเิ ปน มหาบุรุษ เปน ผูอดทนไดในฤดู (หนาว- รอ น ) และอิริยาบถทง้ั ปวง คาํ นี้ ทานกลา วโดยหมายเอาบุคคลนั้นก็หามิได. ความสงบยอ มเกดิ แกบ คุ คลผเู สพฤดแู ละอริ ิยาบถอนั เปน สภาคกัน. การพจิ ารณาความเปนผูม ีกรรมเปนของตน ทง้ั ของตนและของคนอ่ืน เรยี กวาการประกอบตนเปนกลาง ความสงบยอ มเกดิ ดวยการประกอบคนเปนกลางดังกลา วมาน.ี้ ความสงบ ยอมเกดิ แมแกผูเวน บคุ คลผมู กี ายไมสงบ ผเู ทีย่ วเบยี ดเบียนสัตวอื่นดว ยกอนดินและทอ นไมเปน ตนเหน็ ปานนั้น แมแ กผ เู สพบคุ คลผูมกี ายสงบ สํารวมมอื และเทา แมแ กผูมจี ติ นอ มโนม โอนไปเพอื่ ตอ งการทําความสงบใหเกดิ ขึ้นในการยืนและการนงั่ เปน ตน . เพราะฉะนนั้ กุลบตุ รผูเ ร่มิ บําเพ็ญกรรมฐานยังปส สัทธิสัม-โพชฌงคใหต ง้ั ขน้ึ ดว ยเหตุ ๗ ประการน้ี กระทําปส สัทธิสมั โพชฌงคนนั้ ใหเปน ธุระ เรม่ิ ตัง้ ความยึดม่นั ไว ยอมถือเอาพระอรหตั ไดโ ดยลําดบั . กุลบุตรนน้ั ช่ือวายอ มเจริญปสสัทธิสมั โพชฌงคจ นถงึ พระอรหตั มรรค เมอ่ื บรรลุ
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 259ผลแลว ยอ มชอื่ วาเจริญปส สทั ธสิ มั โพชฌงคไ วแลว . ธรรม ๑๑ ประการ คือ ทําวัตถใุ หสละสลวย ๑ ทาํ อินทรียใ หดําเนนิ ไปสมํ่าเสมอ ๑ ความฉลาดในนมิ ติ ๑ ประคองจิตในสมัย (ควรประคอง ) ๑ ขมจติ ในสมัย ( ควรขม ) ๑ การทํา ( จิต ) ใหรา เรงิในสมยั ( ควรใหรา เริง ) ๑ การเพง ดูจิตในสมัย ( ควรเพง ดู ) ๑การเวนบุคคลผมู จี ิตไมตั้งมัน่ ๑ เสพบคุ คลผูมจี ติ ตัง้ มั่น ๑ พิจารณาฌานและวิโมกข ๑ ความเปนผมู ีจิตนอมไปในสมาธสิ ัมโพชฌงคน ั้น ๑ยอมเปนไปเพ่ือความเกดิ ขนึ้ แหง สมาธสิ มั โพชฌงค. บรรดาธรรมเหลาน้นั การทําวัตถุใหส ละแลว และการทาํ อนิ ทรียใ หดําเนนิ ไปสมา่ํ เสมอ พึงทราบโดยนัยดังกลาวแลว. ความฉลาดในการเรยี นกสิณนมิ ติ ช่ือวา ฉลาดในนมิ ิต. บทวา สมเย จิตตฺ สฺส ปคคฺ ณหฺ นตาความวา ในสมัยใด จติ หดหดู ว ยยอหยอนความเพยี รเปน ตน ในสมยั นน้ัประคองจิตไวดว ยการทาํ ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค วิรยิ สัมโพชฌงค และปต สิ มั โพชฌงคใ หเ กดิ ขนึ้ . บทวา สมเย จิตฺตสฺส นิคคฺ ณหฺ นตาความวา ในสมัยใด จิตฟุงซานดวยปรารภความเพยี รเปน ตนเกนิ ไปในสมยั น้ัน ขมจิตไวดว ยการทาํ ปสสทั ธิสมั โพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงคและอเุ บกขาสัมโพชฌงคใหเกิดขึน้ . บทวา สมเย สมฺปห สนตา ความวาในสมัยใด จติ ไมแ ชม ชนื่ เพราะประกอบปญญานอยไป. หรอื เพราะไมไดสขุ อนั สงบ ในสมยั น้ัน ยงั จติ ใหส งั เวชดว ยการพจิ ารณาสังเวควัตถุ ๘ประการ. ชื่อวาสังเวควัตถุ ๘ ประการ คอื ชาติ ชรา พยาธิ มรณะความเปน ๔ ทุกขในอบาย เปน ที่ ๕ ทกุ ขม ีวฏั ฏะเปนมูลในอดตี เปนท่ี ๖ ทุกขม กี ารแสวงหาอาหารเปนมูลในปจ จุบนั เปนท่ี ๗ ทกุ ขม ี
พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 260วัฏฏะเปนมูลในอนาคต เปนท่ี ๘. การยังความเล่อื มใสใหเ กดิ ขนึ้ ดวยการระลกึ ถงึ คุณของพระรัตนตรัย น้เี รียกวา ความทําจิตใหรา เรงิ ในสมัย.ชอื่ วา ความเพงดูจิตในสมยั ไดแกในคราวที่จิตอาศัยการปฏิบตั ชิ อบเปนจติ ไมห ดหู ไมฟงุ ซาน มคี วามแชมชน่ื ดําเนนิ ไปตามสมถวิถซี ่งึเปน ไปอยา งสมาํ่ เสมอในอารมณน ัน้ กุลบตุ รไมต องขวนขวายในการประคอง ขมและทาํ ใหร าเรงิ เหมอื นสารถี ไมต องขวนขวายในเมือ่ มาว่ิงไปเรียบ น้เี รียกวา ความเพง ดจู ิตในสมยั . ชอ่ื วาการเวน บุคคลผูมีจิตไมตงั้ มั่น ไดแกเวน ใหหา งไกลบคุ คลผมู ีจติ ฟงุ ซาน ผยู งั ไมบ รรลุอุปจารสมาธิหรอื อัปปนาสมาธิ. ชือ่ วาเสพบุคคลผูม ีจติ ตั้งมน่ั ไดแกเสพ คือคบ เขาไปนง่ั ใกลบุคคลผูมจี ิตต้งั มนั่ ดว ยอุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธ.ิ ชอื่ วาความเปน ผมู ีจิตนอ มไปในสมาธิสัมโพชฌงคน ้นัไดแกค วามเปนผูม ีจติ นอมโนม โอนไปเพอ่ื ใหส มาธิเกดิ ขึ้นในการยนื และการนั่งเปน ตน. กเ็ ม่ือปฏิบัตอิ ยอู ยางนี้แหละ สมาธิสมั โพชฌงคยอ มเกดิ ขึ้น.เพราะฉะนน้ั กุลบตุ รผูเร่มิ บาํ เพญ็ กรรมฐาน ยงั สมาธสิ ัมโพชฌงคใหเ กิดขึ้นดว ยเหตุ ๑๑ ประการเหลาน้ี การทําสมาธิสมั โพชงคนนั้ เทา นั้นใหเปนธุระ เริ่มต้ังความยดึ ม่ันไว ยอ มถือเอาพระอรหตั ไดโ ดยลาํ ดับ.กลุ บตุ รนนั้ ชอ่ื วา บําเพญ็ สมาธิสมั โพชฌงคจ นกระทงั่ ถึงอรหตั มรรค เม่อืบรรลุผลแลว ยอ มช่ือวา เปน ผูไดเจริญสมาธสิ ัมโพชฌงคแลว. ธรรม ๕ ประการ คอื ความเปน กลางในสัตว ๑ ความเปนกลางในสังขาร ๑ ความเวน บคุ คลผูยดึ ถอื สัตวและสังขาร ( วาเปนของตน) ๑ เสพบุคคลผวู างตนเปนกลางในสตั วและสังขาร ๑ ความเปนผูม ี
พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 261จติ นอมไปในอเุ บกขาสมั โพชฌงคน ัน้ ๑ ยอ มเปนไปเพื่อความเกดิ ขึ้นแหงอเุ บกขาสมั โพชฌงค. ในธรรม ๕ ประการนนั้ บคุ คลยอ มยังความเปน กลางในสัตวใหเกดิ ขึ้นดวยอาการ ๒ อยา ง คือ ดวยการพิจารณาความท่ีสตั วมีกรรมเปน ของตนอยา งน้ีวา ทานมาดว ยกรรมของตน จักไปดว ยกรรมของตนแมสัตวน จ้ี กั ไปดว ยกรรมของตนเหมอื นกัน ทา นจะยึดถือใครวาเปน ของตน ดงั นี้ และดว ยการพจิ ารณาถงึ ความไมม สี ัตวอ ยา งน้วี า โดยปรมัตถสัตวไมมี ทา นน้นั จะยดึ ถอื ใครวา เปนของตน ดงั นี.้ บุคคลยอมยงั ความเปนกลางในสังขารใหเ กดิ ขึน้ ดว ยอาการ ๒ อยาง คอื ดวยการพิจารณาถงึ ความเปนของไมม เี จาของอยา งนว้ี า จวี รนี้ เขา ถงึ ความวิการ ( ผันแปร )แหงสแี ละความเกา ไปโดยลําดับ เปนทอ นผาสําหรบั เชด็ เทา จักตองเอาปลายไมเทาเขยี่ ทิง้ ไป กถ็ าจีวรน้ันพึงมีเจา ของ เขาจะตองไมใหม ันฉิบหายไปอยา งน้ี และดวยการพิจารณาเปนของชว่ั คราวอยา งนวี้ า จีวรน้ีเปน ของช่ัวคราว ไมคงทน ดังน.ี้ แมใ นบาตรเปนตน กพ็ ึงประกอบความเหมอื นดงั ในจวี รน่ันแล. ในบทวา สตตฺ สงขฺ ารเกลายนปคุ คฺ ลปรวิ ชฺชนตา นี้ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยตอไปน้ี. บุคคลใดเปนคฤหสั ถ ยดึ ถือบตุ รและธดิ าเปนตนของตนวา เปน ของเรา หรอื เปนบรรพชติ ยดึ ถืออนั เตวาสกิ ผูรว มอปุ ช ฌายก ันเปน ตน วาเปน ของเรา กระทําการปลงผม โกนหนวด เยบ็ จีวร ซกั จวี รและระบมบาตรเปนตน แกอ นั เตวาสกิ เหลานน้ั ดวยมือของตนเองเมื่อไมเ หน็ แมส กั ครหู นึ่ง ก็มองหาไปรอบ ๆ วา สามเณรโนนไปไหนภิกษหุ นุม โนน ไปไหน ดังนี้ เหมือนเนื้อตน่ื เหลียวมองทางโนนทางน้ีอยู
พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 262ฉะนน้ั แมผ อู น่ื ขอไปเพ่ือประโยชนแกก ารปลงผมเปน ตนวา ขอทานจงสง ทานรูปโนนไปสกั ครูก อนเถดิ ก็ไมใหโ ดยพดู บา ยเบย่ี งวา แมพวกเราก็ยังไมใ หทา นรปู น้ันทําการงานของตน พวกทา นพาเธอไปจกั ลาํ บากน้ชี ่ือวา ยดึ ถือสัตวเปน ของตน. สวนบุคคลใดยึดถือจวี ร บาตร ภาชนะและไมเทาเปน ตนวาเปนของเรา แมคนอื่นจะเอามอื ลบู คลําก็ไม (ยอม)ให (ทาํ ) เขายืมชัว่ คราวก็พูดวา แมเราเปน เจา ของสิ่งนี้กย็ งั ไมใชเ องเราจะใหพวกทา นไดอ ยางไร นี้ชอ่ื วา ยดึ ถอื สงั ขารวาเปนของตน. สว นบุคคลใดวางตนเปน กลาง เปน ผูว างเฉยในวัตถแุ มท ง้ั สองเหลานั้น บคุ คลนี้ชือ่ วา วางตนเปนกลางในสัตวแ ละสงั ขาร. อเุ บกขา-สัมโพชฌงคนย้ี อมเกิดขน้ึ แมแ กผูเวน หางไกลบุคคลผูย ึดถือสัตวแ ละสงั ขารเหน็ ปานน้ี แมแ กผ ูเ สพบุคคลผูวางตนเปนกลางในสตั วแ ละสังขาร แมแ กผูมีจติ นอมโนมโอนไปเพอื่ ใหอเุ บกขาสมั โพชฌงคน ้นั เกิดข้นึ ในการยืนและการนัง่ เปน ตน ดว ยประการดงั น้ี. เพราะฉะนั้น กุลบตุ รผูเรม่ิ บาํ เพญ็กรรมฐานทาํ อุเบกขาสมั โพชฌงคใหเกิดข้นึ ดว ยเหตุ ๕ ประการเหลานี้กระทําอเุ บกขาสมั โพชฌงคน ้ันน่ันแหละใหเ ปน ธรุ ะ เรม่ิ ตงั้ ความยดึ มนั่ ไวยอ มถอื เอาพระอรหัตไดโ ดยลาํ ดับ. กุลบตุ รนน้ั ชื่อวาเจริญอุเบกขา-สัมโพชฌงคจ นถึงอรหตั มรรค เม่ือบรรลผุ ลแลว ยอมชื่อวาไดเ จรญิ แลว.สัมโพชฌงค๗ เหลานี้ ตรัสคละกันทัง้ โลกยิ ะและโลกุตระ ดว ยประการดงั น้.ี บทวา สมมฺ าทฏิ ึ ภาเวติ ความวา ยอ มพอกพูน คือเพ่ิมขนึ้ซง่ึ สัมมาทิฏฐอิ ันเปน เบ้อื งตนของมรรคมอี งค ๘. แมใ นบทที่เหลือก็มีนัยนี้นนั่ แล. กใ็ นขอ ทวี่ า ดวยมรรคมีองค ๘ น้ี สัมมาทฏิ ฐิ มีความเหน็ ชอบเปนลักษณะ. สมั มาสงั กปั ปะ มคี วามยกขน้ึ ซึ่งจติ โดยชอบเปน
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 263ลักษณะ. สมั มาวาจา มคี วามกําหนดถือเอาชอบเปนลกั ษณะ. สมมั า-กัมมันตะ มกี ารตั้งขึ้นซงึ่ การงานโดยชอบเปน ลักษณะ. สมั มาอาชีวะมคี วามทาํ อาชีพใหบ ริสทุ ธโ์ิ ดยชอบเปนลกั ษณะ. สัมมาวายามะ. มคี วามประคองไวชอบเปนลกั ษณะ. สัมมาสติ มคี วามปรากฏขนึ้ ชอบเปนลักษณะ. สัมมาสมาธิ มีความตั้งใจชอบเปนลกั ษณะ. ในมรรคมอี งค ๘ น้นั มรรคหน่ึง ๆ มีกจิ ๓ อยาง คอื กอนอ่ืนสมั มาทฏิ ฐิ ละมิจฉาทิฏฐพิ รอมกับกิเลสท่ีเปน ขา ศกึ ของตนแมอยางอืน่ ๆกระทํานิโรธใหเ ปนอารมณ เหน็ สัมปยุตธรรม เพราะไมหลง ดวยอาํ นาจการกําจดั โมหะทปี่ กปดสัมมาทิฏฐนิ นั้ . แมสัมมาสังกปั ปะเปนตนก็เหมือนกัน ละมิจฉาสังกปั ปะเปนตน และทํานิโรธใหเปนอารมณ. โดยเฉพาะอยางย่ิง ในมรรคน้ี สัมมาสงั กัปปะ ดําริถึงสหชาตธรรมสัมมาวาจา กาํ หนดถอื เอาชอบ สัมมากมั มันตะ ตั้งข้ึนซึ่งการงานชอบสมั มาอาชวี ะ ทําอาชีพใหบรสิ ทุ ธ์โิ ดยชอบ สมั มาวายามะ ประคองไวชอบสมั มาสติ ปรากฏขน้ึ ชอบ สมั มาสมาธิ ตั้งใจชอบ. อกี ประการหน่ึง ธรรมดาวาสมั มาทฏิ ฐนิ ้ีในเบอื้ งตน มีขณะตางกันมอี ารมณต า งกนั ( แต ) ในเวลาเปน มรรค มขี ณะเดยี วกัน มอี ารมณเดียวกนั . แตเมอ่ื วาโดยกิจไดชอ่ื ๔ ชอื่ มีวา ทุกฺเข าณ ดังนเ้ี ปน ตน .แมส มั มาสงั กัปปะเปนตน กม็ ีขณะตา งกนั มีอารมณต างกันในเบอื้ งตนแตในเวลาเปนมรรค มีขณะเดียวกัน มีอารมณเ ดียวกนั . ในมรรคเหลา นน้ัสมั มาสังกัปปะ เมื่อวาโดยกิจ ไดชอ่ื ๓ ช่อื มวี า เนกขัมมสงั กัปปะดงั นเ้ี ปนตน . องคมรรค ๓ แมมสี ัมมาวาจาเปนตน ในเบือ้ งตน มีขณะตางกนั มอี ารมณต า งกนั คือ เปน วิรตั บิ าง เปนเจตนาบาง แตใน
พระสุตตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 264ขณะมรรคเปนวริ ตั เิ ทานั้น. แมองคม รรคทั้งสองน้ี คอื สัมมาวายามะสัมมาสติ เมอ่ื วาโดยกจิ ไดช ่ือ ๔ ชอื่ ดวยอาํ นาจสัมมปั ปธาน ๔ และสติปฏ ฐาน ๔. ดว ยสมั มาสมาธิ คงเปนสมั มาสมาธอิ ยางเดียว ทั้งในเบอื้ งตน ท้งั ในขณะมรรค. ในธรรม ๘ ประการน้ี ดังพรรณนามาฉะน้ี พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงสัมมาทิฏฐิกอน เพราะเปน อปุ การะแกพระโยคีผปู ฏบิ ตั ิเพอ่ืบรรลุพระนิพพาน. กส็ ัมมาทฏิ ฐนิ เ้ี ปน ไปโดยช่อื วา ปฺญาปชโฺ ชโตปฺาสตถฺ (ปญ ญาเปนแสงสวาง ปญ ญาเพยี งดังศัสตรา) ดังน.้ีเพราะเหตนุ นั้ พระโยคาวจรกําจดั มืดคอื อวชิ ชา ดวยสัมมาทิฏฐิ คือวปิ ส สนาญาณน้ีในเบอื้ งตน ฆาโจรคือกเิ ลสเสยี ยอมบรรลุพระนิพพานโดยความเกษม. เพราะเหตนุ นั้ ทานจงึ กลาววา นพิ ฺพานาธคิ มาย ปฏิปนฺนสสฺ โยคิโน พหกุ ารตฺตา ปม สมฺมาทิฏ เทสติ า. พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงสัมมาทฏิ ฐิ กอน เพราะเปนธรรมมอี ุปการะมากแกพระ- โยคผี ปู ฏิบตั เิ พอ่ื บรรลพุ ระนิพพาน. กส็ มั มาสังกปั ปะมีอปุ การะมากแกส ัมมาทฏิ ฐนิ นั้ เพราะฉะนัน้ จึงตรสั ไวในลําดับแหง สมั มาทิฏฐนิ ัน้ . เหมือนอยางวา เหรญั ญิกใชม ือพลกิไปพลกิ มา ตาดเู หรยี ญกษาปณ ยอมรูว า อนั นป้ี ลอม อันนดี้ ี ฉันใดแมพ ระโยคาวจรก็ฉนั นน้ั ในเบอ้ื งตน ใชวติ กตรึกไปตรกึ มา ใชวปิ ส สนา-ปญ ญาตรวจดู ยอ มรวู า ธรรมเหลาน้ีเปนกามาวจร ธรรมเหลาน้เี ปน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 265รปู าวจรเปน ตน. กห็ รอื วาชา งถาก เอาขวานถากไมใ หญท ี่บรุ ษุ จบั ปลายคอยพลกิ ให ยอมนาํ ไปใชงานได ฉนั ใด พระโยคาวจรพิจารณาธรรมทว่ี ิตกคอยตรกึ ใหดว ยปญญา โดยนัยมีอาทิวา ธรรมเหลานี้เปน กามาวจรธรรมเหลานเี้ ปนรปู าวจร ยอ มนาํ เขาไปใชง านได ฉันนัน้ เพราะเหตุนน้ัทา นจงึ กลา ววา กส็ มั มาสงั กปั ปะมอี ปุ การะมากแกส มั มาทฏิ ฐินัน้ เพราะ-ฉะน้ัน จงึ ตรัสไวใ นลาํ ดับแหงสัมมาทฏิ ฐนิ ้ัน ดงั น.ี้ สมั มาสังกปั ปะนนี้ นั้ มอี ุปการะแกสัมมาวาจา เหมือนดังมีอุปการะแกสมั มาทิฏฐิฉะน้ัน สมดงั ท่ตี รสั ไววา ดูกอ นคหบดี บคุ คลตรกึ แลวพิจารณาแลว ในเบอ้ื งตนกอนแล จึงเปลงวาจา เพราะฉะน้ัน พระองคจงึ ตรสั สมั มาวาจาไวในลําดบั แหงสัมมาสงั กัปปะนัน้ . กเ็ พราะเหตทุ ่คี นจะตองจดั แจงดวยวาจากอนวา เราจะกระทาํ สิง่ นี้และส่ิงนี้ ดงั นี้แลว จงึ ประกอบการงานในโลก เพราะฉะน้ัน จึงตรสัสัมมากัมมันตะไวในลําดับสมั มาวาจา เพราะวาจามอี ปุ การะแกการงาน.ก็เพราะเหตทุ ่ีศีลมอี าชวี ะเปนที่ ๘ ยอ มบริบรู ณแกผ ูล ะวจีทจุ รติ ๔ และกายทุจริต ๓ แลวทําวจีสจุ รติ และกายสจุ ริตทงั้ สองใหบริบูรณ ไมบริบรู ณสาํ หรับคนนอกนี้ เพราะฉะน้นั จึงตรัสสัมมาอาชีวะไวใ นลาํ ดับแหงสัมมาวาจาและสัมมากมั มนั ตะทัง้ สองน้ัน. เพอ่ื แสดงวา ถาบุคคลผูม อี าชวี ะบรสิ ุทธ์อิ ยางนี้ กระทาํ ความปลาบปลื้มดวยเหตุเพียงเทานว้ี า อาชพี ของเราบรสิ ุทธิ์ แลวเปน ผูประมาทเหมอื นดังหลับอยู ไมควร โดยทีแ่ ท ควรตอ งปรารภความเพียรนที้ กุ ๆอริ ิยาบถ จงึ ตรสั สัมมาวายามะไวใ นลาํ คับแหงสัมมาชีวะนนั้ . ตอแตน น้ัเพอ่ื จะแสดงวา แมป รารภความเพียรแลว กค็ วรการทําสติใหตัง้ มน่ั ใน
พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 266วตั ถุทงั้ ๔ มกี ายเปน ตน จึงทรงแสดงสมั มาสติไวในลําดบั แหง สมั มาวายามะ. ก็เพราะเหตุทีส่ ติตง้ั มั่นอยางนแ้ี ลว ใสใจไดดีถึงคตธิ รรมทงั้ หลายที่มอี ปุ การะและไมม อี ปุ การะแกส มาธิ ยอ มสามารถทําจติ ใหแนว แนในเอกัคคตารมณ เพราะฉะนั้น พึงทราบวา ทรงแสดงสมั มาสมาธิไวใ นลําดบั แหง สมั มาสตแิ ล. ดงั น้ัน จงึ ตรสั มรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ แมน้ีคละกันทงั้ โลกยิ ะและโลกตุ ระ. ในบทวา อชฺฌตตฺ รูปสฺ ี ดังน้เี ปนตน ภกิ ษุช่อื วาเปน ผมู ีความเขา ใจรปู ภายใน ดวยอาํ นาจบริกรรมรปู ภายใน. กเ็ ม่อื กระทําบรกิ รรมรูปสเี ขยี วในภายใน ยอ มกระทํา (บริกรรม คือพจิ ารณาบอ ย ๆ )ท่ีผม ทดี่ ี หรอื ท่ดี วงตา. เมอื่ ทาํ บริกรรมรปู สเี หลอื ง ยอมทําทม่ี ันขนท่ีผวิ หนงั ทฝี่ ามอื ฝา เทา หรอื ในทท่ี นี่ ัยนต ามสี ีเหลือง. เมือ่ ทําบรกิ รรมรปู สีแดง ยอมทาํ ที่เนอ้ื ที่เลอื ด ทล่ี ้นิ หรือในทีท่ นี่ ัยนตามสี แี ดง. เมอ่ืทาํ บริกรรมรูปสีขาว ยอมทาํ ทกี่ ระดูก ที่ฟน ทเี่ ลบ็ หรือในที่ท่นี ยั นตามีสีขาว. ก็รปู สเี ขยี วเปน ตน นน้ั ไมเปนสีเขยี วแท ไมเหลืองแท ไมแ ดงแท ไมข าวแท เปน สไี มบริสทุ ธ์ิเลย. บทวา เอโก พหิทธฺ า รปู านิ ปสฺสติ ความวา บริกรรมอยางน้ขี องภิกษุใดเกิดข้ึนภายใน นิมติ เกิดขึ้นภายนอก ภิกษนุ ้นั เรยี กวามีความเขาในรูปภายใน เปน รปู ภายนอก ดว ยอาํ นาจบริกรรมรปู ภายในและใหรูปภายนอกถงึ อัปปนา. บทวา ปริตฺตานิ ไดแ ก ยังไมเ จริญ.บทวา สุวณณฺ ทพุ ฺพณฺณานิ ความวา จะเปนรปู มวี รรณะดี หรือวรรณะทรามกช็ างเถดิ พงึ ทราบวา ทา นกลาวอภิภาย*ตนะนี้ ดว ยอาํ นาจรปู ที่เปน* อภิภายตนะมี ๘ ประการ หมายถึงการบาํ เพญ็ โดยเพง รปู คอื วณั ณกสิณเปนอารมณ.
พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 267ปริตตารมณเทา นั้น. บทวา ตานิ อภภิ ุยยฺ ความวา บรุ ษุ ผูมไี ฟธาตดุ ไี ดภตั ตาหารประมาณทัพพีหนึ่ง คดิ วา มีอะไรท่เี ราจะพงึ บรโิ ภคไดใ นภัตตาหารน้ี จงึรวมทําใหเปนคาํ ขา วคาํ เดียวกัน ฉันใด บคุ คลผมู ญี าณอนั ย่ิง มีญาณแจมใสกฉ็ ันน้ันเหมอื นกนั พจิ ารณาวา มีอะไรทีเ่ ราจะพึงเขาฌานในปริตตารมณน้ีอันนไี้ มเ ปน เรอื่ งหนกั สาํ หรบั เรา จงึ ครอบงํารูปเหลานัน้ เขาฌาน อธบิ ายวา ใหถึงอปั ปนาในรปู นนั้ พรอมกับทํานิมิตใหเกิดขนึ้ ทีเดียว. กด็ ว ยบทวาชานามิ ปสฺสามิ นี้ ทา นกลาวถงึ ความคาํ นงึ ของภิกษนุ ้ัน. กค็ วามคาํ นงึ ถงึ น้ันแล ยอ มมีแกภิกษุผูออกจากสมาบัติ ไมใชมีในภายในสมาบตั .ิบทวา เอว สฺ ี โหติ ความวา ยอมมคี วามเขาใจอยางนี้ ดวยความเขาใจในความคํานงึ ถงึ บา ง ดว ยความเขา ใจในฌานบาง. ก็ความเขาใจในการครอบงํา (รูป ) ยอมมีแกภิกษุนนั้ ในภายในสมาบัติ แตความเขา ใจในการคํานงึ ถงึ ยอมมแี กภ ิกษผุ ูอ อกจากสมาบตั ิแลว เทา นน้ั . บทวา อปปฺ มาณานิ ความวา ขยายขนาดข้ึน คอื ใหญขนึ้ . ก็ในบทวา อภิภุยยฺ น้ี มีความวา เหมือนบรุ ษุ ผกู ินจุ ไดภ ตั ตาหารเพิ่มอกีหน่ึงที่ ก็คิดวา แมภัตตาหารอื่นกช็ า งเถิด ภัตตาหารนั้นจกั ทาํ อะไรเรายอ มไมเห็นภตั ตาหารที่ไดเ พิม่ น้นั โดยเปน ของมากมาย ฉนั ใด บุคคลผมู ีญาณอันยง่ิ มีญาณแจมใส ก็ฉันนัน้ เหมอื นกนั เหน็ วา เราจะพึงเขาฌานอะไรในรปู น้ี รปู น้ีมีประมาณมากมายกห็ ามิได เราไมหนกั ใจในการทําจิตใหแนว แน (กบั รูปน)ี้ ดังน้ี ครอบงํารูปเหลา นนั้ เสยี แลวเขา สมาบัติคอื ทาํ ใหถงึ อัปปนาพรอ มกับทาํ นิมติ ใหเกิดขน้ึ ทเี ดยี ว. บทวา อชฺฌตตฺ อรูปสฺ ี ความวา ผูเดียวเวน บรกิ รรมสญั ญา
พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 268ในรปู ภายในเสีย เพราะไมไดห รือเพราะไมต องการ. บทวา พหิทธฺ ารปู านิ ปสสฺ ติ ความวา บรกิ รรมก็ดี นิมติ กด็ ี ของภกิ ษุใดเกดิ ขึ้นเฉพาะภายนอก ภิกษุนั้นทานเรยี กวา ผูเดยี ว มคี วามเขา ใจอรปู ในภายใน เหน็ รูปในภายนอก. คาํ ท่ีเหลอื ในสูตรนี้ มีนัยดังกลาวไวใ นอภภิ ายตนะท่ี ๔ น่นัแล. ก็บรรดารปู ท้ัง ๔ นี้ รูปทีเ่ ปน ปริตตารมณ มาดวยอํานาจวิตกจริต.รูปมากหลายไมมีประมาณ มาดวยอํานาจโมหจริต. รปู มีวรรณะดี มาดว ยอาํ นาจโทสจริต. รูปมีวรรณะทราม มาดวยอํานาจราคจรติ . เพราะรปูเหลา น้ี เปน สปั ปายะของจริตเหลาน้ี . ก็ความทร่ี ูปเหลานั้นเปนสัปปายะไดกลาวไวพ สิ ดารแลวในจรยิ นเิ ทศในวิสทุ ธมิ รรค. ในอภภิ ายตนะที่ ๕ เปนตน พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยตอ ไปน้ี :- บทวา นลี านิ กลา วเน่ืองดวยการถือเอาทง้ั หมด. บทวา นลี วณณฺ านิกลาวเนอ่ื งดว ยวรรณะ. บทวา นลี นทิ สสฺ นานิ กลาวเนื่องดวยเหน็ สีเขยี วอธิบายวา สไี มป ะปนกนั ปรากฏชดั เจน. เหน็ เปนสีเขียวสีเดยี วเทานน้ั .กบ็ ทวา นลี นภิ าสานิ กลา วเนื่องดวยแสง อธิบายวา ประกอบดว ยสีเขยี ว. ทา นแสดงวา อภิภายตนะเหลา นัน้ บริสุทธ์ิ ดวยบทวา นีล-นภิ าสานิ นี.้ กท็ านกลา วอภภิ ายตนะเหลา นน้ั ดว ยสีบริสุทธเ์ิ ทา นน้ั . กใ็ นอธกิ ารที่วา ดว ยอภิภายตนะนี้ การทํากสิณ การบรกิ รรม และวิธีถงึอปั ปนา มีอาทิวา เมื่อถือเอานีลกสณิ ยอมถือเอาตในดอกไม ผาหรือวรรณธาตุท่มี สี เี ขยี ว ดงั น้ีทงั้ หมด ไดกลา วไวแลวโดยพิสดารในวิสุทธมิ รรค. กอ็ ภภิ ายตนฌานทงั้ ๘ ประการนี้ เปนวัฏฏะบา ง เปน บาทของวฏั ฏะบาง เปนบาทของวปิ ส สนาบา ง เปนบาทของอภญิ ญาบาง แตพงึ ทราบวา เปน โลกิยะเทา นั้น ไมเปนโลกตระ.
พระสุตตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 269 ในบทวา รปู รปู านิ ปสฺสติ นี้ รูปฌานทเ่ี กดิ ดวยอาํ นาจนลี กสณิ เปน ตน ท่ผี มเปน ตนในภายใน ชอ่ื วา รูป. ชือ่ วา รูป เพราะอรรถวาเขามรี ูปฌานน้นั . บทวา พทิทฺธา รูปานิ ปสสฺ ติ ความวายอมเห็นรูปมีนลี กสิณเปน ตน ภายนอก ดว ยฌานจกั ษ.ุ ดวยบทน้ี ทานแสดงรปู าจรฌานแมท ง้ั ๔ ของบคุ คลผทู ําฌานใหเ กดิ ในกสิณอนั เปนวตั ถภุ ายในและภายนอก. บทวา อชฺฌตตฺ อรปู สฺ ี ความวา ไมม ีความเขาใจรปู ภายใน คือ รปู าวจรฌานอันไมเ กดิ ทผ่ี มเปน ตนของตน.ดวยบทน้ี ทานแสดงรปู าวจรฌานของบุคคลผกู ระทาํ บริกรรม ( กสิณ )ในภายนอกแลว ทาํ ฌานใหเกดิ ( ทก่ี สิณ ) ในภายนอกน่ันแหละ. ดวยบทวา สุภนเฺ ตว อธิมุตโฺ ต โหติ นี้ ทา นแสดงฌานในวณั ณกสิณมีนีลกสณิ เปน ตน อนั บริสทุ ธ์ิ. ในฌานเหลานนั้ ความคาํ นึงวางาม ยอมไมม ใี นภายในอัปปนาก็จรงิ ถงึ อยา งนน้ั ภิกษใุ ดทาํ ความงามอันบริสทุ ธด์ิ ใี หเปนอารมณของกสณิ อยู เพราะเหตทุ ภี่ กิ ษุนน้ั จะตอ งถกูเรียกวา เปน ผนู อ มใจไปวา งาม เพราะฉะน้ัน จึงตรัสเทศนาอยา งน้ัน.ก็ในปฏิสัมภิทามรรค ทา นพระสารีบตุ รกลาวไววา ชื่อวาวโิ มกข เพราะเปนผูนอ มใจไปวา งามอยา งไร. ภิกษุในพระศาสนาน้ี มจี ิตสหรคตดวยเมตตา ฯลฯ แผไปตลอดทิศหน่งึ อยู เพราะเปนผเู จรญิ เมตตา สตั วทั้งหลายจงึ เปน ผูไ มนารงั เกียจ. มจี ติ สหรคตดว ยกรุณา มทุ ติ า อเุ บกขาแผไ ป ฯ ล ฯ ตลอดทิศหนง่ึ อยู เพราะเปนผเู จริญกรณุ า มุทิตา อเุ บกขาสัตวทัง้ หลายจึงเปน ผไู มนารงั เกียจ, ชื่อวา วโิ มกข เพราะอรรถวา เปนผูนอ มใจวางามอยา งน้ี ดวยประการดงั กลาวนี้. คาํ ใดที่จะพึงกลา วในบทวาสพพฺ โส รปู สฺาน เปน ตน คาํ ทั้งหมดแมน น้ั ไดกลาวไวแลวใน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 270วิสทุ ธมิ รรคนั่นแล. กใ็ นบทวา ปวีกสิณ ภาเวติ นี้ ท่ชี ือ่ วา เพราะอรรถวาท้งั สิ้น. กสณิ มีปฐวเี ปน อารมณ ชอื่ วาปฐวีกสิณ. คาํ วา ปวกี สณิ ภาเวตินี้ เปนชื่อของบริกรรมวาปฐวกี ็มี ของอคุ คหนิมิตกม็ ี ของปฏิภาคนิมิตกม็ ี ของฌานอันทํานิมิตน้นั ใหเปน อารมณเกดิ ข้นึ ก็ม.ี แตใ นที่นี้ ทานประสงคเ อาฌานทม่ี ีปฐวีกสณิ เปน อารมณ. ภิกษุนั้นเจรญิ ปฐวีกสิณนนั้ . แมในอาโปกสณิ เปน ตน กม็ ีนยั น้ีเหมือนกัน. ก็ภกิ ษุเม่อื จะเจริญกสิณเหลา น้ี ชําระศีลแลวตง้ั อยใู นศีลอันบรสิ ุทธิ์ ตดั บรรดาปลโิ พธความกงั วล ๑๐ ประการที่มอี ยูนน้ั ออกไปเสีย แลวเขา ไปหากลั ยาณมิตรผูใหกรรมฐาน เรียนเอากรรมฐานทเ่ี ปน สปั ปายะโดยเกอ้ื กูลแกจรติ ของตนแลวละทีอ่ ยูอันไมเหมาะแกก ารบําเพ็ญกสิณ อยใู นที่อยูอันเหมาะสม ทําการตดั ความกังวลเล็ก ๆ นอย ๆ อยูท าํ ภาวนาวิธที ุกอยางใหเส่อื มไป พึงเจรญิ เถิด. นเ้ี ปนความยอในสตู รนี้ สวนความพสิ ดารไดก ลาวไวแลวในวิสุทธมิ รรค. ก็วิญญาณกสิณมาในวิสุธิมรรคนัน้ ทงั้ ส้นิ วญิ ญาณกสณิ นั้นโดยใจความก็คอื วิญญาณอนั เปน ไปในอากาสกสณิ . กว็ ิญญาณน้ันแล ทา นกลาวโดยเปนอารมณ ไมใชกลาวโดยเปน สมาบตั ิ. กภ็ ิกษุนีก้ ระทาํ วิญญาณกสณินน้ั ใหเปนวญิ ญาณไมมีทส่ี ดุ แลว เจริญวิญญาณจายตนะสมาบตั อิ ยูเรียกวาเจริญวิญญาณกสิณ. กสณิ ๑๐ แมน ี้ เปน วฏั ฏะบา ง เปน บาทของวฏั ฏะบา ง เปนบาทของวิปสสนาบาง เปนประโยชนแกก ารอยเู ปน สุขในปจ จุบันบาง เปน บาทของอภิญญาบาง เปนบาทของนิโรธบา ง เปนโลกิยะเทา นัน้ ไมเ ปน โลกตุ ระ.
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 271 บทวา อสุภสฺ ภาเวติ ความวา สัญญาอนั สหรคตดวยปฐมฌานซงึ่ เกิดในอารมณ ๑๐ มศี พที่ขน้ึ พองเปนตน เรยี กวา อสุภ. อบรมคอื พอกพนู เจรญิ อสภุ สญั ญาน้นั . อธิบายวา ทําอสภุ สัญญาทย่ี ังไมเกิดข้ึนตามรักษาอสุภสัญญาทเี่ กดิ ข้ึนแลวเอาไว. ก็แนวของการเจริญอสุภ ๑๐ทง้ั หมดกลา วไวพิสดารแลวในวสิ ทุ ธิมรรค. บทวา มรณสฺ ภาเวติ ความวา เจรญิ สัญญาอันทํามรณะแมทัง้ ๓ คือ สมมตุ ิมรณะ ขณกิ มรณะ สมุจเฉทมรณะใหเ ปนอารมณเกิดข้ึน อธิบายวา ทําสัญญาที่ยงั ไมเ กดิ ใหเกดิ ขน้ึ ตามรกั ษาสญั ญาที่เกดิ ข้ึนแลวเอาไว. มรณสตอิ ันมีลักษณะดังกลาวไวในหนหลงั นน่ั แหละเรียกวา มรณสญั ญาในที่นี้ . อธิบายวา เจริญมรณสัญญานน้ั ทาํ ใหเ กดิขึ้น ใหเ จรญิ ขึน้ . ก็นัยแหงการเจรญิ มรณสัญญานน้ั กลาวไวพ สิ ดารแลวในวิสทุ ธมิ รรคนั่นแล. บทวา อาหาเร ปฏิกูลสฺ ภาเวติ ความวา ยอ มเจริญสญั ญาอนั เกิดข้นึ แกภ ิกษุผูพจิ ารณาความปฏกิ ลู ๙ อยา ง มีปฏิกลู โดยการไปเปน ตน ในกวฬิงการาหารชนดิ ทกี่ ินและดมื่ เปน ตน อธิบายวา ทําใหเกิดขึ้น ใหเ จรญิ ขึน้ . นัยแหง การเจรญิ อาหาเรปฏิกูลสญั ญาแมนัน้ กไ็ ดกลาวไวอ ยา งพสิ ดารแลว ในวสิ ทุ ธิมรรคเหมือนกนั . บทวา สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ ภาเรติ ความวา เจริญอนภิรตสัญญา (ความสาํ คญั วา ไมนา ยนิ ดี) คืออุกกัณฐติ สัญญาในไตร-โลกธาตแุ มทงั้ สน้ิ . บทวา อนิจจฺ สฺ ภาเวติ ความวา เจริญสัญญาอนั เกดิ ข้ึนในขันธ ๕ วา ไมเท่ียง กําหนดพจิ ารณาความเกดิ ข้ึน ความเสอื่ มไป และความแปรปรวนแหง อุปาทานขนั ธ ๕. บทวา อนจิ ฺเจ
พระสตุ ตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 272ทุกฺขสฺ ภาเวติ ความวา เจริญสญั ญาอันเกิดข้ึนวา เปนทกุ ข กาํ หนดพจิ ารณาทุกขลักษณะคือความบบี ค้ัน ในขนั ธบัญจกอันไมเ ท่ยี ง. บทวา ทกุ เฺ ข อนตตฺ ส ภาเวติ ความวา เจรญิ สัญญาอันเกดิ ข้นึ วา เปน อนตั ตา อนั กาํ หนดพจิ ารณาอนัตตลกั ษณะ กลา วคอือาการอันไมอ ยใู นอาํ นาจ ในขนั ธบญั จกอนั เปนทกุ ขเ พราะอรรถวา บบี ค้นั .บทวา ปหานสฺ ภาเวติ ความวา เจริญสัญญาอนั ทําปหานะ ๕ อยางใหเปนอารมณเกดิ ขึ้น. บทวา วริ าคสฺ ภาเวติ ความวา เจริญสัญญาอนั กระทาํ วริ าคะ ๕ อยา งนนั่ แลใหเปน อารมณเ กิดขึน้ . บทวา นิโรธสฺ ภาเวติ ความวา เจริญสัญญาอันทําสงั ขาร-นโิ รธใหเปนอารมณเกดิ ข้ึน. บางอาจารยกลา ววา สัญญาอนั กระทําพระนพิ พานใหเ ปน อารมณเกดิ ขน้ึ ดงั นี้ก็มี. กใ็ นบทวา นิโรธสฺภาเวติ นี้ ทา นกลา วถึงวิปส สนาอนั แกกลา ดวยสญั ญาทั้ง ๓ น้ี คือสัพพโลเกอนภริ ตสญั ญา ๑ อนิจจสญั ญา ๑ อนจิ เจทกุ ขสัญญา ๑. ทา นกลา วซํา้ เฉพาะการปรารภวปิ สสนา ดวยสญั ญา ๑๐ ประการ มคี าํ วาอนิจฺจสฺ ภาเวติ ดังน้ีเปน ตน. บทวา พทุ ธฺ านสุ สฺ ติ เปน ตน ไดกลา วอธบิ ายความไวแ ลว . บทวา ปมชฌฺ านสหคต แปลวา ไป คือเปนไปพรอมกับปฐมฌาน อธิบายวา สมั ปยุตดวยปฐมฌาน. บทวา สทธฺ นิ ฺทรฺ ิย ภาเวติความวา เจรญิ สทั ธินทรยี ใ หสหรคตดว ยปฐมฌาน คืออบรม พอกพนูใหเ จริญ. ในบททุกบทมนี ัยดงั กลา วน.้ี จบอรรถกถาอปรอจั ฉราสงั ฆาตวรรค
พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 273 อรรถกถากายคตาสตวิ รรค๑ ในบทวา เจตสา ผโุ ฏ ( แผไปดวยใจ ) นี้ การแผมี ๒ อยางคอื แผไ ปดว ยอาโปกสิณ ๑ แผไปดว ยทิพยจักษุ ๑. ใน ๒ อยางนั้นการเขา อาโปกสิณแลวแผไ ปดว ยอาโป ช่ือวาแผด วยอาโปกสิณ. เม่ือมหาสมทุ รแมถ ูกแผไปดว ยการแผไปอยางน้ี แมน ํ้านอ ยทกุ สายทไี่ หลลงมหาสมทุ ร ยอมเปนอนั รวมเขาอยดู วย. ก็การเจริญอาโลกกสิณแลวเหน็สมุทรทง้ั ส้นิ ดวยจักษุ ชื่อวาแผด วยทพิ ยจักษุ เมอื่ มหาสมทุ รแมถกู แผไปดว ยการแผไปอยา งน้ี แมน ้าํ นอยทีไ่ หลลงมหาสมุทร ยอมเปน อนั รวมเขา ไวด วย. บทวา อนโฺ ตคธา ตสสฺ ความวา กศุ ลธรรมทั้งหลายยอมเปนอันหยัง่ ลงในภายในแหง การเจรญิ ของภกิ ษุนั้น. ในบทวา วชิ ชฺ าภาคยิ านี้ มวี ิเคราะหด งั ตอ ไปนี้ :- ชอื่ วา วิชชาภาคิยะ เพราะบรรจบวิชชา ดว ยการประกอบเขา กันได. ช่อื วาวชิ ชาภาคิยะ เพราะเปนไปในสวนแหงวิชชา คอื ในภาคของวิชชา. ในบทวา วชิ ชฺ าภาคิยา นั้น วิชชามี ๘คือ วปิ ส สนาญาณ ๑ มโนมยทิ ธิ ๑ อภญิ ญา ๖. โดยความหมายแรกธรรมที่สมั ปยตุ ดวยวิชชาเหลาน้นั เปน วชิ ชาภาคยิ ะ. โดยความหมายหลงัวชิ ชาขอ ใดขอหนงึ่ เพียรขอ เดยี วในบรรดาวชิ ชา ๘ นั้นเปน วิชชา. ธรรมที่เหลอื เปน วิชชาภาคยิ ะ คือเปน สวนแหงวชิ ชา. รวมความวา วิชชาก็ดีธรรมอนั สมั ปยุตดว ยวิชชาก็ดี พงึ ทราบวา เปนวิชชาภาคยิ ะท้งั นนั้ บทวา มหโต ส เวคาย แปลวา เพอื่ ประโยชนแกค วามสังเวชใหญ. แมใ นสองบทขา งหนา ก็มีนัยนี้เหมอื นกัน . กใ็ นอธิการนี้๑. บาลขี อ ๒๒๕- ขอ ๒๓๔, วรรคนร้ี วมอยูในปสาทกรธมั มาทิบาลี.
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 274วิปสสนา ช่อื วา ความสังเวชใหญ มรรค ๔ ชอ่ื วาประโยชนใ หญสามัญญผล ๔ ชือ่ วา ความเกษมจากโยคะใหญ. อกี อยางหน่งึ มรรคพรอ มกบั วิปสสนา ชอื่ วาความสงั เวชใหญ สามัญญผล ๔ ชอื่ วาประโยชนใหญ พระนิพพาน ช่ือวา ความเกษมจากโยคะใหญ. บทวา สตสิ มปฺ ชฺาย ไดแ ก เพื่อประโยชนแ กสติและญาณ.บทวา าณทสฺสนปฏิลาภาย คอื เพอื่ ทพิ ยจักขญุ าณ. บทวา ทฏิ -ธมมฺ สขุ วหิ าราย ไดแ ก เพอ่ื ตองการอยเู ปนสุขในอัตภาพที่ประจักษอยนู ้ีทเี ดยี ว. บทวา วิชฺชาวิมุตฺตผิ ลสจฺฉิกริ ยิ าย ไดแก เพือ่ ตอ งการทาํ ใหเ หน็ ประจกั ษซ ึง่ ผลของวชิ ชาและวมิ ุตต.ิ ก็ในบทวา วชิ ฺชาวมิ ุตตฺ ผิ ล-สจฉฺ กิ ิรยิ าย น้ี ปญญาในมรรค ชอื่ วาวชิ ชา. ธรรมทีเ่ หลืออันสมั ปยุตดว ยวชิ ชานั้น ชอ่ื วา วิมุตต.ิ อรหัตผล ช่อื วาผลของธรรมเหลา นนั้อธบิ ายวา เพือ่ ทําใหแจง อรหตั ผลนั้น. บทวา กาโยป ปสฺสมฺภติ ความวา ทัง้ นามกาย ทงั้ กรชั กายยอมสงบ. อธิบายวา เปน กายอันสงบแลว . บทวา วติ กกฺ วจิ าราปความวา ธรรมเหลา นี้ ชือ่ วา ยอมเขาไปสงบดว ยทตุ ยิ ฌาน. ก็ในทนี่ ้ีทานกลา วหมายเอาการเขา ไปสงบธรรมอยางหยาบ. บทวา เกวลา แปลวาทัง้ สนิ้ อธิบายวา ทั้งหมดไมเหลอื เลย. บทวา วชิ ฺชาภาคิยา คือเปนไปในสวนของวชิ ชา. ธรรมเหลา นนั้ ไดแ ยกแยะแสดงไวแ ลว ขางตน . บทวา อวิชฺชา ปหียติ ความวา ความมดื ตือ้ คอื ความไมรูอนั กระทําความมืดอยางมหันต เปนมลู รากของวัฏฏะในฐานะ ๘ ประการอนั ภกิ ษุยอ มละได. บทวา วชิ ฺชา อปุ ฺปชชฺ ติ ไดแก วชิ ชาในอรหตั -มรรค ยอ มเกดิ ขน้ึ . บทวา อสฺมิมาโน ปหยี ติ ความวา มานะ ๙ วา
พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 275เปน เราเปนตน อนั ภิกษุยอ มละได. บทวา อนสุ ยา ไดแก อนุสัย ๗.บทวา ส โยชนานิ ไดแ ก สังโยชน ๑๐. บทวา ปฺาปปฺ เภทายไดแก เพอ่ื ถึงความแตกฉานแหงปญ ญา. บทวา อนปุ าทาปรนิ ิพฺพานายแปลวา เพื่อตอ งการทําใหแ จง ปรินพิ พานอันหาปจ จัยมิได. บทวา อเนกธาตปุ ฏเิ วโธ โหติ ความวา ยอมมีความรแู จงแทงตลอดลกั ษณะของธาตุ ๑๘ ประการ. บทวา นานาธาตปุ ฏิเวโธ โหติความวา ยอ มมีการรแู จง แทงตลอดลักษณะโดยภาวะตาง ๆ แหงธาตุ ๑๘เหลา นั้นแหละ. ดวยบทวา อเนกธาตุปฏิสมฺภิทา โหติ นี้ ทานกลา วถงึ ความรปู ระเภทของธาตุ. ปญ ญาเปน เครื่องรวู า ธาตุนชี้ อื่ วามีเปนอนั มาก ช่ือวาธาตปุ เภทญาณ ความรปู ระเภทของธาต.ุ กค็ วามรูประเภทของธาตนุ ี้น้นั มิใชมีแกคนทัว่ ไป มโี ดยตรงแกพ ทุ ธะทัง้ หลายเทานัน้ . ความรปู ระเภทของธาตุนั้นพระสมั มาสัมพทุ ธเจามิไดต รัสไวโ ดยประการทงั้ ปวง (โดยเฉพาะ ). ถามวา เพราะเหตไุ ร. ตอบวา เพราะเมอื่ ตรสั ไว กไ็ มมปี ระโยชน. บท ๑๖ บทมีอาทวิ า ปฺ าปฏลิ าภาย ดังนไี้ ป ทานตง้ั หวั ขอแลว ขยายความพสิ ดารไวในปฏสิ ัมภิทามรรคอยางนว้ี า สัปปุรสิ ปู สงั เสวะคบสัตบรุ ุษ ๑ สัทธัมมสวนะ ฟงธรรมของสตั บรุ ษุ ๑ โยนโิ สมนสกิ าระใสใจโดยแยบคาย ๑ ธมั มานธุ ัมมปฏิปต ติ ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธรรม ๑(และหัวขออยา งนวี้ า ) ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ธรรม ๔ ประการนีแ้ ลที่บุคคลอบรมแลว ทาํ ใหมากแลว ยอ มเปน ไปเพอื่ ไดเฉพาะปญญา ฯ ล ฯยอมเปน ไปเพ่ือความเปน ผูมีปญ ญาชําแรกกเิ ลส. สมจริงดังทที่ านพระธรรมเสนาบดีสารบี ุตรกลา วไว ในบทวา
พระสตุ ตันตปฎก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 276ปฺ าปฏลิ าภาย ส วตตฺ นตฺ ิ ดังน้ี การไดเ ฉพาะปญ ญาเปน ไฉน.การได การไดเ ฉพาะ การถงึ การถงึ พรอ ม การถูกตอ ง การทาํ ใหแ จงการเขา ถงึ มรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภทิ าญาณ ๔ อภญิ ญาญาณ ๖ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗. น้ีช่ือวาการไดเฉพาะปญญา ในบทวา ยอมเปนไปเพ่ือไดเ ฉพาะปญ ญา. ในบทวา ปฺ าวฑุ ฒฺ ยิ า ส วตฺตนฺติ ดงั นี้ ความเจรญิ ปญ ญาเปน ไฉน. ปญญาของพระเสกขะ ๗ จําพวก และของกลั ยาณปถุ ชุ นยอ มเจริญ แตป ญ ญาของพระอรหนั ตเ ปน วัฑฒนาปญ ญา (คอื ปญญาอนัเจริญเตม็ ท่แี ลว) น้ชี อ่ื วา ความเจรญิ ปญญา ในบทวา ยอมเปน ไปเพอ่ืความเจรญิ ปญ ญา. ในบทวา ปฺ าเวปุลฺลาย ส วตฺตนตฺ ิ ดังน้ี ความไพบูลยแหง ปญ ญาเปนไฉน. ปญ ญาของพระเสกขบคุ คล ๗ พวก. และของกัลยาณปถุ ุชน ยอ มถึงความไพบูลย ปญ ญาของพระอรหนั ต ถึงความไพบูลยแลว นช้ี ่อื วาความไพบลู ยแหงปญ ญา ในบทวา ยอมเปนไปเพ่ือความไพบลู ยแหงปญ ญา. ในบทวา มหาปฺตาย ส วตฺตนตฺ ิ ดงั นี้ ปญญาใหญเปน ไฉน.ชื่อวา ปญญาใหญ เพราะกําหนดถอื เอาประโยชนใ หญ ชอื่ วา ปญ ญาใหญเพราะกาํ หนดถอื เอาธรรมใหญ ฯลฯ นิรุตตใิ หญ ปฏภิ าณใหญ กองศีลใหญ กองสมาธิ ปญญา วิมตุ ติ และวิมุตตญิ าณทสั สนะใหญ ฐานะและอฐานะใหญ วิหารสมาบัตใิ หญ อรยิ สจั ใหญ สตปิ ฏ ฐาน สมั มปั ปธานและอทิ ธิบาทใหญ อินทรยี พละใหญ โพชฌงคใ หญ อริยมรรคใหญสามัญผลใหญ มหาอภิญญาใหญ พระนพิ พานอนั เปนประโยชนอัน
พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 277ยิ่งใหญ. นชี้ อื่ วา ปญญาใหญ ในบทวา ยอ มเปนไปเพื่อความเปน ผูมีปญญาใหญ. ในบทวา ปถุ ปุ ฺญตาย ส วตตฺ ติ ดังนี้ ปญ ญามากเปน ไฉน.ชื่อวาปญ ญามาก เพราะญาณยอมเปนไปในขนั ธตา ง ๆ มาก. ชอ่ื วาปญ ญามาก เพราะญาณยอมเปน ไปในธาตตุ า ง ๆ มาก ในอายตนะตาง ๆมาก ในปฏิจจสมุปบาทตา ง ๆ มาก ในการไดส ญุ ญตะตาง ๆ มาก ในอรรถ ธรรม นริ ตุ ติ ปฏภิ าณมาก ในสลีขนั ธ สมาธิขันธ ปญ ญาขนั ธวมิ ุตติขันธ และวมิ ุตติญาณทัสสนขนั ธต าง ๆ มาก ในฐานะและอฐานะตา ง ๆ มากในวิหารสมาบัติตาง ๆ มาก ในอริยสัจตาง ๆ มาก ในสติปฏ ฐาน สมั มัปปธาน อิทธิบาท อินทรยี พละ โพชฌงคต าง ๆ มากในอรยิ มรรคตาง ๆ มาก ในสามัญญผลตา ง ๆ มาก ในอภิญญาตาง ๆมาก.ชือ่ วา ปญ ญามาก เพราะญาณเปน ไปในพระนพิ พานอนั เปน ประโยชนอยางยิ่ง ลว งธรรมอนั ทวั่ ไปแกช นตา ง ๆ มาก. นี้ชอ่ื วาปญญามากในบทวา ยอ มเปน ไปเพื่อความเปน ผูมีปญญามาก. ในบทวา วปิ ุลปฺาย ส วตตฺ ติ ดังน้ี ปญ ญาไพบูลยเปน ไฉน.ช่ือวาปญ ญาไพบูลย เพราะกําหนดถอื เอาประโยชนอ ันไพบูลย ฯลฯช่ือวาปญ ญาไพบลู ย เพราะกําหนดถอื เอาพระนิพพานอนั มปี ระโยชนย ่ิงไพบูลย น้ีชอื่ วา ปญญาไพบลู ย ในบทวา ยอมเปน ไปเพ่ือความเปนผูมีปญญาไพบูลย. ในบทวา คมภฺ ีรปฺตาย ส วตตฺ นตฺ ิ ดงั นี้ ปญ ญาลึกซึ้งเปนไฉน. ช่ือวา ปญญาลกึ ซง้ึ เพราะญาณเปน ไปในขนั ธท้งั หลายอันลกึ ซ้ึง.ความพิสดารเหมอื นกบั ขอ ท่วี า ดวยปญ ญามาก. ชอื่ วาปญญาลกึ ซงึ้ เพราะ
พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 278ญาณยอ มเปน ไปในพระนิพพานอนั มปี ระโยชนอยา งย่งิ ลึกซ้งึ . น้ชี ื่อวาปญญาลกึ ซง้ึ ในบทวา ยอมเปนไปเพ่อื ความเปนผูม ีปญ ญาลกึ ซง้ึ . ในบทวา อสสฺ ามนฺตปฺ ตาย ส วตตฺ นฺติ ดังนี้ ปญญาเทยี มกันไดเ ปน ไฉน. บุคคลใดบรรลุ กระทําใหแ จง ถกู ตอ งดวยปญ ญา ซึ้งอตั ถปฏสิ ัมภทิ า โดยการกาํ หนดรอู รรถ บรรลุ กระทําใหแ จง ถูกตอ งดว ยปญ ญา ซงึ่ ธรรม นริ ตุ ติ ปฏภิ าณ โดยกําหนดรูธรรม นิรุตติ และปฏิภาณ ใคร ๆ อนื่ ยอ มไมอาจครอบงาํ อรรถ ธรรม นริ ตุ ติ และปฏิภาณของบคุ คลนัน้ และบุคคลนน้ั เปนผูอ นั คนทั้งหลายอน่ื ไมพ ึงครอบงําได เพราะฉะนั้น บุคคลนัน้ จงึ ช่อื วาผมู ปี ญญาไมเ ทยี บกนั ได. ปญญาของกลั ยาณปุถุชน ไกล หา งไกล ไกลแสนไกล ไมใกลไมใกลเคียงกบั ปญ ญาของพระอรยิ บคุ คลที่ ๘, เมอื่ เทยี บกับกัลยาณปุถุชนพระอริยบุคคลท่ี ๘ ชอ่ื วาเปนผมู ปี ญญาไมเ ทียบกันได. ปญญาของพระอรยิ บคุ คลที่ ๘ ไกล ฯลฯ ปญ ญาของพระโสดาบัน. เม่อื เทียบกบัพระอรยิ บคุ คลท่ี ๘ พระโสดาบนั ชื่อวา เปนผูมปี ญญาไมเ ทยี บกนั ได.ปญญาของพระโสดาบันไกล ฯลฯ ปญ ญาของพระสกทาคามี ปญ ญาของพระสกทาคามไี กล ฯลฯ ปญ ญาของพระอรหนั ต. ปญญาของพระ-อรหนั ตไ กล หา งไกล ไกลแสนไกล ไมใ กล ไมเฉยี ดปญ ญาของพระ-ปจ เจกพุทธเจา. เม่ือเทยี มกนั พระอรหนั ต พระปจ เจกพุทธเจา ชือ่ วาเปนผมู ีปญญาไมเ ทยี บกันได. เมอ่ื เทยี บกบั พระปจเจกพทุ ธเจา และชาวโลกพรอมทัง้ เทวดา พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา เปนผมู พี ระปญญาไมมขี องใครเทียบได เปนชนั้ เลศิ .
พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 279 พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา ทรงฉลาดในประเภทของปญ ญาทรงมีพระญาณแตกฉาน ฯล ฯ บณั ฑิตเหลานั้นแตง ปญหาแลว เขา ไปเฝา พระตถาคต ทลู ถามทง้ั ขอลีล้ ับและปกปด ปญ หาเหลา น้ันที่พระผู-มีพระภาคเจา ตรสั บอกและทรงตอบแลว ยอ มเปน อนั ทรงช้ีเหตใุ หเหน็ ชดัและปญหาที่เขายกข้ึนน้นั พระผมู ีพระภาคเจา ก็ทรงตอบไดส มบรู ณ โดยแทจ ริงแลว ในปญหาน้ัน พระผมู ีพระภาคเจา ทรงทราบแจม แจงดวยพระปญญา เพราะเหตุนั้น จงึ ชอ่ื วา มพี ระปญญาไมม ขี องใครเทยี บไดเปนชน้ั เลิศ น้ีช่อื วาปญ ญาไมมขี องใครเทยี บได ในบทวา ยอ มเปนไปเพ่อื ความเปน ผมู ีปญญาไมม ขี องใครเทยี บได. ในบทวา ภูรปิ ฺตาย ส วตตฺ นตฺ ิ ดังนี้ ภรู ปิ ญ ญาเปนไฉน.ชอ่ื วา ภูริปญญา เพราะครอบงําราคะอยู. ชื่อวาภรู ปิ ญ ญา เพราะครอบงาํ ราคะไดแ ลว . ชอ่ื วาภรู ปิ ญ ญา เพราะยอ มครอบงาํ โทสะ โมหะโกธะ อุปนาหะ มกั ขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉรยิ ะ มายา สาไถยถมั ภะ สารัมภะ นานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทจุ ริตทัง้ ปวง อภิสงั ขารทั้งปวง ฯ ล ฯ กรรมอันเปนเหตนุ าํ ไปสภู พทัง้ ปวง.ชือ่ วา ภูรปิ ญญา เพราะครอบงาํ แลว. ราคะ ช่ือวา เปน อริ. ปญญาอนั ยาํ่ ยีอริน้นั เหตุน้ัน ชอื่ วาภูริปญญา. โทสะ โมหะ ฯลฯ กรรมเปน เหตุนําไปสภู พทัง้ ปวง ชอ่ื วา เปนอริ ปญ ญาอันย่ํายอี รนิ ั้น เหตนุ นั้ ชอ่ื วาภรู ิปญ ญา. แผนดนิ เรยี กวา ภรู ิ ผปู ระกอบดวยปญญาอันแผไปกวา งขวางเสมอแผนดนิ นั้น เหตุน้ัน จึงชอื่ วา ภรู ปิ ญ โญ ผูม ปี ญญาเสมอแผน ดิน.อีกอยางหน่งึ คาํ นี้คือ ภูริ เมธา ปรณิ ายกิ า เปน ชื่อของปญญา. นี้ชอื่ วา ภรู ปิ ญ ญา ในบทวา ยอ มเปน ไปเพื่อความเปน ผมู ีภรู ปิ ญญา.
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 280 ในบทวา ปญฺ าพาหุลลฺ าย ส วตฺตนฺติ ดังน้ี ความเปน ผมู ากดวยปญ ญาเปนไฉน. บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน ผูห นกั ในปญ ญา เปนผมู ปี ญ ญาเปน จริต มปี ญ ญาเปน ทอี่ าศยั นอมใจไปในปญ ญา มปี ญ ญาเปน ธงชยั มีปญญาเปน ยอดธง มีปญ ญาเปน อธบิ ดี มากดว ยการวิจยัมากดวยการคนควา มากดว ยการพิจารณา มากดวยการเพงพินิจ มีการเพงพนิ ิจเปน ธรรมดา อยดู ว ยปญญาอนั แจมแจง และประพฤตใิ นปญญานนั้ หนกั ในปญญานน้ั มากดวยปญ ญานนั้ นอมไปในปญญานนั้โนม ไปในปญ ญานัน้ เงื้อมไปในปญ ญานัน้ นอมใจไปในปญญานัน้มปี ญญาน้ันเปน อธบิ ดี อุปมาเหมือนภกิ ษผุ หู นกั ในหมูคณะ ก็เรียกวา ผูมากดว ยหมูค ณะ ผหู นกั ในจีวร ผูห นกั ในบาตร ผูหนักในเสนาสนะกเ็ รยี กผมู ากดวยเสนาสนะ ฉนั ใด บุคคลบางคนในโลกนีก้ ฉ็ ันนน้ั เหมอื นกนั เปนผหู นกั ในปญ ญา มปี ญญาเปนจรติ ฯลฯ มปี ญ ญาเปน อธิบดี.น้ชี ่ือวา ความเปนผูมากดวยปญญา ในบทวา ยอ มเปน ไปเพื่อความเปน ผูมากดวยปญ ญา. ในบทวา สีฆปฺตาย ส วตฺตนตฺ ิ ดงั นี้ ปญ ญาเร็วเปน ไฉน.ช่อื วา ปญญาเรว็ เพราะทําศีลใหบ รบิ รู ณร วดเร็ว. ชื่อวา ปญญาเรว็เพราะทําอนิ ทรียสงั วร โภชเนมัตตัญตุ า ชาครยิ านโุ ยค ศลี ขันธสมาธิขันธ วิมตุ ตขิ ันธ วมิ ุตติญาณทัสสนขันธใหบ รบิ รู ณรวดเร็ว. ชอื่ วาปญญาเร็ว เพราะแทงตลอดฐานะและอฐานะไดรวดเร็ว เพราะทําวหิ าร-สมาบัติใหบรบิ ูรณไ ดรวดเรว็ เพราะแทงตลอดอรยิ สัจไดร วดเรว็ เพราะเจรญิ สตปิ ฏ ฐานไดรวดเร็ว เพราะเจริญสมั มปั ปธาน อิทธบิ าท อินทรยี พละ โพชฌงค อรยิ มรรคไดรวดเรว็ . ช่อื วา ปญ ญาเร็ว เพราะทาํ ให
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 281แจงสามญั ญผลไดร วดเร็ว ชอื่ วา ปญญาเร็ว เพราะแทงตลอดอภิญญาไดร วดเร็ว ช่อื วา ปญ ญาเรว็ เพราะทาํ ใหแ จง พระนพิ พานอันเปนประ-โยชนอยางยงิ่ ไดรวดเรว็ . นชี้ ่ือวา ปญญาเร็ว ในบทวา ยอ มเปนไปเพอ่ืความเปนผูม ีปญญาเรว็ . ในบทวา ลหุปฺตาย ส วตฺตนฺติ ดงั น้ี ปญ ญาฉบั พลนั เปนไฉน.ฉับพลัน ฯลฯ ช่ือวา ปญญาฉับพลนั เพราะทําใหแ จงพระนพิ พานอนั เปนประโยชนอยางย่งิ ไดฉ บั พลนั . นี้ชอื่ วา ปญ ญาฉนั พลัน ในบทวายอมเปนไปเพอ่ื ความเปน ผูมีปญ ญาฉบั พลัน. ในบทวา หาสปฺตาย ส วตตฺ นฺติ ดงั นี้ ปญ ญารา เรงิ เปนไฉน.ชอื่ วา ปญ ญาราเริง เพราะบคุ คลบางคนในโลกนี้ มคี วามราเริงมาก มีความอมิ่ ใจมาก มีความยินดมี าก มีความปราโมทยม าก บําเพญ็ ศีลทงั้ หลายใหบริบูรณ ฯลฯ ชอื่ วา ปญ ญาราเรงิ เพราะทาํ ใหแจงพระ-นิพพานอันเปน ประโยชนอยา งยิง่ . นี้ช่อื วา ปญญารา เรงิ ในบทวา ยอ มเปน ไปเพ่ือความเปน ผมู ปี ญ ญารา เริง. ในบทวา ชวนปฺ ตาย ส วตตฺ นฺติ ดงั นี้ ปญ ญาแลน เปนไฉน.ชอ่ื วา ปญ ญาแลน เพราะรปู อยางใดอยา งหนึง่ ทเี่ ปน อดตี อนาคต และปจจบุ ัน เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณอยางใดอยางหนึ่ง ท่เี ปน อดีตอนาคต และปจจบุ ันเปนภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยทู ไี่ กลหรอื ใกล ปญญาพลนั แลนไปยงั วญิ ญาณทง้ั ปวงโดยความเปน ของไมเทยี่ ง. ช่ือวา ปญ ญาพลนั แลน เพราะพลนั แลน ไปโดยความเปนทกุ ข โดยความเปน อนัตตา. ชือ่ วา ปญ ญาพลนั แลน เพราะพลันแลน ไปยังจกั ษุ ฯลฯ ชราและมรณะ อนั เปน อดตี อนาคต และ
พระสตุ ตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 282ปจ จบุ นั โดยความเปน ของไมเทีย่ ง โดยความเปน ทกุ ข โดยความเปนอนัตตา. ช่อื วา ปญญาพลันแลน เพราะเทียบเคียง พจิ ารณา รูแจงทําใหแ จมแจงรปู ทีเ่ ปนอดีต อนาคต และปจ จุบนั วาไมเ ท่ียง เพราะอรรถวาส้ินไป วา เปนทกุ ข เพราะอรรถวา นากลวั วาเปน อนัตตา เพราะอรรถวา ไมมีแกน สาร แลว พลนั แลนไปในพระนพิ พานอันเปน ทดี่ ับรูปฯลฯ ชือ่ วา ปญญาพลนั แลน เพราะพลันแลน ไปยังพระนพิ พานอันเปนที่ดับชราและมรณะ. ชื่อวา ปญญาพลันแลน เพราะเทยี บเคยี ง พิจารณารแู จง ทําใหเเจมแจง รปู ฯลฯ ชราและมรณะ ทัง้ อดตี อนาคต ปจจุบันไมเที่ยง ถกู ปรุงแตง อาศยั กันเกิดขน้ึ มีความเส่อื มเปน ธรรมดามคี วามส้นิ เปน ธรรมดา มีความคลายไปเปน ธรรมดา มีความคบั ไปเปนธรรมดา แลวพลนั แลนไปยงั พระนิพพานอนั เปน ท่ีดบั ชราและมรณะนช้ี อื่ วา ปญ ญาพลันแลน ในบทวา ยอมเปน ไปเพื่อความเปน ผูมีปญ ญาแลน พลัน ในบทวา ติกฺขปฺตาย ส วตตฺ นตฺ ิ ดังน้ี ปญ ญากลาเปน ไฉน.ช่อื วา ปญ ญากลา เพราะตัดกเิ ลสไดไว. ชอื่ วา ปญญากลา เพราะไมรับละท้ิง บรรเทา ทาํ ใหส ิน้ สดุ ใหถงึ ความไมมตี อไป ซ่งึ กามวิตก พยาบาท-วติ ก วหิ ิงสาวติ ก อกุศลบาปธรรมทเี่ กิดขน้ึ แลว เกดิ ขน้ึ เลา ช่ือวา ปญญากลา เพราะไมรับไว ละทิ้งไป บรรเทาได ทําใหส้ินสุดไป ใหถึงความไมมีตอ ไป ซ่งึ ราคะ โทสะ โมหะทีเ่ กดิ ขึ้นแลวเกดิ ขน้ึ เลา ฯลฯ ซ่ึงกรรมเปน เหตไุ ปสูภพทง้ั ปวง. ชือ่ วา ปญ ญากลา เพราะบรรลุ ทําใหแจงถกู ตอ งดวยปญญา ซ่ึงอริยมรรค ๔ สามญั ญผล ๔ ปฏิสมั ภิทา ๔อภญิ ญา ๖ บนอาสนะเดยี ว. นี้ชื่อวา ปญ ญากลา ในบทวา ยอ มเปน ไป
พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 283เพอื่ ความเปนผมู ีปญญากลา . ในบทวา นพิ เฺ พธิกปฺยตาย ส วตตฺ นฺติ ดงั นี้ ปญ ญาเครอ่ื งทําลายกเิ ลสเปนไฉน. ชือ่ วา ปญ ญาเครอ่ื งทําลายกเิ ลส เพราะบคุ คลบางคนในโลกน้ี เปนผูหวาดเสยี วมาก เปนผสู ะดงุ มาก เปน ผกู ระสันมากเปน ผูมากดว ยความไมย นิ ดี มากไปดว ยความไมยินดยี งิ่ ในสงั ขารทั้งปวงเปน ผหู ันหนาออก ไมยินดใี นสงั ขารทงั้ ปวง. แทง ทาํ ลายกองโลภซ่งึยังไมเคยแทงยงั ไมเ คยทําลาย. ชอ่ื วา ปญญาเคร่ืองทาํ ลายกิเลส เพราะแทงทาํ ลายกองโทสะ กองโมหะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ กรรมอนั เปนเครอ่ื งไปสูภ พท้งั ปวงท่ไี มเ คยแทง ที่ไมเคยทําลาย. นซี้ ่ึงวา ปญญาเครื่องทาํ ลายกเิ ลส ในบทวา ยอ มเปนไปเพื่อความเปนผูมปี ญญาเครือ่ งทําลายกเิ ลส. พงึ ทราบเนื้อความในอธิการท่ีวาดว ยปญญานี้ โดยนยั ดังกลาวไวในปฏสิ ัมภิทามรรคดวยประการอยา งน้ี. กใ็ นปฏิสัมภิทามรรคนัน้ เปนพหพู จนอยา งเดยี ว ในสูตรนเ้ี ปนเอกพจน ดังนั้น ความตา งกันในเรอ่ื งปญ ญานม้ี เี พยี งเทา น้.ี คาํ ท่เี หลือเหมอื นกนั ทง้ั นั้นแล. กแ็ หละมหาปญ ญา๑๖ ประการน้ี ทา นกลา วคละกนั ทง้ั โลกิยะและโลกตุ ระ. จบอรรถกถากายคตาสตวิ รรค
พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 284 อรรถกถาอมตวรรค๑ บทวา อมตนเฺ ต ภิกขฺ เว ปรภิ ุ ฺชนฺต ความวา ชนเหลา นัน้ชือ่ วา ยอ มบรโิ ภคพระนิพพานอนั ปราศจากมรณะ. ถามวา ก็พระนิพพานเปน โลกุตระ กายคตาสติเปน โลกยิ ะ มใิ ชห รอื ชนผบู รโิ ภคกายคตาสตินั้น ชื่อวา บรโิ ภคอมตะไดอ ยา งไร. ตอบวา เพราะตอ งเจริญกายคตาสติจงึ จะบรรลุ (อมตนิพพาน). จรงิ อยู ผูเจรญิ กายคตาสตยิ อมบรรลอุ มตะไมเจริญกไ็ มบ รรลุ เพราะฉะนน้ั จงึ ตรสั อยางน้นั . พงึ ทราบเน้ือความในบททง้ั ปวง โดยอุบายดังกลา วนี.้ อีกอยา งหนึ่ง บทวา วิรพธ ในสตู รนี้ ไดแ กบ กพรอ งแลว คอืไมบรรล.ุ บทวา อารทธฺ ไดแ ก บรบิ รู ณแ ลว . บทวา ปมาทสึ ุ ไดแ กเลนิ เลอ. บทวา ปมุฏ แปลวา หลงลืม ซานไป หรอื หายไป. บทวาอาเสวติ แปลวา สอ งเสพมาแตตน. บทวา ภาวิต แปลวา เจริญแลว.บทวา พหลุ ีกต แปลวา ทาํ บอ ย ๆ. บทวา อนภิ ฺาต แปลวา ไมรูดวยญาตอภิญญา (รูยงิ่ ดว ยการรู ). บทวา อปริ ฺาต แปลวา ไมกาํ หนดรูดวยญาตปริญญา (กําหนดรดู ว ยการรู) นัน้ แหละ. บทวาอสจฺฉิกต แปลวา ไมทําใหประจกั ษ. บทวา สจฺฉกิ ต แปลวา ทาํ ใหประจักษ. คาํ ท่เี หลือทุกแหงมีความงายทง้ั น้ันแล. จบอรรถกถาอมตวรรค จบอรรถกถาเอกนบิ าตประมาณ ๑,๐๐๐ สตู ร ใน มโนรถปูรณี อรรถกถาองั คุตตรนกิ าย๑. บาลี ขอ ๒๓๕ - ๒๔๖ วรรคนร้ี วมอยใู นปสาทกรธัมมาทิบาลี.
พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 285 พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตตรนกิ าย ทกุ นิบาตขอนอบนอ มแดพระผูมีพระภาคอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจาพระองคน ัน้ ปฐมปณ ณาสก กัมมกรณวรรคท่ี ๑ สตู รที่ ๑ วาดว ยโทษทเ่ี ปนไปในปจจุบันและภพหนา [๒๔๗๑] ๑.. ขาพเจาไดสดับมาแลว อยา งนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระวิหารเชตวนั อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวตั ถ.ี ณ ท่นี ัน้ แล พระผูมพี ระ-ภาคเจา ไดตรสั เรยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายวา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษเุ หลา นั้นทูลรบั สนองพระผมู พี ระภาคเจาแลว พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รัสวา ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย โทษ ๒ อยางนี้ โทษ ๒ อยา งเปน ไฉน คอื โทษท่ีเปนไปในปจจุบนั ๑ โทษทเี่ ปน ไปในภพหนา ดกู อนภิกษุทั้งหลาย กโ็ ทษที่เปนไปในปจ จุบันเปนไฉน บคุ คลบางคนในโลกนี้ เห็นโจรผปู ระพฤติความช่ัว พระราชาจับไดแลว รบั ส่ังใหท าํ กรรมกรณนานาชนิด คอื๑. เลขในวงเลบ็ เปน เลขขอในพระบาลี เลขนอกวงเล็บเปน เลขลําดบั สตู ร.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 511
Pages: