Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_33

tripitaka_33

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_33

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 151พระชนมอ ยู. บทวา สงฆฺ  ภนิ ฺเทยฺย ไดแ ก ทาํ สงฆผมู ีสังวาสธรรมเปน เครือ่ งอยรู วมเสมอกนั ผตู ัง้ อยใู นสมี าทเ่ี สมอกัน ใหแตกกันดว ยอาการ ๕อยา ง. จรงิ อยู พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสคํานี้ ไวว า ดูกอนอบุ าลี สงฆยอมแตกกันดว ยอาการ ๕ คอื ดวยกรรม ดว ยอุเทศ ดว ยการช้ีแจงดว ยประกาศ ดวยจบั สลาก. บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา กมเฺ มนไดแก ดวยกรรมทั้ง กรรมใดกรรมหน่ึง. บทวา อุทเฺ ทเสนไดแก ดวยปาติโมกขทุ เทส ๕ อุเทศอยา งหนึ่ง. บทวา โวหารนโฺ ตไดแก ดว ยการชแี้ จง คือแสดงเภทกรวัตถเุ รื่องทําใหแตกกนั ๑๘อยาง มีแสดงวา อธรรมเปนธรรมเปน ตน ดวยอุปบัติเหตเุ กดิ เร่อื งน้นั ๆ.บทวา อนุสฺสาวเนน ไดแก ทาํ การเปลง ถอ ยคําประกาศโดยนัยเปนตนวาพวกทานทราบกนั หรอื วา เราบวชมาแตตระกลู สูง และเปนพหูสตูพวกทา นไมค วรเกิดจิตคิดวา คนเชน เราจะพงึ ถอื สัตถุศาสนคาํ สอนของพระศาสดานอกธรรม นอกวินัย อเวจสี ําหรบั เราเปนของเยน็ เหมอื นสวนอบุ ลขาบหรอื เราไมกลัวอบายหรือ. บทวา สลากคาเหน ไดแ กดว ยการประกาศอยา งนีแ้ ลว ทาํ จติ ของภกิ ษเุ หลานั้นใหม ่ันคง กระทาํ ใหเปนธรรมไมกลบั กลอกแลว ไดจับสลากดว ยกลา ววา พวกทานจงจับสลากนี้. ก็บรรดาอาการท้ัง ๕ น้นั กรรมหรอื อุเทศเทา นน้ั ควรถือเปนประมาณ. สวนการกลาว การประกาศ และการใหจ ับสลากเปน สวนเบ้ืองตน . ดวยวา แตเม่ือสงฆก ลา วดว ยอาํ นาจแสดงเรือ่ ง ๑๘ ประการประกาศชกั ชวนเพื่อใหเ กดิ ความชอบใจในเร่ืองนั้น จับสลากกนั แลว ก็

พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 152ยังไมชอ่ื วาทาํ สงฆใหแ ตกกัน . ตอเม่ือใด ภิกษุ ๙ รูป หรือเกิน ๔ รูปจับสลากแลว กระทํากรรม (สังฆกรรม ) หรอื อุเทศแยกกันตา งหากเม่ือนนั้ จงึ ชื่อวา ทําสงฆใหแ ตกกัน . ขอ วา บุคคลผถู ึงพรอมดว ยทิฏฐิอยา งนี้ พงึ ทาํ สงฆใหแตกกันนม้ี ใิ ชฐานะ. ดว ยคาํ มปี ระมาณเทา นี้ กเ็ ปนอันทรงแสดงอนันตริยกรรม ๕ มมี าตุฆาตฆา มารดาเปนตน . ปุถชุ นทาํอนันตรยิ กรรมเหลาใดได แตอนันตรยิ กรรมเหลา นนั้ พระอรยิ สาวกไมท ํา.เพอื่ ความแจม แจง แหงอนันตรยิ กรรม ๕ นัน้ พึงทราบวนิ จิ ฉัย โดยกรรมโดยทวาร โดยการต้ังอยใู นอเวจีตลอดกปั โดยวบิ าก โดยสาธารณะเปน ตน . ในเหตเุ หลานัน้ พึงทราบวนิ ิจฉัยโดยกรรมกอน. แทจริง ผูท ่ีเปนมนุษยทา นนนั้ ปลงชวี ิตมารดาหรอื บิดาผูเ ปน มนุษย ซ่ึงยงั ไมเปล่ียนเพศจากมนุษย จงึ เปน อนนั ตรยิ กรรม. ผูทาํ อนันตริยกรรม คิดวา เราจกั หา มวิบากของกรามน้ัน ดังน้ี จึงสรางสถปู ทองคําขนาดเทา พระมหา-เจดียใหเต็มหวงจกั รวาลทงั้ สน้ิ กด็ ี ถวายมหาทานแดพ ระภกิ ษสุ งฆทนี่ ั่งเต็มสากลจักรวาลก็ดี ไมละชายผาสังฆาฏขิ องพระผูมีพระภาคพทุ ธเจา เท่ยี วไปกด็ ี เมอ่ื กายทําลายแตกตายไปกเ็ ขาถึงนรกเทา นั้น. สวนผูใ ด ตนเองเปนมนษุ ย ปลงชวี ติ มารดาหรือบิดาผเู ปนสัตวด ริ ัจฉานกด็ ี ตนเองเปนสัตวดริ จั ฉานปลงชวี ิตมารดาหรอื บดิ าผูเปน มนษุ ยก็ดี ตนเองเปน สตั วดิรัจฉานดว ยกันก็ดี กรรมของผูนั้นไมเปนอนนั ตริยกรรม แตเปน กรรมหนกั ต้งั จดอนนั ตริยกรรมทีเดยี ว. แตป ญ หาน้ี ทา นกลาวสาํ หรับผทู ีเ่ ปนมนษุ ย. ในปญ หาน้ันควรกลาวเรื่องเอฬกจตกุ กะ สังคามาจตุกกะ และโจร-จตุกกะ กบ็ คุ คลแมเขาใจวา เราจะฆาแลว ฆา มารดาหรือบิดาผเู ปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 153มนษุ ย ซึ่งตงั้ อยใู นทีอ่ ยขู องแพะ ชื่อวาตองอนนั ตรยิ กรรม. บคุ คลผฆู าแพะดวยเขา ใจวาเปน แพะ หรอื ดวยเขาใจวา เปน มรรคหรอื บิดา ชือ่ วาไมต อ งอนนั ตริยกรรม. บุคคลผฆู ามารดาหรอื บดิ าโดยเขา ใจวาเปนมารดาหรือบดิ า ชอ่ื วาตอ งอนนั ตรยิ กรรมโดยแท. ใน ๒ จตกุ กะนอกนี้กน็ ัยนี้เหมอื นกนั . พงึ ทราบจตุกกะเหลา นีแ้ มใ นพระอรหันต กเ็ หมือนในมารดาหรอื บดิ า. บุคคลผฆู าพระอรหนั ตผ เู ปน มนุษยเทาน้นั ชื่อวา ตอ งอนนั ตริย-กรรม. ฆา พระอรหันตผ เู ปนยักษ ชอื่ วาไมต อ งอนันตรยิ กรรม. แตเ ปนกรรมหนัก เหมอื นอนันตริยกรรมทีเดยี ว. เมอ่ื บุคคลใชศ ัสตราประหารหรือวางยาพิษพระอรหันตผ เู ปน มนุษย เวลาทีท่ านยังเปนปถุ ชุ น ผิวาทา นบรรลพุ ระอรหัต มรณะลงดว ยการประหารดว ยศสั ตราหรอื ยาพิษน้นัน่นั แล ผนู น้ั ยอมชอื่ วา ฆา พระอรหนั ตโดยแท. ทานใดเขาถวายเวลาท่ีทานเปน ปถุ ชุ น ทานบรรลุพระอรหัตแลว บริโภค ทานนัน้ ก็ยังชอ่ื วาใหแกปุถชุ นอยูนน่ั เอง. บคุ คลผูฆา พระอริยบุคคลที่เหลอื (โสดาบนัสกทาคามี อนาคามี ) ไมเ ปนอนันตรยิ กรรม แตเปนกรรมหนกั เหมือนอนันตริยกรรมทเี ดียว. พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในอนนั ตรยิ กรรมขอ โลหติ ุปบาท ดังตอไปน้ี :- ชอ่ื วา บคุ คลผูเ ปน ชาศึกจะตัดพระจัมมะ (หนงั ) ในพระวรกายท่ยี ังๆไมแ ตกของพระตถาคตใหพ ระโลหิตไหลออกไมได. เวน แตพระโลหิตจะคง่ั คา งอยใู นทีห่ น่ึงภายในพระวรกายเทา นน้ั . สะเกด็ หินท่ีกะเทาะจากกอนหนิ ทพ่ี ระเทวทัตยกทุมไปกระทบปลายพระบาทของพระตถาคต.พระบาทเหมอื นถูกฟนดว ยขวาน ไดมโี ลหิตคั่งอยูข างในเทานั้น. กรรมของพระเทวทัตผกู ระทําอยางน้ัน ช่ือวา เปนอนันตริยกรรม. สว นหมอ

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 154ชวี กตดั พระจมั มะดวยศสั ตราตามความชอบพระทัยของพระตถาคต นาํโลหติ เสียออกจากท่ีน้ัน ไดก ระทาํ ใหท รงผาสกุ . กรรมของหมอชวี กผูกระทําอยา งน้นั เปน บญุ กรรมโดยแท. ถามวา เมือ่ พระตถาคตปรินพิ พานแลว คนเหลาใดทําลายพระเจดียตดั ตนโพธ์ิ เหยียบยา่ํ พระธาตุ กรรมอะไรจะมีแกบุคคลเหลานั้น. ตอบวา กรรมนน้ั เปนกรรมหนกั เชนเดียวกบั อนันตรยิ กรรม. แตกงิ่ โพธิท์ เี่ บียดสถปู หรือพระปฏมิ าที่มพี ระธาตุ (บรรจุ ) จะตดั เสยี กค็ วร.แมถาพวกนกจบั ทก่ี ิ่งโพธิน์ น้ั ถายอุจจาระรดพระเจดีคยี  ก็ควรตดั เสยี .เพราะพระเจดยี บรรจพุ ระสรีรธาตุ สําคญั กวาบรโิ ภคเจดียที่บรรจุเคร่อื งบรโิ ภค. จะตัดรากโพธิท์ ่ีไปทาํ ลายเจดียว ัตถุออกไปเสียก็ควร. แตกิ่งโพธิ์ท่ีเบียดเรอื นโพธิ์ จะตัดกง่ิ โพธ์เิ พ่อื จะรกั ษาเรอื นโพธไิ์ มไ ด เพราะเรอื นโพธิ์มไี วเพื่อ ประโยชนแ กต น โพธิ์ (แต) ตน โพธ์ิหามไี วเพ่อื ประโยชนแกเรอื นโพธิ์ไม. แมในเรือนเก็บอาสนะ ( พระแทน) ก็นยั น้เี หมือนกนั .จะตดั กิง่ โพธเ์ิ พอ่ื รกั ษาเรอื นอาสนะ (พระแทน) ทเี่ ขาบรรจพุ ระธาตุกค็ วร. เพื่อบาํ รุงคันโพธ์ิ จะตัดก่ิงท่แี ยงโอชะ. (คืออาหาร) หรือกิ่งผุเสยี กค็ วรเหมือนกัน. แมบ ุญกม็ ีเหมอื นดงั ปรนนิบัติพระสรรี ะพระ-พทุ ธเจา ฉะน้ัน. ในสังฆเภท การทาํ ลายสงฆ พึงทราบวนิ จิ ฉัยดงั ตอไปน้ี :- เม่อื สงฆผูอยใู นสีมามไิ ดป ระชมุ กนั เม่อื ภิกษุผซู ึ่งสงฆท าํ การช้ีแจงๆการสวดประกาศและการใหจบั สลาก แลว ยังพาบรษิ ทั สว นหนง่ึ แยกไปทาํ สังฆกรรม หรอื สวดปาฏิโมกขต างหาก ชอ่ื วาสงั ฆเภทดวย เปนอนันตรยิ กรรมดวย. แตเ มอื่ ภกิ ษกุ ระทําดว ยความสําคัญวา จะสมคั รสมาน

พระสตุ ตนั ตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 155กัน (หรอื ) ดวยความสําคัญวา ทาํ ถูก ก็เปน เพียงการแตกกันเทา น้ันยังไมเ ปนอนนั ตริยกรรม. ทําในบริษัทท่หี ยอนกวา ๙ รูปก็เหมือนกัน(คอื เปน การแตกกันแตไมเ ปน อนันตริยกรรม). โดยกาํ หนดภิกษจุ ํานวน๙ รูป เปนอยางตํา่ สุด ในหมูภ ิกษุ ๙ รปู ภกิ ษใุ ดทําลายสงฆ อนนั -ตรยิ กรรมยอมมแี กภ ิกษุนั้น. กรรมของภิกษุพวกอธรรมวาทผี ูปฏบิ ตั ติ ามภิกษนุ ้ัน เปนกรรมมีโทษมาก . สําหรบั ภิกษผุ ูเปนธรรมวาทีไมม ีโทษ.ในการทาํ สังฆเภทสําหรบั ภิกษุ ๙ รูปนนั้ มพี ระสูตรอางอิงดังนี้วา ดกู อ นอบุ าลี ฝา ยหน่งึ มี ๔ รูป (อกี ) ฝา ยหนึง่ ก็มี ๔ รูป รูปท่ี ๙ สวดประกาศใหจับสลากโดยกลาววา น้ธี รรม นี้วนิ ัย นี้สตั ถศุ าสน พวกทานจงถือเอาสลากอันนี้ จงชอบใจสลากนแ้ี ล. ดูกอนอบุ าลี สังฆราชี(ความรา วรานแหงพระสงฆ ) ดว ยสงั ฆเภท ( ความแตกแหงสงฆ ) ดว ยยอ มมีดวยประการอยา งน้ี ก็ในกรรม ๕ อยา งนี้ สงั ฆเภทเปนวจีกรรมกรรมที่เหลอื เปนกายกรรม. ฉะน้ัน พึงทราบวินิจฉัยโดยกรรม ดวยประการดังน้.ี บทวา ทฺวารโต มีอธิบายวา ก็กรรมเหลา นท้ี ง้ั หมดนั่นแล ยอ มตั้งข้ึนทางกายทวารบา ง ทางวจที วารบาง. ในเรือ่ งทวี่ าดว ยทวารนี้กรรม ๔ ประการขางตน แมจะตงั้ ข้ึนทางวจีทวารดว ยอาณัตตกิ ประโยค(คอื ประโยคสง่ั บงั คบั ) และวิชชามยประโยค (คือประโยคที่สําเร็จดว ยวิชาเวทมนตร) ก็ทํากายทวารใหบริบูรณไ ดเ หมอื นกนั . สังฆเภท แมจะต้งั ขึ้นทางกายทวารซง่ึ ภกิ ษผุ ูผูทําการยกมือ กท็ าํ ใหวจที วารบริบูรณไดเหมอื นกัน. ในเร่อื งนี้ พึงทราบวนิ จิ ฉัยแมโดยทวาร ดว ยประการดงั น้ี .๑. ม. อทิ  (สลาก ) โรเจถ.

พระสุตตันตปฎ ก เอกนบิ าต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 156 บทวา กปปฺ ฏ ติยโต มีอธบิ ายวา ก็ในเรือ่ งน้ี สงั ฆเภทเปนบาปตัง้ อยูชว่ั กปั . ทาํ สังฆเภทใน (ตอนที)่ กปั ยงั ต้งั อยู หรอื ในตอนระหวางกลางกปั กพ็ นบาปตอเมือ่ กปั พินาศนั่นแหละ. ก็ถา วา พรงุ นี้ กัปจกั พนิ าศไซร ทําสงั ฆเภทวันน้ี พรงุ นี้กพ็ น จะไหมอยใู นนรกวนั เดียวเทา นัน้ . แตการกระทาํ อยา งน้ี ไมม ี. กรรม ๔ ประการทเี่ หลือเปนอนันตริยกรรมเทานั้น ไมเปน กรรมดงั อยตู ลอดกัป. พึงทราบวินจิ ฉยัแมโ ดยความเปน กรรมต้ังอยูตลอดกปั ในเรอ่ื งน้ี ดว ยประการดังน.้ี บทวา ปากโต มีอธบิ ายวา กบ็ ุคคลใดกระทาํ กรรมแมทง้ั ๕ประการนี้ สงั ฆเภทเทา น้นั ยอ มใหผลแกบ คุ คลนน้ั ดวยอาํ นาจปฏิสนธิกรรมทเ่ี หลือยอ มนับวาเปน กรรมที่มี (ทาํ ) แลว แตวิบากของกรรมยงั ไมมีดังน้ี เปน ตน . เมือ่ สังฆเภทไมม ี โลหิตปุ บาท (คอื การทาํ พระโลหติ ใหห อ )ยอ มใหผ ล เมอ่ื โลหิตุปบาทน้ันไมมี อรหันตฆาต (คือการฆา พระอรหนั ต)ยอ มใหผ ล เม่ืออรหันตฆาตน้นั ไมม ี ถา บดิ าเปน ผมู ศี ลี มารดาทุศีลหรอื ไมม ีศีลอยางบิดานนั้ ปต ฆุ าต (คือการฆา บิดา ) ยอ มใหผลดว ยอํานาจปฏิสนธิ. ถา มารดาเปนผูมีศีล มาตฆุ าตยอมใหผล. แมเมือ่ บิดามารดาท้งั สองทา น เปน ผูเสมอกันโดยศลี หรือโดยทศุ ีล มาตุฆาตเทา นนั้ยอ มใหผ ลดว ยอาํ นาจปฏิสนธิ เพราะมารดาเปน ผทู ําสิง่ ทท่ี ําไดยาก ทั้งเปนผมู อี ุปการะมากแกบ ุตรทงั้ หลาย. ฉะน้นั พงึ ทราบวินิจฉยั แมโ ดยวิบากคือผลในเรอื่ งนี้ ดว ยประการดังนี้ บทวา สาธารณาทหี ิ ความวา กรรม ๔ ประการเบื้องตน เปนกรรมทั่วไปแกค ฤหสั ถแ ละบรรพชิตท้ังปวง สวนสังฆเภทยอมเปน เฉพาะแกภกิ ษุผมู ปี ระการดงั ตรัสไว ยอมไมเปนแกค นอื่น โดยพระบาลวี า

พระสุตตันตปฎก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 157ดกู อ นอบุ าลี ภิกษุณที ําสายสงฆไมไดแล สกิ ขมานา สามเณร สามเณรีอบุ าสก อบุ าสิกา ก็ทําลายสงฆไ มได ดกู อนอุบาลี ภกิ ษุผเู ปน ปกตตั ตะมีธรรมเคร่อื งอยูรว มอันเสมอกัน อยใู นสมี าเสมอกนั ยอ มทาํ สังฆเภทไดเพราะฉะนนั้ สังฆเภทจึงเปน กรรมไมทว่ั ไป. ดว ยอาทศิ ัพท (คือศพั ทวาเปนตน ) ชนเหลา นั้นทงั้ หมด เปนผูสหรคตดว ยทกุ ขเวทนา และสัมปยตุ ดวยโทสะ โมหะ. พึงทราบวนิ ิจฉยั โดยเปน กรรมท่ัวไปเปนตนในเรื่องน้ี ดว ยประการฉะน้.ี บทวา อฺ สตฺถาร ความวา บุคคลคดิ วา พระศาสดาของเรานี้ ไมสามารถทาํ กิจของพระศาสดาได จงึ ถอื เจา ลัทธอิ ่ืนอยางน้วี าทา นผูน ี้ เปนศาสดาของเรา ดังนี้ ขอนี้เปน ฐานะท่ีจะมีได. บทวา เอกิสสฺ าย โลกธาตุยา คอื ในหมืน่ โลกธาตุ. กเ็ ขตมี ๓คอื ชาติเขต ๑ อาณาเขต ๑ วสิ ยั เขต ๑. ในเขตทัง้ ๓ นั้น หม่ืนโลกธาตุ ชอื่ วา ชาตเิ ขต. ดว ยวา หม่ืนโลกธาตุน้นั ไหวในเวลาท่ีพระตถาคตเสดจ็ ลงสูครรภพ ระมารดา เสด็จออก (ผนวช) ตรสั รูประกาศพระธรรมจกั ร ปลงพระชนนายุสงั ขาร และปรินพิ พาน.แสนโกฏิจักรวาล ช่ือวา อาณาเขต. เพราะวาอาณาเขตของอาฏานาฏยิ -ปรติ ร โมรปริตร ธชคั คปรติ ร และรัตนปรติ ร เปน ตน ยอมแผไ ปในแสนโกฏิจกั รวาลน้ี. สวนวิสยั เขตไมม ปี รมิ าณ ( คอื นบั ไมไ ด). ก็ธรรมดาพระพุทธเจาท้งั หลาย ช่ือวา ธรรมมิใชว สิ ัยหามีไม เพราะพระบาลวี าพระญาณ (ความรู) มปี ระมาณเพียงใด ขอที่จะพงึ รูกม็ ปี ระมาณเพียงนั้น ขอ ที่จะพึงรมู ปี ระมาณเพยี งใด พระญาณก็มีประมาณเพียงนัน้ .ขอ ทจี่ ะพึงรูม ีพระญาณเปนท่สี ดุ พระญาณกม็ ขี อทจี่ ะพึงรเู ปน ทสี่ ุด ดงั นี้ .







































































พระสตุ ตันตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 193 [๑๙๘] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ปฏิคาหกพึงรูจกั ประมาณในธรรมวนิ ยั ทก่ี ลา วไวดี ทายกไมจําตอ งรจู กั ประมาณ ขอนัน้ เพราะเหตุไรเพราะธรรมทา นกลาวไวด แี ลว. [๑๙๙] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ผทู ป่ี รารภความเพียรในธรรมวินัยทก่ี ลาวไวช ่ัว ยอ มอยเู ปนทุกข ขอ นัน้ เพราะเหตุไร เพราะธรรมทานกลาวไวชว่ั . [๒๐๐] ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ผเู กียจครานในธรรมวนิ ยั ทก่ี ลาวไวด ี ยอ มอยเู ปน ทุกข ขอนน้ั เพราะเหตุไร เพราะธรรมทานกลา วไวดแี ลว . [๒๐๑] ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เ่ี กยี จครา นในธรรมวินยั ท่ีกลา วไวช ่วั ยอมอยูเปนสุข ขอ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะธรรมทานกลาวไวชวั่ . [๒๐๒] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ผปู รารภความเพยี รในธรรมวนิ ยัท่ีกลา วไวด ี ยอมอยูเ ปนสุข ขอนนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะธรรมทานกลา วไวดแี ลว . [๒๐๓] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เปรียบเหมอื นคถู แมเ พยี งเลก็ นอยกม็ กี ล่นิ เหม็น ฉนั ใด ภพแมเพยี งเล็กนอยกฉ็ ันนน้ั เหมอื นกัน เราไมสรรเสริญ โดยที่สุดแมช ว่ั กาลเพียงลัดนวิ้ มอื เดยี วเลย. [๒๐๔] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เปรยี บเหมอื นมตู ร... นา้ํ ลาย...หนอง... เลือดแมเ พียงเลก็ นอ ย กม็ กี ลิ่นเหมน็ แมฉนั ใด ภพแมเพยี งเล็กนอ ยก็ฉนั น้นั เหมอื นกัน เราไมสรรเสริญ โดยทสี่ ุดแมช ั่วกาลเพยี งลัดนวิ้ มอื เดยี วเลย. จบวรรคท่ี ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนบิ าต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 194 อรรถกถาวรรคที่ ๓๑ อรรถกถาสตู รท่ี ๑ ในวรรคท่ี ๓ สูตรท่ี ๑ พึงทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปน.ี้ บทวา มจิ ฉฺ าทิฏ โิ ฏ ไดแก ผูไมเ ห็นตามความเปนจริง. บทวาวิปรีตทสสฺ โน ไดแก เปน ผูม ีความเห็นแปรปรวนไปตามความเห็นผดิ น้นัทีเดยี ว. บทวา สทธฺ มฺมา วฏุ าเปตฺวา ความวา ใหอ อกจากธรรมคอื กุศลกรรมบถ ๑๐. บทวา อสทฺธมฺเม ปตฏิ  าเปติ ความวา ใหต้ังอยใู นอสัทธรรม กลาวคืออกศุ ลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทวา เอกปุคฺคโลนี้ พงึ ทราบวา ไดแ ก พระเทวทัตกับครูทง้ั ๖ และคนอ่ืน ๆ ท่ีเปนอยางน.้ี จบอรรถกถาสูตรท่ี ๑ อรรถกถาสูตรท่ี ๒ ในสตู รที่ ๒ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้. บทวา สมฺมาทฏิ  โิ ฏ ไดแ ก ผูมคี วามเหน็ ตามความเปนจรงิ . บทวา อวิปรีตทสสฺ โน ไดแ ก ผมู คี วามเห็นอันไมแ ปรปรวนไปจากความเห็นชอบนัน้ นั่นแหละ. บทวา อสทฺธมมฺ า ความวา จากอกุศลกรรมบถ ๑๐. บทวา สทฺธมเฺ ม ความวา ในสทั ธรรม กลา วคอืกุศลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทวา เอกปุคฺคโล นี้ ในเมอื่ พระพทุ ธเจายังมไิ ดเสด็จอุปบัติ ยอ มไดแ กบุคคลมีอาทิอยางน้ี คอื พระเจาจกั รพรรดิ๑. บาลี ๑๙๑ - ๒๐๔.

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 195พระสัพพัญโู พธสิ ตั ว เมอ่ื พระพุทธเจาเสดจ็ อบุ ัตแิ ลว ยอมไดพ ระพทุ ธเจาและสาวกของพระพทุ ธเจา . จบอรรถกถาสตู รที่ ๒ อรรถกถาสูตรท่ี ๓ ในสตู รที่ ๓ พึงทราบวินิจฉยั ดงั ตอไปน.้ี บทวา มจิ ฺฉาทฏิ  ิปรมานิ น้ี มวี ิเคราะหว า มิจฉาทฏิ ฐิเปนอยา งย่งิ ของโทษเหลา นัน้ เหตุน้ัน โทษเหลานั้น ชือ่ วา มิจฉฺ าทฏิ -ิปรมานิ โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏิเปนอยา งยิง่ . อธบิ ายวา อนนั -ตรยิ กรรม ๕ ชือ่ วา กรรมมโี ทษมาก. มจิ ฉาทิฏฐเิ ทา นัน้ ช่ือวามีโทษมากกวาอนนั ตริยกรรม ๕ แมเ หลา น้ัน. ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะอนันตรยิ กรรม ๕ นนั้ มีเขตกําหนด. ดวยวา ทานกลา วอนันตริยกรรม ๔ อยางวา ใหเกิดในนรก.แมส งั ฆเภทกเ็ ปน กรรมต้งั อยูในนรกช่ัวกัปเทา นั้น. อนนั ตรยิ กรรมเหลานน้ัมเี ขตกาํ หนดทส่ี ุด กย็ งั ปรากฏ ดว ยประการอยางน้ี. สวนนยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิคอื ความเห็นผดิ อนั ดงิ ไมมีเขตกาํ หนด เพราะนิยตมิจฉาทฏิ ฐนิ นั้ เปนรากเหงา ของวัฏฏะ. การออกไปจากภพ ยอมไมม สี ําหรับคนผปู ระกอบดว ยนิยตมิจฉาทิฏฐินัน้ . ชนเหลาใด เช่ือฟง ถอ ยคําของตนผปู ระกอบดวยนิยตมิจฉาทฏิ ฐินน้ั แมช นเหลานนั้ กย็ อ มปฏบิ ตั ผิ ิด. อน่งึ ท้งั สวรรคท้ังมรรค ยอมไมม ีแกค นผูป ระกอบดวยนิยตมจิ ฉาทิฏฐนิ น้ั ในคราวกัปพินาศ เมือ่ มหาชนพากนั เกิดในพรหมโลก บคุ คลผูเปน นยิ ตมจิ ฉาทิฏฐิไมเ กิดในพรหมโลกนน้ั (แตก ลบั ) เกิดท่หี ลังจกั รวาล. ถามวา กห็ ลงั

พระสุตตนั ตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 196จักรวาลไฟไมไหมหรอื . ตอบวา ไหม. บางอาจารยกลาววา กเ็ มื่อหลงัจักรวาลแมถ ูกไฟไหมอยู คนผเู ปนนิยตมจิ ฉาทิฏฐินี้ กถ็ ูกไฟไหมอ ยูในโอกาสแหง หนึ่งในอากาศ. จบอรรถกถาสูตรที่ ๓ อรรถกถาสูตรที่ ๔ ในสตู รท่ี ๔ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ดงั ตอไปน.ี้ บทวา มกฺขลิ ความวา เจาลัทธิผไู ดช ่ืออยา งน้ี เพราะยดึ คาํ วามา ขลิ อยาพลาดลมนะ. บทวา นทมี เุ ข ความวา ในท่ที ่ีแมนา้ํ ๒สายมาบรรจบกนั . คาํ นี้ เปนเพยี ง ( ยกมา ) เทศนาเทา นน้ั . น้าํ แมอยางอื่นเห็นปานนนั้ ซงึ่ มีสถานทีม่ าบรรจบกนั ของแมน้ําสายใดสายหน่งึในบรรดานํ้าแมเหลา นี้ คอื ลาํ ธาร ๒ สาย สายนํา้ ๒ สาย ทะเลสายนํา้ จดื ทะเลสายนาํ้ เค็ม และแมนาํ้ แหงสมทุ ร. บทวา ขปิ  ๑ แปลวาลอบ. บทวา อุชเฺ ฌยฺย แปลวา ดัก. อธบิ ายวา พวกมนษุ ยเ อาไมออตน ออย ไมไ ผ หรอื เสนเถายานทรายมาสานใหเปน ลอบขนาดเทา หมอใบเดยี วบาง ๒ ใบบา ง ๓ ใบบา ง ผกู งาที่ปากลอบดวยหวาย นําไปดักเอาปากลอบจมไวใ นน้าํ ดอกหลกั ขนาบไวทงั้ สองขาง ผูกลอบดวยหวายไวกบั หลักน้นั . คําวา ดกั ลอบ นี้ ทา นกลาวหมายเอาการกระทาํดงั กลาวแลว น้ัน. ก็แมป ลาตัวเลก็ ๆ เขา ไปในลอบนัน้ แลว กห็ ลุดออกไปไมได. บทวา อนยาย ความวา เพอ่ื ความไมเจริญ. บทวา พฺยสนายความวา เพอื่ ความฉิบหาย. บทวา มกขฺ ลิ โมฆปรุ โิ ส ไดแก บรุ ษุ๑. ม. ขปิ ปฺ  ลอบ.

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 197เปลา ช่อื มกั ขลโิ คสาล ผนู ี.้ บทวา มนสุ ฺสขิป มฺเ โลเก อุปปฺ นโฺ นความวา เกิดข้นึ แลวในโลก เปน เหมอื นลอบดกั มนุษย เพือ่ หา มมหาชนไปในทางน้นั คอื ทางไปสวรรคและพระนิพพาน. จบอรรถกถาสตู รท่ี ๔ อรรถกถาสตู รท่ี ๕ เปน ตน ในสตู รท่ี ๕ เปน ตน พึงทราบวินจิ ฉยั ดังตอไปน้.ี บทวา ทุรกฺขาเต ภกิ ขฺ เว ธมฺมวนิ เย มอี ธบิ ายวา คําสอนของเจาลัทธนิ อกพระศาสนา ชือ่ วาธรรมวินัยท่กี ลาวไวช ว่ั . เพราะวา ในคําสอนนัน้ แมผสู อนก็ไมเ ปน สัพพญั ู แมธรรมกเ็ ปนธรรมทกี่ ลา วไวช ่ัวแมห มูค ณะก็เปน ผปู ฏิบตั ิชั่ว. บทวา โย จ สมาทเปติ ไดแก บุคคลผูเ ปน อาจารยคนใดยอ มชกั ชวน. บทวา ยฺจ สมาทเปติ ความวาชักชวนอันเตวสิก (ศิษย) คนใด. บทวา โย จ สมาทปโตตถตตฺ าย ปฏปิ ชชฺ ติ ความวา อนั เตวาสิกคนใดถกู อาจารยช ักชวนแลวกระทําตามคําของอาจารยอ ยู ช่อื วาปฏิบัติเพื่อความเปน อยางนนั้ . บทวาพหุ อปุ ฺ  ปสวติ อธิบายวา กบ็ คุ คลผชู ักชวน เม่ือชกั ชวนคน๑๐๐ คน ในกรรมมปี าณาติบาตเปน ตน ยอมไดอ กุศลเทา กันกบั อกุศลของคนผถู กู ชักชวนแมทงั้ หมดนนั้ เพราะเหตนุ ัน้ พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั วา คนเหลานน้ั ทั้งหมดยอมประสบกรรมมิใชบุญเปน อนั มาก. บทวา สวฺ ากขฺ าเต ไดแ ก ในพระธรรมและพระวินัยท่ตี รัสไวดีแลว.คอื แสดงไวดีแลว เพราะในพระธรรมและพระวินยั เห็นปานน้ี พระ-ศาสดาก็ทรงเปนพระสัพพญั ู พระธรรมพระศาสดาก็ตรัสไวด แี ลว และ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 198หมูคณะก็เปน ผปู ฏบิ ตั ดิ ีแลว . บทวา สพฺเพ เต พหุ ปุ ฺ ปสวติอธิบายวา คนผชู ักชวนไดเหน็ ภิกษทุ งั้ หลายเขา ไปบณิ ฑบาต ไดชกั ชวนคนอน่ื ๆ ใหถวายขา วยาคูและภตั เปน ตน ยอมไดกุศลเทากับกศุ ลของผูถวายทานแมท้งั หมด. เพราะเหตนุ ัน้ พระองคจึงตรสั วา คนเหลานนั้ท้ังหมด ยอ มประสบบุญเปนอนั มาก. บทวา ทายเกน มตตฺ า ชานติ พพฺ า ความวา บคุ คลผใู หพ ึงรูประมาณคอื พึงใหพอประมาณ ใหจ นเตม็ ไมค วรใหจ นลน แตไ มก ลาววาไมพงึ ให ดงั น้ี กลา ววาพึงใหห นอ ยหนึง่ ๆ พอประมาณ. ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะเมอ่ื เต็มแลว แมจะใหเ กินไป มนุษยสมบตั ิ ทพิ ย-สมบัติ หรอื นพิ พานสมบตั ทิ ีเ่ กินไปยอ มไมม .ี บทวา โน ปฏคิ คฺ าหเกนความวา ก็สาํ หรับปฏิคาหก ช่ือวา กจิ ในการรจู กั ประมาณแลว รบั เอายอ มไมมี. ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะขนึ้ ชื่อวา ปฏิปทาในความเปน ผูมกั นอ ย ซึง่ มีมลู มาแตก ารรูประมาณ เต็มแลวรับพอประมาณยอมไมม แี กป ฏิคาหกน้นั . แตว าไดเ ทา ใด ควรรบั เอาเทานั้น. เพราะเคามูลในการรับอยา งเหลอื ลน สาํ หรับปฏิคาหกนั้น จักเปน การรับเพื่อเล้ยี งบตุ รและภรรยาไป. บทวา ปฏคิ ฺคาหเกน มตตฺ า ชานติ พพฺ า ความวา บุคคลผูเปนปฏคิ าหก พึงรูประมาณ. พงึ รอู ยา งไร. คอื เม่ือจะรบั ตองรูอํานาจของผใู ห ตอ งรูอาํ นาจ (ความมากนอย) ของไทยธรรม ตอ งรกู าํ ลังของตน. ก็ถา ไทยธรรมมมี าก ผใู หต อ งการใหนอยไซร ควรรบั เอาแตนอ ยตามอํานาจของผูให. ไทยธรรมมีนอย ผใู หตองการใหมาก ควรรบั เอาแตน อ ยตามอํานาจของไทยธรรม. แมไทยธรรมกม็ าก แมผ ูใ ห

พระสุตตนั ตปฎ ก เอกนิบาต-ทกุ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 199ก็ตองการจะใหม าก ปฏคิ าหกควรรูกําลังของตนแลว รบั เอาพอประมาณกเ็ มื่อรปู ระมาณอยางนแ้ี ลวรับเอา ยอมทําปฏปิ ทาคอื ความมักนอยใหเ ตม็บริบูรณ. ลาภยอมเกิดขนึ้ แกบคุ คลผูไ มเ คยมีลาภเกิดข้ึนแลว ลาภที่เกดิขึน้ แลวยอมอยมู นั่ คง. บคุ คลผทู ีย่ ังไมเลอ่ื มใสก็เลือ่ มใส บคุ คลผทู เี่ ล่อื มใสแลว กเ็ ลอ่ื มใสยงิ่ ขึ้น เปน ประหนง่ึ บคุ คลผเู ปน ทส่ี นใจของมหาชน กระทําพระศาสนาใหดาํ รงอยูต ลอดกาลนาน. ในขอ นน้ั มีเรือ่ งตอ ไปนีเ้ ปนตวัอยาง:- ไดยนิ วา ในโรหนชนบท มภี ิกษหุ นมุ รปู หนง่ึ อยูในกฬุ มุ รยิ วิหารในสมัยทภ่ี กิ ษาหายาก (ทาน) รบั ภตั ตาหารทัพพเี ดยี วเพ่ือฉนั ในเรอื นของนายลมั พกัณณ (กรรมกร) คนหนึง่ ในบา นนนั้ แลว รบั ภตั ตาหารอีกทัพพหี นึ่งเทานนั้ เพือ่ จะไป. วนั หนง่ึ ทา นไดเหน็ พระภิกษุอาคนั ตกุ ะรูปหน่งึ ในเรอื นนนั้ จึงรับเอาภตั ตาหารทัพพเี ดยี วเทานนั้ . เพราะเหตนุ ัน้ตอมาภายหลงั กุลบตุ รผูนน้ั เลื่อมใสทาน จึงบอกแกพวกมิตรอมาตยที่ประตพู ระราชวังวา พระประจําสกลุ ของเรา เปน ผชู อื่ วา มักนอยเหน็ ปานนี.้ มติ รอํามาตยแมทง้ั ปวงเหลาน้นั ก็เลื่อมใสในคณุ คอื ความมกั นอ ยของทาน ตางพากันตั้งภตั ตาหารประจํา ๖๐ ท่ี เฉพาะวนั หน่ึง ๆ. ภิกษผุ ูมกั นอ ยเปนธรรมดาอยางน้แี ล ยอมยงั ลาภทีย่ ังไมเกิดใหเ กิดขนึ้ . แมพระเจาสัทธาตสิ สมหาราช ทรงใหตสิ สอํามาตย ผูเ ปนคนอุปฏ ฐากใกลชิดไปสอบสวน ทรงใหเขาปง นกกระทาตัวหนง่ึ มาให. เม่ือติสสอํามาตยทาํ อยางนนั้ แลว คร้ันเวลาจะเสวยจงตรสั วา เราใหสวนท่ีเลศิ แลวจงึ จกั บริโภค จงึ ใหป ระทานเนื้อนกกระทาแกส ามเณรผูถ อื สงิ่ ของของพระมหาเถระใกลบริเวณกสั สัตถศาลา เมือ่ ทา นรบั เอาแตนอ ย ก็

พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทกุ นิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 200เลอ่ื มใสในคณุ คือความมกั นอยของทา น จงึ ตรัสวา ดูกอนพอ โยมเล่ือมใสขอถวายภตั ตาหารประจํา ๘ ทแี่ กท าน. สามเณรทลู วา มหาบพติ รภตั ตาหารประจาํ เหลาน้นั อาตมาถวายอปุ ช ฌาย. พระราชาตรัสวา โยมถวายอีก ๘ ท่.ี สามเณรทูลวา ภตั ตาหาร๘ ที่น้นั อาตมาขอถวายอาจารยข องอาตมา. พระราชาตรสั วา โยมถวายอกี ๘ ที.่ สามเณรทลู วา อาตมาถวายภตั ตาหาร ๘ ท่นี ้ัน แกทา นผูเ สมอดว ยอปุ ช ฌาย. พระราชาตรัสวา โยมถวายอกี ๘ ท่ี สามเณรทูลวา อาตมาถวายภตั ตาหาร ๘ ท่ีนั้น แกภ กิ ษสุ งฆ. พระราชาตรสั วา โยมถวายภัตตาหารแมอ ีก ๘ ท่.ี สามเณรนน้ัจงึ รับเอา. ลาภอันเกดิ ขึน้ แกส ามเณรนั้น ยอ มเปนลาภมั่นคงดวยประการอยางนี้. แมใ นบทวา อปปฺ สนฺนา ปสีทนฺติ น้ี กม็ ตี วั อยางดังตอไปน้ี:- ทีฆพราหมณ นิมนตพ ราหมณท ัง้ หลายมาฉัน ไดถ วายภัตตาหารทีละ ๕ ขันกไ็ มอ าจใหอ ิ่มหนาํ . อยูมาวนั หนงึ่ ไดฟงถอ ยคําวา วา กนั วาพวกพระสมณะเปนผูมกั นอ ย เพอ่ื จะทดลอง จึงใหค นถอื ภตั ตาหารไปยังวหิ ารในเวลาทพ่ี ระภกิ ษุสงฆทําภัตกิจ เหน็ ภกิ ษุประมาณ ๓๐ รปู ฉันอยูบนหอฉัน จึงถอื เอาภตั ตาหารขันหนง่ึ ไปยงั ทใ่ี กลพระสังฆเถระ. พระ-เถระไดใชนวิ้ มอื หยิบเอาหนอ ยหนงึ่ . โดยทํานองน้นี ่นั แล ภตั ตาหารขันเดยี วไดทัว่ ถึงแกภ ิกษุหมดทกุ รูป. แตน นั้ พราหมณเล่ือมใสในความมกันอ ยวา ไดย นิ วา พระสมณะเหลานม้ี คี ณุ ทกุ อยางทเี ดยี ว จงึ สละทรพั ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook