พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 135ก็ลกั ษณะท่ีเพง เลง็ รูปเกินไปเปนเหตุ สมาธขิ องเราจงึ เคลือ่ น เม่ือสมาธิเคลอ่ื นแลว แสงสวางและการเห็นรูปจึงหายไปได เราจกั ทาํ ใหไ มเ กดิ วิจิกิจฉา อมน-สกิ าร ถีนมทิ ธะ ความหวาดเสียว ความตน่ื เตน ความชั่วหยาบ ความเพยี รปรารภเกินไป ความเพยี รท่ียอ หยอนเกนิ ไป ตัณหาท่ีคอยกระซบิ ความสําคญั สภาวะวา ตางกนั และลักษณะทเี่ พง เล็งรูปเกนิ ไปข้ึนแกเ ราไดอ ีก. [๔๖๓] ดูกอ นอนุรุทธะ... เราน้ันแลรูว า วิจิกิจฉาเปนเคร่อื งเกาะจติใหเศราหมอง จงึ ละวจิ กิ จิ ฉาอันเกาะจติ ไหเ ศราหมองเสียได รูว าอมนสกิ ารเปนเครอื่ งเกาะใหจิตเศราหมอง จึงละอมนสิการอันเกาะจติ ใหเศราหมองเสียไดรวู า ถีนมทิ ธะเปน เครื่องเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละถนี มทิ ธะอันเกาะจิตใหเศราหมองเสยี ได รูว า ความหวาดเสยี วเปน เครอ่ื งเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความหวาดเสยี ว อนั เกาะจิตใหเ ศราหมองเสียได รวู า ความต่ืนเตน เปนเคร่อื งเกาะจิตใหเศราหมอง จึงจะความตื่นเตนอันเกาะจติ ใหเ ศราหมองเสยี ไดรวู า ความชวั่ หยาบเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความช่วั หยาบอันเกาะใหเ ศรา หมองเสยี ไดรวู า ความเพยี รท่ีปรารภเกนิ ไปเปนเคร่อื งเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความเพียรท่ปี รารภเกนิ ไปอันเกาะจติ ใหเศราหมองเสียได รูวาความเพียรทย่ี อ หยอ นเกนิ ไปเปน เคร่ืองเกาะจิตใหเศราหมอง จึงละความเพยี รยอหยอนเกนิ ไปอนั เกาะจติ ใหเศรา หมองเสยี ไดรูวา ตัณหาท่คี อยกระซบิ เปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเ ศรา หมอง จึงละตัณหาท่คี อยกระซิบอันเกาะจติ ใหเศรา หมองเสยี ไดร ูวา ความสําคญั สภาวะวา ตางกนั เปน เคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมอง จงึละความสาํ คัญ สภาวะวา ตางกนั อนั เกาะจิตใหเศราหมองเสียได รวู า ลักษณะท่ีเพงเลง็ รปู เกนิ ไปเปนเครอื่ งเกาะจติ ใหเศราหมอง จึงละลกั ษณะทเี่ พง เลง็ รูปเกินไปอนั เกาะจิตใหเ ศราหมองเสียได.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 136 วา ดวยการเกิดปรวิ ิตก [๔๖๔] ดกู อนอนุรทุ ธะ... เรานัน้ ผูไ มป ระมาท มคี วามเพียร มีตนสง ไปแลว ยอ มรสู กึ แสงสวา งอยา งเดยี วแล แตไ มเห็นรปู เห็นรปู อยางเดยี วแล แตไ มร ูสกึ แสงสวาง ตลอดกลางคนื บาง ตลอดกลางวนั บา ง ตลอดทัง้กลางคืนและกลางวันบาง เรานัน้ จึงมคี วามดํารดิ งั นีว้ า อะไรหนอแล เปน เหตุเปน ปจ จยั ใหเ รารูสกึ แสงสวางอยา งเดยี วแล แตไ มเ หน็ รูป เหน็ รูปอยา งเดียวแล แตไ มร สู ึกแสงสวาง ตลอดกลางคนื บา ง ตลอดกลางวนั บา ง ตลอดท้ังกลางคนื และกลางวนั บา ง ดกู อ นอนุรทุ ธะ เรานั้นไดมีความรูดงั นีว้ า สมัยใดเราไมใ สใจ นมิ ติ หรือรปู ใสใจแตนมิ ิตคือแสงสวาง สมัยนน้ั เรารูสกึแสงสวางอยา งเดยี วแล แตไมเ หน็ รปู สวนสมยั ใดเราไมใสใจนมิ ิตคอื แสงสวางใสใจแตน มิ ติ คอื รูป สมยั น้ัน เรายอมเห็นรูปอยางเดียวแล แตไมรสู กึ แสงสวางตลอดกลางคืนบาง ตลอดกลางวันบาง ตลอดท้ังกลางคืนและกลางวันบา ง. วา ดว ยสมาธิภาวนา ๓ อยา ง [๔๖๕] ดกู อ นอนรุ ทุ ธะ... เรานัน้ รไู มป ระมาท มีความเพยี ร มตี นสง ไปแลว ยอมรูส กึ แสงสวา งเพียงนดิ หนอย เหน็ รปู ไดนดิ หนอย และรูลกึแสงสวา งอยางหาประมาณมิได เห็นรปู อยางหาประมาณมไิ ด ตลอดกลางคืนบา ง ตลอดกลางวันบาง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวนั บาง เราจงึ มีความดาํ ริดังนีว้ า อะไรหนอแล เปน เหตุ เปนปจจยั ใหเ รารูสกึ แสงสวางเพยี งนิดหนอ ยเหน็ รูปไดน ดิ หนอ ย และรูสกึ แสงสวา งอยางหาประมาณมไิ ด เห็นรปู อยางหาประมาณมิได ตลอดกลางคนื บาง ตลอดกลางวันบา ง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบา ง ดูกอนอนุรุทธะ เราน้นั ไดม ีความรดู ังนวี้ า สมัยใด เรามีสมาธินดิ หนอ ย สมยั นั้น เราก็มจี กั ษนุ ดิ หนอย ดวยจักษุนดิ หนอ ย เรานัน้ จึงรสู กึ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 137แสงสวา งเพียงนดิ หนอย เห็นรปู ไดน ิดหนอย สวนสมัยใด เรามสี มาธหิ าประมาณมไิ ด สมัยน้ัน เราก็มจี กั ษหุ าประมาณมิได ดว ยจักษหุ าประมาณมไิ ดเรานน้ั จึงรสู ึกแสงสวางหาประมาณมไิ ด แลเหน็ รูปหาประมาณมไิ ด ตลอดกลางคืนบา ง ตลอดกลางวันบา ง ตลอดทงั้ กลางคนื และกลางวนั บาง. ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ เพราะเรารวู าวจิ ิกิจฉาเปนเครื่องเกาะจิตใหเศราหมองแลว เปน อนั ละวิจกิ จิ ฉาอนั เกาะจติ ใหเศรา หมองได รูว า อมนสิการเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมองแลวเปนอันละอมนสิการอัน เกาะจิตใหเศรา หมองได รวู าถนี มิทธะเปนเคร่อื งเกาะจติ ใหเ ศรา หมองแลว เปน อนั ละถนี มิทธะอัน เกาะจิตใหเศราหมองได รวู าความหวาดเสยี วเปนเครื่องเกาะจติ ใหเศรา หมองแลว เปนอันละความหวาดเสียวอนั เกาะจิตใหเ ศราหมองไดร ูวา ความตืน่ เตน เปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศรา หมองแลว เปน อันละความตื่นเตนอันเกาะจิตใหเ ศรา หมองไดรวู าความชัว่ หยาบเปน เครื่องเกาะจติ ใหเศราหมองแลว เปน อนั ละความชว่ั หยาบอันเกาะจติ ใหเศราหมองได รูวา ความเพยี รที่ปรารภเกนิ ไปเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมองแลว เปนอันละความเพียรท่ปี รารภเกนิ ไปอันเกาะจิตใหเศราหมองได รูวา ความเพียรทย่ี อหยอ นเกินไปเปนเครื่องเกาะจติ ไหเ ศราหมองแลวเปนอนั ละความเพียรทีย่ อ หยอนเกินไปอันเกาะจิตใหเ ศราหมองได รวู าตัณหาที่คอยกระซบิ เปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเศราหมองแลว เปนอันละตณั หาทค่ี อยกระซิบอันเกาะจติ ใหเ ศราหมองไดรวู า ความสาํ คญั สภาวะวา ตา งกนั เปนเครอื่ งเกาะจิตใหเ ศรา หมองแลว เปน อนั ละความสําคญั สภาวะวา ตางกันอันเกาะจติ ใหเศราหมองได รวู า ลกั ษณะทเี่ พงเลง็ รปู เกินไปเปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเ ศราหมองแลว เปน อันละลกั ษณะท่ีเพงเลง็ รปู เกนิ ไปอนั เกาะจิตใหเ ศรา หมองได เรานั้นจงึ ไดม ีความรดู ังนวี้ า เคร่อื งเกาะจิตใหเศรา หมองนนั้ ๆ ของเรา เราละไดแลว แลดงั นี้ เราจงึ เจริญสมาธิโดยสว นสามไดในบัดน้.ี
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 138 [๔๖๖] ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ... เราน้ันไดเจริญสมาธมิ ีวิตกมีวิจารบา ง ไดเจริญสมาธไิ มมีวิตกมีแตวิจารบาง ไดเจริญสมาธิไมม วี ิตกไมม วี จิ ารบาง ไดเจริญสมาธมิ ีปตบิ าง ไดเ จรญิ สมาธิไมมปี ติบาง ไดเ จรญิ สมาธสิ หรคตดว ยสขุบา ง ไดเจรญิ สมาธิสหรคตดว ยอุเบกขาบา ง. ดกู อ นอนุรทุ ธะ เพราะสมาธชิ นิดทมี่ ีวติ กมีวจิ ารบาง ชนิดท่ีไมมีวิตกมีแตวิจารบาง ชนิดทไี่ มม วี ิตกไมม ีวิจารบาง ชนิดทม่ี ปี ติบา ง ชนดิ ทไี่ มมีปติบา ง ชนิดที่สหรคตดวยสขุ บาง ชนิดทส่ี หรคตดวยอุเบกขาบาง เปนอนั เกดิเจริญแลว ฉะนน้ั แล ความรูค วามเห็นจงึ ไดเ กิดข้นึ แกเราวา วมิ ุตตขิ องเราไมกาํ เริบ ชาตนิ เ้ี ปนชาตทิ สี่ ุด บัดน้ีความเกดิ ใหมย อ มไมม.ี พระผูม ีพระภาคเจาไดต รัสพระภาษิตนแี้ ลว ทา นพระอนรุ ทุ ธะ จึงชืน่ ชมยินดี พระภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจาแล. จบอุปก กเิ ลสสตู รที่ ๘
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 139 อรรถกถาอปุ ก กเิ ลสสูตร อุปกกเิ ลสสตู ร มีบทเรม่ิ ตน วา ขาพเจา ไดส ดบั มาอยางนี:้ - บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา เอตทโวจ ความวา มิใชก ราบทลูดว ยความประสงคจ ะใหแตกแยกกัน และมใิ ชเ พอ่ื จะประจบ แทจ ริง ภิกษนุ น้ัไดความคดิ อยา งน้วี า ภกิ ษเุ หลานี้เช่อื ฟง เราแลว จักงดเวน และธรรมดาพระพุทธเจาทัง้ หลาย ทรงมงุ อนเุ คราะหเ พ่อื ประโยชนสถานเดียว พระองคจักตรัสบอกเหตอุ ยา งหน่งึ แกภกิ ษุเหลา นีเ้ ปนแน ภกิ ษุเหลานนั้ ฟง เหตเุ หลา น้ันแลวจกั งดเวน แตนน้ั ภกิ ษุเหลานน้ั จกั อยอู ยา งผาสกุ . เพราะเหตนุ นั้ ภกิ ษนุ ัน้ จงึกราบทูลคํามีอาทิวา อธิ ภนเฺ ต ดงั นี.้ ในบทเปนตน วา มา ภณฑฺ น พึงเตมิ ปาฐะท่ีเหลือวา อกตฺถ เปนตนเขาไปดวย แลวถือเอาความอยา งนว้ี ามา ภณฑฺ น อยา ทําการขดั แยงกนั . บทวา อฺ ตโร ความวา ไดย นิ วาภิกษนุ น้ั มงุ ประโยชนตอ พระผมู พี ระภาคเจา คือไดย นิ วา ภิกษนุ ้ันมคี วามประสงคอยางนีว้ า ภกิ ษุเหลานี้ ถกู ความโกรธครอบงาํ แลว จะไมเชอ่ื ฟงคาํ สอนของพระศาสดา ขอพระผมู พี ระภาคเจา เน้อื กลา วสอนภิกษเุ หลา นอ้ี ยูอยา ทรงลาํ บากเลยดงั นี้ เพราะฉะนัน้ จงึ กราบทูลอยางนี.้ บทวา ปณฑฺ าย ปาวสิ ิ ความวา มใิ ชเสดจ็ เขาไปเพอ่ื บิณฑบาตอยา งเดียว แตไ ดทรงอธิฏฐานพระหฤทยั วา คนทเ่ี ห็นเราแลว จงเขา เฝา เรา. ถามวา ทรงอธิฏานเพื่อประโยชนอะไร. ตอบวา เพ่อื ทรงทรมานภิกษเุ หลาน้ัน. ก็พระผูมีพระภาคเจาเสดจ็กลบั จากบิณฑบาตโดยอาการอยา งน้ันแลว ตรัสคาถามอี าทวิ า ปถุ สุ ทฺโทสมชโน ดังนแี้ ลว เสดจ็ ออกจากกรุงโกสมั พีตรงไปยงั พาลกโลณการคาม.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 140แตน ั้นเสด็จไปในปาจีนวงั สมคิ ทายวนั ตอนั้นเสดจ็ เขา ไปยงั ชฏั ปา ชื่อวาปารเิ ลย-ยกะ. อนั ชางตวั ประเสรฐิ ชื่อปารเิ ลยยกะบํารุงอยู ประทบั อยตู ลอดไตรมาส.แมช าวพระนครคิดวา พระศาสดาเสดจ็ เขา ไปสูว ิหารแลว พวกเราจะไปฟงธรรมแลว ถือของหอมดอกไมตรงไปยงั วหิ าร ถามวา ทานเจา ขา พระศาสดาเสด็จไปไหน. ภกิ ษทุ ั้งหลายบอกวา พวกทา นจะเฝา พระศาสดาไดท ไ่ี หน พระองคเสดจ็ มาดวยหวงั วา จกั เกล่ียกลอ มภกิ ษุเหลาน้ีใหส ามัคคกี นั แตไมอ าจทาํ ใหสามคั คีกันไค จึงเสด็จออกไปแลว . พวกชาวเมอื งทงั้ หมดพากันคาดโทษวาพวกเราจะเสียเงินทัง้ รอยหรอื พัน ก็ไมสามารถจะนําพระศาสดามาได ถงึ พวกเราจะไมก ราบทลู วงิ วอน พระองคก จ็ ะเสด็จมาเอง เพราะอาศยั ภิกษุเหลานี้ ทําใหพวกเราไมไดสดบั ธรรมกถาเฉพาะพระพักตรของพระองค ภิกษุเหลา น้ัน บวชเจาะจงพระศาสดา แมเมื่อพระองคท รงกระทาํ ใหส ามัคคีกัน กไ็ มยอมสมัครสมานสามคั คกี นั เชน นี้ จะเช่อื ฟง ใครเลา พอกันที พวกเราอยา ถวายภิกษาแกภิกษุเหลานี้. คร้ันวนั รงุ ขนึ้ ภิกษุเหลานั้นเท่ียวไปบิณฑบาต ทว่ั ทั้งพระนครไมไ ดภกิ ษาแมส กั ทพั พเี ดียว กลบั วหิ ารแลว . แมพ วกอบุ าสกอบุ าสกิ าทง้ั หลายกลาวกะภิกษเุ หลานัน้ อกี วา พวกเราจะลงทัณฑกรรมเชน นแี้ หละแกท า นทั้งหลายจนกวา พวกทา นจะใหพ ระศาสดาทรงอดโทษ. ภกิ ษเุ หลา นน้ั คดิ วา พวกเราจกั ใหพ ระศาสดาอดโทษ เมื่อพระผมู พี ระภาคเจา ยงั ไมทนั เสดจ็ ถงึ พระนครสาวัตถี ไดไปรอคอยอยใู นเมืองสาวตั ถแี ลว พระศาสดาทรงแสดง เภทกรวตั ถุ๑๘ ประการ แกภ กิ ษุเหลานัน้ แลว ในเรื่องน้ีมีขอ ความตามที่กลาวไวใ นบาลี-มุตตกะเพียงเทา น้ี. บัดนีจ้ ะวินิจฉยั ในคาถามอี าทิวา ปุถุสทโฺ ท ดังตอไปนี.้ ช่ือวาปุถสุ ทฺโท เพราะอรรถวา มีเสยี งดงั เสียงใหญทีเดยี ว. บทวา สมชโนไดแก คนทเ่ี หมือนกนั คอื คลาย ๆ คน คนเดยี วกัน ทานอธิบายวา คน
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 141ผทู าํ การแตกรา วกนั ท้งั หมดนี้ มเี สียงดงั ดว ย มีเสียงคลายกันดวย โดยการเปลงเสียงดังลั่นไปรอบ ๆ. บทวา น พาโล โกจิ มฺ ถ ความวาในคนเหลานั้น ไมมีใครแมแตคนเดยี ว ที่จะสาํ คัญคนวา เราเปน คนพาลทกุ ๆ คนเขา ใจตนวา เปนบณั ฑิตทัง้ นัน้ . บทวา นาฺ ภยิ โฺ ย อมฺ รุไดแก ไมมีใคร ๆ แมค นเดยี ว สําคญั ตนวา เราเปน พาล อธิบายวา เม่ือสงฆแตกกัน ตางกม็ ิไดส ําคญั เหตุอืน่ แมอ ยางหนึ่ง ใหยง่ิ ขึ้นไป คอื ไมส าํ คัญถงึ เหตุนวี้ า สงฆแตกกันเพราะเราเปนเหตุ. บทวา ปริมฏุ า แปลวา มีสตหิ ลงลืม.บทวา วาจาโคจรภาณโิ น นี้ ทา นอาเทส ราอักษร ใหเปน ร อักษรความกว็ า พดู ตามอารมณ ไมมสี ตปิ ฏฐานควบคมุ ไดแกพดู พลอย ๆ. บทวาอายิจฺฉนฺติ มขุ ายาน ไดแก พดู ไปเพยี งเพ่ือปรารถนาจะดฝี ป าก อธบิ ายวาแมภกิ ษรุ ูปเดียว ก็ไมยอมสงบปาก ดวยความเคารพในสงฆ. บทวา เยน นตี าความวา อนั ความทะเลาะใด นําไปสูความเปน คนหนาดานน.้ี บทวา น ต วิทูความวา ไมรูถงึ เหตนุ ้นั วา การทะเลาะนี้ มโี ทษอยางน.้ี บทวา เย จ ตอปุ นยฺหนฺติ ความวา คนเหลา ใดเขา ไปผกู โกรธเขา มอี าการเปน ตนวาผูนีไ้ ดด า เราดังนี้. บทวา สนฺตโน แปลวา เปน ของเกา . บทวา ปเรความวา ยกเวนบัณฑติ ท้ังหลายเสยี แลว ผูกอการทะเลาะเหลา อ่นื ชื่อวาคนเหลา อน่ื จากบณั ฑติ น้ัน คนเหลานั้น เมอ่ื กอการทะเลาะกันในทามกลางสงฆน ี้ยอมไมรูวา พวกเราจะยอยยบั คือจะฉิบหายใกลตายเขา ไปทกุ ขณะมิไดข าด.บทวา เย จ วิชานนตฺ ิ ความวา บรรดาคนเหลานั้น คนเหลา ใดเปนบัณฑิต รูตวั วา พวกเราอยใู กลม จั จดุ งั นี้. บทวา ตโต สมมฺ นฺติ เมธคาความวา กบ็ ัณฑิตเหลา น้ัน รอู ยูอยางน้ี เกิดโยนโิ สมนสกิ าร ยอมปฏิบตั ิเพือ่ ความเขา ไปสงบระงับ ความบาดหมางและความทะเลาะ. คาถาวา อฏ จิ ฺฉิทาเปนตนน้ีมีมาในชาดก ทา นกลาวหมายถึง พระเจา พรหมทัตและทฆี าวกุ มุ าร.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 142 ในพระคาถาน้ี มีใจความดังตอไปน้ี แมคนเหลาน้ัน คือคนท่จี องเวรกนัถงึ ปานนั้น ยงั คืนดกี นั ได เหตใุ ดพวกเธอจึงไมค ืนดีกนั เลา. เพราะพวกเธอยังไมถึงกบั แชงชักหกั กระดูกกัน ยงั ไมถงึ กบั ลา งผลาญชวี ติ กนั ยังไมถ งึ กับลกั โค มา และทรพั ยกัน. ตรสั พระคาถามอี าทิวา สเจ ลเภถ ดังนไ้ี ว เพื่อจะทรงแสดงคุณและโทษแหงสหายทีเ่ ปนบณั ฑิต และสหายทเี่ ปน พาล. บทวาอภิภยุ ยฺ สพฺพานิ ปริสสฺ ยานิ ความวา พึงชน่ื ชม มีสติ เทีย่ วไปกบัสหายผคู มุ กันอนั ตรายท้งั ท่ีปรากฏและไมปรากฏไดนั้น. บทวา ราชาว รฏ วชิ ติ ความวา พึงเที่ยวไปเหมือนพระมหาชนก และพระเจา อรนิ ทมมหาราชท่ีทรงละแวน แควน ซง่ึ พระองคท รงรบชนะแลว เสด็จเทย่ี วไปแตผ ูเดยี ว.บทวา มาตงคฺ รเฺ ว ความวา เหมือนชางมาตังคะเทยี่ วไปในปาฉะนน้ั . ชางธรรมดาทา นเรยี กวา มาตงั คะ. บทวา นาโค นี้ เปน ช่อื ของชางใหญ. ทา นจงึ กลา วไวดงั นีว้ าเที่ยวไปแตผูเดยี ว ไมกระทาํ ความชั่วทั้งหลายเหมอื นชางมาตังคะตวั เล้ยี งแม เท่ยี วไปในปาแตต ัวเดียว ไมก ระทําความชัว่และเหมอื นชางปารเิ ลยยกะฉะน้ัน. บทวา พาลกโลณการคาโม ไดแ กบานสวยของอบุ าลีคฤหบดี. ในบทวา เตนปุ สงฺกมิ น้ี มคี ําถามวา เสดจ็เขา ไปทําไม. ตอบวา ไดย นิ วา พระองคทรงเหน็ โทษในการอยเู ปนหมูของทานพระภคุน้นั ทรงปรารถนาจะเห็นภิกษอุ ยูอยา งโดดเดย่ี ว ฉะน้ันจึงเสดจ็ เขาไปในพาลกโลณการคาม เหมอื นคนถกู ความหนาวเปน ตน เบียดเบียนแลวปรารถนาความอบอนุ เปน ตน ฉะนน้ั . บทวา ธมฺมยิ า กถาย ความวาปฏสิ งั ยุตดว ยอานิสงสในความอยโู ดดเดี่ยว. ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผูมีพระภาคเจา จงึ เสดจ็ เขาไปในปาจีนวงั สทายวนั นน้ั .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 143 ตอบวา พระผูมีพระภาคเ จา ทรงมีพุทธประสงคจ ะพบภิกษทุ งั้ หลายผูกอการทะเลาะกัน แลวกลับอยดู วยความสมคั รสมานสามคั คกี นั หลังแตเ หน็โทษของความทะเลาะน้นั เพราะฉะนั้นจงึ เสดจ็ เขา ไปในปาจีนวังสทายวนั นั้นดจุ คนถูกความหนาวเปนตนเบียดเบียนแลว ปรารถนาความอบอุนเปน ตนฉะน้ัน. บทวา อายสมฺ า จ อนุรุทฺโธ เปนตน มีนยั ดังกลา วแลว นัน่ แหละ.บทวา อตถฺ ิ ปน โว ความวา พงึ ถามโลกตุ ตรธรรมดว ยคาํ ถามคร้ังหลังสดุ .ก็โลกุตตรธรรมน้ันไมม ีแกพ ระเถระทง้ั หลาย เพราะฉะน้ัน การถามถงึ โลกตุ ตร-ธรรมจงึ ไมส มควรเลย เพราะฉะนนั้ ทา นจึงถามถงึ โอภาสแหง บริกรรม. บทวา โอภาส เยว สฺชานาม ไดแ ก รูสึกแสงสวางแหง บรกิ รรม.บทวา ทสฺสนฺจ รปู าน ไดแ กร ูชดั การเห็นรปู ดวยทิพยจกั ษุ. บทวาตฺจ นิมติ ฺต น ปฏิวิชฌาม ความวา กโ็ อภาสและการเห็นรูปของขาพระองคท ัง้ หลาย ยอ มหายไปดว ยเหตใุ ด ขาพระองคทงั้ หลายยงั ไมรูซง้ึ ซึง่ เหตุนั้น. บทวา ต โข ปน โว อนรุ ุทฺธา นิมิตตฺ ปฏวิ ิชฺฌติ พพฺ ความวา พวกเธอควรรเู หตุน้นั . พระผูมีพระภาคเจาทรงปรารภเทศนานี้ ดวยคํานีอ้ าทิวา อห ป สทุ ดงั นี้ กเ็ พือ่ จะทรงแสดงวาดกู อ นอนรุ ทุ ธะ พวกเธอหมนหมองอยูหรอื หนอ แมเราก็เคยหมนหมองมาแลวดวยอุปกิเลส ๑๑ ประการเหลา น.ี้ ในบทวา วิจิกจิ ฉฺ า โข เม เปน ตน ความวา พระมหาสัตว เจริญอาโลกกสณิ แลวเห็นรปู มีอยางตาง ๆ ดวยทพิ ยจักษุจงึ เกิดวิจกิ ิจฉาวา น้ีอะไรหนอ นีอ้ ะไรหนอ. บทวา สมาธิ จวิ ความวาบริกรรมสมาธจิ งึ เคลอ่ื น. บทวา โอภาโส ความวา แมโอภาสแหงบรกิ รรมก็หายไป คือไมเ ห็นรปู แมด วยทพิ ยจกั ษ.ุ บทวา อมนสกิ าโร ความวาวิจกิ จิ ฉายอ มเกิดแกผูท่ีเห็นรูป คือเกิดอมนสิการวา บดั นเ้ี ราจะไมใสใจอะไร ๆ.บทวา ถีนมิทธฺ ความวา เมื่อไมใ สใ จถึงอะไร ๆ ถีนมิทธะกเ็ กิดขึ้น. บทวาฉมภฺ ิตตตฺ ความวา ภกิ ษเุ จรญิ อาโลกกสณิ มงุ หนา ไปทางหิมวนั ตประเทศ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 144ไดเห็นสัตวตา ง ๆ เชน ยกั ษ ผีเสือ้ น้ํา และงเู หลอื มเปนตน ท่ีนน้ั ความหวาดเสยี วเกดิ ข้นึ แลว แกเธอ. บทวา อพุ พฺ ิล ความวา เมื่อภิกษคุ ิดวา สิ่งทเ่ี ราเห็นวา นา กลัว เวลาแลดตู ามปกติยอ มไมมี เม่ือไมม ี ทําไมจะตองไปกลัวดงั นี้ความตืน่ เตนกห็ มดไป. บทวา สกึเทว ความวา พึงพบชมุ ทรพั ย ๕ ชุม ดว ยการขุดคนเพียงครัง้ เดยี วเทานนั้ . บทวา ทฏุ ลุ ลฺ ความวา ความเพยี รอนัเราประคองไวอ ยา งมนั่ คง ไดถูกความต่นื เตน ท่เี กิดแกเรานนั้ กระทําใหย อหยอน. แตน ั้นจะมีแตความกระวนกระวาย. บทวา กายทุฏ ลุ ลฺ ความวาความกระวนกระวายคือภาวะทีร่ างกายเกยี จครา นก็เกิดขน้ึ . บทวา อจจฺ ารท-ฺธวิริย ความวา ความเพยี รท่ีปรารภเกินไป เกิดแลวแกภิกษผุ ูเร่ิมตัง้ ความเพียรใหม ดวยคิดวา ความตื่นเตนทําความเพยี รของเราใหย อหยอน ความช่ัวรา ยจงึ เกดิ ข้ึนได. บทวา ปตเมยฺย แปลวา พงึ ตาย. บทวา อติลนี วริ ยิ ความวาเมือ่ เราประคองความเพียร ก็เปน อยางนี้ เมือ่ ทาํ ความเพียรยอหยอ นความเพียรทีห่ ยอ นยาน กเ็ กดิ ขน้ึ ไดอ ีก. บทวา อภิชปฺปา ความวา เม่ือเราเจรญิ อาโลกกสณิ มุง ตรงเฉพาะเทวโลก เหน็ หมเู ทวดา ตณั หาก็เกดิ ขน้ึ . บทวา นานตฺตสฺ า ความวาเมอ่ื เราเจริญอาโลกกสณิ มุงตรงเฉพาะเทวโลกตามกาล แลว ใสใ จถึงรปู มีอยา งตา ง ๆ กนั ดว ยคดิ วา เมื่อเราใสใจถงึ รปู ท่ีมีกําเนดิ อยา งเดียวกนั ตัณหากระซิบหูเกิดขน้ึ แลว เราจะใสใ จถึงรปู มอี ยางตา ง ๆ ดงั นี้ ความสาํ คัญสภาวะวาตา งกันก็เกดิ ข้ึน. บทวา อตินชิ ฺฌายิตตฺต ความวา เมื่อเราใสใจถงึ รูปมอี ยางตาง ๆกนั ความสําคญั สภาวะวาตางกนั ก็เกดิ ขึน้ เม่อื เราต้งั ใจวา จะใสใ จถงึ รูปทม่ี ีกาํ เนดิ อยา งเดียวกนั จะนา ปรารถนาหรอื ไมก ็ตามที แลวใสใจอยางนน้ั รปู ท่ีมกี ารเพง เล็งเกนิ ไปเปน ลกั ษณะกเ็ กิด.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 145 บทวา โอภาสนมิ ิตตฺ มนสกิ โรมิ ความวา เราไดมีความรดู ังนี้วา เราใสใจแตแสงสวางแหงบรกิ รรมอยางเดียว. บทวา น จ รูปานิ ปสสฺ ามิความวา เราไมเ ห็นรูปดว ยทิพยจักษุ. บทวา รูปนิมิตตฺ มนสกิ โรมิ ความวาเราใสใจถึงรปู ท่ีเปนอารมณเ ทานน้ั ดว ยทพิ ยจักษ.ุ บทวา ปริตฺตฺเจว โอภาส ไดแก แสงสวา งในพระกมั มฏั ฐานนิดหนอย. บทวา ปรติ ตฺ านิ จ รปู านิ ไดแ ก รูปในพระกมั มฏั ฐานนิดหนอย. บัณฑติ พงึ ทราบทุตยิ วาร โดยปรยิ ายตรงกนั ขาม. บทวา ปรติ ฺโตสมาธิ ไดแ ก โอภาสแหงบริกรรมนดิ หนอย. แตในที่นี้ ทา นกลา วบรกิ รรมสมาธวิ า นิดหนอ ยดงั นี้ หมายถึงแสงสวางเลก็ นอ ย. บทวา ปริตตฺ ตสมฺ ึสมเย ความวา ในสมัยนนั้ แมท ิพยจกั ษุ กม็ ีเล็กนอย. แมใ นอัปปมาณวารก็มีนัยนี้เหมอื นกนั . บทวา อวิตกกฺ ป วิจารมตตฺ ไดแ ก สมาธใิ นทตุ ิยฌานในปญจกนัย.บทวา อวิตกฺก ป อวจิ าร ไดแ ก สมาธิในหมวด ๓ แหง ฌาน ท้ังในจตกุ กนัยทั้งในปญจกนัย. บทวา สปปฺ ต กิ ไดแก สมาธิในทกุ ฌาน และติกฌาน. บทวา นปิ ปฺ ต กิ ไดแ ก สมาธใิ นทุกทกุ ฌาน. บทวา สาตสหคตตไดแก สมาธิในติกจตุกกฌาน. บทวา อุเปกขฺ าสหคต น้ี ในจตุกกนยั ไดแก สมาธใิ นจตตุ ถฌาน ในปญจกนัยไดแก สมาธใิ นปญจมฌาน. ถามวา กพ็ ระผมู พี ระภาคเจาทรงเจรญิ สมาธิมีอยาง ๓ นี้ ในเวลาไหน. ตอบวา พระผูมีพระภาคเจา ประทบั นงั่ ณ ควงมหาโพธพิ ฤกษ ทรงเจรญิ สมาธอิ ยางนใ้ี นปจ ฉิมยาม.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 146 กป็ ฐมมรรค ไดเปน องคป ระกอบแหงปฐมฌานแกพ ระผมู ีพระภาคเจา.ทตุ ยิ มรรคเปนตน ก็ไดเปนองคป ระกอบแหงทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และ จตุตถ-ฌาน. ในปญ จกนยั ปญจมฌานไมมีมรรค. คําวา มรรคน้นั จัดเปน โลกีน้ี ทา นกลาวหมายถึงมรรคที่เจือดวยโลกยิ ะและโลกุตตระ. คําทเี่ หลือในบทท้งัปวง งายท้ังนัน้ . จบอรรถกถาอปุ กกเิ ลสสตู รที่ ๘
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 147 ๙. พาลบัณฑติ สูตร [๔๖๗] ขาพเจา ไดสดบั มาอยางนี:้ - สมยั หน่งึ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยูที่ พระวหิ ารเชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยน้นั แล พระผมู พี ระภาคเจาตรัสเรียกภกิ ษุทง้ั หลายวา ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย. ภิกษุเหลานัน้ ทูลรับพระดํารสั แลว . [๔๖๘] พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสดงั นวี้ า ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลายลกั ษณะเครอ่ื งหมาย เคร่อื งอา ง วาเปนพาลของคนพาลนีม้ ี ๓ อยาง ๓ อยางเปน ไฉน. ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย คนพาลในโลกนมี้ กั คิดความคดิ ท่ีชว่ั มกั พดูคาํ พดู ทีช่ัว มักทาํ การทาํ ทช่ี ่ัว ถาคนพาลจักไมเปนผูคดิ ความคิดท่ีชวั่ พูดคาํ พูดท่ชี วั่ และทาํ การทําทช่ี ว่ั บณั ฑิตพวกไหนจะพึงรูจกั เขาไดว า ผนู ีเ้ ปนคนพาล เปน อสัตบุรุษ เพราะคนพาลมกั คดิ ความคดิ ท่ชี ัว่ มกั พูดคําพูดทชี่ ่ัวและมักทําการทาํ ทช่ี ่วั ฉะนัน้ พวกบัณฑติ จงึ รูไดว า น้ีเปน คนพาล เปนอสตั บรุ ษุ ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย คนพาลนนั้ นนั่ แล ยอ มเสวยทุกขโ ทมนสั๓ อยางในปจ จุบัน. [๔๖๙] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ถาคนพาลนัง่ ในสภากด็ ี ริมถนนรถก็ดีรมิ ทางสามแพรงก็ดี ชนในท่ีนนั้ ๆ จะพูดถอยคําที่พอเหมาะพอสมแกเขา ถาคนพาลมักเปน ผูทําชีวิตสัตวใ หตกลวง มกั ถือเอาสิ่งของที่เจา ของมไิ ดให มักประพฤติผดิ ในกาม มกั พูดเท็จ มปี กติตั้งอยใู นความประมาทเพราะด่ืมนาํ้ เมาคือสุราและเมรัย ในเรอ่ื งท่ชี นพูดถอยคาํ ทพี่ อเหมาะพอสมแกเขาน้ัน แลคนพาลจะมคี วามรูส กึ อยางน้ีวา สภาพเหลา น้ันมอี ยใู นเรา และเรากป็ รากฏในสภาพเหลา นั้นดวย ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย คนพาลยอมเสวยทกุ ข โทมนสั ขอที่หนงึ่ นี้ในปจ จบุ ัน.
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 148 วา ดว ยกรรมกรณ ๒๖ อยา ง [๔๗๐] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ประการอืน่ ยงั มีอีก คนพาลเห็นราชาท้งั หลายจับโจรผูประพฤติผดิ มาแลว สงั่ ลงกรรมกรณต างชนิด คือ ๑. โบยดว ยแส ๒. โบยดวยหวาย ๓. ตดี วยตะบองสั้น ๔. ตดั มอื ๕. ตัดเทา ๖. ตดั ทัง้ มือทั้งเทา ๗. ตดั หู ๘. ตดั จมกู ๙. ตดั ทง้ั หูท้งั จมกู ๑๐. หมอ เค่ียวนาํ้ สม ๑๑. ขอดสังข ๑๒. ปากราหู ๑๓. มาลยั ไฟ ๑๔. คบมือ ๑๕. ริว้ สาย ๑๖. นงุ เปลอื กไม ๑๗. ยืนกวาง ๑๘. เกย่ี วเหย่ือเบ็ด ๑๙. เหรียญกษาปณ ๒๐. แปรงแสบ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 149 ๒๑. กางเวียน ๒๒. ตงั้ ฟาง ๒๓. ราดดว ยนาํ้ มันเดือด ๆ ๒๔. ใหสนุ ขั ท้งึ ๒๕. ใหน อนหงายบนหลาวท้ังเปน ๆ ๒๖. ตัดศรี ษะดว ยดาบ.ในขณะทีเ่ หน็ นัน้ คนพาลจะมีความรสู ึกอยางนีว้ า เพราะเหตุแหง กรรมช่วัปานใดแล ราชาทั้งหลายจงึ จบั โจรผูประพฤติผิดมาแลว สัง่ ลงกรรมกรณบางชนดิ คือ โบยดว ยแสบาง ฯลฯ ตัดศรี ษะดวยดาบบา ง กส็ ภาพเหลา นั้นมอี ยูในเรา และเราก็ปรากฏในสภาพเหลา น้ันดว ย ถา แมราชาทง้ั หลายรจู กั เราก็จะจับเราแลว ส่ังลงกรรมกรณตา งชนิด คือ โบยดว ยแสบ าง ฯลฯ ใหนอนหงายบนหลาวท้งั เปน ๆ บาง ตัดศรี ษะดว ยดาบบาง ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายคนพาลยอมเสวยทุกขโ ทมนัสขอท่ีสองแมน ี้ในปจ จุบัน วา ดวยพาลเสวยทกุ ขใ นปจ จุบนั [๔๗๑] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ประการอ่ืนยังมีอีก กรรมลามกที่คนพาลทาํ ไวใ นกอ น คือ กายทจุ ริต วจที ุจรติ มโนทุจริต ยอมปกคลมุครอบงาํ คนพาลผอู ยบู นตัง้ หรือบนเตยี ง หรอื นอนบนพ้นื ดนิ ในสมยั นั้นเปรยี บเหมอื นเงายอดภูเขาใหญ ยอมปกคลมุ ครอบงาํ แผนดินในสมัยเวลาเยน็ฉนั ใด ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ฉนั นน้ั เหมอื นกนั แล กรรมลามกท่คี นพาลทําไวในกอ น คอื กายทุจรติ วจที จุ รติ มโนทจุ ริต ยอ มปกคลุม ครอบงําคนพาลผูอยบู นตั้ง หรือบนเตียง หรอื นอนบนพืน้ ดินในสมัยนน้ั ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 150ในสมยั น้นั คนพาลจะมีความรูส กึ อยางน้วี า เราไมไดท าํ ความดี ไมไดท าํ กุศลไมไ ดทําเครอ่ื งปอ งกนั ความหวาดกลัวไว ทาํ แตความชัว่ ทําแตความรายทําแตความเลว ละโลกน้ีไปแลว จะไปสคู ติของคนท่ไี มไดท าํ ความดี ไมไดทาํ กุศล ไมไดท าํ เครื่องปอ งกนั ความหวาดกลัวไว ซ่งึ ทาํ แตค วามชั่ว ความรา ยและความเลว เปน กาํ หนด คนพาลนั้นยอมเศรา โศก ลําบากใจ คร่ําครวญร่ําไห ทมุ อก ถงึ ความหลงพรอ ม ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย คนพาลยอมเสวยทกุ ขโทมนสั ขอท่สี ามนแ้ี ลในปจ จบุ ัน. [๔๗๒] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย คนพาลน้ันนนั่ แลประพฤติทจุ รติทางกาย ทางวาจา ทางใจแลว เมอ่ื ตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทุคติ วนิ ิบาตนรก ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเมือ่ จะกลาวถงึ อบาย ซึง่ เขาพดู หมายถึงนรกนน่ั แลโดยชอบ พึงกลาวไดว า เปนสถานทีไ่ มนา ปรารถนา ไมนา ใคร ไมน าพอใจสว นเดยี ว ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เพียงเทา น้แี มจ ะเปรียบอปุ มาจนถงึ นรกเปนทกุ ข กไ็ มใชง ายนกั . [๔๗๓] เมื่อพระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว อยางน้ี ภิกษรุ ูปหน่งึ ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจา ดังนว้ี า ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ อาจเปรียบอปุ มาไดห รือไม พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ดกู อ นภิกษุ อาจเปรยี บได แลว ตรัสตอ ไปวา ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย เปรียบเหมือนพวกราชบุรุษจบั โจรผูประพฤติผิดมาแสดงแตพ ระราชาวา ขอเดชะ ผูน้เี ปน โจรประพฤติผิดตอ พระองค. ขอพระองคโ ปรดลงอาชญาท่ที รงพระราชประสงคแ กมนั เถดิ พระราชาทรงสัง่ การนนั้ อยา งน้ีวา ทานผูเจรญิ ไปเถดิ พวกทานจึงเอาหอกรอยเลมแทงบุรษุ น้ใี นเวลาเชา พวกราชบุรุษจึงเอาหอกรอ ยเลมแทงบรุ ุษน้ัน ในเวลาเชา คร้นั เวลากลางวนั พระราชาตรสั ถามอยา งนี้วา พอมหาจําเรญิ บุรษุ น้ัน เปนอยา งไรพวกราชบุรุษกราบทูลวา ขอเดชะ ยงั เปน อยอู ยางเดิมพระเจา ขา พระราชา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 535
Pages: