Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_23

tripitaka_23

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_23

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 135ก็ลกั ษณะท่ีเพง เลง็ รูปเกินไปเปนเหตุ สมาธขิ องเราจงึ เคลือ่ น เม่ือสมาธิเคลอ่ื นแลว แสงสวางและการเห็นรูปจึงหายไปได เราจกั ทาํ ใหไ มเ กดิ วิจิกิจฉา อมน-สกิ าร ถีนมทิ ธะ ความหวาดเสียว ความตน่ื เตน ความชั่วหยาบ ความเพยี รปรารภเกินไป ความเพยี รท่ียอ หยอนเกนิ ไป ตัณหาท่ีคอยกระซบิ ความสําคญั สภาวะวา ตางกนั และลักษณะทเี่ พง เล็งรูปเกนิ ไปข้ึนแกเ ราไดอ ีก. [๔๖๓] ดูกอ นอนุรุทธะ... เราน้ันแลรูว า วิจิกิจฉาเปนเคร่อื งเกาะจติใหเศราหมอง จงึ ละวจิ กิ จิ ฉาอันเกาะจติ ไหเ ศราหมองเสียได รูว าอมนสกิ ารเปนเครอื่ งเกาะใหจิตเศราหมอง จึงละอมนสิการอันเกาะจติ ใหเศราหมองเสียไดรวู า ถีนมทิ ธะเปน เครื่องเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละถนี มทิ ธะอันเกาะจิตใหเศราหมองเสยี ได รูว า ความหวาดเสยี วเปน เครอ่ื งเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความหวาดเสยี ว อนั เกาะจิตใหเ ศราหมองเสียได รวู า ความต่ืนเตน เปนเคร่อื งเกาะจิตใหเศราหมอง จึงจะความตื่นเตนอันเกาะจติ ใหเ ศราหมองเสยี ไดรวู า ความชวั่ หยาบเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความช่วั หยาบอันเกาะใหเ ศรา หมองเสยี ไดรวู า ความเพยี รท่ีปรารภเกนิ ไปเปนเคร่อื งเกาะจิตใหเศรา หมอง จึงละความเพียรท่ปี รารภเกนิ ไปอันเกาะจติ ใหเศราหมองเสียได รูวาความเพียรทย่ี อ หยอ นเกนิ ไปเปน เคร่ืองเกาะจิตใหเศราหมอง จึงละความเพยี รยอหยอนเกนิ ไปอนั เกาะจติ ใหเศรา หมองเสยี ไดรูวา ตัณหาท่คี อยกระซบิ เปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเ ศรา หมอง จึงละตัณหาท่คี อยกระซิบอันเกาะจติ ใหเศรา หมองเสยี ไดร ูวา ความสําคญั สภาวะวา ตางกนั เปน เคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมอง จงึละความสาํ คัญ สภาวะวา ตางกนั อนั เกาะจิตใหเศราหมองเสียได รวู า ลักษณะท่ีเพงเลง็ รปู เกนิ ไปเปนเครอื่ งเกาะจติ ใหเศราหมอง จึงละลกั ษณะทเี่ พง เลง็ รูปเกินไปอนั เกาะจิตใหเ ศราหมองเสียได.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 136 วา ดวยการเกิดปรวิ ิตก [๔๖๔] ดกู อนอนุรทุ ธะ... เรานัน้ ผูไ มป ระมาท มคี วามเพียร มีตนสง ไปแลว ยอ มรสู กึ แสงสวา งอยา งเดยี วแล แตไ มเห็นรปู เห็นรปู อยางเดยี วแล แตไ มร ูสกึ แสงสวาง ตลอดกลางคนื บาง ตลอดกลางวนั บา ง ตลอดทัง้กลางคืนและกลางวันบาง เรานัน้ จึงมคี วามดํารดิ งั นีว้ า อะไรหนอแล เปน เหตุเปน ปจ จยั ใหเ รารูสกึ แสงสวางอยา งเดยี วแล แตไ มเ หน็ รูป เหน็ รูปอยา งเดียวแล แตไ มร สู ึกแสงสวาง ตลอดกลางคนื บา ง ตลอดกลางวนั บา ง ตลอดท้ังกลางคนื และกลางวนั บา ง ดกู อ นอนุรทุ ธะ เรานั้นไดมีความรูดงั นีว้ า สมัยใดเราไมใ สใจ นมิ ติ หรือรปู ใสใจแตนมิ ิตคือแสงสวาง สมัยนน้ั เรารูสกึแสงสวางอยา งเดยี วแล แตไมเ หน็ รปู สวนสมยั ใดเราไมใสใจนมิ ิตคอื แสงสวางใสใจแตน มิ ติ คอื รูป สมยั น้ัน เรายอมเห็นรูปอยางเดียวแล แตไมรสู กึ แสงสวางตลอดกลางคืนบาง ตลอดกลางวันบาง ตลอดท้ังกลางคืนและกลางวันบา ง. วา ดว ยสมาธิภาวนา ๓ อยา ง [๔๖๕] ดกู อ นอนรุ ทุ ธะ... เรานัน้ รไู มป ระมาท มีความเพยี ร มตี นสง ไปแลว ยอมรูส กึ แสงสวา งเพียงนดิ หนอย เหน็ รปู ไดนดิ หนอย และรูลกึแสงสวา งอยางหาประมาณมิได เห็นรปู อยางหาประมาณมไิ ด ตลอดกลางคืนบา ง ตลอดกลางวันบาง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวนั บาง เราจงึ มีความดาํ ริดังนีว้ า อะไรหนอแล เปน เหตุ เปนปจจยั ใหเ รารูสกึ แสงสวางเพยี งนิดหนอ ยเหน็ รูปไดน ดิ หนอ ย และรูสกึ แสงสวา งอยางหาประมาณมไิ ด เห็นรปู อยางหาประมาณมิได ตลอดกลางคนื บาง ตลอดกลางวันบา ง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบา ง ดูกอนอนุรุทธะ เราน้นั ไดม ีความรดู ังนวี้ า สมัยใด เรามีสมาธินดิ หนอ ย สมยั นั้น เราก็มจี กั ษนุ ดิ หนอย ดวยจักษุนดิ หนอ ย เรานัน้ จึงรสู กึ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 137แสงสวา งเพียงนดิ หนอย เห็นรปู ไดน ิดหนอย สวนสมัยใด เรามสี มาธหิ าประมาณมไิ ด สมัยน้ัน เราก็มจี กั ษหุ าประมาณมิได ดว ยจักษหุ าประมาณมไิ ดเรานน้ั จึงรสู ึกแสงสวางหาประมาณมไิ ด แลเหน็ รูปหาประมาณมไิ ด ตลอดกลางคืนบา ง ตลอดกลางวันบา ง ตลอดทงั้ กลางคนื และกลางวนั บาง. ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ เพราะเรารวู าวจิ ิกิจฉาเปนเครื่องเกาะจิตใหเศราหมองแลว เปน อนั ละวิจกิ จิ ฉาอนั เกาะจติ ใหเศรา หมองได รูว า อมนสิการเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมองแลวเปนอันละอมนสิการอัน เกาะจิตใหเศรา หมองได รวู าถนี มิทธะเปนเคร่อื งเกาะจติ ใหเ ศรา หมองแลว เปน อนั ละถนี มิทธะอัน เกาะจิตใหเศราหมองได รวู าความหวาดเสยี วเปนเครื่องเกาะจติ ใหเศรา หมองแลว เปนอันละความหวาดเสียวอนั เกาะจิตใหเ ศราหมองไดร ูวา ความตืน่ เตน เปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศรา หมองแลว เปน อันละความตื่นเตนอันเกาะจิตใหเ ศรา หมองไดรวู าความชัว่ หยาบเปน เครื่องเกาะจติ ใหเศราหมองแลว เปน อนั ละความชว่ั หยาบอันเกาะจติ ใหเศราหมองได รูวา ความเพยี รที่ปรารภเกนิ ไปเปนเคร่ืองเกาะจิตใหเ ศราหมองแลว เปนอันละความเพียรท่ปี รารภเกนิ ไปอันเกาะจิตใหเศราหมองได รูวา ความเพียรทย่ี อหยอ นเกินไปเปนเครื่องเกาะจติ ไหเ ศราหมองแลวเปนอนั ละความเพียรทีย่ อ หยอนเกินไปอันเกาะจิตใหเ ศราหมองได รวู าตัณหาที่คอยกระซบิ เปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเศราหมองแลว เปนอันละตณั หาทค่ี อยกระซิบอันเกาะจติ ใหเ ศราหมองไดรวู า ความสาํ คญั สภาวะวา ตา งกนั เปนเครอื่ งเกาะจิตใหเ ศรา หมองแลว เปน อนั ละความสําคญั สภาวะวา ตางกันอันเกาะจติ ใหเศราหมองได รวู า ลกั ษณะทเี่ พงเลง็ รปู เกินไปเปนเครอ่ื งเกาะจติ ใหเ ศราหมองแลว เปน อันละลกั ษณะท่ีเพงเลง็ รปู เกนิ ไปอนั เกาะจิตใหเ ศรา หมองได เรานั้นจงึ ไดม ีความรดู ังนวี้ า เคร่อื งเกาะจิตใหเศรา หมองนนั้ ๆ ของเรา เราละไดแลว แลดงั นี้ เราจงึ เจริญสมาธิโดยสว นสามไดในบัดน้.ี

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 138 [๔๖๖] ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ... เราน้ันไดเจริญสมาธมิ ีวิตกมีวิจารบา ง ไดเจริญสมาธไิ มมีวิตกมีแตวิจารบาง ไดเจริญสมาธิไมม วี ิตกไมม วี จิ ารบาง ไดเจริญสมาธมิ ีปตบิ าง ไดเ จรญิ สมาธิไมมปี ติบาง ไดเ จรญิ สมาธสิ หรคตดว ยสขุบา ง ไดเจรญิ สมาธิสหรคตดว ยอุเบกขาบา ง. ดกู อ นอนุรทุ ธะ เพราะสมาธชิ นิดทมี่ ีวติ กมีวจิ ารบาง ชนิดท่ีไมมีวิตกมีแตวิจารบาง ชนิดทไี่ มม วี ิตกไมม ีวิจารบาง ชนิดทม่ี ปี ติบา ง ชนดิ ทไี่ มมีปติบา ง ชนิดที่สหรคตดวยสขุ บาง ชนิดทส่ี หรคตดวยอุเบกขาบาง เปนอนั เกดิเจริญแลว ฉะนน้ั แล ความรูค วามเห็นจงึ ไดเ กิดข้นึ แกเราวา วมิ ุตตขิ องเราไมกาํ เริบ ชาตนิ เ้ี ปนชาตทิ สี่ ุด บัดน้ีความเกดิ ใหมย อ มไมม.ี พระผูม ีพระภาคเจาไดต รัสพระภาษิตนแี้ ลว ทา นพระอนรุ ทุ ธะ จึงชืน่ ชมยินดี พระภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจาแล. จบอุปก กเิ ลสสตู รที่ ๘

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 139 อรรถกถาอปุ ก กเิ ลสสูตร อุปกกเิ ลสสตู ร มีบทเรม่ิ ตน วา ขาพเจา ไดส ดบั มาอยางนี:้ - บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา เอตทโวจ ความวา มิใชก ราบทลูดว ยความประสงคจ ะใหแตกแยกกัน และมใิ ชเ พอ่ื จะประจบ แทจ ริง ภิกษนุ น้ัไดความคดิ อยา งน้วี า ภกิ ษเุ หลานี้เช่อื ฟง เราแลว จักงดเวน และธรรมดาพระพุทธเจาทัง้ หลาย ทรงมงุ อนเุ คราะหเ พ่อื ประโยชนสถานเดียว พระองคจักตรัสบอกเหตอุ ยา งหน่งึ แกภกิ ษุเหลา นีเ้ ปนแน ภกิ ษุเหลานนั้ ฟง เหตเุ หลา น้ันแลวจกั งดเวน แตนน้ั ภกิ ษุเหลานน้ั จกั อยอู ยา งผาสกุ . เพราะเหตนุ นั้ ภกิ ษนุ ัน้ จงึกราบทูลคํามีอาทิวา อธิ ภนเฺ ต ดงั นี.้ ในบทเปนตน วา มา ภณฑฺ น พึงเตมิ ปาฐะท่ีเหลือวา อกตฺถ เปนตนเขาไปดวย แลวถือเอาความอยา งนว้ี ามา ภณฑฺ น อยา ทําการขดั แยงกนั . บทวา อฺ ตโร ความวา ไดย นิ วาภิกษนุ น้ั มงุ ประโยชนตอ พระผมู พี ระภาคเจา คือไดย นิ วา ภิกษนุ ้ันมคี วามประสงคอยางนีว้ า ภกิ ษุเหลานี้ ถกู ความโกรธครอบงาํ แลว จะไมเชอ่ื ฟงคาํ สอนของพระศาสดา ขอพระผมู พี ระภาคเจา เน้อื กลา วสอนภิกษเุ หลา นอ้ี ยูอยา ทรงลาํ บากเลยดงั นี้ เพราะฉะนัน้ จงึ กราบทูลอยางนี.้ บทวา ปณฑฺ าย ปาวสิ ิ ความวา มใิ ชเสดจ็ เขาไปเพอ่ื บิณฑบาตอยา งเดียว แตไ ดทรงอธิฏฐานพระหฤทยั วา คนทเ่ี ห็นเราแลว จงเขา เฝา เรา. ถามวา ทรงอธิฏานเพื่อประโยชนอะไร. ตอบวา เพ่อื ทรงทรมานภิกษเุ หลาน้ัน. ก็พระผูมีพระภาคเจาเสดจ็กลบั จากบิณฑบาตโดยอาการอยา งน้ันแลว ตรัสคาถามอี าทวิ า ปถุ สุ ทฺโทสมชโน ดังนแี้ ลว เสดจ็ ออกจากกรุงโกสมั พีตรงไปยงั พาลกโลณการคาม.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 140แตน ั้นเสด็จไปในปาจีนวงั สมคิ ทายวนั ตอนั้นเสดจ็ เขา ไปยงั ชฏั ปา ชื่อวาปารเิ ลย-ยกะ. อนั ชางตวั ประเสรฐิ ชื่อปารเิ ลยยกะบํารุงอยู ประทบั อยตู ลอดไตรมาส.แมช าวพระนครคิดวา พระศาสดาเสดจ็ เขา ไปสูว ิหารแลว พวกเราจะไปฟงธรรมแลว ถือของหอมดอกไมตรงไปยงั วหิ าร ถามวา ทานเจา ขา พระศาสดาเสด็จไปไหน. ภกิ ษทุ ั้งหลายบอกวา พวกทา นจะเฝา พระศาสดาไดท ไ่ี หน พระองคเสดจ็ มาดวยหวงั วา จกั เกล่ียกลอ มภกิ ษุเหลาน้ีใหส ามัคคกี นั แตไมอ าจทาํ ใหสามคั คีกันไค จึงเสด็จออกไปแลว . พวกชาวเมอื งทงั้ หมดพากันคาดโทษวาพวกเราจะเสียเงินทัง้ รอยหรอื พัน ก็ไมสามารถจะนําพระศาสดามาได ถงึ พวกเราจะไมก ราบทลู วงิ วอน พระองคก จ็ ะเสด็จมาเอง เพราะอาศยั ภิกษุเหลานี้ ทําใหพวกเราไมไดสดบั ธรรมกถาเฉพาะพระพักตรของพระองค ภิกษุเหลา น้ัน บวชเจาะจงพระศาสดา แมเมื่อพระองคท รงกระทาํ ใหส ามัคคีกัน กไ็ มยอมสมัครสมานสามคั คกี นั เชน นี้ จะเช่อื ฟง ใครเลา พอกันที พวกเราอยา ถวายภิกษาแกภิกษุเหลานี้. คร้ันวนั รงุ ขนึ้ ภิกษุเหลานั้นเท่ียวไปบิณฑบาต ทว่ั ทั้งพระนครไมไ ดภกิ ษาแมส กั ทพั พเี ดียว กลบั วหิ ารแลว . แมพ วกอบุ าสกอบุ าสกิ าทง้ั หลายกลาวกะภิกษเุ หลานัน้ อกี วา พวกเราจะลงทัณฑกรรมเชน นแี้ หละแกท า นทั้งหลายจนกวา พวกทา นจะใหพ ระศาสดาทรงอดโทษ. ภกิ ษเุ หลา นน้ั คดิ วา พวกเราจกั ใหพ ระศาสดาอดโทษ เมื่อพระผมู พี ระภาคเจา ยงั ไมทนั เสดจ็ ถงึ พระนครสาวัตถี ไดไปรอคอยอยใู นเมืองสาวตั ถแี ลว พระศาสดาทรงแสดง เภทกรวตั ถุ๑๘ ประการ แกภ กิ ษุเหลานัน้ แลว ในเรื่องน้ีมีขอ ความตามที่กลาวไวใ นบาลี-มุตตกะเพียงเทา น้ี. บัดนีจ้ ะวินิจฉยั ในคาถามอี าทิวา ปุถุสทโฺ ท ดังตอไปนี.้ ช่ือวาปุถสุ ทฺโท เพราะอรรถวา มีเสยี งดงั เสียงใหญทีเดยี ว. บทวา สมชโนไดแก คนทเ่ี หมือนกนั คอื คลาย ๆ คน คนเดยี วกัน ทานอธิบายวา คน

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 141ผทู าํ การแตกรา วกนั ท้งั หมดนี้ มเี สียงดงั ดว ย มีเสียงคลายกันดวย โดยการเปลงเสียงดังลั่นไปรอบ ๆ. บทวา น พาโล โกจิ มฺ ถ ความวาในคนเหลานั้น ไมมีใครแมแตคนเดยี ว ที่จะสาํ คัญคนวา เราเปน คนพาลทกุ ๆ คนเขา ใจตนวา เปนบณั ฑิตทัง้ นัน้ . บทวา นาฺ ภยิ โฺ ย อมฺ รุไดแก ไมมีใคร ๆ แมค นเดยี ว สําคญั ตนวา เราเปน พาล อธิบายวา เม่ือสงฆแตกกัน ตางกม็ ิไดส ําคญั เหตุอืน่ แมอ ยางหนึ่ง ใหยง่ิ ขึ้นไป คอื ไมส าํ คัญถงึ เหตุนวี้ า สงฆแตกกันเพราะเราเปนเหตุ. บทวา ปริมฏุ า แปลวา มีสตหิ ลงลืม.บทวา วาจาโคจรภาณโิ น นี้ ทา นอาเทส ราอักษร ใหเปน ร อักษรความกว็ า พดู ตามอารมณ ไมมสี ตปิ ฏฐานควบคมุ ไดแกพดู พลอย ๆ. บทวาอายิจฺฉนฺติ มขุ ายาน ไดแก พดู ไปเพยี งเพ่ือปรารถนาจะดฝี ป าก อธบิ ายวาแมภกิ ษรุ ูปเดียว ก็ไมยอมสงบปาก ดวยความเคารพในสงฆ. บทวา เยน นตี าความวา อนั ความทะเลาะใด นําไปสูความเปน คนหนาดานน.้ี บทวา น ต วิทูความวา ไมรูถงึ เหตนุ ้นั วา การทะเลาะนี้ มโี ทษอยางน.้ี บทวา เย จ ตอปุ นยฺหนฺติ ความวา คนเหลา ใดเขา ไปผกู โกรธเขา มอี าการเปน ตนวาผูนีไ้ ดด า เราดังนี้. บทวา สนฺตโน แปลวา เปน ของเกา . บทวา ปเรความวา ยกเวนบัณฑติ ท้ังหลายเสยี แลว ผูกอการทะเลาะเหลา อ่นื ชื่อวาคนเหลา อน่ื จากบณั ฑติ น้ัน คนเหลานั้น เมอ่ื กอการทะเลาะกันในทามกลางสงฆน ี้ยอมไมรูวา พวกเราจะยอยยบั คือจะฉิบหายใกลตายเขา ไปทกุ ขณะมิไดข าด.บทวา เย จ วิชานนตฺ ิ ความวา บรรดาคนเหลานั้น คนเหลา ใดเปนบัณฑิต รูตวั วา พวกเราอยใู กลม จั จดุ งั นี้. บทวา ตโต สมมฺ นฺติ เมธคาความวา กบ็ ัณฑิตเหลา น้ัน รอู ยูอยางน้ี เกิดโยนโิ สมนสกิ าร ยอมปฏิบตั ิเพือ่ ความเขา ไปสงบระงับ ความบาดหมางและความทะเลาะ. คาถาวา อฏ จิ ฺฉิทาเปนตนน้ีมีมาในชาดก ทา นกลาวหมายถึง พระเจา พรหมทัตและทฆี าวกุ มุ าร.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 142 ในพระคาถาน้ี มีใจความดังตอไปน้ี แมคนเหลาน้ัน คือคนท่จี องเวรกนัถงึ ปานนั้น ยงั คืนดกี นั ได เหตใุ ดพวกเธอจึงไมค ืนดีกนั เลา. เพราะพวกเธอยังไมถึงกบั แชงชักหกั กระดูกกัน ยงั ไมถงึ กบั ลา งผลาญชวี ติ กนั ยังไมถ งึ กับลกั โค มา และทรพั ยกัน. ตรสั พระคาถามอี าทิวา สเจ ลเภถ ดังนไ้ี ว เพื่อจะทรงแสดงคุณและโทษแหงสหายทีเ่ ปนบณั ฑิต และสหายทเี่ ปน พาล. บทวาอภิภยุ ยฺ สพฺพานิ ปริสสฺ ยานิ ความวา พึงชน่ื ชม มีสติ เทีย่ วไปกบัสหายผคู มุ กันอนั ตรายท้งั ท่ีปรากฏและไมปรากฏไดนั้น. บทวา ราชาว รฏ วชิ ติ  ความวา พึงเที่ยวไปเหมือนพระมหาชนก และพระเจา อรนิ ทมมหาราชท่ีทรงละแวน แควน ซง่ึ พระองคท รงรบชนะแลว เสด็จเทย่ี วไปแตผ ูเดยี ว.บทวา มาตงคฺ รเฺ ว ความวา เหมือนชางมาตังคะเทยี่ วไปในปาฉะนน้ั . ชางธรรมดาทา นเรยี กวา มาตงั คะ. บทวา นาโค นี้ เปน ช่อื ของชางใหญ. ทา นจงึ กลา วไวดงั นีว้ าเที่ยวไปแตผูเดยี ว ไมกระทาํ ความชั่วทั้งหลายเหมอื นชางมาตังคะตวั เล้ยี งแม เท่ยี วไปในปาแตต ัวเดียว ไมก ระทําความชัว่และเหมอื นชางปารเิ ลยยกะฉะน้ัน. บทวา พาลกโลณการคาโม ไดแ กบานสวยของอบุ าลีคฤหบดี. ในบทวา เตนปุ สงฺกมิ น้ี มคี ําถามวา เสดจ็เขา ไปทําไม. ตอบวา ไดย นิ วา พระองคทรงเหน็ โทษในการอยเู ปนหมูของทานพระภคุน้นั ทรงปรารถนาจะเห็นภิกษอุ ยูอยา งโดดเดย่ี ว ฉะน้ันจึงเสดจ็ เขาไปในพาลกโลณการคาม เหมอื นคนถกู ความหนาวเปน ตน เบียดเบียนแลวปรารถนาความอบอนุ เปน ตน ฉะนน้ั . บทวา ธมฺมยิ า กถาย ความวาปฏสิ งั ยุตดว ยอานิสงสในความอยโู ดดเดี่ยว. ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผูมีพระภาคเจา จงึ เสดจ็ เขาไปในปาจีนวงั สทายวนั นน้ั .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 143 ตอบวา พระผูมีพระภาคเ จา ทรงมีพุทธประสงคจ ะพบภิกษทุ งั้ หลายผูกอการทะเลาะกัน แลวกลับอยดู วยความสมคั รสมานสามคั คกี นั หลังแตเ หน็โทษของความทะเลาะน้นั เพราะฉะนั้นจงึ เสดจ็ เขา ไปในปาจีนวังสทายวนั นั้นดจุ คนถูกความหนาวเปนตนเบียดเบียนแลว ปรารถนาความอบอุนเปน ตนฉะน้ัน. บทวา อายสมฺ า จ อนุรุทฺโธ เปนตน มีนยั ดังกลา วแลว นัน่ แหละ.บทวา อตถฺ ิ ปน โว ความวา พงึ ถามโลกตุ ตรธรรมดว ยคาํ ถามคร้ังหลังสดุ .ก็โลกุตตรธรรมน้ันไมม ีแกพ ระเถระทง้ั หลาย เพราะฉะน้ัน การถามถงึ โลกตุ ตร-ธรรมจงึ ไมส มควรเลย เพราะฉะนนั้ ทา นจึงถามถงึ โอภาสแหง บริกรรม. บทวา โอภาส เยว สฺชานาม ไดแ ก รูสึกแสงสวางแหง บรกิ รรม.บทวา ทสฺสนฺจ รปู าน ไดแ กร ูชดั การเห็นรปู ดวยทิพยจกั ษุ. บทวาตฺจ นิมติ ฺต น ปฏิวิชฌาม ความวา กโ็ อภาสและการเห็นรูปของขาพระองคท ัง้ หลาย ยอ มหายไปดว ยเหตใุ ด ขาพระองคทงั้ หลายยงั ไมรูซง้ึ ซึง่ เหตุนั้น. บทวา ต โข ปน โว อนรุ ุทฺธา นิมิตตฺ ปฏวิ ิชฺฌติ พพฺ  ความวา พวกเธอควรรเู หตุน้นั . พระผูมีพระภาคเจาทรงปรารภเทศนานี้ ดวยคํานีอ้ าทิวา อห ป สทุ  ดงั นี้ กเ็ พือ่ จะทรงแสดงวาดกู อ นอนรุ ทุ ธะ พวกเธอหมนหมองอยูหรอื หนอ แมเราก็เคยหมนหมองมาแลวดวยอุปกิเลส ๑๑ ประการเหลา น.ี้ ในบทวา วิจิกจิ ฉฺ า โข เม เปน ตน ความวา พระมหาสัตว เจริญอาโลกกสณิ แลวเห็นรปู มีอยางตาง ๆ ดวยทพิ ยจักษุจงึ เกิดวิจกิ ิจฉาวา น้ีอะไรหนอ นีอ้ ะไรหนอ. บทวา สมาธิ จวิ ความวาบริกรรมสมาธจิ งึ เคลอ่ื น. บทวา โอภาโส ความวา แมโอภาสแหงบรกิ รรมก็หายไป คือไมเ ห็นรปู แมด วยทพิ ยจกั ษ.ุ บทวา อมนสกิ าโร ความวาวิจกิ จิ ฉายอ มเกิดแกผูท่ีเห็นรูป คือเกิดอมนสิการวา บดั นเ้ี ราจะไมใสใจอะไร ๆ.บทวา ถีนมิทธฺ  ความวา เมื่อไมใ สใ จถึงอะไร ๆ ถีนมิทธะกเ็ กิดขึ้น. บทวาฉมภฺ ิตตตฺ  ความวา ภกิ ษเุ จรญิ อาโลกกสณิ มงุ หนา ไปทางหิมวนั ตประเทศ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 144ไดเห็นสัตวตา ง ๆ เชน ยกั ษ ผีเสือ้ น้ํา และงเู หลอื มเปนตน ท่ีนน้ั ความหวาดเสยี วเกดิ ข้นึ แลว แกเธอ. บทวา อพุ พฺ ิล ความวา เมื่อภิกษคุ ิดวา สิ่งทเ่ี ราเห็นวา นา กลัว เวลาแลดตู ามปกติยอ มไมมี เม่ือไมม ี ทําไมจะตองไปกลัวดงั นี้ความตืน่ เตนกห็ มดไป. บทวา สกึเทว ความวา พึงพบชมุ ทรพั ย ๕ ชุม ดว ยการขุดคนเพียงครัง้ เดยี วเทานนั้ . บทวา ทฏุ  ลุ ลฺ  ความวา ความเพยี รอนัเราประคองไวอ ยา งมนั่ คง ไดถูกความต่นื เตน ท่เี กิดแกเรานนั้ กระทําใหย อหยอน. แตน ั้นจะมีแตความกระวนกระวาย. บทวา กายทุฏ ลุ ลฺ  ความวาความกระวนกระวายคือภาวะทีร่ างกายเกยี จครา นก็เกิดขน้ึ . บทวา อจจฺ ารท-ฺธวิริย ความวา ความเพยี รท่ีปรารภเกินไป เกิดแลวแกภิกษผุ ูเร่ิมตัง้ ความเพียรใหม ดวยคิดวา ความตื่นเตนทําความเพยี รของเราใหย อหยอน ความช่ัวรา ยจงึ เกดิ ข้ึนได. บทวา ปตเมยฺย แปลวา พงึ ตาย. บทวา อติลนี วริ ยิ ความวาเมือ่ เราประคองความเพียร ก็เปน อยางนี้ เมือ่ ทาํ ความเพียรยอหยอ นความเพียรทีห่ ยอ นยาน กเ็ กดิ ขน้ึ ไดอ ีก. บทวา อภิชปฺปา ความวา เม่ือเราเจรญิ อาโลกกสณิ มุง ตรงเฉพาะเทวโลก เหน็ หมเู ทวดา ตณั หาก็เกดิ ขน้ึ . บทวา นานตฺตสฺ า ความวาเมอ่ื เราเจริญอาโลกกสณิ มุงตรงเฉพาะเทวโลกตามกาล แลว ใสใ จถึงรปู มีอยา งตา ง ๆ กนั ดว ยคดิ วา เมื่อเราใสใจถงึ รปู ท่ีมีกําเนดิ อยา งเดียวกนั ตัณหากระซิบหูเกิดขน้ึ แลว เราจะใสใ จถึงรปู มอี ยางตา ง ๆ ดงั นี้ ความสาํ คัญสภาวะวาตา งกันก็เกดิ ข้ึน. บทวา อตินชิ ฺฌายิตตฺต ความวา เมื่อเราใสใจถงึ รูปมอี ยางตาง ๆกนั ความสําคญั สภาวะวาตางกนั ก็เกดิ ขึน้ เม่อื เราต้งั ใจวา จะใสใ จถงึ รูปทม่ี ีกาํ เนดิ อยา งเดียวกนั จะนา ปรารถนาหรอื ไมก ็ตามที แลวใสใจอยางนน้ั รปู ท่ีมกี ารเพง เล็งเกนิ ไปเปน ลกั ษณะกเ็ กิด.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 145 บทวา โอภาสนมิ ิตตฺ  มนสกิ โรมิ ความวา เราไดมีความรดู ังนี้วา เราใสใจแตแสงสวางแหงบรกิ รรมอยางเดียว. บทวา น จ รูปานิ ปสสฺ ามิความวา เราไมเ ห็นรูปดว ยทิพยจักษุ. บทวา รูปนิมิตตฺ  มนสกิ โรมิ ความวาเราใสใจถึงรปู ท่ีเปนอารมณเ ทานน้ั ดว ยทพิ ยจักษ.ุ บทวา ปริตฺตฺเจว โอภาส ไดแก แสงสวา งในพระกมั มฏั ฐานนิดหนอย. บทวา ปรติ ตฺ านิ จ รปู านิ ไดแ ก รูปในพระกมั มฏั ฐานนิดหนอย. บัณฑติ พงึ ทราบทุตยิ วาร โดยปรยิ ายตรงกนั ขาม. บทวา ปรติ ฺโตสมาธิ ไดแ ก โอภาสแหงบริกรรมนดิ หนอย. แตในที่นี้ ทา นกลา วบรกิ รรมสมาธวิ า นิดหนอ ยดงั นี้ หมายถึงแสงสวางเลก็ นอ ย. บทวา ปริตตฺ  ตสมฺ ึสมเย ความวา ในสมัยนนั้ แมท ิพยจกั ษุ กม็ ีเล็กนอย. แมใ นอัปปมาณวารก็มีนัยนี้เหมอื นกนั . บทวา อวิตกกฺ  ป วิจารมตตฺ  ไดแ ก สมาธใิ นทตุ ิยฌานในปญจกนัย.บทวา อวิตกฺก ป อวจิ าร ไดแ ก สมาธิในหมวด ๓ แหง ฌาน ท้ังในจตกุ กนัยทั้งในปญจกนัย. บทวา สปปฺ ต กิ  ไดแก สมาธิในทกุ ฌาน และติกฌาน. บทวา นปิ ปฺ ต กิ  ไดแ ก สมาธใิ นทุกทกุ ฌาน. บทวา สาตสหคตตไดแก สมาธิในติกจตุกกฌาน. บทวา อุเปกขฺ าสหคต น้ี ในจตุกกนยั ไดแก สมาธใิ นจตตุ ถฌาน ในปญจกนัยไดแก สมาธใิ นปญจมฌาน. ถามวา กพ็ ระผมู พี ระภาคเจาทรงเจรญิ สมาธิมีอยาง ๓ นี้ ในเวลาไหน. ตอบวา พระผูมีพระภาคเจา ประทบั นงั่ ณ ควงมหาโพธพิ ฤกษ ทรงเจรญิ สมาธอิ ยางนใ้ี นปจ ฉิมยาม.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 146 กป็ ฐมมรรค ไดเปน องคป ระกอบแหงปฐมฌานแกพ ระผมู ีพระภาคเจา.ทตุ ยิ มรรคเปนตน ก็ไดเปนองคป ระกอบแหงทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และ จตุตถ-ฌาน. ในปญ จกนยั ปญจมฌานไมมีมรรค. คําวา มรรคน้นั จัดเปน โลกีน้ี ทา นกลาวหมายถึงมรรคที่เจือดวยโลกยิ ะและโลกุตตระ. คําทเี่ หลือในบทท้งัปวง งายท้ังนัน้ . จบอรรถกถาอปุ กกเิ ลสสตู รที่ ๘

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 147 ๙. พาลบัณฑติ สูตร [๔๖๗] ขาพเจา ไดสดบั มาอยางนี:้ - สมยั หน่งึ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยูที่ พระวหิ ารเชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยน้นั แล พระผมู พี ระภาคเจาตรัสเรียกภกิ ษุทง้ั หลายวา ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย. ภิกษุเหลานัน้ ทูลรับพระดํารสั แลว . [๔๖๘] พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสดงั นวี้ า ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลายลกั ษณะเครอ่ื งหมาย เคร่อื งอา ง วาเปนพาลของคนพาลนีม้ ี ๓ อยาง ๓ อยางเปน ไฉน. ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย คนพาลในโลกนมี้ กั คิดความคดิ ท่ีชว่ั มกั พดูคาํ พดู ทีช่ัว มักทาํ การทาํ ทช่ี ่ัว ถาคนพาลจักไมเปนผูคดิ ความคิดท่ีชวั่ พูดคาํ พูดท่ชี วั่ และทาํ การทําทช่ี ว่ั บณั ฑิตพวกไหนจะพึงรูจกั เขาไดว า ผนู ีเ้ ปนคนพาล เปน อสัตบุรุษ เพราะคนพาลมกั คดิ ความคดิ ท่ชี ัว่ มกั พูดคําพูดทชี่ ่ัวและมักทําการทาํ ทช่ี ่วั ฉะนัน้ พวกบัณฑติ จงึ รูไดว า น้ีเปน คนพาล เปนอสตั บรุ ษุ ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย คนพาลนนั้ นนั่ แล ยอ มเสวยทุกขโ ทมนสั๓ อยางในปจ จุบัน. [๔๖๙] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ถาคนพาลนัง่ ในสภากด็ ี ริมถนนรถก็ดีรมิ ทางสามแพรงก็ดี ชนในท่ีนนั้ ๆ จะพูดถอยคําที่พอเหมาะพอสมแกเขา ถาคนพาลมักเปน ผูทําชีวิตสัตวใ หตกลวง มกั ถือเอาสิ่งของที่เจา ของมไิ ดให มักประพฤติผดิ ในกาม มกั พูดเท็จ มปี กติตั้งอยใู นความประมาทเพราะด่ืมนาํ้ เมาคือสุราและเมรัย ในเรอ่ื งท่ชี นพูดถอยคาํ ทพี่ อเหมาะพอสมแกเขาน้ัน แลคนพาลจะมคี วามรูส กึ อยางน้ีวา สภาพเหลา น้ันมอี ยใู นเรา และเรากป็ รากฏในสภาพเหลา นั้นดวย ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย คนพาลยอมเสวยทกุ ข โทมนสั ขอที่หนงึ่ นี้ในปจ จบุ ัน.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 148 วา ดว ยกรรมกรณ ๒๖ อยา ง [๔๗๐] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ประการอืน่ ยงั มีอีก คนพาลเห็นราชาท้งั หลายจับโจรผูประพฤติผดิ มาแลว สงั่ ลงกรรมกรณต างชนิด คือ ๑. โบยดว ยแส ๒. โบยดวยหวาย ๓. ตดี วยตะบองสั้น ๔. ตดั มอื ๕. ตัดเทา ๖. ตดั ทัง้ มือทั้งเทา ๗. ตดั หู ๘. ตดั จมกู ๙. ตดั ทง้ั หูท้งั จมกู ๑๐. หมอ เค่ียวนาํ้ สม ๑๑. ขอดสังข ๑๒. ปากราหู ๑๓. มาลยั ไฟ ๑๔. คบมือ ๑๕. ริว้ สาย ๑๖. นงุ เปลอื กไม ๑๗. ยืนกวาง ๑๘. เกย่ี วเหย่ือเบ็ด ๑๙. เหรียญกษาปณ ๒๐. แปรงแสบ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 149 ๒๑. กางเวียน ๒๒. ตงั้ ฟาง ๒๓. ราดดว ยนาํ้ มันเดือด ๆ ๒๔. ใหสนุ ขั ท้งึ ๒๕. ใหน อนหงายบนหลาวท้ังเปน ๆ ๒๖. ตัดศรี ษะดว ยดาบ.ในขณะทีเ่ หน็ นัน้ คนพาลจะมีความรสู ึกอยางนีว้ า เพราะเหตุแหง กรรมช่วัปานใดแล ราชาทั้งหลายจงึ จบั โจรผูประพฤติผิดมาแลว สัง่ ลงกรรมกรณบางชนดิ คือ โบยดว ยแสบาง ฯลฯ ตัดศรี ษะดวยดาบบา ง กส็ ภาพเหลา นั้นมอี ยูในเรา และเราก็ปรากฏในสภาพเหลา น้ันดว ย ถา แมราชาทง้ั หลายรจู กั เราก็จะจับเราแลว ส่ังลงกรรมกรณตา งชนิด คือ โบยดว ยแสบ าง ฯลฯ ใหนอนหงายบนหลาวท้งั เปน ๆ บาง ตัดศรี ษะดว ยดาบบาง ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายคนพาลยอมเสวยทุกขโ ทมนัสขอท่ีสองแมน ี้ในปจ จุบัน วา ดวยพาลเสวยทกุ ขใ นปจ จุบนั [๔๗๑] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ประการอ่ืนยังมีอีก กรรมลามกที่คนพาลทาํ ไวใ นกอ น คือ กายทจุ ริต วจที ุจรติ มโนทุจริต ยอมปกคลมุครอบงาํ คนพาลผอู ยบู นตัง้ หรือบนเตยี ง หรอื นอนบนพ้นื ดนิ ในสมยั นั้นเปรยี บเหมอื นเงายอดภูเขาใหญ ยอมปกคลมุ ครอบงาํ แผนดินในสมัยเวลาเยน็ฉนั ใด ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ฉนั นน้ั เหมอื นกนั แล กรรมลามกท่คี นพาลทําไวในกอ น คอื กายทุจรติ วจที จุ รติ มโนทจุ ริต ยอ มปกคลุม ครอบงําคนพาลผูอยบู นตั้ง หรือบนเตียง หรอื นอนบนพืน้ ดินในสมัยนน้ั ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 150ในสมยั น้นั คนพาลจะมีความรูส กึ อยางน้วี า เราไมไดท าํ ความดี ไมไดท าํ กุศลไมไ ดทําเครอ่ื งปอ งกนั ความหวาดกลัวไว ทาํ แตความชัว่ ทําแตความรายทําแตความเลว ละโลกน้ีไปแลว จะไปสคู ติของคนท่ไี มไดท าํ ความดี ไมไดทาํ กุศล ไมไดท าํ เครื่องปอ งกนั ความหวาดกลัวไว ซ่งึ ทาํ แตค วามชั่ว ความรา ยและความเลว เปน กาํ หนด คนพาลนั้นยอมเศรา โศก ลําบากใจ คร่ําครวญร่ําไห ทมุ อก ถงึ ความหลงพรอ ม ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย คนพาลยอมเสวยทกุ ขโทมนสั ขอท่สี ามนแ้ี ลในปจ จบุ ัน. [๔๗๒] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย คนพาลน้ันนนั่ แลประพฤติทจุ รติทางกาย ทางวาจา ทางใจแลว เมอ่ื ตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทุคติ วนิ ิบาตนรก ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเมือ่ จะกลาวถงึ อบาย ซึง่ เขาพดู หมายถึงนรกนน่ั แลโดยชอบ พึงกลาวไดว า เปนสถานทีไ่ มนา ปรารถนา ไมนา ใคร ไมน าพอใจสว นเดยี ว ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เพียงเทา น้แี มจ ะเปรียบอปุ มาจนถงึ นรกเปนทกุ ข กไ็ มใชง ายนกั . [๔๗๓] เมื่อพระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว อยางน้ี ภิกษรุ ูปหน่งึ ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจา ดังนว้ี า ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ อาจเปรียบอปุ มาไดห รือไม พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ดกู อ นภิกษุ อาจเปรยี บได แลว ตรัสตอ ไปวา ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย เปรียบเหมือนพวกราชบุรุษจบั โจรผูประพฤติผิดมาแสดงแตพ ระราชาวา ขอเดชะ ผูน้เี ปน โจรประพฤติผิดตอ พระองค. ขอพระองคโ ปรดลงอาชญาท่ที รงพระราชประสงคแ กมนั เถดิ พระราชาทรงสัง่ การนนั้ อยา งน้ีวา ทานผูเจรญิ ไปเถดิ พวกทานจึงเอาหอกรอยเลมแทงบุรษุ น้ใี นเวลาเชา พวกราชบุรุษจึงเอาหอกรอ ยเลมแทงบรุ ุษน้ัน ในเวลาเชา คร้นั เวลากลางวนั พระราชาตรสั ถามอยา งนี้วา พอมหาจําเรญิ บุรษุ น้ัน เปนอยา งไรพวกราชบุรุษกราบทูลวา ขอเดชะ ยงั เปน อยอู ยางเดิมพระเจา ขา พระราชา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook