Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_23

tripitaka_23

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_23

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 336จงใสใจใหด ี. เราจักกลาวตอไป ทา นปกุ กสุ าตทิ ลู รับพระผมู ีพระภาคเจา วาชอบแลว ทานผูมอี าย.ุ [๖๗๖] พระผูมพี ระภาคเจาจึงไดต รัสดังน้วี า ดูกอนภกิ ษุ คนเรานี้มีธาตุ ๖ มีแดนสมั ผัส ๖ มคี วามหนว งนึกของใจ ๑๘ มธี รรมทคี่ วรตงั้ ไวในใจ ๔ อนั เปนธรรมทผี่ ูตงั้ อยูแลว ไมม กี ิเลสเครอ่ื งสาํ คญั ตนและกเิ ลสเคร่ืองหมกั หมมเปน ไป กเ็ มอื่ กิเลสเครอ่ื งสําคัญตนและกิเลสเครอื่ งหมักหมม ไมเปนไปอยู บัณฑิตจะเรยี กเขาวา มุนผี สู งบแลว ไมพ งึ ประมาทปญ ญา พงึ ตามรักษาสัจจะ พึงเพ่มิ พูนจาคะ พึงศกึ ษาสันตเิ ทา นั้น น้อี ุเทศแหงธาตวุ ภิ ังคหก. [๖๗๙] กข็ อ ทเี่ รากลา วดงั นี้วา ดูกอนภกิ ษุ คนเรานี้มธี าตุ ๖ นน้ัเราอาศัยอะไรกลาวแลว . ดูกอนภกิ ษุ ธาตุนม้ี ี ๖ อยา งนี้ คอื ปฐวธี าตุอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วญิ ญาณธาต.ุ ขอ ที่เรากลาวดงันี้วา ดกู อนภิกษุ คนเราน้ีมธี าตุ ๖ นัน้ เราอาศยั ธาตุดงั น้ี กลา วแลว . [๖๘๐] กข็ อ ทเ่ี รากลา วดังนีว้ า ดูกอนภิกษุ คนเรานี้มแี ดนสมั ผัส ๖น้ันเราอาศัยอะไรกลาวแลว . คอื จกั ษุ โสต ฆานะ ชวิ หา กาย มโนเปน แดนสัมผัส. ขอท่เี รากลาวดังนว้ี า ดกู อนภกิ ษุ คนเรานม้ี ีแดนสัมผัส.นน่ั เราอาศัยอายตนะน้ี กลาวแลว . [๖๘๑] กข็ อ ที่เรากลา วดงั นว้ี า ดกู อนภิกษุ คนเรานม้ี คี วามหนวงนกึของใจ ๑๘ นั้น เราอาศัยอะไรกลาวแลว. คอื บคุ คลเหน็ รปู ดว ยจกั ษุแลวยอมหนวงนกึ รูปเปน ทต่ี ้งั แหง โสมนสั หนว งนึกรูปเปนท่ตี ัง้ แหง โทมนสั หนว งนึกรปู เปนท่ีตงั้ แหง โสมนัส หนวงนกึ รูปเปน ทตี่ ั้งแหงโทมนสั หนว งนกึ รูปเปนทีต่ ้ังแหงอุเบกขา ฟงเสยี งดวยโสตแลว . . . ดมกล่นิ ดว ยฆานะแลว ... ลิ้มรสดว ยชวิ หาแลว. . . ถูกตอ งโผฏฐพั พะดว ยกายแลว . . . รูธรรมารมณดว ยมโนแลว ยอ มหนวงนกึ ธรรมารมณเ ปนท่ตี ง้ั แหง โสมนสั หนว งนกึ ธรรมารมณเ ปน

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 337ทต่ี ั้งแหง โทมนัส หนว งนกึ ธรรมารมณเปน ทีต่ ้งั แหงอเุ บกขา นีเ้ ปนการหนวงนกึ โสมนสั ๖ หนวงนึกโทมนัส ๖ หนวงนกึ อเุ บกขา ๖. ขอ ที่เรากลาวดงั น้วี าดกู อ นภกิ ษุ คนเรานมี้ ีความหนว งนกึ ของใจ ๑๘ นนั่ เราอาศัยความหนว งนึกน้ี กลา วแลว. [๖๘๒] ก็ขอทเี่ รากลาวดังนว้ี า ดกู อ นภกิ ษุ คนเราน้มี ธี รรมท่ีควรตัง้ ไวใ นใจ ๔ นนั่ เราอาศยั อะไรกลา วแลว. คอื มีปญ ญาเปนธรรมควรต้งัไวใ นใจ มสี ัจจะเปนธรรมควรตั้งไวในใจ มจี าคะเปนธรรมควรต้งั ไวในใจมีอปุ สมะเปน ธรรมควรต้งั ไวใ นใจ ขอ ทเี่ รากลาวดงั นีว้ า ดูกอนภกิ ษุ คนเราน้ีมธี รรมท่ีควรต้ังไวในใจ ๔ นัน้ เราอาศัยธรรมที่ควรตง้ั ไวในใจนี้ กลา วแลว. [๖๘๓] ก็ขอ ทีเ่ รากลาวดงั นว้ี า ไมพ งึ ประมาทปญ ญา พงึ ตามรักษาสจั จะ พงึ เพม่ิ พูนจาคะ พึงศกึ ษาสนั ติเทา นน้ั นน่ั เราอาศยั อะไรกลาวแลว .ดกู อ นภกิ ษุ อยางไรเลา ชอื่ วา ไมป ระมาทปญญา. ดูกอนภกิ ษุ ธาตุนี้มี ๖คือ ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วญิ ญาณธาต.ุ [๖๘๔] ดูกอ นภกิ ษุ กป็ ฐวีธาตุเปน ไฉน คอื ปฐวธี าตภุ ายในก็มีภายนอกก็มี. ก็ปฐวธี าตุภายในเปน ไฉน. ไดแ กส ่งิ ที่แขน แขง็ กําหนดไดม ีในตน อาศัยตน คือ ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนอื้ เอน็ กระดูก เยือ้ ในกระดูกมา ม หัวใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด ไสใ หญ ไสน อ ย อาหารใหม อาหารเกาหรือแมส ่งิ อนื่ ไมว า ชนดิ ไร ๆ ทแี่ ขนแขง็ กําหนดได มีในตน อาศัยตนนเ้ี รยี กวาปฐวีธาตภุ ายใน. กป็ ฐวธี าตุทัง้ ภายในและภายนอก นแี้ ล เปน ปฐวธี าตุท้ังนน้ั . พงึ เหน็ ปฐวธี าตนุ ้นั ดวยปญญาชอบตามความเปนจริงอยางนว้ี า นั่นไมใชของเรา นัน่ ไมใ ชเรา นนั่ ไมใ ชอ ัตตาของเรา คร้นั เหน็ แลว จะเบอ่ื หนา ยปฐวธี าตุ และจะใหจิตคลายกําหนัดปฐวีธาตไุ ด.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 338 [๖๘๕] ดูกอ นภกิ ษุ กอ็ าโปธาตุเปน ไฉน. คอื อาโปธาตุภายในก็มีภายนอกก็มี. ก็อาโปธาตุภายใน เปน ไฉน. ไดแกสิ่งทีเ่ อิบอาบ ซึมซาบไปกาํ หนดได มีในตน อาศยั ตน คือ ดี เสลด น้ําเหลือง เลอื ด เหง่อื มันขน น้ําตา เปลวมนั นํ้าลาย นาํ้ มูก ไขขอ มตู ร หรอื แมส่ิงอืน่ ไมวาชนดิไร ๆ ท่ีเอิบอาบซึมซาบไป กาํ หนดได มใี นตน อาศัยตน น้เี รียกวา อาโปธาตุภายใน. ก็อาโปธาตทุ งั้ ภายในและภายนอก นแ้ี ล เปนอาโปธาตุทัง้ นั้น.พึงเหน็ อาโปธาตนุ ้นั ดว ยปญ ญาชอบตามความเปนจรงิ อยางน้ีวา น่นั ไมใ ชของเรา นน่ั ไมใ ชเรา นัน่ ไมใชอัตตาของเรา. ครั้นเห็นแลว จะเบื่อหนายอาโปธาตุ และจะใหจิตคลายกําหนัดอาโปธาตไุ ด. [๖๘๖] ดกู อนภิกษุ กเ็ ตโชธาตเุ ปนไฉน. คือ เตโชธาตุภายในกม็ ีภายนอกกม็ .ี ก็เตโชธาตุภายในเปน ไฉน. ไดแกสง่ิ ท่ีอบอุน ถึงความเรารอนกาํ หนดได มใี นตน อาศัยตน คือ ธาตทุ เ่ี ปนเคร่ืองยังกายใหอบอนุ ยงั กายใหท รุดโทรม ยงั กายใหกระวนกระวาย และธาตุทีเ่ ปนเหตุใหของทกี่ ิน ทดี่ ่มืทเ่ี ค้ยี ว ทลี่ ้ิมแลวถงึ ความยอยไปดว ยดี หรอื แมสงิ่ อ่ืนไมวา ชนดิ ไร ๆ ท่ีอบอุน ถงึ ความเรารอ นกําหนดได มีในตน อาศยั ตน นี้เรียกวา เตโชธาตุภายใน. กเ็ ตโชธาตุท้ังภายในและภายนอก น้แี ล เปนเตโชธาตทุ ั้งนั้น. พึงเห็นเตโชธาตุน้นั ดว ยปญ ญาชอบตามความเปน จรงิ อยางนว้ี า น่นั ไมใ ชของเรานั่นไมใ ชเ รา นัน่ ไมใ ชอตั ตาของเรา ครัน้ เห็นแลว จะเบื่อหนายเตโชธาตุและจะใหจ ิตคลายกําหนดั เตโชธาตุได. [๖๘๗] ดูกอนภิกษุ กว็ าโยธาตุเปน ไฉน. คือ วาโยธาตุภายในกม็ ีภายนอกก็ม.ี ก็วาโยธาตุภายในเปนไฉน. ไดแ กส ิง่ ทพี่ ัดผนั ไป กําหนดไดมีในตน อาศยั ตน คือ ลมพดั ขน้ึ เบ้อื งบน ลมพัดลงเบ้อื งตํา่ ลมในทอ งลมในลําไส ลมแลนไปตามอวยั วะนอ ยใหญ ลมหายใจออก ลมหายใจเขา

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 339หรือแมส ง่ิ อื่นไมว าชนิดไร ๆ ท่พี ัดผันไป กําหนดได มีในตน อาศยั ตนนเ้ี รียกวาวาโยธาตุภายใน. ก็วาโยธาตทุ ัง้ ภายในและภายนอก นีแ้ ล เปนวาโยธาตุทงั้ น้นั . พึงเห็นวาโยธาตนุ ั้น ดว ยปญ ญาชอบตามความเปนจรงิ อยางนวี้ า นั่นไมใชของเรา นนั่ ไมใ ชเ รา นัน่ ไมใชอ ตั ตาของเรา. ครั้นเห็นแลวจะเบอ่ื หนา ยวาโยธาตุ และจะใหจ ิตคลายกําหนัดวาโยธาตไุ ด. [๖๘๘] ดูกอนภิกษุ กอ็ ากาสธาตุเปนไฉน คอื อากาสธาตภุ ายในกม็ ีภายนอกก็มี ก็อากาสธาตุภายในเปนไฉน. ไดแ กสิ่งทวี่ าง ปรโุ ปรง กาํ หนดไดมีในตน อาศัยตน คอื ชองหู ชอ งจมูก ชอ งปากซง่ึ เปน ทางใหกลนื ของทกี่ ินทด่ี ม ที่เคี้ยว ท่ีลม้ิ . เปน ท่ีต้ังของท่ีกนิ ทด่ี ม่ื ทเ่ี คย้ี ว ทลี่ ้ิม และเปนทางระบายของทก่ี ิน ท่ดี ม ทเ่ี คยี้ ว ที่ลมิ้ แลวออกทางเบื้องลาง หรือแมสง่ิ อื่นไมวาชนดิ ไร ๆ ที่วา ง ปรโุ ปรง กําหนดได มีในตน อาศยั ตน น้ีเรยี กวาอากาสธาตุภายใน. กอ็ ากาสธาตุทัง้ ภายในและภายนอก นแี้ ล เปน อากาสธาตุทง้ั นั้น. พงึ เห็นอากาสธาตุนน้ั ดว ยปญ ญาชอบตามความเปนจริงอยางนว้ี า นั้นไมใชของเรา นน่ั ไมใชเ รา นนั้ ไมใ ชอ ตั ตาของเรา. คร้นั เห็นแลว จะเบื่อหนา ยอากาสธาตุ และจะใหจิตคลายกาํ หนัดอากาสธาตไุ ด. [๖๘๙] ตอ นน้ั สง่ิ ที่จะเหลืออยอู ีกก็คอื วญิ ญาณอันบริสทุ ธ์ิ ผุดผอ งบคุ คลยอ มรูอะไร ๆ ไดดวยวญิ ญาณนนั้ คือ รูช ดั วา สขุ บาง ทุกขบ า งไมทกุ ขไมส ขุ บา ง. ดกู อ นภิกษุ เพราะอาศัยผสั สะเปนที่ต้ังแหงสขุ เวทนา ยอ มเกิดสขุ เวทนา. บุคคลนน้ั เมอื่ เสวยสขุ เวทนา ยอ มรชู ัดวา กําลังเสวยสุขเวทนาอยู เพราะผัสสะเปนที่ต้งั แหงสขุ เวทนาน้นั แลดับไป ยอมรูช ดั วา ความเสวยอารมณท ี่เกดิ แตผสั สะนัน้ คอื ตวั สขุ เวทนาอนั เกดิ เพราะอาศัยผัสสะเปนที่ตัง้แหงสขุ เวทนา ยอ มดบั ยอ มเขา ไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเปน ท่ตี ั้งแหงทกุ ขเวทนา ยอ มเกิดทุกขเวทนา. บคุ คลน้นั เมอ่ื เสวยทกุ ขเวทนา ยอ มรชู ัดวา

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 340กาํ ลังเสวยทุกขเวทนาอยู เพราะผสั สะเปนท่ีตง้ั แหงทกุ ขเวทนาน้ัน แลดับไปยอมรชู ดั วา ความเสวยอารมณทเี่ กดิ แตผัสสะนน้ั คอื ตวั ทุกขเวทนาอนั เกิดเพราะอาศัยผัสสะเปนที่ตั้งแหงทุกขเวทนา ยอ มดับ ยอมเขาไปสงบ. เพราะอาศัยผสั สะเปน ท่ีตง้ั แหงอทกุ ขมสุขเวทนา ยอ มเกิดอทุกขมสขุ เวทนา. บุคคลน้ันเมอื่ เสวยอทกุ ขมสขุ เวทนา ยอ มรูชัดวา กาํ ลังเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยูเพราะผัสสะเปนท่ตี ง้ั แหง อทกุ ขมสขุ เวทนานั้นแลดบั ไป ยอมรชู ัดวา ความเสวยอารมณท่เี กดิ แตผสั สะนน้ั คือตัวอทุกขมสขุ เวทนาอันเกิดเพราะอาศยั ผัสสะเปนที่ตั้งแหงอทุกขมสุขเวทนา ยอ มดับ ยอ มเขาไปสงบ. [๖๙๐] ดูกอนภิกษุ เปรียบเหมอื นเกิดความรอน เกิดไฟได เพราะไมสองทอ นประชมุ สกี นั ความรอนทเี่ กิดแตไมส องทอ นน้นั ยอมดบั ยอ มเขา ไปสงบ เพราะไมส องทอนนน้ั เองแยกกันไปเสยี คนละทาง แมฉ ัน ใด ดกู อ นภกิ ษุ ฉนั น้ันเหมอื นกันแล เพราะอาศัยผัสสะเปนท่ีต้ังแหง สุขเวทนา ยอ มเกิดสุขเวทนา. บคุ คลนั้น เมอื่ เสวยสขุ เวทนา ยอ มรูชัดวา กาํ ลงั เสวยสขุ เวทนาอยู เพราะผสั สะเปนที่ตง้ั แหง สขุ เวทนาน้ันแลดบั ไป ยอมรูชัดวา ความเสวยอารมณทเี่ กดิ แตผัสสะน้นั คอื ตัวสขุ เวทนาอันเกดิ เพราะอาศยั ผัสสะเปนทตี่ ้งัแหง สุขเวทนา ยอ มดับ ยอมเขา ไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเปน ท่ตี ั้งแหงทุกขเวทนา ยอ มเกดิ ทุกขเวทนา บคุ คลน้ันเม่ือเสวยทุกขเวทนา ยอ มรชู ดั วากําลงั เสวยทุกขเวทนาอยู เพราะผสั สะเปนทตี่ ้ังแหง ทกุ ขเวทนาน้ันแลดับไปยอ มรชู ดั วา ความเสวยอารมณท ่ีเกดิ แตผ สั สะนั้น คอื ตวั ทุกขเวทนาอันเกิดเพราะอาศยั ผัสสะเปน ท่ตี ้ังแหงทกุ ขเวทนา ยอมดบั ยอ มเขา ไปสงบ. เพราะอาศยั ผัสสะเปนทตี่ ง้ั แหง อทุกขมสขุ เวทนา ยอ มเกดิ อทุกขมสขุ เวทนา. บคุ คลนน้ั เม่อื เสวยอทุกขมสุขเวทนา ยอมรชู ัดวา กําลังเสวยอทกุ ขมสุขเวทนาอยูเพราะผสั สะเปน ท่ตี ั้งแหงอทกุ ขมสุขเวทนาน้ันแลดับไป ยอ มรูชดั วา ความ

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 341เสวยอารมณทเ่ี กิดแตผ ัสสะนัน้ คือตัวอทกุ ขมสขุ เวทนาอนั เกิดเพราะอาศยั ผัสสะเปนท่ตี ั้งแหงอทุกขมสุขเวทนา ยอมดับ ยอ มเขา ไปสงบ. ตอ นน้ั สิ่งทจ่ี ะเหลืออยูอกี ก็คอื อเุ บกขา อนั บริสุทธ์ิ ผดุ ผอ ง ออน ควรแกก ารงานและผองแผว. [๖๙๑] ดกู อนภกิ ษุ เปรยี บเหมอื นนายชางทอง หรือลูกมอื ของนายชางทองผูฉลาด ติดเตาสมุ เบา แลว เอาคีมคีบทองใสเบา หลอมไป ซัดน้ําไปสังเกตดไู ปเปนระยะ ๆ ทองน้นั จะเปนของถกู ไลขแี้ ลว หมดฝา เปนเนอ้ื ออ นสลวย และผองแผว เขาประสงคช นิดเคร่อื งประดับใด ๆ จะเปนแหวน ตมุ หูเครอื่ งประดับคอ มาลยั ทองกต็ าม ยอมสาํ เร็จความประสงคอันนั้นแตทองนนั้ได ฉนั ใด ดกู อ นภิกษุ ฉนั นน้ั เหมือนกนั แล เมอื่ เหลืออยแู ตอเุ บกขา อันบริสุทธิ์ ผุดผอ ง ออ น ควรแกการงาน และผอ งแผว บุคคลน้ันยอ มรูชัดอยา งน้วี า ถา เรานอ มอเุ บกขานี้ อนั บรสิ ุทธ์ิ ผุดผองอยา งน้ี เขาไปสอู ากาสา-นญั จายตนฌาน และเจริญจิตมธี รรมควรแกฌ านนนั้ เมื่อเปนเชนนี้ อุเบกขาองเราน้ี กจ็ ะเปน อุเบกขาอาศัยอากาสานญั จายตนฌานนนั้ ยดึ อากาสานญั จายตนฌานน้นั ดํารงอยตู ลอดกาลยืนนาน ถา เรานอมอเุ บกขานี้ อนั บรสิ ทุ ธ์ิผุดผอ งอยา งนี้ เขาไปสวู ญิ ญาณญั จายตนฌาน และเจรญิ จิตมีธรรมควรแกฌานน้ัน เม่ือเปนเชนนี้ อเุ บกขาของเรานกี้ ็จะเปน อุเบกขาอาศยั วิญญาณญั -จายตนฌานนนั้ ยึดวญิ ญาณญั จายตนฌานน้นั ดํารงอยตู ลอดกาลยืนนาน ถาเรานอ มอเุ บกขานี้ อันบรสิ ทุ ธ์ิ ผุดผองอยา งนี้ เขาไปสูอากิญจัญญายตนฌานและเจริญจิตมธี รรมควรแกฌานนั้น เมอ่ื เปนเชนนี้ อุเบกขาของเรานี้ กจ็ ะเปน อุเบกขาอาศยั อากญิ จญั ญายตนฌานนั้น ยึดอากญิ จัญญายตนฌานนน้ั ดํารงอยตู ลอดกาลยืนนาน ถา เรานอ มอเุ บกขาน้ี อันบริสุทธ์ิ ผดุ ผอ งอยางนี้ เขาไปสเู นวสญั ญานาสญั ญายตนฌานน้ัน และเจริญจิตมธี รรมควรแกฌ านนัน้เมอ่ื เปน เชน น้ี อุเบกขาของเราน้ี ก็จะเปนอเุ บกขาอาศยั เนวสญั ญานาสญั ญาย-

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 342ตนฌานนั้น ยึดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานน้ัน ดํารงอยูตลอดกาลยนื นาน.บคุ คลนั้นยอ มรชู ัดอยา งนวี้ า ถา เรานอมอเุ บกขาน้ี อนั บรสิ ุทธ์ิ ผดุ ผองอยางนี้เขาไปสูอ ากาสานัญจายตนฌาน และเจรญิ จิตมีธรรมควรแกฌ านนัน้ จติ น้กี ็เปน สงั ขตะ ถา เรานอมอุเบกขาน้ี อันบรสิ ทุ ธิ์ ผุดผองอยา งน้ี เขาไปสูวญิ ญาณญั จายตนฌาน และเจรญิ จติ มีธรรมควรแกฌ านนั้น จติ นกี้ ็เปน สงั ขตะถาเรานอ มอุเบกขาน้ี อันบริสทุ ธผ์ิ ุดผองอยางนี้ เขา ไปสอู ากญิ จัญญายตนฌานและเจริญจิตมธี รรมควรแกฌ านน้นั จิตน้กี เ็ ปนสังขตะ ถาเรานอ มอเุ บกขานี้อันบรสิ ุทธิ์ ผุดผอ งอยางนี้ เขาไปสูเนวสัญญานาสญั ญายตนฌาน และเจริญจิตมธี รรมควรแกฌ านนน้ั จิตนกี้ เ็ ปน สังขตะ. บุคคลน้ันจะไมค ํานงึ จะไมคิดถงึ ความเจริญหรอื ความเส่ือมเลย เมือ่ ไมคาํ นึง ไมค ิดถึง ยอ มไมย ดึ มัน่อะไร ๆ ในโลก เมือ่ ไมย ดึ มัน่ ยอ มไมห วาดเสียว เมอ่ื ไมห วาดเสียว ยอมปรินพิ พานเฉพาะตนทีเดียว ยอ มทราบชดั วาชาติส้นิ แลว พรหมจรรยอ ยูจ บแลว กจิ ทคี่ วรทําไดท าํ เสรจ็ แลว กิจอนื่ เพ่ือความเปน อยางน้มี ไิ ดมี. ถา เขาเสวยสขุ เวทนาอยู ยอมรชู ดั วา สุขเวทนานั้น ไมเ ทย่ี ง อันบณั ฑติ ไมตดิ ใจไมเพลดิ เพลิน ถาเสวยทุกขเวทนาอยู ยอ มรูชดั วา ทกุ ขเวทนาน้นั ไมเทย่ี งอนั บณั ฑติ ไมติดใจ ไมเ พลิดเพลิน ถาเสวยอทกุ ขมสุขเวทนาอยู ยอ มรชู ดั วาอทกุ ขมสขุ เวทนาน้นั ไมเที่ยง อันบณั ฑติ ไมติดใจ ไมเ พลิดเพลนิ . ถา เสวยสขุ เวทนาก็เปน ผูไมประกอบเสวย ถา เสวยทกุ ขเวทนาก็เปน ผูไมประกอบเสวยถา เสวยอทุกขมสุขเวทนาก็เปนผูไ มป ระกอบเสวย เขาเมือ่ เสวยเวทนามกี ายเปนทีส่ ดุ ยอมรูชดั วา กาํ ลังเสวยเวทนามีกายเปนท่ีสดุ . เม่อื เสวยเวทนามีชวี ติเปนทีส่ ดุ ยอมรูชัดวา กําลังเสวยเวทนามชี ีวติ เปนท่ีสดุ . และรูชดั วา เบือ้ งหนาแตส ิ้นชีวติ เพราะตายไปแลว ความเสวยอารมณทง้ั หมดท่ยี ินดกี นั แลว ในโลกน้แี ล จกั เปน ของสงบ.

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 343 [๖๙๒] ดกู อนภกิ ษุ เปรียบเหมือนประทีปนํ้ามนั อาศยั นํา้ มนั และไสจงึ โพลงอยไู ด เพราะสน้ิ นํ้ามันและไสน ้นั และไมเ ติมน้าํ มัน และไสอ ืน่ยอ มเปนประทีปหมดเช้อื ดบั ไป ฉนั ใด ดกู อ นภกิ ษุ ฉนั นน้ั เหมอื นกันแลบคุ คลนนั้ เมื่อเสวยเวทนามกี ายเปน ทีส่ ดุ ยอ มรูชัดวา กาํ ลังเสวยเวทนามีกายเปนท่ีสดุ เม่อื เสวยเวทนามชี วี ติ เปนทส่ี ุด ยอ มรชู ัดวา กําลังเสวยเวทนามีชีวิตเปน ที่สุด และรูชัดวา เบือ้ งหนา แตส ิ้นชีวิต เพราะตายไปแลว ความเสวย-อารมณท ้งั หมดทย่ี ินดกี ันแลว ในโลกนแ้ี ล จักเปน ของสงบ. เพราะเหตนุ ้ันผูถ ึงพรอมดว ยความรสู กึ อยางนี้ ชอ่ื วา เปนผถู งึ พรอมดวยปญ ญาอันเปน ธรรมควรตง้ั ไวใ นใจอยางยง่ิ ดว ยประการนี้. ก็ปญ ญานี้ คอื ความรใู นความสน้ิ ทกุ ขท้งั ปวงเปน ปญญาอันประเสริฐยิง่ ความหลุดพนของเขานั้น จดั วาตัง้ อยใู นสัจจะเปน คุณไมก ําเรบิ . ดกู อ นภกิ ษุ เพราะสง่ิ ท่ีเปลา ประโยชนเปน ธรรมดา นั้นเทจ็สิ่งทไ่ี มเ ลอะเลอื นเปน ธรรมดา ไดแก นิพพาน นนั้ จรงิ ฉะนั้น ผูถ ึงพรอมดวยสัจจะอยา งน้ี ช่อื วา เปนผถู งึ พรอมดว ยสัจจะอนั เปนธรรมควรตง้ั ไวใ นใจอยางย่งิ ประการน.ี้ กส็ ัจจะนี้ คือนิพพาน มีความไมเลอะเลือนเปนธรรมดาเปน สจั จะอนั ประเสรฐิ ยิ่ง. อน่งึ บุคคลนั่นแล ยังไมทราบในกาลกอ น จึงเปนอนั พรั่งพรอม สมาทานอุปธเิ ขา ไป อปุ ธิเหลานนั้ เปน อันเขาละไดแ ลวถอนรากข้นึ แลว ทาํ ใหเหมอื นตาลยอดดว นแลว ถงึ ความเปน อกี ไมได มคี วามไมเกิดตอไปเปน ธรรมดา เพราะฉะนน้ั ผูถงึ พรอ มดวยการสละอยา งนี้ ช่ือวาเปน ผถู ึงพรอมดว ยจาคะอนั เปน ธรรมควรตง้ั ไวในใจอยางย่ิงประการน้.ี ก็จาคะนี้ คือความสละคืนอุปธิท้ังปวง เปน จาคะอนั ประเสริฐยิง่ . อนึ่ง บคุ คลน้นั แลยังไมทราบในกาลกอน จึงมีอภชิ ฌา ฉันทะ ราคะกลา อาฆาต พยาบาทความคิดประทุษราย อวิชชา ความหลงพรอม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้น ๆ เปน อันเขาละไดแ ลว ถอนรากขึ้นแลว ทาํ ใหเหมือนตาลยอดดวน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 344แลว ถึงความเปนอีกไมไ ด มีความไมเกิดตอไปเปนธรรมดา เพราะฉะน้ันผูถึงพรอมดวยความสงบอยางน้ี ชือ่ วา เปน ผูถ งึ พรอ มดว ยอุปสมะอันเปนธรรมควรตั้งไวใ นใจอยางยิง่ ประการน้.ี กอ็ ุปสมะน้ี คอื ความเขาไปสงบราคะโทสะ โมหะ เปน อุปสนะอันประเสริฐอยา งย่ิง. ขอ ที่เรากลา วดังนวี้ า ไมพ งึประมาทปญ ญา พงึ ตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันตเิ ทานั้น.นัน่ เราอาศัยเนอื้ ความนี้ กลาวแลว . [๖๙๓] ก็ขอทเี่ รากลา วดงั น้วี า คนเรามีธรรมทีค่ วรตั้งไวใ นใจ ๔อนั เปน ธรรมทผ่ี ตู ้ังอยูแ ลว ไมม ีกิเลสเครื่องสําคัญตนและกเิ ลสเครอ่ื งหมกั หมมเปน ไป กเ็ ม่ือกิเลสเคร่อื งสาํ คัญตนและกิเลสเครื่องหมกั หมม ไมเ ปน ไปอยูบัณฑิตจะเรียกเขาวา มนุ ผี ูส งบแลว นน่ั เราอาศยั อะไรกลาวแลว. ดกู อนภิกษุ ความสําคญั คนมีอยูดังนี้ วา เราเปน เราไมเปน เราจกั เปน เราจักไมเปน เราจักตองเปนสตั วมีรปู เราจักตองเปน สตั วไมม รี ูป เราจักตองเปนสตั วม สี ญั ญา เราจักตองเปน สัตวไมม สี ัญญา เราจกั ตองเปนสัตวไมมสี ญั ญากม็ ใิ ชมสี ัญญากม็ ใิ ช. ดูกอนภกิ ษุ ความสําคญั ตนจัดเปน โรค เปน หวั ผี เปนลกู ศร กท็ านเรียกบุคคลวา เปนมุนผี ูส งบแลว เพราะลวงความสาํ คญั ตนไดท้งั หมดเทยี ว และมุนผี ูสงบแลวแล ยอมไมเกดิ ไมแ ก ไมต าย ไมก ําเรบิ .ไมท ะเยอทะยาน. แมม ุนนี ั้นกไ็ มมีเหตุที่จะตองเกดิ เมอ่ื ไมเ กดิ จักแกไ ดอ ยา งไรเมื้อไมแ ก จกั ตายไดอยา ง ไร เมือ่ ไมต าย จกั กําเรบิ ไดอ ยา งไร เม่อื ไมก ําเริบจักทะเยอทะยานไดอ ยา งไร. ขอ ทเี่ รากลาวดังนี้วา คนเรามธี รรมทคี่ วรตง้ั ไวในใจ ๔ อันเปนธรรมท่ผี ูตง้ั อยแู ลว ไมม กี เิ ลสเครอื่ งสําคญั ตนและกเิ ลสเครื่องหมักหมม เปนไป ก็เมอื่ กิเลสเครอ่ื งสําคัญตนและกิเลสเครื่องหมกั หมมไมเปน ไปอยู บณั ฑิตจะเรียกเขาวา มุนีผสู งบแลว นน่ั เราอาศยั เนอ้ื ความกลา วแลว. ดกู อนภกิ ษุ ทา นจงทรงจาํ ธาตวุ ภิ งั ค ๖ โดยยอนีข้ องเราไวเถิด.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 345 [๖๙๔] ลําดับนน้ั แล ทา นปุกกสุ าตทิ ราบแนน อนวา พระศาสดาพระสุคต พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เสดจ็ มาถึงแลว โดยลําดับ จึงลุกจากอาสนะทาํ จวี รเฉวยี งบาขางหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผมู ีพระภาคเจาแลวทูลพระผูมพี ระภาคเจาดงั น้ีวา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ โทษลวงเกินไดต องขาพระองคเ ขา แลว ผูมอี าการโงเขลา ไมฉลาด ซึง่ ขา พระองคไดสําคัญ ถอ ยคาํที่เรยี กพระผมู พี ระภาคเจาดว ยวาทะวา ดกู อนทา นผูมอี ายุ ขอพระผูม พี ระ-ภาคเจาจงรบั อดโทษลวงเกนิ แกข าพระองค เพอื่ จะสาํ รวมตอไปเถิด. [๖๙๕] พ. ดูกอ นภิกษุ เอาเถอะ โทษลว งเกนิ ไดตอ งเธอผมู ีอาการโงเ ขลา ไมฉลาด ซ่งึ เธอไดสําคญั ถอ ยคําท่เี รียกเราดวยวาทะวา ดูกอนทานผมู ีอายุ แตเพราะเธอเห็นโทษลวงเกนิ โดยความเปนโทษแลว กระทาํ คนืตามธรรม เราขอรับอดโทษน้นั แกเธอ ดกู อ นภิกษุ ก็ขอ ที่บุคคลเห็นโทษลว งเกินโดยความเปน โทษแลว กระทําคนื ตามธรรม ถึงความสาํ รวมตอ ไปไดน้นั เปน ความเจริญในอริยวนิ ัย. ปุ. ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ ขอขาพระองคพึงไดอุปสนบทในสํานักของพระผมู ีพระภาคเจา เถดิ . พ. ดกู อนภิกษุ กบ็ าตรจีวรของเธอครบแลว หรอื . ป.ุ ยงั ไมครบ พระพุทธเจา ขา . พ. ดูกอนภกิ ษุ ตถาคตทง้ั หลาย จะใหก ุลบุตรผมู ีบาตรและจวี รยงัไมค รบอปุ สมบทไมไ ดเ ลย. [๖๙๖] ลําดับน้ัน ทา นปุกกุสาติ ยนิ ดี อนุโมทนาพระภาษติ ของพระผูมีพระภาคเจา แลว ลกุ จากอาสนะ ถวายอภวิ าทพระผูมีพระภาคเจา กระทาํประทกั ษิณแลว หลกี ไปหาบาตรจีวร. ทันใดนั้นแล แมโ คไดปลดิ ชีพทา นปกุ กสุ าติ ผกู าํ ลงั เทยี่ วหาบาตรจวี รอย.ู ตอนนั้ ภกิ ษมุ ากรปู ดว ยกัน ไดเ ขา

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 346ไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจายังทป่ี ระทบั แลว ถวายอภิวาทพระผูมพี ระภาคเจา น่งัณ ท่ีควรสวนขา งหนงึ่ พอน่ังเรยี บรอ ยแลว ไดท ูลพระผมู ีพระภาคเจา ดงั นวี้ าขาแตพระองคผ ูเจริญ กลุ บตุ รชอื่ ปุกกุสาตทิ พี่ ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสสอนดว ยพระโอวาทยอ ๆ คนนั้น ทาํ กาละเสียแลว เขาจะมคี ตอิ ยา งไร มสี ัมปรายภพอยางไร. [๖๙๗] พ. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ปุกกสุ าตกิ ลุ บุตรเปนบัณฑติ ไดบรรลุธรรมสมควรแกธ รรมแลว ทงั้ ไมใ หเราลาํ บากเพราะเหตุแหงธรรมดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ปุกกสุ าติกลุ บตุ ร เปนผูเ ขา ถึงอปุ ปาติกเทพ เพราะสนิ้สัญโญชนอันเปน สว นเบื้องตา่ํ ๕ เปนอนั ปรนิ ิพพานในโลกนน้ั มีความไมกลับมาจากโลกนัน้ อกี เปน ธรรมดา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรสั พระภาษติ น้ีแลว ภิกษเุ หลาน้นั ตา งชนื่ ชมยินดพี ระภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจา แล. จบ ธาตวุ ภิ งั คสตู ร ท่ี ๑๐

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 347 อรรถกถาธาตุวภิ งั คสตู ร ธาตุวิภังคสตู ร มีคาํ เร่มิ ตน วา ขาพเจา ไดส ดบั อยา งนี:้ - ในบทเหลา นัน้ บทวา จาริก ไดแก จาริกไปโดยรีบดวน. บทวาสเจ เต อครุ ความวา ถาไมเ ปน ความหนกั ใจ คือ ไมผ าสุกอะไรแกท านบทวา สเจ โส อนุชานาติ ความวา ไดย นิ วา ภัคควะมีความคิดอยางนว้ี าธรรมดาบรรพชิตทัง้ หลาย ยอ มมอี ธั ยาศัยตางกนั คนหนง่ึ มีหมเู ปน ท่มี ายินดีคนหน่งึ ยินดอี ยูคนเดยี ว ถา คนนนั้ ยนิ ดอี ยูคนเดียว จักกลา ววา ดกู อ นผูมอี ายุทานอยาเขามา ขาพเจา ไดศ าลาแลว ถา คนน้ยี ินดีอยคู นเดยี ว กจ็ กั พดู วา ดกู อนผมู ีอายุ ทานจงออกไป ขาพเจาไดศาลาแลว เมอ่ื เปนเชน น้ี เราก็จักเปนเหตใุ หค นทง้ั สองทาํ การทะเลาะกัน ธรรมดาสิง่ ทใ่ี หแลว ก็ควรเปน อันใหแ ลวเทียว สง่ิ ท่ีทาํ แลว กค็ วรเปนอันทําแลว แล. เพราะฉะนน้ั จึงกลาวอยา งน.ี้บทวา กุลปุตฺโต ไดแ ก กลุ บตุ รโดยชาตบิ าง กลุ บุตรโดยมรรยาทบาง. บทวา วาสูปคโต ไดแกเ ขาไปอยูแ ลว . ถามวา กลุ บุตรนั้น มาจากไหน. ตอบวาจากนครตกั กศิลา. ในเรอ่ื งนั้นมีการเลา โดยลําดบั ดงั น.ี้ ไดย นิ วา ครนั้ เมอื่ พระเจาพมิ พิสารเสวยราชสมบตั ใิ นพระนครราชคฤหในมัชฌิมประเทศ พระเจา ปุกกสุ าตเิ สวยราชสมบัติในพระนครตักกศิลา ในปจ -จันตประเทศ. ครง้ั น้ัน พอ คาทง้ั หลายตา งกเ็ อาสินคาจากพระนครตักกศิลามาสพู ระนครราชคฤห นําบรรณาการไปถวายแตพ ระราชา. พระราชาตรัสถามพอ คาเหลา น้นั ผยู นื ถวายบังคมวา พวกทา นอยูท ่ไี หน. ขอเดชะ อยใู นพระนคร.ตักกศิลา. ลาํ ดบั นนั้ พระราชาตรัสถามถึงความเกษม และความท่ภี ิกษาหาไดงา ยเปน ตน ของชนบทและประวตั ิแหง พระนครกะพอคา เหลา นัน้ แลว ตรสั ถาม

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 348วา พระราชาของพวกทา นมีพระนามอยา งไร. พระนามวา ปุกกุสาติ พระพทุ ธเจา ขา . ทรงดํารงอยใู นธรรมหรอื . อยางนั้น พระพทุ ธเจาขา ทรงดาํ รงอยูในธรรม ทรงสงเคราะหชนดวยสังคหวัตถสุ ่ี ทรงดํารงอยูในฐานะมารดาบิดาของโลก ทรงยงั ชนดุจทารกนอนบนตักใหย นิ ด.ี ทรงมีวัยเทาใด. ลาํ ดับนนั้ พวกพอคาทลู บอกวยั แดพระราชาน้นั . ทรงมวี ัยเทา กับพระเจาพิมพสิ าร. คร้งั นน้ัพระราชาตรัสกะพอ คาเหลา นั้นวา ดูกอ นพอ ท้งั หลาย พระราชาของพวกทา นดํารงอยูในธรรม และทรงมีวัยเทากบั เรา พวกทานพึงอาจเพือ่ ทําพระราชาของพวกทานใหเ ปนมติ รกับเราหรอื . อาจ พระพทุ ธเจา ขา . พระราชาทรงสละภาษีแกพอคาเหลานนั้ ทรงไหพ ระราชทานเรือนแลว ตรัสวา พวกทา นประสงคในเวลาขายสินคา กลับไป พวกทานพงึ พบเราแลวจึงกลบั ไปดังน.้ี พอคา เหลานนั้ ทําอยางน้นั แลว เขาไปเฝา พระราชาในเวลากลบั . พระราชาตรสั วา พวกทา นจงกลับ ไป พวกทานจงทูลถามถึงความไมมพี ระโรคบอ ย ๆ ตามคําของเราแลว ทูลวา พระราชาทรงพระประสงคม ิตรภาพกบั พระองค. พอคาเหลานน้ัทูลรับพระราชโองการแลว ไปรวบรวมสนิ คา รับประทานอาหารเชา แลวเขา ไปถวายบงั คมพระราชา. พระราชาตรสั ถามวา แนะพนาย พวกทานไปไหนไมเ ห็นหลายวนั แลว. พวกพอ คา ทลู บอกเร่ืองราวทั้งหมดแดพ ระราชา. พระ-ราชาทรงมพี ระหฤทัยยินดวี า ดูกอ นพอ ทงั้ หลาย เปน การดีเชนกับเรา พระราชาในมัชฌิมประเทศไดม ิตรแลวเพราะอาศัยพวกทาน. ในเวลาตอมา พอ คา ทั้งหลายแมอ ยใู นพระนครราชคฤห ก็ไปสูพระนครตักกศลิ า. พระเจา ปกุ กุสาติตรัสถามพอคาเหลานัน้ ผูถอื บรรณา-การมาวา พวกทานมาจากไหน. พระราชาทรงสดบั วา จากพระนครราชคฤหจงึ ตรัสวา พวกทานมาจากพระนครของพระสหายเรา. อยางน้ันพระพทุ ธเจาขา . พระราชาตรัสถามถึงความไมมพี ระโรควา พระสหายของ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 349เราไมมีพระโรคหรือ แลวทรงใหต ีกลองประกาศวา จาํ เดมิ แตว นั น้ี พวกพอคาเดินเทา หรือ พวกเกวียนเหลา ใด มาจากพระนครของพระสหายเรา จาํ เดิมแตก าลท่ีพอคาทงั้ ปวง เขา มาสูเขตแดนของเรา จงไหเ รือนเปนทพ่ี กั อาศยั และเสบียงจากพระคลงั หลวง จงสละภาษี อยาทาํ อันตรายใด ๆ แกพอคาเหลา นน้ัดังน้.ี ฝายพระเจาพิมพสิ ารกท็ รงใหต กี ลองประกาศเชนนี้ เหมือนกนั ในพระนครของพระองค. ลําดบั น้ัน พระเจา พมิ พิสารไดทรงสง พระบรรณาการแกพระเจาปกุ กุสาติวา รัตนะทั้งหลายมแี กว มณแี ละมกุ ดาเปน ตน ยอ มเกดิ ในปจ จนั ตประเทศรตั นะใดท่ีควรเห็น หรือควรฟง เกิดขน้ึ ในราชสมบัตแิ หงพระสหายของเราขอพระสหายเราจงอยาทรงตระหน่ีในรตั นะนัน้ . ฝา ยพระเจา ปกุ กสุ าติ กท็ รงสง พระราชบรรณาการตอบไปวา ธรรมดามชั ฌิมประเทศเปนมหาชนบท รตั นะเหน็ ปานนใี้ ด ยอมเกดิ ในมหาชนบทน้นั ขอพระสหายของเราจงอยาทรงตระหน่ใี นรัตนะนนั้ . เน้ือกาลลวงไป ๆ อยางนี้ พระราชาเหลา น้นั แมไ มทรงเห็นกนั กเ็ ปนมติ รแนนแฟน. เมอื่ พระราชาทั้งสองพระองคนัน้ ทรงทําการตรสั อยอู ยา งนี้ บรรณาการยอมเกดิ แกพ ระเจา ปกุ กุสาตกิ อน. ไดย ินวาพระราชาทรงไดผา กัมพล ๘ ผืน อันหาคา มิได มีหาสี. พระราชาน้ันทรงพระดําริวา ผา กมั พลเหลานีง้ ามอยา งยิง่ เราจักสง ใหพระสหายของเรา. ทรงสง อาํ มาตยท งั้ หลายดวยพระดํารสั วา พวกทานจงใหท ําผอบแขง็ แรง ๘ ผอบเทา กอ นคร่ังใสผ า กัมพลเหลา นนั้ ในผอบเหลานัน้ ใหประทบั ดวยครั้งพนั ดวยผาขาว ใสในหีบพันดว ยผา ประทับดวยตราพระราชลัญจกรแลวถวายแกพ ระสหายของเรา และไดพระราชทานพระราชสาสนวา บรรณาการน้ี อนั เราผอู าํ มาตยเปน ตน แวดลอมแลว เหน็ ในทามกลางพระนคร. อํามาตยเ หลา น้ัน ไปทลู ถวายแดพ ระเจาพมิ พิสาร.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 350 พระเจา พมิ พิสารนนั้ ทรงสดับพระราชสาสน ทรงใหต ีกลองประกาศวาชนทงั้ หลายมอี ํามาตยเปน ตน จงประชมุ ดงั นี้ อันอํามาตยเปน ตน แวดลอ มแลว ในทา มกลางพระนคร ทรงมีพระเศวตฉัตรกน้ั ประทบั นัง่ บนพระราชบัลลังกอันประเสรฐิ ทรงทําลายรอยประทับ เปดผา ออก เปดผอบ แกเ ครือ่ งภายในทรงเหน็ กอ นครงั่ ทรงพระราชดาํ รวิ า พระเจาปุกกุสาติพระสหายของเรา คงสาํ คัญวา พระสหายของเรามีพระราชหฤทยั รุงเรอื ง จึงทรงสง พระราชบรรณาการน้ไี ปใหดงั น้ี. ทรงจบั กอนอันหนึง่ แลว ทรงทุบดว ยพระหตั ถ พิจารณาดูก็ไมท รงทราบวา ภายในมีเคร่ืองผา. ลาํ ดบั น้นั ทรงทกี่ อนนั้นทเี่ ชงิ พระราช-บลั ลงั ก. ทนั ใดนนั้ คร่งั กแ็ ตกออก. พระองคทรงเปด ผอบดว ยพระนขา ทรงเห็นกัมพลรัตนะภายในแลว ทรงใหเปดผอบทง้ั หลาย แมนอกนี.้ แมทงั้ หมดกเ็ ปน ผา กัมพล. ลําดบั นั้น ทรงใหคลผี ากัมพลเหลาน้นั . ผากัมพลเหลานน้ัถึงพรอมดว ยสี ถงึ พรอ มดว ยผสั สะ ยาว ๑๖ ศอก กวาง ๘ ศอก. มหาชนทั้งหลาย เหน็ แลว กระดกิ น้ิว ทําการยกผาเล็ก ๆ ขึ้น พากนั ดใี จวา พระเจาปุกกสุ าติ พระสหายไมเคยพบเหน็ ของพระราชาแหง พวกเรา ไมท รงเหน็ กันเลย ยงั ทรงสงพระราชบรรณาการเห็นปานน้ี สมควรแทเพื่อทาํ พระราชาเห็นปานนใี้ หเ ปน มิตร. พระราชาทรงใหต รี าคาผากัมพลแตละผืน. ผากมั พลทกุ ผืนหาคา มิได. ในผา กัมพลแปดผนื น้ัน ทรงถวายส่ผี นื แดพ ระสมั มาสัมพุทธเจา .ทรงไวใ ชสผี่ นื ในพระราชวังของพระองค. แตน นั้ ทรงพระราชดํารวิ า การที่เราเมอ่ื จะสงภายหลงั ก็ควรสงบรรณาการดีกวาบรรณาการทสี่ ง แลว กอน ก็พระสหายไดสงบรรณาการอนั หาคา มไิ ดแ กเรา เราจะสงอะไรดหี นอ. กใ็ นกรงุราชคฤหไมมวี ตั ถุท่ดี ียง่ิ กวา น้นั หรอื . ไมม หี ามไิ ดพ ระราชาทรงมบี ุญมาก กอ็ กีประการหนึ่ง จาํ เดมิ แตกาลที่พระองคท รงเปน พระโสดาบนั แลว เวนจากพระ-


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook