Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_23

tripitaka_23

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_23

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 470 [๗๙๓] ครั้นทา นพระนันทกะกลาวสอนภกิ ษุณเี หลานน้ั ดวยโอวาทนี้แลว จงึ สงไปดว ยคําวา ดูกอนนองหญงิ ทง้ั หลาย พวกทานจงไปเถดิ สมควรแกเวลาแลว ลาํ ดับนั้น ภกิ ษณุ เี หลา นน้ั ยินดีอนุโมทนาภาษิตของทา นพระนนั ทกะแลว ลุกจากอาสนะ อภิวาททา นพระนนั ทกะ กระทําประทกั ษณิเขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจายังทป่ี ระทบั แลวถวายอภิวาทพระผมู ีพระภาคเจายนื ณ ทคี่ วรสว นขางหนงึ่ พอยืนเรยี บรอ ยแลว พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสดงั นวี้ า ดูกอ นภิกษณุ ที ัง้ หลาย พวกเธอจงไปเถิด สมควรแกเ วลาแลว ตอ นนั้ภิกษุณีเหลาน้นั ไดถวายอภิวาทพระผูมพี ระภาคเจา การทําประทกั ษณิ แลวหลกี ไป. [๗๙๔] ครัง้ นน้ั แล พระผูมพี ระภาคเจา เมอ่ื ภิกษุณีเหลา นนั้ หลกีไปแลวไมนาน ไดต รัสกะภกิ ษทุ ้ังหลายวา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ในทุกวันอุโบสถ ๑๕ คาํ่ นนั้ ชนเปนอันมากไมม คี วามเคลือบแคลง หรือสงสัยวาดวงจันทรพรองหรอื เตม็ หนอ แตแ ทท่จี ริงดวงจันทรก็เตม็ แลว ทเี่ ดียว ฉนั ใดดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ภิกษุณเี หลานั้นยอ มเปน ผูช่นื ชมธรรมเทศนาของนนั ทกะและมคี วามดํารบิ ริบรู ณแ ลว ฉันนั้นเหมือนกันแล. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลายบรรดาภกิ ษุณที ัง้ ๕๐๐ รูปนนั้ รูปสดุ ทายยงั เปน ถงึ พระโสดาบนั มคี วามไมตกต่ําเปนธรรมดา แนน อนทจ่ี ะตรัสรูใ นเบ้อื งหนา. พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รัสพระภาษิตนแ้ี ลว ภิกษุเหลา นน้ั ตางชื่นชมยินดพี ระภาษติ ของพระผูมีพระภาคเจาแล. จบ นันทโกวาทสูตร ท่ี ๔

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 471 อรรถกถานันทโกวาทสูตร นันทโกวาทสูตรขึ้นตน วา ขาพเจา ไดสดบั มาแลวอยา งน้ี:- ในสูตรนน้ั คาํ วา ก็โดยสมยั น้ันแล ความวา เมอื่ พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงไดร บั การขอรอ งจากพระมหาปชาบดีโคตมแี ลว กท็ รงสงภิกษุณีสงฆไป. แลว รับสั่งใหภ กิ ษสุ งฆเขา ประชมุ ทรงกระทาํ การแกสงฆว า ภิกษุทง้ั หลายที่เปน เถระจงเปลย่ี นเวรกันสอนพวกภกิ ษณุ ี พระอานนทก ลา วหมายเอาความขอ นนั้ จงึ กลาวคําวา นี.้ ในสตู รน้นั คาํ วา ปริยาเยน หมายถงึ โดยวาระ.คาํ วา ไมป รารถนา คือเม่ือถงึ เวรของตนแลว ผสู อนภกิ ษุณีจะไปบา นไกลหรอื เอาเขม็ มาเย็บผาเปน ตน แลวสงู ใหพ ดู แทนวา นคี้ งจะเปน ความลา ชาของภิกษนุ นั้ แตการเปล่ยี นเวรกันสอนน้ี พระผูมีพระภาคเจาไดท รงกระทาํ การะเพราะเหตุแหงพระนนั ทกเถระเทานั้น. เพราะเหตไุ ร เพราะเมอ่ื พวกภกิ ษณุ ีเหลานี้ไดเหน็ พระเถระแลว จติ กจ็ ะเลอ่ื มใสแนวแน. เพราะเหตุน้ัน พวกนางภิกษุณเี หลา น้ันจึงอยากรับคาํ สอนของทา น ประสงคจ ะฟงธรรมกถา ฉะนน้ัพระผูมีพระภาคเจา จึงไดท รงทาํ โอวาทโดยวาระวา เม่ือถึงเวรของคนแลวนันทกะจะแสดงโอวาทจะกลาวธรรมกถา ฝา ยพระเถระไมย อมทาํ เวรของตน.หากมคี าํ ถามวา เพราะเหตไุ ร ก็ตอบวา นัยวา ภกิ ษณุ ีเหลานนั้ เม่ือพระเถระเสวยราชสมบตั ใิ นชมพทู วีปเมอ่ื ชาติกอ น เปนนางสนม. พระเถระไดท ราบเหตกุ ารณน ้ันดวยบพุ เพนิวาสญาณ จงึ คดิ วา ภกิ ษอุ ่นื ที่ไดบ พุ เพนิวาสญาณเม่อื ไดเห็นเรานั่งกลางภกิ ษณุ ีสงฆน้ชี ักเอาขอเปรยี บเทียบและเหตกุ ารณต า ง ๆมากลาวธรรมอยู ก็จะพึงมองเหตุการณน ี้แลว สาํ คัญคาํ ทีจ่ ะพงึ กลา ววา ทานนนั ทกะไมย อมทง้ั พวกนางสนมจนกระทั่งถงึ ทุกวนั น้ี ทานนนั ทกะท่มี นี างสนม

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 472หอมลอ มน้ี ชา งงามแท. เมื่อพจิ ารณาเหน็ ความขอน้ี พระเถระจงึ ไมยอมทาํเวรของตน. และเลา กันมาวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงทราบวา ธรรมเทศนาของพระเถระเทาน้นั จึงจะเปน ท่สี บายแกภิกษณุ ีเหลานนั้ จงึ รบั สั่งเรยี กพระ-นนั ทกะมาในครงั้ นนั้ แล. เพอ่ื รูวา ภิกษุณเี หลาน้นั เมื่อชาติกอนเปน นางสนมของพระเถระมา จึงมีเรื่องดังตอไปนี้. มเี รือ่ งเลา กันมาวา ครัง้ กอ น ทกี่ รงุ พาราณสีมีพวกทาํ งานดว ยลําแขงอยู ๑,๐๐๐ คน คือ ทาส ๕๐๐ คน ทาสี ๕๐๐ คน ทาํ งานดว ยกัน พกั อยใู นท่เี ดียวกัน . พระนันทกเถระนีเ้ ปน หัวหนา ทาสในเวลาน้นั พระโคตมเี ปนหวั หนาทาสี นางเปน ภรรยาที่ฉลาดสามารถของหวั หนาทาส. แมพวกทาํ งานดวยลําแขงทงั้ ๑,๐๐๐ คน เม่ือจะทําบญุ กรรม กท็ ําดวยกนั ตอ มาเวลาเชาพรรษา มีพระปจ เจกพทุ ธเจา ๕ องค จากเงือ้ มเขานนั ทมลู กะมาลงท่ีอสิ ปิ ตนะเทย่ี วบิณฑบาตในกรงุ แลวกไ็ ปสูอิสิปตนะน่ันแหละ คดิ วา พวกเราจะขอหตั ถกรรมเพื่อประโยชนแกก ฏุ ิอยูจาํ พรรษา หมจีวรเขาไปสกู รุงในตอนเย็นยนื ที่ประตเู รอื นเศรษฐ.ี นางหัวหนา ทาสี กระเคยี ดหมอ นํา้ ไปทา นา้ํ ไดเหน็ พวกพระปจเจกพทุ ธเจา ทก่ี ําลงั เขาสูก รุง. เศรษฐีไดฟ ง เหตกุ ารณทีพ่ ระปจเจกพุทธเจา เหลา นั้นมา ก็พูดวา พวกเราไมมีเวลาวางนมิ นตไ ปเถอะ. คร้ังนน้ั นางหวั หนาทาสี กาํ ลังทูนหมอนา้ํ เขาไปก็เหน็ พวกพระปจเจกพทุ ธเจาเหลา นัน้ กําลงั ออกมาจากกรงุ จึงยกหมอ นํา้ ลง นอ มไหว ปด หนาแลวทูลถามวา พวกพระผเู ปนเจา สกั วาเขาสกู รุงแลว ก็ออกมา อะไรกันหนอ. ปจ . พวกอาตมา มาเพ่อื ขอหัตถกรรมแหงกฏุ จิ ําพรรษา. ทา. ไดห รือเปลา เจา คะ. ปจ . ไมไดหรอก อบุ าสิกา.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 473 ทา. ก็แหละกฏุ นิ ้นั พวกคนใหญคนโตเทานนั้ จึงจะทําได หรอื แมแตพ วกคนยากจนก็ทําได. ปจ . ใครผูใดผหู นึ่งอาจทาํ ได. ทา. ดลี ะ เจา คะ พวกดิฉันจะทาํ ถวาย พรุงนีน้ มิ นตร บั ภิกษาของดฉิ นั นะคะ นมิ นตไวแลวก็เอาน้าํ ไป แลวกระเดียดหมอน้ํามายืนที่ทางทา น้าํ อกีพูดกบั พวกทาสที ่ีเหลือซงึ่ พากันมาแลว วา พวกเธอจงอยนู แี้ หละ ในเวลาทท่ี ุกคนมาแลวกพ็ ูดวา แม นพ่ี วกเธอจะทาํ งานเปน ขี้ขา คนอื่นตลอดไปหรอื หรอือยากจะพนจากความเปนข้ขี า . พวกทาสีตอบวา อยากจะพนในวนั นแี้ หละ แมเจา นางจงึ วา ถา เมื่อเปนอยางนั้น พรงุ นฉี้ นั ไดน มิ นตพระปจ เจกพุทธเจาทั้ง ๕ องคท ่ีไมไ ดหตั ถกรรมมาฉนั ขอใหพ วกเธอจงใหพ วกสามขี องพวกเธอใหห ัตถกรรมสักวันเถดิ . พวกนางเหลา น้ัน กร็ ับวา ได แลว ก็บอกแกสามใี นเวลาท่มี าจากดงในตอนเย็น. พวกเขากร็ บั วา ตกลง แลว ก็พากนั ไปประชมุ ท่ปี ระตเู รอื นของพวกหัวหนา ทาสี. ลาํ ดับนน้ั นางหัวหนา ทาสีกลา วก็พวกเขาเหลาน้ันวา พอ ท้งั หลายพรงุ นี้ขอใหพวกคณุ จงใหหตั ถกรรมแกพระปจ เจกพุทธเจา ทั้งหลายเถดิ นะคะแลว ก็บอกอานิสงส ขูแลว ปกปองพวกทไ่ี มอ ยากทาํ ดวยโอวาททีห่ นกั แนนวันรงุ ข้ึน นางไดถ วายอาหารแตพวกพระปจเจกพทุ ธเจาแลว ใหสัญญาณแกพ วกลูกทาสทุกคน. ทันใดนนั้ พวกลกู ทาสเหลานนั้ ก็เขาปา รวบรวมเคร่ืองเครารอ ยกท็ ้ังรอ ยสรางกฏุ ิกัน แตล ะหลงั ๆ มบี ริวารคือท่ีจงกรมเปนตน หลังละแหง ๆวางเตียง ต่งั นาํ้ ดืม่ และภาชนะสําหรับใสข องทต่ี อ งฉนั เปน ตนไว ขอใหพวกพระปจ เจกพทุ ธเจา ทําปฏิญญาเพอื่ ประโยชนอ ยใู นกฏุ ิน้นั ตลอดสามเดอื น แลวตั้งเวรถวายอาหารกัน . ในวนั เวรตน ใครไมส ามารถ นางหัวหนาทาสีก็ขนเอาจากเรือนง่ั เองมาถวายแทนผนู นั้ . เมอื่ นางหวั หนา ทาสปี รนนิบัตติ ลอดสาม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 474เดือนอยา งนีเ้ สรจ็ แลว กใ็ หท าสแตละคนสละผา กันคนละผนื ไดผ าเน้อื หยาบ๕๐๐ ผืน ใหพ ลิกแพลงผาเหลาน้นั ทาํ เปน ไตรจีวรถวายพระปจเจกพทุ ธเจาท้ัง ๕ องค. พระปจเจกพทุ ธเจา ทัง้ หลายก็หลกี ไปตามสําราญ. แมค นผูทํางานดวยลําแขง ทงั่ พันคนนนั้ ไดท าํ กุศลมาดวยกนั ตายแลว ก็เกดิ ในเทวโลก. แมบานทง้ั ๕๐๐ คนนัน้ บางทีก็เปนภรรยาของชายทงั้ ๕๐๐ คนน้ัน. บางทแี มทงั้ หมดกเ็ ปนภรรยาของลูกทาสผเู ปนหวั หนา เทานัน้ . ตอมา ในกาลคร้ังหนง่ึลกู หวั หนาทาสเคลื่อนจากเทวโลกมาบงั เกดิ ในราชตระกลู . ถึงเทวกัญญาท้ัง๕๐๐ น้นั ก็มาเกดิ ในตระกูลทมี่ สี มบัติมาก เมอื่ เจาชายน้ันไดเ สวยราชยก ็ไปสูพระราชวัง เปนนางสนม. เมือ่ พวกนางทอ งเที่ยวอยูโดยทาํ นองน้ี ในกาลแหงพระผมู ีพระภาคเจาของพวกเรา กม็ าเกดิ ในตระกลู กษัตริยในโกลยิ นครบา ง ในเทวทหนครบา ง. แมพ ระนันทกะเลา เมอ่ื บวชแลวก็ไดส ําเร็จเปนพระอรหนั ต. ลกู สาวหวั หนาทาสี เจรญิ วยั แลว ก็ดาํ รงอยูในตําแหนง อัครมเหสี ของพระเจาสทุ โธทนมหาราช. ถงึ หญิงนอกนกี้ ็ไปสูวงั (คือเปน พระชายา) ของราชบุตรเหลานนั้ . เจา ชาย ๕๐๐ องค ซง่ึ เปน พระสวามีของพวกพระนางเหลาน้ัน ไดทรงฟง พระธรรมเทศนาของพระศาสดาในเพราะการทะเลาะกนั เกย่ี วกบั แยงน้าํแลว ก็ทรงผนวช. พวกเจา หญงิ กท็ รงสงพระสาสน เพ่ือใหพวกเจาชายเหลานน้ักระสัน. พระผูมพี ระภาคเจาทรงพาพวกทา นผูกระสนั เหลา นน้ั ไปสระดเุ หวาแลวทรงใหดํารงอยูในโสดาปต ติผล ในวันประชุมใหญก ็ทรงใหตงั้ อยใู นความเปน พระอรหันต. แมเจา หญงิ ท้งั ๕๐๐ องคน ้นั เลา ก็พากนั ออกไปบวชในสํานกั พระมหาประชาบด.ี

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 475 พงึ แสดงเรือ่ งน้อี ยา งนี้วา หวั หนาทาสนี้คอื ทา นพระนันทกะ นางทาสเี หลา นแ้ี หละ คือภกิ ษณุ เี หลาน้ัน ดงั น.้ี คําวา ราชการาโม ไดแ ก วดั ที่พระเจาปเสนทิโกศลทรงสรา งไวในสถานท่ีคลายถปู าราม ทสี่ ว นทิศใตของพระนคร คาํ วา สมมฺ ปฺปฺ าย สทุ ฏ  คือทเี่ ห็นตามเหตุ ตามการณดวยวิปสสนาปญ ญา คือตามความเปนจริง. คําวา ตชฺช ตชชฺ  คอื มีปจจัยนั้นเปนตัวแท มีปจ จยั นนั้ เปนสภาพ. มีคาํ ทอ่ี ธบิ ายวา ก็แล เวทนาน้ัน ๆเพราะอาศัยปจ จยั นั้น ๆ จึงเกิดขนึ้ . คําวา ปเควสสฺ ฉายา ความวาความทเี่ กดิ ข้ึนเพราะอาศัยรากเปนตน กไ็ มเที่ยง ทั้งแตเ ริม่ แรกทีเดียว คาํ วาอนุปหจฺจ คอื ไมเ ขา ไปประหาร บคุ คลทําเนอ้ื ใหเห็นกอ น ๆ แลว ปลอ ยใหห นังหอยยอ ยมา ชอื่ วายอ มเขาไปกําจดั กายคอื เนื้อ ในคําวา ไมเ ขาไปกําจดั นน้ั บุคคลทาํ ใหหนงั ติดกันเปน พืด แลวปลอยใหเนอ้ื ทัง้ หลายหอยยอยมาช่อื วายอ มเขา ไปกําจัดกายคือหนัง ไมท ําอยา งนั้น. คาํ วาวลิ ิม สมหารุ พนฺธน ไดแก เนื้อทพ่ี อกทต่ี ิดทีห่ นังทง้ั หมดนน่ั เอง. ทา นกลา วหมายเอากเิ ลสในระหวางทกุ อยางนน้ั แหละวา มเี คร่อื งผูกคอื กเิ ลสสงั โยชนใ นระหวา งดงั นี้. ถามวา ทําไม ทา นจึงกลาวคาํ วา ก็เจด็ อยา งเหลา น้แี ล. ตอบวาเพราะปญ ญาใดทที่ า นวา ปญ ญาน้ียอ มตัดกิเลสท้งั หลายได ปญญานัน้ ลําพังอยางเดียวแท ๆ ไมอาจตดั ไดโ ดยธรรมดาของคน. กเ็ หมอื นอยา งวา. ขวานโดยธรรมดาของตนแลว จะตัดสิง่ ทต่ี องตัดใหข าดไมไ ด ตอเมือ่ อาศยั ความพยายามทเ่ี กิดจากคนนัน้ ของบุรษุ แลว จึงจะตดั ไดฉันใด เวนจากโพชฌงคอกี ๖ ขอ แลว ปญ ญาก็ไมสามารถจะตดั กิเลสท้ังหลายได ฉันน้ัน เหมือนกนัเพราะฉะนนั้ ทานจงึ กลาวอยา งนั้น. คําวา ถาอยา งนั้น ความวา เธอแสดงอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ กองวญิ ญาณ ๖ การเทียบประทปี เทียบตน ไม

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 476และเทียบโค แลว จบเทศนาลงดว ยความส้นิ ไปแหงอาสวะดวยโพชฌงค๗ อยา ง เพราะเหตใุ ด เพราะเหตุนน้ั แมพรงุ นี้ เธอก็พึงสง่ั สอนพวกภกิ ษณุ ีเหลา นัน้ ดวยโอวาทนน้ั แล. คําวา สา โสตาปนนฺ า ความวา ภิกษุณีทตี่ าํ่ กวาเขาหมดทางคุณธรรมก็เปนโสดาบนั . ทเี่ หลอื กเ็ ปน สกทาคามนิ ี อนาคามินี และขีณาสพ. ถามวา ถา เม่อื เปนอยางน้นั จะมีความดาํ ริบรบิ ูรณไดอยา งไร. ตอบวา จะมีความดาํ ริบริบูรณไ ดดวยความบริบรู ณแหง อัธยาศัย. จริงอยภู กิ ษณุ รี ูปใดมีความคิดอยางนีว้ า เมอ่ื ไรหนอแล เรากําลงั ฟงธรรมเทศนาของพระคณุ เจา นนั ทกะพึงทาํ ใหแจงโสดาปตตผิ ลในอาสนะนนั่ แล. ภกิ ษุณีนน้ั กไ็ ดทําใหแจง โสดาปต ติผล. ภิกษณุ รี ปู ใดมีความคดิ วา สกทาคามิผล อนาคามผิ ล อรหัตตผลนางภิกษณุ ีรูปนนั้ กท็ ําความเปนพระอรหนั ตใ หแจม แจง. เพราะเหตนุ นั้พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรัสวา เปนผชู น่ื ใจและมีความดาํ รทิ ีบ่ รบิ ูรณแ ลว แล. จบอรรถกถานนั โกวาทสตู รท่ี ๔

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 477 ๕. จูฬราหุโลวาทสตู ร [๗๙๕] ขา พเจาไดสดบั มาอยางนี้:- สมัยหน่งึ พระผูมีพระภาคเจา ประทับอยทู ีพ่ ระวหิ ารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวตั ถี คร้ังนนั้ แล พระผูมพี ระภาคเจาทรงหลีกเรน ประทับอยูในทร่ี โหฐาน ไดเ กดิ พระปริวิตกทางพระหฤทัยขึ้นอยางน้วี า ราหุลมธี รรมที่บม วิมุตตแิ กกลา แลวแล ถากระไร เราพึงแนะนาํ ราหุลในธรรมทส่ี ิ้นอาสวะยง่ิ ขน้ึ เถดิ . [๗๙๖] ตอน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาทรงครองสบง ทรงบาตรจีวรเสด็จเขาไปบณิ ฑบาตยงั พระนครสาวตั ถีในเวลาเชา ครนั้ เสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลงั เวลาพระกระยาหารแลว ไดตรัสกะทานพระราหลุ วา ราหุล เธอจงถือผา รองนั่ง เราจักเขา ไปยงั ปา อันธวัน เพื่อพกั ผอ นกลางวันกนั ทา นพระราหุลทูลรบั พระผูมพี ระภาคเจาวา ชอบแลว พระพุทธเจา ขา แลว จึงถือผารองน่ังตดิ ตามพระผมู พี ระภาคเจาไป ณ เบือ้ งพระปฤษฎางค ก็สมัยน้นั แล เทวดาหลายพันคนไดต ดิ ตามพระผมู ีพระภาคเจาไปดว ยทราบวา วนั น้ี พระผูมพี ระ-ภาคเจาจกั ทรงแนะนําทา นพระราหลุ ในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึน้ คร้ังน้ันแลพระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ เขา ถงึ ปาอันธวนั แลว จงึ ประทบั น่งั ณ อาสนะทท่ี า นพระราหลุ ปูลาด ณ ควงไมแหงหน่งึ แมท านพระราหลุ กถ็ วายอภิวาทพระ-ผูมีพระภาคเจา แลวน่งั ณ ที่ควรสว นขา งหนึง่ . [๗๙๗] พอนัง่ เรยี บรอยแลว พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั ดังน้ีวาราหุล เธอจะสําคัญความขอ นั้นเปน ไฉน จักษเุ ทย่ี งหรอื ไมเท่ยี ง. ร. ไมเ ทยี่ ง พระพุทธเจา ขา.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 478 พ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทีย่ ง ส่งิ นนั้ เปน ทุกขหรอื เปน สขุ . ร. เปนทุกข พระพุทธเจาขา . พ. กส็ งิ่ ใดไมเทย่ี ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือท่จี ะตามเหน็ สิ่งน้ันวา นนั่ ของเรา นน่ั เรา นัน่ อตั ตาของเรา. ร. ไมค วรเลย พระพทุ ธเจาขา. [๗๙๘] พ. ราหุล เธอจะสําคญั ความขอนั้นเปนไฉน รูปเท่ยี งหรือไมเ ท่ียง. ร. ไมเ ที่ยง พระพทุ ธเจา ขา . พ. กส็ ิ่งใดไมเทย่ี ง สง่ิ น้ันเปน ทกุ ขห รือเปนสุข. ร. เปนทุกข พระพุทธเจาขา . พ. ก็สง่ิ ใดไมเท่ยี ง เปน ทุกข มคี วามแปร ปรวนเปนธรรมดา ควรหรอื ท่จี ะตามเหน็ สง่ิ นั้นวา น่ันของเรา นน่ั เรา นัน่ อัตตาของเรา. ร. ไมควรเลย พระพุทธเจาขา . [๗๙๙] พ. ราหุล เธอจะสําคัญความขอ น้นั เปนไฉน จกั ษุวญิ ญาณเทยี่ งหรือไมเ ท่ยี ง. ร. ไมเที่ยง พระพทุ ธเจาขา. พ. สิ่งใดไมเทยี่ ง ส่ิงนัน้ เปนทกุ ขหรือเปนสขุ . ร. เปน ทกุ ข พระพทุ ธเจา ขา. พ. ก็ส่ิงใดไมเ ทีย่ ง เปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือทีจ่ ะตามเห็นสิง่ นน้ั วา นน่ั ของเรา นน่ั เรา นัน่ อัตตาของเรา. ร. ไมค วรเลย พระพทุ ธเจาขา. [๘๐๐] พ. ราหุล เธอจะสาํ คญั ความขอนนั้ เปนไฉน จักษสุ ัมผัสเทยี่ งหรือไมเ ทีย่ ง.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 479 ร. ไมเที่ยง พระพทุ ธเจา ขา. พ. สิ่งใดไมเ ทีย่ ง ส่ิงน้ัน เปน ทกุ ขหรือเปน สขุ . ร. เปนทุกข พระพุทธเจา ขา . กส็ ิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอืที่จะตามเหน็ สิง่ นน้ั วา น่นั ของเรา นน่ั เรา น่ันอัตตาของเรา. ร. ไมควรเลย พระพุทธเจาขา . วา ดว ยเวทนาเปน ตน [๘๐๑] พ. ราหลุ เธอจะสาํ คญั ความขอ น้นั เปน ไฉน เวทนาสญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ที่เกดิ ขน้ึ เพราะจักษสุ มั ผสั เปน ปจจยั แมนน้ั เทย่ี งหรอื ไมเทย่ี ง. ร. ไมเทีย่ ง พระพทุ ธเจาขา . พ. กส็ งิ่ ใดไมเ ท่ยี ง สง่ิ น้นั เปนทุกขห รือเปน สุข. ร. เปน ทุกข พระพทุ ธเจา ขา. พ. ก็สงิ่ ใดไมเทยี ง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือทีจ่ ะตามเหน็ ส่ิงนนั้ วา นัน่ ของเรา นัน่ เรา น่ันอัตตาของเรา. ร. ไมค วรเลย พระพุทธเจา . [๘๐๒] พ. ราหุล เธอจะสําคัญความขอ นั้น เปนไฉน โสตเท่ียงหรือไมเ ทยี่ ง. ร. ไมเทีย่ ง พระพทุ ธเจา ขา ฯลฯ พ. ราหุล เธอจะสําคัญความขอ น้นั เปนไฉน ฆานะเทย่ี งหรือไมเทยี่ ง. ร. ไมเ ที่ยง พระพุทธเจา ขา. พ. ราหลุ เธอจะสาํ คญั ความขอ นนั้ เปนไฉน ชิวหาเทีย่ งหรือไมเ ทีย่ ง.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 480 ร. ไมเ ทีย่ ง พระพุทธเจา ฯลฯ พ. ราหุล เธอจะสาํ คัญความขอนน้ั เปน ไฉน กายเทีย่ งหรือไมเ ท่ียง. ร. ไมเ ท่ียง พระพุทธเจาขา ฯลฯ [๘๐๓] พ. ราหุล เธอจะสาํ คญั ความขอ น้นั เปนไฉน มโนเทย่ี งหรือไมเทยี่ ง. ร. ไมเ ท่ียง พระพทุ ธเจาขา . พ. ก็สิง่ ใดไมเ ท่ยี ง สิ่งนั้นเปน ทกุ ขห รอื เปน สขุ . ร. เปน ทุกข พระพุทธเจาขา . พ. ก็สง่ิ ใดไมเ ท่ียง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื ที่จะตามเห็นสงิ่ นนั้ วา น่ันของเรา. นั่นเรา นัน่ อตั ตาของเรา. ร. ไมค วรเลย พระพุทธเจา ขา . [๘๐๔] พ. ราหลุ เธอจะสําคญั ความขอ น้นั เปน ไฉน ธรรมารมณเทยี่ งหรือไมเ ท่ียง. ร. ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา . พ. ก็สง่ิ ใดไมเ ท่ียง สิง่ น้นั เปน ทุกขห รือเปน สขุ . ร. เปนทกุ ข พระพทุ ธเจา ขา. พ. ก็ส่งิ ใดไมเ ทีย่ ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรือทจ่ี ะตามเห็นสง่ิ นน้ั วา น่ันของเรา นน่ั เรา นั่นอัตตาของเรา. ร. ไมค วรเลย พระพุทธเจา ขา. [๘๐๕] พ. ราหุล เธอจะสําคัญความขอน้ันเปนไฉน มโนวิญญาณเทยี่ งหรือไมเ ทย่ี ง. ร. ไมเ ที่ยง พระพุทธเจาขา. พ. กส็ ิง่ ใดไมเ ทย่ี ง ส่ิงนนั้ เปนทุกขหรอื เปนสุข.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 481 ร. เปนทกุ ข พระพุทธเจาขา. พ. กส็ ่งิ ใดไมเที่ยง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรือทีจ่ ะตามเหน็ ส่งิ นน้ั วา นนั่ ของเรา น่นั เรา น่นั อัตตาของเรา ร. ไมค วรเลย พระพทุ ธเจาขา. [๘๐๖] พ. ดูกอ นราหุล เธอจะสาํ คัญความขอนนั้ เปน ไฉน มโนสมั ผัสเทย่ี งหรือไมเ ท่ียง. ร. ไมเทย่ี ง พระพทุ ธเจา ขา . พ. กส็ ง่ิ ใดไมเที่ยง สง่ิ น้นั เปนทกุ ขหรือเปน สุข ร. เปนทุกข พระพุทธเจา ขา. พ. กส็ ิ่งใดไมเที่ยง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรอื ท่จี ะตามเห็นส่ิงน้นั วา นนั่ ของเรา น่ันเรา นนั่ อัตตาของเรา ร. ไมควรเลย พระพทุ ธเจาขา. [๘๐๗] พ. ราหลุ เธอจะสาํ คัญความขอ นน้ั เปน ไฉน เวทนาสญั ญา สังขาร วิญญาณ ท่เี กดิ เพราะมโนสัมผสั เปน ปจจยั แมน ัน้ เทีย่ งหรือไมเทย่ี ง. ร. ไมเทย่ี ง พระพุทธเจา ขา . พ. ก็สง่ิ ใดไมเทีย่ ง สง่ิ นัน้ เปน ทุกขห รือเปนสุข ร. เปนทกุ ข พระพทุ ธเจา ขา . พ. กส็ ง่ิ ใดไมเ ที่ยง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือทีจ่ ะตามเห็นสิ่งน้ันวา นนั่ ของเรา น่ันเรา นนั่ อัตตาของเรา ร. ไมค วร พระพทุ ธเจา ขา . [๘๐๘] พ. ราหลุ อรยิ สาวกผสู ดับแลว เหน็ อยอู ยางนี้ ยอ มเบอ่ื -หนายแมใ นจกั ษุ ยอ มเบ่อื หนา ยแมใ นรูป ยอมเบ่อื หนา ยแมในจกั ษุวิญญาณ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 482ยอมเบ่ือหนา ยแมใ นจักษุสัมผสั ยอมเบ่อื หนา ยแมใ นเวทนา สญั ญา สงั ขารวิญญาณ ทเี่ กิดขน้ึ เพราะจกั ษุสัมผัสเปน ปจจยั นน้ั . ความเบอ่ื หนา ยแมในโสต ยอมเบอ่ื หนายแมใ นเสยี ง... ยอมเบอ่ื หนายแมในฆานะ ยอ มเบอื่ หนายแมในกล่ิน... ยอมเบ่อื หนา ยแมในชวิ หา ยอมเบ่อื หนา ยแมในรส... ยอมเบอื่ หนายแมในกาย ยอมเบอ่ื หนา ยแมใ นโผฏฐพั พะ... ยอมเบอื่ หนายแมใ นมโน ยอมเบอื่ หนา ยแมใ นธรรมารมณ ยอมเบ่ือหนา ยแมในมโนวิญญาณ ยอ มเบือ่ หนายแมในมโนสมั ผัส ยอมเบือ่ หนายแมใน เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ท่เี กิดข้ึนเพราะมโนสัมผสั เปน ปจจัยนนั้ . เม่ือเบ่ือหนา ยยอ มคลายกาํ หนัด เพราะคลายกาํ หนดั จึงหลุดพน เม่อืหลดุ พนแลว ยอ มมญี าณรวู า หลดุ พนแลว และทราบชดั วา ชาตสิ ิ้นแลวพรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ที่ควรทาํ ไดทําเสร็จแลว กจิ อ่ืนเพื่อความเปน อยางนม้ี ไี ดมี. [๘๐๙] พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั พระภาษติ นี้แลว ทา นพระราหุลจงึ ชื่นชมยนิ ดีพระภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจาและ กแ็ หละเมอ่ื พระผมู ีพระภาคเจาตรัสคาํ เปนไวยากรณน ี้อยู จิตของทา นพระราหุลหลุดพน แลวจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมถือมน่ั และเทวดาหลายพันองคนนั้ ไดเ กิดดวงตาเห็นธรรมอนั ปราศจากธลุ หี มดมลทินวา สิง่ ใดสง่ิ หนงึ่มคี วามเกิดขึ้นเปน ธรรมดา สิ่งนัน้ ลว นมีความดับไปเปน ธรรมดา. จบ จูฬราหุโลวาทสูตร ที่ ๕

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 483 อรรถกถาราหโุ ลวาทสตู ร ราหุโลวาทสตู ร ขึ้นตน วา ขา พเจาไดส ดับมาแลวอยา งน:ี้ - ในพระสูตรนั้น คาํ วา บมวิมุตติ มีวิเคราะหวา ทชี่ ่อื วาบมวมิ ตุ ติ ก็เพราะทําวมิ ุตติใหสกุ งอม. คาํ วา ธรรม ไดแ ก ธรรม๑๕ อยา ง. ธรรมเหลา นน้ั พงึ ทราบดวยอํานาจแหง ของความหมดจดแหงอนิ ทรียม คี วามเชอ่ื เปนตน . สมจริง ดงั คาํ ทท่ี า นกลา วไวว า (๑) อินทรียคือความเธอยอ มหมดจดดวยอาการ ๓ อยา งเหลา นี้ คือ ก. เวน บุคคลผไู มมีความเช่ือ. ข. เสพ คบ เขาน่ังใกล บคุ คลผูมคี วามเชื่อ. ค. พิจารณาสูตรท่ีเปน เหตใุ หเกดิ ความเล่อื มใส. (๒) อินทรยี ค อื ความเพียรยอ มหมดจดดวยอาการ ๓ อยางเหลาน้ี คอื ก. เวนบุคคลเกียจครา น. ข. เสพ คบ เขา น่งั ใกลบ ุคคลผูปรารภความเพียร. ค. พจิ ารณาถึงความเพยี รชอบ. (๓) อนิ ทรยี ค อื ความระลึกยอมหมดจดดวยอาการ ๓ อยางเหลานั้น คือ ก. เวน บุคคลผูหลงลืมสติ. ข. เสพ คบ เขา น่งั ใกลบ ุคคลผตู งั้ สติม่นั . ค. พจิ ารณาหลกั การตั้งสติ (สติปฏฐาน). (๔) อนิ ทรยี ค อื ความต้ังใจมน่ั ยอมหมดจดดวยอาการ ๓ อยางเหลานัน้คอื ก. เวนบคุ คลผูไมต ้ังใจมน่ั .๑. บาลี จูฬราหุโลวาทสูตตฺ 

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 484 ข. เสพ คบ เขา น่ังใกลบคุ คลผูต้งั ใจมั่น. ค. พิจารณาฌานและวิโมกข. (๕) อนิ ทรียคอื ความรูชดั ยอ มหมดจดดว ยอาการ ๓ อยางเหลา นี้ คอื ก. เวน บุคคลผูม ีปญญาทราม. ข. เสพ คบ เขา นงั่ ใกลบุคคลผมู ีปญ ญา. ค. พิจารณาญาณจรยิ าที่ลกึ ซึง้ . เมื่อเวน บคุ คล ๕ พวก เสพ คบ เขาน่ังใกลบคุ คล ๕ พวก พจิ ารณากองสูตร ๕ กองเหลานี้ ดังวามานี้ ดว ยอาการ ๑๕ อยา งเหลานี้ อินทรยี ทงั้๕ อยา งกย็ อมหมดจด. ยงั มธี รรมสาํ หรับ บม วิมุตตอิ ีก ๑๕ อยา งคอื อนิ ทรียมีความเธอเปนตน เหลานน้ั ๕ อยา ง ความสําคัญอนั เปน สวนแหง การแทงตลอด(นิพเพธภาคิยสัญญา) ๕ อยางเหลานี้คือ ความสําคัญวา ไมเท่ียง ความสําคัญวาเปนทุกขในสงิ่ ทไ่ี มเทย่ี ง ความสําคญั วา ไมใ ชตวั ตนในสง่ิ ท่ีเปน ทกุ ข ความสําคัญในการละ ความสําคัญในวิราคะ และธรรมอกี ๕ อยางมีความเปนผมู มี ิตรดีงามเปนตน ท่ตี รัสแกพ ระเมฆิยเถระ. ถามวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงมีพระดาํ รอิ ยางน้ีในเวลาใดเลา .ตอบวา เมอ่ื พระองคทรงตรวจดูโลก ในสมัยใกลส วาง ก็ทรงมพี ระดาํ ริอยา งนี้.คําวา เทวดาหลายพนั องค ความวา ทานพระราหลุ ตง้ั ความปรารถนาไวแทบบาทมลู ของพระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ปทมุ ุตตระ ในครัง้ ทีเ่ ปนพญานาคชือ่ ปาลิต พรอมกบั เทวดาทต่ี ้งั ความปรารถนาไวเหมือนกนั . ก็แหละบรรดาเทวดาเหลา น้นั บางพวกก็เปนเทวดาอยูบนแผนดิน. บางพวกกเ็ กิดในอากาศ. บางพวกก็อยูจ าตุมหาราชกิ า. บางพวกกอ็ ยใู นเทวโลก. บางพวกก็เกดิ ในพรหมโลก. แตในวันนี้ เทวดาท้ังหมดมาประชมุ กนั ในปา อันธวนั

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 485น่นั แลในทีเดียวกัน . คาํ วา ดวงตาเหน็ ธรรม ความวา ปฐมมรรค (โสดาปตติมรรค) ทา นเรียกวา ดวงตาเหน็ ธรรม ในอุปาลโี อวาทสูตร และทฆี นขสูตร.ผลทั้งสามทานเรียกวา ดวงตาเห็นธรรม ในพรหมายสุ ูตร. ในสตู รน้ี มรรค ๘ผล ๔ พงึ ทราบวา เปน ดวงตาเหน็ ธรรม. ก็แหละ ในบรรดาเทวดาเหลานน้ัเทวดาบางพวกไดเ ปน พระโสดาบัน . บางพวกเปน พระสกทาคามี บางพวกก็เปนอนาคามี บางพวกกเ็ ปน พระขีณาสพ. และก็การกําหนดดวยอํานาจนบัจํานวนเทวดาเหลา นนั้ วาเทานน้ั เทา นี้ไมม .ี คาํ ทเี่ หลอื ในทีท่ ุกแหงตืน้ ทัง้ นัน้ แล. จบอรรถกถาราหโุ ลวาทสูตร ที่ ๕

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 486 ๖. ฉฉักกสูตร [๘๑๐] ขา พเจาไดสดบั มาอยา งน้:ี - สมัยหน่งึ พระผูม พี ระภาคเจาประทับอยูท ่ีพระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถี สมัยนัน้ แล พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเรยี กภิกษทุ งั้ หลายวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษเุ หลา น้นั ทูลรบั พระดาํ รัสแลว พระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสดงั นีว้ า ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย เราจักแสดงธรรมแกเ ธอท้ังหลาย อันไพเราะในเบื้องตน ในทา มกลางในที่สุด พรอ มทง้ั อรรถทัง้ พยญั ชนะ ประกาศพรหมจรรยอ ันบรสิ ุทธ์บิ รบิ ูรณสน้ิ เชงิ คอื ธรรมหมวดหก ๖ หมวด พวกเธอจงพงึ ธรรมนั้น จงใสใ จใหดี เราจักกลา วตอไป ภิกษุเหลานั้นทลู รับพระผูมพี ระภาคเจาวาชอบแลว พระพุทธเจาขา . [๘๑๑] พระผูมพี ระภาคเจาจึงไดต รสั ดงั นว้ี า พวกเธอพึงทราบอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หมวดวิญญาณ ๖ หมวดผสั สะ ๖หมวดเวทนา ๖ หมวดตัณหา ๖. [๘๑๒] กข็ อที่เรากลา วดังนวี้ า พึงทราบอายตนะภายใน ๖ น้นั เราอาศัยอะไรกลาวแลว ไดแก อายตนะคือจักษุ อายตนะคือโสต อายตนะคือฆานะ อายตนะคอื ชวิ หา อายตนะคือกาย อายตนะคอื มโน ขอที่เรากลา วดงั น้วี า พงึ ทราบอายตนะภายใน ๖ นนั่ เราอาศัยอายตนะนี้ กลาวแลวนี้ธรรมหมวดหก หมวดที่ ๑. [๘๑๓] กข็ อ ทเ่ี รากลาวดงั นีว้ า พงึ ทราบอายตนะภายนอก ๖ นนั่ เราอาศยั อะไรกลา วแลว ไดแก อายตนะคอื รูป อายตนะคือเสียง อายตนะคือกลนิ่อายตนะคอื รส อายตนะคือโผฏฐพั พะ อายตนะคอื ธรรมารมณ ขอท่ีเรากลา ว

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 487ดงั นี้วา พงึ ทราบอายตนะภายนอก ๖ นัน่ เราอาศยั อายตนะนี้ กลาวแลวนธี้ รรมหมวด ๖ หมวดที่ ๑. [๘๑๔] ก็ขอ ทเี่ รากลา วดงั นว้ี า พงึ ทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศยั อะไรกลาวแลว คอื บคุ คลอาศยั จักษแุ ละรปู จงึ เกดิ จกั ษุวิญญาณ อาศัยโสตและเสียง จึงเกิดโสตวญิ ญาณ อาศัยฆานะและกลิน่ จึงเกดิ ฆานวญิ ญาณอาศัยชวิ หาและรส จงึ เกดิ ชิวหาวญิ ญาณ อาศัยกายและโผฏฐพั พะ จงึ เกิดกายวญิ ญาณ อาศยั มโนและธรรมารมณ จงึ เกดิ มโนวญิ ญาณ ขอ ทเ่ี รากลา วดงั น้ีวาพึงทราบหมวดวญิ ญาณ ๖ นนั้ เราอาศยั วิญญาณนี้ กลาวแลว นีธ้ รรมหมวดหก หมวดที่ ๓. [๘๑๕] กข็ อ ทีเ่ รากลา วดังนวี้ า พงึ ทราบหมวดผสั สะ ๖ นน่ั เราอาศยัอะไรกลาวแลว คือ บคุ คลอาศัยจกั ษแุ ละรปู เกดิ จักษุวิญญาณ ความประจวบของธรรมทง้ั ๓ เปนผัสสะ อาศัยโสตและเสียงเกดิ โสตวิญญาณ ความประ-จวบของธรรมทง้ั ๓ เปน ผสั สะ อาศัยฆานะและกลิ่นเกดิ ฆานวิญญาณ ความประจวบของธรรมท้งั ๓ เปน ผัสสะอาศัยชิวหาและรสเกิดชิวหาวญิ ญาณความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เปน ผัสสะ อาศยั กายและโผฏฐัพพะเกิดกายวญิ ญาณความประจวบของธรรมทง้ั ๓ เปนผัสสะ อาศัยมโนและธรรมารมณเกิดมโนวิญญาณ ความประจวบของธรรมท้งั ๓ เปน ผัสสะ ขอ ทีเ่ รากลาวดงั นวี้ าพงึ ทราบหมวดผสั สะ ๖ น่ัน เราอาศัยผัสสะน้ี กลาวแลว นธี้ รรมหมวดหกหมวดท่ี ๔. [๘๑๖] ก็ขอที่เรากลา วดงั นีว้ า พงึ ทราบหมวดเวทนา ๖ นนั่ เราอาศยั อะไรกลาวแลว คอื บคุ คลอาศยั จกั ษุและรปู เกิดจกั ษวุ ิญญาณ ความประจวบของธรรมท้ัง ๓ เปน ผสั สะ เพราะผัสสะเปนปจจยั จึงมเี วทนา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 488 อาศัยโสตและเสยี งเกิดโสตวิญญาณ. . . อาศัยฆานะและกลน่ิ เกดิ ฆานวญิ ญาณ. . . อาศยั ชวิ หาและรสเกิดชวิ หาวญิ ญาณ . . . อาศัยกายและโผฏฐพั พะเกดิ กายวญิ ญาณ. . . อาศัยมโนและธรรมารมณเกิดมโนวญิ ญาณ ความประจวบของธรรมทัง้ ๓ เปน ผสั สะ. เพราะผสั สะเปน ปจ จัย จึงมเี วทนา ขอทีเ่ รากลา วดงั นี้วาพึงทราบหมวดเวทนา ๖ น่นั เราอาศยั เวทนาน้ี กลา วแลว นธ้ี รรมหมวดหกหมวดท่ี ๕. วา ดวยกองแหง ตณั หา [๘๑๗] กข็ อ ทเี่ รากลา วดังนว้ี า พงึ ทราบหมวดตัณหา ๖ น่นั เราอาศัยอะไรกลาวแลว คือ บคุ คลอาศัยจักษแุ ละรปู เกิดจกั ษวุ ิญญาณ ความประจวบของธรรมทง้ั ๓ เปนผัสสะ เพราะผัสสะเปนปจ จยั จงึ มีเวทนาเพราะเวทนาเปนปจ จยั จงึ มีตณั หา อาศัยโสตและเสยี งเกิดโสตวญิ ญาณ... อาศัยฆานะและกลิ่นเกดิ ฆานวญิ ญาณ... อาศยั ชิวหาและลนิ้ เกิดชวิ หาวญิ ญาณ ... อาศยั กายและโผฏฐพั พะเกดิ กายวิญญาณ... อาศัยมโนและธรรมารมณเกิดมโนวญิ ญาณ ความประจวบของธรรมท้งั ๓ เปนผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจจยั จงึ มเี วทนา เพราะเวทนาเปน ปจจยัจงึ มตี ณั หา ขอ ท่ีเรากลา วดงั นีว้ า พึงทราบหมวดตณั หา ๖ น่ัน เราอาศยั ตณั หาน้ี กลา วแลว นธ้ี รรมหมวดหก หมวดที่ ๖.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 489 [๘๑๘] ผูใดกลา วอยางนี้วา จกั ษุเปนอัตตา คําของผูน้ันไมควรจกั ษุยอ มปรากฏแมความเกดิ แมความเส่อื ม กส็ ง่ิ ใดแล ปรากฏแมค วามเกดิแมความเสอื่ ม สง่ิ นัน้ ตอ งกลาวไดอยางน้ีวา อัตตาของเราเกิดขึน้ และเส่ือมไปเพราะฉะนั้น คําของผทู กี่ ลา ววาจกั ษุเปน อัตตานัน้ จึงไมค วร ดว ยประการฉะนี้จักษุจงึ เปน อัตตา. ผใู ดกลาววา รปู เปน อัตตา คาํ ของผูน้ันไมค วร รูปยอ มปรากฏแมความเกิด แมความเสอ่ื ม กส็ งิ่ ใดแล ปรากฏแมความเกดิ แมความเสอ่ื มสง่ิ นน้ั ตองกลาวไดอยางนว้ี า อัตตาของเราเกดิ ขน้ึ และเสือ่ มไป เพราะฉะน้ันคําของผูท ่กี ลา ววา รปู เปน อนัตตานน้ั จึงไมค วร ดว ยประการฉะนี้ จกั ษจุ ึงเปนอนตั ตา รูปจึงเปน อนัตตา. ผใู ดกลาววา จักษุวิญญาณเปน อัตตา คําของผูน ั้น ไมค วร จกั ษุวิญญาณยอ มปรากฏแมค วามเกดิ แมความเส่อื ม กส็ ่งิ ใดแลปรากฏแมความเกิดแมความเสอื่ ม ส่งิ นนั้ ตอ งกลา วไดอยางนว้ี า อตั ตาของเราเกดิ ขนึ้ และเสื่อมไปเพราะฉะน้ัน คาํ ของผูทก่ี ลาววา จักษวุ ญิ ญาณเปนอัตตาน้นั จงึ ไมค วร ดวยประการฉะน้ี จกั ษจุ งึ เปน อนตั ตา รูปจงึ เปนอนัตตา จกั ษวุ ิญญาณจึงเปนอนัตตา ผูใดกลาววา จักษุสมั ผัสเปนอตั ตา คําของผนู ้ันไมค วร จกั ษสุ มั ผัสยอมปรากฏแมค วามเกดิ แมค วามเส่ือม ก็ส่งิ ใดแล ปรากฏแมค วามเกิด แมความเสอื่ ม สิ่งน้นั ตองกลา วไดอ ยางน้ีวา อตั ตาของเราเกดิ ในแลเสื่อมไปเพราะฉะน้นั คําของผูทกี่ ลาววาจักษุสมั ผัสเปนอัตตานน้ั จงึ ไมควร ดว ยประการฉะนี้ จักษจุ ึงเปน อนัตตา รปู จึงเปน อนัตตา จกั ษุวญิ ญาณจงึ เปนอนัตตา จกั ษุสมั ผัสจึงเปนอนัตตา.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 490 ผูใดกลา ววา เวทนาเปนอตั ตา คาํ ของผูน้นั ไมค วร เวทนายอมปรากฏแมค วามเกดิ แมค วามเสือ่ ม ก็ส่ิงใดแล ปรากฏแมค วามเกิด แมค วามเส่ือม ส่ิงนนั้ ตองกลา วไดอ ยา งนวี้ า อัตตาของเราเกดิ ขน้ึ และเสอ่ื มไป เพราะฉะนนั้ คําของผูท ี่กลาววาเวทนาเปน อตั ตา น้นั จึงไมควร ดว ยประการฉะน้ีจกั ษจุ ึงเปนอนตั ตา รปู จึงเปน อนตั ตาจกั ษุวญิ ญาณจึงเปน อนตั ตา จักษุสมั ผัสจึงเปน อนตั ตา เวทนาจึงเปนอนัตตา. ผใู ดกลาววา ตณั หาเปนอตั ตา คําของผูนั้นไมค วร ตณั หายอ มปรากฏแมค วามเกิด แมค วามเส่อื ม ก็ส่ิงใดแล ปรากฏแมค วามเกิด แมค วามเสอ่ื มสง่ิ น้ัน ตองกลาวไดอ ยา งน้ีวา อัตตาของเราเกดิ ขนึ้ และเส่อื มไป เพราะฉะนน้ัคาํ ของผทู ก่ี ลาววา ตัณหาเปน อตั ตาน้นั จึงไมควร ดว ยประการฉะนี้ จกั ษุจึงเปน อนตั ตา รปู จงึ เปนอนัตตา จักษวุ ิญญาณจึงเปน อนัตตา จกั ษสุ ัมผสั จึงเปน อนัตตา เวทนาจึงเปน อนัตตา ตัณหาจึงเปนอนัตตา. วาดวยอนตั ตา [๘๑๙] ผใู ดกลาววา โสตเปน อัตตา... ผใู ดกลา ววา ฆานะเปนอตั ตาะ... ผูใดกลาววา ชวิ หาเปนอัตตา... ผูใดกลา ววา กายเปนอัตตา... ผใู ดกลา ววา มโนเปน อตั ตา คําของผูนั้นไมค วร มโนยอ มปรากฏแมความเกดิ แมความเสอื่ ม ก็ส่ิงใดแล ปรากฏแมความเกิด แมค วามเส่อื มสิง่ นน้ั ตองกลาวไดอ ยา งนี้วา อตั ตาของเราเกดิ ขึ้นและเส่อื มไป เพราะฉะนัน้คําของผทู ่กี ลาววา มโนเปนอัตตานัน้ จึงไมค วร ดวยประการฉะน้ี มโนจงึเปน อนัตตา.

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 491 ผใู ดกลาววา ธรรมารมณเ ปน อัตตา คําของผูน้ัน ไมควรธรรมารมณยอมปรากฏแมความเกิด แมความเสื่อม ก็ส่ิงใดแลปรากฏแมความเกดิ แมความเสอ่ื ม สงิ่ น้นั ตอ งกลา วไดอยา งนว้ี า อัตตาของเราเกิดขนึ้ และเสอื่ มไปเพราะฉะนน้ั คําของผูทก่ี ลาววาธรรมารมณเปน อตั ตา นนั้ จึงไมควร ดว ยประการฉะนี้ มโนจึงเปนอนตั ตา ธรรมารมณจ ึงเปน อนัตตา. ผูใดกลาววา มโนวญิ ญาณเปน อัตตา คาํ ของผูนัน้ ไมควร มโนวิญญาณยอมปรากฏแมความเกิด แมค วามเสอ่ื ม กส็ ่ิงใดแลปรากฏแมความเกดิแมความเสอื่ ม สิง่ นน้ั ตอ งกลา วไดอยา งน้วี า อัตตาของเราเกดิ ข้ึนและเสื่อมไปเพราะฉะน้นั คําของผูทกี่ ลา ววา มโนวิญญาณเปน อัตตา นนั้ จงึ ไมค วรดวยประการฉะนี้ มโนจึงเปนอนตั ตา ธรรมารมณจ ึงเปน อนตั ตา มโนวญิ ญาณจึงเปนอนตั ตา. ผูใดกลา ววา มโนสมั ผัสเปน อตั ตา คาํ ของผูนน้ั ไมค วร มโนสัมผสัยอ มปรากฏแมค วามเกดิ แมความเส่อื ม กส็ ิง่ ใดแล ปรากฏแมค วามเกิดแมค วามเสอื่ ม สงิ่ นนั้ ตองกลาวไดอ ยา งนีว้ า อัตตาของเราเกิดข้ึนและเสอื่ มไปเพราะฉะนน้ั คําของผูทกี่ ลาววา มโนสมั ผัสเปน อัตตา น้ัน จงึ ไมควร ดว ยประการฉะน้ี มโนจงึ เปน อนตั ตา ธรรมารมณจ ึงเปน อนัตตา มโนวิญญาณจึงเปนอนตั ตา มโนสมั ผสั จึงเปนอนัตตา. ผใู ดกลา ววา เวทนาเปนอัตตา คําของผนู ั้นไมควร เวทนายอ มปรากฏแมความเกดิ แมค วามเสอ่ื ม ก็สง่ิ ใดแล ปรากฏแมค วามเกดิ แมค วามเส่ือม สง่ิ น้ันตอ งกลาวไดอ ยางนว้ี า อัตตาของเราเกดิ ขน้ึ และเสือ่ มไป เพราะฉะนั้น คาํ ของผทู ่ีกลาววา เวทนาเปน อัตตา นัน้ จึงไมควร ดวยประการฉะนี้ มโนจึงเปนอนตั ตา ธรรมารมณจ งึ เปน อนตั ตา มโนวญิ ญาณจงึ เปนอนัตตา มโนสัมผัสจึงเปนอนัตตา เวทนาจึงเปน อนัตตา.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 492 ผใู ดกลาววา ตณั หาเปนอตั ตา คาํ ของผนู น้ั ไมควร ตัณหายอ มปรากฏแมค วามเกดิ แมค วามเสอื่ ม ก็สิง่ ใดแลปรากฏแมความเกดิ แมค วามเสื่อมสิง่ น้ัน ตองกลาวไดอ ยางนวี้ า อตั ตาของเราเกดิ ข้ึนและเสือ่ มไป เพราะฉะนั้นคําของผูทก่ี ลา ววา ตัณหาเปนอัตตา นน้ั จงึ ไมควร ดวยประการฉะน้ี มโนจึงเปนอนัตตา ธรรมารมณจงึ เปน อนัตตา มโนวญิ ญาณจึงเปนอนัตตา มโน-สัมผสั จึงเปน อนัตตา เวทนาจึงเปน อนตั ตา ตณั หาจงึ เปนอนตั ตา. ปฏปิ ทาอนั ใหถ งึ ความตั้งขนึ้ แหงสักกายะ [๘๒๐] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กป็ ฏปิ ทาอนั ใหถ ึงความตงั้ ขน้ึ แหง สกั -กายะดังตอ ไปน้แี ล บุคคลเลง็ เหน็ จักษุวา นน่ั ของเรา นน่ั เรา นั่นอัตตาของเราเลง็ เห็นรูปวา นัน่ ของเรา นน่ั เรา นั่นอตั ตาของเรา เลง็ เห็นจกั ษุวญิ ญาณวานนั่ ของเรา นนั่ เรา นนั่ อตั ตาของเรา เลง็ เห็นจักษสุ ัมผสั วา น่นั ของเรา นนั่เรา นน่ั อัตตาของเรา เล็งเห็นเวทนาวา นัน่ ของเรา นนั่ เรา นนั่ อัตตาของเราเล็งเหน็ ตัณหาวา นนั่ ของเรา นั่นเรา นั่นอตั ตาของเรา เลง็ เหน็ โสตวา นั่นของเรา. . . เลง็ เหน็ ฆานะวา น่นั ของเรา . . . เล็งเห็นชิวหาวา นั่นของเรา . . .เล็งเห็นกายวา นั่นของเรา . . . เลง็ เห็นมโนวา นั่นของเรา นน่ั เรา นน่ัอตั ตาของเรา เล็งเหน็ ธรรมารมณว า นนั่ ของเรา นั่นเรา น่ันอตั ตาของเราเลง็ เห็นมโนวิญญาณวา น่นั ของเรา นน่ั เรา นั่นอัตตาของเรา เล็งเหน็ มโน-สมั ผสั วา นนั่ ของเรา นน่ั เรา น่นั อัตตาของเรา เลง็ เหน็ เวทนาวา น่นั ของเรา นนั่ เรา นั่นอตั ตาของเรา เลง็ เหน็ ตณั หาวา นั่นของเรา น่ันเรา นน่ัอตั ตาของเรา. [๘๒๑] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ก็ปฏปิ ทาอันใหถ ึงความดบั สักกายะ ดงัตอ ไปน้แี ล บุคคลเลง็ เห็นจกั ษวุ า นั่นไมใ ชข องเรา นน่ั ไมใ ชเ รา นนั่ ไมใ ชอัตตา

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 493ของเรา เล็งเหน็ รปู วา น่ันไมใชของเรา น่ันไมใ ชเรา น่ันไมใชอ ัตตาของเราเล็งเห็นจักษวุ ิญญาณวา นน่ั ไมใชของเรา นั่นไมใชเ รา นั่นไมใ ชอ ตั ตาของเราเล็งเหน็ จักษุสัมผัสวา น่นั ไมใชข องเรา นั่นไมใ ชเ รา นั่นไมใ ชอัตตาของเราเลง็ เห็นเวทนาวา นน่ั ไมใชข องเรา น่นั ไมใ ชเ รา น่ันไมใชอตั ตาของเรา เล็งเห็นตัณหาวา นัน่ ไมใ ชข องเรา น่นั ไมใชเ รา นนั่ ไมใชอัตตาของเรา เล็งเหน็โสตวา นัน่ ไมใชของเรา... เล็งเห็นฆานะวา น่ันไมใชข องเรา... เล็งเหน็ กายวานั่นไมใ ชของเรา... เล็งเห็นมโนวา นน่ั ไมใชของเรา นน่ั ไมใชเ รา นัน่ ไมใชอัตตาของเรา เล็งเหน็ ธรรมารมณวา น่ันไมใชข องเรา นน่ั ไมใชเรา นนั่ ไมใ ชอตั ตาของเรา เล็งเห็นมโนวิญญาณวา นั่นไมใ ชข องเรา นั่นไมใชเรา นั่นไมใชอตั ตาของเรา เลง็ เหน็ มโนสมั ผสั วา นั่นไมใ ชของเรา น่นั ไมใชเ รา นั่นไมใ ชอตั ตาของเรา เล็งเหน็ เวทนาวา น่ันไมใ ชข องเรา น่นั ไมใ ชเ รา น่นั ไมใ ชอตั ตาของเราเล็งเหน็ ตัณหาวา นั่นไมใชข องเรา นนั่ ไมใ ชเรา นั่นไมใชอ ตั ตาของเรา. วาดวยความเปน อฐานะ [๘๒๒] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย บคุ คลอาศัยจกั ษแุ ละรปู เกิดจักษุ-วิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เปนผัสสะ เพราะผสั สะเปน ปจ จัยยอ มเกดิ ความเสวยอารมณ เปน สุขบา ง เปน ทกุ ขบ าง มิใชท กุ ขมใิ ชสขุ บา งเขาอนั สขุ เวทนาถกู ตองแลว ยอมเพลดิ เพลนิ พูดถึง ดํารงอยูด ว ยความตดิ ใจมีราคานุสัยนอนเนอ่ื งอยู อนั ทุกขเวทนาถกู ตอ งแลว ยอมเศราโศก ลาํ บากร่าํ ไห ครา่ํ ครวญทมุ อก ถงึ ความหลงพรอ ม มีปฏฆิ านสุ ัยนอนเน่ืองอยูอันอทุกขมสุขเวทนาถกู ตองแลว ยอมไมทราบชัดความต้ังขน้ึ ความดับไป คุณโทษ และที่สลัดออกแหง เวทนาน้ัน ตามความเปน จรงิ จึงมีอวชิ ชานสุ ัยนอนเน่ืองอยู ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ขอทบี่ ุคคลน้ันยงั ไมล ะราคานสุ ยั เพราะสขุ เวทนา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 494ยังไมบรรเทาปฏิฆานุสยั เพราะทกุ ขเวทนา ยงั ไมถอนอวิชชานุสยั เพราะอทุกขมสขุ เวทนา ยังไมท าํ วชิ ชาใหเกิดเพราะไมละอวชิ ชาเสีย และจกั เปนผกู ระทาํ ที่สดุ แหง ทุกขในปจ จบุ ันได น่ันไมใ ชฐ านะทม่ี ีได. ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลอาศัยโสตแลเสยี ง เกิดโสตวิญญาณ... ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย บคุ คลอาศยั ฆานะและกลน่ิ เกิดฆานวญิ ญาณ... ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย บคุ คลอาศัยชวิ หาและรส เกดิ ชวิ หาวญิ ญาณ... ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลอาศยั กายและโผฏฐัพพะ เกดิ กายวญิ ญาณ... ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คลอาศยั มโนและธรรมารมณ เกิดมโน-วญิ ญาณ ความประจวบของธรรมท้งั ๓ เปน ผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจจัย ยอมเกดิ ความเสวยอารมณ เปน สขุ บา ง เปน ทุกขบ า ง มใิ ชทกุ ขมใิ ชส ุขบา ง เขาอนั สขุ เวทานาถูกตองแลว ยอมเพลิดเพลิน พูดถงึ ดาํ รงอยูดวยความติดใจจงึ มรี าคานสุ ัยนอนเนอื่ งอยู อันทุกขเวทนาถกู ตองแลว ยอมเศรา โศก ลําบากรํ่าไห คราํ่ ครวญทมุ อก ถึงความหลงพรอม จึงมปี ฏิฆานสุ ัยนอนเน่อื งอยู อันอทุกขมสุขเวทนาถูกตองแลว ยอมไมท ราบชดั ความตง้ั ขน้ึ ความดับไป คุณโทษ และท่ีสลดั ออกแหง เวทนาน้ัน ตามความเปน จรงิ จงึ มอี วิชชานสุ ัยนอนเนื่องอยู ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ขอ ท่ีบคุ คลนนั้ ยงั ไมละราคานสุ ยั เพราะสขุ เวทนายงั ไมบรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา ยังไมถอนวชิ ชานุสัยเพราะอทกุ ขมสขุ เวทนา ยังไมทําวชิ ชาใหเ กิดเพราะไมล ะอวิชชาเสีย แลวจักเปน ผกู ระทาํ ท่ีสดุ แหงทุกขใ นปจ จบุ นั ได นัน่ ไมใชฐ านะทม่ี ไี ด. [๘๒๓] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย บคุ คลอาศยั จกั ษุและรูปเกดิ จกั ษวุ ิญญาณความประจวบของธรรมทัง้ ๓ เปน ผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจจัย ยอมเกดิ ความเสวยอารมณ เปน สุขบา ง เปนทกุ ขบ าง มใิ ชท กุ ขมใิ ชสขุ บา ง เขาอนั สุขเวทนาถูกตองแลว ยอมไมเพลดิ เพลิน ไมพูดถึง ไมดํารงอยดู ว ยความติดใจ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 495จึงไมม รี าคานุสัยนอนเน่อื งอยู อันทกุ ขเวทนาถกู ตองแลว ยอมไมเศรา โศกไมลําบาก ไมรํ่าไห ไมครํา่ ครวญทุมอก ไมถ ึงความหลงพรอ ม จึงไมมีปฏิฆานสุ ยั นอนเนือ่ งอยู อันอทกุ ขมสขุ เวทนาถูกตอ งแลว ยอ มทราบชดั ความตัง้ ขน้ึ ความดบั ไป คุณ โทษ และท่สี ลดั ออกแหงเวทนานนั้ ตามความเปนจรงิ จงึ ไมม อี วชิ ชานุสัยนอนเน่ืองอยู ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ขอทบ่ี คุ คลน้นั ละราคานุสยั เพราะสุขเวทนา บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทกุ ขเวทนา ถอนอวิชชานุสยัเพราะอทกุ ขมสุขเวทนา ยงั วิชชาใหเ กดิ ข้ึนเพราะละอวิชชาเสียได แลว จักเปนผกู ระทําทสี่ ุดแหงทุกขใ นปจ จุบนั ได นัน่ เปนฐานะทมี่ ไี ด. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย บคุ คลอาศัยโสตและเสยี ง เกิดโสตวิญญาณ... ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย บุคคลอาศัยฆานะและกลิ่น เกดิ ฆานวญิ ญาณ ... ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย บคุ คลอาศยั ชวิ หาและลิน้ เกิดชิวหาวญิ ญาณ... ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คลอาศยั กายและโผฏฐพั พะ เกิดกายวิญญาณ... ดกู อนภิกษุท้ังหลาย บุคคลอาศยั มโนและธรรมารมณ เกดิ มโนวญิ ญาณความประจวบของธรรมทัง้ ๓ เปนผัสสะ เพราะผัสสะเปน ปจ จัย ยอมเกิดความเสวยอารมณ เปน สุขบาง เปน ทุกขบ าง มใิ ชทุกขมิใชสุขบาง เขาอนั สุขเวทนาถกู ตองแลว ยอ มไมเพลิดเพลิน ไมพ ดู ถงึ ไมด าํ รงอยดู ว ยความตดิ ใจ จงึไมมรี าคานุสยั นอนเนือ่ งอยู อันทกุ ขเวทนาถกู ตองแลว ยอ มไมเ ศรา โศก ไมลําบาก ไมร ํ่าไห ไมครํา่ ครวญทมุ อก ไมถึงความหลงพรอม จึงไมมีปฏิฆา-นุสัยนอนเน่อื งอยู อันอทกุ ขมสุขเวทนาถูกตอ งแลว ยอ มทราบชัดความตัง้ ข้ึนความดบั ไป คณุ โทษ และที่สลัดออกแหงเวทนานั้น ตามความเปนจริงจงึไมมอี วชิ ชานสุ ยั นอนเนือ่ งอยู ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ขอท่ีบุคคลน้ัน ละราคานสุ ยัเพราะสุขเวทนา บรรเทาปฏฆิ านุสยั เพราะทกุ ขเวทนา ถอนอวชิ ชานุสยั เพราะอทุกขมสุขเวทนา ยังวชิ ชาใหเ กิดขน้ึ เพราะละอวิชชาเสียได แลวจักเปนผูกระทําท่ีสุดแหงทกุ ขใ นปจจุบันได นน้ั เปน ฐานะทีม่ ีได.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 496 [๘๒๔] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย อรยิ สาวกผูสดบั แลว เห็นอยอู ยา งนี้ยอ มเบือ่ หนา ยแมใ นจักษุ ยอ มเบือ่ หนา ยแมใ นรูป ยอมเบอื่ หนา ยแมใ นจกั ษุวิญญาณ ยอมเบ่อื หนายแมในจักษสุ มั ผัส ยอมเบอ่ื หนายแมใ นเวทนา ยอ มเบอื่ หนายแมใ นตณั หา ยอ มเบอ่ื หนายแมในโสต ยอมเบื่อหนา ยแมในเสียง... ยอ มเบ่ือหนายแมในฆานะ ยอมเบ่ือหนายแมใ นกล่นิ ... ยอมเบื่อหนายแมในชวิ หา ยอมเบอื่ หนายแมใ นรส ... ยอ มเบ่ือหนายแมใ นกาย ยอมเบ่อื หนา ยแมใ นโผฏฐัพพะ... ยอมเบ่ือหนา ยแมใ นมโน ยอมเบ่ือหนายแมในธรรมารมณ ยอมเบอื่ -หนายแมใ นมโนวิญญาณ ยอมเบอ่ื หนา ยแมใ นมโนสัมผัส ยอ มเบื่อหนา ยแมในเวทนา ยอมเบอ่ื หนายแมในตณั หา เม่ือเบ่อื หนายยอมคลายกําหนดั เพราะคลายกําหนดั จงึ หลดุ พน เม่ือหลุดพนแลว ยอ มมญี าณรวู า หลุดพน แลวและทราบชดั วา ชาติสิน้ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ท่ีควรทําไดท าํ เสร็จแลว กิจอนื่ เพ่อื ความเปนอยา งนม้ี ิไดม ี. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสพระภาษิตนีแ้ ลว ภิกษเุ หลานั้นตา งช่ืนชมยนิ ดพี ระภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา และเมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจากําลงั ตรสัไวยากรณภาษติ นีอ้ ยู ภกิ ษปุ ระมาณ ๖๐ รูป ไดมีจิตหลุดพน จากอาสวะเพราะไมถ อื มนั่ แล. จบ ฉฉักกสูตร ท่ี ๖








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook