Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_23

tripitaka_23

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_23

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 269 สมทิ ธิ. ดูกอ นโปตลบิ ุตรผมู ีอายุ เขาจะเสวยทุกข ลาํ ดบั นนั้ ปรพิ าชกโปตลิบตุ รไมยนิ ดี ไมค ดั คา นภาษิตของทานพระสมทิ ธิ แลว ลุกจากอาสนะหลกี ไป. [๖๐๐] ครัน้ ปรพิ าชกโปตลิบุตรหลกี ไปแลว ไมน าน ทา นพระสมทิ ธิเขาไปหาทานพระอานนทย ังทีอ่ ยู แลวไดทกั ทายปราศรัยกับทานพระอานนทครั้นผา นคําทักทายปราศรยั พอใหร ะลกึ ถึงกนั ไปแลว จงึ น่งั ณ ทคี่ วรสว นขางหน่ึง พอน่ังเรยี บรอยแลว จงึ บอกเร่ืองเทา ทไ่ี ดส นทนา กับ ปรพิ าชกโปตลิบตุ รท้ังหมด แกทา นพระอานนท. เมอ่ื ทา นพระสมทิ ธิบอกแลว อยางน้ี ทา นพระ-อานนทจ ึงไดกลา วกะทา นพระสมทิ ธิดังนี้วา ดูกอ นทานสมทิ ธิ เรื่องนีม้ เี คา พอจะเฝา พระผมู ีพระภาคเจาได มาเถิด เราทง้ั สองพงึ เขา ไปเฝาพระผูม พี ระภาคเจายงั ท่ีประทบั แลวกราบทลู เรือ่ งน้แี ดพระผมู ีพระภาคเจาทรงพยากรณแ กเราอยา งไร เราพึงทรงจําคาํ พยากรณนัน้ ไวอ ยางนนั้ . ทา นพระสมทิ ธิรับคําทา นพระอานนทวา ชอบแลว ทานผมู ีอาย.ุ ตอ จากนัน้ ทานพระสมทิ ธิและทา นพระอานนทไ ดเ ขา ไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ยงั ที่ประทับ แลวถวายอภวิ าทพระผูม พี ระภาคเจาน่งั ณ ทคี่ วรสวนขา งหน่งึ พอนงั่ เรยี บรอยแลว ทา นพระอานนทไ ดกราบทลู เรื่องเทาทท่ี านพระ-สมทิ ธิ ไดสนทนากบั ปริพาชกโปตลิบุตรทง้ั หมด แดพระผมู พี ระภาคเจา . [๖๐๑] เม่อื ทานพระอานนทก ราบทลู แลว อยา งน้ี พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั กะพระอานนทดังนีว้ า ดกู อ นอานนทแมความเห็นของปริพาชกโปตลิ-บุตร เรากไ็ มทราบชดั ไฉนเลา จะทราบชัดการสนทนากนั เหน็ ปานนี้ ไดโมฆบุรษุ สมิทธนิ ีแ้ ล ไดพ ยากรณป ญหาท่ีควรแยกแยะพยากรณของปริพาชก-โปตลบิ ุตรแตแ งเดียว.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 270 เมอื่ พระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว อยางนี้ ทานพระอุทายไี ดกราบทลูพระผมู ีพระภาคเจา ดังนว้ี า ขา แตพระองคผ เู จรญิ กถ็ าทานพระสมทิ ธิกลา วหมายทุกขน้ีแลว ไมว า การเสวยอารมณใ ด ๆ ตองจัดเขาในทกุ ขท ง้ั น้ัน. [๖๐๒] เมอ่ื ทานพระอทุ ายีกลาวแลวอยา งน้ี พระผูม พี ระภาคเจาไดตรัสกะทานพระอานนทวา ดูกอ นอานนท เธอจงเหน็ ความนอกลูนอกทางของโมฆบุรุษอุทายนี ้เี ถิด เรารแู ลว ละ เดย๋ี วนี้แหละ โมฆบุรษุ อุทายนี โ้ี พลงขนึ้โดยไมแ ยบคาย ดูกอ นอานนท เบอื้ งตนทีเดียว ปรพิ าชกโปตลบิ ตุ รถามถึงเวทนา ๓ ถา โมฆบุรุษสมิทธผิ ูถกู ถามน้ี จะพงึ พยากรณอ ยา งนว้ี า ดูกอ นโปตลบิ ตุ รผมู ีอายุ บุคคลทํากรรมชนดิ ท่ปี ระกอบดวยความจงใจแลว ดวยกายดว ยวาจา ดวยใจ อันใหผลเปน สขุ เขายอมเสวยสุข บุคคลทํากรรมชนดิ ท่ีประกอบดว ยความจงใจแลว ดวยกาย ดวยวาจา ดวยใจ อนั ใหผลเปน ทุกขเขายอมเสวยทกุ ข บุคคลทํากรรมชนดิ ท่ีประกอบดว ยความจงใจแลว ดว ยกายดวยวาจา ดว ยใจ อันใหผลไมทกุ ขไมสขุ เขายอมเสวยอทุกขมสขุ ดกู อ นอานนทโมฆบุรุษสมิทธเิ มอ่ื พยากรณอยา งนี้แล ชอ่ื วาพยากรณโ ดยชอบแกปริพาชก-โปตลบิ ตุ ร กแ็ ตวา พวกปรพิ าชกผถู ือลัทธอิ ื่นน้นั เปนคนโง ไมฉลาด ใครเลาจักรูมหากัมมวภิ ังคของตถาคต ถา พวกเธอฟงตถาคตจําแนกมหากมั มวิภงั คอยู. ทานพระอานนทก ราบทลู วา ขา แตพ ระผูม ีพระภาคเจาผูพ ระสุคต เปนกาลสมควรแลว ทีพ่ ระผูม พี ระภาคเจา จะทรงจําแนกมหากมั มวภิ ังค ภกิ ษทุ ัง้ หลายสดบั ตอพระผูมีพระภาคเจาแลว จักไดท รงจาํ ไว. พ. ดกู อนอานนท ถาเชนนั้น เธอจงฟง จงใสใจใหด ี เราจกั กลา วตอไป. ทา นพระอานนททูลรบั พระผูม พี ระภาคเจาวา ชอบแลว พระพทุ ธเจาขา.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 271[๖๐๓] พระผมู พี ระภาคเจา จึงไดตรสั ดงั นวี้ า ดกู อ นอานนท บคุ คล๔ จําพวกนี้ มปี รากฏอยูในโลก. ๔ จําพวกเหลาไหน คือ (๑) บุคคลบางคนในโลกน้ี เปนผูม กั ทําชวี ิตสตั วใ หตกลว งไป มกัถอื เอาสิง่ ของทเี่ จา ของมิไดให มกั ประพฤติผดิ ในกาม มกั พดู เทจ็ มกั พดู สอเสยี ด มักพดู คาํ หยาบ มักเจรจาเพอ เจอ มากดวยอภิชฌา มจี ิตพยาบาท มีความเห็นผดิ อยูในโลกน้ี เขาตายไปแลว ยอมเขาถึงอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาตนรก ก็มี. (๒) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เปนผมู ักทาํ ชวี ติ สตั วใหต กลวงไป มักถอื เอาสิ่งของท่เี จาของมิไดใ ห มักประพฤติผดิ ในกาม มกั พูดเทจ็ มกั พูดสอเสยี ด มกั พูดคาํ หยาบ มกั เจรจาเพอ เจอ มากดว ยอภิชฌา มจี ิตพยาบาท มคี วามเหน็ ผดิ อยใู นโลกน้ี เขาตายไปแลว ยอ มเขา ถึงสุคตโิ ลกสวรรค ก็มี. (๓) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เปนผูเวนขาดจากปาณาติบาต เวนขาดจากอทินนาทาน เวน ขาดจากกาเมสุมจิ ฉาจาร เวน ขาดจากมุสาวาท เวนขาดจากพดู สอเสียด เวน ขาดจากพูดคําหยาบ เวนขาดจากการเจรจาเพอ เจอ ไมมากดว ยอภชิ ฌา มจี ติ ไมพ ยาบาท มีความเหน็ ชอบอยใู นโลกน้ี เขาตายไปแลวยอมเขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค กม็ .ี (๔) บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปนผเู วนขาดจากปาณาติบาต เวนขาดจากอทินนาทาน เวนขาดจากกาเมสมุ จิ ฉาจาร เวน ขาดจากมสุ าวาท เวนขาดจากพดู สอ เสยี ด เวนขาดจากพูดคาํ หยาบ เวน ขาดจากการเจรจาเพอ เจอ ไมมากดวยอภิชฌา มีจิตไมพ ยาบาท มีความเหน็ ชอบอยูใ นโลกนี้ เขาตายไปแลวยอ มเขา ถงึ อบาย ทุคติ วินบิ าต นรก กม็ ี.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 272 [๖๐๔] ดกู อ นอานนท สมณะหรือพราหมณบ างคนในโลกน้ี อาศยัความเพียรเคร่ืองเผากิเลส ความต้ังใจมั่น ความประกอบเนอื ง ๆ ความไมประมาท ความใสใ จโดยชอบ ยอ มถกู ตอ งเจโตสมาธิมรี ูปทาํ นองทเ่ี มือ่ จติ ตง้ั ม่นัแลว ยอ มเลง็ เหน็ บคุ คลโนน ผมู กั ทําชีวิตสัตวใ หต กลวง มักถือเอาสิ่งของท่ีเจา ของมิไดใ ห มักประพฤติผิดในกาม มกั พูดสอ เสียด มักพดู คาํ หยาบ มกัเจรจาเพอเจอ มากดว ยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดในโลกน้ี และเลง็ เห็นผนู น้ั ตายไปแลว เขาถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรกได ดว ยจักษเุ พียงดงั ทิพย อันบรสิ ทุ ธิ์ ลวงจกั ษุของมนุษย สมณะหรือพราหมณน ั้นจงึ กลา วอยา งนว้ี า ทานผเู จรญิ เปน อนั วากรรมช่วั มี วิบากของทจุ ริตมี ขา พเจา ไดเห็นบคุ คลโนน ผูมักทําชวี ิตสัตวใ หต กลวง ฯลฯ มีความเหน็ ผดิ ในโลกน้ี และผูน้ันตายไป เขา ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ขา พเจา กเ็ หน็ แลว กลาวตอไปอยา งนวี้ า ทานผูเจริญ เปน อนั วา ผใู ดมกั ทําชีวติ สตั วใ หตกลวง ฯลฯ มีความเหน็ ผิด ผูน น้ั ทกุ คนตายไปแลว ยอ มเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก.ชนเหลา ใดรอู ยา งนี้ ชนเหลานนั้ ช่อื วารูช อบ ชนเหลาใดรูโดยประการอ่นื ความ.รขู องชนเหลาน้ันผิด. สมณะหรือพราหมณนัน้ จะพูดปกลงไปถงึ เรอ่ื งท่เี ขารูเองเห็นเอง ทราบเอง โดยประการนั้นแหละ. ในทนี่ ้ัน ๆ ตามกําลังและความแนใจวา นีเ้ ทานั้นจรงิ อ่ืนเปลา. [๖๐๕] ดกู อนอานนท สว นสมณะหรอื พราหมณบางคนในโลกน้ีอาศยั ความเพยี รเครื่องเผากิเลส ความตั้งใจม่นั ความประกอบเนอื ง ๆ ความไมป ระมาท ความใสใ จโดยชอบ ยอมถกู ตอ งเจโตสมาธนิ ร้ี ปู ทํานองท่ีเมอ่ื จิตตง้ั มน่ั แลว ยอมเล็งเหน็ บคุ คลโนน ผูมกั ทาํ ชีวติ สตั วใหต กลว ง ฯลฯ มีความเห็นผดิ ในโลกนี้ และเลง็ เห็นผูน ัน้ ตายไปแลว เขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรคไ ด ดวยจักษเุ พียงดังทพิ ย อนั บริสุทธ์ิ ลว งจักษุของมนุษย สมณะหรือพราหมณน น้ั

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 273จึงกลาวอยา งนว้ี า ทา นผเู จรญิ เปนอันวากรรมชว่ั ไมมี วบิ ากของทจุ รติ ไมมีขา พเจาไดเห็นบุคคลโนน ผูมักทําชีวิตสัตวใหตกลวง ฯลฯ มีความเห็นผิดในโลกน้ี และผนู นั้ ตายไป เขา ถงึ สคุ ติโลกสวรรค ขา พเจา ก็เห็น แลวกลา วตอไปอยา งน้วี า ทา นผเู จริญ เปนอันวา ผูใดมักทาํ ชวี ติ สตั วใหตกลว ง ฯลฯ มีความเห็นผดิ ผนู ้นั ทกุ คนตายไปแลว ยอ มเขาถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค ชนเหลา ใดรอู ยา งน้ี ชนเหลา นนั้ ชอื่ วารูชอบ ชนเหลาใดรโู ดยประการอืน่ ความรูของชนเหลานัน้ ผดิ . สมณะหรือพราหมณนนั้ จะพดู ปก ลงไปถึงเร่อื งทเ่ี ขารูเ องเหน็ เอง ทราบเอง โดยประการนัน้ แหละ ในทน่ี ้นั ๆ ตามกําลังและความแนใ จวา น้เี ทา นนั้ จรงิ อนื่ เปลา . [๖๐๖] ดกู อนอานนท สมณะหรอื พราหมณบ างคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความต้งั ใจมั่น ความประกอบเนอื ง ๆ ความไมประมาท ความใสใ จโดยชอบ ยอ มถกู ตองเจโตสมาธมิ ีรปู ทํานองทเ่ี ม่อื จติ ตงั้ มั่นแลว ยอ มเล็งเหน็ บุคคลโนน ผูเวน ขาดจากปาณาตบิ าตเวน ขาดจากอทินนาทานเวนขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เวนขาดจากมุสาวาท เวนขาดจากพูดสอ เสยี ดเวนขาดจากพูดคําหยาบ เวน ขาดจากการเจรจาเพอ เจอ ไมมากดว ยอภชิ ฌามีจิตไมพ ยาบาท มคี วามเห็นชอบในโลกนี้ และเลง็ เหน็ ผนู น้ั เม่ือตายไปแลวเขาถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรคไ ด ดวยจกั ษุเพียงดังทิพย อนั บรสิ ทุ ธิ์ ลวงจักษุของมนุษย. สมณะหรือพราหมณน้นั จึงกลาวอยา งนวี้ า ทา นผูเจริญ เปนอันวากรรมดมี ี วบิ ากของสุจริตมี ขาพเจา ไดเห็นบคุ คลโนน ผเู วนขาดจากปาณา-ติบาต ฯลฯ มคี วามเหน็ ชอบในโลกนี้ และผนู ั้นตายไปแลว เขา ถงึ สุคติโลกสวรรค ขาพเจาก็เห็น แลวกลาวตอไปอยางน้วี า ทานผูเจริญ เปนอันวาผูใ ดเวน ขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบ ผนู ้นั ทุกคนตายไปแลว

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 274ยอ มเขาถึงสุคตโิ ลกสวรรค. ชนเหลา ใดรอู ยา งนี้ ชนเหลาน้ันชื่อวารชู อบชนเหลาใดรโู ดยประการอื่น ความรูข องชนเหลา นน้ั ผดิ . สมณะหรือพราหมณนน้ั จะพูดปกลงไปถึงเรือ่ งทีเ่ ขารเู อง เห็นเอง ทราบเอง โดยประการนน้ั แหละในทน่ี ้นั ๆ ตามกําลังและความแนใ จวา นเ้ี ทานนั้ จรงิ อนื่ เปลา . [๖๐๗] ดกู อนอานนท สว นสมณะหรอื พราหมณบ างคนในโลกนี้อาศัยความเพยี รเครื่องเผากเิ ลส ความต้งั ใจน้นั ความประกอบเนอื ง ๆ ความไมป ระมาท ความใสใ จโดยชอบ ยอมถูกตอ งเจโตสมาธมิ รี ปู ทํานองที่เม่ือจติตั้งมนั่ แลว ยอ มเลง็ เห็นบคุ คลโนน ผูเวนขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบในโลกนี้ และเล็งเห็นผูน้ันตายไปแลว เขา ถึงอบาย ทุคติ วินบิ าตนรกได ดวยจักษุเพียงดังทพิ ย อันบรสิ ทุ ธิ์ ลวงจักษขุ องมนษุ ย. สมณะหรือพราหมณน นั้ จงึ กลาวอยา งนว้ี า ทา นผเู จริญ เปนอันวา กรรมดไี มมีวิบากของสจุ รติ ไมมี ขาพเจา ไดเ ห็นบคุ คลโนน ผเู วนขาดจากปานาจิบาต ฯลฯมคี วามเห็นชอบในโลกน้ี และผูน นั้ ตายไป เขาถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรกขาพเจา ก็เหน็ แลว กลา วตอไปอยางนวี้ า ทานผเู จริญ เปน อนั วา ผูใ ดเวน ขาดจากปาณาตบิ าต ฯลฯ มคี วามเหน็ ชอบ ผูนน้ั ทกุ คนตายไป ยอมเขาถงึ อบายทคุ ติ วนิ ิบาต นรก. ชนเหลาใดรอู ยางน้ี ชนเหลานั้นช่อื วา รูชอบ ชนเหลา ใดรโู ดยประการอ่นื ความรขู องชนเหลา น้ันผดิ . สมณะหรือพราหมณนน้ั จะพูดปก ลงไปถึงเรื่องที่เขารเู อง เหน็ เอง ทราบเอง โดยประการนน้ั แหละ ในที่นน้ั ๆ ตามกําลังและความแนใจวา น้เี ทา นนั้ จรงิ อ่ืนเปลา. [๖๐๘] ดูกอนอานนท ในสมณะหรือพราหมณ ๘ จาํ พวกน้ัน เราอนมุ ตั ิวาทะของสมณะหรือพราหมณทีก่ ลา วอยางนวี้ า ทานผเู จริญ เปนอนั วากรรมชัว่ มี วิบากของทุจริตมี แมว าทะของเขาท่ีกลาวอยา งน้ีวา ขาพเจาได

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 275เห็นบุคคลโนน ผูมักทาํ ชวี ติ สตั วใหตกลว ง ฯลฯ มคี วามเห็นผดิ ในโลกนี้และผูน้นั ตายไปแลว เขาถึงอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ขาพเจา กเ็ หน็ นี้เราก็อนมุ ัติ สวนวาทะของเขาที่กลาวอยางน้ีวา ทา นผเู จรญิ เปนอันวา ผูใดมกั ทําชีวิตสตั วใ หต กลวง ฯลฯ มคี วามเห็นผดิ ผูน ้ันทุกคนตายไปแลว ยอ มเขา ถึงอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก นเี้ รายังไมอนุมตั ิ แมว าทะของเขาที่กลา วอยา งน้ีวา ชนเหลา ไดร อู ยา งนี้ ชนเหลานน้ั ชอื่ วารชู อบ ชนเหลาใดรโู ดยประการอน่ื ความรขู องชนเหลา น้ันผิด นเี้ รากย็ ังไมอนมุ ัติ แมว าทะของเขาท่ีพูดปก ลงไปถึงเรอ่ื งท่ีเขารูเอง เหน็ เอง ทราบเอง น้ันแหละในทน่ี ัน้ ๆ ตามกาํ ลงั และความแนใ จวา น้เี ทานน้ั จริง อน่ื เปลา นเี้ รากย็ งั ไมอนุมัติ น้ันเพราะเหตไุ ร ดูกอนอานนท เพราะตถาคตมญี าณในมหากัมมวิภงั คเปน อยา งอนื่ [๖๐๙] ดูกอ นอานนท ในสมณะหรอื พราหมณ จาํ พวกนนั้ เราไมอนมุ ตั วิ าทะของสมณะหรอื พราหมณที่กลา วอยางนีว้ า ทานผูเจริญ เปน อันวากรรมชว่ั ไมม ี วิบากของทจุ รติ ไมมี แตว าทะของเขาทก่ี ลา วอยางน้วี า ขา พเจาไดเ หน็ บุคคลโนน ผมู กั ทําชวี ิตสัตวใ หต กลวง ฯลฯ มีความเห็นผิดในโลกน้ีและผูน้ันตายไปแลว เขา ถึงสุคติโลกสวรรค ขา พเจา กเ็ ห็น นเี้ ราอนุมตั ิสว นวาทะของเขาท่กี ลา วอยา งนี้วา ทานผเู จรญิ เปน อนั วา ผใู ดมกั ทําชีวิตสัตวใหต กลวง ฯลฯ มีความเห็นผดิ ผูนน้ั ทุกคนตายไปแลว ยอมเขา ถึงสุคติโลกสวรรค นเี้ รายงั ไมอ นุมตั ิ แมว าทะของเขาท่ีกลา วอยางนวี้ า ชนเหลาใดรูอยา งนี้ ชนเหลาน้ันชือ่ วารูชอบ ชนเหลา ใดรโู ดยประการอ่นื ความรขู องชนเหลา นั้นผิด นเ้ี ราก็ยงั ไมอนุมัติ แมว าทะของเขาทีพ่ ูดปกลงไปถงึ เร่อื งที่เขารูเอง เหน็ เอง ทราบเองน้นั แหละ ในทนี่ ั้น ๆ ตามกําลังและความแนใ จวา

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 276นเ้ี ทาน้ันจรงิ อน่ื เปลา นเ้ี รากย็ งั ไมอนมุ ัติ น่นั เพราะเหตไุ ร ดกู อนอานนทเพราะตถาคตมญี าณในมหากมั มวิภงั คเ ปนอยา งอนื่ . [๖๑๐] ดกู อ นอานนท ในสมณะหรอื พราหมณ ๕ จาํ พวกนั้น เราอนุมตั วิ าทะของสมณะหรอื พราหมณทก่ี ลา วอยา งนวี้ า ทา นผเู จริญ เปน อันวากรรมดมี ี วิบากของสจุ รติ มี แมว าทะของเขาท่ีกลา วอยางน้วี า ขาพเจา เหน็บคุ คลโนน ผเู วนขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเหน็ ชอบในโลกนี้ และผนู ้ันตายไปแลว เขา ถงึ สคุ ติโลกสวรรค ขา พเจา ก็เห็น น้ีเรากอ็ นมุ ัติ สว นวาทะของเขาท่ีกลาวอยา งนี้วา ทานผูเ จริญ เปนอันวา ผูใดเวนขาดจากปาณาตบิ าต ฯลฯ มคี วามเห็นชอบ ผูนัน้ ทุกคนตายไปแลว ยอ มเขา ถงึ สคุ ติโลกสวรรค นี้เรายงั ไมอนุมตั ิ แมวาทะของเขาท่ีกลาวอยา งนวี้ า ชนเหลาใดรูอยา งน้ี ชนเหลา นั้น ชือ่ วารูชอบ ชนเหลาใดรูโดยประการอน่ื ความรขู องชนเหลานนั้ ผดิ นี้เราก็ยังไมอ นุมัติ แมว าทะของเขาทีพ่ ูดปก ลงไปถงึ เรอ่ื งทเ่ี ขารูเ อง เห็นเอง ทราบเอง น่ันแหละในท่ีนนั้ ๆ ตามกําลังและความแนใ จวาน้ีเทาน้นั จริง อื่นเปลา นเี้ ราก็ยังไมอ นุมตั ิ นั้นเพราะเหตไุ ร ดกู อ นอานนทเพราะตถาคตมญี าณในมหากัมมวภิ งั คเ ปนอยางอื่น. [๖๑๑] ดูกอ นอานนท ในสมณะหรือพราหมณ จําพวกนน้ั เราไมอ นมุ ตั วิ าทะของสมณะหรอื พราหมณท่กี ลาวอยางน้วี า ทานผูเจริญเปนอันวากรรมดีไมม ี วิบากของสุจรติ ไมมี แตวาทะของเขาทกี่ ลาวอยา งนว้ี า ขา พเจาไดเหน็ บุคคลโนน ผเู วนขาดจากปาณาตบิ าต ฯลฯ มคี วามเหน็ ชอบในโลกน้ีและผูนนั้ ตายไปแลว เขาถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก ขา พเจา กเ็ หน็ นี้เราอนุมัติ สว นวาทะของเขาทก่ี ลา วอยา งนีว้ า ทานผูเจรญิ เปน อนั วา ผูใ ดเวนขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเหน็ ชอบ ผนู ัน้ ทุกคนตายไปแลว ยอ มเขา ถึง

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 277อบาย ทคุ ติ วินิบาต นรก นี้เรายังไมอนมุ ติ แมวาทะของเขาท่กี ลาวอยางนวี้ า ชนเหลาใดรูอยางน้ี ชนเหลานั้นชื่อวารชู อบ ชนเหลาใดรูโดยประการอื่น ความรขู องชนเหลา น้ันผดิ นเ้ี รากย็ ังไมอ นมุ ตั ิ แมวาทะของเขาท่ีพดู ปกลงไปถงึ เรอ่ื งที่เขารูเอง เหน็ เอง ทราบเอง นั้นแหละ ในท่นี ้นั ๆ ตามกาํ ลังและความแนใจวา น้ีเทาน้ันจรงิ อน่ื เปลา น้เี ราก็ยังไมอ นุมตั ิ นน่ั เพราะเหตุไรดกู อ นอานนท เพราะตถาคตมญี าณในมหากัมมวิภังคเ ปน อยา งอื่น. [๖๑๒] ดกู อ นอานนท ในบุคคล จําพวกนน้ั บุคคลที่เปนผูมกั ทาํชวี ิตสตั วใ หตกลว ง ฯลฯ มคี วามเหน็ ผดิ ในโลกนี้ ตายไปแลว เขา ถงึ อบายทคุ ติ วนิ บิ าต นรก เปนอันวา เขาทาํ กรรมชว่ั ที่ใหผลเปนทุกขไ วใ นกาลกอน หรอื ในกาลภายหลัง หรือวามมี จิ ฉาทฐิ ิพร่งั พรอม สมาทานแลว ในเวลาจะตาย เพราะฉะนั้น เขาตายไป จึงเขาถึงอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ก็แหละบุคคลที่เปนผูม กั ทาํ ชวี ิตสตั วใหตกลว ง ฯลฯ มคี วามเห็นผิดในโลกนีน้ น้ัเขายอมเสวยวิบากของกรรมนัน้ ในชาตนิ ี้ หรอื ในชาตหิ นา หรอื ในชาติตอ ไป. [๖๑๓] ดูกอ นอานนท ในบุคคล ๔ จําพวกนนั้ บุคคลทเ่ี ปน ผมู กัทําชีวิตสัตวใหต กลวง ฯลฯ มคี วามเห็นผดิ ในโลกน้ี ตายไปแลว เชา ถึงสุคติโลกสวรรคน ี้ เปนอันวา เขาทาํ กรรมดีทไ่ี หผลเปนสุขไวใ นกาลกอน ๆ หรือในกาลภายหลงั หรอื วา มสี มั มาทฐิ ิพรั่งพรอม สมาทานแลวในเวลาจะตายเพราะฉะนน้ั เขาตายไปจงึ เขาถงึ สุคตโิ ลกสวรรค กแ็ หละบคุ คลทเ่ี ปน ผมู กั ทาํชวี ติ สตั วใ หต กลว ง ฯลฯ มีความเหน็ ผิดในโลกน้นี ้นั เขายอมเสวยวบิ ากของกรรมนั้นในชาตนิ ้ี หรอื ในชาตหิ นา หรือในชาตติ อ ไป. [๖๑๔] ดกู อนอานนท ในบคุ คล ๔ จาํ พวกนั้น บคุ คลทเ่ี วนขาดจากปาณาตบิ าต ฯลฯ มีความเห็นชอบในโลกน้ี ตายไปแลวเขา ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 278นี้ เปนอนั วา เขาทาํ กรรมดที ่ีใหผลเปนสุขไวใ นกาลกอน ๆ หรือในกาลภายหลงั หรือวา มสี ัมมาทิฐพิ ร่งั พรอม สมาทานแลว ในเวลาจะตาย เพราะฉะนน้ัเขาตายไป จงึ เขาถึงสุคติโลกสวรรค ก็แหละบคุ คลท่เี วนขาดจากปาณาติบาตฯลฯ มีความเห็นชอบในโลกนีน้ ั้น เขายอมเสวยวบิ ากของกรรมนัน้ ในชาติน้ีหรอื ในชาตหิ นา หรือในชาตติ อ ไป. [๖๑๕] ดกู อ นอานนท ในบุคคล ๔ จาํ พวกน้นั บุคคลทีเ่ วนขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบในโลกน้ี ตายไปแลว เขาถงึ อบาย ทคุ ติวนิ บิ าต นรก นี้ เปน อันวา เขาทํากรรมช่ัวท่ใี หผ ลเปนทกุ ขไวในกาลกอ นๆหรือในกาลภายหลงั หรอื วา มมี จิ ฉาทิฐิพรงั่ พรอม สมาทานแลว ในเวลาจะตายเพราะฉะน้นั เขาตายไปจงึ เขาถึงอบาย ทคุ ติ วินิบาต นรก กแ็ หละบคุ คลทเ่ี วน ขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มคี วามเหน็ ชอบในโลกนีน้ ัน้ เขายอ มเสวยวบิ าก ของกรรมนนั้ ในชาตินี้ หรอื ในชาติหนา หรือในชาติตอ ไป. [๖๑๖] ดกู อ นอานนท ดว ยประการนีแ้ ล กรรมไมค วรสอ งใหเ หน็ วาไมค วรกม็ .ี กรรมไมค วร สองใหเ หน็ วาควรก็มี กรรมท่คี วรแทแ ละสองใหเหน็ วา ควรก็มี กรรมทค่ี วรสอ งใหเ หน็ วา ไมควรกม็ .ี พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั พระภาษิตน้แี ลว ทานพระอานนทจ งึ ช่ืนชมยินดี พระภาษิตของพระผมู ีพระภาคเจา แล. จบ มหากมั มวิภังคสตู รท่ี ๖

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 279 อรรถกถามหากัมมวิภงั คสตู ร มหากัมมวิภังคสูตร มคี าํ เริ่มตนวา ขาพเจา ไดสดับมาอยา งน:้ี - ในสตู รน้นั บทวา โมฆ ไดแ ก วา งเปลา ไมมีผล. บทวา สจจฺ ไดแก แท มจี รงิ . ก็ขอน้อี ันปริพาชกโปตลิบุตรน้ัน ไมไ ดฟงมา เฉพาะพระพักตร. แตม โนกรรมอันมีโทษมากกวาไดบ ัญญัตไิ วแลว ในอุปาลสิ ตู ร คํานีว้ า กายกรรมไมเปนอยางน้นั วจกี รรมไมเ ปน อยางน้นั แหงการทํากรรมชั่วแหงความเปน ไปของกรรมชวั่ เปนอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสแลวมีอยู กถานัน้ เกิดปรากฏในระหวางเดยี รถยี ทั้งหลาย. ปรพิ าชกโปตลบิ ตุ รคอื เอากถานั้นกลาว. กลา วคาํ นีว้ า ก็สมาบตั ินน้ั มอี ยู ดังน้ี หมายถงึ อภิสญั ญานโิ รธกถาทเ่ี กดิ แลว ในโปฏฐปทสูตรวา ดูกอ นทา นผเู จรญิ อภิสญั ญานิโรธมีอยา งไรหนอแล. บทวา กิ ฺจิ เวทยติ ความวา ไมเ สวยแมเวทนาหน่ึง. บทวาอตถฺ ิ จ โข ความวา พระเถระยอ มรบั รหู มายถงึ นิโรธสมาบตั .ิ บทวาปรริ กฺขตพิ พฺ  ความวา พงึ รักษาดวยการเปล้อื งจากคําติเตยี น. ความจงใจแหง กรรมน้นั มีอยู เพราะฉะน้นั กรรมนัน้ ชอ่ื วา สฺเจตนิก แปลวา ประ-กอบดว ยความจงใจ อันมีความมงุ หมาย. บทวา ทกุ ฺข ความวา พระเถระหมายถึงอุกศุ ลเทา นน้ั จงึ กลา วอยางน้ี ดว ยสําคญั วาปริพาชกจะถาม บทวาทสสฺ น ป โข อห ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงเห็นสงั ขารแมเ พียงเมล็ดงาในท่ีประมาณหนงึ่ โยชนโดยรอบ ในท่มี ืดแมมอี งคสี่ ดว ยมังสจกั ษุเทยี ว. ก็ปริพาชกน้อี ยูในท่ีไมไกล ในภายในประมาณคาวุต . ถามวา เพราะเหตุไร พระผูมพี ระภาคเจาตรสั อยางนน้ั . ตอบวา เพราะตรสั มงุ ถึงการเหน็สมาคมเทานนั้ . บทวา อุทายี คอื พระโลลุทายี. บทวา ต ทกุ ขฺ สฺมึ

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 280ไดแ ก ทกุ ขน ั้นทั้งหมดเทยี ว. กลา ววา ถา พระผูมีพระภาคเจา พึงมีภาษิตไซรดงั น้ี หมายถึง วฏั ฏทุกข กเิ ลสทุกข และสงั ขารทุกขนี้ ดวยประการฉะนี้.บทวา อุมฺมงฺค ไดแกก ารปรากฏออกมาของปญญา. บทวา อมมฺ ชุ ฺชมาโนไดแ ก ย่นื ศรี ษะ. บทวา อโยนโิ ส อมุ ฺมุชชฺ สิ สฺ ติ ไดแ ก โผลศรี ษะโดยไมมีอบุ าย. ก็แล พระผมู พี ระภาคเจา ทรงรเู รอ่ื งนี้ ไมใ ชทรงรูดว ยทิพยจกั ษุเจโตปรยิ ญาณ และสพั พัญุตญาณ. แตท รงรดู วยอธิบายเทา นั้น. ก็เม่ือกลาวธรรมดาอธิบายกร็ ไู ดโ ดยงา ย ผปู ระสงคจะกลาวยอ มยืดคอ ส้นั คาง ปากของเขากข็ มบุ ขมบิ ไมอาจเพ่อื สงบนง่ิ ได. พระผูม พี ระภาคเจา ทรงเห็นอาการนนั้ของพระอุทายนี นั้ แลว ทรงดูแลววา อุทายนี ้ี ไมอ าจเพื่อจะสงบนิ่งไดจ กั กลาวถอยคําท่ีไมเ ปนจรงิ นนั้ แล ไดทรงรูแลว. บทวา อาทึเยว คือในเบอ้ื งตนน้นัเทยี ว. บทวา ตสิ โฺ สว เทวทนา ความวา ปรพิ าชกโปตลิบุตร เมือ่ จะถามวา บุคคลนน้ั จะเสวยอะไรก็กําหนดอยา งน้วี า เราจะถามเวทนาสามดงั น้ี แลวจึงถามเวทนาสาม. บทวา สุขเวทนยี  ไดแ ก อันเปน ปจ จัยแหงสุขเวทนา.แมในบทท่เี หลอื ก็มีนัยนีเ้ ชนเดียวกัน. ก็ในทีน่ ี้ ชอื่ วา กรรมอันใหผลเปน สขุเพราะเกิดสขุ เวทนาในปฏสิ นธิและประวัตอิ ยา งนี้คือ เจตนาสี่ ซ่ึงสัมปยุตดวยจิตทส่ี หรคตดว ยโสมนัส โดยกามาวจรกุศล เจตนาในฌานหมวดสามเบ้ืองตาํ่ก็ในท่ีน้ี กามาวจรยอมยังสขุ โดยสว นเดียวใหเ กิดข้นึ ในปฏสิ นธนิ นั้ เทยี ว ยอมยงั อทุกขมสขุ ใหเ กิดขนึ้ ในมัชฌตั ตารมณอัน นา ปรารถนาทีเ่ ปน ไปแลว. อกุศลเจตนา ชือ่ วาใหผ ลเปน ทกุ ข เพราะเกดิ ทกุ ขเ ทานัน้ ในปฏสิ นธแิ ละประวตั ิก็คร้ันกายทวารเปนไปแลว ก็ยังทุกขโดยสว นเดียวนั้นใหเ กดิ ข้นึ . ยอมยงั อทุกขมสขุ ใหเ กดิ ขึน้ ในวาระอืน่ . ก็เวทนานนั้ ถงึ อนั นับวา ทกุ ขนั้นเทยี ว เพราะ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 281เกดิ ขนึ้ ในอารมณทั้งหลาย อันปานกลางท่ีไมนา ปรารถนา ก็ชือ่ วา กรรมใหผลเปน อทกุ ขมสุข เพราะเกดิ เวทนาทีส่ ามในปฏสิ นธแิ ละประวตั ิอยา งน้ี คอืเวทนาสท่ี ีส่ มั ปยุตดวยจิตอนั สหรคตดว ยอเุ บกขา โดยกามาวจรกศุ ล เวทนาในจตุตถฌานโดยรปู าวจรกศุ ล. กย็ ังอทกุ ขมสขุ โดยสวนเดยี วใหเ กิดในกามาวจรปฏสิ นธินัน้ เทียว. ยงั แมส ขุ ใหเกิดในอฏิ ฐารมณท ่เี ปน ไปแลว. อนงึ่ กรรมท่ีใหผลเปนสขุ ยอ มเปนไปดว ยอํานาจแหง ความเปน ไปแหง ปฏิสนธิ กรรมท่ีใหผลเปน อทุกขมสขุ ยอนเปนไปเหมอื นกนั กรรมทใ่ี หผลเปนทุกข ยอ มเปนไปดวยอํานาจแหงความเปน ไปเหมือนกัน. ก็ดว ยอาํ นาจแหง ทกุ ขเวทนยี กรรมนัน้ กรรมทงั้ หมดยอมเปน ไปดว ยอํานาจแหงความเปน ไปน้ัน เทยี ว. บทวา เอตสฺส ภควา ความวา พระตถาคตทรงแสดงอาลัย เพ่ือทรงแสดงมหากัมมวภิ ังค เราทลู ขอพระตถาคตแลว จกั กระทํามหาวภิ ังคญาณใหป รากฏแกพระภกิ ษสุ งฆด ังนี้ แลวกลา วอยา งน้ี เพราะความทีค่ นฉลาดในการเช่อื มความ. บรรดาบทเหลา น้นั บทวา มหากมฺมวภิ งฺค ไดแก การจาํ แนกมหากรรม. คาํ วา บุคคลส่เี ปน ไฉน ดกู อนอานนท บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ยอ มเขาถึงนรกน้ี เปน มหากมั มวภิ ังคญาณภาชนะ แตก ็เปน มาติ-กาฐปนะ เพอ่ื ประโยชนแ กม หากัมมวภิ งั คญาณภาชนะ. คาํ วา ดกู อ นอานนทสมณะบางคนในโลกน้ี แตล ะคาํ เปน อนุสนธ.ิ จริงอยู พระผูมีพระภาคเจาทรงปรารภถึงอนสุ นธินี้ เพอื่ ทรงประกาศวา สมณะหรือ พราหมณทัง้ หลายผมู ีจกั ษุเพียงดงั ทิพย ทําอนสุ นธนิ ้เี ปน อารมณไดป จ จยั น้ี ถอื ทัสสนะน้ี. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา อาตปปฺ  เปน ตนเปน ชือ่ ของความเพยี ร ๕ ประการน้ันเทียว. บทวา เจโต สมาธึ ไดแ ก ทพิ ยจกั ษสุ มาธ.ิ บทวา ปสฺสติ ความวา ยอ มเล็งเห็นวา สตั วน นั้ เกดิ แลว แมใ นทไี่ หน. บทวา เย อยฺถาความวา ยอมกลา ววา ชนเหลาใดยอมรูวา บุคคลน้นั เขา ถึงนรก เพราะ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 282ความท่ีกศุ ลกรรมบถสบิ อันตนพระพฤตแิ ลว ความรูข องชนเหลา น้นั ผิด. พงึทราบเน้อื ความในวาระท้ังปวงโดยนัยนี.้ บทวา วิทิต ไดแ ก ปรากฏ. บทวาถามสา ไดแก ดว ยกาํ ลังทฐิ ิ. บทวา ปรามาสา ไดแก ลบู คลําดวยทิฐ.ิ บทวา อภนิ วิ ิสฺส โวหรติ ความวา พดู ปก ลงไปยดึ ถือ. กบ็ ทวาตตฺรานนฺท นี้ เปน บทจาํ แนกมหากมั มวภิ ังคญาณ ถึงกระนน้ั กย็ งั เปนบทตั้งมาติกาดว ย. ก็ในท่นี ี้ พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงบทน้ีวา วาทะมีประมาณเทา น้ี เราอนุมตั ิ วาทะมปี ระมาณเทา นี้ เราไมอนมุ ตั ิ ตามคําของสมณะหรอืพราหมณเ หลานัน้ ผูม จี ักษุเพยี งดังทิพย. บทวา ตตฺ ร ตฺตร คือในสมณะหรือพราหมณส่เี หลาน.ี้ บทวา อทิ มสสฺ ตัดบทเปน อิท วจน อสสฺ แปลวา คาํ นจี้ ะพึงมี. บทวา อฺถา คอื โดยอาการอืน่ . พงึ ทราบวาทะที่ทรงอนุมตั ิ ไมทรงอนุมัติ ในบทท้งั ปวงอยา งนีว้ า ทรงอนมุ ตั ิในฐานะ ๒ อยางไมทรงอนุมัติในฐานะ ๓ อยาง ในวาทะของสมณะหรอื พราหมณเ หลาน้ีดว ยประการฉะนี้ . พระผมู พี ระภาคเจา ครน้ั ทรงแสดงอนุมตั ิ และไมอนุมตั ิตามคาํ ของสมณะหรือพราหมณท ั้งหลายผูมีจกั ษุเพียงดงั ทิพยอ ยา งน้ีแลวบดั นี้ เมอ่ื จะทรงจําแนกญาณในมหากมั มวิภังค จงึ ตรัสวา ตตฺรานนทฺ ยวฺ าย ปุคคฺ โล ดังนี้เปนตน . บทวา ปุพเฺ พ วสฺสสต กต โหติ ความวา บุคคลผทู าํ กรรมใด อนั สมณะหรอื พราหมณน ้ี ผูมจี กั ษเุ พียงดังทพิ ยเ หน็ แลว. ก็กรรมอันบุคคลทําแลวในกาลกอนแตนั้น บคุ คลยอมเกดิ ในนรกดวยกรรมทค่ี นทาํ แลวในกาลกอนบาง ยอ มเกิดดวยกรรมทีค่ นทาํ ในภายหลังบา ง. กแ็ ลในมรณกาลกย็ อ มเกิดเหมือนกัน แมด วยการเหน็ ผิดเปน ตน วา พระขันธประเสริฐท่สี ุดพระศิวะประเสริฐท่ีสดุ พระพรหมประเสริฐที่สุด หรือโลกประเสริฐพิเศษดวยอสิ ระเปน ตน . บทวา ทิฏเ ว ธมเฺ ม ความวา กรรมใดพงึ ใหผลในปจ จบุ นั .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 283น้นั บคุ คลยอ มไดเสวยผลของกรรมนน้ั ในปจ จบุ ันเทียว กรรมใดใหผลเม่อือุบตั ิ บุคคลอบุ ัติแลว ยอมไดเสวยผลของกรรมนั้น กรรมใดใหผ ลในลาํ ดับถัดไป ยอ มไดเสวยผลของกรรมนั้น ในลําดบั ถดั ไป. สมณะ หรอื พราหมณน ี้ไดเห็นกองแหงกรรม ๑ อยา ง และกองแหง วบิ าก ๑ อยา ง ดวยประการฉะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงเหน็ กองแหงกรรม ๓ อยา งและกองแหง วิบาก ๒ อยา งซึ่งสมณะหรือพราหมณน ไ้ี มเห็นแลว แตท รงเห็นกองแหง กรรม ๔ อยางและกองแหง วบิ าก ๓ อยา ง ซึง่ สมณะหรอื พราหมณน ้ีเห็นแลว. ญาณในการรูฐานะท้ัง ๗ อยางนี้ ชื่อวา ญาณในมหากมั มวภิ ังค ของพระตถาคต สมณะหรอื พราหมณ ผมู จี กั ษุเพยี งดังทพิ ยไมเ หน็ อะไรในวาระท่ีสอง กญ็ าณในการรูฐานะ ๕ อยางแมน ี้ คอื กองแหง กรรม ๓ อยาง กองแหงวบิ าก ๒ อยางอันพระตถาคตทรงเห็นแลว ดงั น้ี ช่อื วา ญาณในมหากัมมวภิ ังคของพระตคาคตแมใ นวาระ ๒ อยางท่ีเหลอื ก็มีนยั น้ีเชนเดยี วกัน. บทวา อภพฺพ ไดแ กเวน จากความจริง คอื เปนอกุศล. บทวา อภพพฺ าภาส ความวา กรรมไมควรยอ มสองใหเหน็ คือยอมครอบงาํ อธบิ ายวายอมหาม. กค็ รัน้ เมือ่ อกุศล.กรรมมมี าก อันบคุ คลทําไวแลว กรรมอันมีกําลงั หามวิบากของกรรมที่ไมม ีกําลงั ยอมทําโอกาสใหแกว ิบากของตน กรรมนี้ ชอื่ วา กรรมไมค วรสอ งใหเหน็ วา ไมค วร. สว นบคุ คลทาํ กศุ ลกรรมแลว ทาํ อกศุ ลกรรมในเวลาใกลตาย.อกุศลกรรมน้ัน หา มวิบากของกุศลกรรม ทําโอกาสใหแกวบิ ากของตน กรรมนี้ชื่อวา กรรมไมค วรสอ งใหเ หน็ วา ควร ครั้นเม่อื กุศลมากอนั บุคคลแมทําไวแ ลวกรรมมีกาํ ลงั หามวบิ ากของกรรมทีไ่ มมีกาํ ลัง ยอมทําโอกาสแกวบิ ากของตนกรรมน้ี ชอื่ วา กรรมควรและสองใหเหน็ วาควร สว นบุคคลทาํ อกุศลแลวทาํ กศุ ลในเวลาใกลต าย กศุ ลกรรมน้ัน หา มวบิ ากของอกศุ ลกรรม ทาํ โอกาสใหแ กวิบากของตน กรรมน้ี ชื่อวา กรรมควรและสอ งใหเหน็ วา ไมค วร

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 284 อนึ่ง พึงทราบเนอ้ื ความในทน่ี ี้ โดยอาการที่ปรากฏ. ก็มอี ธบิ ายดังนี้ กรรมใดยอมสอ งใหเ หน็ คือ ยอมปรากฏโดยไมค วร เพราะฉะนั้น กรรมนั้น ชอ่ื วา สอ งใหเหน็ วา ไมค วร. พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั บคุ คลส่ีพวก โดยนยั เปนตน วา ในบุคคลส่ีพวกน้ัน บุคคลน้ใี ดในโลกน้ี ผูมักทาํ ชีวติ สัตวใหตกลวง ดงั น.้ี ในบคุ คลสพ่ี วกนัน้ กรรมของบุคคลพวกทห่ี น่ึง ชอื่ วา กรรมไมค วรสองใหเหน็ วาไมควร. ก็กรรมน้ี ชอื่ วา ไมค วร เพราะเปนอกุศล.กรรมที่เปนเหตุใหเ กิดในนรกนนั้ ช่อื วา เปนอกศุ ลปรากฏ เพราะความทบ่ี คุ คลพวกท่หี นึ่งน้นั เกดิ ในนรก. กรรมของบคุ คลพวกทสี่ อง ชือ่ วา กรรมไมค วรของใหเ ห็นวา ควร. กก็ รรมน้นั ช่ือวา ไมควร เพราะเปน อกศุ ล. กก็ รรมทเ่ี ปนเหตใุ หเ กดิ ในสวรรคของอญั เดยี รถยี ทง้ั หลาย ชอ่ื วา เปนกุศลปรากฏเพราะความที่บุคคลพวกท่ีสองเกดิ ในสวรรค. กรรม ๒ อยาง แมน อกน้ี ก็มีนยั เชนเดียวกนั บททเ่ี หลือในที่ทั้งปวงงา ยท้ังนั้นแล. จบอรรถกถามหากัมมวิภงั คสตู รที่ ๖.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 285 ๗. สฬายตนวภิ ังคสตู ร [๖๑๗] ขาพเจา ไดสดับมาอยางน้ี:- สมัยหนึ่ง พระผูม พี ระภาคเจา ประทับ อยทู พ่ี ระวิหารเชตวนั อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถ.ี สมยั น้ันแล พระผมู ีพระภาคเจาตรสั เรยี กภิกษทุ ง้ั หลายวา ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย. ภิกษุเหลานนั้ ทลู รับพระดํารัสแลว พระผูม พี ระภาคเจาไดต รัสดังนวี้ า ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย เราจกั แสดงสฬายตนวภิ ังคแ กเธอทงั้ หลาย พวกเธอจงพงึ สฬายตนวภิ งั คนัน้ จงใสใจใหดีเราจักกลาวตอไป. ภิกษเุ หลานัน้ ทลู รบั พระผูม ีพระภาคเจา วา ชอบแลว พระพทุ ธเจาขา. [๖๑๘] พระผมู ีพระภาคเจาจึงไดตรัสดงั น้ีวา พวกเธอพงึ ทราบอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หมวดวิญญาณ ๖ หมวดผัสสะ ๖ความนกึ หนวงของใจ ๑๘ ทางดําเนนิ ของสัตว ๓๖ ใน ๓๖ น้ัน พวกเธอจงอาศยั ทางดําเนินของสัตวน ้ี ละทางดาํ เนินของสตั วน้ี และพึงทราบการตัง้ สติประการทพี่ ระอรยิ ะเสพ ซง่ึ เมื่อเสพช่อื วา เปน ศาสดาควรเพอื่ สงั่ สอนหมูอนั เราเรียกวา สารถฝี กบุรุษทีค่ วรฝก ยอดเย่ียมกวาอาจารยผ ูฝ ก ทั้งหลาย น้เี ปนอุเทศแหง สฬายตนวภิ งั ค. [๖๑๙] กข็ อทีเ่ รากลา วดงั น้วี า พงึ ทราบอายตนะภายใน ๖ นั้น เราอาศัยอะไรกลาวแลว ไดแ กอ าตนะคือจักษุ อายตนะคือโสต อายตนะคอื ฆานะอายตนะคือชวิ หา อายตนะคอื กาย อายตนะคือมโน. ขอ ท่เี รากลาวดงั นี้ วาพงึ ทราบอายตนะภายใน ๖ นน้ั เราอาศยั อายตนะนี้ กลา วแลว .

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 286 [๖๒๐] กข็ อ ที่เรากลา วดงั นวี้ า พึงทราบอายตนะภายนอก ๖ นนั้เราอาศัยอะไรกลาวแลว ไดแกอ ายตนะคือรูป อายตนะคือเสียง อายตนะคือกลิน่ อายตนะคือรส อายตนะคอื โผฏฐัพพะ อายตนะคอื ธรรมารมณ. ขอ ท่ีเรากลา วดงั นี้วา พงึ ทราบอายตนะภายนอก ๖ นัน้ เราอาศัยอายตนะน้ีกลาวแลว. [๖๒๑] ก็ขอท่เี รากลาวดงั นีว้ า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกลา วแลว ไดแกจ กั ษุวญิ ญาณ โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวญิ ญาณ มโนวิญญาณ. ขอ ทเี่ รากลาวดังนว้ี า พงึ ทราบหมวดวิญญาณ ๖ น้นั เราอาศัยวญิ ญาณนี้ กลาวแลว. [๖๒๒] ก็ขอ ทีเ่ รากลา วดงั น้ีวา พึงทราบหมวดผสั สะ ๖ นนั้ เราอาศยั อะไรกลา วแลว ไดแ กจกั ษสุ ัมผสั โสตสมั ผัส ฆานสมั ผัส ชิวหาสมั ผัสกายสัมผสั มโนสัมผัส. ขอ ทเ่ี รากลา วดังนว้ี า พงึ ทราบหมวดผัสสะ ๖ น่นัเราอาศยั สมั ผัสนก้ี ลาวแลว. [๖๒๓] ก็ขอทีเ่ รากลาวดงั นีว้ า พึงทราบความนึกหนว งของใจ ๑๘นั้น เราอาศัยอะไรกลา วแลว คอื เพราะเห็นรูปดว ยจกั ษุ ใจยอมนึกหนว งรปู เปน ท่ตี ั้งแหงโสมนสั นกึ หนวงรูปเปนทต่ี ้ังแหง โทมนสั นึกหนว งรปู เปนท่ีตัง้ แหงอเุ บกขา. เพราะฟง เสียงดว ยโสต... เพราะดมกลิ่นดว ยฆานะ... เพราะล้ิมรสดวยชวิ หา... เพราะถูกตอ งโผฏฐัพพะดวยกาย... เพราะรธู รรมารมณด ว ยมโน ใจยอ มนกึ หนว งธรรมารมณเ ปนทต่ี ้งัแหงโสมนสั นกึ หนว งธรรมารมณเ ปน ทีต่ ั้งแหง โทมนัส นึกหนว งธรรมารมณ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 287เปน ทตี่ ั้งแหง อุเบกขา. ฉะนนั้ เปนความนกึ หนว งฝา ยโสมนัส ๖ ฝายโทมนัส๖ ฝา ยอุเบกขา ๖. ขอ ทเ่ี รากลา วดงั น้วี า พึงทราบความนึกหนว งของใจ ๑๘น้นั เราอาศัยความนกึ หนวงนี้ กลา วแลว. [๖๒๔] กข็ อ ที่เรากลาวดังนวี้ า พงึ ทราบทางดําเนนิ ของสัตว ๓๖ นนั่เราอาศัยอะไรกลา วแลว คือ โสมนสั อาศัยเรอื น ๖ โสมนัสอาศยั เนกขัมมะ ๖โทมนัสอาศยั เรอื น ๖ โทมนสั อาศยั เนกขัมมะ ๖ อเุ บกขาอาศัยเรอื น ๖อุเบกขาอาศัยเนกขมั มะ ๖. [๖๒๕] ใน ๓๖ ประการนั้น โสมนัสอาศัยเรอื น ๖ เปนไฉน. คือบุคคลเน้ือเล็งเห็นการไดเฉพาะซ่ึงรปู ทร่ี ูไดดวยจักษุ อนั นาปรารถนา นา ใครนา ชอบใจ เปน ทร่ี นื่ รมยแ หงใจ ประกอบดวยโลกามิส โดยเปนของอันตนไดเ ฉพาะ หรอื หวนระลึกถึงรปู ทเ่ี คยไดเ ฉพาะในกอ น อนั ลวงไปแลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว ยอมเกดิ โสมนสั ขึน้ โสมนัสเชน นี้ น้เี ราเรียกวาโสมนัสอาศัยเรือน. บุคคลเม่ือเล็งเห็นการไดเฉพาะซึ่งเสียงทร่ี ไู ดด วยโสต... บุคคลเนือ้ เลง็ เห็นการไดเฉพาะซง่ึ กล่ินทร่ี ูไดดวยฆานะ... บคุ คลเม่ือเล็งเหน็ การไดเ ฉพาะซง่ึ รสท่ีรไู ดด วยชิวหา... บุคคลเม่อื เลง็ เหน็ การไดเ ฉพาะซ่ึงโผฏฐัพพะทรี่ ไู ดด วยกาย... บุคคลเมอื่ เลง็ เห็นการไดเ ฉพาะซ่งึ ธรรมารมณท่รี ูไดดว ยมโน อันนาปรารถนา นาใคร นา ชอบใจ เปนทรี่ ่นื รมยแ หง ใจ ประกอบดวยโลกามสิโดยเปนของอนั ตนไดเฉพาะ หรอื หวนระลกึ ถึงธรรมารมณท่ีเคยไดเฉพาะในกอ น อันลวงไปแลว ดบั ไปแลว แปรปรวนไปแลว ยอมเกดิ โสมนสั ข้ึนโสมนัสเชน นี้ นเ้ี ราเรียกวา โสมนัสอาศยั เรอื น เหลา นโี้ สมนัสอาศยั เรือน ๖.

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 288 [๖๒๖] ใน ๓๖ ประการนั้น โสมนสั อาศยั เนกขัมมะ ๖ เปน ไฉน.คอื บคุ คลเม่อื ทราบความไมเ ทย่ี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรปู ทงั้ หลายน่นั แล แลวเหน็ ดว ยปญ ญาชอบตามความเปนจรงิ อยา งน้วี ารูปในกอนและในบดั นีท้ งั้ หมดนน้ั ไมเ ทย่ี ง เปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ยอ มเกิดโสมนัสขนึ้ โสมนัสเชน น้ี นีเ่ ราเรยี กวา โสมนสั อาศัยเนกขมั มะ. บคุ คลเมื่อทราบความไมเ ทย่ี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของเสียงทั้งหลายนัน่ แล ... บคุ คลเมอ่ื ทราบความไมเ ทย่ี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของกลน่ิ ทั้งหลายนั่นแล ... บุคคลเมื่อทราบความไมเท่ยี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของรสทั้งหลายนั้นแล ... บุคคลเมอื่ ทราบความไมเที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของโผฏฐัพพะท้งั หลายนัน่ และ.. บคุ คลเม่ือทราบความไมเ ทีย่ ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของธรรมารมณท ั้งหลายนั้นแล แลวเหน็ ดว ยปญ ญาชอบตามความเปนจรงิ อยางน้ีวา ธรรมารมณใ นกอ นและในบัดนที้ งั้ หมดนนั้ ไมเ ท่ยี งเปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดา ยอ มเกดิ โสมนสั ข้ึน โสมนสั เชนนเ่ี ราเรยี กวา โสมนสั อาศัยเนกขัมมะ เหลา น้ีโสมนัสอาศยั เนกขมั มะ ๖. [๖๒๗] ใน ๓๖ ประการน้ัน โทมนสั อาศยั เรือน ๖ เปน ไฉน. คือบคุ คลเมือ่ เลง็ เหน็ ความไมไดเ ฉพาะซ่งึ รูปท่รี ไู ดด วยจักษุ อนั นาปรารถนานา ใคร นา ชอบใจ เปนท่รี น่ื รมยแหงใจ ประกอบดวยโลกามสิ โดยเปนของอันทนไมไดเฉพาะ หรอื หวนระลกึ ถึงรปู ท่ไี มเคยไดเ ฉพาะในกอ น อันลว งไป

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 289แลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว ยอ มเกดิ โทมนัส โทมนัสเชน นี้ นเ่ี ราเรียกวา โทมนัสอาศัยเรือน. บคุ คลเมื่อเล็งเหน็ ความไมไดเ ฉพาะซงึ่ เสียง... บคุ คลเม่ือเลง็ เหน็ ความไมไ ดเ ฉพาะซึ่งกล่นิ ... บคุ คลเมอื่ เลง็ เห็นความไมไ ดเ ฉพาะซ่งึ รส... บคุ คลเมือ่ เล็งเหน็ ความไมไดเฉพาะซ่ึงโผฏฐัพพะ... บคุ คลเม่อื เล็งเห็นความไมไ ดเฉพาะซงึ่ ธรรมารมณทีร่ ไู ดดวยมโน อันนา ปรารถนา นาใคร นาชอบใจ เปนที่รืน่ รมยแหง ใจ ประกอบดว ยโลกามิสโดยเปนของอันคนไมไดเ ฉพาะ หรอื หวนระลกึ ถึงธรรมารมยท ไี่ มเ คยไดเ ฉพาะในกอน อนั ลว งไปแลว ดบั ไปแลว แปรปรวนไปแลว ยอ มเกิดโทมนัสโทมนัสเชนน้ี นีเ่ ราเรยี กวา โทมนสั อาศยั เรอื น เหลาน้โี ทมนสั อาศัยเรือน ๖ [๖๒๘] ใน ๓๖ ประการนั้น โทมนสั อาศัยเนกขัมมะ ๖ เปนไฉนคือ บุคคลทราบความไมเ ที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรปู ทัง้ หลายนั่นแล แลว เหน็ ดวยปญญาชอบตามความเปน จรงิ อยางนว้ี ารปู ในกอ น และในบัดน้ี ท้งั หมดนนั้ ไมเท่ียงเปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาแลว ยอ มเขาไปต้ังความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข เม่อื เขาไปตงั้ ความปรารถนาในอนุตตรวิโมกขด ังนี้วา เมอ่ื ไร ตัวเราจงึ จกั บรรลอุ ายตนะท่พี ระอรยิ ะท้ังหลายไดบ รรลุอยูในบัดนเ้ี ลา ยอมเกดิ โทมนสั เพราะความปรารถนาเปน ปจจัยขน้ึ โทมนสั เชน น้ี นีเ่ ราเรียกวา โทมนสั อาศยั เนกขัมมะ บุคคลทราบความไมเทียง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับ ของเสียงท้งั หลายนนั่ แล... บคุ คลทราบความไมเ ที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของกลิน่ ทงั้ หลายนน่ั แล...

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ท่ี 290 บุคคลทราบความไมเ ทยี่ ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับ ของรสทง้ั หลายนนั้ แล... บุคคลทราบความไมเท่ียง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับ ของโผฏฐัพพะท้งั หลายนัน้ แล... บคุ คลทราบความไมเ ท่ยี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับ ของธรรมารมณท ง้ั หลายน้ันแล แลว เห็นดวยปญ ญาชอบตามความเปนจรงิ อยางน้ีวา ธรรมารมณใ นกอ นและในบดั น้ี ท้งั หมดนน้ั ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ขมีความแปรปรวนเปน ธรรมดาแลว ยอมเขาไปตัง้ ความปรารถนาในอนุตตร-วิโมกข เนื้อเขา ไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวโิ มกขดังนี้วา เมือ่ ไร ตวั เราจงึ จกั บรรลุอายตนะท่พี ระอริยะทัง้ หลายไดบรรลอุ ยใู นบัดนีเ้ ลา ยอ มเกิดโทม-นัสเพราะความปรารถนาเปนปจจัยขึน้ โทมนสั เชนนี้ นเ่ี รยี กวา โทมนสั อาศัยเนกขมั มะ เหลานี้ โทมนัสอาศัยเนกขมั มะ. [๖๒๙] ใน ๓๖ ประการน้นั อเุ บกขาอาศัยเรือน ๖ เปนไฉน. คอืเพราะเหน็ รปู ดวยจักษุ ยอมเกดิ อุเบกขาข้ึนแกป ถุ ชุ นคนโงเ ขลา ยงั ไมชนะกิเลส ยังไมช นะวบิ าก ไมเ หน็ โทษ ไมไ ดส ดบั เปนคนหนาแนน อเุ บกขาเชน นนี้ ้ัน ไมลว งเลยรปู ไปได เพราะฉะนัน้ เราจงึ เรยี กวา อเุ บกขาอาศัยเรอื น. เพราะฟงเสียงดว ยโสต... เพราะดมกลน่ิ ดวยฆานะ... เพราะลิ้มรสดว ยชวิ หา... เพราะถกู ตอ งโผฏฐัพพะดว ยกาย... เพราะรธู รรมารมณด ว ยมโน ยอมเกิดอุเบกขาข้นึ แกป ถุ ชุ นคนโงเ ขลายงั ไมชนะกเิ ลส ยงั ไมช นะวบิ าก ไมเหน็ โทษ ไมไดส ดบั เปนคนหนาแนน

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 291อเุ บกขาเชน นนี้ น้ั ไมล วงเลยธรรมารมณไปได เพราะฉะน้นั เราจงึ เรยี กวาอุเบกขาอาศัยเรือน เหลา น้ี อุเบกขาอาศยั เรอื น ๖. [๖๓๐] ใน ๓๖ ประการนัน้ อเุ บกขาอาศยั เนกขัมมะ ๖ เปนไฉน.คอื บุคคลเมอ่ื ทราบความไมเทยี่ ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรปู ทง้ั หลายนนั่ แล แลว เหน็ ดวยปญญาชอบตามความเปนจริงอยา งนวี้ ารูปในกอนและในบัดนี้ ทั้งหมดนัน้ ไมเที่ยง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ยอมเกดิ อเุ บกขาขน้ึ อเุ บกขาเชน นี้นน้ั ไมล วงเลยรปู ไปไดเพราะฉะน้นั เราจึงเรียกวา อเุ บกขาอาศยั เนกขมั มะ. บคุ คลเม่ือทราบความไมเ ทีย่ ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดบั ของเสียงทั้งหลายนัน่ แล. . . บคุ คลเมือ่ ทราบความไมเท่ียง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของกลิน่ ท้งั หลายน่นั และ. . . บุคคลเม่ือทราบความไมเ ทย่ี ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรสทัง้ หลายน้ันแล . . . บุคคลเมื่อทราบความไมเที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของโผฏฐัพพะทง้ั หลายนน้ั แล. . . บคุ คลเมอ่ื ทราบความไมเทยี่ ง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของธรรมารมณทง้ั หลายน้นั แล แลว เหน็ ดวยปญ ญาชอบตามความเปน จรงิ อยางนว้ี า ธรรมารมณใ นกอนและในบัดนที้ งั้ หมดนั้น ไมเ ทีย่ ง เปนทุกข มคี วามแปรปรวน เปนธรรมดา ยอ มเกิดอุเบกขาขึน้ อเุ บกขาเชน น้ีน้นั ไมล ว งเลยธรรมารมณไปได เพราะฉะน้นั เราจึงเรียกวา อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ เหลาน้อี เุ บกขาอาศัยเนกขมั มะ ๖. ขอทีเ่ รากลาวดังนี้วา พึงทราบทางดาํ เนินของสัตว ๓๖ น้นั เราอาศยั ทางดําเนินนี้ กลาวแลว .

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนา ที่ 292 [๖๓๑] กข็ อ ทเี่ รากลา วดงั น้ีวา ในทางดาํ เนินของสตั ว ๓๖ นนั้ พวกเธอจงอาศยั ทางดาํ เนินของสตั วน ี้ ละทางดําเนินของสัตวน้ี นั่นเราอาศัยอะไรกลา วแลว. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ใน ๓๖ ประการน้ัน พวกเธอจงอาศัย คือองิโสมนสั อาศยั เนกขัมมะ ๖ น้นั ๆ แลว ละ คอื ลวงเสียซงึ่ โสมนัสอาศัยเรือน ๖นน้ั ๆ อยางน้ี ยอมเปนอนั ละโสมนัสน้นั ๆ ได เปนอันลวงโสมนัสนน้ั ๆ ได.ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนัน้ พวกเธอจงอาศัย คืออิงโทมนสั อาศัยเนกขมั มะ ๖ นั้น ๆ แลว ละคอื ลว งเสียซ่ึงโทมนัสอาศัยเรือน ๖ นัน้ ๆ อยางน้ียอ มเปนอันละโทมนัสนนั้ ๆได เปนอนั ลว งโทมนสั น้นั ๆ ได. ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ใน ๓๖ ประการน้ัน พวกเธอจงอาศยั คอื องิ อเุ บกขาอาศัยเนกขมั มะ๖ นนั้ ๆ แลวละ คือลว งเสียซ่ึงอุเบกขาอาศยั เรอื น ๖ นัน้ ๆ อยา งน้ี ยอมเปนอันละอุเบกขาน้ัน ๆ ได เปน อันลว งอเุ บกขาน้นั ๆ ได. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ใน ๓๖ ประการนัน้ พวกเธอจงอาศยั คอื องิ โสมนสั อาศยั เนกขมั มะ๖ นน้ั ๆ แลว ละ คอื ลว งเสียซ่ึงโทมนัสอาศยั เนกขมั มะ ๖ น้ัน ๆ อยา งนี้ยอมเปนอันละโทมนสั นัน้ ๆ ได เปนอนั ลวงโทมนสั นน้ั ๆ ได. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ใน ๖ ประการนั้น พวกเธอจงอาศยั คือองิ อเุ บกขาอาศยั เนกขัมมะ๖ น้ัน ๆ แลว ละ คือลว งเสยี ซ่ึงโสมนัสอาศยั เนกขัมมะ ๖ นัน้ ๆ อยางน้ี ยอ มเปน อันละโสมนสั นนั้ ๆ ได เปน อนั ลว งโสมนัสน้ัน ๆ ได. [๖๓๒] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย อุเบกขาทมี่ คี วามเปนตาง ๆ อาศยัอารมณต าง ๆ ก็มอี ุเบกขาท่ีมีความเปนหนึ่ง อาศัยอารมณเ ปน หนึ่งกม็ ี. กอ็ เุ บกขาท่ีมีความเปนตาง ๆ อาศยั อารมณตา ง ๆ เปนไฉน. คอือเุ บกขาท่มี ีในรูป ในเสยี ง ในกลิน่ ในรส ในโผฏฐพั พะ น้อี ุเบกขาที่ความเปนตาง ๆ อาศัยอารมณตา ง ๆ.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 293 ก็อเุ บกขาท่มี คี วามเปนหนึง่ อาศยั อารมณเ ปน หนง่ึ เปนไฉน. คืออเุ บกขาทอ่ี าศยั อากาสานญั จายตนะ อาศยั วญิ ญาณัญจายตนะ อาศัยอากิญ-จญั ญายตนะ อาศัยเนวสัญญานาสญั ญายตนะ น้ีอเุ บกขาทีม่ ีความเปนหนง่ึอาศยั อารมณเ ปนหนง่ึ . ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย โนอเุ บกขา ๒ อยาง พวกเธอจงอาศยั คือองิอเุ บกขาทม่ี ีความเปนหนึง่ อาศยั อารมณเ ปน หนง่ึ นนั้ แลว ละ คอื ลว งเสยี ซึ่งอเุ บกขาทมี่ ีความเปน ตาง ๆ อาศยั อารมณตา ง ๆ นัน้ อยา งนี้ ยอมเปน อนั ละอุเบกขานีไ้ ด เปนอนั ลวงอเุ บกขานีไ้ ด. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย พวกเธอจงอาศยัคอื อิงความเปน ผไู มมีตณั หา แลว ละ คอื ลว งเสียซ่งึ อเุ บกขาท่มี ีความเปน หนึง่อาศยั อารมณเ ปน หนง่ึ นน้ั อยางน้ี ยอมเปนอันละอุเบกขาน้ไี ด เปนอนั ลวงอุเบกขานีไ้ ด ขอทีเ่ รากลาวดงั นวี้ า ในทางดาํ เนนิ ของสตั ว ๓๖ น้ัน พวกเธอจงอาศัยทางดําเนินของสัตวน้ี ละทางดําเนินของสตั วน ี้ นนั่ เราอาศยั การละการลวง นี้ กลา วแลว . [๖๓๓] ขอ ท่ีเรากลาวดงั นว้ี า และพึงทราบการตงั้ สติ ๓ ประการที่พระอรยิ ะเสพ ซ่งึ เม่อื เสพช่ือวา เปน ศาสดาควรเพ่ือส่งั สอนหมู นัน้ เราอาศยั อะไรกลาวแลว . [๖๓๔] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ศาสดาเปน ผูอนเุ คราะห แสวงประ-โยชนเกอ้ื กูล อาศัยความเอน็ ดแู สดงธรรมแกส าวกท้งั หลายวา น้ีเพือ่ ประโยชนเก้อื กลู แกพวกเธอ นเ่ี พ่อื ความสุขแกพ วกเธอ. เหลาสาวกของศาสดาน้ัน ยอมไมฟ งดวยดี ไมเง่ียโสตสดับ ไมตั้งจติ รบั รู และประพฤติหลีกเลยี่ งคาํ สอนของศาสดา. ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ในขอนั้น ตถาคตไมเ ปน ผชู นื่ ชม ไมเสวยความชื่นชม และไมร ะคายเคือง ยอมมีสตสิ มั ปชัญญะอยู ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๒ - หนาท่ี 294นี้ เราเรียกวาการตั้งสติประการท่ี ๑ ที่พระอริยะเสพ ซงึ่ เมือ่ เสพ ช่ือวา เปนศาสดาควรเพ่ือสัง่ สอนหม.ู [๖๓๕] ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอกี ศาสดาเปน ผอู นุ-เคราะห แสวงหาประโยชนเ กอ้ื กลู อาศัยความเอน็ ดูแสดงธรรมแกส าวกท้ังหลายวา นเี่ พ่อื ประโยชนเ กื้อกูลแกพ วกเธอ นีเ่ พอื่ ความสขุ แกพ วกเธอ. เหลาสาวกของศาสดานั้น บางพวกยอ มไมฟ ง ดวยดี ไมเงีย่ โสตสดับ ไมต ัง้ จิตรบั รูและประพฤติหลีกเล่ยี งคําสอนของศาสดา. บางพวกยอ มฟงดว ยดี เง่ยี โสตสดับตั้งจติ รับรู ไมป ระพฤติหลีกเลยี่ งคําสอนของศาสดา. ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ในขอ นน้ั ตถาคตไมเปน ผูชน่ื ชม ไมเ สวยความช่ืนชม ท้งั ไมเปน ผไู มช ืน่ ชมไมเสวยความไมชื่นชม เวนทงั้ ความชืน่ ชมและความไมช น่ื ชมทงั้ สองอยางนั้นแลว เปน ผูวางเฉย ยอมมีสตสิ มั ปชญั ญะอยู ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย นีเ้ ราเรยี กวา การต้ังสตปิ ระการท่ี ๒ ทีพ่ ระอริยะเสพ ซงึ่ เม่อื เสพชอื่ วา เปนศาสดาควรเพ่ือสง่ั สอนหมู. [๖๓๖] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ประการอน่ื ยงั มอี ีก ศาสดาเปนผูอนุเคราะหแ สวงหาประโยชนเ ก้อื กลู อาศัยความเอน็ ดูแสดงธรรมแกสาวกท้งั หลายวา น่เี พอ่ื ประโยชนเ ก้อื กลู แกพวกเธอ น่ีเพอ่ื ความสขุ แกพ วกเธอ.เหลา สาวกของศาสดาน้นั ยอ มฟง ดวยดี เงีย่ โสตสดับ ตัง้ จิตรับรู ไมประพฤติหลีกเล่ียงคําสอนของศาสดา. ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ในขอนน้ั ตถาคตเปน ผูช่นื ชม เสวยความชน่ื ชม และไมระคายเคอื ง ยอมมสี ตสิ มั ปชญั ญะอยู ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นี้เราเรียกวา การต้งั สตปิ ระการท่ี ๓ ทีพ่ ระอริยะเสพ ซงึ่ เม่ือเสพชื่อวา เปนศาสดาควรเพ่อื สัง่ สอนหม.ู ขอที่เรากลา วดงั น้ีวา และพึงทราบการตง้ั สติ ๓ ประการท่พี ระอริยะเสพ ซ่ึงเมื่อเสพชอื่ วา เปนศาสดาควรเพอ่ืส่งั สอนหมู น้ันเราอาศัยเหตุน้ี กลา วแลว












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook