Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_31

tripitaka_31

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_31

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 131 อรรถกถาเจติยสตู ร สตู รท่ี ๑๐. คําวา นิสีทน คือ หมายเอาทอนหนัง. ทา นเรียกวดัทสี่ รา งไวท่เี จดียสถานของอุเทนยกั ษว า อุเทนเจดีย. แมใ น โคตมกเจดยี เปนตนก็นัยเดยี วกนั นี้เอง. คําวา ภาวิตา คือ อันเจรญิ แลว . คาํ วาพหุลีกตา คอื ท่กี ระทาํ เรอ่ื ย ๆ ไป. คําวา ทําใหเปน ดจุ ยาน คอืทําใหเ หมือนยานท่เี ทยี ม (โคไวท่แี อก) แลว. คําวา ทําใหเ ปน ทตี่ ง้ั คอืทําใหเหมอื นเปน วตั ถุ เพราะอรรถวา เปนท่ีตง้ั . คําวา ใหค ลองแคลว แลวคืออันมน่ั คงยิง่ . คาํ วา อันสง่ั สมแลว ไดแก สั่งสมไวโ ดยทกุ ดาน คืออันเจริญดีแลว. คําวา อันปรารภดีแลว คือ ท่ีเร่ิมไวแ ลว เปนอยางด.ี ครน้ั ตรสั โดยไมช ้ีชัดลงไปอยา งน้ีแลว เมอ่ื จะทรงแสดงชีช้ ัดลงไปอกี ครั้ง จึงตรัสคาํ วา ตถาคตสฺส โข ดงั น้ีเปน ตน . และในคาํ เหลา นี้คาํ วา กัป หมายเอาอายุกปั (กําหนดอายุ). ในกาลน้นั อนั ใดเปนประมาณอายุของพวกมนษุ ย บคุ คลพึงทาํ ประมาณอายุนั้นใหบริบูรณด าํ รงอย.ู คําวากปฺปาวเสส คือ หรอื เกินรอยปท ่ีตรสั วา กัปหรอื เกนิ . ฝา ยทา นพระมหาสิวเถระ กลา ววา สําหรบั พระพุทธเจา ทั้งหลายแลว ยอมไมมกี ารคุกคามในสิ่งทเ่ี ปน ไปไมได กเ็ หมือนเมอ่ื ทรงขมเวทนาปางท่แี ทบจะสน้ิ พระชนมที่เกิดขึน้ในหมบู า น เวฬวุ ะ (เวฬวุ คาม) ต้ังสบิ เดือน นน่ั แหละ ฉันใด กฉ็ ันน้ันเม่อื ทรงเขา สมาบตั ินั้นบอยๆ พงึ ขม ไวไดเ ปน สบิ เดอื น ก็จะพงึ ทรงดํารงอยูไดตลอดภทั รกัปนีท้ ีเดยี ว.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 132 ถามวา กท็ าํ ไมจงึ ไมท รงดํารงอยเู ลา. ตอบวา ขนึ้ ชอื่ วา พระสรรี ะท่เี ปน ผลของกรรมทถ่ี กู กเิ ลสเขา ไปยึดครองแลว ถูกชราทงั้ หลายมีพระทนตหกั เปน ตน จะครอบงาํ ธรรมดาวา พระพทุ ธเจา ท้ังหลาย ยังไมถ ึงความเปนผมู พี ระทนตห ักเปน ตน เลย ก็ยอ มปรนิ ิพพานในสว นพระชนมายุที่ ๕ ในเวลาท่ียังทรงเปน ทรี่ กั ทช่ี ืน่ ใจของคนจํานวนมากนั่นเอง แตเม่ือเหลาพระมหาสาวกผูเปน พทุ ธานพุ ทุ ธปรนิ พิ พานแลว กย็ อมเปน สรรี ะท่ตี องตัง้ อยูโดดเดี่ยว เหมอื นตอไม. หรือมีภกิ ษหุ นุม และสามเณรหอ มลอ มบา ง แตน ้นักจ็ ะตอ งถงึ ความเปนผทู ีพ่ ึงถกู เยาะเยย เหยยี ดหยามวา โอ บรษิ ทั ของพวกพทุ ธเพราะฉะนนั้ พระองคจ งึ ไมดํารงอยู. แตเมือ่ ตรสั คาํ เชน นีแ้ ลว มารน้นัก็ชอบใจ. คาํ วา อายุกัป น้แี หละ ทานไดชีช้ ัดลงไปในอรรถกถาแลว. คาํ วา ต นนั้ ในคาํ วา ยถา ต มาเรน ปริยฏ ติ จติ ฺโตเปนเพยี งคาํ ลงมาแทรกเขาไว. อธิบายวา ปถุ ชุ นแมอน่ื ใด ๆ ทถ่ี ูกมารดลใจคอื ถูกมารทว มทบั ใจแลว ไมพ ึงอาจเพือ่ แทงตลอดไดฉ ันใด พระเถระก็ไมส ามารถแทงตลอดฉนั น้นั เหมือนกนั . จรงิ อยู มารยอ มดลจติ ผทู ี่ยังละวปิ ลาส ๑๒ อยางไมไ ดห มด. สว นพระเถระ ยงั ละวปิ ลาส ๔ อยา งไมไ ดเพราะฉะนนั้ มารจึงยงั ดลใจของทา นได. ถามวา ก็แล เมอื่ มารนั้นจะทําการดลใจ ยอมทําอะไร. ตอบวา ยอ มแสดงรูปารมณทีน่ ากลวั บา ง ใหย นิ อารมณคือเสียงบาง จากน้นั สัตวทง้ั หลายไดเหน็ รปู นน้ั หรอื ไดย นิ เสียงนัน้ แลวก็ทิง้ สติ เกิดเวยี นหนาขน้ึ มา มันสอดมือเขาปากแลว บีบหวั ใจสตั วเ หลา นน้ัสตั วเหลา นน้ั กย็ ืนสลบไสล. กม็ ารน้ีสามารถสอดมอื เขา ไปในปากของพระเถระเจียวหรือ ก็มนั แสดงอารมณท่นี ากลัว พระเถระไดเห็นอารมณน ัน้ ก็แทงตลอดแสงแหง นมิ ติ ไมได ทั้ง ๆ ทร่ี อู ยวู า พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ถงึ

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 133สามคร้ัง เพ่อื อะไร. เพื่อทรงทาํ ใหเ พลาโศก ดวยการยกความผิดข้ึนวา นี่เปน ความกระทําไมดขี องเธอเอง น่ีเปน ความผดิ ของเธอเอง เมื่อพระเถระทลูออนวอนภายหลังวา ขอพระผูมีพระภาคเจาจงทรงดํารงอยูเ ถดิ พระพทุ ธเจา ขา . ในคําวา มารผมู บี าป น้ี ชื่อวา มาร เพราะประกอบสัตวไ วในความฉบิ หายใหตาย. คาํ วา ผมู บี าป เปน คาํ ใชแ ทนมารนัน้ เอง. ก็มารนน้ัเพราะประกอบดวยบาปธรรม จึงเรยี กวา ผมู ีบาป. ถงึ คาํ วา กัณห (ดํา) อนั ตกะ(ผทู าํ ทส่ี ุด) นมุจิ เผา พนั ธผปู ระมาท ก็ลว นแตเปนชอ่ื ของมารน้ันเอง. คาํ วาพระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสพระดาํ รัสนี้ คือในสัปดาหท ่ี ๘ แหงการบรรลุความตรัสรูพ รอมของพระผูมพี ระภาคเจา มารนีแ้ ล ไดมาทโ่ี คนโพธ์ทิ ีเดียว ทูลวา ขา แตพระผูม พี ระภาคเจาพระองคไดทรงบาํ เพญ็ พระบารมมี าเพอ่ื ประโยชนอนั ใดพระองคก ท็ รงไดบ รรลุประโยชนอันนั้นแลว ทรงแทงตลอดสพั พญั ตุ ญาณแลว พระองคทอ งเท่ียวไปในโลกหาประโยชนอ ะไรกนั แลวไดอ อ นวอนเหมือนในวันน้แี หละวา พระเจาขา บัดนี้ ขอพระผมู ีพระภาคเจา จงปรินพิ พานเถดิ ขอพระสุคตเจาจงปรินิพพานเถดิ . และพระผูมีพระภาคเจา ไดต รสั ปฏิเสธไปกะมารน้นั เปนตน วา น ตาวห . มารหมายเอาพระดาํ รัสนน้ั จงึ กลา วคาํ วาพระเจาขา พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสพระดาํ รัสนี้ไวแ ลวแล ดังนเี้ ปน ตน. ในบทเหลา น้ัน คําวา ผเู ฉียบแหลม หมายถึงผูฉลาดดว ยอาํ นาจมรรค. ผไู ดร บั การแนะนาํ และผูแกลวกลา ก็อยางนั้นนนั่ แล. คาํ วาเปน พหสู ูต คือ ชอ่ื วา เปนพหูสตู เพราะเขาไดฟ ง ดวยอาํ นาจปฎกสามมามาก. ช่ือวา ผทู รงธรรม ก็เพราะจาํ ทรงธรรมนน้ั แหละ. อกี อยางหนง่ึพงึ เหน็ ใจความในคําวา ผูทรงธรรม นอ้ี ยา งน้วี า เปนพหูสตู ทางปรยิ ัติ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 134และเปน พหูสตู ทางปฏเิ วธ จึงชอ่ื วา เปน ผทู รงธรรม เพราะจาํ ทรงธรรมคอืปรยิ ัตแิ ละปฏิเวธนัน่ เอง. คาํ วา ธมมฺ านุธมมฺ ปฏปิ นฺนา คือ เปน ผปู ฏิบัติธรรม คอื วปิ ส สนาอันเปนธรรมทไี่ ปตามธรรมของพระอริยเจา. คําวา สามี-จิปฏิปนนฺ า คอื เปนผูปฏบิ ัติขอปฏิบตั ิท่ีสมควร. คําวา อนธุ มฺมจาริโนคอื เปนผปู ระพฤติตามธรรมเปน ปกต.ิ คําวา สก อาจรยิ ก คอื วาทะอาจารยของตน. คําทัง้ หมดเปนตนวา จกั บอก เปนคาํ สาํ หรับใชแ ทนกนัและกันนัน่ เอง. คําวา โดยสหธรรม คอื ดวยถอ ยคาํ ทม่ี ีเหตุ มีการณ.คาํ วา มีปาฏหิ ารย คอื จะแสดงธรรมทําใหออกจากทุกขได. คําวา พรหมจรรย ไดแกศ าสนพรหมจรรยท ง้ั สนิ้ ที่สงเคราะหด ว ยไตรสกิ ขา. คาํ วา อทิ ฺธ ไดแ กสาํ เร็จพรอมแลว ดว ยความยนิ ดีในฌานเปน ตน.คาํ วา ผตี  ไดแก ถงึ ความเจริญ ดวยอาํ นาจการถงึ พรอ มแหงอภิญญาเหมอื นดอกไมบ านสะพรงั่ . คาํ วา วติ ฺถารติ  ไดแ ก แผไปดวยอํานาจตัง้ มนั่ในสว นแหง ทิศน้ัน ๆ. คาํ วา รกู ันโดยมาก ไดแกท ีค่ นหมมู ากรคู ือแทงตลอดดว ยอาํ นาจการตรัสรขู องมหาชน. คาํ วา หนาแนน ไดแ กถ งึ ความเปนของหนาแนน ดวยอาการทกุ อยา ง. ถามวา อยา งไร. ตอบวา จนกระทั่งพวกเทวดาและมนษุ ยป ระกาศดีแลว หมายความวา อนั พวกเทวดาและมนุษยที่ประกอบดว ยชาติแหงผูร ูทั้งหมด ประกาศดีแลว . คาํ วา มคี วามขวนขวายนอย คือ หมดอาลยั . พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา มารผมู บี าป เจาแล ตงั้ แตส ปั ดาหท แี่ ปดมาไดเ ท่ียวโวยวายวา พระเจา ขาบดั น้ี ขอพระผูม พี ระภาคเจา จงปรินิพพานเถดิ ขอพระสุคตเจา จงปรินพิ พานเถดิ . พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา บัดนี้ต้งั แตว ันน้ี เจา จงเลกิ ความอุตสาหะไดแลว จงอยาทําความพยายามเพอ่ื การปรินิพพานของเราเลย.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 135 คาํ วา ทรงมีพระสติสัมปชัญญะทรงปลงอายุสงั ขาร คอืทรงตง้ั พระสตไิ วเ ปนอยางดี ทรงใชพระญาณกําหนดแลวจึงทรงปลง คือทรงสละอายุสงั ขาร. ในกรณนี ้ัน พระผมู ีพระภาคเจามิไดท รงปลงอายุสังขารอยางใชพ ระหัตถโ ยนกอ นดนิ ทิ้ง แตท รงเกดิ ความคิดวา เราจะเขา ผลสมาบตั ิตลอดเวลาประมาณสามเดอื นเทียว ตอจากนนั้ จักไมเ ขาสมาบตั อิ นื่ พระอานนทหมายเอาอาการอยางนัน้ จงึ ไดกลาววา ทรงปลงแลว. ปาฐะวา อฺสสฺ ชชฺ ิดงั น้กี ็มี. คาํ วา มหาภูมจิ าโล คือ การไหวของแผนดินอยา งใหญ. เลา กันวา ครัง้ นนั้ หมืน่ โลกธาตไุ ดหวนั่ ไหวแลว . คาํ วา นา สะพรงึ กลวั คอืทําใหเกิดความกลวั . คําวา กลองทพิ ย กบ็ ันลือล่นั คอื กลองของเทวดาก็ดงั กอง. ฝนก็คาํ รามแสนคําราม. สายฟาที่มใิ ชเวลากแ็ ปลบปลาบ มคี ําที่ทา นอธบิ ายวา ฝนกต็ กชั่วขณะ. ถามวา คําวา ทรงเปลง อุทาน นี้ ทรงเปลง ทาํ ไม อาจมบี างคนพูดวา พระผูมีพระภาคเจา ถกู มารท่ตี ดิ ตามขา งพระปฤษฎางค รบกวนวาปรินิพพานเถิด พระเจา ขา ปรนิ พิ พานเถดิ พระเจาขา จึงทรงปลงอายสุ งั ขารเพราะความกลัว. ตอบวา โอกาสของมารน้นั จงอยา มี สําหรบั ผกู ลวั หาไดมอี ุทานไม เพราะฉะน้ันจึงทรงเปลงอุทานชนิดทป่ี ลอยออกมาเพราะแรงปต .ิ ในพระอทุ านัน้ ช่อื วา ส่งิ ทเ่ี ทียบเคียง เพราะถูกเทียบถกู กาํ หนดแลว โดยความเปนสิ่งประจกั ษแมแ กส ุนขั และจิ้งจอกเปนตนทัง้ หมด. สง่ิ เทียบนน้ั คอื อะไร. คอื กามาวจรกรรม. ทช่ี ื่อวา ไมมสี ง่ิ เทียบ เพราะไมใ ชส่ิงที่เทยี บได หรือสง่ิ ทเ่ี ทยี บได คือส่ิงท่เี หมือนกนั ของสง่ิ นัน้ ไดแกโลกิย-กรรม อยา งอ่ืนไมม .ี สิ่งท่ีไมมีอะไรเทียบไดน้นั คอื อะไร คอื มหคั คตกรรม.อกี อยางหนึง่ สิ่งท่ีเปนกามาวจรและรูปาวจร เปนสิ่งทีเ่ ทยี บได สง่ิ ท่เี ปนอรูปาวจรเปน สงิ่ ทเ่ี ทยี บไมได ส่ิงที่มวี บิ ากนอ ยเปนสงิ่ ทเ่ี ทียบได ส่ิงท่มี ี

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 136วิบากมาก เปนส่ิงท่เี ทยี บไมได. คําวา สมภฺ ว คือ เปนเหตุแหง การเกดิของสัตวเหลา นั้น อธิบายวา ทําใหเปนกอน ทาํ ใหเ ปนกอง. คาํ วาภวส ขาร คือ เครื่องปรงุ แหง การเปน ข้ึนอีก. คาํ วา ไดป ลงเสยี แลว คอืปลอ ยแลว. คําวา มนุ ี คอื มนุ ผี เู ปนพุทธะ. คําวา ยนิ ดแี ลว ในภายในคือ ผยู ินดีภายในอยา งแนนแฟน. คาํ วา มีจติ ตง้ั มน่ั คือ ผูตง้ั มั่นดว ยอาํ นาจอุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธ.ิ คําวา ไดทําลายแลว เหมอื นเกราะคือไดทําลายเหมอื นผทู ําลายเกราะ. คําวา เกิดในตน คอื กเิ ลสทเี่ กดิ ในตน.ขอน้มี คี ําอธบิ ายวา ทรงปลงสิ่งทีไ่ ด ชอื่ วา สมภพ เพราะอรรถวา มวี บิ าก.ช่ือวา ภวสงั ขาร เพราะอรรถวา เปนเคร่ืองปรงุ แตง ภพ และชอ่ื วา ทรงปลงโลกิยกรรมกลาวคอื ส่ิงท่ีเทียบไดแ ละเทยี บไมไ ด ทรงไดท าํ ลายกเิ ลสท่ีเกิดในตนเหมอื นนกั รบผยู งิ่ ใหญใ นสงความทาํ ลายเกราะ และทรงเปน ผูยนิ ดีในภายใน ทรงเปน ผู (มพี ระหฤทัย) ตง้ั มัน่ แลว. อีกอยา งหน่งึ คาํ วา ตุล (แปลวา ชงั่ กไ็ ด) ไดแกทรงชง่ั อยู คือทรงพิจารณาอยู. คําวา สิ่งที่ชง่ั ไมได และ ความเกิดพรอม ไดแกนิพพานและภพ. คําวา ธรรมอันปรงุ แตงภพ ไดแ ก กรรมท่ีใหถ ึงภพ.คาํ วา พระมนุ ีไดทรงปลงแลว คอื พระพุทธมุนไี ดทรงช่ังโดยนัยเปนตน วาขนั ธ ๕ ไมเ ที่ยง ความดบั ขนั ธ ๕ ไดสนิทเปนนิพพาน เปน ของเที่ยง ทรงเหน็ โทษในภพ และเห็นอานสิ งสในพระนพิ พานแลว ไดท รงปลงตวั ปรงุ แตงภพอันเปน รากเงา ของขนั ธ ๕ เสียดว ยอรยิ มรรคอันทําความส้ินกรรม ทีต่ รัสไวอยางนีว้ า เปน ไปเพอ่ื สิ้นกรรม คือ ภวสังขาร อยา งไร ทรงยินดภี ายในมีพระ-หฤทยั ต้ังม่ัน ไดท รงทาํ ลายแลวซงึ่ ขา ย คือ กิเลสอันเกดิ ในตน เหมือนนกั รบ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 137ผูย่ิงใหญทาํ ลายเกราะฉะนน้ั . จริงอยู พระผูม พี ระภาคเจา พระองคน ัน้ ไดท รงทําลายกเิ ลสท้ังหมดซึง่ รวบรัดมดั อตั ภาพต้ังอยู เหมอื นทหารผูย ่ิงใหญท าํ ลายเกราะ ดว ยกาํ ลงั สมถะและวิปสสนา เร่มิ ตัง้ แตสวนเบอ้ื งตน อยางนีค้ ือ ทรงยินดีในภายในดวยอํานาจวิปส สนา ทรงเปนผูม ่ันคงดวยอํานาจสมถะ (และไดท รงทําลายกิเลส) ที่ไดชือ่ วา สรางตวั ตน เพราะสรา งใหเกดิ ภายในตน และเพราะไมมกี ิเลส จึงชือ่ วา ทรงละกรรม ดวยการละกิเลสอยา งนีค้ อื กรรม ช่ือวา เปนอันถกู ปลงลงแลว เพราะไมทรงทาํ ใหส บื เนื่อง สาํ หรับผูท ี่ละกิเลสไดแ ลวข้นึ ชอ่ื วา ความกลวั ไมม ี ฉะนนั้ จึงทรงเปน ผไู มก ลัวเลย ทรงปลงอายุสงั ขารแลว และพงึ ทราบวา ทรงเปลงพระอทุ านเพ่อื ทรงใหร คู วามเปน ผไู มกลัวดว ย ดังนี.้ จบอรรถกถาเจตยิ สตู รท่ี ๑๐ จบอรรถกถาปาวาลวรรคที่ ๑ รวมพระสูตรท่มี ีในวรรคน้ี คือ ๑. อปารสูตร ๒. วิรทั ธสูตร ๓. อรยิ สตู ร ๔. นิพพตุ สูตร๕. ปเทสสูตร ๖. สมั มัตตสตู ร ๗. ภกิ ษสุ ูตร ๘. พุทธสตู ร ๙. ญาณสูตร๑๐. เจตยิ สูตร และอรรถกถา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 138 ปาสาทกมั ปนวรรคท่ี ๒ ๑. ปุพพสูตร วธิ เี จริญอิทธบาท ๔ [๑๑๓๖] ในกรงุ สาวตั ถ.ี พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย เมื่อกอ นแตตรัสรู ครงั้ เราเปน พระโพธสิ ัตว ยังมไิ ดตรสั รู ไดมีความคิดอยา งนี้วา อะไรหนอเปนเหตเุ ปนปจจยั ของการเจรญิ อทิ ธบิ าท. [๑๑๓๗] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย เราไดมีความคิดอยางนวี้ า ภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ ยอมเจรญิ อทิ ธบิ าท อันประกอบดวยฉันทสมาธแิ ละปธานสังขารดงั น้วี า ฉนั ทะของเราจกั ไมย อ หยอ นเกินไป ไมต องประคองเกินไป ไมหดหูในภายใน ไมฟ งุ ซานไปในภายนอก และเธอมคี วามสาํ คญั ในเบ้ืองหลงั และเบื้องหนา อยูวา เบื้องหนา ฉันใด เบื้องหลังก็ฉนั นั้น เบ้อื งหลังฉนั ใดเบ้อื งหนา ก็ฉันนนั้ เบอ้ื งลา งฉนั ใด เบอ้ื งบนกฉ็ ันน้นั เบ้อื งบนฉนั ใดเบอ้ื งลางก็ฉันนน้ั กลางวนั ฉันใด กลางคืนก็ฉันนนั้ กลางคนื ฉนั ใดกลางวันก็ฉันนัน้ เธอมีใจเปดเผย ไมมอี ะไรหุม หอ อบรมจิตใหสวา งอยู. [๑๑๓๘] ภกิ ษุยอมเจริญอิทธิบาทอันประกอบดวยวิริยสมาธแิ ละปธานสงั ขาร ดังน้วี า วิรยิ ะของเราจักไมยอ หยอ นเกินไป ไมตอ งประคองเกนิ ไป....ไมม ีอะไรหุม หอ อบรมจิตใหส วา งอย.ู [๑๑๓๙] ภิกษุยอมเจริญอิทธิบาทอันประกอบดว ยจติ ตสมาธแิ ละปธานสังขาร ดังนีว้ า จติ ของเราจกั ไมย อ หยอนเกินไป ไมตอ งประคองเกินไป...ไมมอี ะไรหมุ หอ อบรมจติ ใหส วางอยู.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 139 [๑๑๔๐] ภิกษยุ อมเจรญิ อิทธบิ าทอนั ประกอบดวยวิมงั สาสมาธแิ ละปธานสงั ขาร ดงั น้วี า วิมงั สาของเราจักไมยอ หยอนเกนิ ไป ไมต อ งประคองเกนิ ไป ไมห ดหใู นภายใน ไมฟุงซานไปภายนอก และเธอมีความสําคญั ในเบอื้ งหลงั และเบ้อื งหนาอยวู า เบ้อื งหนาฉนั ใด เบื้องหลงั กฉ็ ันน้ัน เบ้ืองหลังฉนั ใด เบ้ืองหนา กฉ็ นั นั้น เบอื้ งลา งฉันใด เบอื้ งบนกฉ็ ันนน้ั เบอื้ งบนฉนั ใด เบือ้ งลางกฉ็ ันน้ัน กลางวนั ฉันใด กลางคืนก็ฉันน้นั กลางคืนฉันใดกลางวันกฉ็ ันน้นั เธอมีใจเปด เผย ไมมีอะไรหุม หอ อบรมจติ ใหส วา งอยู. [๑๑๔๑] ภิกษเุ ม่อื เจริญ กระทาํ ใหม ากซ่งึ อทิ ธิบาท ๔ อยางน้ียอมแสดงฤทธไ์ิ ดหลายอยา ง คอื คนเดียวเปนหลายคนก็ได หลายคนเปนคนเดียวกไ็ ด ทาํ ใหปรากฎกไ็ ด ทําใหหายไปก็ได ทะลฝุ า กําแพง ภูเขาไปไดไ มต ิดขดั เหมือนไปในที่วา งก็ได ผุดข้นึ ดาํ ลงในแผนดินเหมอื นในน้าํก็ได เดนิ บนนา้ํ ไมแ ตกเหมอื นเดินบนแผน ดินก็ได เหาะไปในอากาศเหมอื นนกก็ได ลูบคลําพระจันทร พระอาทิตยซง่ึ มฤี ทธ์ิมอี านุภาพมากอยางนดี้ ว ยฝา มือกไ็ ด ใชอํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได. [๑๑๔๒] ภกิ ษเุ ม่อื เจรญิ กระทําใหมากซง่ึ อิทธิบาท ๔ อยางนี้ยอมไดยนิ เสยี ง ๒ ชนดิ คอื เสยี งทพิ ยและเสยี งมนษุ ย ท้ังอยไู กลและใกลดวยทพิ โสตธาตอุ ันบริสุทธลิ์ ว งโสตของมนษุ ย. [๑๑๔๓] ภิกษเุ ม่อื เจรญิ กระทําใหมากซงึ่ อทิ ธบิ าท ๔ อยา งนยี้ อมกําหนดรใู จของสัตวอ ืน่ ของบคุ คลอ่นื ดว ยใจ คือ จติ มีราคะก็รวู า จติ มีราคะหรือจิตปราศจากราคะกร็ ูวา จิตปราศจากราคะ จติ มีโทสะกร็ ูวา จติ มโี ทสะหรือจติ ปราศจากโทสะก็รวู า จติ ปราศจากโทสะ จิตมโี มหะก็รวู า จิตมโี มหะหรือจิตปราศจากโมหะก็รูวา จิตปราศจากโมหะ จติ หดหูก ็รูว า จิตหดหู

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 140หรือจิตฟงุ ซานก็รูวา จิตฟงุ ซา น จติ เปน มหรคตก็รูว า จิตเปน มหรคตหรือจิตไมเ ปนมหรคตกร็ วู า จิตไมเ ปน มหรคต จิตมจี ติ อื่นยิ่งกวา ก็รูวาจิตมจี ิตอืน่ ยง่ิ กวา หรือจติ ไมมจี ิตอืน่ ยิ่งกวาก็รูวา จิตไมม จี ิตอน่ื ย่ิงกวา จติตงั้ ม่นั กร็ ูวา จิตตงั้ ม่นั หรือจติ ไมตงั้ มนั่ ก็รูวา จิตไมตงั้ มน่ั จิตหลดุ พนก็รวู าจติ หลุดพน หรือจติ ไมห ลดุ พนกร็ วู า จิตไมห ลดุ พน . [๑๑๔๔] ภิกษุเมอื่ เจริญ กระทาํ ใหมากซึ่งอิทธบิ าท ๔ อยางน้ียอ มระลกึ ชาตกิ อนไดเ ปน อันมาก คอื ระลึกไดชาติหน่งึ บาง สองชาตบิ า งสามชาติบาง ส่ชี าตบิ าง หา ชาตบิ า ง สิบชาติบา ง ยสี่ ิบชาตบิ าง สามสบิชาตบิ าง สี่สบิ ชาติบา ง หาสบิ ชาตบิ าง รอ ยชาติบา ง พันชาตบิ า ง แสนชาตบิ างตลอดสังวฏั ฏะกปั เปนอันมากบาง ตลอดวิวัฏฏกัปเปน อันมากบาง ตลอดสงั วัฏฏะ-ววิ ฏั ฏะกัปเปน อนั มากบางวา ในภพโนน เรามีชอ่ื อยางนนั้ มโี คตรอยา งนนั้มผี ิวพรรณอยา งนัน้ มอี าหารอยา งนั้น เสวยสุขเสวยทกุ ขอยางนั้น ๆ มกี ําหนดอายเุ พียงเทาน้ัน ครั้นจุติจากภพนนั้ แลว ไดไปเกดิ ในภพโนน แมใ นภพน้ันเราก็ไดม ชี อื่ อยา งน้ัน มโี คตรอยา งน้ัน มผี ิวพรรณอยา งน้นั มีอาหารอยา งน้นัเสวยสขุ เสวยทุกขอยางนน้ั ๆ มีกําหนดอายุเพยี งเทานัน้ ครัน้ จตุ จิ ากภพน้นั แลวไดม าเกิดในภพน้ี เธอยอ มระลกึ ถึงชาติกอ นไดเ ปน อันมาก พรอ มทัง้ อาการพรอ มทัง้ อเุ ทศ ดว ยประการฉะนี้. [๑๑๔๕] ภกิ ษเุ ม่ือเจรญิ กระทาํ ใหมากซึ่งอิทธบิ าท ๔ อยา งนี้ยอมเห็นหมูสตั วท ่กี าํ ลงั จุติ กาํ ลงั อุบัติ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี ผิวพรรณทรามไดดี ตกยาก ดวยทิพยจ กั ษอุ ันบริสทุ ธิ์ลว งจกั ษุของมนษุ ย ยอมรูชดั ซ่งึ หมสู ัตวผูเปน ไปตามกรรมวา สัตวเหลา นีป้ ระกอบดวยกายทจุ รติ วจที ุจรติ มโนทุจริตติเตียนพระอริยเจา เปนมิจฉาทฏิ ฐิ ยดึ มั่นการกระทาํ ดว ยอาํ นาจมจิ ฉาทฏิ ฐิเม่อื ตายไป ยอ มเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก สวนสตั วเหลานี้ประกอบดว ย

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 141กายสุจรติ วจสี จุ รติ มโนสุจรติ ไมตเิ ตียนพระอรยิ เจา เปน สมั มาทฏิ ฐิยดึ มน่ั การกระทาํ ดวยอาํ นาจสมั มาทิฏฐิ เมอื่ ตายไป ยอมเชา ถึงสุคติโลกสวรรคเธอยอมเหน็ หมสู ตั วที่กําลังจตุ ิ กาํ ลังอุบตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดีมีผิวพรรณทราม ไดดีตกยาก ดว ยทพิ ยจักษอุ นั บริสทุ ธิ์ ลวงจักษขุ องมนษุ ยยอมรชู ดั ซ่งึ หมสู ัตวผเู ปนไปตามกรรม ดวยประการฉะน้.ี [๑๑๔๖] ภกิ ษุเมือ่ เจรญิ กระทําใหม ากซง่ึ อิทธบิ าท ๔ อยางนี้ ยอมกระทําใหแจง ซึง่ เจโตวิมุตติ ปญ ญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ดเ พราะอาสวะท้ังหลายส้นิ ไป ดว ยปญ ญาอนั ยิ่งเอง ในปจ จุบนั เขา ถงึ อย.ู จบปพุ พสูตรที่ ๑ ปาสาทกัมปนวรรควรรณนาที่ ๒ อรรถกถาปุพพสูตร ปาสาทกมั ปนวรรคท่ี ๒ ปพุ พสูตรที่ ๑. คําเปน ตนวา อติลโี น(แปลวา ไมย อหยอนเกนิ ไป) จะแจม แจง ขา งหนา. ในสตู รน้ี ทรงแสดงอิทธบิ าทซ่งึ มอี ภญิ ญา ๖ เปน บาท. จบอรรถกถาปพุ พสูตรท่ี ๑

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 142 ๒. มหัปผลสตู ร อานิสงสของการเจริญอทิ ธบิ าท [๑๑๔๗] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย อิทธบิ าท ๔ เหลานี้ อันภกิ ษุเจรญิกระทาํ ใหม ากแลว ยอ มมีผลมาก มีอานสิ งสม าก กอ็ ิทธบิ าท อนั ภิกษุเจรญิแลว กระทาํ ใหม ากแลวอยา งไร จึงมผี ลมาก มอี านสิ งสมาก ภิกษใุ นธรรมวินยั นี้ ยอมเจริญอิทธิบาทอันประกอบดว ยฉันทสมาธแิ ละปธานสงั ขาร ดงันีว้ า ฉันทะของเราจักไมยอหยอ นเกินไป ไมตอ งประคองเกนิ ไป ไมหดหใู นภายใน ไมฟงุ ซานไปในภายนอก และเธอมีความสําคญั ในเบือ้ งหลังเบือ้ งหนาอยวู า เบื้องหนา ฉนั ใด เบ้ืองหลังก็ฉันนนั้ เบ้อื งหลงั ฉันใด เบ้ืองหนา ก็ฉันนั้น เบอ้ื งลา งฉันใด เบอ้ื งบนก็ฉนั นน้ั เบือ้ งบนฉันใด เบื้องลางก็ฉนั น้นักลางวนั ฉนั ใด กลางคนื กฉ็ ันน้นั กลางคนื ฉันใด กลางวันก็ฉันนน้ั เธอมีจิตเปด เผย ไมม ีอะไรหุม หอ อบรมจติ ใหส วางอยู ยอมเจริญอิทธบิ าทอันประกอบดว ยวริ ิยสมาธ.ิ . . จิตตสมาธ.ิ . . วมิ งั สาสมาธแิ ละปธานสงั ขาร ดังนี้วา วิมงั สาของเราจกั ไมย อหยอนเกนิ ไป ไมต องประคองเกนิ ไป ไมหดหใู นภายใน ไมฟุง ซานไปในภายนอก และเธอมคี วามสาํ คญั ในเบอื้ งหลงั และเบ้ืองหนา อยูว า เบือ้ งหนาฉนั ใด เบือ้ งหลังก็ฉันน้ัน เบอ้ื งหลังฉันใด เบอื้ งหนาก็ฉนั น้นั เบอ้ื งลา งฉนั ใด เบื้องบนกฉ็ นั นั้น เบอ้ื งบนฉนั ใด เบ้ืองลา งก็ฉนัน้ัน กลางวันฉันใด กลางคนื กฉ็ ันนั้น กลางคืนฉนั ใด กลางวนั กฉ็ นั นนั้เธอมีใจเปดเผย ไมม ีอะไรหมุ หอ อบรมจิตใหสวา งอยู ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลายอทิ ธิบาท ๔ อนั ภิกษเุ จรญิ แลวอยางน้ี กระทาํ ใหมากแลวอยา งน้ี ยอ มมผี ลมาก มีอานิสงสม าก.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาที่ 143 [๑๑๔๘] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ภิกษเุ ม่ือเจริญ กระทาํ ใหม ากซึ่งอทิ ธบิ าท ๔ อยา งน้ี ยอ มแสดงฤทธไ์ิ ดหลายอยาง คือ คนเดยี วเปน หลายคนกไ็ ด ฯลฯ ใชอาํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกกไ็ ด. [๑๑๔๙] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษเุ มือ่ เจรญิ กระทําใหม ากซ่งึอทิ ธิบาท ๔ อยางนี้ ยอ มกระทําใหแ จง ซ่งึ เจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ินไป ดว ยปญญาอันยิ่งเอง ในปจจุบนัเขาถงึ อยู . จบมหัปผลสตู รท่ี ๒ มหปั ผลสตู รที่ ๒ กเ็ หมอื นอยางนัน้ . (คอื เหมอื นสูตรท่ี ๑). ๓. ฉันทสตู ร วา ดวยอิทธบิ าท กบั ปธานสงั ขาร [๑๑๕๐] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย ถา ภิกษอุ าศัยฉันทะแลว ไดสมาธิไดเ อกัคคตาจิต นเ้ี รียกวา ฉนั ทสมาธ.ิ เธอยังฉนั ทะใหเั กิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว ตง้ั จติ ไว เพ่อื ไมใ หบาปอกุศลธรรมทย่ี งั ไมเ กดิเกิดขึน้ เพื่อละบาปอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดข้นึ แลว เพ่ือใหก ศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ กิด เกดิขน้ึ เพ่ือความต้งั อยู เพ่ือความไมเ ลือนหาย เพอ่ื เจรญิ ย่ิง ๆ ขนึ้ ไป เพ่อื

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 144ความไพบลู ย เพอื่ ความเจรญิ บริบูรณแ หง กศุ ลธรรมที่เกดิ ขน้ึ แลว เหลานี้เรียกวา ปธานสังขาร. ฉนั ทะนด้ี ว ย ฉันทสมาธินีด้ ว ย และปธานสงั ขารเหลา น้ีดวย ดงั พรรณนามาน้ี น้เี รยี กวา อิทธิบาทประกอบดวยฉันทสมาธแิ ละปธานสังขาร. [๑๑๕๑] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ถา ภิกษุอาศัยวิรยิ ะแลว ไดสมาธิไดเอกคั คตาจติ น้ีเรยี กวา วิริยสมาธิ เธอยังฉันทะใหเกิด ฯลฯ เพ่อื ความเจรญิ บริบรู ณแหง กุศลธรรมที่เกิดขน้ึ แลว เหลา น้ีเรยี กวา ปธานสงั ขาร วริ ยิ ะนดี้ วย วิริยสมาธิน้ีดวย และปธานสังขารเหลา นด้ี ว ย ดงั พรรณนามานี้ น้ีเรยี กวาอิทธิบาทประกอบดว ยวริ ิยสมาธิและปธานสงั ขาร. [๑๑๕๒] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ถาภิกษอุ าศัยจิตแลว ไดสมาธิ ไดเอกัคคตาจิต นีเ้ รียกวา จิตตสมาธิ เธอยงั ฉันทะใหเกดิ ฯลฯ เพ่ือความเจรญิบรบิ รู ณแหงกศุ ธรรมที่เกดิ ขึน้ แลว เหลานเี้ รยี กวา ปธานสงั ขาร จติ นดี้ วยจิตตสมาธินีด้ วย และปธานสงั ขารเหลาน้ีดวย ดงั พรรณนามานี้ นี้เรียกวาอทิ ธบิ าทประกอบดวยจิต สมาธิ และปธานสังขาร. [๑๑๕๓] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ถา ภกิ ษอุ าศัยวมิ ังสาแลว ไดส มาธิไดเ อกัคคตาจติ นีเ้ รียกวา วมิ ังสาสมาธิ เธอยังฉนั ทะใหเกดิ พยายามปรารภความเพียร ประคองจติ ไว ตง้ั จติ ไว เพื่อไมใ หบาปอกศุ ลธรรมท่ยี งัไมเกิด เกดิ ขนึ้ เพ่อื ละบาปอกศุ ลธรรมท่เี กิดข้ึนแลว เพอื่ ใหกศุ ลกรรมท่ยี ังไมเกิด เกดิ ข้ึน เพือ่ ความตง้ั อยู เพ่ือความไมเ ลือนหาย เพือ่ ความเจรญิ ยง่ิ ๆขนึ้ ไป เพื่อความไพบลู ย เพือ่ ความเจรญิ บริบูรณแ หงกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลว

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 145เหลานเ้ี รียก ปธานสงั ขาร วิมงั สาน้ีดวย วมิ งั สาสมาธินด้ี วย และปธานสงั ขารเหลา น้ดี วย ดงั พรรณนามานี้ นี้เรยี กวา อทิ ธบิ าทประกอบดว ยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร. จบฉันทสูตรที่ ๓ อรรถกถาฉันทสูตร ฉนั ทสูตรท่ี ๓. ความพอใจคอื ความเปน ผูใครจ ะทํา ช่อื วา ฉนั ทะคําวา อาศัยแลว ไดแกท ําใหเปนท่พี ึงพาอาศัย หมายความวา ทําใหยงิ่ ใหญเครือ่ งปรงุ ทเี่ ปน ความเพียร ชือ่ วา ปธานสงั ขาร คาํ น้ี เปนชอื่ ของความเพยี รท่เี รียกชื่อวา ความเพียรชอบทีท่ าํ หนา ทีส่ ่อี ยา งใหสาํ เร็จ. ความพอใจในคาํ เปน ตน วา อิติ อย จ ฉนฺโท เปนฉนั ทสมาธิประกอบดว ยฉนั ทะและปธานสงั ขาร แมปธานสงั ขารก็ประกอบดวยฉนั ทะและสมาธิ เพราะฉะนั้น พระองคจึงทรงรวมธรรมท้ังหมดนั้นเขา ดวยกัน แลว ตรสั วา ภิกษทุ ัง้ หลาย นเ้ี รยี กวาอทิ ธิบาททีป่ ระกอบดว ยฉนั ทสมาธแิ ละปธานสังขาร. สว นในอิทธบิ าทวภิ ังคตรสั ถงึ ธรรมทีห่ ารปู มไิ ดท เ่ี หลอื ซงึ่ ประกอบดวยธรรมเหลา นี้ดวยนัยเปนตน วาเวทนาขนั ธข องผเู ชนนั้นใด วาเปน อทิ ธิบาท. อีกอยา งหนึ่ง ธรรมท้งั สามอยา ง เปน ทัง้ ฤทธ์ิ เปนทงั้ ทางใหถงึ ฤทธ.ิ์อยา งไร. จริงอยู เมอื่ เจริญฉันทะ ฉนั ทะกย็ อมชือ่ วา เปนฤทธ.ิ์ สมาธแิ ละปธานสังขาร ก็ยอ มชอ่ื วาเปนทางใหถงึ ฤทธ์.ิ เมอื่ เจริญสมาธิ สมาธิก็ยอ ม

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 146ชือ่ วาเปน ฤทธิ์ ฉนั ทะและปธานสงั ขาร กย็ อมกลายเปน ทางใหถ ึงฤทธ์ิแหงสมาธิ เมอื่ เจรญิ ปธานสังขาร ปธานสงั ขารกก็ ลายเปน ฤทธ์.ิ ฉันทะและสมาธิ กจ็ ะกลายเปนทางใหถ ึงฤทธแิ์ หง ปธานสังขาร เพราะเมื่อธรรมท่ีประกอบพรอมกันสําเรจ็ ในธรรมอยางหน่งึ แมธ รรมทเ่ี หลอื ก็ยอมสําเร็จเหมอื นกัน. อกี อยางหนึง่ พึงทราบความท่ธี รรมเหลานเี้ ปน อทิ ธิบาท แมดว ยอาํ นาจความเปน สว นเบื้องตน ของธรรมน้ัน ๆ. จริงอยู ฌานที่ ๑ ชอ่ื วาเปนฤทธ์ิ ฉันทะเปนตน ทป่ี ระกอบพรอ มกับการตระเตรยี มอันเปนสวนเบอ้ื งตนของฌานที่ ๑ ก็ชื่อวา เปน ทางใหถึงฤทธิ์. ตามนัยนไ้ี ปจนถึงเนวสัญญานาสญั ญาย-ตนะ เรมิ่ แตการแสดงฤทธไิ์ ปจนถึงอภิญญาคอื ตาทิพย แลว นาํ เอานัยนไ้ี ปใชไ ดต ้ังแตโ สดาปตตมิ รรคกระทั่งถงึ อรหัตมรรค. แมใ นอิทธบิ าททเ่ี หลอื ก็ทํานองน.้ี แตสําหรบั บางทานกลาววา ฉนั ทะท่ยี ังไมส าํ เร็จ* เปน อิทธิบาท. ในกรณีนี้ เพื่อเปนการย่ํายีวาทะของทา นเหลา นนั้ เรามีถอ ยคําช่อื วา อุตตรจูฬวารท่มี าในอภิธรรมวา อทิ ธิบาทมี ๔ อยาง คอื ฉันททิ ธบิ าท วริ ยิ ทิ ธบิ าท จติ ตทิ ธบิ าทวมี งั สทิ ธบิ าท. ในอทิ ธบิ าท ๔ นน้ั ฉันททิ ธบิ าท เปน ไฉน. ภิกษุในธรรมวินัยน้ี สมยั ใด เจริญโลกุตรฌาน ท่นี ําออกจากทกุ ข ทใ่ี หถ งึ ความสิน้ ไปแหงทกุ ข สงัดจากกามท้ังหลายไดแ ลว เพือ่ บรรลชุ ้นั ที่ ๑ สําหรับละความเหน็ ผิดฯลฯ แลวเขาถึงฌานท่ี ๑ ซึง่ ปฏิบัติยาก รไู ดช าแลว อยู ในสมัยนน้ั ความพอใจความเปน ผพู อใจ ความอยากทํา ความฉลาดเฉลยี ว ความใครธ รรม* พมา-ยังไมเกดิ

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาที่ 147อันน้ี เราเรยี กวา อทิ ธิบาทคอื ความพอใจ. ธรรมทเี่ หลือ ประกอบเขากับอิทธิบาทคอื ความพอใจ แตอ ทิ ธิบาทเหลานี้ มาแลว ดวยอาํ นาจโลกตุ ระเทา นนั้ . ในอิทธิบาท ๔ น้ัน พระรัฐปาลเถระ ทําความพอใจใหเ ปนธุระแลว จึงยังโลกตุ รธรรมใหเ กิดได. พระโสณเถระทาํ ความเพยี รใหเ ปนธรุ ะพระสัมภตู เถระ ทําความเอาใจใสใหเปนธรุ ะ พระโมฆราชผมู อี ายุ ทาํ ความพิจารณาใครค รวญหาเหตุผลใหเ ปน ธุระ ดว ยประการฉะน.ี้ ในอทิ ธิบาท ๔นน้ั เหมือนเมอ่ื ลูกอาํ มาตย ๔ คน ปรารถนาตําแหนง เขา ไปอาศัยพระราชาอยู คนหนึง่ เกดิ ความพอใจในการรับใช รพู ระราชอธั ยาศัย และความพอพระราชหฤทัยของพระราชา จงึ รับใชท้งั กลางวนั และกลางคนื ทําใหพระราชาโปรดปรานแลว ก็ไดรบั ตําแหนง ฉันใด พึงทราบผใู หโลกตุ รธรรมเกดิ ไดดว ยฉนั ทธุระ ฉนั นน้ั . แตอ กี คนหนึง่ ไมอาจรับใชท กุ ๆ วนั ได จึงคดิ วาเมื่อเกดิ ความจาํ เปนขน้ึ เราจะรับใชจ นสุดสามารถ เมอ่ื ชายแดนกาํ เรบิ ถูกพระราชาสง ไปแลวก็ปราบขาศึกจนสดุ สามารถ ไดรับตาํ แหนง. คนนนั้ ฉันใด พึงทราบผทู ี่ใหโลกตุ รธรรมเกิดได ดวยวริ ิยธุระ ฉนั นัน้ . อีกคนคดิ วา การรับใชท ุกๆ วันก็ดี การเอาทรวงอกรับหอกและลูกศรก็ดี เปนภาระโดยแท เราจะรับใชด วยกาํ ลังมนต แลวกต็ ั้งหนาตั้งตาฝกหดั ความรูเ ก่ียวกับเพลงอาวุธ ทาํ ใหพระราชาโปรดปรานดว ยการจัดแจงมนต (ความร)ู จนไดรบั ตาํ แหนง. บุคคลนัน้ ฉันใด พึงทราบผทู ใี่ หโลกุตรธรรมเกดิ ไดด ว ยจิตตธุระ (การเอาใจใส) ฉันนั้น. อกี คนหนึง่ คิดวา การรบั ใชเ ปน ตน จะมีประโยชนอ ะไร ธรรมดาพวกพระราชา ยอ มประทานตําแหนง แกผ ูสมบูรณด ว ยชาติ (ลูกผดู )ี เมือ่

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 148ประทานแกผเู ชนนน้ั กจ็ ะประทานแกเรา อาศัยความถึงพรอ มดวยชาติเทานัน้ กไ็ ดร บั ฐานันดร. เขาฉนั ใด พึงทราบผูท ี่อาศยั ความพนิ ิจพิจารณาไตรตรองหาเหตุผลลวน ๆ แลว ทาํ ใหเ กิดโลกตุ รธรรมดวยวีมงั สาธุระ ฉันนัน้ .ในสูตรน้ี ทรงแสดงอทิ ธิทมี่ วี ิวฏั ฏะเปนบาท ดงั ที่วา มาน้ี. จบอรถกถาฉนั ทสตู รท่ี ๓ ๔. โมคคลั ลานสตู ร พระโมคคัลลานะแสดงฤทธ์ิ [๑๑๕๔] ขา พเจา ไดส ดับมาแลวอยา งน้:ี - สมยั หนง่ึ พระผูมีพระภาคเจาประทบั อยู ณ ปราสาทของมิคารมารดาในบุพพาราม ใกลก รงุ สาวัตถี สมยั นั้น ภกิ ษุมากรูปทีอ่ ยูภายใตป ราสาทของมคิ ารมารดา เปนผฟู ุงซาน อวดตวั มจี ิตกวัดแกวง ปากกลา พดู จาออื้ ฉาวลมื สติ ไมม ีสมั ปชัญญะ มจี ิตไมต ้ังมนั่ คดิ จะสึก ไมสํารวมอนิ ทรยี . [๑๑๕๕] คร้งั น้ัน พระผูม พี ระภาคเจาตรสั เรยี กทา นพระมหาโมค-คลั ลานะมาตรสั วา ดูกอ นโมคคัลลานะ สพรหมจารีเหลานี้ ทีอ่ าศัยอยูภายใตปราสาทของมิคารมารดา เปน ผฟู ุงซา น อวดตวั มีจติ กวดั แกวง ปากกลาพดู จาอือ้ ฉาว ลืมสติ ไมม ีสมั ปชญั ญะ มีจิตไมต งั้ ม่ัน คดิ จะสึก ไมสาํ รวมอินทรยี  ไปเถดิ โมคคัลลานะ เธอจงยงั ภิกษุเหลา น้นั ใหส งั เวช. ทานพระ-มหาโมคคลั ลานะทูลรบั พระดาํ รสั ของพระผูม ีพระภาคเจา แลว แสดงอทิ ธาภิสงั ขาร ใหป ราสาทของมคิ ารมารดาสะเทือนสะทานหวนั่ ไหวดวยนว้ิ หัวแมเทา.

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาที่ 149 [๑๑๕๖] ครั้งนน้ั ภิกษเุ หลา น้ันเกดิ ความสลดใจ ขนพองสยองเกลาไดไ ปยืนอยู ณ สวนขา งหนงึ่ แลว พูดกนั วา นา อศั จรรยหนอทาน ไมเคยมีมาแลว ลมกไ็ มมี ท้ังปราสาทของมิคารมารดานี้ กม็ รี ากลึก ฝง ไวด ีแลวจะโยกคลอนไมได กแ็ หละเม่อื เปนเชนน้ี อะไรสกั อยางหนง่ึ ที่ทาํ ใหปราสาทนี้สะเทอื นสะทานหวัน่ ไหว. [๑๑๕๗] ลําดบั น้ัน พระผมู พี ระภาคเจา เสด็จเขาไปยงั ทซ่ี ่งึ ภกิ ษุเหลา นน้ั ยืนอยูแลว ตรัสวา ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกเธอเกิดความสลดใจขนพองสยองเกลา ไปยืนอยู ณ สว นขา งหนึง่ เพราะเหตุอะไร ภิกษุเหลา นั้นกราบทูลวา ขาแตพระองคผูเ จรญิ นา อศั จรรย ไมเ คยมมี าแลว ลมก็ไมม ีทง้ั ปราสาทของมิคารมารดาน้ี กม็ ีรากลกึ ฝงไวด ีแลว จะโยกคลอนไมไดก็แหละเมื่อเปนเชน นน้ั อะไรสักอยา งหน่งึ ท่ที าํ ใหปราสาทน้ีสะเทอื นสะทานหวน่ั ไหว. [๑๑๕๘] พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุโมคคัลลานะประสงคจ ะใหเธอทัง้ หลายสังเวช จึงทําปราสาทของมคิ ารมารดาใหส ะเทือนสะทานหว่ันไหวดวยน้ิวหวั แมเทา ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เธอทง้ั หลายจะสาํ คัญความขอนั้นเปนไฉน ภิกษุโมคคลั ลานะมีฤทธมิ์ ากอยางนี้ มอี านภุ าพมากอยางน้ี เพราะไดเจรญิ ธรรมเหลา ไหน เพราะไดก ระทําใหม ากซง่ึ ธรรมเหลาไหน. ภิ. ขาแตพ ระองคผ เู จริญ ธรรมของขา พระองคท ง้ั หลาย มพี ระผูม ีพระภาคเจาเปน รากฐาน มีพระผมู พี ระภาคเจาเปนผนู าํ มพี ระผมู ีพระภาคเจาเปน ท่ีพง่ึ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนอื้ ความแหงภาษติ นจ้ี งแจม แจง กะพระผมู พี ระภาคเจา เถดิ ภิกษุทัง้ หลายไดฟ ง แลว จกั ทรงจําไว.

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 150 [๑๑๕๙] พ. ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ถาอยา งน้ัน เธอท้ังหลายจงฟง เถิด ภิกษโุ มคคลั ลานะมฤี ทธมิ์ ากอยางนี้ มีอานุภาพมากอยางนี้ เพราะไดเ จรญิ ไดก ารทําใหม ากซงึ่ อทิ ธิบาท ๔ อทิ ธบิ าท ๔ เปน ไฉน ภกิ ษุโมคคัลลานะยอ มเจริญอิทธิบาทประกอบดว ยฉนั ทสมาธิและปธานสังขาร. . .วริ ยิ สมาธิ.. . จติ ตสมาธิ. . . วิมงั สาสมาธิและปธานสังขาร ดงั นี้วา วิมงั สาของเราจกั ไมย อ หยอนเกนิ ไป ไมต อ งประคองเกินไป ไมหดหูในภายในไมฟงุ ซานไปในภายนอก และเธอมคี วามสาํ คัญในเบื้องหลงั และเบื้องหนาอยวู าเบอ้ื งหนา ฉันใด เบือ้ งหลังกฉ็ นั นน้ั เบ้อื งหลังฉนั ใด เบื้องหนากฉ็ นั น้นัเบ้อื งลางฉันใด เบอื้ งบนก็ฉนั น้ัน เบ้ืองบนฉันใด เบอื้ งลา งก็ฉนั น้ัน กลางวนัฉันใด กลางคนื กฉ็ ันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวนั ก็ฉันนน้ั เธอมีจิตเปด เผยไมม อี ะไรหุม หอ อบรมจิตใหสวา งอยู ภกิ ษโุ มคคัลลานะมฤี ทธ์ิมากอยา งนี้มอี านภุ าพมากอยางน้ี เพราะไดเจรญิ ไดกระทาํ ใหมากซง่ึ อิทธิบาท ๔ เหลาน้ีแล. [๑๑๖๐] ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย เพราะไดเจริญ ไดกระทําใหมากซงึ่อทิ ธบิ าท ๔ เหลานี้ ภิกษโุ มคคลั ลานะยอ มแสดงฤทธิ์ไดห ลายอยาง ฯลฯ ใชอาํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกกไ็ ด. [๑๑๖๑] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เพราะไดเจริญ ไดก ระทําใหมากซงึ่อิทธบิ าท ๔ เหลา นี้ ภิกษโุ มคคัลลานะยอ มกระทาํ ใหแจง ซ่งึ เจโตวิมตุ ติ ปญญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ินไป ดวยปญญาอนั ยงิ่ เองในปจจบุ ันเขา ถงึ อยู. จบโมคคัลลานสูตรที่ ๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook