Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_31

tripitaka_31

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_31

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 151 อรรถกถาโมคคลั ลานสตู ร โมคคัลลานสตู รที่ ๔. ผูฟ ุงเปน ปกติ คอื ผูม ีจิตหว่นั ไหว ชอ่ื วา เปนผฟู ุงซาน. จริงอยู จติ ยอ มหว่นั ไหวในอารมณอยา งหน่ึงดว ยอุทธัจจะเหมอื นชายธงถกู ลมพดั ฉะนัน้ . คําวา อวดตวั คอื ลําพอง. มคี าํ อธิบายวา มักถือตวั อันหาสารมไิ ด. คําวา มีจิตกวัดแกวง คอื ประกอบดวยความกวดั แกวงในบาตรจวี รและเครื่องประดับเปนตน . คาํ วา ปากกลา คือปากจดั มคี าํ อธิบายวามคี าํ พดู กลา แขง็ . คาํ วา พูดจาออ้ื ฉาว คือไมยง้ั ปากคอ ไดแกพ ูดตลอดวันบา ง พดู คําที่ไรประโยชนบ าง. คาํ วา ลมื สติ คือลมื ความระลึกได. คําวาไมมสี มั ปชญั ญะ คอื เวน จากปญ ญา. คําวา มีจติ ไมต ัง้ มน่ั คือเวนจากอปุ จารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. คําวา วิพภฺ นฺตจติ ฺตา คือมีจิตหมนุ ผดิ ดวยความฟุง ซา นทไี่ ดโอกาสเพราะเวนจากสมาธ.ิ คําวา ปากตนิ ฺทรฺ ยิ า คือ ไมสํารวมอินทรยี . คําวา แสดงฤทธิ์ คอื เขาอาโปกสิณออกแลว อธิษฐานสว นแหงแผน ดนิ ทตี่ ง้ั ปราสาทวา จงเปนน้ํา เหาะขึ้นฟาซึง่ มปี ราสาทต้งั อยบู นหลังนํ้าแลว เอาน้วิ ฟาดลงไป. คาํ วา มีรากลึก คอื หลุมลกึ . หมายความวา ฝง เขา ไปสสู วนแผนดนิ ท่ีลึก. คําวา ฝง ไวด ีแลว คือทฝ่ี งมิดลงไปอยางดี คือตอกเข็มตง้ั ไวอยางด.ี ในสตู รน้ี ทรงแสดงฤทธท์ิ ่มี อี ภญิ ญาเปนบาท. จบอรรถกถาโมคคลั ลานสูตรท่ี ๔

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 152 ๕. พราหมณสตู ร วาดว ยปฏิปทาเพอื่ ละฉันทะ [๑๑๖๒] ขา พเจา ไดสดับมาแลว อยางนี้:- สมยั หน่งึ ทานพระอานนทอ ยู ณ โฆสิตาราม ใกลก รงุ โกสัมพีครัง้ นัน้ อุณณาภพราหมณเ ขาไปหาทานพระอานนทถ ึงที่อยู ไดป ราศรยั กับทา นพระอานนท ครนั้ ผานการปราศรัยพอใหร ะลกึ ถึงกันไปแลว จงึ น่ัง ณทคี่ วรสวนขางหน่ึง คร้ันแลวไดถ ามทา นพระอานนทว า [๑๑๖๓] ดูกอนทา นอานนท ทา นประพฤตพิ รหมจรรยใ นพระสมณโคดมเพื่อประโยชนอะไร ทานพระอานนทต อบวา ดูกอ นพราหมณ เราประพฤตพิ รหมจรรยในพระผมู พี ระภาคเจา เพื่อละฉนั ทะ. [๑๑๖๔] อุณ. ดูกอ นทานอานนท ก็มรรคา ปฏปิ ทา เพ่ือละฉันทะน้ัน มอี ยูหรือ. อา. มอี ยู พราหมณ. [๑๑๖๕] อณุ . ดูกอ นทานอานนท กบ็ รรดาเปนไฉน ปฏปิ ทาเปน ไฉน. อ. ดกู อ นพราหมณ ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ยอ มเจรญิ อิทธิบาท อนัประกอบดว ยฉนั ทสมาธแิ ละปธานสังขาร ยอมเจริญอิทธบิ าทประกอบดวยวิริยสมาธ.ิ .. จติ ตสมาธิ... วิมงั สาสมาธแิ ละปธานสังขาร นี้แลเปนมรรคาเปน ปฏิปทาเพือ่ ละฉันทะนนั้ .

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 153 [๑๑๖๖] อณุ . ดูกอนทานอานนท เมือ่ เปนเชน นน้ั ฉันทะนั้นยังมีอยู ไมใชไ มม ี บุคคลจักละฉันทะดวยฉนั ทะนั่นเอง ขอ นี้มิใชฐานะทีจ่ ะมไี ด. อา. ดูกอ นพราหมณ ถาเชน นั้น เราจะยอ นถามทา นในเรอื่ งนี้ ทา นเหน็ ควรอยา งไร พึงแกอยา งน้ันเถดิ . [๑๑๖๗] ดกู อ นพราหมณ ทา นจะสําคัญความขอ นนั้ เปนไฉน ในเบ้ืองตน ทานไดม ีความพอใจวา จกั ไปอาราม เมอ่ื ทานไปถงึ อารามแลว ความพอใจทเ่ี กดิ ขึ้นนั้นกร็ ะงับไปมิใชหรือ. อณุ . อยางนัน้ ทา นผูเจรญิ . อา. ในเบอ้ื งตน ทานไดม คี วามเพียรวา จกั ไปอาราม เม่ือทานไปถงึ อารามแลว ความเพยี รที่เกดิ ข้นึ นั้น ก็ระงับไปมใิ ชห รือ. อุณ. อยางน้นั ทา นผเู จรญิ . อา. ในเบือ้ งตน ทา นไดม ีความคิดวา จักไปอาราม เมอื่ ทา นไปถึงอารามแลว ความคิดท่ีเกดิ ข้นึ นั้น ก็ระงบั ไปมใิ ชหรือ. อุณ. อยางน้นั ทานผเู จริญ. อา. ในเบื้องตน ทานไดตรติ รองพิจารณาวา จกั ไปอาราม เมอื่ทา นไปถงึ อารามแลว ความตริตรองพิจารณาท่เี กิดข้ึนน้นั ก็ระงับไปมใิ ชหรอื . อณุ . อยางนน้ั ทานผเู จรญิ . [๑๑๖๘] อา. ดกู อนพราหมณ อยา งนน้ั เหมือนกนั ภกิ ษุใดเปนพระอรหนั ตขีณาสพ อยูจ บพรหมจรรย ทํากจิ ทค่ี วรทาํ เสรจ็ แลว ปลงภาระลงไดแลว มีประโยชนข องตนถงึ แลวโดยลาํ ดับ สนิ้ สังโยชนท ่จี ะนาํ ไปสภู พแลวหลดุ พนแลวเพราะรูโดยชอบ ภกิ ษนุ ้ัน ในเบ้อื งตน กม็ คี วามพอใจเพือ่ บรรลุ

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 154อรหตั เม่ือบรรลแุ ลว ความพอใจทเี่ กิดขึ้นน้นั กร็ ะงบั ไป ในเบือ้ งตน ก็มีความเพยี รเพ่อื บรรลุอรหตั เมือ่ บรรลแุ ลว ความเพียรทเี่ กิดขึน้ นนั้ ก็ระงับไปในเบื้องตน ก็มีความคดิ เพอ่ื บรรลอุ รหตั เม่ือบรรลุแลว ความคดิ ท่เี กิดขนึ้ นัน้ก็ระงับไป ในเบ้ืองตนกม็ ีความตรติ รองพจิ ารณาเพอ่ื บรรลอุ รหตั เม่ือบรรลุแลว ความตริตรองพจิ ารณาที่เกดิ ขนึ้ นัน้ กร็ ะงับไป. [๑๑๖๙] ดูกอ นพราหมณ ทานจะสําคญั ความขอนั้นเปน ไฉน เมอ่ืเปนเชนน้ัน ความพอใจน้นั ยังมีอยูหรือวาไมม ี. อณุ . ขา แตทานอานนท เมือ่ เปน เชน นนั้ ความพอใจก็มอี ยูโดยแทไมมหี ามิได ขา แตทานพระอานนท ภาษิตของทานแจม แจงนกั ขาแตทานพระอานนท ภาษิตของทา นแจมแจงนกั ขาแตทานพระอานนท ทา นประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมอื นหงายของทีค่ ว่ํา เปด ของทป่ี ด บอกทางแกคนหลงทาง หรือตามประทีปในทม่ี ดื ดว ยหวงั วา ผมู จี ักษจุ กั เห็นรูป ฉะนั้นขา พเจานขี้ อถึงทา นพระโคดมกับทงั้ พระธรรมและพระสงฆว า เปน สรณะ ขอทา นพระอานนทจงจาํ ขาพเจา ไวว าเปน อุบาสกผถู ึงสรณะจนตลอดชวี ิต ตัง้ แตวนั น้ี เปนตน ไป. จบพราหมณสูตรที่ ๕ อรรถกถาพราหมณสูตร พราหมณสตู รท่ี ๕. คําวา เพื่อละฉันทะ คือ เพอื่ ละความพอใจอนั ไดแกต ัณหา. แมใ นสูตรน้ี ก็แสดงอทิ ธิท่มี วี วิ ฏั ฏะเปน บาท. จบอรรถกถาพราหมณสูตรที่ ๕

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 155 ๖. ปฐมสมณพราหมณสูตร ผมู ฤี ทธ์ิมาก เพราะเจริญอทิ ธิบาท ๔ [๑๑๗๐] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลา หนึ่งในอดตี กาล เปนผูมฤี ทธมิ์ าก มีอานภุ าพมาก สมณะหรอื พราหมณทั้งหมดนั้น เปนผมู ฤี ทธิม์ าก มอี านุภาพมาก เพราะเปนผเู จริญ กระทําใหมากซงึ่อิทธบิ าท ๔ สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลา หนงึ่ ในอนาคตกาล จกั มีฤทธ์ิมาก มีอานภุ าพมาก สมณะหรือพราหมณท ง้ั หมดนัน้ จักเปนผมู ีฤทธ์มิ าก มีอานุภาพมาก เพราะเปน ผูเจรญิ กระทาํ ใหมากซึ่งอทิ ธิบาท ๔ สมณะหรอืพราหมณเ หลา ใดเหลาหน่ึง ในปจจุบัน เปน ผมู ีฤทธ์มิ าก มอี านุภาพมากสมณะหรือพราหมณทัง้ หมดนัน้ เปน ผูมีฤทธ์มิ าก มีอานุภาพมาก เพราะเปนผเู จริญ กระทาํ ใหม ากซ่ึงอทิ ธบิ าท ๔ อิทธิบาท ๔ เปน ไฉน ดกู อนภิกษุทง้ัหลาย ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอ มเจรญิ อทิ ธบิ าทอนั ประกอบดวยฉันทสมาธิและปธานสงั ขาร ยอ มเจริญอิทธิบาทอันประกอบดวยวริ ยิ สมาธิ . .. จิตตสมาธิ . . .วมิ ังสาสมาธิและปธานสงั ขาร. [๑๑๗๑] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลา หนึ่งในอดีตกาล เปน ผูม ฤี ทธ์มิ าก มอี านุภาพมาก สมณะหรือพราหมณท ้ังหมดนน้ัเปนผมู ฤี ทธ์ิมาก มีอานภุ าพมาก เพราะเปน ผเู จริญ กระทาํ ใหมากซง่ึอทิ ธิบาท ๔ เหลานีแ้ ล สมณะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลา หนึง่ ในอนาคตกาลจักเปน ผมู ฤี ทธมิ์ าก มีอานภุ าพมาก สมณะหรอื พราหมณท ้ังหมดนน้ั จกั เปนผูมฤี ทธ์ิมาก มีอานภุ าพมาก ก็เพราะเปน ผูเจรญิ กระทาํ ใหมากซง่ึ อทิ ธบิ าท ๔เหลา นีแ้ ล สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลา หน่ึง ในปจ จุบัน ยอมเปนผูม ี

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาที่ 156ฤทธม์ิ าก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณท งั้ หมดน้ัน ยอมเปนผมู ฤี ทธิ์มากมอี านุภาพมาก เพราะเปนผูเ จรญิ กระทาํ ใหม ากซึ่งอทิ ธบิ าท ๔ เหลา น้แี ล. จบปฐมสมณพราหมณสตู รที่ ๖ ๗. ทุติยสมณพราหมณสตู ร แสดงฤทธไ์ิ ดห ลายอยางเพราะเจริญอิทธบิ าท ๔ [๑๑๗๒] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ก็สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลาหนึง่ ในอดีตกาล แสดงฤทธไ์ิ ดหลายอยา ง คอื คนเดยี วเปน หลายคนก็ไดใชอ าํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได สมณะหรือพราหมณท ง้ั หมดนน้ัแสดงฤทธิไ์ ดห ลายอยา งเชนนน้ั เพราะเปน ผเู จรญิ กระทําใหม ากซง่ึ อิทธบิ าท ๔สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หนง่ึ ในอนาคตกาล. . . สมณะหรอื พราหมณเหลาใดเหลาหนงึ่ ในปจจบุ ัน แสดงฤทธิไ์ ดห ลายอยาง คือ คนเดยี วเปนหลายคนก็ได. .. ใชอาํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได สมณะหรือพราหมณทงั้ หมดนั้น แสดงฤทธ์ไิ ดหลายอยา งเชน น้นั ก็เพราะเปน ผูเจรญิกระทําใหม ากซึง่ อทิ ธบิ าท ๔ อทิ ธิบาท ๔ เปนไฉน. ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลายภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ ยอมเจริญอิทธบิ าทอนั ประกอบดวยฉนั ทสมาธแิ ละปธานสงั ขารยอ มเจริญอิทธิบาทอนั ประกอบดวยวริ ิยสมาธ.ิ .. จิตตสมาธิ... วมิ ังสาสมาธิและปธานสังขาร.

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 157 [๑๑๗๓] ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย ก็สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใดเหลาหนงึ่ ในอดีตกาล แสดงฤทธ์ิไดห ลายอยาง คือ คนเดยี วเปนหลายคนก็ได...ใชอาํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได สมณะหรอื พราหมณท ัง้ หมดน้ันแสดงฤทธไ์ิ ดห ลายอยางเชนนน้ั ก็เพราะเปน ผเู จริญ กระทาํ ใหม ากซง่ึ อิทธบิ าท๔ เหลาน้แี ล สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลา หน่งึ ในอนาคตกาล...สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลา หน่งึ ในปจจบุ นั แสดงฤทธิไ์ ดห ลายอยางคอื คนเดียวเปนหลายคนก็ได. .. ใชอํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ไดสมณะหรือพราหมณท้งั หมดนน้ั แสดงฤทธิห์ ลายอยางเชน นน้ั ก็เพราะเปนผูเจริญ กระทําใหม ากซ่งึ อทิ ธบิ าท ๔ เหลา น้ีแล. จบทตุ ยิ พราหมณสตู รท่ี ๗ ๘. อภิญญาสตู ร ไดเจโตวมิ ุตตแิ ละปญ ญาวิมตุ ติเพราะเจริญอิทธบิ าท ๔ [๑๑๗๔] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ภิกษกุ ระทาํ ใหแ จงซึง่ เจโตวิมตุ ติปญ ญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะท้ังหลายสนิ้ ไปดวยปญ ญาอนั ย่ิงเอง ในปจ จบุ ัน เขาถงึ อยู เพราะเปนผเู จรญิ กระทาํ ใหมากซึ่งอิทธิบาท ๔อิทธบาท ๔ เปน ไฉน ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ยอ มเจริญอทิ ธิบาทอันประกอบดว ยฉันทสมาธิและปธานสงั ขาร ยอมเจริญอิทธิบาทอันประกอบดวยวิรยิ สมาธิ ... จติ ตสมาธ.ิ .. วิมังสาสมาธแิ ละปธานสังขาร ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษุกระทําใหแ จง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 158มิไดเพราะอาสวะทัง้ หลายส้นิ ไป ดว ยปญญาอนั ยงิ่ เองในปจ จบุ นั เขา ถึงอยู เพราะเปน ผูเจริญ กระทาํ ใหม ากซงึ่ อิทธบิ าท ๔ เหลา นแี้ ล. จบอภญิ ญาสูตรท่ี ๘ ๙. เทสนาสตู ร แสดงปฏปิ ทาเขาถึงอิทธิบาทภาวนา [๑๑๗๕] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เราจกั แสดงอิทธิ อิทธิบาท อทิ ธิบาทภาวนาและปฏปิ ทาท่ีจะใหถึงอทิ ธบิ าทภาวนาแกเ ธอทง้ั หลาย เธอทัง้ หลายจงฟง กอ็ ทิ ธิเปนไฉน ภกิ ษุในธรรนวนิ ัยนี้ ยอ มแสดงฤทธ์ไิ ดหลายอยางคือ คนเดยี วเปน หลายคนก็ได หลายคนเปน คนเดยี วกไ็ ด ฯลฯ ใชอาํ นาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได น้ีเรียกวา อิทธ.ิ [๑๑๗๖] กอ็ ทิ ธบิ าทเปน ไฉน บรรดาอันใด ปฏิปทาอนั ใด ยอมเปน ไปเพือ่ ไดฤ ทธ์ิ เพื่อไดเ ฉพาะซึ่งฤทธิ์ นีเ้ รยี กวา อทิ ธบิ าท. [๑๑๗๗] ก็อทิ ธิบาทภาวนาเปนไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยอมเจรญิ อิทธิบาทอันประกอบดว ยฉนั ทสมาธแิ ละปธานสังขาร ยอมเจริญอิทธบิ าทอนั ประกอบดวยวิริยสมาธิ. . จิตตสมาธ.ิ . วิมงั สาสมาธิและปธานสงั ขารน้เี รยี กวา อิทธิบาทภาวนา. [๑๑๗๘] ก็ปฏิปทาทจี่ ะใหถึงอทิ ธิบาทภาวนาเปน ไฉน อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ นแ้ี ล คอื สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นเี้ รยี กวา ปฏปิ ทาท่จี ะใหถึงอทิ ธบิ าทภาวนา. จบเทสนาสตู รที่ ๙

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 159 อรรถกถาเทสนาสตู ร เทสนาสูตรท่ี ๙. คําวา ภกิ ษุทง้ั หลาย บรรดาอันใด หมายเอาฌานที่ ๔ ที่มอี ภิญญาเปน บาท. จบอรรถกาเทสนาสูตรที่ ๙ ๑๐. วภิ ังคสตู ร วิธีเจรญิ อทิ ธิบาท ๔ [๑๑๗๙] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย อทิ ธิบาท ๔ เหลา น้ี อนั ภกิ ษเุ จริญแลว กระทําใหม าnแลว ยอมมีผลมาก มีอานสิ งสม าก ก็อทิ ธบิ าท ๔ อนั ภกิ ษุเจริญแลว อยา งไร กระทาํ ใหมากแลว อยางไร จงึ มผี ลมาก มีอานสิ งสมากภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญอทิ ธิบาทประกอบดวยฉันทสมาธิและปธานสงั ขาร ดงั นีว้ า ฉันทะของเราจักไมยอหยอ นเกินไป ไมต อ งประคองเกนิ ไปไมหดหูในภายใน ไมฟ งุ ซานไปในภายนอก และเธอมคี วามสําคญั ในเบอ้ื งหลงั และเบ้ืองหนา อยวู า เบ้ืองหนาฉนั ใด เบอ้ื งหลงั กฉ็ ันนัน้ เบื้องหลังฉันใดเบอ้ื งหนากฉ็ ันนั้น เบือ้ งลางฉันใด เบอ้ื งบนกฉ็ ันนน้ั เบ้ืองบนฉนั ใด เบ้ืองลางกฉ็ ันนัน้ กลางวันฉนั ใด กลางคืนก็ฉันนัน้ กลางคนื ฉันใด กลางวันก็ฉันน้ัน เธอมจี ิตเปดเผย ไมมีอะไรหุมหอ อบรมจิตใหส วา งอยู ยอ มเจรญิ อิทธิบาทประกอบดว ยวริ ิยสมาธิ... จิตตสมาธิ... วิมงั สาสมาธิและปธานสังขาร ดังนีว้ า วิมังสาของเราจักไมย อหยอนเกนิ ไป ไมต อ งประคอง









































































พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ท่ี 196โลกเสยี ได ดกู อ นทานพระสารีบุตร สติปฏฐาน ๔ เหลาน้ี อันภิกษุผูเปนอเสขะพึงเขา ถงึ อย.ู จบทตุ ิยกัณฏกีสูตรที่ ๕ ๖. ตตยิ กณั ฏกีสตู ร การบรรลุภาวะแหง มหาอภญิ ญา [๑๒๗๖] สาเกตนทิ าน. ครน้ั แลว ทานพระสารบี ุตรไดถามทา นพระอนุรุทธะวา ทา นอนุรุทธะบรรลภุ าวะแหงมหาอภญิ ญา เพราะไดเจรญิไดก ระทาํ ใหม ากซึ่งธรรมเหลาไหน. [๑๒๗๗] ทา นพระอนรุ ทุ ธะตอบวา ดกู อนทา นผูมอี ายุ ผมบรรลุภาวะแหงมหาอภิญญา เพราะไดเจรญิ ไดก ระทําใหมากซ่ึงสตปิ ฏ ฐาน ๔สตปิ ฎ ฐาน ๔ เปน ไฉน ผมยอ มพจิ ารณาเห็นกายในกายอยู ... ยอ มพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู ... ยอ มพจิ ารณาเหน็ จติ ในจิตอยู ... ยอมพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มคี วามเพียร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสียได ดูกอ นทา นผูมอี ายุ ผมบรรลุภาวะแหง มหาอภิญญาเพราะไดเจริญ ไดก ระทําใหมากซงึ่ สติปฏฐาน ๔ เหลา น้ีแล อน่งึ เพราะไดเจริญ ไดก ระทาํ ใหม ากซ่งึ สติปฎ ฐาน ๔ เหลานี้ ผมจงึ รโู ลกพนั หน่งึ . จบตติยกณั ฏกีสูตรท่ี ๖

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 197 ๗. ตณั หกั ขยสตู ร เจรญิ สติปฏฐานเพื่อความสิ้นตณั หา [๑๒๗๘] สาวตั ถนี ทิ าน. ณ ที่นัน้ แล ทา นพระอนุรุทธะเรียกภิกษุทง้ั หลายมาแลวไดกลา ววา ดกู อนผมู ีอายทุ ้งั หลาย สตปิ ฏฐาน ๔ เหลา นี้ อนับุคคลเจริญแลว กระทาํ ใหมากแลว ยอมเปน ไปเพ่ือความสนิ้ ตณั หา สติปฏ ฐาน ๔ เปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ยอ มพิจารณาเหน็ กายในกายอย.ู ..ยอมพจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู . . . ยอ มพิจารณาเห็นจติ ในจิตอย.ู . .ยอมพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู มคี วามเพียร มสี ัมปชัญญะ มีสติ กาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสียได ดูกอ นทานผูมีอายทุ ้ังหลาย สติปฏฐาน ๔เหลา นี้แล อนั บุคคลเจริญแลว กระทําใหมากแลว ยอ มเปน ไปเพ่ือความสน้ิตัณหา. จบตณั หกั ขยสตู รที่ ๗ อรรถกถาปฐมกณั ฏกสี ตู รท่ี ๔ เปน ตน ปฐมกัณฏกีสูตรที่ ๔. คาํ วา ณ กณั ฏกวี ัน คือในปาขนุนใหญ. ตติยกณั ฏกีสตู รท่ี ๖. ทานแสดงธรรมเปนเครือ่ งอยูเปน นติ ย ของพระเถระดว ยคําวา โลกพนั หนง่ึ น.ี้ จรงิ อยู พระเถระลา งหนาแตเ ชา ตรแู ลวก็มาระลกึ ถึงพันกัปในอดตี และอนาคต. แตในปจ จบุ ัน มาสูค ลองแหง การคํานงึหนง่ึ มจี ํานวนหนงึ่ หมื่นจักรวาล. ตณั หักขยสตู รที่ ๗ เนอื้ ความต้ืนท้งั น้ันแล. จบอรรถกถาปฐมกัณฏกสี ตู รที่ ๔ เปนตน

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 198 ๘. สลฬาคารสูตร ภกิ ษผุ ูเจรญิ สตปิ ฏฐานไมล าสิกขา [๑๒๗๙] สมัยหนึ่ง ทานพระอนุรทุ ธะอยู ณ สลฬาคาร ใกลก รงุสาวัตถี ณ ทีน่ ั้นแล ทา นพระอนุรุทธะเรยี กภกิ ษุทัง้ หลายมาแลว ไดกลาววาดกู อ นผูม อี ายุท้งั หลาย เปรยี บเหมือนแมน ้าํ คงคาไหลไปสูทิศปราจีน หล่งั ไปสทู ศิ ปราจนี บา ไปสทู ิศปราจนี เมอ่ื เปน เชนนัน้ หมูม หาชนถอื เอาจอบและตะกรา มาดว ยประสงคว า จกั ทดแมน ้ําคงคาใหไ หลกลบั หลงั่ กลบั บา กลบัดงั นี้ ทานทั้งหลายจะสําคัญความขอ น้ันเปนไฉน หมูมหาชนน้นั จะพึงทดน้าํคงคาใหไหลกลบั หลัง่ กลบั บากลบั ไดบ างหรอื . ภกิ ษุเหลานนั้ ตอบวา ไมได ขอรบั . อ. เพราะเหตุไร. ภ.ิ เพราะการท่ีจะทดแมนา้ํ คงคาอนั ไหลไปสทู ิศปราจนี หลง่ั ไปสูทิศปราจีน บาไปสทู ิศปราจนี ใหไหลกลับ หลง่ั กลับ บากลบั มิใชกระทําไดง าย หมูมหาชนนนั้ จะพึงเปน ผมู ีสว นแหงความเหนด็ เหน่อื ยลาํ บากเปลาแนน อน. อ. ฉันน้ันเหมอื นกนั ผมู อี ายุท้งั หลาย พระราชา มหาอาํ มาตยของพระราชา มิตร อมาตย ญาติหรือสาโลหติ จะพึงเช้อื เชญิ ภกิ ษผุ เู จรญิกระทาํ ใหมากซ่ึงสตปิ ฏ ฐาน ๔ ใหยินดดี ว ยโภคะวา ดูกอนบุรษุ ผูเจริญ จงมาเถดิ ทา นจะครองผา กาสาวะเหลานอ้ี ยูทําไม ทานจะเปนผมู ศี รี ษะโลน มอืถอื กระเบือ้ งเทีย่ วบิณฑบาตอยูท าํ ไม นมิ นตทานสึกมาบริโภคสมบัติและบาํ เพ็ญบญุ เถิด ขอทีภ่ กิ ษุผูเ จรญิ ผูก ระทาํ ใหม ากซ่งึ สตปิ ฏ ฐาน ๔ จกั ลา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนา ที่ 199สกิ ขาออกมานน้ั มิใชฐานะท่จี ะมไี ด ขอ นั้นเพราะเหตไุ ร เพราะจิตทน่ี อ มไปในวเิ วก โนมไปในวเิ วก โอนไปในวิเวก ตลอดกาลนาน จกั หวนสกึมิใชฐ านะที่จะมีได. [๑๒๘๐] ดกู อนผูม อี ายทุ งั้ หลาย กภ็ กิ ษุยอมเจริญ กระทําใหมากซ่ึงสติปฏ ฐาน ๔ อยา งไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ยอมพจิ ารณาเห็นกายในกายอยู. ..ยอ มพจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู ... ยอมพิจารณาเห็นจติ ในจิตอยู ...ยอมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มคี วามเพียร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ กําจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสียได ดูกอนผูมีอายุทั้งหลาย ภกิ ษยุ อ มเจรญิกระทําใหม ากซงึ่ สตปิ ฏ ฐาน ๔ อยา งนีแ้ ล. จบสลฬาคารสูตรท่ี ๘ อรรถกถาสลฬาคารสูตรที่ ๘ สลฬาคารสตู รที่ ๘. คําวา ณ สลฬาคาร คอื ในศาลามงุ ใบไม เอาตนสนสรา ง หรือในอาคารทีม่ ชี ่อื เชนนั้น เพราะอยใู กลประตตู นสน. ในสูตรน้ีทรงแสดงวิปส สกบุคคลพรอ มกับวปิ สสนา. จบสลฬาคารสตู รท่ี ๘

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค เลม ๕ ภาค ๒ - หนาท่ี 200 ๙. อัมพปาลิสูตร วา ดว ยวหิ ารธรรม ๑๒๘๑] สมยั หนึง่ ทานพระอนุรทุ ธะและทา นพระสารีบุตร อยูในอมั พปาลีวัน ใกลเ มอื งเวสาลี ครง้ั นนั้ เปน เวลาเยน็ ทานพระสารบี ตุ รออกจากที่พกั เขา ไปหาทา นพระอนุรทุ ธะ ครัน้ แลวไดถ ามทานพระอนุรทุ ธะวาดกู อ นทา นอนุรทุ ธะ อนิ ทรียของทา นผอ งใส ผิวหนาของทานบริสทุ ธ์ิผอ งแผวในเวลานี้ ทานอนรุ ุทธะอยดู วยวหิ ารธรรมขอไหนมาก. [๑๒๘๒] ทานพระอนุรทุ ธะตอบวา ดกู อนทานผูมอี ายุ เวลาน้ผี มมจี ติ ตงั้ มัน่ อยูในสติปฎฐาน ๔ มาก สตปิ ฏฐาน ๔ เปน ไฉน ผมยอ มพจิ ารณาเห็นกายในกายอยู ... ยอมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู ... ยอมพิจารณาเห็นจิตในจติ อยู ... ยอมพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู มีความเพยี ร มีสัมปชัญญะ มสี ติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสียได ดูกอนทา นผมู ีอายุเวลาน้ผี มมีจิตต้ังม่นั อยใู นวิหารธรรมเหลานีเ้ ปนอันมากอยู ภกิ ษใุ ดเปนอรหนั ตขณี าสพอยูจ บพรหมจรรย มกี ิจที่ควรทาํ ทําเสรจ็ แลว ปลงภาระลงแลวบรรลุถงึ ประโยชนข องตนแลว ส้นิ สงั โยชนทจี่ ะนาํ ไปสภู พแลว เพราะรโู ดยชอบภิกษุน้นั มีจติ ตั้งมัน่ ในสตปิ ฎฐาน ๔ เหลา น้ีอยูมาก. ส. เปน ลาภของเราแลว เราไดด ีแลว ทีไ่ ดฟงอาสภิวาจาในทเ่ี ฉพาะหนา ทา นพระอนุรุทธะผกู ลาว. จบอัมพปาลสิ ูตรท่ี ๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook