Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_54

tripitaka_54

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:42

Description: tripitaka_54

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 273 แหงราตรนี ้นั ก็รูปพุ เพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยาม แหง ราตรี ก็ชําระทิพยจักษุใหห มดจด ในปจฉิมยาม แหงราตรี กไ็ ดอาสวักขยญาณ ทาํ ลายกองแหง ความ มืดได ครัง้ นั้น ขา พเจา มีปต แิ ละสขุ แผไปทวั่ กายอยู ในราตรีท่ีครบ ๗ ขาพเจา ทาํ ลายกองแหงความมืด แลว จงึ เหยยี ดเทาออกได. บรรดาบทเหลานั้น ดวยบทวา ภกิ ขฺ ุนึ พระเถรกี ลาวหมายถงึ พระเขมาเถร.ี บทวา โพชฺฌงคฺ ฏงคฺ กิ  มคฺค ไดแกโพชฌงค ๗ และอรยิ -มรรคมอี งค ๘. บทวา อตุ ฺตมตถฺ สฺส ปตตฺ ยิ า ไดแก เพอ่ื บรรลพุ ระอรหัตหรอื นิพพานเทา น้ัน. บทวา ปติสุเขน ไดแ ก ดวยปตแิ ละสขุ เนอ่ื งดว ยผลสมาบตั ิ.บทวา กาย ไดแ ก นามกายท่ีประกอบกัน และรปู กายทไ่ี ปตามนามกายน้ัน.บทวา ผรติ ฺวา ไดแ ก ถกู ตองหรือซึมซาบไป. บทวา สตฺตมิยา ปาเทปสาเรสึ ความวา นบั จากวันเร่มิ วปิ ส สนาไปในราตรีที่ ๗ ขาพเจา จึงคลายการนั่งขดั สมาธิเหยียดเทา ได. ถามวาทําลายกองแหง ความมดื ไดอ ยางไร. ตอบวา ทาํ ลายกองโมหะทีย่ ังไมเคยทําลายดว ยดาบคืออรหัตมรรคญาณ. คําที่เหลือมีนัยดังทก่ี ลา วมาแลวในหนหลังท้ังนั้น. จบ อรรถกถาวิชยาเถรคี าถา จบ อรรถกถาฉักกนิบาต

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ที่ 274 สัตตกนิบาต ๑. อุตตราเถรีคาถา[๔๕๙] พระปฏาจาราเถรี ใหโอวาทวา มาณพท้ังหลายพากนั ถอื สากตําขา ว ไดท รัพยมาเลี้ยงบตุ รภรรยาทานทั้งหลายจงพากเพยี รในคําสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา ทท่ี าํ แลว ไมเดือดรอนในภายหลังทานทั้งหลายจงรีบลางเทา แลว นง่ั ณ ทีค่ วรขา งหน่ึงจงเขาไปตั้งจติ ใหมีอารมณเดยี ว ตัง้ ม่ันดวยดแี ลวพิจารณาสังขารทัง้ หลาย โดยความเปน ของแปรปรวนและโดยความเปนของไมใ ชตน. ขา พเจาฟง คําพรํ่าสอนของพระปฏาจาราเถรนี ้นัแลว ลา งเทา เขา ไปน่ัง ณ ทีค่ วรขางหนง่ึ ในปฐมยามแหงราตรี ขา พเจา กร็ ะลึกชาตกิ อ นได ในมัชฌิมยานแหงราตรี กช็ ําระทพิ ยจักษไุ ดห มดจด ในปจ ฉมิ ยามแหง ราตรี ก็ทาํ ลายกองแหง ความมดื [อวชิ ชา] ไดขา พเจา บรรลุวิชชา ๓ จึงลกุ ขน้ึ จากอาสนะในภายหลังขาพเจาทําตามคาํ พรํ่าสอนของแมท านแลว ขาพเจา มีวิชชา ๓ ไมมีอาสวะหอ มลอ มแมทา นอยู ดจุ ทวยเทพช้ันดาวดงึ ส พากนั หอ มลอมทาวสกั กะผูชนะสงครามฉะน้ัน. จบ อุตตราเถรคี าถา

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาท่ี 275 อรรถกถสัตตกนิบาต ๑. อรรถกถาอุตตราเถรคี าถา ในสัตตกนิบาต คาถาวา มุสลานิ คเหตวฺ าน ดงั น้ีเปนตนเปน คาถาของพระอุตตราเถรี มวี ินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี. พระเถรีแมร ูปนี้ ไดบ าํ เพญ็ บารมีมาในพระพทุ ธเจา พระองคกอ น ๆสะสมกุศล ซงึ่ เปน อปุ นสิ ยั แหงพระนพิ พานมาในภพนั้น ๆ ไดบาํ เพญ็ กศุ ลมลูสรา งสมธรรมเครือ่ งปรงุ แตง วิโมกขม าโดยลาํ ดับ มธี รรมเครอ่ื งอบรมบมวมิ ุตติแกก ลา ในพุทธุปบาทกาลน้ี บังเกดิ ในเรอื นของครอบครวั แหง หนึ่ง ไดนามวาอุตตรา รูเดียงสาแลวเขาไปยังสํานักพระปฏาจาราเถร.ี พระเถรี ไดกลา วธรรมแกน าง นางฟงธรรมเกิดสังเวชในสงั สารวฏั เปนผูเล่ือมใสยง่ิ ในศาสนากบ็ วช คร้ันบวชแลว ทาํ กจิ เบอื้ งตน เสรจ็ เริม่ วิปส สนาในสาํ นักของพระ-ปฏาจาราเถรี ประกอบภาวนาอยูเนอื ง ๆ คร่าํ เครง วิปส สนาอยูไมน านนักกบ็ รรลุพระอรหัตพรอมดว ยปฏสิ มั ภทิ า ๔ เพราะอินทรยี แกก ลา เหตุท่สี มบูรณดวยอปุ นสิ ัย ครัน้ บรรลพุ ระอรหัตแลวพจิ ารณาการปฏิบตั ิของตน ไดก ลา วคาถาเหลานเ้ี ปน อทุ านวา พระปฏาจาราเถรี ใหโ อวาทวา มาณพทง้ั หลายพากนั ถอื สากตาํ ขาวอยู ไดทรัพย มาเล้ยี งดูบตุ รภรรยา ทา นทัง้ หลายก็จงพากเพยี รในคาํ สั่งสอนของพระพทุ ธเจา ท่ที ําแลว ไมต อ งเดือดรอ นใน ภายหลงั ทา นทัง้ หลายจงรบี ลางเทาแลว นง่ั ณ ทีค่ วร ขา งหนึ่ง จงเขา ไปต้ังจติ ไวใหมอี ารมณเดียว ต้ังมัน่

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 276 ดว ยดแี ลวพจิ ารณาสังขารทงั้ หลาย โดยความเปนของ แปรปรวน และโดยความเปน ของไมใ ชตน.พระอตุ ตราเถรีกลา ววา ขาพเจาไดฟ งคําพรา่ํ สอนของพระปฏาจาราเถรี นน้ั แลว ลา งเทาเขาไปน่งั ณ ท่คี วรขา งหนงึ่ ใน ปฐมยามแหง ราตรี ขา พเจา กร็ ะลึกชาตกิ อ นได ใน มัชฌิมยามแหงราตรี กช็ าํ ระทิพยจักษไุ ดห มดจด ใน ปจ ฉิมยามแหงราตรี กท็ ําลายกองแหงความมดื [อวชิ - ชา] ได ขาพเจาไดบ รรลวุ ิชชา ๓ จงึ ลกุ จากอาสนะ ในภายหลงั ขา พเจา ทําตามคําพราํ่ สอนของแมท า น แลว ขา พเจาเปน ผูมีวชิ ชา ๓ ไมมอี าสวะ หอมลอ ม แมทา นอยู ดุจทวยเทพชน้ั ดาวดึงส พากนั หอมลอ ม ทา วสักกะผชู นะสงครามฉะน้ัน. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา จติ ตฺ  อปุ ฏ เปตฺวาน ไดแ ก เขาไปตง้ั จติ ประกอบดวยภาวนาไวในกมั มฏั ฐาน อยางไร คือใหจ ิตมอี ารมณเดียวตง้ั มน่ั ดว ยด.ี บทวา เอกคฺค สุสมาหิต ปจจิ เวกขิ ถ ไดแ ก ทา นท้งั หลายจงพจิ ารณาการปฏิบัติ อธิบายวา ทานท้ังหลายจงเหน็ แจงลักษณะสามในสังขารวาเปนของไมเทย่ี งบา ง วา เปนทุกขบ า ง วา เปนอนตั ตาบาง กค็ าํ นีพ้ ระเถรีกลา วคลอ ยตามโอวาทของภกิ ษุณเี หลา อ่ืน และพระเถรีเปนตนของตนในเวลาโอวาท.บทวา ปฏาจารานสุ าสนึ ไดแก คาํ พราํ่ สอนของพระปฏาจาราเถรี. อีกอยางหนงึ่ บาลวี า ปฏาจาราย สาสน ดังนก้ี ม็ ี ไดแ กคําสัง่ สอนของพระปฏาจาราเถรี. บทวา อถ วฏุ าสึ ความวา เพราะขาพเจา บรรลุวชิ ชา ๓ จงึ ลกุจากอาสนะภายหลงั วันหน่ึงพระเถรแี มร ูปน้ี ชาํ ระกัมมัฏฐานในสาํ นกั ของ

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 277พระปฏาจาราเถรีแลว เขาไปสถานท่ีอยูข องตนแลว น่ังขัดสมาธิ ตกลงใจวาขาพเจาจกั ไมเ ลกิ นงั่ ขัดสมาธินี้ ตราบเทาทจ่ี ติ ของขาพเจายงั ไมหลดุ พนจากอาสวะท้ังหลาย เพราะความไมถอื มน่ั คร่ําเครงวิปส สนาโดยลําดบั กบ็ รรลุพระอรหัตมีอภิญญาและปฎิสัมภทิ าเปนบรวิ ารตามลาํ ดบั แหงมรรค ครั้นปจ จ-เวกขณญาณ ๑๙ อยางดาํ เนนิ ไป กเ็ กดิ โสมนัสวา บัดนเี้ ราทาํ กิจเสรจ็ แลว ก็กลา วอทุ านคาถาเหลา น้ี เหยยี ดเทาออกไปในเวลาอรุณขึ้น ตอแตน้ัน ราตรีสวาง ก็ไปยังสาํ นกั ของพระเถรี ไดกลา วซํ้าคาถาเหลา น้ี ดวยเหตนุ ้ัน พระ-อุตตราเถรีจึงกลาวคําเปนตนวา กตา เต อนุสาสนี ขาพเจา ไดทาํ ตามคําพรํ่าสอนของทา นแลว. คาํ ที่เหลอื มีนัยทก่ี ลา วมาในหนหลงั หมดแลว . จบอรรถกถาอุตตราเถรีคาถา ๒. จาลาเถรีคาถา [๔๖๐] พระจาลาเถรี กลา วคาถาอทุ านวา ขา พเจา เปนภิกษุณี ผมู อี ินทรียอ ันอบรมแลวเขา ไปตัง้ สติไวม ่นั รแู จงตลอดสนั ตบท อันเปนเคร่ือง เขา ไประงับสงั ขาร เปนสขุ .มารผมู บี าป ถามวา แมนางศีรษะโลน ทําตวั เหมอื นสมณะ แมนาง บวชเจาะจงใครหนอ. แกนางไมช อบใจลทั ธิเดยี รถีย ทาํ ไมแมน างจึงยังงมงายประพฤติลทั ธินี้เลา .พระจาลาเถรี ตอบวา

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 278 ผูม ีลัทธิเดยี รถียภ ายนอกจากพระศาสนานเี้ ขา ไป อาศยั แตท ฏิ ฐคิ วามเหน็ ทั้งหลาย ไมรูแ จงธรรม ไม ฉลาดในธรรม สวนพระพุทธเจาผเู สด็จอบุ ตั ิในตระกลู ศากยะ ไมมีผใู ดเปรยี บปาน พระองคท รงแสดงธรรม อันกา วลว งเสยี ซ่ึงทฏิ ฐิท้งั หลาย คอื ทุกข เหตุเกิดทกุ ข ความลวงทุกข และอรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ เปน ทางดาํ เนนิ ไปใหถ ึงความระงับทุกขโ ปรดขาพเจา ขาพเจาฟงคําส่งั สอนของพระองคแลว ยินดอี ยูในพระ ศาสนา ขาพเจาบรรลุวชิ ชา ๓ แลว คาํ ส่ังสอนของ- พระพทุ ธเจาขา พเจา ทําเสร็จแลว ขาพเจากาํ จดั ความ เพลิดเพลนิ ในสิ่งทั้งปวงไดแลว ทาํ ลายกองแหงความ มืดแลว ดกู อนมารผมู บี าป ทา นจงรูอยางนี้เถดิ ดู กอ นมารผูกระทาํ ทีส่ ดุ ตวั ทา นขา พเจา กก็ ําจดั ไดแ ลว . จบจาลาเถรคี าถา ๒. อรรถกถาจาลาเถรคี าถา คาถาวา สตึ อปุ ฏ เปตฺวาน ดงั นเ้ี ปน ตน เปนคาถาของ พระ-จาลาเถร.ี พระเถรแี มร ปู นี้ ไดบ าํ เพญ็ บารมีมา ในพระพุทธเจาพระองคกอน ๆสะสมกุศลซ่ึงเปนอุปนสิ ยั แหง พระนิพพานมาในภพนนั้ ๆ ในพทุ ธปุ บาทกาลนี้ก็บังเกิดในครรภของพราหมณชี อื่ รูปสารี ในนาลกคามแควน มคธ ในวันต้งั ชอ่ื

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ที่ 279คนทง้ั หลายไดท้งั ชือ่ วาจาลา จาลาน้ันมนี องสาว ชอ่ื วา อปุ จาลา อปุ จาลานั้นมนี อ งอีกคนหนง่ึ ชื่อวา สีสูปจาลา ทงั้ ๓ คนนี้ เปนนองสาวของทา นพระธรรมเสนาบดี คําทมี่ าในเถรคาถา๑วา จาลา อปุ จาลา สสี ูปจาลา ก็หมายถงึ ชอ่ื หญิงทั้งสามคนน้ีน่ีเอง. กพ็ น่ี องหญิงท้ัง ๓ คนเหลาน้นั ไดทราบวา ทา นพระธรรมเสนาบดีบวชแลว พากนั คิดวา ธรรมวนิ ยั ท่ีพชี่ ายของเราบวช คงไมต่ําทรามแนบรรพชากค็ งไมต่ําทราม ก็เกิดอุตสาหะมฉี นั ทะแรงกลา พากันละญาติและคนใกลเคยี งซง่ึ กาํ ลงั รอ งไห นาํ้ ตานองหนา ออกบวชแลว ครน้ั บวชแลว ก็พากเพยี รพยายาม ไมนานนักกบ็ รรลพุ ระอรหัต อยูด วยพระนิพพานสุข และผลสุข. บรรดาภิกษุณีเหลานน้ั จาลาภิกษณุ ีเทานน้ั วนั หนึ่งกลบั จากบิณฑบาตหลังจากฉันภตั ตาหารแลว กเ็ ขาไปยงั ปา อันธวัน น่งั พักกลางวนั ครนั้ นนั้ มารเขา ไปหา ประเลาประโลมพระเถรดี วยกามทัง้ หลาย ทที่ านหมายถงึ กลาวไวว า ๒ \"ครงั้ น้นั เวลาเชา พระจาลาภกิ ษณุ ีนงุ หมแลว ถอื บาตรและจีวรเขา ไปบิณฑบาตในกรุงสาวตั ถี คร้นั เทยี่ วบณิ ฑบาตในกรุงสาวัตถี อันเสรจ็ กลับจากบณิ ฑบาตภายหลงั ภัตแลว ก็เขา ไปในปาอันธวันเพื่อพกั กลางวนั คร้นั ถึงปาอนั ธวัน ไดนง่ั พักกลางวนั ท่ีโคนไมตนหนง่ึ ลาํ ดบั นั้น มารผมู บี าป เขา ไปหาพระจาลาภิกษุณี คร้ันเขา ไปหาแลวจึงกลาวกะพระจาลาภิกษณุ \"ี ดังน้.ี พระเถรีน้นั นง่ั พักกลางวนั อยู ณ ปา อันธวัน มารเขา ไปหามุงหมายจะตัดพระเถรี เสยี จากการอยูประพฤตพิ รหมจรรย จึงไดถามเปน ตนวา แมนางศีรษะโลนบวชเจาะจงใครหนอ ลาํ ดบั นน้ั พระจาลาภกิ ษณุ ี ประกาศพระคุณของพระศาสดาและธรรมนาํ สัตวออกจากทุกขแกม ารน้ัน ใหม ารรถู งึการท่คี นลว งวิสัยของมารไดแลว ดว ยการชี้แจงถงึ การทีต่ นไดท ํากิจเสรจ็ แลว๑. ขุ. ๒๖/ขอ ๑๗๙. ขทริ วนิยเถรคาถา ๒. สัง. ส. ๑๕/ขอ ๕๓๗.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 280มารไดฟงคํานนั้ เปนทกุ ขเสียใจอันตรธานไปในนั้นนน่ั เอง. พระจาลาภกิ ษุณีนนั้ เมอ่ื กลา วคาถาทตี่ นกบั มารกลาวแลว เปน อุทาน จึงไดกลาวคาถาเหลา นีว้ า ขา พเจา เปนภิกษุณี ผมู อี ินทรยี อนั อบรมแลว เขาไปต้งั สติไวมนั่ รูแจง ตลอดสันตบท อันเปน เครอื่ ง เขาไประงบั สังขาร เปนสขุ .มารผมู บี าปถามวา แมนางศีรษะโลน ทาํ ตวั เหมือนเปน สมณะ แมนางบวชเจาะจงใครหนอ แมน างไมชอบใจลัทธิ เดียรถีย ทาํ ไมแมน างจงึ ยงั งมงายประพฤติลทั ธนิ เี้ ลา . พระจาลาเถรตี อบวา ผูถ ือลัทธิเดียรถยี ภ ายนอกจากพระศาสนานี้ เขา ไปอาศยั แตท ฏิ ฐิความเหน็ ท้งั หลาย เดียรถยี เ หลา น้ัน ไมร ูแจงธรรม ไมฉลาดในธรรม สวนพระพุทธเจา ผเู ลิศอุบัติในตระกลู ศากยะ ไมมผี ูใ ดเปรยี บปาน พระ- องคทรงแสดงธรรม อนั กา วลวงเสียซึง่ ทฏิ ฐทิ ้งั หลาย คอื ทุกข เหตใุ หเ กิดทุกข ความลวงทกุ ขและอริย- มรรคอนั ประกอบดวยองค ๘ เปนทางดําเนนิ ใหถ ึง ความระงับทกุ ขโปรดขา พเจา ขา พเจาฟง คําสั่งสอน ของพระองคแลว ยินดอี ยูในพระศาสนา ขา พเจา ได บรรลุวิชชา ๓ แลว คําสัง่ สอนของพระพุทธเจา ขาพเจา ทาํ เสร็จแลว ขาพเจา กาํ จดั ความเพลิดเพลนิ ในสง่ิ ทงั้ ปวงไดแ ลว ทาํ ลายกองแหง ความมดื แลว ดู กอ นมารผูมบี าป ทานจงรอู ยา งนเ้ี ถดิ ดูกอ นมารผู กระทําท่สี ดุ ตวั ทา นขาพเจา กก็ ําจัดไดแ ลว .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 281 บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สตึ อปุ ฏ เปตฺวาน ความวา ทําสติใหต้งั มั่นดวยดี โดยการเจริญสตปิ ฏ ฐาน คือโดยความเปนของไมงามเปน ทุกขไมเ ทย่ี งและเปนอนัตตา ในกายเปน ตน พระเถรีกลา วหมายถึงตวั เองวา ภิกษุณ.ีบทวา ภาวิตนิ ฺทรฺ ิยา ความวา มีอนิ ทรยี  ๕ มีสทั ธาเปน ตน อันอบรมแลวดวยการเจรญิ อรยิ มรรค. บทวา ปฏิวชิ ฺฌิ ปท สนฺต ความวา แทงตลอดคือทําใหแ จงสันตบทคือนิพพาน ดวยการทําใหแ จงและแทงตลอด. บทวาสงขฺ ารูปสน ไดแ ก เหตุแหงความสงบสงั ขารท้งั ปวง. บทวา สขุ  คือเปน สขุ ลวน. คาถาวา ก นุ อทุ ทฺ ิสสฺ ความวา คาถาท่ีมารกลา วแลว. ในคาถานน้ัมีความสงั เขปดงั ตอไปน้ี ในโลกนมี้ ลี ัทธิและผแู สดงลัทธเิ หลานน้ั เปนอันมากคอื เจา ลทั ธิมากดว ยกนั บรรดาเจา ลทั ธเิ หลานัน้ แมนางผมู ศี รี ษะโลน คือโกนผมบวชเจาะจงใครหนอ มิใชศรษี ะโลนอยางเดียวที่แทยังแสดงตัวเหมอื นสมณะเพราะทรงผา กาสาวะอกี ดวย. บาทคาถาวา น จ โรเจสิ ปาสณเฺ ฑความวา ทานไมช อบใจลทั ธเิ ดียรถยี น ้ัน ๆ อนั เปน กระจกของพวกดาบสและปริพาชกเปนตน โดยเปน ลัทธิอื่นเสีย. บาทคาถาวา กิมทิ  จรสิ โมมหุ าความวา แมนางละทางนิพพานสายตรง อันเปน วิธีของลัทธิเดียรถยี  มาเดนิทางผิดชัว่ กาลในบัดน้ี งมงายประพฤติซมซานอันใด ลทั ธนิ ้ชี ื่ออะไรเลา. พระเถรฟี งคํานัน้ แลว เมือ่ จะขมู ารนนั้ โดยมขุ คือใหค ําตอบจงึ กลา ววา อิโต พหทิ ฺธา เปนตน . ลัทธิมอี ปุ การะมากที่ชื่อกุฏสี กะเปน ตน ภายนอกศาสนาของพระสมั มาสัมพทุ ธเจาน้ี ช่อื วาลัทธิเดียรถยี นอกศาสนาน้ี ในคาํ วา อิโต พหทิ ฺธา นั้น. จริงอยพู วกถือลทั ธิเดียรถยี เหลานน้ั ยอมดักบว งคอื ตณั หาความทะยานอยากและบวงคือทฏิ ฐคิ วามเห็น แกส ตั วท ้งั หลาย จงึถกู เรียกวา ปาสัณฑะ ลทั ธวิ างบว งดกั ดว ยเหตุนน้ั พระจาลาเถรจี งึ กลาว

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 282วา ทิฏโิ ย อปุ นสิ สฺ ิตา ไดแก อาศัย สัสสตทิฏฐิ อธิบายวา ถอืทิฏฐิ อนง่ึ คนทัง้ หลายอาศยั ทิฏฐิความเหน็ โดยสวนใด กอ็ าศัยพวกถอื ลทั ธิ.เดยี รถยี โ ดยสว นนน้ั . บาทคาถาวา น เต ธมฺม วิชานนตฺ ิ ความวา เดียรถยี เหลา ใดอาศยั สัสสตทฏิ ฐิ ยอ มไมรแู มป วตั ตธิ รรมตามเปนจรงิ วา นีเ้ ปน ปวตั ติ.บาทคาถาวา น เต ธมมฺ สฺส โกวทิ า ไดแก ไมฉ ลาดแมใ นนวิ ัตตธิ รรมวานวิ ัตติเปน อยา งน้ี เดยี รถยี เ หลา นั้นหลงงมงายแมใ นทางปวัตตธิ รรม ไยเลาจะไมห ลงในนวิ ตั ติธรรม. พระจาลาเถรีคร้ันแสดงวา ลทั ธเิ ดยี รถยี ไ มน ําสัตวอ อกจากทุกขอยางนี้แลว บัดนเ้ี พือ่ วสิ ชั นาปญหาวา แมนางศีรษะโลนแมน างบวชเจาะจงใครหนอจึงกลาวคาํ เปนตนวา มพี ระพทุ ธเจาผเู สดจ็ อุบตั ใิ นตระกูลศากยะ. บรรดาคําเหลา น้นั บาทคาถาวา ทิฏีน สมติกกฺ ม ไดแก เปน อุบายกาวลวงทฏิ ฐทิ ้ังปวง คือปลดเปล้อื งเสียจากขา ย คอื ทฏิ ฐ.ิ คําท่ีเหลอื มีนัยท่กี ลา วมาแลว ท้ังนั้น. จบ อรรถกถาจาลาเถรีคาถา ๓. อุปจาลาเถรคี าถา [๔๖๑] พระอปุ จาลาเถรี กลาวคาถาเปน อุทานวา ขาพเจาเปน ภิกษุณี มีสติ มจี กั ษุ มอี ินทรยี อัน อบรมแลว รแู จงตลอดสนั ตบท อนั อดุ มบรุ ษุ เสพแลว .มารผมู ีบาปกลาววา เหตไุ ฉน แมนางจึงไมชอบใจความเกิด เพราะ ผเู กดิ มาแลว ยอ มบรโิ ภคกามทั้งหลาย เชญิ แมน าง

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 283 บรโิ ภคความยนิ ดีในกามทง้ั หลายเถิด อยา ไดเ ปน ผมู ี ความเดือดรอ นในภายหลงั เลย.พระอปุ าลาเถรีกลาววา. ผเู กิดมาแลว ก็ตอ งตาย ถกู ตดั มอื เทา ถูกฆา ถกู จองจาํ ผเู กดิ มาแลว จําตองประสบทุกข. พระสัมพุทธเจา ผเู สด็จอุบตั ิในตระกูลศากยะ ผทู รงชนะแลว มีอยู พระองคไ ดทรงแสดงธรรม อนั เปนอุบายลว งเสยี ซ่งึ ชาติ คอื ทกุ ข เหตุใหเกดิ ทุกข ความลวงทุกข อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ เปน ทาง ดําเนินใหถ ึงความระงับทกุ ขโปรดเรา ขา พเจาฟง คํา สอนของพระองคแลว ยนิ ดอี ยใู นพระศาสนา ขา พเจา ไดบรรลวุ ชิ ชา ๓ แลว คําสง่ั สอนของพระพุทธเจา ขาพเจาทําเสร็จแลว ขา พเจา กําจัดความเพลดิ เพลนิ ในสง่ิ ทงั้ ปวงไดแ ลว ทําลายกองแหง ความมืดแลว ดู กอ นมารผมู บี าป ทา นจงรอู ยา งน้เี ถดิ ดูกอนมารผู กระทําท่ีสดุ ตวั ทานขา พเจา ก็กําจดั ไดแ ลว . จบ อปุ จาลาเถรคี าถา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 284 ๓. อรรถกถาอุปจาลาเถรีคาถา คาถาวา สตมี ตี ดังนเ้ี ปนตน เปนคาถาของพระอปุ จาลาเถร.ี เรื่องของนางอุปจาลาเถรีนั้น ไดก ลาวไวแ ลวในเรือ่ งพระจาลาเถรีกพ็ ระอปุ จาลาเถรแี มน้ี บวชแลว เหมือนพระจาลาเถรี เริม่ ต้ังวิปสสนา บรรลุพระอรหัต เมอื่ เปลงอุทาน ไดกลาวคาถาเหลา นั้นวา ขาพเจา เปนภกิ ษณุ ี มสี ติ มจี กั ษุ มีอนิ ทรยี  อันอบรมแลว รูแจง ตลอดสันตบท อันอดุ มบรุ ษุ เสพแลว . บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สตมี ตี ความวา ถงึ พรอมดวยสติคอื เปน ผูประกอบดว ยสติ รักษาตนไวไดเปนอยา งยิ่ง อันเปนสวนเบ้ืองตนประกอบดวยสติสงู สดุ โดยถงึ ความไพบูลยแหง สติ เพราะเจริญอริยมรรคในภายหลงั . บทวา จกฺขมตี ไดแก ประกอบดวยปญญาจกั ษุ คือประกอบอุทยตั ถ-คามินปี ญญา อันชําเเรกกเิ ลสออกไปอยา งประเสรฐิ ทานอธิบายวา ประกอบดวยปญ ญาจกั ษเุ ปนอยา งย่ิง โดยถึงความไพบูลยแหงปญญา. บาทคาถาวาอกาปรุ สิ เสวิต ไดแ ก บรุ ุษผูไมต ่าํ คืออุดมบรุ ุษ ไดแ กพ ระอริยะมีพระพทุ ธเจา เปน ตนเสพแลว. มารประสงคจ ะชักนาํ พระเถรีเขา ไปในกามท้ังหลาย จึงกลาวคาถาวากึ นุ ชาตึ น โรเจสิ ดงั นี้. ความจริงพระเถรถี ูกมารถามวา แมภกิ ษุณีแมนางไมช อบใจอะไร ? จึงตอบวา ทานเอย เราไมชอบใจชาตคิ วามเกิดจริง ๆลาํ ดบั นน้ั มารเม่ือแสดงวาสัตวท ี่เกิดแลว บริโภคกาม เพราะฉะนน้ั จึงปรารถนาชาติบา ง บริโภคกามบาง ไดก ลาวคาถาวา

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาท่ี 285 เหตุไฉน แมนางจึงไมช อบใจความเกิด เพราะ ผเู กดิ มาแลว ยอมบรโิ ภคกามทงั้ หลาย เชญิ แมน าง บรโิ ภคความยนิ ดใี นกามทั้งหลายเถดิ อยา ไดเ ปนผมู ี ความเดอื ดรอ นในภายหลังเลย. คาถานัน้ มคี วามวา เหตุน้นั เปนอยางไรเลา แมอ ปุ จาลา แมน างไมชอบใจ คอื ไมพอใจความเกิดดว ยเหตใุ ด เหตนุ ั้นก็ไมม ี เพราะเหตุทผ่ี ูเ กดิแลว ยอมบรโิ ภคกามท้ังหลาย คอื ผเู กิดแลวในโลกน้ี เม่ือซอ งเสพรปู เปน ตนทป่ี ระกอบดวยกามคุณ ยอ มช่ือวา บรโิ ภคกามสขุ แตกามสุขนน้ั ก็ยอ มไมม ีแกผูไมเ กิดแลว ฉะน้ันเชญิ แมนางบรโิ ภคความยนิ ดีในกามท้งั หลายเถิด คือเชิญทานเสวยความยนิ ดีในการเลนกับกามทั้งหลาย. บาทคาถาวา มาหุ ปจฉฺ านุ-ตาปน ี ความวา อยาไดเ ปนผมู ีความเดอื ดรอนในภายหลังวา เนอื้ หนมุ เราหาไดเ สวยกามสขุ ในเมอ่ื โภคสมบตั มิ ีอยไู มดงั นี้ อธิบายวา ธรรมดาวา ธรรมท้งั หลายในโลกนม้ี ปี ระโยชนป รากฏไปจนถึงวา ความตองการและมกี ารบรรลุประโยชนเปนประโยชน ความตองการมกี ามสุขเปน ประโยชน. พระเถรฟี ง คาํ น้นั แลว ก็ประกาศวา ชาติเปน เครื่องหมายแหงทุกขและวาตนกาวลวงวิสยั ของมารเสียแลว เม่ือขู จึงกลาวคาถาเหลา นว้ี า ผูเกดิ นาแลว กต็ อ งตาย ถกู ตดั มือเทา ถูกฆา ถกู จองจํา ผูเ กดิ มาแลว จาํ ตองประสบทุกข. พระสัมพทุ ธเจาเสด็จอุบตั ใิ นตระกลู ศากยะ ผู ทรงชนะแลวมอี ยู พระองคไ ดทรงแสดงธรรมอนั เปน อบุ ายลว งเสยี ซงึ่ ชาติ คอื ทุกข เหตุไมเกิดทุกข ความ ลว งทุกข อรยิ มรรคอันประกอบดว ยองค ๘ เปน

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ที่ 286 ทางดาํ เนนิ ใหถงึ ความระงบั ทกุ ขโปรดขาพเจา ขา พเจา ไดฟ งคาํ สอนของพระองคแลว ยินดอี ยูใ นพระศาสนา ขาพเจาไดบรรลุวชิ ชา ๓ แลว คาํ ส่ังสอนของพระ- พทุ ธเจา ขา พเจาไดท ําเสร็จแลว ขา พเจากาํ จดั ความ เพลิดเพลนิ ในส่ิงทัง้ ปวงไดแ ลว ทาํ ลายกองแหงความ มดื แลว ดกู อ นมารผมู ีใจบาป ทา นจงรูอ ยางนเ้ี ถิด ดูกอนมารผกู ระทําท่สี ดุ ตัวทา นขาพเจาก็กาํ จัดไดแลว. บรรดาคาถาเหลา นั้น บาทคาถาวา ชาตสสฺ มรณ โหติ ความวาเพราะเหตทุ ่ีความตายยอมมีแกสตั วผเู กิดมาแลว หามีแกสัตวผไู มเ กดิ ไม มใิ ชแตค วามตายอยา งเดียวเทา นั้น ทีแ่ ท โรคทัง้ หลายมีโรคชราเปน ตน มีประมาณเทาใด โรคเหลานน้ั แมท้ังปวงซ่ึงหาประโยชนมไิ ด มชี าติเปน เหตุยอ มมแี กผ ูเกดิ มาแลว ฉะนัน้ พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั วา เพราะชาติเปนปจจยั จงึเกดิ มี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส และอปุ ายาส ดว ยเหตุน้นั แล พระอปุ จาลาเถรจี ึงกลาววา หตฺถปาทาน เฉทน ไดแก การถกู ตัดมือและเทา ยอ มมแี กผ เู กดิ แลว หามแี กผ ไู มเกิดไม ก็ในขอ นี้พงึ เหน็ วาทานแสดงแมก รรมกรณ [การลงโทษ] ๓๒ อยา ง ไวดวยการอา งการถูกตดั มือเทา เปนตวั อยาง. สองบาทคาถาวา วธพนธฺ ปรเิ กลฺ ส ชาโต ทุกขฺ  นคิ จฺฉติความวา การถูกฆา มีการพรากชีวติ และการชกดว ยหมดั เปนตน การจองจาํ มีการจองจาํ ดวยโซต รวนเปน ตน และกรรมกรณอยางอื่นทกุ อยา ง ชื่อวา ทกุ ขผูเกดิ แลว ยอมไดประสบทกุ ขนั้นทัง้ หมด ผไู มเกิดหาประสบไม เพราะฉะนนั้เราจึงไมชอบใจความเกิด. บดั น้ี พระอุปจาลาเถรี เมอ่ื แสดงสวนเกินของกามทงั้ หลาย และตนกา วลว งกามไดตง้ั แตช าติเปนมูล จึงกลา วคาํ เปนตนวา มพี ระสัมพุทธเจา

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 287ผเู สด็จอบุ ตั ิในตระกลู ศากยะ. ในบทเหลา น้นั บทวา อปราชโิ ต ไดแกผอู ันมารไร ๆ มกี ิเลสมารเปน ตน ใหพ ายแพไ มไ ดแ ลว [คอื ชนะ] แทจ รงิพระศาสดาทรงเปน พระสพั พาภภิ ู ผูทรงครอบงาํ โลกพรอ มทั้งเทวโลกไวไดโดยแทจรงิ เพราะฉะนนั้ จึงเปน ผอู ันใครใหแ พม ไิ ด. คําทเ่ี หลอื งา ยท้งั นั้นเพราะมีนยั อันกลาวมาแลว . จบ อรรถกถาอปุ จาลาเถรคี าถา จบ อรรถกถาสตั ตกนิบาต อัฏฐกนิบาต ๑. สีสูปจาลาเถรีคาถา [๔๖๒] พระสีสปู จาลาเถรี กลา วคาถาเปน อทุ านวา ขาพเจาเปน ภกิ ษุณี สมบูรณด วยศลี สาํ รวมดี แลวในอินทรยี ทง้ั หลาย บรรลุสันตบทที่ใคร ๆ ทาํ ให เสยี หายมไิ ด มโี อชารส.มารผมู ีบาปกลา ววา แมน างจงต้งั จิตปรารถนาไวใ นหมเู ทพชั้น ดาว- ดงึ ส ช้ันยามา ช้นั ดุสิต ชัน้ นิมมานรดี ชัน้ ปรนิม- มิตวสวตั ดี ท่แี มน างเคยอยูมาแลว แตก อ นเถิด.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 288พระสีสูปจาลาเถรีกลาววา เทวดาชัน้ ดาวดึงส ชัน้ ยามา ช้นั ดุสิต ชนั้ นินมานรดี ชนั้ ปรนิมติ วสวัตดี พากันไปจากภพสู ภพ ทกุ ๆ กาล นําหนา อยแู ตในสักกายะ ลว ง สักกายะไปไมไ ด กแ็ ลน ไปหาชาตแิ ละมรณะ โลก ทง้ั ปวงถูกไฟไหมล ุกรงุ โรจนโชตชิ วง โลกทง้ั ปวง หวน่ั ไหวแลว พระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรม ทไี่ ม หวั่นไหว ชง่ั ไมได อนั ปุถชุ นเสพไมไดโปรดขา พเจา ใจของขาพเจา ยินดนี ักในธรรมนั้น ขา พเจาฟงคําสง่ั สอนของพระองคแลว ยนิ ดีอยใู นพระศาสนา วิชชา ๓ ขาพเจา กบ็ รรลแุ ลว คําสง่ั สอนของพระพุทธเจา ขาพเจากท็ ําเสรจ็ แลว ขา พเจากาํ จดั ความเพลดิ เพลนิ ในสง่ิ ทง้ั ปวงไดแลว ทาํ ลายกองแหงความมดื ไดแ ลว ดกู อ นมารผมู ีบาป ทานจงรอู ยา งนี้เถิด ดูกอ นมารผู กระทําทส่ี ดุ ถึงตวั ทานขาพเจา ก็กาํ จัดไดแลว. จบ สีสปู จาลาเถรคี าถา จบ อัฏฐกนิบาต

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาท่ี 289 อรรถกถาอฏั ฐกนิบาต ๑. อรรถกถาสีสูปจาลาเถรีคาถา ใน อัฏฐกนบิ าต คาถาวา ภิกฺขนุ ี สีลสมฺปนฺนา เปนตน เปนคาถาของพระสีสูปจาลาเถรี มวี ินจิ ฉัยดงั ตอไปนี้. เรอ่ื งของพระสสี ปู จาลาเถรแี มนนั้ กลาวไวแ ลว ในเร่ืองของพระจาลา-เถรี กพ็ ระสีสูปจาลาเถรแี มน ี้ ทราบวาทา นพระธรรมเสนาบดีบวชแลว กเ็ กดิความอุตสาหะข้นึ เอง บวชแลว ทาํ บุพกิจเสร็จ เขา ไปตัง้ วปิ สสนาพากเพียรพยายามอยู ไมน านกบ็ รรลุพระอรหัต ครน้ั บรรลุแลว อยูดวยสุขในผลสมาบัติ วนั หน่ึง พิจารณาการปฏิบตั ขิ องตนเกิดโสมนสั กก็ ลา วคาถาเปนอุทานวา ขา พเจา เปนภิกษุณีผสู มบรู ณดว ยศีล สาํ รวมดี ในอินทรยี ทัง้ หลาย ไดบ รรลุสนั ตบท อันใคร ๆ ให เสียหายมไิ ด มโี อชารส. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา สลี สมปฺ นฺนา ไดแก ประกอบบรบิ รู ณดว ยศลี ภิกษณุ ี ทีบ่ ริสุทธ.์ิ บาทคาถาวา อินทฺ รฺ เิ ยสุ สุส วตุ า ไดแ กสาํ รวมดีแลว ในอินทรยี ทั้งหลายมใี จเปน ที่ ๖ คอื เปนผูละราคะในอิฏฐารมณมีรูปเปนตน ละโทสะในอนฏิ ฐารมณแ ละละโมหะในการเพงอารมณท ไ่ี มสม่ําเสมอชอ่ื วา ปด อินทรียดว ยดีแลว. บาทคาถาวา อเสจนกโมชว ไดแ ก อริย-มรรคหรอื นิพพาน ซึ่งเปนโอสถระงับโรคคือกเิ ลส แมท ัง้ หมด. ความจรงิแมอ ริยมรรคควรกลา ววา สนั ตบท เพราะผูต อ งการนิพพานพึงปฏิบตั ิ และเพราะไมม คี วามเรา รอ นดวยกิเลส มารประสงคจะใหพระเถรีเคล่ือนจากสมาบัติโดย

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 290สง ไปในกามาวจรสวรรควา แมนางจงเกิดความรกั ใครใยดใี นกามาวจรสวรรคเถดิ จงึ กลา วคาถาน้ีวา แมนางจงต้ังจิตปรารถนาไวในหมูเทวดาชั้น ดาวดึงส ชนั้ ยามา ชั้นดสุ ิต ช้นั นิมมานรดี และชนั้ วสวตั ดี ท่แี มน างเคยอยูมาแลวแตก อนเถิด. สถานท่ี ๆ ชน ๓๓ คนทาํ บญุ รว มกนั เกิดแลว ชอ่ื วาดาวดงึ ส ผทู เ่ี กิดในช้นั ดาวดึงสน ้ันแมทัง้ หมด ช่อื เทพบุตรชันดาวดึงส. แตอ าจารยบางพวกกลา ววา คําวาดาวดึงสเ ปน เพยี งชือ่ ของเทวดาเหลา นนั้ เทา น้นั . ช่อื วาชัน้ ยามาเพราะเขาถงึ ทพิ ยสขุ พเิ ศษกวาเทวโลกทั้งสอง. ช่ือวาดสุ ิตเพราะยินดีรา เรงิ อยดู วยทิพยสมบัติ ช่ือวา ชั้นนมิ มานรดีเพราะเนรมติ โภคะทั้งหลายไดต ามชอบใจ ในเวลาทต่ี องการจะยนิ ดีเกินกวา อารมณท จี่ ดั ไวต ามปกติ. ช่ือวา ปรนิมมิตวสวตั ดีเพราะใชอ ํานาจใหเปนไปในโภคะทั้งหลาย ทผ่ี อู นื่ รคู วามชอบใจเนรมติ ให.บาทคาถาวา ตตถฺ จิตตฺ  ปณิเธหิ ความวา แมน างจงตง้ั จติ ของแมน าง คอืจงทําความใครเพอื่ เกิดในหมูเ ทวดามชี ้นั ดาวดึงสเปนตน น้ัน ทา นกลาวเทวดาช้นั ดาวดงึ สเ ปน ตนไวด ว ยประสงควา โภคสมบัติของเทพชั้นจาตุมมหาราชิกาเลวกวาเทวดาช้ันดาวดงึ สนอกนี.้ บาทคาถาวา ยตถฺ เต วสุ ิต ปเุ ร ไดแ กในหมเู ทวดาที่แมนางเคยอยูมากอ น ไดยินวา พระสีสูปจาลาเถรีนี้ เกิดอยใู นเทวดาทั้งหลายกอ น ไดช าํ ระทางสวรรคช ัน้ กามาวจร ๕ ชน้ั ต้งั แตช น้ั ดาวดงึ สลงมาอยชู ้นั ต่ําอกี ตง้ั อยูในชัน้ ดุสติ จตุ ิจากชัน้ น้นั แลว ไปบังเกิดในมนุษยในปจจุบัน. พระเถรีไดฟง คาํ นั้น แสดงความตนมใี จกลับออกไปจากกามและจากโลกวา มารเอย หยุดเกิด โลกกามาวจรท่ีทา นวา โลกอ่นื ๆ ก็ถูกไฟคอื

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ที่ 291ราคะเปนตน ไหมลุกโชนไปหมด จติ ของวญิ ูชน ยอ มไมยินดีในโลกน้นั เลยเมอ่ื ขมู ารนัน้ ไดกลาวคาถาเหลา น้นั วา เทวดาชั้นดาวดงึ ส ช้ันยามา ชั้นดุสิต ช้นั นิมมานรดี ชัน้ วสวตั ดี พากนั ไปจากภพเขา สภู พทกุ ๆ กาล นาํ หนา อยูแ ตใ นสกั กายะ ลวงสกั กายะไปไมไ ด ก็แลนไปหาชาตแิ ละมรณะ โลกท้งั ปวงลกู ไฟไหมลุก รงุ โรจนโ ชตชิ ว ง โลกท้งั ปวงหวน่ั ไหวแลว พระพุทธ- เจา ไดท รงแสดงธรรมอนั เปน ธรรมไมหว่ันไหว ชัง่ ไมไ ด เปน ธรรมอนั ปุถุชนเสพไมไ ดโ ปรดขาพเจา ใจ ของขาพเจา ยินดนี ักในธรรมนน้ั ขา พเจาไดฟงคําสั่ง สอนของพระองคแ ลว ยินดีอยใู นพระศาสนา วชิ ชา ๓ ขาพเจากบ็ รรลแุ ลว คําสั่งสอนของพระพุทธเจา ขา พเจา ก็ทําเสร็จแลว ขาพเจา กาํ จดั ความเพลิดเพลนิ ในสิ่ง ท้ังปวงไดแ ลว ทําลายกองแหงความมืดไดแลว ดกู อน มารผมู บี าป ทา นจงรอู ยางนีเ้ ถิดวา ตัวทานขา พเจา กก็ ําจดั ไดแลว . บรรดาบทเหลานนั้ บทวา กาล กาล ไดแ ก ตลอดกาลนน้ั ๆ .บทวา ภวาภว ไดแก จากภพสูภ พ. สกกฺ ายสมฺ ึ ไดแ ก เบญจขันธ บทวาปุรกขฺ ตา แปลวา ทาํ ไวขา งหนา ทานอธิบายวา มารเอย เทวดาชัน้ ดาวดงึ สเปนตน ที่ทา นกลา วเมอ่ื ไปจากภพสูภ พก็ดํารงอยใู นสกั กายะของตนอันอากลู ดว ยโทษหลายอยา งมคี วามไมเทีย่ งเปน ตน เพราะฉะนนั้ เทวดาจงึ เอาสกั กายะนาํหนา ในกาลนั้น ๆ คอื ในเวลาเกดิ ในเวลาทามกลาง ในเวลาทีส่ ุด ดํารงอยูในภพน้ัน จากนนั้ ไปก็ไมล วงพน สักกายะ ไมม งุ หนาออกจากทกุ ข ว่งิ ไปตาม

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 292ฝง สกั กายะเทา นั้น ชือ่ วาแลน ไปหาชาตแิ ละมรณะ เพราะถกู ราคะเปน ตนติดตามแลว ยอมแลน ไปหาชาติและมรณะอยูร่ําไป ยอ มไมห ลดุ พนไปจากชาติความเกิดและมรณะความตายนั้นได. บาทคาถาวา สพโฺ พ อาทีปโ ต โลโก ความวา มารเอย โลกช้นักามาวจรที่ทา นวา ท่ีเขาใจกันวาธาตสุ าม อยา งเดยี วเทาน้ันหามไิ ด โลกแมทง้ัหมด ไหมแลวดว ยไฟ ๑๑ กอง มไี ฟคือราคะเปน ตน . ชอ่ื วาลกุ เพราะถกู ไฟไหมลกุ อยูบอ ยๆ ชอ่ื วาโพลง เพราะลกุ โพลงเปน อันเดยี วกันช่วั นริ นั ดรชือ่ วาหวน่ั ไหวเพราะหวนั่ ไหว คือเคลอ่ื นไปทางโนน และทางน้ีดว ยตณั หาและดว ยกเิ ลสทุกอยา ง. พระผมู ีพระภาคพุทธเจา มพี ระทัยอันพระมหากรณุ าทรงตกั เตือนแลวไดท รงแสดงโลกตุ รธรรม ๙ อยาง ตา งดวยมรรคผลและนิพพาน ชือ่ วาเปนธรรมไมหวั่นไหวเพราะใคร ๆ ไมสามารถใหห วั่นไหวคอื เคล่ือนไหวไดในโลกทีถ่ กู ไฟไหม ลุกโพลงและหวัน่ ไหวแลว อยางนี้. ช่อื วาช่ังไมได เพราะไมม ผี ูเสมอื นพระองค เหตุทใ่ี คร ๆ ไมส ามารถจะช่ังไดโดยพระคณุ วา ประมาณเทา น.ี้ ชอื่ วาเปน ธรรมอนั ปถุ ชุ นเสพไมไ ด เพราะพระอรยิ ะมีพระพทุ ธเจาเปนตน เสพแลว เหตุดําเนนิ อยูในภาวนาเปนอารมณคอื ไดตรสั ประกาศแลว แกโ ลกพรอ มทั้งเทวโลก. ใจของเรายนิ ดียงิ่ นักในอรยิ ธรรมนน้ั อธิบายวาไมกลบั ไปจากอรยิ ธรรมน้นั คําท่ีเหลอื มนี ัยท่ีกลา วมาแลว ทั้งนั้น. จบ อรถกถาสสี ปู จาลาเถรคี าถา จบ อรรถกถาอฏั ฐกนบิ าต

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 293 นวกนิบาต ๑. วัฑฒมาตาเถรคี าถา [๔๖๓] พระวัฑฒมาตาเถรกี ลา วกะพระวัฑฒเถระผูเ ปน บุตรวา พอ วฑั ฒะ ตัณหาความอยากในโลก อยาไดมี แกพอ ไมวาในกาลไหน ๆ เลย พอ อยาเปน ภาคีมสี วน แหง ทกุ ขบอย ๆ เลยนะพอ. พอวัฑฒะ พระมุนที ้งั หลาย ไมม ีตัณหา ตดั ความสงสัยได เปนผเู ยอื กเยน็ ถึงความฝกฝนไมม ี อาสวะ อยเู ปนสขุ . พอวัฑฒะพอ จงพอกพนู มรรค ทางทท่ี านผูแ สวง คณุ เหลานั้นประพฤติกนั มาแลว เพอ่ื บรรลุทัศนะ เพ่ือ ทําทสี่ ุดทกุ ข.พระวัฑฒเถระกลาววา โยมมารดาบงั เกดิ เกลา กลา กลา วความนแ้ี กลกู โยมมารดา ลกู เขาใจวา ตณั หาของโยมมารดาคง ไมมแี นล ะ.พระเถรกี ลา ววา พอวฑั ฒะ สังขารอยา งใดอยางหน่งึ มที งั้ ตํา่ สงู กลาง ตัณหาของแมในสงั ขารเหลาน้ัน อณหู นึ่ง กด็ ี ขนาดเทาอณหู นึ่งกด็ ี ไมมเี ลย.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรีคาถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนา ท่ี 294 แมผไู มป ระมาท เพงฌานอยู สิน้ อาสวะหมด แลว วชิ ชา ๓ กบ็ รรลุแลว คาํ สอนของพระศาสดา ก็กระทาํ เสรจ็ แลว.พระวัฑฒเถระกลา ววา โยมมารดา มอบปะฏกั อนั โอฬารแกลกู แลวหนอ คือคาถาท่ีประกอบดวยปรมัตถ เหมืนคาถาอนุ- เคราะห. ลูกฟง คาํ สอนของโยมมารดาบังเกดิ เกลาก็ถึง ความสลดใจในธรรม เพ่ือบรรลุธรรมอันเกษมปลอด โปรง จากโยคะกิเลส. ลูกนัน้ มจี ติ เด็ดเด่ียวดว ยความเพียร ไมเกียจ ครานทง้ั กลางคืนกลางวัน อันโยมมารดาเตือนแลว ก็ สงบ สัมผัสสันติอนั ยอดเยี่ยม. จบ วัฑฒมาตาเถรีคาถา จบ นวกนบิ าต

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาท่ี 295 อรรถกถานวกนบิ าต ๑. วฑั ฒมาตเุ ถรคี าถา๑ ใน นวกนิบาต คาถาวา มา สุ เต วฑฒฺ โลกมหฺ ิ เปนตนเปน คาถาของ พระวัฑฒมาตุเถรี มวี นิ จิ ฉัยดงั ตอไปน.้ี พระเถรีแมร ูปนี้ กบ็ าํ เพ็ญบารมมี าในพระพุทธเจา พระองคก อนๆสรางสมกศุ ลอันเปนอปุ นสิ ยั แหงพระนพิ พานมาในภพนนั้ ๆมีสัมภารธรรมเคร่อื งปรุงแตง วิโมกขซง่ึ รวบรวมมาตามลาํ ดบั ในพทุ ธปุ บาทกาลนี้ ก็บังเกิดในเรือนสกุลในภารุกจั ฉนคร เจรญิ วัยแลวก็มีสามี คลอดบตุ รคนหน่งึ บุตรน้นั มชี ่อื วาวัฑฒะ นับต้งั แตน น้ั เขาก็เรยี กนางวาวฑั ฒมาตา นางฟง ธรรมในสํานกัภกิ ษณุ ี ไดศรัทธา ก็มอบบุตรแกพ วกญาติ แลวก็อยอู าศัยสํานักภิกษณุ ีเรอื่ งมาในบาลเี ทาน้ัน สวนพระวฑั ฒเถระบุตรของตน ทรี่ บี รอ นเขามาเย่ยี มตนในสาํ นกั ภกิ ษุณแี ตลําพัง พระเถรีนกี้ ็ตักเตอื นวา เหตุไรเจาจงึ รีบรอนมาในทนี่ ้ีแตลาํ พัง เมือ่ จะส่ังสอนจงึ กลา วคาถาเหลา น้ีวา พอ วัฑฒะ ตัณหาความอยาก อยาไดมแี กพอ ไมวา ในกาลไหนๆ เลย ลกู เอย พอ อยาไดเ ปน ภาคีมี สว นแหง ทุกขบอยๆ เลยนะพอ . พอ วัฑฒะ พระมุนีทงั้ หลาย ไมม ีตณั หาตัดความ สงสัยได เปนผเู ยือกเย็น ถึงความฝก ฝน ไมม ีอาสวะ อยเู ปนสุข.๑. บาลีเปน วฑั ฒมาตาเถรี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคี าถา เลม ๒ ภาค ๔ - หนาที่ 296 พอวัฑฒะ พอจงพอกพูนมรรค ทางท่ีทา นผแู สวง คุณเหลา นนั้ ประพฤตกิ ันมาแลวเพื่อบรรลทุ ัศนะ เพอ่ื ทาํ ท่ีสุดทกุ ข. บรรดาบทเหลานัน้ ในคําวา มา สุ เต วฑฺฒ โลกมหฺ ิวนโถ อหุ กุทาจน คําวา สุ เปนเพียงนบิ าต. ลกู วัฑฒะ ตณั หาความอยาก ในสตั วโ ลก และสงั ขารโลก แมท ้ังหมด อยาไดม ี อยาไดเ ปนแกลกู แมใ นกาลไร ๆ เลย ในขอ นัน้ พระเถรกี ลา วเหตวุ า ลูกเอย พออยามีสวนแหงทุกขม ีการเกิดไป ๆ มาๆ เปน ตนบอ ยๆ คอื เมื่อยังตัดตัณหา ความอยาก ไมขาด กอ็ ยาเปนภาคีมีสว นแหง ทกุ ข มกี ารเกิดไป ๆ มา ๆ เปนตนบอย ๆ ซึง่ มตี ณั หานัน้ เปน นมิ ิต พระเถรคี รน้ั แสดงโทษในการตดั กเิ ลสไมไดอยา งนี้แลว บัดน้ี เมอ่ื จะแสดงอานสิ งสในการตดั กิเลสได จงึ กลา ววา สุขหิ วฑฺฒ เปน ตน คาํ น้ันมคี วามวา ลกู วฑั ฒะ ทานท่ีช่อื วา มนุ ี เพราะเปน ผปู ระกอบดว ยโมเนยยธรรม ช่ือวา อเนชา เพราะไมมตี ัณหาท่ชี ่อื วา เอชาชอ่ื วา ตดั ความสงสยั ได เพราะละความสงสยั ไดดวยโสดาปตตมิ รรค ชือ่ วาเยอื กเย็น เพราะไมมีความเรา รอนดว ยกิเลสท้งั ปวง ชอื่ วา ถึงความฝก ฝนเพราะบรรลุความฝก ฝนอนั ยอดเย่ยี มไมม ีอาสวะ คอื สน้ิ อาสวะแลว ยอ มอยูเปนสขุ บดั นี้ ทกุ ขท างใจของทา นเหลา นนั้ ไมม ี ตอไปทกุ ขแ มท ุกอยา งก็จกัไมม กี นั เลย. เพราะเหตทุ เ่ี ปน อยางนีแ้ หละ ฉะนน้ั พระเถรีจงึ กลาววา เตหา-นุจิณณฺ  อสิ ีหิ ฯลฯ อนุพฺรูหย ความวา พอวัฑฒะ พอ จงพอกพนูพงึ จาํ เริญมรรค คือสมถวปิ สสนา ท่ีพระขณี าสพ ผแู สวงคุณอันยิ่งใหญเหลานัน้ ประพฤติตามๆ กนั คอื ปฏิบตั กิ นั มาแลว เพือ่ บรรลุ ญาณทัศนะ เพือ่ทําที่สดุ ทกุ ขใ นวัฏฏะ แมทั้งหมด.








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook