Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_24

tripitaka_24

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_24

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 133 ๔. มโนนวิ ารณสตู ร [๖๒] เทวดาทลู วา บคุ คลพึงหามใจแตอารมณใด ๆ ทุกขย อมไมมาถึงบุคคลน้นั เพราะอารมณ น้นั ๆ บคุ คลน้ันพงึ หามใจแตอารมณ ทัง้ ปวง บคุ คลนน้ั ยอ มพน จากทุกขเ พราะ อารมณท ง้ั ปวง. [๖๓] พระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา บคุ คลไมค วรหามใจแตอารมณ ทั้งปวง ที่เปนเหตุใหใ จมาถึงความสาํ รวม บาปยอมเกดิ ขนึ้ แตอารมณใด ๆ บุคคลพึง หา มใจแตอารมณน ้ัน ๆ. อรรกถามโนนิวารณสูตร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในมโนนิวารณสูตรที่ ๔ ตอ ไป :- บทวา ยโต ยโต ไดแก แตอารมณทีเ่ ปน บาป หรอื วาเปนบญุ . ไดย ินวา เทดานม้ี ีความเห็นอยา งนี้วา อารมณอ ยางใดอยา งหนึ่ง ที่เปนโลกีย หรอื ทเี่ ปนโลกุตระโดยประการตา ง ๆ มอี ารมณทเ่ี ปนกุศลเปนตนบุคคลพึงหา มใจเทานนั้ คอื ไมพึงใหอารมณนั้นเกดิ ขึ้น ดังน.้ี คําวา ส สพฺพ-

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 134โต แกเ ปน โส สพพฺ โต แปลวา บุคคลนน้ั . . .แตอารมณท ้ังปวง. ทีนัน้พระผมู ีพระภาคเจา ทรงดาํ รวิ า เทวดาน้ี ยอมกลา วถอยคําอันเปน อนยิ ยานกิ ะ(คําไมนาํ สตั วอ อกไปจากทุกข) ธรรมดาวา ใจ เปน ภาวะทีค่ วรหามก็มี ควรเจรญิ ก็มี เราจักจําแนกความขอนนั้ แสดงแกเธอ ดังน้ี จงึ ตรสั พระคาถาที่ ๒ วา น สพพฺ โต มโน นวิ ารเย มโน ยตตฺตมาคต ยโต ยโต จ ปาปก ตโต ตโต มโน นิวารเย. บุคคลไมค วรหา มใจแตอารมณท ัง้ ปวง ทเ่ี ปนเหตุใหใ จมาถึงความสํารวม บาป ยอ มเกิดข้ึนแตอ ารมณใด ๆ บุคคลพงึ หา ม ใจแตอ ารมณนัน้ ๆ. บรรดาคําเหลา น้ัน คาํ ท่พี ระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา มโน ยตตฺต-มาคต ไดแ ก ไมพ งึ หามใจโดยประการท้งั ปวง คือวา ธรรมอะไรๆทก่ี ลา วแลว ไมควรหามใจไปเสียทั้งหมด เพราะวา ธรรมทีเ่ ปน เหตุใหใจมาสูค วามสาํ รวมอนั ใด ท่เี กิดข้ึนโดยนัยวา เราจักใหท าน จักรักษาศลี อันเปน เหตนุ ํามาซง่ึ ความสํารวมใจเปน ตน น้ี บคุ คลไมพึงหา ม ดว ยวา ขอน้เี ปน ความพอกพูนเปน ความเจริญโดยแท. คําวา ยโต ยโต จ ปาปก ไดแ ก อกศุ ลยอมเกดิแตธรรมอะไร ๆ บุคคลพึงหามใจเฉพาะธรรมน้ัน ๆ ดังนแ้ี ล. จบอรรถกถามโนนิวารณสูตรท่ี ๔

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 135 ๕. อรหันตสตู ร[๖๔] ท. ภิกษใุ ดเปน ผไู กลจากกิเลส มี กิจทําเสรจ็ แลว มอี าสวะสิ้นแลว เปนผู ทรงไวซ ่ึงรา งกายอนั มใี นทีส่ ดุ ภิกษนุ ้นั พึงกลา ววา เราพดู ดังน้ีบาง บคุ คลท้งั หลาย อ่ืนพูดกะเราดังนบี้ าง.[๖๕] ภ. ภกิ ษุใดเปน ผูไกลจากกเิ ลส มี กิจทําเสร็จแลว มีอาสวะสิน้ แลว เปนผู ทรงไวซ ่งึ รา งกายอนั มีในท่ีสดุ ภกิ ษุนนั้ พึงกลา ววา เราพดู ดงั นบี้ าง บคุ คลทง้ั หลาย อ่ืนพูดกะเราดังนบ้ี าง ภกิ ษนุ น้ั ฉลาด ทราบคําพดู ในโลก พึงกลาวตามสมมติ ทพ่ี ูดกนั .[๖๖] ท. ภิกษใุ ดเปน พระอรหนั ต มีกิจ ทาํ เสร็จแลว มีอาสวะสิ้นแลว เปน ผูทรง ไวซ งึ่ รางกายอนั มใี นทส่ี ุด ภิกษุน้ันยังตดิ มานะหรอื หนอ จึงกลา ววา เราพูดดังน้ี บาง บคุ คลท้ังหลายอื่นพูดกะเรา ดงั น้ี บา ง.[๖๗] ภ. กเิ ลสเปน เครือ่ งผกู ท้งั หลาย มไิ ด มแี กภิกษุทลี่ ะมานะเสยี แลว มานะและ

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 136 คนั ถะท้ังปวง อนั ภกิ ษนุ ัน้ กําจัดเสยี แลว ภกิ ษุเปน ผมู ปี ญ ญาดี ลวงเสยี แลวซึ่งความ สําคญั ภกิ ษุน้ันพึงกลา ววา เราพูดดงั นี้ บาง บคุ คลทัง้ หลายอืน่ พูดกะเราดังนบ้ี าง ภกิ ษุน้ันฉลาด ทราบคําพดู ในโลก พงึ กลา วตามทพี่ ดู กัน. อรรถกถาอรหนั ตสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในอรหันตสตู รท่ี ๕ ตอไป :- บทวา กตาวี แปลวา มีกจิ ทําเสร็จแลว คอื มกี จิ อนั มรรค ๔ทําแลว . บทวา อห วทามิ ความวา เทวดาผูอยใู นไพรสณฑนีน้ ั้น ฟงโวหารของพวกภกิ ษอุ ยูปาพดู กันวา เราฉนั อาหาร เรานัง่ บาตรของเรา จวี รของเรา เปน ตน จึงคิดวา เราสําคญั วา ภิกษุเหลา นี้ เปนพระขณี าสพ กแ็ ตถอ ยคําอิงอาศยั ความเห็นวาเปนคนเปน สตั วช่ือเห็นปานนข้ี องพระขีณาสพท้งั หลาย มอี ยหู รือไมห นอ ดงั นี้ เพือ่ จะทราบความเปนไปนน้ั จึงไดกราบทลูถามแลว อยางนี้. พระผูมพี ระภาคเจาตรัสตอบวา ภิกษใุ ด เปนผไู กลจากกเิ ลสมกี จิ ทําเสร็จแลว มอี าสวะสนิ้ แลว เปน ผูทรงไวซงึ่ รางกายอันมีในทีส่ ดุ ภิกษุนั้นพึงกลา ววา เราพูดดงั นบี้ าง บคุ คลอืน่ ๆ พดู กะเราดังนบี้ าง ภิกษนุ ้ันฉลาด ทราบคําพดู ในโลก พงึ กลา วตามสมมติที่พดู กัน. บทวา สมฺ แปลวา คําพูด ถือเปนภาษาของชาวโลก เปนโวหารของชาวโลก. บทวา

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 137กสุ โล แปลวา ฉลาด คือ ฉลาดในธรรมมขี นั ธเปนตน. บทวา โวหาร-มตฺเตน แปลวา กลาวตามสมมติทพี่ ดู กนั ไดแก เม่ือละเวน ถอยคําอนั -องิ อาศัยความเหน็ เปนคนเปนสตั วแลว ไมนาํ คําทีพ่ ูดใหแตกตา งกนั จึงสมควรที่จะกลา ววา เรา ของเรา ดังน้ี จรงิ อยู เม่ือเขากลา ววา ขนั ธท ั้งหลายยอ มบริโภค ขนั ธทง้ั หลายยอมนัง่ บาตรของขันธท ้งั หลาย จีวรของขนั ธทั้งหลาย ดงั นี้ ความแตกตางกันแหงคําพดู มอี ยู แตใ คร ๆ กท็ ราบไมไ ดเพราะฉะนน้ั พระขีณาสพ จึงไมพ ูดเชน น้ัน ยอมพดู ไปตามโวหารของชาวโลกนัน่ แหละ. ลําดบั น้ัน เทวดาจงึ คิดวา ถาภกิ ษุน้ีไมพ ูดดวยทฐิ ิ กต็ องพดู ดวยอาํ นาจแหงมานะแน จงึ ทูลถามอีกวา โย โหติ เปน ตน แปลวา ภิกษุใดเปน พระอรหันต มีกจิ ทําเสร็จแลว มีอาสวะส้ินแลว เปนผทู รงไวซ่งึ รางกายอันมใี นทสี่ ดุ ภิกษุนนั้ ยงั ตดิ นานะหรอื หนอ จงึ กลาววา เราพดู ดังน้ีบา งคนอน่ื ๆ พดู กะเราดังนบี้ าง. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ยงั ติดมานะหรือหนอ ไดแ ก ภกิ ษนุ ้ัน ยงั ตดิ มานะ พงึ กลา วดวยสามารถแหงมานะ หรอื หนอ. ลาํ ดับน้ัน พระผมู พี ระภาคเจา ทรงดาํ ริวา เทวดานย้ี อ มทําพระ-ขณี าสพเหมือนบุคคลมีมานะ ดงั นี้ เม่ือจะทรงแสดงวา มานะแมท ัง้ ๙ อยางพระขีณาสพละไดหมดแลว จงึ ตรัสพระคาถาตอบวา กิเลสเปนเครื่องผกู ทั้งหลาย มิไดมี แกภ ิกษทุ ่ีละมานะเสยี แลว มานะและ คันถะท้งั ปวงอันภกิ ษุน้ันกําจัดเสียแลว ภิกษเุ ปนผมู ีปญญาดลี ว งเสยี แลว ซง่ึ ความ สาํ คัญตน ภกิ ษนุ ้นั พงึ กลาววา เราพดู

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 138 ดงั น้บี า ง บคุ คลทงั้ หลายอนื่ พดู กะเราดังน้ี บาง ภิกษนุ น้ั ฉลาด ทราบคําพดู ในโลก พงึ กลาวความสมมตทิ ีพ่ ดู กนั . บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา วธิ ูปตา แปลวา กาํ จัดเสียแลว . บทวามานคนฺถสสฺ แปลวา มานะและคันถะ. . .อันภิกษุน้นั . คําวา สมฺ หมายถงึ คําพูดทสี่ าํ คัญตน. อธิบายวา พระขณี าสพนั้นเปนผคู รอบงําไดแลวคอื กาวลวงแลว ซงึ่ ความสาํ คญั ตนในตัณหา ทิฏฐิ และมานะ. คาํ ทเ่ี หลือมีเน้ือความงา ยทง้ั นนั้ แล. จบอรรถกถาอรหันตสูตรท่ี ๕

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 139 ๖. ปชโชตสตู ร[๖๘] เทวดากลาววา โลกยอมรุงเรอื งเพราะแสงสวา ง ทั้งหลายใด แสงสวางท้ังหลายนั้นยอมมอี ยู เทาไรในโลก ขาพระองคทง้ั หลายมาเพอื่ จะทูลถามพระผูมีพระภาคเจา ไฉนจะรูจ กั แสงสวา งทท่ี ลู ถามนั้น.[๖๙] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา แสงสวา งทั้งหลายในโลกมีอยู ๔ อยา ง แสงสวา งท่ี ๕ มิไดมใี นโลกน้ี ดวงอาทิตยสวา งในกลางวัน ดวงจนั ทร สวางในกลางคืน อนงึ่ ไฟยอมรงุ เรืองใน กลางวันและกลางคนื ทุกหนแหง พระ- สัมพทุ ธเจา ประเสริฐกวาแสงสวา งทั้งหลาย แสงสวา งของพระสัมพุทธเจา เปนแสง- สวา งอยางเยี่ยม.

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 140 อรรถกถาปช โชตสตู ร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในปชโชตสตู รที่ ๖ ตอ ไป :- บทวา ปฏุ  แกเปน ปุจฉฺ ติ  แปลวา เพื่อจะทูลถาม. บทวากถ ชาเนมุ แกเ ปน กถ ชาเนยฺยาม แปลวา ไฉนขา พระองคจ กั ทราบ. พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสตอบวา แสงสวางท้งั หลายในโลกมอี ยู ๔ อยาง แสงสวางที่ ๕ มไิ ดม ใี นโลกนี้ ดวง- อาทิตยสวา งในกลางวัน ดวงจนั ทรส วา ง ในกลางคนื อนง่ึ ไฟยอมรงุ เรอื งใน กลางวนั และกลางคนื ทกุ หนแหง พระสัม- มาสมั พุทธเจาประเสรฐิ กวาแสงสวา งทัง้ - หลาย แสงสวา งของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา เปน แสงสวา งอยางเยยี่ ม. บทวา ทวิ ารตฺตึ แปลวา ในกลางวันและกลางคนื . บทวา ตตถฺตตฺถ แปลวา ทกุ หนแหง คอื สวา งไสวในที่นน้ั ๆ นน่ั แหละ. บทวาเอสา อาภา แปลวา แสงสวา งของพระพุทธเจา น้.ี ถามวา แสงสวางของพระพทุ ธเจานี้ เปน ไฉน. ตอบวา แสงสวา งแมทั้งปวงเหลาน้ี คอื แสงสวางคอื ฌานก็ตาม แสงสวางคอื ปต ิก็ตาม แสงสวางคือปสาทะก็ตาม แสงสวางคอืธรรมกถาก็ตาม จงยกไว แสงสวางอนั เกิดข้ึนเพราะความปรากฏแหง พระ-พุทธเจา ทั้งหลายชอ่ื วา แสงสวา งแหงพระพุทธเจา แสงสวา งนเี้ ทาน้ันยอดเย่ียมประเสรฐิ สงู สุดกวา แสงสวา งท้งั หมด ไมม แี สงสวา งอืน่ เทียบได ดังนี้แล. จบอรรถกถาปช โชตสตู รท่ี ๖

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 141 ๗. สรสตู ร [๗๐] เทวดากลา ววา สงสารท้งั หลายยอมกลบั แตท ี่ไหน วัฏฏะยอ มไมเ ปนไปในท่ไี หน นามก็ดี รปู ก็ดี ยอ มดบั หมดในทไี่ หน. [๗๑] พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา น้ํา ดิน ไฟ ลม ยอ มไมต งั้ อยูในท่ใี ด สงสารทัง้ หลายยอ มกลบั แตทีน่ ้ี วฏั ฏะยอ มไมเปน ไปในท่ีน้ี นามกด็ ี รูปก็ดี ยอมดบั หมดในที่น.้ี อรรถกถาสรสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในสรสูตรท่ี ๗ ตอ ไป :- บทวา กโุ ต สรา นิวตฺตนฺติ ไดแก ความทองเทย่ี วไปในสงสารน้ียอ มส้ินสดุ ลงแตท ีไ่ หน. อธบิ ายวา เทวดายอมทลู ถามวา สงสารทง้ั หลายอาศัยอะไร จงึ ไมเปนไป ดังน.้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ตอบวา ดินน้ําไฟลม ยอ มไมตัง้ อยใู นท่ใี ด สงสารท้งั หลายยอ มสน้ิ สดุ ลงแตท น่ี ้ี วฏั ฏะ

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 142 ยอมไมเปน ไปในทนี่ ี้ นามก็ดี รปู กด็ ี ยอ มดับหมดในท่นี ี้. บทวา น คาธติ แปลวา ไมต้งั อย.ู บทวา อโต แปลวาแตท ี่น้ี คือ แตพ ระนพิ พาน. คําทเี่ หลืองา ยทัง้ สิ้น ดังน้แี ล. จบอรรถกถาสรสูตรท่ี ๗

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 143 ๘. มหัทธนสตู ร[๗๒] เทวดากลาววา กษัตริยท้ังหลายมีทรพั ยมาก มสี มบัติ มาก ทัง้ มแี วน แควน ไมรจู ัดพอใน กามท้งั หลาย ยอ มแข็งขนั ซงึ่ กันและกนั เมื่อกษัตริยท ง้ั หลายนั้นมวั ขวนขวาย ลอย ไปตามกระแสแหงภพ บุคคลพวกไหน ไมม ีความขวนขวาย ละความโกรธและ ความทะเยอทะยานเสยี แลว ในโลก.[๗๓] พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา บุคคลท้งั หลาย ละเรือน ละบุตร ละปศุสตั วท่รี กั บวชแลว กาํ จัดราคะ โทสะ และอวิชชาเสยี แลว เปน ผูม ีอาสวะ สน้ิ แลว เปน ผไู กลจากกเิ ลส บคุ คล พวกน้นั เปนผไู มข วนขวายในโลก.

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 144 อรรถกถามหทั ธนสูตร พึงทราบวินจิ ฉยั ในมหทั ธนสตู รท่ี ๘ ตอไป :- บุคคลชือ่ วา มีทรัพยม าก เพราะอรรถวา ทรัพยของเขาอนั เปนสาระมีแกวมุกดาเปนตน มีมาก. บคุ คลมโี ภคะมาก (สมบัตมิ าก) เพราะอรรถวาเขามีมหาโภคะอนั เปนภาชนะที่ทําดว ยทองและเงนิ เปน ตนมาก. บทวาอฺญมฺ าภคิ ชิ ฌฺ นฺติ แปลวา ยอมตองการ ของกันและกัน คือยอมปรารถนา ยอมรษิ ยาของกันและกัน. บทวา อนลงฺกตา แปลวา ไมรจู กั พอคอื ไมร จู กั อมิ่ เกดิ ความอยากไมสิ้นสุด บทวา อสุ สฺ กุ ฺกชาเตสุ แปลวามีความขวนขวาย คือพยายามเพอื่ ตองการสิ่งที่ชอบใจทัง้ หลายอันมรี ูปเปนตนที่ยังไมเ กดิ ขน้ึ ใหเกดิ ข้นึ ในบรรดาสงิ่ ทชี่ อบใจซง่ึ มลี ักษณะตา ง ๆ เพ่ือตองการเสวยสงิ่ ที่เกิดขน้ึ . บทวา ภวโสตานสุ าริสุ แปลวา ลอยไปตามกระแสแหง ภพ ไดแ กแลนไป ตามกระแสแหงวฎั ฏะ. บทวา อนุสฺสุกา แปลวา ไมมีความขวนขวาย ไดแ ก เพราะไมมสี ง่ิ เบยี ดเบียน. ลําดบั นนั้ พระผูมพี ระภาคเจาตรสั วา บคุ คลทงั้ หลายละเรอื น ละบุตร ละปศสุ ตั วท่รี ัก บวชแลวกาํ จัดราคะโทสะ และอวิชชาเสยี แลว เปน ผูม อี าสวะส้นิ แลว เปนผไู กลจากกเิ ลส บุคคลพวกน้นั เปน ผไู มขวนขวายในโลก. บทวา อคาร แปลวา เรือน ไดแก บา นพรอ มท้งั มาตุคาม.บทวา วิราชยิ า แปลวา กาํ จดั แลว ไดแก ทําลายแลว. คาํ ท่ีเหลอื งายทั้งนั้น. จบอรรถกถามหัทธนสูตรท่ี ๘

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 145 ๙. จตจุ ักกสูตร[๗๔] เทวดากลา ววา ขา แตพระองคผ มู ีความเพียรมาก สรรี ะมจี กั ร ๔ มที วาร ๙ เตม็ ดว ยของไม สะอาด ประกอบดว ยโลภะ ยอ มเปน ดังวา เปอกตม ความออกไป (จากทุกข) จักมี ไดอ ยางไร.[๗๕] พระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา ตดั ความผกู โกรธดว ย กเิ ลสเปน เคร่ืองรอยรัดดว ย ความปรารถนาและ ความโลภอันลามกดวย ถอนตณั หาอันมี อวชิ ชาเปนมลู เสยี แลว อยางนี้ ความออก- ไป (จากทุกข) จงึ จกั มีได.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 146 อรรถกถาจตจุ ักกสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในจตุจักกสตู รที่ ๙ ตอ ไป :- บทวา จตุจกฺก แปลวา มีจกั ร ๔ ไดแ ก อิรยิ าบถ ๔ เพราะในท่ีน้ีอริ ิยาบถทา นเรยี กวาจกั ร. บทวา นวทฺวาร แปลวา ทวาร ๙ ไดแ ก ทวาร๙ ซ่งึ มปี ากแผล ๙ แหง . บทวา ปณุ ณฺ  แปลวา มอี สจุ ิเต็มแลว คือ เต็มไปดวยของไมส ะอาด. บทวา โลเภน ส ยตุ ตฺ  แปลวา ประกอบดว ยโลภะคอื วา สัมปยตุ ดวยตัณหา. บทวา กถ ยาตรฺ า ภวสิ ฺสติ นี้เทวดายอมทูลถามวา การออกไป (จากทกุ ข) แหง สรีระน้ี เหน็ ปานน้ี จกั มีไดอยางไรคือวา ความพน ความพนรอบ ความกาวลวง อยา งดี จกั มีไดอ ยางไร ดงั น.ี้ พระผมู ีพระภาคเจาตรัสตอบวา เฉตฺวา นทธฺ ึ วรตฺตฺจ อิจฺฉาโลภฺจ ปาปก สมลู  ตณหฺ  อพพฺ ุยหฺ เอว ยาตฺรา ภวิสฺสติ ตัดความผูกโกรธดว ย กิเลสเปน เคร่อื งรอยรดั ดวย ความปรารถนาและ ความโลภอันลามกดว ย ถอนตัณหาอนั มี อวชิ ชาเปน มลู เสียแลว อยางนี้ ความออก- ไป (จากทุกข) จึงมีได. บทวา นทฺธึ แปลวา ความผกู โกรธ อธบิ ายวา ความโกรธมกี อ นภายหลงั ความโกรธมีกําลงั เปน ไปแลว อยางน้ี จงึ ช่อื วา ความผูกโกรธ. บทวาวรตตฺ  แปลวา กเิ ลสเปนเครื่องรอยรดั ไดแก ตดั ความผกู โกรธ และเครือ่ งรอยรัด. ชือ่ ความเกย่ี วขอ งกันแหง ตัณหาและทฏิ ฐิ ทานกลาวไวใน

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 147คาถาวา สนธฺ าน สหนุกกฺ ม แตใ นท่นี ี้ ยกเวน กเิ ลสท่ที า นอธิบายไวใ นพระบาลีแลว กิเลสที่เหลือ พึงทราบวา เปนเครื่องรอ ยรดั เพราะฉะน้ันจงึ ตรสั วา ตดั กเิ ลสเปนเครือ่ งรอยรดั ดงั น.้ี บทวา อิจฉฺ าโลภ นพ้ี ระผมู ี-พระภาคเจา ตรัสไวว า ธรรมอนั หนึง่ น้ีแหละ ชอื่ วา โลภะ เพราะอรรถวาปรารถนา เพราะอรรถวา ความอยากและความตอ งการ. อีกอยางหน่ึง ความอยากมกี าํ ลงั ทรามเกดิ ข้นึ ครง้ั แรก ความโลภมีกาํ ลงั เกดิ ขน้ึ ในเวลาตอ ๆ มา. อีกอยางหนึ่ง ความปรารถนาในวตั ถุอนั ตนยงั ไมได ชื่อวา ความอยาก ความยนิ ดใี นวัตถอุ นั ตนไดแลว ชื่อวา ความโลภ. บทวา สมูล ตณฺห ไดแกตณั หาอนั มีมูล โดยมอี วิชชาเปนมูล. บทวา อพฺภุยฺห ไดแ ก อนั มรรคถอนขน้ึ แลว. คาํ ท่เี หลอื งา ยท้ังนน้ั แล. จบจตุจกั กสตู รที่ ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 148 ๑๐. เอณิชังฆสตู ร[๗๖] เทวดากลาววา พวกขา พระองคเ ขา มาเฝาแลว ขอ ทูลถามพระองคผมู ีความเพยี ร ซูบผอม มแี ขงดงั เน้อื ทราย มอี าหารนอย ไมมี ความโลภ เปน เหมอื นราชสีหแ ละชางเทย่ี ว ไปโดดเดยี่ ว ไมมีหว งใยในกามทง้ั หลาย บคุ คลจะพน จากทกุ ขไดอยางไร.[๗๗] พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา กามคุณ ๕ มีใจเปนที่ ๖ บณั ฑติ ประกาศแลว ในโลก บุคคลเลิกความ พอใจในนามรปู มไิ ดแลว ก็พนจากทกุ ข ไดอ ยา งน.้ี จบเอณชิ ังฆสูตรที่ ๑๐ จบสัตติวรรค ท่ี ๓

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 149 อรรถกถาเอณชิ งั ฆสตู ร พึงทราบวินจิ ฉยั ในเอณชิ ังฆสูตรท่ี ๑๐ ตอไป :- บทวา เอณชิ งฆฺ  แปลวา มพี ระชงฆ (แขง ) กลมเรยี วเรียบ ดังแขง เน้อื ทราย. บทวา กีส ไดแก มีพระสรรี ะสมํ่าเสมอ ไมอ ว น. อีกอยางหน่ึง อธิบายวา มีพระตจะ (หนึง่ ) มไิ ดเหีย่ วแหง คือ มพี ระสรรี ะงามโดยมิตอ งพอกพนู ดว ยกลิ่นดอกไม และเคร่อื งลูบไลทง้ั หลาย. บทวา วรี แปลวา มีความเพียร. บทวา อปปฺ าหาร ไดแ ก มีอาหารนอย เพราะความเปน ผรู จู กัประมาณในการเสวยพระกระยาหาร. อีกอยา งหนง่ึ ชือ่ วา มอี าหารนอ ย เพราะมิไดเ สวยในเวลาวกิ าล. บทวา อโลลปุ ฺป แปลวา ไมม คี วามโลภ ไดแกทรงปราศจากความอยากในปจจัย ๔. อกี อยา งหนง่ึ ความไมม ีความโลภนี้ คอืมิไดมีรสตณั หา. บทวา สหี  เวกจร นาค ไดแ กเ ปน เหมือนราชสหี  และชา งตวั ประเสรฐิ เท่ียวไปโดดเดยี ว. เพราะวาบุคคลผอู ยูเ ปนหมู ยอ มเปน ผปู ระมาทผูเทยี่ วไปแตผูเดยี ว ยอมเปน ผไู มป ระมาท. เพราะฉะนน้ั ความเปนผไู มประมาท ทา นจึงถือเอาวา ผูเทย่ี วไปผเู ดยี วนัน่ แหละ. พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ตอบวา ปฺจ กามคณุ า โลเก มโนฉฏา ปเวทติ า เอตฺถ ฉนฺท วริ าชิตฺวา เอว ทกุ ฺขา ปมุจจฺ ต.ิ กามคุณ ๕ มีใจเปนท่ี ๖ บณั ฑิต ประกาศแลวในโลก บคุ คลเลิกความพอใจ ในนามรปู น้ีไดแ ลว ก็พนจากทกุ ขไ ด อยางน.ี้

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 150 บทวา ปเวทติ า แปลวา ประกาศแลว คือ บอกแลว. บทวา เอตฺถแปลวา ในนามรูปน.้ี จริงอยู รูปทานถอื เอาดว ยสามารถแหง กามคณุ ๕ สวนนามทานถือเอาใจ. กแ็ ล บัณฑติ ควรถอื เอานามและรปู ทง้ั สองโดยไมแยกจากกัน แลวพงึ ประกอบพื้นฐานในนามและรปู นี้ ดวยสามารถแหง ธรรมมขี นั ธ ๕เปน ตนเถดิ . จบอรรถกถาเอณิชงั ฆสูตร ที่ ๑๐ จบอรรถกถาสัตตวิ รรค ที่ ๓ รวมพระสูตรที่กลาวในสตั ติวรรคนัน้ มี สัตติสูตร ผุสตสิ ูตร ชฏาสตู รมโนนวิ ารณสูตร อรหันตสตู ร ปชโชตสูตร สรสูตร มหทั ธนสตู ร จตุจักกสตู รและเอณิชงั ฆสูตร ครบ ๑๐ สูตร พรอมทง้ั อรรถกถา.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook