Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_24

tripitaka_24

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_24

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 67 อรรถกถาอรัญญสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในคาถาท่ี ๑๐ ตอไป :- บทวา สนตฺ าน ไดแ ก ผมู กี ิเลสอนั สงบระงับแลว อีกอยา งหนึ่งไดแ กบ ณั ฑติ . แมบ ณั ฑติ ทานกเ็ รยี กวา สตั บุรษุ เชน ในคาํ มอี าทวิ า สนฺโตทเว สพภฺ ิ ปเวทยนฺติ ทเู ร สนโฺ ต ปกาเสนตฺ ิ ดังนก้ี ็ม.ี บทวาพฺรหมฺ จารนิ  แปลวา ผพู ระพฤตธิ รรมอันประเสรฐิ คอื ผอู ยปู ระพฤติมรรคพรหมจรรย. หลายบทวา เกน วณฺโณ ปสที ติ ความวา เทวดาทูลถามวาผวิ พรรณของภกิ ษุผูอยปู า ยอ มผองใส ดวยเหตอุ ะไร. ถามวา ก็เพราะเหตุไรเทวดานีจ้ งึ ทูลถามอยางน้.ี ตอบวา ไดยนิ วา เทวดานเี้ ปน ภมุ มเทวดาอาศัยอยูในไพรสณฑเห็นภกิ ษทุ ้ังหลาย ผอู ยูปา กลบั จากบณิ ฑบาตหลงั ภัตแลว เขาไปสูปา ถอื เอาลกั ษณกรรมฐาน (กรรมฐานตามปกติวิปสสนา) ในทเี่ ปน ท่พี กัในเวลากลางคืน และที่เปนที่พกั ในเวลากลางวันเหลา น้ันน่ังลงแลว. กเ็ ม่ือภิกษเุ หลา นัน้ นงั่ ดว ยกรรมฐานอยางนีแ้ ลว เอกคั คตาจติ ซง่ึ เปนเคร่อื งชาํ ระของทานกเ็ กิดขึน้ . ลําดับนนั้ ความสืบตอ แหง วสิ ภาคะกเ็ ขาไปสงบระงับ.ความสบื ตอ แหง สภาคะหย่ังลงแลว จิตยอมผองใส เมื่อจติ ผอ งใสแลว โลหติก็ผองใส. อปุ าทารูปทงั้ หลาย ซง่ึ มีจิตเปนสมุฏฐาน ยอมบริสทุ ธ์.ิ วรรณะแหงหนา ยอ มเปนราวกะสแี หงผลตาลสุกที่หลดุ จากข้ัวฉะนัน้ . เทวดาน้ัน คร้ันเห็นภกิ ษุเหลาน้นั แลว จึงดํารวิ า ธรรมดาวา สรรี ะวรรณะ (ผวิ พรรณแหง รา งกาย) น้ี ยอมผอ งใสแกบ ุคคลผูไดอยซู ึ่งโภชนะทั้งหลายอนั สมบูรณมีรสอันประณีต ผูมที ี่อยูอาศยั เคร่ืองปกปด ท่ีนั่งทน่ี อนมี

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 68สมั ผัสอนั สบาย ผไู ดปราสาทตา ง ๆ มปี ราสาท ๗ ชั้นเปน ตน อันใหค วามสขุทกุ ฤดูกาล และแกผ ไู ดว ตั ถุท้งั หลาย มรี ะเบียบดอกไมของหอม และเคร่ืองลูบไลเ ปนตน แตภิกษเุ หลา นี้เท่ยี วบิณฑบาตฉนั ภตั ปะปนกัน ยอ มสาํ เรจ็การนอนบนเตียงนอ ยทําดวยใบไมต า ง ๆ หรือนอนบนแผนกระดาน หรือบนศลิ า ยอมอยใู นท่ีท้ังหลายมโี คนไมเ ปนตน หรือวา ทก่ี ลางแจง วรรณะของภิกษเุ หลาน้ี ยอ มผอ งใส เพราะเหตุอะไรหนอแล ดังน้ี เพราะฉะนน้ั จึงไดทลู ถามขอ ความน้นั กะพระบรมศาสดา. ลําดับนนั้ พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือจะตรสั ถงึ เหตนุ ้นั แกเ ทวดา จงึตรสั พระคาถาที่ ๒. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา อตีต ความวา พระเจา-ธรรมิกราช พระนามโนน ไดม ใี นกาลอนั ลว งแลว . พระราชาพระองคน้ันไดถวายปจจัยทงั้ หลายอันประณีต ๆ แกพวกเรา. อปุ ช ฌายอ าจารยของเราเปน ผูมีลาภมาก ครง้ั นนั้ พวกเราฉันอาหารเหน็ ปานนี้ หมจวี รเห็นปานนี้ ภกิ ษุเหลา น้ี ยอมไมตามเศรา โศก ถึงปจจัยที่ลวงมาแลว เหมอื นภิกษผุ มู ปี จ จยัมากบางพวก อยา งนี้ดวยประการฉะน.้ี สองบทวา นปฺปชปฺปนฺติ นาคต อธิบายวา พระเจาธรรมิกราชจักมีในอนาคต ชนบทท้งั หลายจกั แผไป วตั ถุทง้ั หลายมีเนยใสเนยขนเปนตนจักเกดิ ข้ึนมากมาย ผบู อกกลาวจกั มใี นทนี่ ้นั ๆ วา ขอทา นท้ังหลายจงเค้ยี วกนิจงบริโภคเปน ตน ในกาลน้ัน พวกเราจกั ฉันอาหารเห็นปานนี้ จักหมจวี รเหน็ ปานนี้ ภิกษุท้ังหลายเหลา น้ี ยอ มไมปรารถนาปจ จัยท่ยี ังมาไมถ ึงอยา งนี้ดว ยประการฉะนี้. บทวา ปจฺจปุ ฺปนฺเนน ความวา ยอ มเลีย้ งตนเองดว ยปจ จยัอยางใดอยางหนึง่ ท่ีไดใ นขณะน้ัน. บทวา เตน ไดแ ก ดว ยเหตุแม ๓ อยางนัน้ .พระผูมพี ระภาคเจา ครน้ั แสดงการถงึ พรอมแหงวรรณะอยางนแี้ ลว บัดน้ี

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 69เมอื่ จะแสดงความพนิ าศแหงวรรณะนนั้ นั่นแหละ จึงตรัสพระคาถาในลาํ ดบั นน้ั .บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา อนาคตปฺปชปฺปาย แปลวา เพราะปรารถนาปจ จยั ท่ยี งั ไมมาถึง. บทวา เอเตน ไดแ ก ดวยเหตุทั้ง ๒ น.้ี บทวา นโฬวหริโต ลโุ ต อธบิ ายวา พวกพาลภิกษจุ กั ซูบซดี เหมือนตนออสดท่ีบคุ คลถอนทิง้ ท่ีแผน หนิ อนั รอน จกั เหย่ี วแหง ฉะน้ันแล. จบอรรถกถาอรัญญสูตร ที่ ๑๐ จบนฬวรรคท่ี ๑ รวมพระสูตรในนฬวรรคท่ี ๑ ๑. โอฆตรณสูตร ๒. นโิ มกขสูตร ๓. อุปเนยยสตู ร ๔. อัจเจนตสิ ตู ร๕. กตฉิ นิ ทิสตู ร ๖. ชาครสตู ร ๗. อปั ปฏวิ ิทิตสตู ร ๘. สุสัมมฏั ฐสูตร๙. มานกามสูตร ๑๐. อรัญญสูตร พรอมทั้งอรรถกถา

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 70 นันทหวรรคท่ี ๒ ๑. นนั ทนสตู ร วา ดว ยคาํ ของพระอรหนั ต [๒๓] สมัยหนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวนัอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวตั ถี ณ ที่นั้นแล พระผูมีพระภาคเจาตรสั เรียกภิกษุท้งั หลายวา ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุเหลา น้ันทลู รับพระดํารสัของพระผมู พี ระภาคเจา แลว. [๒๔] พระผมู พี ระภาคเจาตรัสพระพุทธพจนน ี้วา ดูกอนภิกษทุ งั้หลาย เรอ่ื งเคยมมี าแลว พวกเทวดาชนั้ ดาวดงึ สองคหนึ่งแวดลอมดว ยหมูนางอปั สร อิม่ เอบิ พรงั่ พรอ มดวยเบญจกามคุณอนั เปนทิพย พวกนางอปั สรบาํ เรออยใู นสวนนนั ทนวันไดก ลาวคาถานีใ้ นเวลานนั้ วา เทวดาเหลา ใดไมเห็นนันทนวนั อัน เปน ทีอ่ ยขู องหมนู รเทพ สามสิบ ผูมยี ศ เทวดาเหลานนั้ ยอ มไมรจู กั ความสขุ . [๒๕] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เมอื่ เทวดานั้นกลาวอยา งนแ้ี ลว เทวดาองคหน่งึ ไดยอ นกลา วกะเทวดานน้ั ดว ยคาถาวา ดูกอ นทา นผูเ ขลา ทานยอมไมร ูจกั คําของพระอรหันตทงั้ หลายวา สงั ขารทัง้ ปวงไมเที่ยง มีความเกิดขนึ้ และเส่อื มไป เปน ธรรมดา เกดิ ข้ึนแลว ก็ดบั ไป ความ สงบระงบั สงั ขารเหลา น้นั เสียไดเปน สขุ .

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 71 อรรถกถานนั ทนสูตร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในสูตรท่ี ๑ แหง นันทนวรรคตอ ไป:- บทวา ตตรฺ แปลวา ในพระอารามนัน้ . ศพั ทว า โข สักวาเปนนิบาตอันสามารถทาํ พยัญชนะใหส ละสลวย. บทวา ภกิ ฺขู อามนฺเตสิ ไดแกยอ มใหภ ิกษุทงั้ หลายซึง่ เปน บรษิ ัทผูเลศิ ทราบ. บทวา ภกิ ขฺ โว เปน บทแสดงถงึ อาการทเี่ รยี กภกิ ษเุ หลาน้ันมา. บทวา ภทนฺเต เปน คําทูลรับพระดํารสั .บทวา เต ภิกฺขู ความวา ภกิ ษเุ หลาใด เปนผมู ีหนา เฉพาะซง่ึ จะรบั พระธรรม-เทศนา คือ ภิกษเุ หลา นั้น. บทวา ภควโต ปจฺจสโฺ สสุ ความวา ภกิ ษุเหลา น้ันฟงพระดาํ รสั ของพระผูมีพระภาคเจาแลว เปนผูม หี นาเฉพาะ คอื ฟงแลว ทูลรบั พระดํารสั ของพระผมู ีพระภาคเจา . บทวา เอตทโวจ ความวาบดั นี้ พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั คาํ เปน อาทิวา เรือ่ งน้ีไดเ คยมมี าแลว ดงั นี้. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ตาวตสึ กายิกา ไดแ ก เกิดในหมูของเทวดาชน้ั ดาวดึงสทานเรียกเทวโลกชั้นท่สี องวา ตาวติงสกายะ (แปลวามพี วก๓๓ หรอื หมูนรเทพ ๓๓) อาจารยท งั้ หลายกลาววา ไดยนิ วา บญั ญัติชอ่ื วา ตาวตงิ สกายะ น้ีเกดิ ขน้ึ ในเทวโลกนัน้ เพราะอาศัยเทวบตุ ร ๓๓ องค อบุ ัตขิ ึ้นในทน่ี ั้น เพราะทาํ กาละของชน ๓๓ กบั มฆมาณพในบา นอจลคาม ดงั นี.้ กเ็ พราะเทวโลก-กามาวจร ๖ ชน้ั มอี ยแู มใ นจักรวาลทีเ่ หลือ ตามที่ไดตรสั ไวว า มที าวจาตุม-มหาราชาหนึง่ พันองค มีพภิ พดาวดงึ สห นึง่ พนั ดงั น้เี ปนตน ฉะน้นั พงึ ทราบนามบญั ญัตนิ ้ีของเทวโลกน้ัน ดงั น.้ี จรงิ อยู โดยเหตนุ ี้นนั้ บทวา ตาวตสึ กายจงึ ไมผดิ ไป.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 72 พงึ ทราบวิเคราะหในบทวา นนฺทนวเน น้ีวา ปาน้ัน ยอมยังบคุ คลท้ังหลายผูเขาไปแลว ๆ ใหเพลดิ เพลิน ยอมใหยนิ ดี เพราะเหตุนนั้ ปานนั้ จึงชือ่ วา นันทนะ แปลวายังบุคคลผูเขา ไปแลว ใหยินด.ี จริงอยู คร้นั เม่ือมรณนิมิต ๕ อยางเกิดขนึ้ แลว พวกเทวดาท้งั หลายยอมคร่ําครวญอยูวา พวกเราจกั ตองละท้ิงสมบัตจิ ตุ ไิ ป ดังนี้. ทาวสักกะจอมเทพ จะใหโอวาทวา ทา นทั้งหลายอยา ราํ่ ไหเ ลย ข้ึนชื่อวา สงั ขารทั้งหลายมอี นั ไมแตกดับไปหามไี ม ดงั นี้ แลว จงึ ใหเทวดานน้ั เขาไปสสู วนนนั ทนวนั นั้น ความเศรา โศกเพราะมรณะของเทวดาน้ันแมจะถูกเทวดาอ่ืนประคองแขนไป ก็ยอมสงบระงับได เพราะเห็นสมบตั ิแหง สวนนนั ทวนัน้ัน. ความปรดี าปราโมทยเทา นั้น ยอ มเกิดขึ้น. ทีนน้ั เมื่อเทวดาท้ังหลายกาํ ลงั เลน อยูในสวนนันทวันนัน้ นนั่ แหละ (รางกาย) ยอมละลายไปดจุ กอ นหิมะที่ถกู เผาดว ยความรอน และยอมถูกขจดั ไป ดุจเปลวประทีปถกู ลมพดั ดับไป ฉะนน้ั . อกี อยา งหนง่ึ ทีใ่ ดท่หี น่ึง ยอ มยงั เทวดาผูเขาไปในภายในแลว ใหเพลิดเพลนิ ใหย ินดนี ั่นแหละ เพราะเหตนุ ั้น ทน่ี ั้นจึงชือ่ วา นนั ทนะ. ในทน่ี ้ีไดแ ก ในสวนนันทวนั นนั้ . บทวา อจฉฺ รา ในบทวา อจฉฺ ราสงฆฺ ปรวิ ุตานีเ้ ปน ชือ่ เทวธดิ า ผูแวดลอ มในหมขู องนางอปั สรน้ัน. บทวา ทิพฺเพหิไดแก ผเู กิดในเทวโลก. บทวา ปฺจหิ กามคเุ ณหิ ไดแก ดวยเครอ่ื งผกู คือ กาม หรือสวนแหงกาม ๕ กลาวคือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐพั พะ อนั เปนที่รกั ที่ชอบใจ. บทวา สมปปฺ ตา คอื เขาถึงแลว . คาํ วาพรงั่ พรอ มนอกน้กี ็เปนไวพจนข องการเขาถงึ แลวนนั่ แหละ. บทวา ปริจาริย-มานา ไดแ กเ ทวดาทงั้ หลายรน่ื รมยอ ยู คือ ยังอินทรยี ใ หร ่นื เริงในกามคณุ มีรปู เปนตนเหลา นั้น. บทวา ตาย เวลาย ไดแ ก ในเวลาท่บี าํ เรอน้นั .

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 73 ก็กาลน้ัน บณั ฑิตพึงทราบวา ไมน านเทวบุตรนน้ั ก็อุบตั ขิ ้ึน. จริงอยูอตั ภาพของเทวดาทีอ่ ุบัตขิ ึ้นนน้ั มปี ระมาณ ๓ คาวุต รุงโรจนอยู ราวกะแทงทองสีแดง เทวบตุ รนั้นนงุ หม ผา ทพิ ยป ระดบั ตกแตง ดวยเครอ่ื งประดับอนั เปนทิพย ทัดทรงดว ยดอกไมทิพย อันนางอปั สรลูบไลอ ยูดวยจันทนแ ละจุณท้ังหลายอันเปนทพิ ย ถกู ปกคลมุ แลว บดขยี้แลว หมุ หอ แลว ดวยกามคุณ ๕ อนั เปนทิพย ถูกความโลภครอบงํา ไมเ ห็นอยูซ่งึ พระนิพพานอนั เปนท่สี ลดั ออกจากโลก เมื่อกลาวคาถาน้ีวา น เต สขุ  ปชานนฺ ติ เปนตน ดวยเสียงอนั ดังแลวก็เที่ยวไปในสวนนันทวนั เปน เหมือนบคุ คลกลา ววาจาหยาบคาย (อันมีใชเปน วาจาของสัตบุรุษ) ดวยเหตุนัน้ เทวบตุ รนน้ั จงึ ไดกลา วคาถานใี้ นเวลานั้น. บทวา เย น ปสสฺ นตฺ ิ นนทฺ น ไดแ ก เทวดาเหลา ใดซ่ึงอยูในที่นั้ยอ มไมเห็นนันทวันดวยสามารถแหง การเสวยเบญจกามคณุ . บทวา นรเทวานไดแ ก นระผเู ปน เทพ. คอื บรุ ุษผูเ ปน เทพ. บทวา ติทสาน แปลวา สามสบิ(ไตรทศ). บทวา ยสสฺสนิ  แปลวา ถงึ พรอ มดว ยยศ คอื บริวาร (บรวิ ารยศ). สองบทวา อฺ ตรา เทวตา ไดแก เทวดาผเู ปนพระอริยสาวกิ าองคหนึ่ง. บทวา ปจฺจภาสิ อธบิ ายวา เทวดาผูโงเขลาน้ี ยอมสาํ คญั สมั บตั ิ(ของตน) น้ีวา เปนของมั่งค่ังเปนของไมหวั่นไหว ยอมไมทราบถึงความท่ีสมบตั ินน้ั มกี ารแตกสลายเปน ธรรมดา ดวยเหตุนี้ เทวดาผพู ระอรยิ สาวิกาผูไมละความตัง้ ใจแสดงสภาวะ จงึ ไดย อ นกลา วดวยคาถานว้ี า น ตฺว พาเลแปลวา ดกู อนทา นผูเขลา. บทวา ยถา อรหต วโจ อธิบายวา เม่อืคัดคา นความตองการของเทวดาผโู งเ ขลาอยา งนว้ี า ทานยอมไมร ูคาํ ของพระอรหนั ตท ัง้ หลายโดยแทจ ริงดังนี้แลว บัดน้ี เมอื่ จะแสดงคําของพระอรหนั ตท้งั หลายจงึ กลา วคําวา อนิจจฺ า เปน ตน .

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 74 บรรดาคําเหลาน้นั คาํ วา อนจิ จฺ า สพเฺ พ สงฺขารา อธบิ ายวาสงั ขารอนั เปน ไปในภูมิ ๓ ทง้ั หมด ชอ่ื วา ไมเท่ยี ง เพราะอรรถวา มแี ลว หามีไม (เกดิ แลว กด็ ับไป). คาํ วา อปุ ปฺ าทวยธมฺมโิ น ไดแก สภาวะท่ีเกิดขน้ึและเสอ่ื มไป (มีความเกิดข้ึนและมคี วามเสือ่ มไปเปน ธรรมดา). คําวา อปุ ปฺ ช-ฺชิตฺวา นิรชุ ฌฺ นฺติ นี้ เปน ไวพจนข องคํากอ น (คอื อุปปฺ าทวย). อกีอยางหนง่ึ แปลวา เพราะเกดิ ขึ้นแลว ยอ มดบั ไป ฉะนัน้ ทา นจงึ กลา ววา มีความเกดิ ขึ้นและเสอื่ มไปเปน ธรรมดา. กใ็ นท่ีนี้ ทา นถือเอาฐานะในลาํ ดับน้นันนั่ แหละดวยศัพทอ ปุ ปาทะและวยะ. คําวา เตส วูปสโม สโุ ข อธบิ ายวาพระนพิ พาน กลา วคอื ความเขา ไปสงบระงบั แหงสังขารทง้ั หลายเหลานนั้ เปนสขุ . น้เี ปน คาํ ของพระอรหันตท ั้งหลาย ดงั น้แี ล. จบอรรถกถานันทนสูตรท่ี ๑

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 75 ๒. นันทสิ ตู ร วาดวยผูไมมีความยนิ ดี [๒๖] เทวดานัน้ ครั้นยนื อยู ณ ทคี่ วรสวนขา งหนึ่งแลว แลไดกลาวคาถานใี้ นสํานกั พระผมู พี ระภาคเจาวา คนมีบตุ รยอ มยินดเี พราะบุตรทัง้ - หลาย คนมีโคยอ มยนิ ดีเพราะโคทัง้ หลาย เหมือนกันฉะนน้ั เพราะอปุ ธเิ ปน ความดี ของคน บคุ คลใดไมม ีอุปธิ บุคคลนนั้ ไมมี ยนิ ดเี ลย. [๒๗] พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา บุคคลมีบตุ ร ยอ มเศรา โศกเพราะ บตุ รท้งั หลาย บคุ คลมีโค ยอ มเศราโศก เพราะโคท้งั หลายเหมอื นกันฉะนั้น เพราะ อุปธเิ ปน ความเศรา โศกของคน บคุ คลใด ไมมีอุปธิ บคุ คลนน้ั ไมเศราโศกเลย.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 76 อรรถกถานันทสิ ตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในสูตรท่ี ๒ ตอไป :- บทวา นนฺทติ แปลวา ยอ มยินดี คอื ยอมมีใจเปน ของ ๆ ตน.บทวา ปุตฺตมิ า ไดแ ก มบี ตุ รมาก. จริงอยู บตุ รบางพวกทํากสกิ รรมแลวยอมยังยุงขาวเปลือกใหเตม็ บางพวกทําการคา แลว ยอ มนําเงินและทองมาบางพวกบาํ รุงพระราชา (รับราชการ) ยอ มไดว ัตถทุ ัง้ หลายมียาน พาหนะคาม นคิ มเปนตน. มารดาหรอื บิดาเม่อื เสวยสริ ิอันเกดิ ขึ้นดวยอานภุ าพแหงบตุ รเหลานัน้ ยอ มยนิ ด.ี อกี อยางหนึง่ มารดาหรอื บิดาเห็นบุตรทั้งหลาย ผอู ันบคุ คลตกแตงประดบั ประดา ทําใหเ กดิ ความยนิ ดี เสวยอยูซึง่ สมบตั ใิ นวนั รน่ื เริงเปน ตน ยอ มยนิ ด.ี ดว ยเหตุน้ัน เทวดา หมายเอาความเปน ไปนน้ั จึงกลา ววานนทฺ ติ ปุตฺเตหิ ปุตฺตมิ า แปลวา คนมีบุตรยอ มยนิ ดีเพราะบุตรทงั้ หลายดังน.้ี บทวา โคหิ ตเถว ความวา คนมีบตุ รยอมยินดีเพราะบตุ ร ฉนั ใดแมคนมีโค ก็ฉนั น้นั คนมโี คเห็นมณฑลแหงโค (สนามโค) สมบรู ณแ ลวเพราะอาศัยโคทั้งหลาย เสวยสมบตั ิ คอื เบญจโครส จึงช่ือวา ยอ มยนิ ดีเพราะโคทง้ั หลาย. บทวา อุปธิ ในบทวา อุปธหี ิ นรสฺส นนทฺ นานี้ไดแก อุปธิ ๔ อยาง คือ กามปู ธิ (อุปธิคือกาม) ขันธูปธิ (อุปธคิ อื ขันธ)กเิ ลสูปธิ (อุปธคิ ือกิเลส) และอภสิ งั ขารปู ธิ (อุปธคิ อื อภสิ งั ขาร). จรงิ อยู แมก ามทัง้ หลาย พระผูม พี ระภาคเจากต็ รสั เรียกวา อุปธิเพราะวจนัตถะนวี้ า ความสุขท่ีบุคคลเขา ไปต้งั ไวในกามคณุ นี้ ก็เพราะความที่กามเหลา น้ี เปนที่อาศัยอยแู หง ความสขุ ดังทต่ี รสั ไว อยางนว้ี า ความสุข ความ

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 77โสมนัส อนั ใด อาศยั กามคุณ ๕ เกิดขึ้น นี้ชื่อวา ความพอใจในกามทัง้ หลายดังน้ี. แมขนั ธท ั้งหลาย กต็ รสั เรียกวา อปุ ธิ เพราะความที่ขันธเ หลาน้ันเปนที่อาศยั อยู แหง ทกุ ขซ ่ึงมขี นั ธเปน มลู . แมก ิเลสทง้ั หลาย ก็ตรัสเรยี กวาอุปธิ เพราะความที่กิเลสเหลานนั้ เปนท่ีอาศยั อยูแ หง ทุกขในอบาย. แมอภสิ งั ขารทง้ั หลายก็ตรัสเรยี กวา อปุ ธิ เพราะความที่อภิสังขารเหลา นนั้ เปน ท่อี าศัยอยูแหงทกุ ขในภพ. แตในที่น้ี ทา นประสงคเอา กามูปธิ เพราะกามคณุ ๕ อันบุคคลบาํ รงุ บําเรอดว ยอํานาจแหงวตั ถทุ ัง้ หลาย มกี ารอยูใ นปราสาท ๓ ฤดูเปน ตน มที ่ีนง่ั ทน่ี อนอาภรณเสื้อผา อนั โอฬาร มบี รวิ ารคอยบาํ เรอดว ยการฟอ นรําเปน ตน เปน เหตนุ าํ มาซงึ่ ปติโสมนสั ยอมยงั นระใหย ินดีอยู ฉะนนั้บุตรทัง้ หลายและโคทง้ั หลาย ฉนั ใด พึงทราบวา แมอ ปุ ธิเหลานก้ี ฉ็ ันนั้นเพราะเปน ท่ียนิ ดขี องนระ. บาทแหง คาถาวา น หิ โส นนทฺ ติ โย นริ ูปธิ ความวาบุคคลใด ไมม ีอปุ ธิ คือ เวน จากการถึงพรอมดวยกามคณุ เปน ผขู ดั สน มีอาหารและเครื่องนงุ หมหาไดโ ดยยาก บุคคลนัน้ แลยอ มยินดีไมไ ด. ถามวา มนษุ ยเ พยี งดังเปรต มนษุ ยเพยี งดังสตั วน รก เหน็ ปานน้ีจกั ยนิ ดอี ยางไร. ตอบวา ขอ นี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวสิ ัชนาไวแ ลว (ในคาถาที่ ๒๗) พระผมู พี ระภาคเจา ทรงสดับคาํ (อันเทวดากลาว) นีแ้ ลว ทรงพระดําริวา เทวดาน้ี ยอมทําเรือ่ งแหง ความเศราโศกนั่นแหละ ใหเปนเร่อื งนายินดีเราจกั แสดงความทส่ี ่ิงเหลาน้นั เปน เรอ่ื งแหงความเศรา โศกแกเ ธอ ดังนี้ เม่อื จะ

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 78ทําลายวาทะของเทวดาน้ัน ดว ยอปุ มาน้นั น่ันเอง เหมือนบคุ คลยังถอยคาํ อันเปน เหตผุ ลใหตกไปดว ยเหตผุ ล จงึ ทรงเปล่ยี นพระคาถานนั้ น่ันแหละ แลวตรัสวา โสจติ เปน อาทิ.บรรดาบทเหลานั้น บทวา โสจติ ปตุ ฺเตหิ ความวา เมือ่ บตุ รทั้งหลายสญู หายไปก็ดี เส่ือมเสยี ไปกด็ ี ดวยอาํ นาจแหง การเดินทางไปตางประเทศแมม คี วามสงสัยในบดั นีว้ า จกั สูญเสียไป มารดาและบิดายอมเศราโศก.อนึง่ เม่อื บุตรตายแลวกด็ ี กาํ ลังจะตายก็ดี หรอื ถกู ราชบรุ ษุ หรอื โจรเปนตนจบั ตัวไป หรอื วา เขา ไปสูเง้อื มมือของขาศกึ ท้ังหลาย มารดาหรอื บดิ าเปนผูม คี วามสงสัยวา ตายแลว ก็ดี ยอ มเศรา โศก. เม่ือบตุ รพลดั ตกจากตนไมหรือจากภูเขาเปนตน มมี ือและเทาหักก็ดี บอบชา้ํ กด็ ี มีความสงสยั วาแตกหกัแลว ก็ดี มารดาหรือบิดายอมเศรา โศก. บุคคลมบี ุตรยอมเศรา โศกเพราะบตุ รทั้งหลาย ฉันใด แมคนมีโคก็ฉนั นนั้ ยอมเศราโศกเพราะโคทั้งหลาย โดยอาการ ๙ อยาง.บาทพระคาถาวา อปุ ธี หิ นรสสฺ โสจนา ความวา เหมอื นอยา งวาบตุ รและโคทง้ั หลาย ฉันใด แมอปุ ธคิ อื กามคณุ ๕ กฉ็ ันน้นั ยอมยงั นระใหเศราโศก โดยนยั ทต่ี รสั ไวว าตสฺส เจ กามยมานสสฺ ฉนฺทชาตสสฺ ชนฺตุโนเต กามา ปรหิ ายนฺติ สลุลวิทฺโธว รุปปฺ ติ หากวา สตั วน้ันมีความรักใครมคี วามพอใจเกิดแลว กามเหลานั้นยอ มยงั เขาใหยอยยบั ไป เหมอื นบคุ คลถกู ลกู ศรแทงแลวยอ มพินาศ ฉะนน้ั .

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 79 เพราะฉะนน้ั บณั ฑติ พึงทราบวา ความเศรา โศกของนระ ก็คอื เรอื่ งความเศรา โศกนั่นแหละ. บทวา น หิ โส โสจติ โย นิรปู ธิ ความวาพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อธบิ ายไววา อปุ ธิ ๔ เหลานี้ ไมม ีแกผ ใู ด ผนู ั้นยอ มไมมีอปุ ธิ คอื ความเศราโศก ดูกอ นเทวดา เพราะเหตุนั้นแหละ พระมหา-ขณี าสพจักเศราโศก หรือกําลงั เศราโศกมีหรอื ดงั นแ้ี ล. อรรถกถานันทสิ ูตรที่ ๒

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 80 ๓. นัตถปิ ุตตสมสูตร วาดว ยส่ิงที่ไมมอี ะไรเปรยี บ [๒๘] เทวดานั้น ครั้นยนื อยู ณ ท่ีควรสวนขางหน่ึงแลวแล ไดกลา วคาถานีใ้ นสํานกั พระผูมีพระภาคเจาวา ความรกั เสมอดว ยบุตรไมม ี ทรพั ย เสมอดว ยโคยอมไมม ี แสงสวางเสมอ ดว ยดวงอาทิตยยอ มไมมี สระทง้ั หลาย มที ะเลเปน อยางยิง่ . [๒๙] พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ความรักเสมอดว ยตนไมม ี ทรพั ย เสมอดว ยขา วเปลือกยอมไมมี แสงสวา ง เสมอดว ยปญ ญายอ มไมมี ฝนตา งหากเปน สระยอดเย่ยี ม,

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 81 อรรถกถานัตถิปตุ ตสมสูตร พึงทราบวินจิ ฉยั ในสูตรที่ ๓ ตอไป :- บาทคาถาวา นตฺถิ ปุตฺตสม เปม ความวา บุตรทงั้ หลายของคนแมพิการ มารดาหรอื บดิ าก็ยงั สําคญั ดจุ แตง ทองคาํ มกี ารการทาํ การหยอกลอ ท่ีศีรษะเปนตน ราวกะวา พวงดอกไม บุตรเหลาน้นั แมอนั มารดาบดิ าชาํ ระรา งกายแลว กน็ ํามาหอ หุมไวแลวก็เกดิ โสมนสั เหมือนบคุ คลหออยซู ่ึงของหอมและเคร่อื งลูบไลฉะนั้น ดวยเหตนุ ั้นแหละ เทวดาจงึ กลาววา นตฺถิปตุ ตฺ สม เปม ความรักเสมอดว ยบตุ รยอ มไมมี คือ ขนึ้ ช่ือวา ความรกัอื่นเสมอดว ยความรกั บตุ รหามไี ม ดงั น้ี. บทวา โคสมกิ  แปลวา เสมอดว ยโคท้ังหลาย เทวดากราบทูลวาขาแตพระผูม พี ระภาคเจา ธรรมดาวา ทรพั ยอืน่ เชนกับโดยอมไมม ี ดงั น.้ี บทวาสุริยสมา อาภา นี้ เทวดากราบทลู วา ช่ือวา แสงสวางอน่ื ท่เี สมอดว ยแสงพระอาทติ ยย อ มไมมี ดังนี้. บทวา สมุทฺทปรมา ความวา ช่อื วา สระท้ังหลายเหลาอืน่ อยา งใดอยางหนง่ึ สระท้งั หมดเหลานั้นมสี มุทร (ทะเล) เปนอยา งย่งิ คอื สมทุ รประเสริฐกวาสระทง้ั หมดเหลา น้นั เทวดาทลู วา ขา แตพระผูมีพระภาคเจา ชื่อวา ทเ่ี ปนทีเ่ กดิ แหลงนํ้าอนื่ เชน กบั ดวยสมุทร หามีไมดงั นี.้ ก็ที่ชื่อวา ความรกั เสมอดว ยตนไมม ีน้ัน มีอธิบายวา สัตวท ้ังหลายละทิ้งปย ชนทั้งหลายมีมารดาบดิ าเปน ตนกม็ ี ละทิ้งบุตรธดิ าเปน ตนใหพ ํานักอยูยอมหาเลีย้ งชวี ติ ตนนนั่ แหละกม็ ี. กช็ ่อื วา ทรัพยเสมอดว ยขา วเปลือกยอ มไมมี อธิบายวา ชนทัง้ หลายยอ มไปสสู าํ นักของเจา ของทรพั ย แลวจึงถือ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 82เอาวตั ถุท้ังหลายมีเงนิ และทองเปนตนบา ง และถือเอาโคและกระบอื เปนตน บา งกเ็ พอ่ื ถือเอาขาวเปลือกนัน่ แหละ. ชอ่ื วา แสงสวางเสมอดวยปญญายอ มไมม ี ถึงแมจ ะเปน ดวงอาทิตยเปนตน ก็ยอ มสองแสงเพยี งอยางเดียวเทาน้ัน คือ ยอ มกําจดั ความมดื อันเปน ปจ จบุ ันเทานัน้ . สวนปญ ญายอ มสามารถเพือ่ ทาํ โลกธาตุต้งั หมื่นใหเ ปน แสงสวาง อนั ประเสรฐิ หาสิ่งอื่นเสมอมิได ทงั้ ยอ มกาํ จัดความมืดอนั ปกปดในกาลอันเปนสวนแหง อดตี เปนตน ไดด วย. ช่ือวา สระเสมอดว ยเมฆฝนยอมไมมี. แมแมน ํา้ หรอื หนองนาํ้ หรือทะเลสาบเปน ตนก็ตาม ท่ีข้ึนชือ่ วาสระแลว ท่จี ะเสมอดว ยฝนยอมไมมี เพราะเมือ่ เมฆฝนตัดขาดแลวนํา้ แมเ พียงสกั วาขอองคลุ หี น่ึงใหเปย กในมหาสมุทรยอมไมม ี. แตเ ม่ือฝนตกแลว เปน ไปอยู นํา้ เปนอันหน่ึงอันเดยี วกัน ยอ มมถี งึ พิภพแหง พรหมชั้นอาภัสสรา เพราะเหตุน้นั พระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะตรัสตอบถอยคําของเทวดา จึงตรสั พระคาถาวา นตถฺ ิ อตตฺ สม เปม นตถฺ ิ ธฺสม ธน นตถฺ ิ ปฺ าสมา อาภา วุฏิ เว ปรมา สรา ความรกั เสมอดว ยตนไมมี ทรพั ย เสมอดว ยขาวเปลือกไมม ี แสงสวาง เสมอดวยปญ ญาไมมี ฝนเทานั้นเปน สระ อันยอดเย่ยี ม ดังน้.ี จบอรรถกถานตั ถิปุตตสมสูตร ท่ี ๓

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 83 ๔. ขตั ติยสูตร วาดวยผูประเสริฐสดุ [๓๐] เทวดาน้นั ครั้นยนื อยู ณ ทค่ี วรสวนขา งหน่งึ แลวแล ไดกลาวคาถาน้ีในสาํ นักพระผูม ีพระภาคเจา วา กษตั ริยป ระเสรฐิ สดุ กวาสตั ว ๒ เทา โคมกี ําลังประเสริฐสุดกวาสัตว ๔ เทา ภรรยาทีเ่ ปน นางกมุ ารีประเสริฐสดุ กวา ภรรยาท้ังหลาย บตุ รใดเปน ผเู กิดกอน บตุ รนัน้ ประเสริฐสดุ กวา บุตรทั้งหลาย. [๓๑] พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา พระสัมพทุ ธเจาประเสรฐิ สดุ กวา สตั ว ๒ เทา สตั วอ าชาไนยประเสรฐิ สุดกวา สัตว ๔ เทา ภรรยาท่ีปรนนบิ ตั ิดี ประเสริฐสดุ กวา ภรรยาท้ังหลาย บุตรใดเปน ผูเช่ือฟง บุตรนั้น ประเสรฐิ สุดกวา บุตรทั้งหลาย.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 84 อรรถกถาขัตตยิ สตู ร พงึ ทราบวินิจฉยั ในขตั ตยิ สตู รท่ี ๔ ตอไป :- บทวา ขตตฺ ิโย ทปิ ท แปลวา พระราชาประเสริฐสุดกวา สัตว๒ เทา . บทวา โกมารี ความวา เทวดากลาววา ภรรยาทเี่ ปน กุมารีประเสริฐสดุ กวาภรรยาท้งั หลาย เพราะถือเอาในเวลาท่ีเธอเปน กมุ ารี (หญิงสาว).บทวา ปพุ ฺพโช ความวา บุตรคนใดเกดิ กอ นเปน คนบอดขา งเดยี วก็ตามหรอื บุตรทเ่ี ปน งอยเปน ตน ก็ตาม คนใดเกิดกอน คนน้ีแหละ ชือ่ วาประเสริฐสดุ ในวาทะของเทวดาน้ี กเ็ พราะสัตว ๒ เทาท้ังหลายมีพระพุทธเจาเปน ตนนี้พระพุทธเจา เปนผปู ระเสริฐสดุ กวาสัตว ๒ เทาทัง้ หมด ฉะนั้น พระผมู ีพระ-ภาคเจา จึงตรสั พระคาถาตอบ. พึงทราบวนิ จิ ฉัยในคาถาที่ ๒ วา พระผมู พี ระภาคเจา ประเสรฐิ สุดกวา สตั วท้งั หมด ทง้ั สัตวม ีเทาและไมมเี ทา แมก็จรงิ ถึงอยา งนั้นพระองคเมอ่ื จะทรงอบุ ัติยอมทรงอบุ ัติในสตั ว ๒ เทา เทา นน้ั . เพราะฉะนน้ั จึงตรัสวาสมมฺ าสมพฺ ุทโฺ ธ ทิปท เสฏโ  แปลวา พระสัมมาสัมพุทธเจา ประเสรฐิกวา สัตว ๒ เทา ดงั นี้ . ความทีพ่ ระสัมมาสมั พทุ ธเจา ทรงอุบตั ขิ ึน้ เปน ผปู ระเสริฐสดุ กวาสตั ว ๒ เทา ทั้งหมดนั้น ไมค ลาดเคลอื่ นแลว. บทวา อาชานีโย อธบิ ายวา ชางหรือสัตวทง้ั หลายมมี าเปน ตนก็ตามที สตั วต วั ใดตวั หนง่ึ ยอมรูซ ึ่งเหตุ สัตวอาชาไนยนีจ้ ดั เปนสัตวประเสริฐสุดกวาสัตว ๔ เทา เหมือนมา ชอ่ื วา คุฬวรรณของพระราชาพระนามวา กูฎกรรม. ไดยนิ วา พระราชาเสดจ็ ออกทางทวารดานปราจีน ทรงดํารวิ า เราจักไปเจตยิ บรรพต พอเสด็จมาถงึ ฝง แมน้ํากลัมพะ. มาหยดุ อยทู ่ีฝง ไมป รารถนา

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 85เพอื่ จะขา มน้าํ ไป. พระราชาตรสั เรยี กนายอสั สาจารยม าแลวตรสั วา โอหนอมาอันทา นฝกดแี ลว ไมปรารถนาจะขา มน้าํ ดังน้ี. นายอัสสาจารยก ราบทลู วาขาแตพระองคผ สู มมตเิ ทพ มาอันขาพระองคฝ ก ดแี ลว กเ็ พราะมานั้น คิดวาถาเราจกั ขามน้ําไป ขนหางจักเปย ก เม่อื ขนหางเปย กแลว กพ็ งึ ทํานา้ํ ใหต กไปทพ่ี ระราชา ดงั นี้ จึงไมขา มไป เพราะกลัวน้ําจะตกไปท่สี รีระของพระองคด วยอาการอยา งน้ี ขอพระองคจ งใหร าชบุรุษถือขนหางมา เถดิ . พระราชาไดใ หกระทาํ แลว อยางนั้น มาจึงขา มไปโดยเรว็ จนถึงฝง แลวแล. บทวา สุสฺสูสา ความวา เชอ่ื ฟง ดวยดี อธิบายวา ภรรยาทีถ่ ือเอาแมใ นเวลาทีเ่ ปน กมุ ารี หรอื ภายหลังมีรูปงาม หรือไมง ามจงยกไว ภรรยาใดเชือ่ ฟง สามี ยอมบําเรอ (รับใช) ยอ มใหสามีชอบใจ ภรรยานัน้ ประเสรฐิ สุดกวาภรรยาท้งั หลาย. บทวา อสฺสโว แปลวา เชื่อฟง อธิบายวา บุตรคนใดพ่ีก็ตาม นองก็ตาม คนใดยอ มฟง ยอมรับคาํ ของมารดาบิดา เปน ผสู นองตามโอวาท บุตรนปี้ ระเสริฐกวา บุตรทง้ั หลาย ดูกอนเทวดา ประโยชนอ ะไรเลาดวยบตุ รอน่ื ทเี่ ปนโจรมีการกระทําตัดชอ งเบาเปนตน ดงั น้ีแล. จบอรรถกถาขัตติสตู ร ที่ ๔

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 86 ๕. สกมานสูตร วา ดวยเหตเุ ดียวแตความรูสกึ ตา งกัน[๓๒] เทวดากลา ววา เมื่อนกท้งั หลายพกั รอน ในเวลา ตะวนั เที่ยง ปาใหญประหน่งึ วาครวญคราง ความครวญครางของปา น้ันเปน ภัยปรากฏ แกขาพเจา .[๓๓] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา เมอื่ นกทั้งหลายพกั รอ น ในเวลา ตะวันเทีย่ ง ปา ใหญป ระหนงึ่ วา ครวญคราง นนั้ เปน ความยินดปี รากฏแกเ รา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 87 อรรกถาสกมานสตู ร วินิจฉยั ในสกมานสตู รท่ี ๕ ตอ ไป :- บทวา เิ ต มชฺฌนฺติเก แปลวา ในเวลาเท่ียงวัน บทวาสนนฺ ิสินฺเนสุ ไดแก อาศัยพกั อยใู นที่อนั ไมเ สมอกนั เพราะเขา ไปสทู ตี่ ามความสบายอยางไร. อธบิ ายวา ชอ่ื วา เวลาเท่ยี งวันนเ้ี ปนเวลาทรุ พลแหงอิรยิ าบถของสรรพสตั วทง้ั หลาย. แตในทนี่ ี้ ทา นแสดงความทรุ พลแหงอริ ิยาบถของนกท้ังหลายเทาน้นั . บทวา ปลาเตว ไดแก ดจุ เสยี งครวญคราง ดุจการเปลงเสียงรอ งใหญ. กใ็ นท่นี ้ีทานกลา วเอาเสียงท่รี บกวนเทาน้ัน เสยี งน้ีแหละเปรียบดังเสียงครวญคราง. จริงอยู ในฤดูรอนเวลาเท่ียงวนั พวกสัตว ๔ เทา และพวกปกษที ง้ั หลายมาประชุมกัน (พักเทีย่ ง) เสียงใหญ คอื เสยี งแหงโพรงตน ไมอนั ลมเปา แลวดว ย แหง ปลอ งไมไผทเ่ี ปนรูอนั ลมเปา แลว ดว ย แหงตนไมซึง่ ตนกับตน เบียดสีกนั และกิ่งกบั ก่ิงเบียดสีกันดวย ยอมเกิดขนึ้ ในทามกลางปาเสียงครวญครางน้นั ทานกลา วหมายเอาเสียงใหญน .ี้ บทวา ต ภย ปฏิภาติ ม ความวา ในกาลเหน็ ปานนนั้ เสียงเชน น้ัน ยอมปรากฏเปน ภัยแกขาพเจา . ไดยนิ วา เทวดาน้นั มปี ญ ญาออ นเม่อื ไมไดค วามสุข ๒ อยาง คือ ความผาสุกในการน่ัง ความผาสุกในการพดูของตนในขณะนัน้ จึงกลา วแลวอยา งนี้. กเ็ พราะในกาลเชนนั้นเปนเวลาสงัดของภกิ ษผุ ูกลบั จากบิณฑบาต แลว นัง่ ถือเอากรรมฐานในปาชฏั แลวความสขุ มปี ระมาณมใิ ชน อยยอมเกดิ ขน้ึ . พระผูมพี ระภาคเจาตรสั หมายเอาคําอนั ใดวา

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 88สุ ฺาคาร ปวิฏ สสฺ สนฺตจติ ฺตสฺส ภิกฺขโุ นอมานุส รตี โหติ สมฺมา ธมฺม วปิ สสฺ โตติ จปุรโต ปจฉฺ โต วาป อปโร เจ น วิชชฺ ติอตวี ผาสุ ภวติ เอกสฺส วสโต วเนติ จ. เม่อื ภกิ ษุเขา ไปสสู ญู ญาคาร (เรอื น-วาง) มีจิตสงบแลว ยินดอี ยูในสงิ่ ท่มี ใิ ชของมนุษย จงึ เหน็ ธรรมโดยชอบ ดงั นี้ และคาถาวา บคุ คลอ่นื ขา งหนาหรอืวาขา งหลัง ยอ มไมปรากฏ เม่อื เปน ผเู ดียวอยใู นปา ความผาสกุ ยอ มเกดิ ไดโ ดยเรว็ดังน.้ีเพราะเหตนุ ้นั พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั พระคาถาท่ี ๒.บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สา รติ ปฏิภาติ ม อธบิ ายวาในเวลาเห็นปานนี้ ชอื่ วา การนั่งของบคุ คลผเู ดยี วอนั ใด นัน้ เปน ความยนิ ดียอมปรากฏแกเรา. คําทีเ่ หลือ เชน กับนยั กอ นนน่ั แหละ. จบอรรถกถาสกมานสตู รท่ี ๕

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 89 ๖. นทิ ทาตนั ทสิ ูตร วาดวยมรรคปรากฏและไมป รากฏ[๓๔] เทวดากลา ววา อริยมรรคไมป รากฏแกสตั วทงั้ หลาย ในโลกน้ี เพราะความหลบั เกยี จคราน ความบิดกาย ความไมยินดี และความ มนึ เมาเพราะภัต.[๓๕] พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา เพราะขบั ไลค วามหลับ ความเกยี จ คราน ความบิดกาย ความไมยินดี และ ความมึนเมาเพราะภัต ดวยความเพียร อรยิ มรรคยอมบรสิ ุทธิไ์ ด.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 90 อรรถกถานทิ ทาตันทสิ ตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนทิ ทาตนั ทิสูตรที่ ๖ ตอ ไป :- บทวา นทิ ฺทา อธบิ ายวา พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นอัคค-ิเวสนะ เรายอ มทราบ ในเดอื นทา ย ฤดูคิมหันต (ฤดูรอน) เรากาวลงสูความหลับ ดงั นี้ เพราะความหลับอนั เปน อพั ยากตะเหน็ ปานนี้ ถนี มทิ ธะจึงเกิดข้ึนในอกศุ ลจิตอนั เปนสสังขารกิ ของพระเสขะและปุถชุ นท้งั หลาย ทัง้ ในสว นเบ้ืองตนและเบอื้ งปลาย. บทวา ตนฺที ไดแก ความโงกงวงอันจรมาเกิดข้นึในเวลาหวิ จัดและเย็นจดั เปน ตน. คํานี้ สมจริง ดังทีพ่ ระผูม พี ระภาคเจาตรัสไวว า กตมา ตนทฺ ิ... บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา ตนฺที เปน ไฉนความงว งงนุ กริ ยิ าท่ีงวงงนุ สภาพจติ ท่ีงว งงุน ความเกียจคราน กิรยิ าท่ีเกียจคราน สภาพจติ ที่เกียจครา น อนั ใด นี้เรากลา ววา ทนั ที ดงั นี้. บทวาวชิ ิมฺหติ า แปลวา ความบิดกาย. บทวา อรติ ไดแก ความไมพอใจในธรรมฝา ยกุศล. บทวา ภตฺตสมมฺ โท แปลวา ความมนึ เมาเพราะอาหารความอึดอดั เพราะอาหาร. กค็ วามพสิ ดารแหง คําเหลา นี้มาแลวในพระอภธิ รรมโดยนัยเปน ตนวา ตตฺถ กตมา วิชิมฺหกิ า ยา กายสสฺ วิชมิ หฺ นา แปลวาบรรดาคําเหลานัน้ คาํ วา ความบิดกายเปนไฉน ความเหยียดแหง กาย... อันใด. บทวา เอเตน ความวา ความเศรา หมองดว ยอปุ กเิ ลสมีความหลับเปน ตน นี้ เปนปรากฏการณท ่หี ามได. บทวา นปปฺ กาสติ ไดแ ก ไมสองแสง คือ ไมป รากฏ. บทวา อริยมคฺโค ไดแก โลกตุ รมรรค. บทวา

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 91อิธ แปลวา ในโลกนี้. บทวา ปาณิน แปลวา แกสัตวท ้งั หลาย. บทวาวิรเยน ไดแก ความเพยี รซึง่ เกดิ พรอมกับมรรค. บทวา น ปณาเมตวฺ านี้ไดแก นํากเิ ลสออกแลว. บทวา อริยมคฺโค ไดแ ก โลกิยะและโลกุตร-มรรค. เพราะเหตนุ น้ั พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา มรรคยอมบรสิ ุทธเ์ิ พราะนาํ อปุ กเิ ลสออกแลว ดวยมรรคนน่ั แหละ ดงั นี้แล. จบอรรถกถานทิ ทาตนั ทสิ ตู รที่ ๖

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 92 ๗. ทุกกรสูตร วาดวยธรรมที่ทําไดย าก[๓๖] เทวดากลา ววา ธรรมของสมณะ คนไมฉลาด ทาํ ไดย าก ทนไดยาก เพราะธรรมของสมณะ นั้นมคี วามลําบากมาก เปนทต่ี ดิ ขัดของ คนพาล.[๓๗] พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา คนพาล ประพฤติธรรมของสมณะ สน้ิ วันเทา ใด หากไมห า มจติ เขาตกอยู ในอํานาจของความดํารทิ งั้ หลาย พึงติด ขดั อยทู ุก ๆ อารมณ ภกิ ษุยั้งวิตกในใจไว ได เหมือนเตา หดอวัยวะท้ังหลายไวใน กระดองของตน อนั ตณั หานิสยั และทฏิ ฐิ- นสิ ยั ไมพ ัวพันแลว ไมเ บยี ดเบยี นสัตวอ ่นื ปรนิ พิ พานแลว ไมพ งึ ติเตยี นใคร.

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 93 อรรถกถาทุกกรสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในทุกกรสูตรที่ ๗ ตอไป :- บทวา ทุตฺติตกิ ขิ  ไดแก ทนไดย าก คอื อดกลนั้ ไดโ ดยยาก. บทวาอพฺยตเฺ ตน แปลวา คนพาล. บทวา สามฺ แปลวา ธรรมของสมณะอธบิ ายวา เทวดายอมแสดงคาํ น้วี า กุลบตุ รผูฉลาด ฝก สมณธรรมอนั ใด ๑๐ปบ า ง ๒๐ ปบ า ง ๖๐ ปบ าง แมถ อื การฝก อยางยิง่ คือ กดเพดานดว ยลิ้นบา งขม จติ ดว ยจติ บาง เสพอยูซ่ึงอาสนะเดยี ว ซึง่ ภตั หนเดยี ว ประพฤตพิ รหมจรรยตลอดชวี ติ กระทําอยูซึ่งธรรมของสมณะ ขา แตพระผูมีพระภาคเจา คนพาลผไู มฉลาดยอมไมอาจเพื่อกระทําซึ่งธรรมของสมณะนั้นได ดงั นี.้ บทวา พหูหิ ตตฺถ สมฺพาธา ความวา เทวดายอ มแสดงวา ความลาํ บากมากของคนพาลผูปฏิบัติ เพ่อื บรรลุมรรคในอริยมรรคกลาวคือธรรมของสมณะนั้นเพราะในสวนเบอ้ื งตน ยอ มมีอนั ตรายมาก ดังนี้. บทวา จติ ฺต เจ น นิวารเยอธิบายวา หากวา ไมพงึ หา มจิตอนั เกดิ ขึน้ โดยอบุ ายอนั ไมแ ยบคายไซร กพ็ งึประพฤติธรรมของสมณะไดส น้ิ วันเลก็ นอย คอื พงึ ประพฤตไิ ดวนั หนึ่งบา งเพราะวา บคุ คลผูตกอยใู นอํานาจจติ ยอมไมอ าจเพอ่ื กระทาํ ธรรมของสมณะได.บทวา ปเท ปเท ไดเ เก ทุก ๆ อารมณ จริงอยู ในท่ีนี้ ปทศพั ท ทา นหมายถึงอารมณ เพราะวา อารมณใด ๆ ทก่ี เิ ลสเกิด คนพาลยอ มจมอยู (ยอ มตดิ ขดั ) ในอารมณน้ัน ๆ ปทศัพท จะหมายถงึ อิรยิ าบถดว ยกส็ มควร เพราะวา กิเลสยอ มเกิดขนึ้ ในอิรยิ าบถใด ๆ มกี ารเดินเปน ตน คนพาลน้นั ชอ่ื วายอ มจมลง ในอิรยิ าบถน้ัน ๆ นัน่ แหละ. บทวา สงกฺ ปฺปาน แปลวามีกามวติ กเปน ตน. บทวา กมุ ฺโมว แปลวา เหมือนเตา . บทวา องคฺ านิ

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 94ไดแก อวยั วะท้งั หลายมคี อเปน ท่คี รบหา. บทวา สโมทห แปลวา หดอยูหรือวา หดแลว . บทวา มโนวติ กฺเก แปลวา วติ กอันเกิดขึ้นในใจ. พระผูมีภาคเจาทรงแสดงคําน้ีไวด วยคําเพียงเทานวี้ า เตาหดอวัยวะท้ังหลายมคี อเปนท่ี ๕ ไวใ นกระดองของตน ไมใ หชองแกส นุ ขั จง้ิ จอก เพราะการหดตนจงึ พน จากอันตรายแมฉ นั ใด ภิกษุกฉ็ นั นนั้ แหละ ย้ังวติ กทีเ่ กิดขน้ึ ในใจในการรักษาอารมณของตน ยอ มไมใ หชองแกมาร แมเพราะการย้งั น้ัน เธอจึงถึงความไมมภี ัย ดังน.ี้ บทวา อนสิ ฺสิตโฺ ต แปลวา เปนผูอนั ตณั หานสิ ยัและทิฐินิสยั ไมอาศยั แลว . บทวา อเหมาโน แปลวา ไมเบยี ดเบยี นอยู.บทวา ปรนิ ิพพฺ โุ ต แปลวา ปรินพิ พานแลว ดวยกเิ ลสนิพพาน (ดว ยการดบั สนิทแหงกเิ ลส). บทวา นูปวเทยยฺ กจฺ ิ อธิบายวา เปน ผูใครเ พ่ือกระทําใหเกอดว ยสิ่งใดสงิ่ หนง่ึ มีความวบิ ตั ิแหงอาจาระเปนตน ไมพ งึ กลาวกะบคุ คลไรๆ อ่ืน คือวา ก็ภิกษุเขาไปต้งั ไวซง่ึ ธรรม ๕ อยาง มีคําวา เราจกั กลา วโดยกาลอนั สมควร จกั ไมกลา วโดยกาลอันไมสมควรเปนตน ไวในภายในแลว อาศยั ความเปน ผูก รณุ า พึงกลา วดวยจติ อนั ดาํ รงไวใ นสภาพแหง ความอนุเคราะห ดงั น้แี ล. จบอรรถกถาทุกกรสตู รที่ ๗

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 95 ๘. หริ สิ ูตร วาดวยเกยี ดกันอกุศลดว ยหริ ิ[๓๘] เทวดากลาววา บุรษุ ท่ีเกียดกันอกศุ ลธรรมดว ยหริ ิ ไดมีอยูน อยคนในโลก ภกิ ษใุ ดบรรเทา ความหลบั เหมือนมา ดหี ลบแซ ภกิ ษุน้ันมี อยูนอ ยรปู ในโลก.[๓๙] พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ขีณาสวภิกษพุ วกใด เปนผเู กียดกนั อกศุ ลธรรมดวยหริ ิ มีสตปิ ระพฤติอยูใน กาลท้ังปวง ขณี าสวภกิ ษุพวกนนั้ บรรลุ นพิ พานเปนสวนสดุ แหงทกุ ขแลว ยอม ประพฤติเรียบรอย ในบุคคลผูไมเรยี บรอ ย.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 96 อรรถกถาหิรสิ ูตร พงึ ทราบวินิจฉัยในหริ ิสตู รท่ี ๘ ตอ ไป :- ชนใดยอ มเกยี ดกนั อกศุ ลธรรมทั้งหลายดวยหิริ เพราะเหตุน้ัน ชนน้นัจึงช่อื วาผูเ กยี ดกันอกศุ ลธรรมดวยหริ ิ. บทวา โกจิ โลกสมฺ ึ วิชชฺ ติ นี้เทวดาทูลถามวา ใครๆ เหน็ ปานน้ียังมอี ยหู รอื . บทวา โย นนิ ฺท อปโพเธติแปลวา บุคคลใดเมอื่ นําความครหา (ความช่ัว) ออกยอ มรู. บทวา อสโฺ ส ภโทรฺ กสามิว อธบิ ายวา มา อาชาไนยตวั เจรญิเมอื่ สารถนี าํ แซอ อกยอ มรู ยอ มไมใ หแซตกไปในตน เพราะเหน็ เงาแหงปฏักเปน ราวกะแทงอยู ฉันใด ภกิ ษุใด เมอื่ ไมใ หอ กั โกสนวตถุ (เรอ่ื งดา )อนั เปนจรงิ ตกไปในตน ชือ่ วานําความนนิ ทาออก เมื่อนาํ ออกยอมรู เทวดาทูลถามวา พระขณี าสพเห็นปานน้ี สกั องคหน่ึงมอี ยหู รอื . แตวา บคุ คลผูชื่อวาพน จากการดาดว ยถอยคาํ อันไมเ ปน จริง ยอมไมมี. บทวา ตนยุ า แปลวานอ ย อธบิ ายวา ช่อื วา พระขีณาสพท้งั หลายเกยี ดกันอกุศลธรรมทง้ั หลายดวยหิรเิ ทย่ี วไปอยู มนี อ ย. บทวา สทา สตา ไดแก ผปู ระกอบดวยความไพบลู ยแหงสตติ ลอดกาลเปนนิตย. บทวา อนตฺ  ทกุ ขฺ สฺส ปปปฺ ุยฺย ไดแกบรรลุพระนพิ พานอนั เปน ธรรมท่ีส้ินสุดของวฏั ทุกข. คาํ ท่เี หลือ มีนัยตามท่ีกลาวแลวน่ันแหละ. จบอรรถกถาหริ สิ ูตรที่ ๘








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook