Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_19

tripitaka_19

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_19

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 123ไว ยอ มไมส งบ เม่ือกําลงั ความเพียรทใ่ี หเกิดทุกขน นั้ แลเจาะแทงเราอย.ู อคัคิเวสสนะ ทกุ ขเวทนาถึงปานน้ี ไดเกดิ ขน้ึ แลวแกเ รา ยงั ไมค รอบงาํ จติ ตั้งอยูได. [๔๒๐] อัคคิเวสสนะ เราน้นั ไดมปี ริวติ กถึงเรอื่ งนี้วา ถา กระไร เราพงึ เพง ฌาน เอาความไมหายใจเปน อารมณน ัน่ แล. อคั คิเวสสนะ คร้นั เราปร-ิวติ กฉะนัน้ แลว ไดก ลั้นลมอัสสาสะปส สาสะทางปากทางจมูกและทางหูอยู ก็ใหเกิดความรอนเหลือทนขน้ึ ทัว่ กาย. อัคคิเวสสนะ เปรียบเหมอื นบุรษุ มีกําลงั สองคน ชว ยกนั จับบรุ ุษท่ถี อยกําลงั กวา คนเดยี วเขา ท่แี ขนขา งละคน ลนยา งรมไวท ่หี ลุมอันเตม็ ไปดวยถา นเพลงิ ฉันใด. [๔๒๑] อัคคิเวสสนะ เมือ่ เรากล้ันลมอสั สาสะปสสาสะทางปากทางจมูกและทางหู กใ็ หเกดิ ความรอ นเหลอื ทนข้นึ ทวั่ กายฉันนนั้ . อัคคเิ วสสนะ ก็แตค วามเพยี รทีเ่ ราเรม่ิ ต้งั ไวแ ลวคงทอี่ ยู จะไดย อ หยอนไปหามิได, สติทเี่ ราไดต้ังไวจะฟน เฟอนไปก็หามไิ ด, แตก ายท่ีเราเร่มิ ต้งั ไวย อ มไมสงบ, เม่อื กําลังความเพียรทใี่ หเ กดิ ทกุ ขนนั้ แลเจาะแทงเราอย.ู อคั คิเวสสนะ ทุกขเวทนาถงึ ปานนี้ ไดเกิดข้นึ แลว แกเ รา ยังไมค รอบงําจติ เราต้งั อยูได [๔๒๒] อัคคิเวสสนะ ยงั ไมท ันไรสิ เทวดาทง้ั หลาย ไดเ หน็ เราแลว พากันกลาวอยา งนวี้ า พระสมณะโคดมทาํ กาละเสยี แลว เทวดาบางพวกกลาวอยา งนวี้ า พระสมณโคดมยงั ไมไ ดท ํากาละกอ น, แตจ ะทํากาละ. เทวดาบางพวกกลา วอยางนี้วา พระสมณโคดมทาํ กาละแลว หรอื กาํ ลังทํากาละก็ไมใ ช ดวยวาพระสมณโคดมเปนพระอรหันต ทอ่ี ยกู อ็ ยางน้ันเอง ดังนนั้พระอรหนั ตย อมมวี ิหารธรรมเปน อยา งน้ี

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 124 [๔๒๓] อัคคิเวสสนะ เรานั้นไดปรวิ ติ กถึงเร่อื งน้วี า ถา กระไร เราพงึปฏิบตั ิเสียดว ยประการท้งั ปวงเถดิ อัคคเิ วสสนะ ครัง้ นน้ั เทพยดาทั้งหลายไดเขามาใกลเราแลว กลา วคําทวงวา ทา นผูนิรทกุ ข ทา นอยาไดปฏบิ ตั เิ พื่อตัดอาหารเสยี ดว ยประการทง้ั ปวงเลย ถาทานพึงปฏบิ ัติ เพือ่ จะตัดอาหารเสียดวยประการทง้ั ปวงใหไ ด เราท้งั หลายจะแทรกโอชะ อนั เปนทพิ ยลงตามขุมขนท้งั หลายของทาน ทานจกั ไดยังชวี ติ ใหเปนไปดวยโอชะนน้ั . อคั คเิ วสสนะ เรานั้น ไดม ีปรวิ ติ กเรอื่ งน้วี า เราเองพงึ ปฏิญญาการบรโิ ภคดวยประ-การท้ังปวงไวเอง และเทวดาเหลา น้ี จะพึงแทรกโอชะลงตามขุมขนของเรา และเราจะพงึ ยงั ชวี ติ ใหเปน ไปดวยโอชะนัน้ อนั นัน้ ก็จะพงึ เปน เท็จแกเ ราไป อัคคิเวสสนะ เรานัน้ แล ไดบอกหา มเทวดาเหลา น้ันเสียวา \"อยาเลย\"ดงั น้ี. [๔๒๔] อคั คิเวสสนะ เราน้ันแลไดมปี ริวติ กถงึ เร่ืองนีว้ า กระนั้นเราพงึ บรโิ ภคอาหารใหนอยลงๆ วนั ละฟายมือบา ง เทา เยื่อถวั่ เขียวบา งเทาเย่ือถั่วพบู า ง เยอ่ื ถ่วั ดาํ บา ง เยอื่ ในเม็ดบัวบา ง. อัคคเิ วสสนะ ครน้ั เราบรโิ ภคอาหารใหน อ ยลงดังนน้ั เทาฟายมือบา ง เทาเย่อื ถ่วั เขยี วบาง เทา เย่ือถ่วั พูบาง เย่อื ถวั่ ดําบา ง เย่ือในเม็ดบัวบา ง กายเรากถ็ ึงความเปน ขอดเปน เกลียวยง่ินกั . อังคาพยพนอ ยใหญ ของเรายอมเปนประหนงึ่ เถาวลั ยท่มี ขี อมาก ๘๐ขอ หรอื เถาวลั ยท ีม่ ีขอ ดาํ ฉะน้ัน, เพราะโทษท่อี าหารนอ ยน้นั อยา งเดยี ว, กน กบแหง เราแฟบเขา มอี าการสณั ฐานเหมือนกบี เทาอูฐฉะนัน้ก็เพราะโทษท่ีอาหารนอ ยนนั้ อยา งเดียว. กระดกู สันหลังแหงเราผุดข้นึระกะ ราวกะเถาวัลยชอ่ื วัฏฏนา ก็เพราะโทษทีอ่ าหารนอยน้นั อยางเดยี ว.เปรยี บซีโ่ ครงแหงเรานูนเปนรอ ง ๆ ดังกลอนในศาลาเกา ชํารุดทรดุ โทรมฉะน้นั , กเ็ พราะโทษที่อาหารนอยนั้นอยางเดยี ว. เปรยี บเหมือนดวงตาแหง

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 125เราปรากฏกลมลึกเขาในกระบอกตา ดปู ระหนง่ึ ดวงดาวปรากฏในบอนา้ํอันลกึ ฉะนัน้ ก็เพราะโทษที่อาหารนอยนั้นอยางเดียว. หนังศีรษะบนศรี ษะแหง เราสมั ผสั อยกู ็เห่ียวแหง ไป ประหน่ึงผลนํา้ เตาขม ท่บี คุ คลตัดมาแตยังสด ถูกลมและแดดกเ็ หย่ี วแหง ไปฉะนนั้ , กเ็ พราะโทษท่ีอาหารนอยนั้นอยางเดยี ว. อัคคิเวสสนะ เราเอง คิดวาจะคลําหนังทอง กจ็ บั ถึงกระดกู สันหลงัตลอดไป, เราคิดวาจะคลาํ กระดูกสันหลัง กจ็ ับถึงหนงั ทอ ง, อัคคิเวสสนะ หนังทองของเราเหี่ยวแหง จนติดกระดกู สันหลงั กเ็ พราะโทษที่อาหารนอ ยน้ันอยา งเดียว. อคั คิเวสสนะ เราน้นั แลคดิ วา จะถายอุจจาระหรือปสสาวะกซ็ วนเซลม อยูท่ีนั้นเอง, ก็เพราะโทษท่อี าหารนอ ยนนั้ อยางเดียว. อัคคเิ วสสนะ เราน้ันแล เมอ่ื จะใหก ายนี้ มีความสบายบา ง จึงนวดไปตามตัว ดวยฝามือ, อัคคเิ วสสนะ เมอ่ื เรานวดไปตามตวั ดวยฝามือนนั้ ขนทั้งหลายทีม่ รี ากเนาก็รวงตกจากกาย, ก็เพราะโทษท่อี าหารนอ ยน้นั อยา งเดยี ว. อคั คเิ วสสนะ ยังไมทันไร มนษุ ยท ั้งหลายเหน็ เราแลว จึงกลา ววา พระสมณโคดมดาํไป. มนษุ ยบางพวกกลา ววา พระสมณโคดมไมด าํ เปนแตคลาํ้ ไป. มนษุ ยบางพวกกลาวอยางนว้ี า พระสมณโคดม จะวา ดาํ ไปก็ไมใช จะวา คลาํ้ ไปก็ไมใ ช พระสมณโคดมมพี ระฉวีพรอ ยไปเทา นัน้ . อคั คิเวสสนะ ผวิ พรรณของเราบริสุทธ์ิผุดผอ ง เพยี งน้ันมาถกู กาํ จัดออกไปเสียแลว กเ็ พราะโทษที่มีอาหารนอยน้ันอยางเดียว. [๔๒๕] อัคคเิ วสสนะ เรานน้ั ไดปรวิ ิตกวา ในสมนะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลาหนงึ่ เสวยทกุ ขเวทนาเจบ็ ปวด กลาแขง็ เผ็ดรอน เปน อยางยิ่งอยูเพียงน้ี ไมไ ดยงิ่ ไปกวา นแ้ี ลว. กาลในอนาคต สมณะหรอื พราหมณเหลาใดเหลาหนึง่ จักเสวยทกุ ขเวทนาเจบ็ ปวดกลาแขง็ เผ็ดรอน เปนอยา งย่งิ อยเู พยี งน้ี จกั ไมยงิ่ ไปกวา น้.ี ในกาลบดั นี้ สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลา หน่งึ

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 126เสวยอยซู ่ึงทุกขเวทนา เจบ็ ปวด กลาแขง็ เผ็ดรอน เปนอยา งย่ิงอยูเพียงน้ี ไมยิ่งไปกวา น้.ี กแ็ ตเ รา ไมไดบ รรลุญาณทสั สนะวเิ ศษ เพือ่ เปน อริยบุคคลอตุ ตริมนสุ ธรรม ดวยทกุ กรกิรยิ าท่ีเผ็ดรอนนี้ พึงมีทางอน่ื เพอื่ ตรัสรู.อคั คิเวสสนะ เราไดปริวิตกวา ก็เรายงั จําไดวา ในงานของพระบิดา เราไดนง่ั แลว ณ รมเงาตน หวา เปน ท่ีรม เยน็ ไดสงัดแลว จากกามทง้ั หลาย สงดั แลวจากอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ไดเขาถึงฌานทีห่ นง่ึ มวี ิตกวิจารปติและสุข อนั เกิดแตวเิ วกอยู ทางน้พี ึงเปนทางเพอ่ื ตรสั รู. อัคคเิ วสสนะ เราน้นั ไดม คี วามรสู กึ อนัแลน ไป ตามสติวา น่ีแล หนทางแหง การตรัสร.ู อัคคเิ วสสนะ เรานน้ัไดปริวติ กวา เราจะกลวั ความสุข ซ่ึงเปน ความสุขนอกจากกามทัง้หลาย นอกจากอกศุ ลธรรมแลหรอื . อคั คเิ วสสนะ เรานัน้ ไดป ริวิตกตอไปวา เราไมควรกลวั ตอสขุ ซ่งึ เปนสขุ นอกจากกามท้ังหลาย นอกจากอกศุ ลธรรมเชนนั้นเลย. [๔๒๖] อคั คเิ วสสนะ เราน้นั ไดปรวิ ิตกเร่ืองนอ้ี กี วา การบรรลถุ ึงความสขุ ดว ยกายอันถึงความลาํ บาก กระทําไดมใิ ชงา ย, ถากระไรเราพงึกลนื กินอาหารทห่ี ยาบ คือขาวสกุ และขนมสดเถดิ . อคั คเิ วสสนะ เราจงึกลนื กินอาหารทอ่ี าบตั ิ คือขาวสุกและขนมสด. อคั คเิ วสสนะ โดยสมัยน้นัแล ภิกษทุ ัง้ หลาย ๕ รปู เปนผบู าํ รุงอยู ดวยตง้ั ใจวา พระสมณโคดม จักบรรลุถึงธรรมใด จักบอกธรรมน้นั แกเราทง้ั หลาย. อคั คเิ วสสนะ ต้ังแตเราไดก ลนื กินอาหารหยาบ มขี า วสุกและขนมสดแลว ภิกษทุ ้ัง ๕ รปู เหลาน้ัน กพ็ ากันหนายเรา หลกี ไปเสยี ดวยเขา ใจวา พระสมณโคดม เปนคนมกัมาก คลายจากความเพยี ร เวยี นมาเพือ่ เปนคนมกั มากไปเสียแลว . [๔๒๗] อัคคิเวสสนะ เรานน้ั คร้นั กลนื กินอาหารหยาบ พาใหมกี ําลงัข้ึนแลว ไดสงัดแลวจากกามทั้งหลายเทียว ไดสงดั แลว จากอกศุ ลธรรมท้งั

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 127หลาย เขา ถึงฌานทีห่ นงึ่ มวี ติ ก มีวจิ าร มีปติ และสุข อนั เกดิ แตวิเวกอย.ูอคั คิเวสสนะ สุขเวทนาถงึ ปานนี้ ไดเ กิดขนึ้ แลว แกเ รา ก็มไิ ดครอบงาํ จิต เขาฌานที่สอง อันยงั ใจใหผองใส ณ ภายใน มธี รรมเอกผุดขึน้ ไมมวี ิตกไมมวี ิจาร เพราะความสงบแหงวิตกและวจิ าร มปี ต แิ ละสุขอันเกิดแตสมาธิเขา ฌานท่ีสาม เขา ฌานทีส่ .่ี อคั คเิ วสสนะ สขุ เวทนาถึงปานนไ้ี ดเ กดิ ขึ้นแลวแกเรา กม็ ิไดค รอบงาํ จิต ตงั้ อยูได. เรานั้น เม่อื จิตตง้ั มนั่ บริสทุ ธิ์ผอ งใสไมม กี เิ ลสปราศจากอปุ กิเลส เปน จติ ออ นควรแกก ารงาน ต้งั อยูถึงความไมหว่นั ไหวอยา งนีแ้ ลว ไดนอมจติ ไปเพ่ือญาณเปน เคร่ืองตามระลึกถงึ ขันธท่ีอาศยั อยูแ ลว ในภพกอน. เรานน้ั ไดต ามระลกึ ถึงขนั ธท่อี าศยั อยแู ลวในภพกอ นไดห ลายประการ. คือ ตามระลึกได ชาตหิ นงึ่ บา ง สองชาติบา ง สามชาติบา ง สช่ี าติบา ง หา ชาติบา ง ฯลฯ เราตามระลึกถึงขนั ธทอ่ี าศยั อยูแลวในภพกอ นไดหลายประการ พรอ มทัง้ อาการ พรอ มท้งั อทุ เทสดวยประการฉะนี้ ในปฐมยามแหง ราตรี เราไดบ รรลวุ ิชาที่หนง่ึ กําจดั อวชิ ชาเสยี ไดวชิ าก็เกดิ ข้ึน กาํ จดั ความมืดเสยี ได แสงสวางก็เกิดขน้ึ สมกบั เมอ่ื เปนบคุ คลผูไ มป ระมาท มคี วามเพียรใหก เิ ลสรอน มีตนสง ไปแลว แลอยูฉ ะน้ันอคั คเิ วสสนะ สขุ เวทนาถงึ ปานน้ี ไดเกิดข้นึ แลว แกเ รา กม็ ิไดครอบงําจิตเราตง้ั อยู. [๔๒๘] เรานั้น คร้นั เม่อื จติ ตงั้ ม่นั บรสิ ุทธผ์ิ องใส ไมม ีกเิ ลส ปราศจากอปุ กิเลส เปนจติ ควรแกก ารงานตง้ั อยู ถงึ ความไมหวน่ั ไหวอยา งนแ้ี ลว ไดน อ มไปเพ่อื ญาณในจุติและปฏิสนธขิ องสตั วทั้งหลาย เราน้ันมีจกั ษุทพิ ย หมดจดวิเศษลวงจักษขุ องมนษุ ย แลเห็นสตั วท ง้ั หลายผูจุติอยู ผูอ บุ ัติอยู ผูเลวทราม ผูประณีต ผมู ีวรรณะงาม ผูมวี รรณะทราม ผถู ึงสขุ ผูถงึ ทกุ ข เรารูชัดสัตวทง้ั หลายผเู ขาถึงตามกรรมอยางไรวา สตั วท้งั หลายเหลาน้หี นอ ประ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 128กอบดว ยกายทุจริต ประกอบดวยวจที จุ รติ ประกอบดว ยมโนทุจรติกลา วตเิ ตยี นพระอรยิ เจา ท้ังหลาย เปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ สมาทานกรรมดวยอํานาจมจิ ฉาทฏิ ฐิ เบอ้ื งหนา แตก ายแตกไป ไดเขา ถึงอบายในทุคคติ วินิบาต นรกแลว ฝา ยสตั วท้ังหลายเหลา นี้ ประกอบดวยกายสจุ รติ ประกอบดว ยวจีสจุ ริต ประกอบดว ยมโนสุจริต ไมกลาวตเิ ตียนพระอริยเจา เปน สัมมาทฏิ ฐิสมาทานกรรมดว ยอํานาจสมั มาทฏิ ฐิ เบือ้ งหนา แตกายแตก ตายไป ไดเขาถึงสคุ ติโลกสวรรคแ ลว เรามีจักษทุ ิพย หมดจดวิเศษลวงจกั ษุของมนุษยแ ลเห็นสตั วท ้งั หลาย ผูจุตอิ ยู ผูอบุ ัตอิ ยู ผเู ลวทราม ผปู ระณีต ผมู ีวรรณะงาม ผมู วี รรณะทราม ผถู ึงสขุ ผูถงึ ทกุ ข เรารูช ัดสตั วท้งั หลาย ผเู ขา ถงึตามกรรมอยา งนี.้ นี้เปนวชิ าที่ ๒ ในมัชฌมิ ยามแหงราตรี เราไดบรรลุวิชาที่ ๒ กําจดั อวิชาเสียได วชิ าก็เกิดข้นึ กาํ จดั ความมืดเสยี ได แสงสวา งก็เกดิ ขึน้ สมกบั เปน บุคคลผูไ มป ระมาท มคี วามเพยี รใหก ิเลสรอนมีตนสงไปแลวแลอยฉู ะน้นั . อัคคเิ วสสนะ สขุ เวทนาถงึ ปานน้ี ไดเกดิ ขน้ึ แลว แกเราก็ไมค รอบงําจิตต้งั อยู. [๔๒๙] เราน้นั ครน้ั เมอ่ื จิตตั้งม่ันแลว บริสุทธ์ิ ผอ งใส ไมม ีกเิ ลสปราศจากอุปกเิ ลส เปน จิตออน ควรแกก ารงาน ตงั้ ม่ัน ถึงความไมห วน่ั ไหวอยางนั้นแลว นอมจิตไปเพอื่ ญาณในความสิน้ อาสวะทัง้ หลาย. เราไดรูชดั ตามเปน จรงิ วา นี้ทกุ ข นเี้ หตใุ หเกิดทุกข น้คี วามดับทกุ ข นี้ปฏิปทาดาํ เนนิ ถงึความดบั ทุกข ไดร ตู ามเปนจริงวา เหลาน้ีอาสวะทั้งหลาย น้เี หตุใหอาสวะทงั้หลายเกดิ ขึ้น นีค้ วามดบั อาสวะทัง้ หลาย นปี้ ฏปิ ทาดาํ เนินถึงความดับอาสวะท้ังหลาย. เม่ือเราน้นั รูอยูอยางน้ี เหน็ อยอู ยา งน้ี จติ กห็ ลดุ พน แมจ ากกามาสวะ แมจากภวาสวะ ท้ังจากอวชิ ชาสวะ เมอื่ จิตหลุดพนกม็ ญี าณหยั่งรูวา จติ หลดุ พนแลว รชู ัดวา ชาติสนิ้ สุดแลว พรหมจรรยอ ยูจบแลว กิจอ่ืนอีก

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 129เพื่อความเปน เชนนไี้ มม ี ดงั นี้. อัคคเิ วสสนะ วชิ าทสี่ าม เราไดบรรลุในยามทีส่ ุดแหง ราตรี กาํ จัดอวชิ าเสียได วชิ าก็เกิดขน้ึ กาํ จัดความมอื เสียได แสงสวางก็เกดิ ขนึ้ สมกบั ท่เี ปน บคุ คลผไู มป ระมาท มีความเพยี ร มีตนสงไปแลวแลอยู. อัคคเิ วสสนะ สุขเวทนาถึงปานน้ี ไดเ กดิ ข้นึ แลวแกเรากไ็ มค รอบงาํ จติ ต้ังอยูได. [๔๓๐] อัคคเิ วสสนะ เราแลเปน ผแู สดงธรรมแกบรษิ ทั หลายรอ ยยังจาํไดค นหน่ึงๆ ยอมสาํ คญั เราอยา งนโี้ ดยแทวา พระสมณโคดม ปรารภเราทีเดยี วแสดงธรรม ดงั นี.้ อัคคเิ วสสนะ ขอ นน้ั ไมค วรเห็นอยางนี้ ตถาคตยอมแสดงธรรมแกเ วไนยสัตวท งั้ หลายนน้ั ๆ ดว ยอาการอนั ชอบแท ในท่ีสุดเพียงเพือ่ ใหร ูแจงเทานน้ั . อคั คิเวสสนะ ในที่สุดคาถานน้ั ๆ เรานัน้ ยังจติ อันเปนภายในอยางเดยี ว ใหต ง้ั พรอมอยู ในสงบ ใหตง้ั มั่น ทาํ สมาธิเปนธรรมมอี ารมณเปน อันเดียวผดุ ข้ึนในสมาธินมิ ิต ที่เราอยตู ลอดกปั เปน นิจ ส. นีค่ าํ ของพระโคดม ควรเช่อื ได สมเปน คําของพระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจานนั้ . พระโคดมทรงจําไดอ ยหู รอื เรอ่ื งทรงบรรทมหลบั กลางวัน. พ. เราจาํ ไดอ ยู อคั คิเวสสนะ เมือ่ เดอื นทา ยฤดคู ิมหะ เรากลับจากบณิ ฑบาตแลว ภายหลงั ภตั รใหป ูผา สงั ฆาฏิเปน ๔ ชน้ั ลงแลว มีสตสิ มั ปชญั ญะอยู หยงั่ ลงสูความหลบั โดยขางขวา. ส. พระโคดม สมณพราหมณพ วกหนง่ึ ก็ติเตยี นขอน้ันไดใ นเพราะอยดู ว ยความลมุ หลง. พ. อัคคเิ วสสนะ บคุ คลจะเปน ผูหลงหรือไมเปน ผหู ลง ดวยอาการเพียงเทา นั้นกห็ าไม. อัคคิเวสสนะ กแ็ ตวาบุคคลจะเปน ผูหลง หรือไมเปน ผูหลง ดวยอาการใด ทานจงฟงอาการนนั้ ทําไวในใจใหด เี ถิด. เรา

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 130จักกลาว สัจจกนคิ ันถบตุ ร ไดรบั ตอ พระผูมพี ระภาคเจาวา อยางน้นัพระเจา ขา ดังนี้แลว. ตรัสความเปน ผหู ลงและไมหลง [๔๓๑] พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั พระพุทธพจนน วี้ า \"อัคคเิ วส-สนะ ก็บคุ คลเปน คนหลงนั้นอยา งไร อคั คิเวสสนะ อาสวะ เหลาใดอันระคนดว ยความเศรา หมอง นาํ มาซ่ึงภพใหม เปนไปกับดว ยความทรุ นทุรายมีทกุ ขเปน ผล เปน ทตี่ ง้ั ชาติ ชรา มรณะ ตอไป อันใครๆ ยงั ละเสยี ไมไ ดแลว เรากลาววา ผนู ั้นเปนคนหลง อัคคิเวสสนะ ดวยวา บุคคลจะช่อื วา เปน คนหลง ก็เพราะยงั ละอาสวะทั้งหลายเสยี ไมไ ด. อคั คเิ วสสนะ อาสวะเหลาใดอันระคนดวยความเศรา หมอง นํามาซึ่งภพใหม เปนไปกบั ดว ยความทรุ นทุราย มที กุ ขเ ปน ผล เปน ที่ตั้งชาติ ชรา มรณะ ตอ ไปอนั ใครๆ ละเสียไดแลว เรากลา วผูนัน้ วาเปนคนไมห ลง อคั คเิ วสสนะ อาสวะเหลาใดอันระคนดว ยความเศราหมอง นํามาซ่งึ ภพใหม เปนไปกบั ดวยความทรุ นทรุ ายมที ุกขเ ปนผล เปนทต่ี ัง้ ชาติ ชรามรณะตอ ไป อนั ตถาคตละเสยี แลว ทําใหมมูลรากอนั ขาด ทาํ ไมใ หมที ี่ตง้ั ดจุ ของตาล ทาํ ไมใ หเกดิ มอี นั เกิดข้ึนไมไดต อไปเปนธรรมดา. อคั คิเวสสนะ เปรยี บเหมือนตน ตาลมยี อดอันขาดเสยีแลว ไมค วรเพ่ือจะงอกข้นึ ไดอีกฉนั ใด อัคคเิ วสสนะ อาสวะเหลา ใด อนั ระคนดวยความเศรา หมอง นํามาซึ่งภพใหมเปนไปกบั ดว ยความทุรนทุราย มที ุกขเปนผล เปน ท่ีตัง้ ชาติ ชรามรณะ ตอ ไป อันตถาคตละเสียแลว ทําใหม มี ลู รากอนั ขาด ทาํ ไมใ หมที ต่ี งั้ อยูไดดุจของตาล ทาํ ไมใหเกิด มอี ันเกิดขึ้นไมไดตอไปเปน ธรรมดา เหมือนกนั ฉะนั้นแล.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 131 สัจจนิคันถบุตรสรรเสรญิ [๔๓๒ ] คร้นั พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั อยา งนี้แลว สจั จกนคิ ันถบุตรไดก ลา วคาํ นี้กะพระผูม พี ระภาคเจาวา พระโคดม นา อศั จรรย เรือ่ งนไี้ มเ คยมีพระโคดม. เมอื่ พระโคดมถกู วา กระทบอยู ถกู รมุ ดว ยถอยคาํ ที่บคุ คลนําเขาไปกลาว (วา เปรยี บ) อยู ถึงเพียงน้ี ผวิ พรรณคงผุดผอ ง สพี ระพักตรก ย็ งั สดใสอยูนน่ั เอง สมกบั เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา . พระโคดม ขา พระองคยงั จําไดอ ยู เรอื่ งปรารภถอ ยคาํ ดว ยถอยคํากบั ครู แมครูปูรณกัสสปะนัน้ ถกู ขาพระองคป รารภถอ ยคําดว ยถอ ยคําเขาแลว ไดโ ตต อบคาํ อื่นดวยคาํอื่น นําถอ ยคาํ หลกี ออกภายนอกเสยี ไดทาํ ความโกรธดวยความประทุษรา ยดวยความแคน ดว ยใหปรากฏ. สวนเม่อื พระโคดม ถูกวากระทบๆ อยู ถูกรมุดวยถอยคําทบี่ ุคคลนําเขา ไปกลาวอยู อยา งนี้ ผวิ พรรณยงั ผุดผอ ง สพี ระพกั ตรกย็ งั สดใสอยูนน่ั เอง สมกบั เปน พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา. พระโคดม ขา พระองคยงั จาํ ไดอยู เร่ืองปรารภถอยคําดวยถอ ยคาํ กับมกั ขลโิ คสาล...อชตเิ กสกมั พละ...ปกธุ ะกัจจายนะ...สัญชยเวลัฏฐบตุ ร...นิคนั ถ-นาฏบตุ ร...พระโคดม ขา พระองคจะขอทลู ลาไปเดยี๋ วน้ี ขา พระองคมกี ิจมาก มีธุระมาก. พ. อคั คเิ วสสนะ ทา นสาํ คัญกาลอันควร ณ บัดน้เี ถิด. ลาํ ดับนัน้ สัจจกนคิ ันถบุตร เพลดิ เพลินอนโุ มทนาพระพทุ ธภาษติแหง พระผมู พี ระภาคเจา ลุกขนึ้ จากอาสนะแลวหลีกไป. จบมหาสัจจกสตู ร ท่ี ๖

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 132 อรรถกถามหาสัจจกสตู รมหาสจั จกสตู ร มบี ทเร่มิ ตนวา เอวมเฺ ม สตุ  . บรรดาบทเหลาน้ัน ดวย ๓ บทวา เอก สมย ๑ เตน โข ปน สมเยน ๑ปพุ ฺพณฺหสมย ๑ ทานกลาวเปน สมยั หนงึ่ . ก็เวลาพวกภิกษุทําการปฏบิ ตั ิตน ลา งหนา ถอื บาตรและจีวรไหวพ ระเจดียแลว ยนื อยูในโรงวิตกวาเราจักเขาไปบา นไหน. สมยั เห็นปานนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงผาแดง ๒ชน้ั รดั ประคต ทรงจวี รบังสุกุล เฉวียงบา เสด็จจากพระคนั ธกุฏี อนั หมภู กิ ษุหอ มลอม ประทับยืนทีม่ ุขพระคันธกฏุ ี. สจั จกนคิ ันถบตุ ร หมายเอาขอนน้ัแลว จงึ กลา ววา เอก สมย เตน โข ปน สมเยน ปุพพฺ ณหฺ สนย ดังน.้ี บทวา ปวิสติ ุกาโม ไดแก ตกลงพระทัยอยา งนีว้ า เราจักเขาไปบิณฑบาต.บทวา เตนุปสงฺกมิ ถามวา สัจจกนคิ นั ถบตุ รเขาไปหาเพราะเหตไุ ร. ตอบวา โดยอธั ยาศัยเพอื่ โตว าทะ ไดยนิ วา นคิ รนถน ้ัน ไดมคี วามคิดอยางน้ีวา คราวกอนเราเพราะไมไ ดเปนบณั ฑิตจึงพาเอาเวสาลีบริษทั ทัง้ ส้ิน ไปยังสาํ นกั ของพระสมณโคดม จึงเปน ผเู กอในทา มกลางบรษิ ทั แตค ราวน้ี เราไมทําอยา งนัน้ ไปผูเดียว จักโตวาทะ ถาเราจักสามารถใหพระสมณโคดมแพได จกั แสดงลทั ธขิ องตนแลว กระทําการชนะ ถา พระสมณโคดมจักชนะใครๆ จักไมร ู เหมอื นฟอนรําในทมี่ ืด จึงถอื เอาปญ หาคนเปลือยเขาไปหาโดยอธั ยาศยั แหงวาทะน้ี. บทวา อนุกมปฺ  อปุ าทาย ความวา อาศัยความกรุณาแกสัจจกนิคนั ถบตุ ร. ไดย นิ วา พระเถระไดมคี วามคิดอยา งน้วี า เมอื่ พระผูมีพระภาคเจาประ-ทบั นั่งพกั สกั ครู เขาจักไดเ ฝาพระพทุ ธเจาและจักไดการฟง ธรรม การเฝาพระพุทธเจา และการฟงธรรมจกั เปน ไปเพื่อประโยชน เพือ่ ความสุขแก

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 133เขาตลอดกาลนาน เพราะฉะนน้ั พระเถระทูลอาราธนาพระผูมพี ระภาคเจาแลว พับจวี รบงั สกุ ลุ เปน ๔ ชั้น ปลู าด จึงไดกราบทลู วา ขอพระผูม พี ระภาค-เจาจงประทบั น่งั เถิด. พระผูม ีพระภาคเจา ทรงกําหนดวา อานนทก ลา วเหตุ จึงประทบั นัง่ บนอาสนะทีจ่ ดั ถวาย. บทวา ภควนตฺ  เอตทโวจ ความวา นคิ รนถ หอ ปญ หาอันเปนสาระ ถอื เอามาวางเลี่ยงไปขางๆ. กราบทลู คาํเปนตนนั้นวา โภ โคตม. บทวา ผสุ นฺติ หิ โภ โคตม ความวา สมณพราหมณเหลา นัน้ ยอ มถกู ตอ ง คอื ยอ มได คอื ประสบทกุ ขเวทนา อันเกดิ ในสรรี ะกาย.บทวา อุรุกฺขมฺโภ ความวา ความขดั ขา อธิบายวา ขาแข็งทที่ อ่ื ในทน่ี ้ีดวยอรรถวา ทําใหงงงวย จึงทําเปนคําอนาคตวา ภวสิ ฺสต.ิ บทวา กายนวฺ ยโหติ คือ จติ ไปตามกาย คือเปนไปตามอาํ นาจกาย. สวน วิปส สนาเรยี กวา กายภาวนา คนถงึ ความฟุงซานท้งั กายและจิต ยอมไมมี นคิ รนถกลาวถึงทีไ่ มมี ไมเปนเทา นนั้ ดวยประการฉะน้ี สมถะเรยี กวา จิตภาวนาดังน้ีก็มี ความวา ความขัดขาเปนตนของบคุ คลที่ประกอบดว ยสมาธิยอ มไมม ี นิครนถ กลา วเฉพาะส่งิ ทไ่ี มเ ปน นี้ ดว ยประการฉะน้.ี สว นในอรรถกถาทานกลา ววา เมือ่ บุคคลกลาววา เร่ืองเคยมมี าแลว ยังกลาวคาํ เปน ตนวา ชือ่ ความขดั ขาก็จกั มี ซง่ึ เปน คาํ อนาคต ไมถ ูกฉนั ใด ความหมายก็ไมถูกฉันน้นั นิครนถก ลาวถึงส่งิ ทไ่ี มมี ไมเปน . บทวา โน กายภาวน เขากลาวหมายเอาการปฏบิ ัตติ นใหลาํ บากมกี ารทาํ ความเพยี ร ๕ ประการเปนตน . น้ีชอ่ื กายภาวนาของสมณพราหมณเ หลาน้นั . ถามวา ก็นิครนถน น้ัเห็นอะไร จึงไดก ลาวอยางนี.้ ตอบวา ไดย ินวา นิครนถน้นั มายงั ที่พกั ตอนกลางวัน กแ็ ลสมยั นั้น พวกภิกษเุ กบ็ บาตรและจวี รแลว เขาไปเพ่อืหลกี เรนในทพี่ ักกลางคนื และกลางวันของตนๆ เขาเห็นพวกภกิ ษเุ หลา นัน้ หลีกเรน สําคญั วา พวกภกิ ษเุ หลา นัน้ หมน่ั ประกอบเพียงจิตตภาวนา แตกายภาวนาไมมีแกภกิ ษเุ หลาน้นั จงึ กลาวอยางนี.้

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 134 ลาํ ดับนัน้ พระผูมีพระภาคเจา เมือ่ ทรงยอนถามนคิ รนถน้ัน จงึตรัสถามวา ดกู อ นอคั คเิ วสสนะ กายภาวนาทานฟง มาแลว อยา งไร. นคิ รนถน้ัน เม่อื จะกลาวกายภาวนานน้ั ใหพสิ ดาร จงึ ทลู คําเปนตนวา คือทานนันทะผูวัจฉโคตร. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา นนโฺ ท เปน ช่ือของเขา บทวา วจฺโฉเปนโคตร. บทวา กโี ส เปน ชือ่ บทวา สกุ ิจโฺ จ เปน โคตร. ทา นมกั ขลิโคสาลมาในหนหลงั แลว แล. บทวา เอเต ไดแก ชน ๓ คนเหลา นนั้ ไดย ินวา ชนเหลานนั้ ไดบรรลุทสี่ ุดแหง ตบะอนั เศรา หมอง บทวา อฬุ ารานิ คอืโภชนะอนั ประณตี ๆ. บทวา คาเหนตฺ ิ นาม ชือ่ วา ยอ มใหรา งกายไดก ําลัง. บทวา พฺรเู หนตฺ ิ คอื ใหเจริญ. บทวา เมเทนตฺ ิ คือทําใหเกิดมันขน. บทวา ปุริม ปหาย ไดแ ก เลกิ การทําความลําบากอยางกอน. บทวา ปุจฺฉาอุปจนิ นตฺ ิ ความวา ใหอ ิม่ หนําคือใหเ จริญดวยของควรเคีย้ วอนั ประณตี เปนตน. บทวา อาจยาปจโย โหติ คอื ความเจริญ และความเส่อื มยอมปรากฏเพียงแตความเจริญและความเสอื่ ม กายน้ีก็มคี วามเจรญิ ตามกาล ความเส่ือมตามกาล พระผูมีพระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงวา กายภาวนา ไมป รากฏตรสั ถามจติ ตภาวนา ตรัสถามวา ดกู อ นอัคคิเวสสนะ จติ ตภาวนา ทานฟง มาแลวอยางไร. บทวา น สมฺปายาสิ ความวา ไมอ าจทูลใหสมบรู ณได เหมอื นพาลปถุ ชุ น. บทวา กุโต ปน ตวฺ  ความวา ทานผใู ดไมรูความเจรญิ ของรา งกาย ทอ่ี อนกาํ ลงั เปนสวนหยาบอยางน้ี ทานผูนนั้ จักรูจิตตภาวนาอันละเอยี ดสขุ ุมไดแ ตทีไ่ หนเลา . สวนในท่นี ้ี พระโจทนาลยเถระคิดวา บทน้นัช่ือพระพุทธพจนก็หามไิ ด วางพัดวชี นหี ลีกไป. ยอมาพระมหาสิวเถระอางพระพุทธพจนน ั้นวา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ความเจริญบาง ความเสอ่ื มบา ง ปฏิสนธบิ าง จตุ ิบาง ของกายอันเปน มหาภูต ๔ นี้ จักปรากฏ พระเถระฟงคํานัน้ แลว กําหนดวา ควรกลาววา เม่อื กาํ หนดกายเปน สว นหยาบวิปส สนาท่ีเกดิ กเ็ ปน สว นหยาบดงั น้.ี บทวา สุขสาราคี คอื ผปู ระกอบดว ย

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 135ความยนิ ดีดว ยความสขุ บทวา สขุ าย เวทนาย นิโรธา อปุ ฺปชฺชติ ทกุ ฺขาเวทนา คอื ยอ มเกดิ ในลาํ ดบั สําเรจ็ แลวในคัมภีรปฏฐาน เพราะทุกขเวทนานนั้ เปน อนันตรปจจยั แกส ุขและทกุ ข แตเพราะเม่ือสุขเวทนายังไมด ับ ทกุ ขเวทนาก็ไมเ กิด ฉะน้นั ทานจงึ กลาวไวในท่นี .ี้ บทวา ปรยิ าทาย ติฏติ ความวาใหเ วทนาสิน้ ไป ยึดถอื ไว. บทวา อุภโต ปกฺข ความวา เปน ๒ ฝายอยา งนค้ี ือสขุ ฝายหนึง่ ทุกขฝ ายหน่ึง. วินิจฉยั ในบทน้วี า อปุ ปฺ นฺนาป ฯเปฯ จิตฺตสฺสดงั ตอไปน้ี กายภาวนา เปน วปิ สสนา จติ ตภาวนาเปน สมาธิ สวนวิปสสนาเปน ขาศึกตอสุข ใกลตอทุกข สมาธเิ ปนขาศึกตอ ทุกขใกลต อสุข. อยางไร จรงิ อยู เมอ่ื พระโยคาวจรนงั่ เริ่มวปิ ส สนา เมื่อระยะกาลผา นไปนานจติ ของทานยอ มเดอื ดรอ น ด้นิ รน ยอมปรากฏเหมือนไฟทล่ี กุ โพลงในที่นนั้ เหงอื่ ไหลออกจากรกั แร เหมือนเกลยี วความรอ นต้งั ขน้ึ แตศ รี ษะ ดว ยเหตุเพียงเทา น้ี วิปส สนาเปน ขา ศกึ ตอ สุข ใกลต อ ทกุ ข. ก็เมือ่ ทกุ ขท างกายหรอืทางจติ เกดิ แลว ทกุ ขใ นขณะสมาบตั ขิ องทา นผูขม ทุกขน ้นั เขา สมาบตั ิ ยอ มปราศจากทกุ ข หย่ังลงสูสุขไมนอย เมอ่ื เปนเชนนี้ สมาธิ จึงเปนขาศกึ ตอทกุ ขใกลต อสขุ . วปิ ส สนา เปน ขาศกึ ตอ สขุ ใกลต อทุกข ฉนั ใด สมาธิหาเปน ฉนันั้นไม. สมาธเิ ปนขา ศกึ ตอ ทุกข ใกลต อ สุขฉนั ใด สว นวปิ ส สนาหาเปน ฉนั น้ันไม. เพราะเหตนุ ้นั พระองคจ ึงตรสั วา อุปปฺ นนฺ าป ฯเปฯ จิาตฺตสสฺ . บทวาอาสชฺช อปุ นีย ไดแก เก่ียวขอ งและนําเขาไปสคู ุณ. บทวา ต วต เม ไดแก จติ ของเรานนั้ หนอ. บทวา กิ หฺ ิ โน สิยา อคฺคิเวสฺสน ความวา ดกู อ นอคั คิเวสสนะ อะไรจักไมม ี อะไรจักมี ทานอยา สาํ คัญอยางน้ี สขุ เวทนากด็ ีทุกขเวทนากด็ ี ยอ มเกิดแกเรา แตเ มือ่ มนั เกดิ ขน้ึ แลว เราจะไมใ หครอบงาํจิต. บดั น้ี พระผมู พี ระภาคเจา มปี ระสงคจ ะทรงแสดงพระธรรมเทศนาเปน ทมี่ าแหงความเลอื่ มใสอยางสงู เพ่ือประกาศเน้ือความน้นั แกน ิครนถ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 136น้นั จงึ ทรงปรารภมหาภเิ นษกรมณ ต้งั แตต นในบทวา อิธ ฯเปฯ ปธานายนนั้ นีท้ ้ังหมด พงึ ทราบโดยนัยท่ีกลา วไวใ นปาสราสสิ ตู รหนหลงั .สวนความตา งกันดังนีค้ อื การน่ังบนโพธิบัลลงั กนน้ั เปน การกระทาํ ทีท่ าํ ไดยากในขอน้ี. บทวา อลลฺ กฏ คอื ไมม ะเด่อื สด. บทวา สเสนฺ ห คือมียางเหมอื นน้าํ นม. บทวา กาเมหิ คือจากวัตถุกาม. บทวา อวูปกฏา คอื ไมหลีกออก. กเิ ลสกาม ในบทเปนตนวา กามฉนโฺ ท พึงทราบวาฉนั ทะดว ยอาํ นาจทําความพอใจ สเิ นทะ ดวยอาํ นาจทาํ ความเยอ่ื ใย มุจฺฉา ดวยอาํ นาจทาํความสยบ ปปาสา ดวยอาํ นาจทําความกระหาย ปริฬาห ดวยอํานาจการตามเผา. บทวา โอปกฺกมกิ า คือ เกดิ เพราะความเพียร. บทวา าณายทสฺสนาย อนุตตฺ ราย สมโฺ พธาย ท้งั หมด เปน ไวพจนโ ลกตุ ตรมรรค. ก็ มอี ุปมาเปรียบเทียบในขอ นด้ี ังนคี้ ือ บุคคลยงั มกี ิเลสกาม ยังไมอ อกจากวัตถกุ าม เหมอื นไมม ะเดอ่ื สดมยี าง เปยกชมุ ดวยกิเลสกาม เหมือนไมท ี่แชไวในน้ํา การไมบ รรลโุ ลกตุ ตรมรรค ดว ยเวทนาอนั เกิดเพราะความเพยี ร ของบุคคลทีม่ ีกิเลสกาม ยงั ไมออกจากวตั ถุกาม เหมอื นสไี มสีไฟไฟกไ็ มเกดิ . การไมบรรลุโลกุตตรมรรคของบุคคลเหลานั้น เวนจากเวทนาอันเกิดเพราะความเพียรเหมือนไมสีไมสีไฟ ไฟกไ็ มเ กดิ แมอ ุปมาขอที่ ๒ พงึ ทราบโดยนัยน้แี ล. สวนความตางกนั ดังนคี้ ือ ขอแรกเปนอุปมาของการบวชพรอมกบับตุ รและภรรยา ขอหลัง เปน อปุ มาของการบวชของพราหมณผ ทู รงธรรม. บทวา โกลาป ในอปุ มาขอท่ีสาม ไดแก ผักท่ไี มมียาง บทวา ถเลนกิ ฺขติ ตฺ  คือท่ีเขาวางไวบนภเู ขา หรือบนพ้นื ดิน กม็ ีอุปมาเปรยี บเทียบในขอน้ีดงั นี้คอื ก็บคุ คลมีกเิ ลสกามออกจากวตั ถุกาม เหมือนไมแ หง สนิท ไมเปยกชุม ดวยกิเลสกาม เหมือนไมท ่เี ขาวางไวบนบกหา งจากนํา้ การบรรลโุ ล-กตุ ตรมรรคดว ยเวทนา แมเ กดิ เพราะความเพยี ร มีการน่งั ในกลางแจงเปน ตนของบคุ คลมีกิเลสกาม ออกจากวัตถกุ าม เหมือนสไี มสไี ฟ ไฟกเ็ กิด การบรรลุ

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 137โลกุตตรมรรค ดวยสุขาปฏปิ ทาเวนจากเวทนาอันเกิดเพราะความเพยี ร เหมือนเกิดไฟดว ยเพยี งการสีกบั ก่งิ ตนไมอนื่ . อปุ มาน้ี พระผูมีพระภาคเจา ทรงนาํ มาเพื่อประโยชนแกองค. บดั นี้ เม่ือจะทรงแสดงทกุ กรกริ ิยาของพระองค จึงตรัสวา ตสฺส มยหฺ  เปนตน . ก็พระผมู พี ระภาคเจาไมท รงทําทุกกรกริ ยิ าแลว ไมสามารถเปนพระพทุ ธเจา ไดหรอื ทรงทําก็ตามไมทาํ ก็ตาม สามารถเปน พระพทุ ธเจาได. ถามวาเมื่อเปนเชนนัน้ทรงทําเพราะเหตไุ ร ตอบวา เราจกั แสดงความพยายามของตนแกโลกพรอมทง้ั เทวโลก และคณุ คือความย่ํายีดว ยความเพยี รนนั้ จักใหเ รายนิ ดีได. จริงอยู กษัตริยประทบั นัง่ บนปราสาท แมท รงไดร ับราชสมบัติสืบตอตามพระราชประเพณี ไมท รงยินดอี ยา งนั้น ราชสมบัติท่พี าเอาหมพู ลไปประหารขา ศึก ๒ - ๓ คน ทาํ ลายขา ศกึ ไดมา โสมนสั อนั มีกาํ ลังยอ มเกิดแกพ ระองคผูไ ดเสวยสริ ิราชสมบัตอิ ยางนนั้ ทรงแลดบู รษิ ัท ทรงรําลกึ ถงึความพยายามของตนแลว ทรงดาํ รติ อ วา เราทาํ กรรมนนั้ ในทีโ่ นน แทงอยา งนี้ ประหารอยา งน้ี ซึ่งขา ศึกโนนและโนน จงึ ไดเ สวยสิรริ าชสมบตั ินี้ ฉนั ใด แมพ ระผูมีพระภาคเจาก็ฉันน้นั เหมือนกัน ทรงดํารวิ า เราจักแสดงความพยายามแกโลกพรอมท้งั เทวโลก กค็ วามพยายามนั้นจักใหเรายนิดี ใหเ กิดโสมนสั เปนอยางย่งิ จึงไดท าํ ทุกกรกิริยาอีกอยา งหนง่ึ แมเ มือ่ จะทรงอนเุ คราะหห มชู นผูเ กดิ ในภายหลงั ก็ไดท รงกระทําเหมอื นกัน หมูชนผูเกดิ ในภายหลงั จกั สําคัญความเพียรทีค่ วรทาํ วา พระสมั มาสัมพุทธเจายงั ทรงบาํ เพ็ญพระบารมตี ลอด ๔ อสงไขย ย่งิ ดวยแสนกัป ทรงต้ังความเพียร บรรลุพระสพั พญั ุตญาณ จะปวยกลาวไปใย ถงึ พวกเราเลา เมื่อเปนอยางน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาทรงดํารวิ า หมชู นจักกระทําทส่ี ุดแหงชาติชรา และมรณะได เรว็ พลัน เพราะฉะนั้น เมือ่ จะทรงอนุเคราะหหมชู นผูเกิดภายหลัง จงึ ไดท รงกระทาํ เหมือนกัน. บทวา ทนฺเตหิ ทนตฺ มาธาย ไดแก

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 138กดพระทนตบนดว ยพระทนตลา ง บทวา จตสา จติ ตฺ  ไดแ ก ขม อกศุ ลจติ ดวยกศุ ลจิต. บทวา อภินิคคฺ ณเฺ หยยฺ  คอื พึงขม . บทวา อภนิ ิปปฺ เ ฬยฺยคอื พึงบีบค้ัน. บทวา อภินิสนตฺ าเปยยฺ  ความวา พึงทําใหเ ดือดรอ นแลว ทําลาย ยาํ่ ยีดวยความเพยี ร. บทวา สารทโฺ ธ คือมีกายกระวนกระวาย. บทวา ปธานาภิตนุ นฺ สฺส ความวา มสี ติอนั ความเพยี รเสยี ดแทงคือแทงแลว.บทวา อปปฺ าณก คือไมม ีลมหายใจ. บทวา กมฺมารคคคฺ ริยา ไดแ ก กระบอกสบูชางทอง. บทวา สีสเวทนา โหนตฺ ิ ความวา เวทนาเกดิ แตศ ีรษะมีกาํ ลังถูกลมอูอ อกไปจากไหนไมได. บทวา สสี เปฬ ทเทยยฺ ไดแก พึงรัดท่ศี รี ษะบทวา เทวตา ความวา เทวดาสถิตอยใู นท่สี ุดจงกรมของพระโพธิ-สัตว และใกลบ รเิ วณบรรณศาลา. ไดยินวา ในกาลน้นั เมื่อความเรา รอ นในพระวรกายอันมปี ระมาณยงิ่ ของพระโพธสิ ตั วเ กดิ ข้ึน หมดสติ พระองคประ-ทับนั่งลมบนทจ่ี งกรม. เทวดาเห็นพระโพธิสัตวน ัน้ จึงกลาววา พระโพธิ-สตั ว สนิ้ พระชนมเ สียแลว พวกเทวดาเหลา นั้น จงึ ไป กราบทูลตอ พระเจา สทุ -โธทนมหาราชวา พระราชโอรสของพระองคสิน้ พระชนมเ สียแลว . พระเจาสุทโธทนมหาราชตรัสวา บุตรของเรา เปน พระพุทธเจา จงึ ทํากาละ ยงั ไมเปน พระพทุ ธเจา จะไมทาํ กาล เทวดา. จะเปนพระพทุ ธเจา ไมไ ด ลมไปอยบู นพ้ืนท่ที ําความเพยี รสนิ้ พระชนมชพี เสียแลว พระเจา สุทโธทนมหาราช.เราไมเ ชอ่ื การส้ินพระชนมจ ะไมมีแกโ อรสของเรา เพราะยงั ไมบ รรลโุ พธ-ิญาณ. ในเวลาตอ มาเม่อื พระสมั มาสมั พุทธเจา ทรงยงั ธรรมจักรใหเ ปนไปเสด็จไปยังกรงุ ราชคฤหโ ดยลําดับ เสด็จถงึ กรุงกบลิ พสั ดุ พระเจาสทุโธทนมหาราชทรงรับบาตรนาํ เสดจ็ ข้นึ สปู ราสาท ถวายขาวตมและของขบเคี้ยวทูลเรอื่ งนั้น ในเวลาระหวางภัตรวา ขาแตพ ระผมู พี ระภาคเจา ในเวลาพระองคท รงทาํ ความเพยี ร เทวดามาบอกวา ดกู อนมหาราช โอรสของพระองคสิ้นพระชนมเสยี แลว พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ดกู อ นมหา

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 139บพติ ร พระองคท รงเชอื่ หรือ พระเจาสุทโธทนมหาราช. ขาแตพ ระผมู ีพระภาคเจา ขาพระองคไ มเ ชอ่ื . พระผมู ีพระภาคเจา ดูกอ นมหาบพิตร บัดน้ีพระองคทรงเหน็ อศั จรรยต ัง้ แตถ ือพระสบุ นิ ยังจกั เชอื่ หรอื แมอาตมาเปน .พระพทุ ธเจา แมมหาบพิตรกท็ รงเปน พระพทุ ธบดิ า สว นในกาลกอน เมอื่ญาณของอาตมายงั ไมแ กก ลา บําเพ็ญโพธจิ รยิ าอยู ไปแลว เพื่อศกึ ษาศลิ ปะแมใ นเวลาเปน ธรรมบาลกมุ าร พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสมหาธรรมปาลชาดก เพราะความอบุ ตั ขิ ึ้นแหงเรอ่ื งนีว้ า ชนทง้ั หลายนํากระดูกแพะมาแสดงวา ธรรมปาลกุมารบุตรของทาน ทํากาละแลว นีก้ ระดูกของเขาดงั นี้. ดูกอนมหาบพติ ร แมใ นกาลน้ัน พระองคไดตรัสวา ชือ่ วา ความตายในระหวางของบตุ รเรายอมไมมี เราไมเชอื่ ดงั นี.้ บทวา มา โข ตวฺ  มาริส ไดแก พวกเทวดาผรู ักใครมากราบทลูไดยินวา โวหารนา รกั นา ชอบใจของพวกเทวดาคอื มารสิ . บทวา อชชฺชิตคือ ไมใ ชโภชนะ. บทวา หลนฺติ วทามิ คือ เรากลาววา พอละ อธิบายวาเราหามอยางนวี้ า ทานอยาทําอยางน้ีดวยบทน้ี เราจกั ยังอตั ตภาพใหเปนไปได. บทวา องคฺ รุ จฺฉวี คอื มพี ระฉวพี รอ ย. บทวา เอตาวปรม ความวา ประมาณนัน้ เปน อยางย่งิ คือสงู สดุ แหง เวทนาเหลาน้นั . บทวา ปตุสกฺกสฺส กมมฺ นเฺ ต ฯ เปฯ ปม ฌาน อปุ สมปฺ ชชฺ วิหรตา ความวา ไดยินวา ในวนั น้นั ชอ่ื วา เปนวันวัปปมงคลของพระราชา พระราชาทง้ั หลายจัดของควรเคี้ยวของกินเปน อเนกประการ ลางถนนพระนครใหสะอาดตงั้ หมอเตม็ ดว ยน้ํา ใหยกธงแผนผา เปนตนขึน้ ประดับไปทัว่ พระนคร เหมือนเทพวิมาน ทาสและกรรมกรเปน ตน ท้งั ปวงนุง หม ผาใหม ประดบั ดว ยของหอมและดอกไมเปน ตน ประชมุ กันในราชตระกลู ในราชพิธี เขาประกอบคันไถพันหนึ่ง แตในวนั นนั้ ราชบุรษุ ประกอบคันไถ ๘๐๐ หยอ นหนงึ่ คันไถทงั้ หมดพรอมทั้งเชอื กผูกโคหนุมหมุ ดวยเงนิ เหมือนรถของชานโุ สณิพราหมณ

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 140คันไถของพระราชามีพหู อ ยยอ ยหมุ ดวยทองสุกปล่ัง เขาของโคหนมุ กด็ ี เชอื กและปฏกั กด็ ี หมุ ดวยทองคาํ พระราชาเสดจ็ ออกไปดว ยบรวิ ารใหญ รบั เอาโอรสไปดวย ในที่ประกอบพระราชพธิ แี รกนาขวัญ ไดมีตน หวาตนหน่งึ มใี บหนาทึบ มรี ม เงารม รื่นภายใตตน หวาน้นั พระราชารบั สง่ั ใหปทู ี่บรรทมของกุมาร ขางบนคาดเพดานขจติ ดวยดาวทอง ลอ มดวยกาํ แพงมานต้ังอารักขา ทรงเครอ่ื งสรรพาลงั การ แวดลอ มดว ยหมอู าํ มาตย เสด็จไปสพู ระราชพธิ แี รกนาขวัญ ณ ท่ีน้นั พระราชาทรงถือคนั ไถทอง พวกอํามาตยถือคันไถเงิน ๘๐๐ หยอ นหนึ่ง ชาวนาถอื คันไถทเ่ี หลอื . เขาเหลานน้ั ถอื คันไถเหลาน้นั ไถไปทางโนน ทางนี้. สว นพระราชา เสดจ็ จากขางน้ีไปขางโนนหรือจากขา งโนน มาสขู า งน้ี. ในทีน่ ้เี ปนมหาสมบัติ พระพี่เลยี้ งน่ังลอ มพระโพธิสตั วค ดิ วา เราจักเหน็ สมบัตขิ องพระราชา จึงพากันออกไปนอกมา น พระโพธสิ ัตวทรงแลดขู า งโนน ขางนี้ ไมเห็นใครๆ จึงรบี ลุกขนึ้นัง่ ขดั สมาธิ กําหนดลมหายใจเขาออก ยงั ปฐมฌานใหเกดิ . พระพ่ีเลยี้ งมวัเท่ยี วไปในระหวางโรงอาหารชาไปหนอยหน่ึง เงาของตน ไมอืน่ กค็ ลอ ยไป แตเ งาของตน ไมน้ัน ยงั ตัง้ เปนปรมิ ณฑลอยู. พระพีเ่ ล้ียงคิดวา พระราชบตุ รอยูลําพังพระองคเ ดยี ว รบี ยกมา นขนึ้ เขาไปภายในเหน็ พระโพธสิ ัตวประทับนงั่ ขดั สมาธิบนท่บี รรทม และเหน็ ปาฏหิ าริยนั้นแลว จงึ ไปกราบทลู พระราชาวา ขาแตพระองค พระกุมารประทบั อยางนี้ เงาของตนไมอืน่ คลอ ยไปเงาตนหวา เปนปรมิ ณฑลอยู พระราชาเสดจ็ ไปโดยเร็ว ทรงเหน็ ปาฏิหาริยทรงไหวพ ระโอรสดวยพระดํารัสวา น้เี ปน การไหวลกู เปนครง้ั ที่สอง. บทวาปตุ สกกฺ สฺส กมฺมนเฺ ต ฯเปฯ ปม ฌาน อปุ สมฺปชชฺ วิหรตา น้ี ทานกลาวหมายเอาคํานี้. บทวา สิยา นุ โข เอโส มคฺโค โพธาย ความวา อานาปานสติปฐมฌานนี้ จะพงึ เปน ทางเพือ่ ประโยชนก ารตรัสรูหนอ.บทวา สตานสุ า-รวิ ิ าณ ความวา วิญญาณทีเ่ กดิ ขน้ึ ในลําดบั แหง สติที่เกิด ๑-๒ ครั้ง

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 141อยา งนีว้ า การทําสง่ิ ทาํ ไดย ากน้ี จกั ไมเปนทางเพ่ือการตรัสรู แตอ านาปานสติปฐมฌานจกั เปนแน ช่อื วา สาตานสุ ารวิ ญิ ญาณ. บทวา ย ต สุข ไดแก ความสขุ ในอานาปานสตปิ ฐมฌาน. บทวา ปจจฺ ปฏ ิตา โหนฺติ ความวาบํารงุ ดว ยการทําวัตรมีการกวาดบริเวณบรรณศาลาเปน ตน . บทวา พาหลุ ฺลโิ กคอื มักมากในปจ จยั . บทวา อาวฏโฏ พาหุลลฺ าย ความวา เปน ผูติดในรส เวียนมาเพื่อตอ งการอาหารทป่ี ระณตี เปน ตน . บทวา นพิ พฺ ชิ ชฺ ปกกฺ มสึ ุพวกปญจวคั คียเบื่อหนา ย หลกี ไป โดยธรรมนยิ าม อธิบายวา ไปตามธรรมดาเพื่อใหโอกาสแกพ ระโพธิสัตวไ ดกายวเิ วกในกาลบรรลพุ ระสัมโพธิญาณ และเมอื่ ไปกไ็ มไปทอี่ นื่ ไดไปเมืองพาราณสนี ั้นเอง. เมื่อปญ จวัคคียไ ปแลว พระโพธสิ ัตวไ ดก ายวิเวก ตลอดก่ึงเดือน ประทับนงั่ อปราชติ บลั -ลงั ก ณ โพธมิ ณฑล ทรงแทงตลอดพระสพั พญั ุตญาณแลว . บทมคี าํ เปน ตนวา วิวจิ เฺ จร กาเมหิ พงึ ทราบโดยนยั ท่กี ลา วแลว ใน ภยเภรวสตู ร. บทวา อภิชานามิ โข ปนาห คอื นเ้ี ปน อนสุ นธิแผนกหนงึ่ . ไดยินวานคิ รนถ คิดวา เราทูลถามปญหาขอหนงึ่ กะสมณโคดม พระสมณโคดมตรสั วาดกู อนอัคคิเวสสนะ เทวดาแมอ่นื อกี ถามเรา ดกู อนอคั คเิ วสสนะ เทวดาแมอ ่นือกี ถามเรา เมอ่ื ไมท รงเห็นทสี่ ดุ ตรสั อยางน้นั พระองคมคี วามกร้ิวหรือลาํ ดบั น้ัน พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา อคั คเิ วสสนะ เมือ่ ตถาคต แสดงธรรมอยใู นบริษัทหลายรอย แมค นหนึง่ ทจี่ ะกลา ววา พระสมณโคดม กรวิ้แลว มิไดม ี อน่ึง ตถาคตแสดงธรรมแกช นเหลา อืน่ เพอ่ื ประโยชนแ กการตรสั รู เพอื่ ประโยชนแกการแทงตลอด เมอื่ จะทรงแสดงธรรมจึงเร่ิมพระธรรมเทศนาน.้ี บรรดาบทเหลา น้นั บทวา อารพฺภ คือหมายเอา. บทวายาวเทว คือเปนคาํ กาํ หนดวิธีใช มอี ธบิ ายวา การยงั บคุ คลเหลา อื่นใหรนู ัน่แหละ เปนการประกอบพระธรรมเทศนาของพระตถาคต เพราะฉะนั้น

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 142พระตถาคตจงึ มิไดแสดงธรรมแกบ คุ คลผเู ดียว ทรงแสดงธรรมแกบคุ คลผูรู ซึ่งมอี ยทู งั้ หมด พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงดวยบทวา ตสมฺ ึ เยวปุรมิ สมฺ ึ นี้ ไวอยา งไร ไดยินวา สจั จกนิครนถ คิดวา พระสมณโคดม มีพระรูปงาม นา รกั พระทนตเรยี บสนิท พระชิวหาออ น การสนทนากไ็ พเราะเหน็จะเทีย่ วยังบรษิ ัทใหยนิ ดี. สว นเอกัคคตาจิตของพระสมณโคดมน้ัน ไมมีแกพ ระองค ลาํ ดบั นน้ั พระผูม พี ระภาคเจา จงึ ตรัสอยา งนี้ เพื่อทรงแสดงวา ดูกอน อัคคเิ วสสนะ พระตถาคตเท่ยี วยงั บรษิ ทั ใหยินดี พระตถาคตทรงแสดงธรรมแกบ รษิ ทั ทว่ั จักรวาล พระตถาคตมีพระทัยไมห ดหู ไมแปดเปอ น ประกอบเนอื งๆ ซง่ึ ผลสมาบัตเิ ปนสุญญตะ ซึง่ เปนธรรมเคร่อื งอยูอยางหนึง่ ประมาณเทานด้ี งั น.ี้ บทวา อชฌฺ ตฺต ไดแ ก อารมณ อันเปนภายในเทา นนั้ บทวา สนนฺ สิ ีทามิ คือยังจิตใหสงบ. จรงิ อยูใ นขณะใด บริษัทยอมใหสาธกุ าร ในขณะน้นั พระตถาคตทรงกําหนดสวนเบ้อื งตน ทรงเขาผลสมาบัติ เมอ่ื เสียงกกึ กองแหง สาธกุ ารยงั ไมข าด ออกจากสมาบัติแสดงธรรมอยู ตัง้ แตท่พี ระองคทรงต้ังไวแ ลว. ดว ยวาการอยใู นภวงั คข องพระพุทธเจา ทงั้หลายยอมเปน ไปเรว็ พลัน ยอ มเขาผลสมาบัตไิ ดในคราวหายใจเขา ในคราวหายใจออก. บทวา เยน สทุ  นิจจฺ กปปฺ  ความวา เราอยดู วยผลสมาธิ อันเปนสญุ ญตะไดตลอดกาลเปน นิตย คอื แสดงวา เราประคองจิตต้งั ม่นั ในสมาธินิมิตนน้ั .บทวา โอกปฺปนิยเมต นั้น เปน ท่ีตง้ั แหง ความเช่ือ. สจั จกะน้นั รบั วา พระผมู พี ระภาคเจา เปนผูมเี อกัคคตาจติ บดั น้ีเมอ่ื จะนาํ ปญหาทต่ี นซอ นไวใ นพก มาทูลถาม จึงกลา ววา อภิชานาติปน ภว โคตโม ทิวา สุปตา. เหมือนอยางวา ขึน้ ชอ่ื วา สุนัขแมกินอาหารขา วปายาสที่หงุ ดวยน้าํ นมปรงุ ดว ยเนยใสจนเตม็ ทอง เหน็ คถู แลว เคี้ยวกินไมได กไ็ มอ าจเพ่ือจะไป เมื่อเคย้ี วกินไมไ ด ก็จะดมกลิ่นกอนจงึ ไป ไดยนิ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 143วา เมอ่ื มนั ไมไ ดด มกล่นิ ไป ก็ปวดหวั ฉันใด พระศาสดาก็ฉันน้ันเหมอื นกัน ทรงแสดงธรรมเปนทต่ี ัง้ แหง ความเลอ่ื มใส ต้ังแตก ารเสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ จนถึงความสนิ้ ไปแหงอาสวะ เชนกบั สุนขั เหน็ ขา วปายาสที่เขาหุงดว ยนํา้ นมลวน สว นสจั จกะน้ันฟงพระธรรมเทศนาเห็นปานน้ี ก็ไมเกดิ แมเพียงความเลื่อมใสในพระศาสดา เพราะฉะนนั้ เมอื่ เขาไมทลู ถามปญ หาท่ีซอนไวในพกนํามา ก็ไมอาจเพอื่ จะไป จึงไดก ลา วอยางนั้น. เม่ือเปน เชนน้ัน เพราะถีนมิทธะ ทีพ่ ระขีณาสพทั้งปวงละไดดวยอรหตั ตมรรค. กค็ วามกระวนกระวายทางกายยอมมใี นอปุ าทนิ นกรูปบา ง ในอนุปาทินนกรปู บา งจรงิ อยางน้นั ดอกบัวขาวเปน ตน แยม ในเวลาหน่งึ ตูม ในเวลาหนงึ่ ในเวลาเย็นใบไมบางอยางหบุ ในเวลาเชา ก็บาน. อุปาทนิ นกรูปเทา นนั้ มีความกระวนกระวายก็ภวงั คโสตทีเ่ ปนไปดวยความกระวนกระวาย ทานประสงคว าหลับในท่ีน้ี ภวงั คโสตนั้น มแี กพ ระขีณาสพ หมายเอาความหลับนัน้ จึงกลาวคาํ เปน ตน วา อภิชานามห . บทวา สมโมหวิหารสฺมึ วทนตฺ ิ อาจารยบางพวกกลา ววา สมฺโมหวิหาโร แปลวา อยดู วยความหลง. บทวา อาสชฺชอาสชชฺ คอื เสยี ดสีๆ บทวา อุปนีเตหิ คอื ท่ีตนนาํ มากลา ว บทวา วจนป-เถหิ แปลวา ถอ ยคํา. บทวา อภินนฺทติ ฺวา ความวา ยินดรี บั ดว ยใจ อนุโมทนาสรรเสรญิ ดว ยถอยคํา. พระผูมีพระภาคเจาตรัส ๒ พระสตู รนี้ แกนคิ รนถน .ี้ พระสูตรตนมภี าณวารเดยี ว พระสตู รนี้ มีภาณวารครง่ึ ถามวา นิครนถนี้ แมฟ ง ๒ ภาณวาร ครง่ึ แลว ยงั ไมบรรลุธรรมาภิสมัย ยงัไมบวช ยงั ไมต ้ังอยูในสรณะ ดงั น้แี ลว เพราะเหตไุ ร พระผูม พี ระภาคเจา จึงทรงแสดงธรรมแกเ ขาอีก ตอบวา เพอ่ื เปน วาสนาในอนาคต. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจาทรงเห็นวา บดั น้อี ุปนสิ ยั ของนคิ รนถน ้ี ยงั ไมมี แตเมื่อเราปรินิพพานลวงไปได ๒๐๐ ป- เศษ ศาสนาจักประดษิ ฐานอยตู มั พปณ-ณทิ วปี นิครนถนี้จกั เกิดในเรือนมีสกลุ ในตมั พปณ ณทิ วีปน้ัน บวชในเวลาถึง

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 144พรอมแลว เรยี นพระไตรปฎก เจริญวปิ ส สนา บรรลพุ ระอรหตั ตพ รอมดว ยปฏิสมั ภิทา เปนพระมหาขีณาสพ ชื่อวา กาลพทุ ธรกั ขติ พระผูมพี ระภาคเจาทรงเห็นเหตนุ ้ี จึงทรงแสดงธรรมเพือ่ เปน วาสนาในอนาคต. เม่ือพระศาสนาประดิษฐานในตัมพปณ ณทิ วีปนน้ั สัจจกะแมน้ันเคล่อื นจากเทวโลกเกิดในสกลุ แหงอาํ มาตย สกลุ หน่ึง. ในบานสาํ หรับภกิ ขาจารแหงทกั ษิณาคิริวิหาร บรรพชาในเวลาเปนหนุม สามารถบรรพชาไดเ รยี นพระไตรปฎก คอื พระพทุ ธพจน บรหิ ารคณะหมูภิกษุเปนอันมากแวดลอ มไปเพอ่ื จะเยีย่ มพระอปุ ชฌาย ลําดบั นน้ั อุปช ฌายของเธอคดิ วาเราจักทวงสทั ธิวหิ ารริก จงึ บยุ ปากกับภกิ ษุน้ัน ผเู รยี นพระไตรปฎกคือพระพทุ ธพจนมาแลว ไมไ ดกระทาํ สักวาการพดู ภิกษุนั้นลุกข้ึนในเวลาใกลรงุไปสาํ นกั พระเถระ ถามวา ขา แตทา นผเู จริญ เม่ือกระผมทําคันถกรรมมาสํานกั ของทาน เพราะเหตุไร ทานจงึ บุยปาก ไมพูดดว ย กระผมมีโทษอะไรหรือ. พระเถระกลาววา ทา นพุทธรักขติ ทานทาํ ความสาํ คญั วา ช่ือวาบรรพชากจิ ของเราถึงทีส่ ุดแลว ดว ยคนั ถกรรมประมาณเทา นี้หรอื ทา นพุทธรกั ขติ . กระผมจะทําอะไรเลาขอรับ. พระเถระกลาววา เธอจงละคณะตัดปปญจธรรมไปสเู จติยบรรพตวิหาร กระทาํ สมณธรรมเถิด. ทานตง้ั อยูในโดยวาทขอพระอปุ ช ฌายก ระทาํ อยา งนนั้ จึงบรรลพุ ระอรหัตตพรอมดวยปฏสิ ัมภทิ า เปนผูม ีบญุ พระราชาทรงบชู า มีหมูภกิ ษเุ ปนอนั มากเปน บรวิ ารอยูใ นเจติยบรรพตวิหาร. ก็ในกาลนน้ั พระเจา ติสสมหาราช ทรงรักษาอโุ บสถกรรม ยอมอยูในทีเ่ รนของพระราชา ณ เจตยิ บรรพต ทา นไดใหสัญญาแกภิกษุผอู ปุ ฏฐากของพระเถระวา เม่อื ใดพระผเู ปนเจาของเราจะแกปญ หา หรือกลาวธรรม เม่ือนน้ั ทา นพึงใหสัญญาแกเ ราดวย. ในวันธมั มสั สวนะวนั หนง่ึ แมพ ระ

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 145เถระอนั หมภู กิ ษุแวดลอม ขนึ้ สูลานกัณฑกเจติยะ ไหวพระเจดยี แ ลว จงึ ยืนอยูท่โี คนตน ไมมะพลับดาํ . คร้นั นนั้ พระเถระถือบิณฑบาตเปน วตั รรปู หน่งึ ถามปญ -หากะทา นพทุ ธรกั ขติ น้ัน ในกาลามสูตร. พระเถระกลา ววา ดูกอ นทานผูมีอายุวนั นเ้ี ปน วันธัมมสั สวนะ มิใชหรอื . ภกิ ษุน้ัน เรยี นวา ขา แตท านผเู จรญิ วนั น้ีเปนวนั ธัมมสั สวนะขอรับ. พระเถระกลาว ถาอยางน้ัน เธอจงนําเอาตั่งมา เราจกั น่ังในทีน่ ี้ แลวจักกระทาํ การฟง ธรรม. ลาํ ดบั นัน้ พวกภกิ ษุจงึ ปูลาดอาสนะที่โคนไม ถวายพระเถระนั้น. พระเถระกลาวคาถาเบ้อื งตน แลวจงึ เรม่ิ กาลามสตู ร. ภิกษหุ นุมผูอ ปุ ฏฐากพระเถระน้ัน จึงใหส ัญญาแกพระราชาพระราชาเสด็จไปถงึ เมอื่ คาถาเบ้ืองตน ยงั ไมทนั จบ ก็ครัน้ เสด็จถงึ ประทบั ยนื ทา ยบรษิ ทั ดว ยเพศท่ไี มมใี ครรูจกั เลย ประทับยนื ทรงธรรมอยูตลอด ๓ ยามแลว ไดประทานสาธกุ ารในเวลาพระเถระกลา ววา พระผูมีพระภาคเจา ไดต รสั คํานด้ี งั นี.้ พระเถระทราบแลว จงึ ถามวา มหาบพิตรพระองคเสด็จมาแตเม่ือไร. พระราชา ขา แตทานผูเจริญ ในเวลาใกลจ ะจบคาถาเบอ้ื งตนนน่ั แหละ. พระเถระ. มหาบพิตร พระองคท รงทํากรรมท่ที าํไดยาก. พระราชา ขา แตท านผเู จริญ น้ีไมช อ่ื วากระทําสิง่ ท่ีทําไดยากความทข่ี า พเจาไมส ง ใจไปในทีอ่ ืน่ แมใ นบทหนึง่ ตงั้ แตท ่พี ระผูเปน เจา เร่มิธรรมกถา ไดทาํ ปฏญิ าณวา ช่อื วา ความเปน เจา ของของเราจงอยา มี แกตัมพปณ ณทิ วีปในทแ่ี มเพียงจะท่มิ ดวยไมป ฏัก ดังน.ี้ ก็ในพระสูตรนี้ พระกาลพทุ ธรกั ขิต ไดแสดงพระพุทธคุณทั้งหลาย เพราะฉะน้นั พระราชาตรัสถามวา ขาแตทานผเู จรญิ พระพุทธคณุมปี ระมาณเทานห้ี รอื หรอื วา อยางอนื่ ยังมอี ยูอีก. พระเถระ.มหาบพติ ร พระพุทธคณุ ทยี่ ังไมไดก ลา วมีมากวาทอี่ าตมากลาวประมาณมิได. พระราชา. ขาแตทานผเู จรญิ ขอจงอปุ มา. พระเถระ. มหาบพติ ร ขาว

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 146สาลีที่ยังเหลอื มมี ากกวา รวงขาวสาลีรวงเดียว ในนาขาวสาลี ประมาณพันกรสี ฉันใด พระคุณท่อี าตมากลา วแลว นอยนกั ทเ่ี หลือมมี ากฉันนนั้ พระราชา.ขา แตท านผูเจริญ ขอจงทาํ อุปมาอกี . พระเถระ. มหาบพติ ร มหาคงคาเต็มดวยหวงน้ํา บคุ คลพงึ เทใสในรูเข็ม นํ้าท่เี ขา ไปในรูเขม็ มนี อย นํา้ ที่เหลอื มีมาก ฉันใด พระคุณทอี่ าตมากลาวแลว นอย ท่ีเหลือมากฉนั นั้น.พระราชา. ขา แตทานผูเจริญ จงทําอุปมาอีก. พระเถระ. มหาบพิตร ธรรมดาวา นกเลนลมเท่ียวบินเลน ในอากาศในโลกนี้ สกุณชาตติ ัวเลก็ ๆ สถานมปี รบปกของนกนนั้ ในอากาศมีมาก หรืออากาศที่เหลอื มีมาก. พระราชา.ขาแตทานผูเจรญิ ทานกลา วอะไร โอกาสเปน ทปี่ รบปกของนกนัน้นอย ท่ีเหลอื มีมาก พระเถระ. มหาบพิตรอยางนน้ั แหละ พระพุทธคณุ ท่ีอาตมากลา วแลว นอย ที่เหลอื มากไมมที ีส่ ุด ประมาณไมไ ด. พระราชาขา แตท า นผเู จรญิ ทา นกลา วดแี ลว พระพุทธคณุ ไมม ีทีส่ ดุ ทานอุปมาดวยอากาศไมมที ่ีสดุ น่ันแหละ พวกขาพเจา เลอื่ มใส แตไ มอ าจทําสักการะอนั สมควรแกพระผูเปนเจา ได. ขาพเจาขอถวายราชสมบัติประกอบดวยรอยโยชนในตัมพปณณทิ วีปนี้ แกพระผเู ปนเจา น้เี ปน ทคุ ตบรรณาการของขา พเจา พระเถระ. มหาบพิตร บรรณาการอันมหาบพติ รทรงเลื่อมใส กระทําแลว อาตมาขอถวายราชสมบตั ิทีท่ รงถวายแกอาตมาคนื แกม หาบพติ รทั้งหมด ขอมหาบพติ รจงทรงปกครองแวน แควนโดยธรรม โดยสม่าํ เสมอเถดิดงั น้ีแล. จบอรรถกถามหาสัจจกสตู รท่ี ๖

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 147 ๗. จูฬตัณหาสังขยสูตร [๔๓๓] ขาพเจา ไดสดับมาแลว อยา งน้ี :- สมัยหนึง่ พระผูม พี ระภาคประทับอยปู ระทับอยทู ปี่ ราสาทแหงมคิ ารมารดาในวิหารบพุ พารามใกลน คราวตั ถี คร้ังนั้น ทา วสักกะจอมเทพ เขา ไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ถวายอภวิ าทแลวไดย นื อยู ณ ทีค่ วรสว นขา งหนึ่ง ครน้ั แลวไดทลู ถามวา ขา แตพ ระองคผ เู จริญ กลาวโดยยอ ดวยขอปฏบิ ัติเพียงเทา ไร ภกิ ษุชือ่ วานอ มไปแลวในธรรมเปนทีส่ ้ินแหง ตัณหา มคี วามสาํเร็จลวงสวน มคี วามปลอดโปรงจากกเิ ลสเปนเคร่ืองประกอบลวงสวน เปนพรหมจารีลวงสว น มีท่ีสดุ ลวงสวน เปน ผปู ระเสรฐิ กวา เทวดาและมนุษยท้ังหลาย. [๔๓๔] พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนจอมเทพ ภิกษใุ นธรรมวนิ ยัน้ีไดส ดบั วา ธรรมทง้ั ปวงไมควรยึดม่นั ถา ขอนี้ ภกิ ษุไดสดบั แลว ภกิ ษนุ ้ันยอมทราบชัดธรรมทัง้ ปวงดวยปญ ญาอันยิ่ง คร้นั ทราบชัดธรรมทงั้ ปวงดวยปญญาอนั ยงิ่ แลว ยอ มกาํ หนดรธู รรมท้งั ปวง ครั้นกาํ หนดรูธรรมทงั้ ปวงแลว เธอไดเ สวยเวทนาอยางใดอยางหนึ่ง สขุ กด็ ี ทุกขกด็ ี มิใชท ุกขม ิใชสุขก็ดี เธอยอ มพจิ ารณาเหน็ วาไมเ ที่ยง พจิ ารณาเหน็ ความหนาย พจิ ารณาเห็นความดบั พจิ ารณาเหน็ ความสละคืนในเวทนาทง้ั หลายนั้น เมื่อพจิ ารณาเห็นดังน้ัน ยอมไมยึดม่ันสิง่ อะไรๆ ในโลก เมอื่ ไมย ดึ มนั่ ยอมไมสะดงุ หวาดหว่ัน เมอื่ ไมสะดุงหวาดหว่ัน ยอมดับกิเลสใหสงบไดเฉพาะตวั และทราบชดัวา ชาตสิ ้นิ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กิจทคี่ วรทําทาํ เสร็จแลว กิจอน่ื เพือ่ความเปนอยา งนม้ี ไิ ดม ดี ังนี้ ดกู อ นจอมเทพ กลา วโดยยอ ดวยขอปฏิบัติเทานัน้แล ภกิ ษชุ อื่ วา นอ มไปแลวในธรรมเปนท่ีสนิ้ แหงตัณหา มคี วามสําเรจ็ ลวง

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 148สว นมีความปลอดโปรง จากกิเลสเปน เครอ่ื งประกอบลวงสวน เปน พรหมจารีลวงสว น เปนผปู ระเสริฐกวา เทวดาและมนษุ ยท ้งั หลาย. ลําดับน้นั ทา วสกั กะจอมเทพ ช่ืนชมยินดีพระภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา ถวายอภิวาทพระผูมพี ระภาคเจา ทําประทักษณิ และหายไปในทีน่ ั้นนน่ั เอง. ทาวสักกะเขา ไปหาพระมหาโมคคลั ลานะ [๔๓๕] ครงั้ นัน้ ทา นพระมหาโมคคลั ลานะ น่งั อยไู มไกลพระผูม ีพระภาคเจา มคี วามดาํ ริวา ทา วสักกะนนั้ ทราบความพระภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจา แลว จงึ ยินดี หรอื วาไมทราบก็ยนิ ดี ถา กระไรเราพงึ รูเรอ่ื งทา วสักกะทราบความพระภาษิตของพระผมู ีพระภาคเจา แลว จงึ ยินดี หรอื วาไมทราบแลวก็ยินดี ลาํ ดับนน้ั ทานพระมหาโมคคัลลานะไดหายไปในปราสาทของมิคารมารดา ในวิหารบุพพารามปรากฏในหมเู ทวดาชั้นดาวดึงส ประหน่งึ บรุ ุษทม่ี กี ําลังเหยียดแขนท่ีงอออกไป หรืองอแขนท่ีเหยยี ดเขามาฉะน้ัน สมยั น้ันทาวสกั กะจอมเทพ กําลงั อ่ิมเอบิ พรอมพรัง่ บําเรออยดู วยทพิ ยดนตรหี า รอ ยในสวนดอกบณุ ฑริกลว น ทาวเธอไดเหน็ ทานพระมหาโมคคัลลานะมาอยแู ตไ กล จงึ ใหหยุดเสียงทิพยดนตรีหารอ ยไว เสด็จเขา ไปหาแลวรบั สง่ั วา นิมนตมาเถดิ ทานมาดีแลว นานแลว ทา นไดท าํ ปริยายเพือ่ จะมาในทีน่ ี้ นิมนตน งั่ เถิด อาสนะน้ีแตงต้ังไวแลว . สวนทา วสักกะจอมเทพกถ็ อื อาสนะต่ําแหงหนง่ึ นงั่ อยู ณ ท่ีควรสวนขางหนึ่ง [๔๓๖] ทานพระโมคคลั ลานะไดถ ามทาวสกั กะผนู ่งั อยู ณ ท่ีควรสวนขางหนึ่งวา ดูกอนทาวโกสยี  พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสถึงความนอ มไปใน

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 149ธรรมเปนทสี่ ิ้นแหง ตัณหาโดยยอ แกท า นอยางไร ขอโอกาสเถดิ แมขาพเจา จกั ขอมสี ว นเพอื่ จกั ฟง กถาน้นั . ทาวสกั กะตรสั วา ขา แตทา นโมคคัลลานะ ขา พเจามีกจิ มาก มีธุระท่ีจะตอ งทํามาก ทง้ั ธรุ ะสว นตวั ทั้งธรุ ะของพวกเทวดาชัน้ ดาวดึงส พระภาษิตใดทขี่ า พเจา ฟงแลวลมื เสยี เรว็ พลนั พระภาษติ น้ัน ทา นฟงดี เรียนดี ทาํ ไวในใจดี ทรงไวดีแลว ขาแตพระโมคคลั ลานะ เรอ่ื งเคยมมี าแลว สงครามระหวางเทวดาและอสรู ไดประชิดกนั แลว ในสงครามน้นั พวกเทวดาชนะพวกอสูรแพ ขาพเจา ชนะเทวาสุรสงครามเสร็จสน้ิ แลว กลบั จากสงครามนน้ัแลว ใหส รา งเวชยันตปราสาท เวชยนั ตปราสาทมรี อยชน้ั ในชั้นหนึ่ง ๆมกี ูฏาคารเจด็ รอย ๆ ในกูฏาคารแหง หนงึ่ ๆ มีนางอปั สรเจด็ รอยๆ นางอัปสรผูหน่งึ ๆ มเี ทพธดิ าผูบ าํ เรอเจด็ รอ ย ๆ ขา แตท า นพระโมคคัลลานะ ทานปรารถนาเพ่ือจะชมสถานทน่ี า ร่นื รมย แหงเวชยนั ตปราสาทหรอื ไม. ทา นมหาโมคคัลลานะรับดว ยดษุ ฏภี าพ. [๔๓๗] ครั้งนน้ั ทา วสักกะจอมเทพ และทาวเวสวัณมหาราช นมิ นตทานมหาโมคคลั ลานะออกหนา แลว ก็เขาไปยังเวชยนั ตปราสาท พวกเทพธิดาผบู าํ เรอของทา วสกั กะ เห็นทา นพระมหาโมคคลั ลานะมาอยูแตท ี่ไกล เกรงกลวั ละอายอยู ก็เขา สูหอ งเลก็ ของตนๆ คลา ยกะวา หญิงสะใภเหน็พอ ผัวเขา ก็เกรงกลวั ละอายอยู ฉะน้นั ครัน้ น้นั ทา วสักกะจอมเทพ และทาวเวสวัณมหาราช เมื่อใหทานมหาโมคคัลลานะเทยี่ วเดินไปในเวชยนั ตปราสาทไดต รสั วา ขา แตท า นพระโมคคลั ลานะ ขอทา นจงดูสถานท่ีนา ร่นื รมยแหง เวชยนั ตปราสาทแมน ี้ ขอทา นจงดสู ถานทีน่ า ร่นื รมยแหงเวชยนั ตปราสาทแมน.ี้

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 150 ทา นพระมหาโมคคัลลานะกลา ววา สถานท่ีนาร่นื รมยของทา นทา วโกสียน ้ยี อมงดงามเหมือนสถานท่ีของผูท ่ีไดท ําบญุ ไวในปางกอน แมม นษุ ยทั้งหลายเหน็ สถานทน่ี าร่นื รมยไ หนๆ เขา แลว ก็กลาวกันวา งามจรงิ ดุจสถานที่นา รืน่ รมยของพวกเทวดาชน้ั ดาวดึงส. ในขณะนั้น ทานมหาโมคคัลลานะ มีความดํารวิ า ทาวสกั กะนี้เปน ผปู ระมาทอยูมากนกั ถา กระไร เราพงึ ใหท า วสักกะน้สี ังเวชเถดิ จึงบนั ดาลอทิ ธาภิสังขาร เอาหัวแมเ ทากดเวชยันตปราสาทเขยา ใหสั่นสะทา นหว่ันไหว ทันใดน้ัน ทาวสักกะจอมเทพ ทาวเวสวัณมหาราช และพวกเทวดาช้ันดาวดงึ ส มคี วามประหลาดอศั จรรยจ ิต กลา วกันวา ทา นผูเ จริญทงั้หลาย นเี่ ปน ความประหลาดอัศจรรย พระสมณะมฤี ทธ์ิมาก มีอานุภาพมาก เอาหวั แมเทากดทิพยพิภพ เขยาใหส ่ันสะทา นหวัน่ ไหวได. วิมุตติกถา [๔๓๘] คร้นั นนั้ ทานมหาโมคคลั ลานะทราบวา ทาวสกั กะจอมเทพมคี วามสลดจติ ขนลุกแลว จึงถามวา ดกู อนทา วโกสยี  พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั ความพนเพราะส้นิ แหงตณั หาโดยยน ยอ อยางไร ขอโอกาสเถิด แมขา พเจาจักขอมสี ว นเพ่อื จะฟงกถานัน้ . ทา วสักกะจึงตรัสวา ขา แตท านพระมหาโมคคลั ลานะผนู ฤทกุ ขขา พเจาจะเลาถวาย ขา พเจาเขา ไปเฝา พระผูม ีพระภาคเจา ถวายอภิวาทแลวจึงไดย ืนอยู ณ ทคี่ วรสวนขา งหน่ึง ครั้นแลวไดทูลถามวา ขาแตพระองคผูเจรญิ กลาวโดยยอ ดวยขอปฏบิ ัตเิ พยี งเทา ไร ภิกษุช่อื วา นอ มไปแลวในความพน เพราะสนิ้ แหงตัณหา มคี วามสําเรจ็ ลวงสวนมคี วามปลอดโปรงจากกิเลสเปน เครื่องประกอบลว งสว น เปน พรหมจารีลว งสวน มีทสี่ ุดลว ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook