Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_46

tripitaka_46

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:41

Description: tripitaka_46

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 137ดว ยอบุ ายนนั่ เวนมัททรฐั แตรัฐเดยี ว. ดูแคลนวา มัททรัฐน้นั เปน รฐั เล็กไมไปในมทั ทรฐั นนั้ กอน แลวกลบั . ลําดบั น้ัน อ ามาตยเหลาน้นั มีความคิดวาพวกเราจะตอ งไปสแู มมทั ทรัฐกอน ขอพระราชาอยาไดส ง พวกเราผูเขา สกู รุง-พาราณสไี ปอกี ดงั นี้ จึงไดไปสสู าคลนครในมัททรฐั . กใ็ นสาคลนคร มีพระราชาพระนามวา มทั ทวะ พระธดิ าของพระเจามทั ทวะนัน้ มีพระชันษาได ๑๖ ป มีพระรปู โฉมสวยงามย่ิงนกั และนางวรรณทาสขี องพระธิดานั้น กไ็ ปสูทา นาํ้ เพอื่ ประโยชนแ กก ารตักนํา้ อาบ เหน็ รปูทองคําน้นั ซึง่ อาํ มาตยท ั้งหลายต้งั ไวในท่ีนัน้ แตไกลเทยี ว กพ็ ูดวา พระราชบุตรีทรงสงพวกเรา เพอ่ื ประโยชนแ กน้ํา กเ็ สด็จมาเสียเอง แลว เขา ไปใกลพ ดู วาสตรนี ไ้ี มใชเ จานายของพวกเรา เจานายของพวกเราสวยงามยิ่งกวาสตรนี ้ี พวกอาํ มาตยไ ดฟงดงั น้ันแลว เขาไปเฝา พระราชา ทูลขอทารกิ า โดยนัยอันสมควรพระราชาแมน ัน้ ก็ทรงพระราชทาน ตอแตน ั้น พวกอํามาตยไ ดส งขาวทลูพระเจา กรงุ พาราณสวี า ทารกิ าไดแลว พระองคจกั เสด็จมาเอง หรือพวกขาพระองคเ ทานน้ั จะนํามา ดงั น้ี พระองคสง ขาวไปวา เมอื่ เราไปจักเปนการเบยี ดเบียนชนบท พวกทา นเทานน้ั จงนําทารกิ านน้ั มา อํามาตยท ั้งหลายพาทาริกาออกจากพระนคร สงขา วไปถวายพระกุมารวา ทาริกาเชนกบั รปู ทองคําไดแ ลว พระกุมารแมท รงสดับขา วน้ัน ก็ถกู ราคะครอบงาํ เสือ่ มจากปฐมฌานพระองคทรงสงทูตคนอื่น ๆ วา พวกทา นจงนํามาเร็ว พวกทานจงนาํ มาเร็ว. พวกอํามาตยน้ัน ถึงกรงุ พาราณสี โดยพกั คืนเดียวเทานัน้ ในทท่ี ั้งปวงยนื อยใู นภายนอกพระนคร สงขาวถวายพระราชาวา พึงเขา ไปในวนั นห้ี รอื ไมพระราชาตรัสสง่ั วา เรานาํ นางทารกิ าจากตระกูลประเสรฐิ ทสี่ ดุ ทาํ มงคลกิรยิ า

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 138แลวจักใหเขามา ดว ยสกั การะอนั ใหญ พวกทานจงนํานางทาริกานน้ั ไปสูอุทยานกอน อํามาตยเ หลานัน้ ไดท ําตามพระราชโองการแลว นางทารกิ าน้นัเปน ผลู ะเอยี ดออนอยางยง่ิ บอบชํ้าแลวเพราะการกระทบกระแทกแหง ยาน มีโรคลมเกดิ ขนึ้ เพราะความเม่อื ยลา จากเดนิ ทางไกล จงึ ไดทํากาละเสยี ในคืนนัน้ เอง ดจุ ดอกไมท่เี หย่ี วไปฉะนัน้ . พวกอํามาตยค ร่ําครวญวา พวกเราฉบิ หายแลวจากสักการะ พระราชากด็ ี ชาวนครกด็ ี ตางก็ครํา่ ครวญวา ตระกลู วงศพินาศแลว ความวนุ วายใหญไดม ีแลว ในพระนคร พระกุมารพอไดส ดบั เทานนั้ กท็ รงเกิดความเศรา โศกอันยิ่งใหญ ตอแตน้ัน พระกมุ ารกท็ รงปรารภเพอ่ื ขุดรากเหงาแหงความเศรา โศกพระองคท รงดาํ ริวา ธรรมดาความโศกนี้ ยอมไมม แี กผูไมเกิด แตย อมมแี กผเู กดิ แลว เพราะฉะนน้ั ความโศกมีเพราะอาศัยชาติ ก็ชาติมเี พราะอาศยัอะไรเลา แตนั้น ทรงมนสิการโดยแยบคาย ดวยอานุภาพแหง ภาวนาในกาลกอนอยา งนวี้ า ชาตมิ เี พราะอาศัยภพ ทรงเหน็ ปฏิจจสมปุ บาทโดยอนุโลมและปฏโิ ลมทรงพจิ ารณาสงั ขารท้งั หลาย ประทับนง่ั ณ ท่นี นั้ นน่ั แล ก็ทรงกระทําใหแ จงซง่ึ ปจ เจกโพธญิ าณ อํามาตยท ้ังหลายเห็นพระกมุ ารนนั้ ทรงมีความสุขดว ยความสขุ อันเกดิ จากมรรคผล มีพระอนิ ทรียส งบ พระมานัสสงบ ประทบั อยูจึงประนมมอื กราบทลู วา ขา แตพระสมมตเิ ทพ ขอพระองคอ ยาทรงเศรา โศกเลย ชมพทู วปี ใหญ ขา พระองคจ ักนํามาซึ่งทารกิ าอืน่ ทีง่ ามกวา พระกุมารนั้นตรัสวา เราไมเศรา โศก แตห มดความเศรา โศกแลว เราเปนพระปจเจกพุทธเจา.คําน้นั ทงั้ หมด เบอื้ งหนาแตน ้ี เปนเชน กับคาถาแรก เวน การพรรณนาคาถา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 139 กใ็ นการพรรณนาคาถา บทวา ส สคฺคชาตสสฺ ไดแ ก ผูเก่ียวของเกิดแลว ในคาถานั้น ความเกี่ยวของมี ๕ อยาง คอื ๑. ทสั สนสงั สคั คะ ความเก่ยี วของเพราะการเห็น ๒. สวนสังสัคคะ ความเกย่ี วขอ งเพราะการฟง ๓. กายสังสคั คะ ความเกี่ยวขอ งทางกาย ๔. สมลุ ลาปนสังสัคคะ ความเกีย่ วขอ งเพราะการสนทนา ๕. สัมโภคสงั สัคคะ ความเกี่ยวขอ งเพราะกนิ รว มกัน. ในความเกี่ยวของ ๕ อยางนั้น ราคะเกิดดว ยอาํ นาจแหงจักขวุ ญิ ญาณวิถี เพราะเหน็ ซงึ่ กันและกัน ชอ่ื วา ทัสสนสงั สัคคะ. ธดิ าของกุฎมพีผมู ีจติ รักใคร เพราะเหน็ ภิกษหุ นุมชอ่ื ทีฆภาณกะ ผูอ ยูใ นกัลยาณวหิ าร ซ่ึงกําลังไปสูกาลทีฆวาปคาม เพอื่ บณิ ฑบาต ในสหี ลทวปี ไมไ ดภ กิ ษหุ นมุ นน้ั ดว ยอุบายบางอยาง กท็ ํากาลกิริยา และภิกษุหนุมรูปนัน้ เอง เห็นผานงุ ของธิดานนั้กค็ ดิ วา เราไมไ ดอ ยูร วมกบั นางผูนงุ ผา เห็นปานน้ี แลวหวั ใจแตกตาย เปนตวั อยางในทัสสนสงั สคั คะนัน้ . กร็ าคะเกิดดวยอาํ นาจแหง โสตวญิ ญาณวิถี เพราะฟงสมบัตมิ ีรปู เปนตนท่ีคนอ่นื ทง้ั หลายพูดถึง หรอื เพราะตนไดฟง เสยี งหัวเราะ เสียงพดู จา และเสยี งเพลงขบั ชื่อวา สวนสงั สคั คะ. แมใ นสวนสงั สคั คะนั้น ภกิ ษหุ นุมชือ่ ตสิ สะผอู ยูใ นถ้ําปญ จคั คฬะ กําลังเหาะทางอากาศ ไดฟงเสยี งของธดิ าชางมีดผอู ยใู นคริ คิ าม ไปสระปทุมพรอมกับกมุ ารี ๕ นาง อาบนา้ํ แลว ยกดอกไมรอ งเพลงดว ยเสยี งดัง กเ็ ส่อื มจากคณุ วิเศษ เพราะกามราคะ ถงึ ความพนิ าศเปน ตวั อยาง.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 140 ราคะเกดิ เพราะลบู คลําอวยั วะของกันและกนั ช่ือวา กายสังสัคคะ.ก็ในกายสงั สคั คะนี้ มีภกิ ษุหนุมชื่อ ธรรมภาสกะ เปนตวั อยาง ไดย ินวา ภิกษุหนมุ กลาวธรรมในมหาวหิ าร เม่อื มหาชนมาในมหาวิหารนน้ั แมพ ระราชาก็เสดจ็ ไปพรอ มกบั ชาววงั แตน้นั ราคะกลา ไดเ กดิ แกพระราชธดิ า เพราะอาศยัรูปและเสียงของภกิ ษุหนมุ นัน้ และเกิดแมแ กภ ิกษุหนมุ รปู น้ัน พระราชาทรงเห็นเหตนุ น้ั ทรงกาํ หนดแลว ใหลอ มดว ยกาํ แพงคอื มา น เธอทงั้ สองน้ัน ก็เคลา คลึงโอบกอดซง่ึ กันและกนั ชนท้งั หลายเลกิ ผา มานแลดอู ีก กเ็ หน็ เธอทง้ั สองถงึ แกค วามตายแลว. กร็ าคะเกดิ เพราะการสนทนาปราศรัยกะกันและกัน ชอื่ วา สมลุ ลา-ปนสงั สคั คะ. ราคะเกดิ ในเพราะทําการบรโิ ภครว มกนั กับภิกษณุ ที ัง้ หลายชื่อวา สมั โภคสังสัคคะ ในสังสัคคะแมทั้งสองนัน้ ภกิ ษุและภิกษุณีถึงอาบัติปาราชิก. เปนตัวอยาง. ไดยินวา ในการฉลองมหาวิหาร ช่อื มริ จิวัฏฏกะพระเจาทฏุ ฐคามณอี ภยมหาราช ทรงจัดแจงมหาทานองั คาสพระสงฆท ัง้ สองฝายในการฉลองมหาวหิ ารน้ัน เมอ่ื ถวายขาวยาครู อ น สามเณรีผยู ังใหมก วา สงฆไดถ วายวลยั งาแกสามเณรผูใ หมกวาสงฆ ซึง่ ไมม ีเชิงรองบาตร ไดทําการเจรจาปราศรยั กัน เธอแมทง้ั สองนั้นอปุ สมบทแลว ได ๖๐ พรรษา ไปสูฝง โนนไดรบั บพุ สัญญา เพราะการเจรจาปราศรัยกะกันและกัน กเ็ กดิ สเิ นหาในทนั ทีทนั ใดนั้นเอง ลว งละเมิดสิกขาบท ตองอาบตั ปิ าราชกิ . ความเยือ่ ใยยอ มมแี กบคุ คลผูเ ก่ียวขอ งกัน ดวยความเกย่ี วขอ งอยางใดอยา งหนึง่ ในความเกยี่ วขอ ง ๕ อยาง ราคะอันมีกําลงั ยอ มเกิดขึน้ เพราะราคะในกาลกอ นเปนปจจัย ดวยประการฉะนี.้ แตน ้นั ทกุ ขน ย้ี อ มเกิดขึน้ ตาม

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 141ความเย่ือใย คอื ทุกขน้ีมีประการตา ง ๆ มีความโศกและความคร่าํ ครวญเปนตนทงั้ ทเี่ ปนทิฏฐธรรมและสมั ปรายกิ ภพยอ มเกดิ ขนึ้ คอื ยอมบังเกดิ ยอ มมียอมเกดิ ตดิ ตามความเย่อื ใยนน้ั นน่ั เอง. สว นอาจารยพวกอน่ื กลา ววา ไดแ กการปลอ ยใจในอารมณ แตน ้นั ทกุ ขยอ มเกิดขึ้นเพราะความเยอ่ื ใย ดงั นี้แล. พระปจ เจกสัมพุทธเจา นนั้ คร้นั ตรสั อรรถคาถานี้ มปี ระเภทแหงเนอ้ื ความอยางนแ้ี ลว จงึ ตรสั วา ทุกขมคี วามโศกเปนตน นีใ้ ด ยอ มเกิดขน้ึ ตามความเยือ่ ใย เราน้นั ไดข ดุ รากเหงา ของทกุ ขน นั้ จึงบรรลุปจ เจกสัมโพธิญาณคร้นั ตรสั อยางนแ้ี ลว อาํ มาตยเหลานนั้ จึงทูลวา ขาแตพระองคผ ูเ จรญิ บัดนี้พวกขาพระองคพงึ ทําอยา งไร ลาํ ดับนน้ั พระองคจงึ ตรัสวา พวกทานหรือพวกอน่ื ผูใดตอ งการพนจากทกุ ขน ้ี ผูนน้ั แมทั้งหมดเลง็ เห็นโทษอนั เกดิ แตความเยื่อใย พงึ เที่ยวไปผเู ดยี ว เหมอื นนอแรดฉะนัน้ . กค็ ําวา เลง็ เหน็ โทษอันเกดิ แตค วามเย่ือใยน้ี พึงทราบวา ทานกลาวหมายเอาคําที่พระปจเจกพุทธเจาตรสั วา ทกุ ขน ้ยี อมเกดิ ขนึ้ ตามความเยือ่ ใย.อีกอยา งหน่งึ พงึ เช่อื มความอยางน้วี า ความเย่อื ใยยอมมีแกบุคคลผมู ีความเก่ียวขอ งเกิดข้นึ แลว ดวยความเกยี่ วขอ งตามทก่ี ลาวแลว ทกุ ขนย้ี อมเกิดขนึ้ ตามความเย่ือใย เราเลง็ เหน็ ทุกขนั้นอันเกดิ แตความเยอื่ ใย ทาํ ความเสยี ดแทงตามท่มี าแลว จึงบรรลดุ ังน้ี พงึ ทราบวา บาทท่ี ๔ พระปจเจกพุทธเจา ตรัสแลวดว ยอาํ นาจแหงอทุ าน โดยนัยทกี่ ลา วแลวในกอ นนนั่ เทยี ว. บทท้งั ปวงนอกจากนั้น เปนเชน กับที่กลาวแลวในคาถาตนนัน้ แล. สงั สัคคคาถาวณั ณนา จบบริบรู ณ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 142 คาถาท่ี ๓ คาถาวา มิตเฺ ต สหุ ชเฺ ช ดงั น้ี มีอุบัติอยางไร ? พระปจ เจกโพธิสตั วน ี้ อบุ ตั โิ ดยนัยท่ีกลาวแลว ในคาถาแรกนน้ั เทียวเสวยราชสมบตั ใิ นกรุงพาราณสี ยงั ปฐมฌานใหเ กดิ แลว ทรงพิจารณาวาสมณธรรมประเสริฐ หรือวา ราชสมบตั ปิ ระเสริฐ ทรงมอบราชสมบตั ิในมือของอํามาตย ๔ คน แลวทรงกระทําสมณธรรม อาํ มาตยท้งั หลายแมพ ระราชาตรสั วา ทา นทั้งหลายจงทําโดยธรรม โดยสมาํ่ เสมอ กร็ ับสินบนทําโดยอธรรมอํามาตยเ หลานัน้ ไมร บั สินบนกท็ ําโดยอธรรม รับสินบนแลว ทาํ เจาของท้งั หลายใหแ พ ในกาลคร้งั หนง่ึ ใหร าชวัลลภคนหนง่ึ ใหแพ ราชวัลลภนั้นเขาไปเฝาพรอ มกบั พวกพนกั งานหอ งเครื่องของพระราชา ทูลบอกเร่อื งทง้ั หมดในวันที่ ๒ พระราชาเสด็จไปสสู ถานที่วนิ ิจฉัยดว ยพระองคเ อง แตน น้ั หมูมหาชนไดร อ งเสียงดงั วา พวกอํามาตยทาํ เจา ของมิใหเ ปน เจาของ ไดก ระทาํเสยี งดงั เหมอื นการรบใหญ. ลาํ ดับน้ัน พระราชาเสดจ็ ลุกจากสถานท่ีวินิจฉยั เสดจ็ ขน้ึ สปู ราสาทประทบั นัง่ เพ่ือทรงเขา สมาบัติ แตไ มอาจเพอื่ ทรงเขาได เพราะทรงฟงุ ซานดว ยเสยี งนัน้ พระองคท รงพจิ ารณาวา เราจะมปี ระโยชนอ ะไรดว ยราชสมบัติสมณธรรมประเสรฐิ กวา ดงั น้แี ลว ทรงสละความสุขในราชสมบัติ ทรงยงัสมาบัติใหเ กิดข้นึ อีก ทรงพจิ ารณาเหน็ โดยนยั ทีก่ ลา วในกาลกอนนัน่ แล ทรงกระทําใหแ จงซ่ึงปจเจกสัมโพธญิ าณ และถูกทลู ถามถงึ กรรมฐาน จึงไดตรัสคาถาน้ี.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 143 ในคาถานัน้ คนท้ังหลาย ช่ือวา มติ ร ดว ยอาํ นาจแหงความรักใครช่ือวา สหาย เพราะความเปนผมู ใี จดี กค็ นบางพวกเปน มิตรเทาน้นั ไมเปนสหาย เพราะความเปนผูใครป ระโยชนเ ก้ือกูลอยา งเดียว บางพวกเปนสหายเทานนั้ ไมเ ปนมิตร เพราะใหเกดิ สุขทางใจ ในการทง้ั หลายมกี ารมา การยนืการนั่ง และการพูดเจรจาเปน ตน บางพวกเปนทง้ั สหายเปนทัง้ มติ ร ดว ยอาํ นาจแหง ธรรมท้ังสองนนั้ มติ รสหายเหลาน้ันมี ๒ พวก คอื ฆราวาส ๑บรรพชติ ๑. ใน ๒ พวกน้ัน ฆราวาสมี ๓ พวก คือ ผูมอี ุปการะ ๑ ผูรวมสุขรว มทุกข ๑ ผูอนุเคราะห ๑ บรรพชิตโดยพิเศษคือ ผบู อกประโยชนมิตรสหายเหลาน้นั ประกอบดว ยองค ๔ อยางนี้ สมดังทพี่ ระผูม พี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อ นคฤหบดีบุตร มิตรสหายผมู อี ุปการะพึงทราบดว ยฐานะ ๔ อยา งคือ ๑. รักษามิตรผปู ระมาทแลว ๒. รกั ษาทรัพยส มบตั ิของมติ รผปู ระมาทแลว ๓. เปน ท่ีพงึ่ พาํ นักของมติ รผกู ลัว ๔. เมื่อกรณียกจิ เกดิ ขนึ้ กเ็ พม่ิ โภคทรัพยใ หมากกวาที่ออก ปากขอ. อน่งึ ดูกอ นคฤหบดบี ตุ ร มิตรสหายผูรวมสขุ รว มทกุ ข พงึ ทราบดวยฐานะ ๔ อยา ง คือ ๑. บอกความลับแกมิตร ๒. ปกปดความลบั ของมติ ร ๓. ไมท อดท้ิงมติ รในคราวมอี ันตราย ๔. ชวี ิตกส็ ละไดเพ่ือประโยชนแกมติ ร.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 144 อนง่ึ ดกู อนคฤหบดีบตุ ร มติ รสหายผูอนุเคราะห พงึ ทราบดวยฐานะ๔ อยาง คอื ๑. ไมด ีใจเพราะมิตรยากจน ๒. ดีใจเพราะมิตรมัง่ มี ๓. ปองกนั คนติเตยี นมติ ร ๔. สรรเสริญคนยกยองมิตร. อน่งึ ดูกอนคฤหบดีบตุ ร มิตรสหายผบู อกประโยชน พึงทราบดวยฐานะ ๔ อยาง คือ ๑. หา มจากการทําบาป ๒. ใหตง้ั อยูในคุณความดี ๓. ใหไดฟ ง สงิ่ ทไี่ มเคยฟง ๔. บอกทางสวรรคให. เพราะฉะน้นั ฆราวาสทา นประสงคเ อาในท่ีนี้ แตโดยอรรถ ฆราวาสและบรรพชติ แมท้ังหมด ก็ควร. บทวา มิตเฺ ต สหุ ชเฺ ช อนกุ มฺปมาโนความวา เอน็ ดู คอื ประสงคเ พือ่ นําเขา มาซ่ึงสขุ แกมิตรสหายเหลาน้ัน. บทวาหาเปติ อตถฺ  ความวา ยังประโยชน ๓ อยาง ดวยอํานาจแหง ทฏิ ฐธิ มั มกิ -ประโยชน สมั ปรายกิ ประโยชน และปรมัตถประโยชนใหเสอื่ ม คือ ใหพ ินาศอกี อยางหนงึ่ ยังประโยชน ๓ อยา ง แมดว ยอาํ นาจแหง ประโยชนตน ประ-โยชนคนอ่นื และประโยชนท ัง้ ๒ อยา งนนั้ ใหเสือ่ ม คอื ใหพ นิ าศ ยอมยงั ประโยชนใหเสื่อม คือ ยอมใหพนิ าศ ดวยการยงั วตั ถทุ ีไ่ ดแ ลว ใหพ นิ าศและดวยการไมใหเ กดิ สิง่ ทย่ี ังไมไ ดบา ง ดว ยวิธีทัง้ สองบา ง. บทวา ปฏพิ ทฺธ-

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 145จิตโฺ ต ความวา บุคคลแมต งั้ ตนไวใ นฐานะตาํ่ ตอ ยกวา เราเวน จากคนน้จี ักไมเปน อยู คนนั่นเปนคติของเรา คนนนั่ เปนผนู ําของเรา ดงั นี้ ช่อื วา เปนผูมีจติ ปฏิพัทธแลว แมตงั้ ตนไวในฐานะสงู สง วา คนเหลา นี้เวนเราเสียแลว ยอมไมเปนอยู เราเปนคตขิ องคนเหลา นน้ั เปน ผนู าํ ของคนเหลานั้น ช่ือวา เปนผมู ีจติ ปฏพิ ัทธแ ลว . ก็ผูมจี ิตปฏิพัทธแลวอยา งนี้ ทา นประสงคเ อาในพระสตู รน้ี. บทวา เอต ภย ทานกลา วหมายถึงภัยที่ยงั ประโยชนใ หเ สอ่ื มนนั่คือ ความเสอื่ มจากสมบตั ขิ องตน. บทวา สนฺถเว ความวา การเชยชมมี๓ อยาง ดว ยสามารถแหงการเชยชม คอื ตณั หา ทฏิ ฐิ และมติ ร. ในการเชยชม ๓ อยา งนั้น ตัณหาแม ๑๐๘ ประเภท ชอ่ื วา ตณั หาสนั ถวะ ทิฏฐิแม ๖๒ ประเภท ชอ่ื วา ทฏิ ฐิสนั ถวะ การอนุเคราะหมติ ร ดวยความเปน ผูมจี ติ ปฏพิ ทั ธแ ลว ชอ่ื วา มิตรสนั ถวะ มิตรสนั ถวะนนั้ ทา นประสงคเ อาในพระสูตรนี้ ดว ยวา พระปจ เจกพุทธเจา นั้น เส่อื มจากสมาบัติกเ็ พราะมติ รสันถวะน้ัน ดว ยเหตนุ ้ัน พระปจ เจกพทุ ธเจา จงึ ตรัสวา เราเลง็ เหน็ ภยั นั่นในที่กลาวแลว นั้นแล. มิตตสหุ ชั ชคาถาวณั ณนา จบบรบิ รู ณ คาถาที่ ๔ คาถาวา ว โส วิสาโล ดังนี้ มอี ุบตั เิ หตุอยางไร ? ไดย นิ วา ในกาลกอน พระปจ เจกโพธิสัตว ๓ องค บวชในพระ-ศาสนาของพระผูมีพระภาคเจา พระนามวา กัสสป บําเพญ็ คตปจจาคตวัตร

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 146สิ้น ๒๐,๐๐๐ ป อุบตั ใิ นเทวโลก เคลอ่ื นจากเทวโลกนนั้ แลว ผูเปน หัวหนาเกดิ ในราชตระกลู ในกรุงพาราณสี นอกน้ี เกิดในราชตระกลู ในปจ จันต-ประเทศ ทงั้ สองนน้ั เรียนกรรมฐาน สละราชสมบัติ บวชเปนพระปจ เจก-พุทธเจา โดยลาํ ดบั อยทู ี่เงอ้ื มนนั ทมูลกะ ในวันหนง่ึ ออกจากสมาบตั ิ ระลกึวา พวกเราทํากรรมอะไร จงึ บรรลุถงึ โลกุตรสขุ น้ี พิจารณาอยู ไดเ หน็ จรยิ าของตน ในกสั สปพทุ ธกาล ลาํ ดบั นัน้ ระลึกอกี วา คนที่ ๓ อยูทไี หนเหน็ คนที่ ๓ เสวยราชสมบัตใิ นกรงุ พาราณสี ระลกึ ถงึ คุณของหวั หนา น้ัน คดิ วาโดยปกติเทียว พระราชาพระองคนัน้ ทรงถงึ พรอ มดวยคณุ มคี วามเปนผูปรารถนานอยเปนตน ทรงโอวาทพวกเรา ผปู ระพฤติ อดทนตอ คาํ พดูทรงติเตียนบาป เอาเถิด พวกเราแสดงอารมณแลว จะเปล้ืองพระองค ดังน้ีแสวงหาโอกาสอยู ในวนั หนงึ่ เหน็ พระราชาพระองคน น้ั ทรงประดับประดาดวยเครื่องอลังการทงั้ ปวง กําลงั เสดจ็ ไปสพู ระราชอุทยาน แลว เหาะไปทางอา-กาศยนื อยทู ี่โคนกอไมไ ผ ท่ปี ระตูพระราชอทุ ยาน มหาชนกาํ ลังแลดพู ระราชาดวยการดูพระราชาของตน. ตอจากนนั้ พระราชาทรงแลดูวา มีใครหนอแลขวนขวายในการดเู ราทรงเหน็ พระปจ เจกพทุ ธเจา ท้ังหลาย และพรอ มกบั ทรงเห็นนน่ั เทียว พระองคทรงเกดิ ความเสนหาในพระปจเจกพุทธเจาเหลานัน้ พระองคจงึ เสดจ็ ลงจากคอชาง เสด็จเขา ไปหาพระปจเจกพุทธเจา เหลา นั้น ดวยอากปั กิรยิ าอนั สงบ แลวตรัสถามวา ขาแตท านผูเจรญิ ทานมีช่ืออยางไร พระปจเจกพทุ ธเจาเหลานัน้ทลู ตอบวา มหาบพติ ร พวกอาตมา ชือ่ วา ผไู มเกี่ยวของ.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 147 ร. ขา แตทานผูเจริญ ขอทว่ี า ผไู มเก่ียวของ มปี ระโยชน อยางไร. ป. มหาบพิตร ประโยชน คือ ความไมเ กยี่ วขอ ง ตอแตนน้ั เมอ่ืจะแสดงกอไผนนั้ จึงทลู วา มหาบพติ ร เปรียบเหมือนบรุ ษุ มีดาบในมือตัดรากกอไผน ั้น ซ่ึงเก่ียวพันราก ลําตน และกงิ่ โดยประการทงั้ ปวงอยู ดงึ มาก็ไมอาจยกขึน้ แมฉันใด พระองคถกู ตณั หาพายงุ เกีย่ วใหน ุงทง้ั ขา งในและขา ง-นอก เปน ผูเ กี่ยวขอ งซา นไป ติดอยูในตณั หาพายุงนั้น ฉนั นั้นเหมอื นกนัหนอไมไ ผน้ี แมจ ะอยูในทา มกลางกอไผนนั้ แตเ พราะกง่ิ ยงั ไมเ กิด จึงไมต ิดกับอะไรอยู และใครก็อาจเพอ่ื จะตดั ยอดหรอื รากยกไปไดแมฉนั ใด พวกอาตมาไมเกี่ยวของในท่ไี หน ๆ ยอมเทยี่ วไปทั่วทิศฉนั น้ันเหมอื นกัน แลวเขา ฌานที่ ๔ ในทันใดน้นั แล เมื่อพระราชาทรงดอู ยูน ่ันเทียว ก็เหาะไปสเู ง้อื มภเู ขานันทมลู . แตนนั้ พระราชาทรงพระราชดาํ ริวา แมเ ราพงึ เปน ผไู มเ กี่ยวขอ งอยา งน้ีในกาลไหนหนอแล แลว ประทบั นัง่ ในทีน่ น้ั แล พระองคทรงเห็นแจงไดกระทาํ ใหแ จง ซ่ึงปจเจกโพธิญาณ ถูกถามถึงกรรมฐานโดยนยั กอ นเทยี วจึงตรสั พระคาถานี.้ ในคาถาน้ัน บทวา ว โส ไดแก ไมไ ผ. บทวา วิสาโล ไดแกกวา งขวาง. ว อักษรลงในอรรถอวธารณะ หรือ เอว อักษร เอว อักษรในทนี่ ้ี พึงเห็นดวยการสนธ.ิ เอว อักษรเชือ่ มกับบทปลายของบทวา วิสาโลขาพเจา จะประกอบเอวอกั ษรนัน้ ในภายหลัง. บทวา ยถา ไดแก การเปรียบ-เทยี บ. บทวา วสิ ตโฺ ต ไดแก ติดแลว คอื พาใหนุง เย็บใหต ดิ กัน.บทวา ปตุ เฺ ตสุ ทาเรสุ จ คือ ในบุตร ธิดา และภริยา. บทวา ยา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 148อเปกขฺ า ไดแก ตัณหาอันใด คอื ความเยื่อใยอนั ใด. บทวา ว สกฬโี รวอสชฺชมาโน คือ ไมของอยูเหมอื นหนอ ไม. มอี ธิบายอยางไร ไมไ ผกอใหญเกยี่ วกายกนั ฉนั ใด ความเยอื่ ใยในบุตรและภรรยา แมนั้น ช่ือวา ของอยแู ลวเพราะความเปนธรรมเยบ็ วตั ถุเหลา นั้นตั้งอยู ฉนั นน้ั เราน้นั เห็นโทษในความเยื่อใยอยางนีว้ า ขอ งอยูแลว ดวยความเยอ่ื ใยนน้ั ดจุ ไมไ ผก อใหญฉะนน้ัแลวตดั เยือ่ ใยนน้ั ดว ยมรรคญาณไมเ กี่ยวของ ดว ยอํานาจแหง ตัณหา มานะและทิฏฐิ ในรูปเปนตน หรอื ในทิฏฐเิ ปนตน หรือในโลภะเปน ตน หรือในกามภพเปน ตน หรือในกามราคะเปน ตน ดุจหนอไมไ ผน้ี จึงบรรลุปจ เจก-โพธญิ าณ ดังน.้ี บททเี่ หลอื พงึ ทราบ โดยนัยกอนนน่ั แล. วังสกฬีรคาถาวัณณนา จบบริบูรณ คาถาที่ ๕ คาถาวา มิโค อรฺมฺหิ ดังน้ี มอี บุ ตั ิอยา งไร ? ไดย ินวา ภิกษุรปู หนง่ึ เปน พระโยคาวจร ในพระศาสนาของพระผมู ีพระภาคเจา พระนามวา กสั สป ทาํ กาลกริ ยิ าแลว เกิดในตระกูลเศรษฐีอันมงั่ คั่ง มที รัพยมาก มีโภคะมาก ในกรุงพาราณสี เขาเปนคนมีราคะ เพราะเหตุนัน้ จึงประพฤตลิ วงภรรยาคนอ่ืน ไดถึงแกก รรมในชาตินน้ั แลว เกดิ ในนรก หมกไหมในนรกนัน้ แลว ไดถ อื ปฏิสนธิเปน หญิง ในทอ งของภรรยาเศรษฐี ดวยเศษวบิ ากทเี่ หลือ. รางกายท้ังหลาย ของสตั วท ้ังหลายที่มาจากนรก ยอ มเปน ของรอน เพราะเหตนุ น้ั ภรรยาเศรษฐีทรงครรภน น้ั ดวยทองทีร่ อน โดยลําบากยากเข็ญ ไดคลอดเดก็ หญิงโดยกาล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 149 นางจาํ เดมิ แตวนั เกิดแลว เปนทีเ่ กลียดชังของมารดาบิดา และพวก-พอ งบรชิ นท่ีเหลือ และเจริญวยั แลว บิดามารดาใหใ นตระกลู ใด กเ็ ปนที่เกลยี ดชังของสามี พอผวั แมผัว ในตระกูลแมน ้ัน ครนั้ เขาประกาศนักษตั รบุตรเศรษฐี เม่ือไมป รารถนา เพ่อื จะเลนกับธดิ าของเศรษฐนี นั้ นํานางแพศยา เลนกีฬา. นางไดฟ ง จากสาํ นกั ของทาสที ั้งหลาย จงึ เขา ไปหาบุตรเศรษฐี คอนวา ดว ยประการตาง ๆ วา ขาแตล กู เจา ธรรมดาสตรี แมถ าเปนนองสาวของพระราชาทัง้ ๑๐ พระองคก็ดี เปน ธดิ าของพระเจา จกั รพรรดิก็ดีแมถ ึงอยางนน้ั ก็เปนผทู าํ งานรับใชสามี เม่ือสามีไมพ ูดเจรจาดว ย กเ็ สวยทุกขดจุ ถกู ยกขน้ึ สูหลาว จึงพูดวา ถาดิฉันควรแกการอนุเคราะห ก็พงึ อนุเคราะหถาไมค วรอนเุ คราะห กพ็ ึงท้ิงเสยี ดฉิ นั จักไปสูต ระกูลญาตขิ องตน บุตรเศรษฐีกลาววา ชา งเถิด นางคนสวย เจาอยาเศราโศก จงเตรยี มการเลน พวกเราจักเลนนักษตั ร. ธิดาเศรษฐีเกดิ อุตสาหะดว ยเหตุสักวา การปราศัยแมมปี ระการเพียงน้นัจึงคิดวา พรุง นีเ้ ราจักเลน นักษัตร แลว จดั แจงของเคีย้ วและของบริโภคจาํ นวนมาก ในวันทส่ี อง บตุ รเศรษฐีไมบอก เลยไปในสนามกีฬา นางคิดวา จักสงไปในบัดน้ี นงั่ แลดูทางอยู เห็นตะวนั สายแลว จงึ สงคนท้งั หลาย คนเหลา นน้ักลับมาบอกวา บตุ รเศรษฐไี ปแลว นางจึงถอื ของเคยี้ วและของบริโภคที่ตระเตรยี มนนั้ ทง้ั หมดขน้ึ สูย าน ปรารภเพื่อจะไปสอู ทุ ยาน. ลําดบั นนั้ พระปจเจกสัมพุทธเจาท่ีเง้อื มนันทมลู กะออกจากนิโรธในวนั ท่ี ๗ ลา งหนาที่สระอโนดาต เค้ียวไมสีฟนนาคลดา นกึ อยูวา วนั น้ีจกั เท่ยี วไปภิกษา ณ ทไี่ หนเหน็ ธิดาเศรษฐีนน้ั ก็รูวา ธดิ าเศรษฐนี ี้ ทําสักการะในเราแลว กรรมน้นั จักถงึ

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 150ความหมดสิ้นไป ยืนทีพ่ น้ื มโนศลิ ากวาง ๖๐ โยชน ที่ใกลเ งอื้ มน้นั นุง แลวถอื บาตร จีวร เขา ฌานซึง่ มอี ภิญญาเปน บาท เหาะมาลงที่สวนทางของธดิ าเศรษฐนี น้ั มุงหนา ไปสกู รุงพาราณสี ทาสีท้ังหลายเหน็ พระปจ เจกสัมพุทธเจาน้นั แลว บอกแกธิดาเศรษฐ.ี นางเห็นพระปจเจกสมั พทุ ธเจานนั้ แลว ลงจากยาน ไหวโ ดยเคารพรบั บาตรใหเ ตม็ ดว ยขาทนียะและโภชนยี ะทถ่ี ึงพรอมดวยรสท้งั ปวง และปดดว ยดอกปทุม ทาํ ดอกปทุมไวใ ตบาตร ถอื กาํ ดอกไม เขา ไปหาพระปจเจกสมั พทุ ธ-เจา ถวายบาตรที่มือของทาน ไหวแ ลว มอื ถอื กาํ ดอกไม ตงั้ ปรารถนาวาขา แตท า นผเู จริญ ดิฉันเกิดในชาตใิ ด ๆ ก็ขอใหเปนทร่ี ักเปนท่ชี อบใจของมหาชนในชาติน้ัน ๆ เหมอื นดอกไมน ้ีเถิด ครน้ั ต้งั ปรารถนาอยา งน้ีแลว จงึตง้ั ปรารถนาแมคร้งั ท่ี ๒ วา ขาแตทานผูเจริญ การอยใู นครรภเ ปน ทุกข ขอปฏิสนธิพงึ มใี นดอกปทุมเทานน้ั โดยไมต องอาศัยครรภน ั้นเถดิ แลวตงั้ปรารถนาแมค รัง้ ที่ ๓ วา ขา แตท า นผูเจรญิ มาตคุ ามอันมหาชนพงึ รังเกียจแมพระธดิ าของพระเจา จกั รพรรดิก็ยังไปสูอ ํานาจบุรุษ เพราะฉะน้นั ขอดิฉันอยาถึงความเปนสตรี พงึ เปน บรุ ุษเถิด ตั้งปรารถนาแมครัง้ ท่ี ๔ วา ขา แตทา นผเู จริญ ขอดฉิ ันพึงกา วลว งสงั สารทุกขน ี้ บรรลุพระอรหัตอันเปนอมตะท่ีทา นไดบรรลุแลว ในท่ีสุดเถิด คร้ันทําความปรารถนา ๔ อยางนีแ้ ลว เอากําดอกปทุมนน้ั บชู าพระปจเจกสัมพุทธเจา ไหวดว ยเบญจางคประดษิ ฐ แลวทาํ ความปรารถนาที่ ๕ น้ีวา ขอดฉิ ันจงมีกล่ินและวรรณะเปนเชนกบั ดอกปทุมนนั่ เถิด. ลาํ ดับน้นั พระปจ เจกสัมพุทธเจารับบาตรและกาํ ดอกไมแลว ยนืในอากาศ ทําอนโุ มทนาแกธ ดิ าเศรษฐี ดวยคาถานี้วา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook