Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_46

tripitaka_46

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:41

Description: tripitaka_46

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 477 ขอพระกมุ ารน้จี งทรงมีพระชนมายุ ยืนนาน ดูกอนยักษ และทานจงมคี วามสขุ ดวย ขอทา นทั้งสองจงไมม โี รคเบียดเบยี น ดาํ รงอยเู พื่อประโยชนเกือ้ กูลแกช าวโลกเถิด ขอพระกมุ ารนีถ้ งึ พระพุทธเจา ฯ ล ฯ พระ- ธรรม และพระสงฆ วา เปน สรณะ ดังน.ี้ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงประทานพระกุมารใหแกร าชบุรุษทง้ั หลายวาขอพวกทานจงยงั พระกุมารนใี้ หเจรญิ เตบิ โตแลว ใหแ กเ ราอกี . ดวยประการดังน้ี พระกุมารนนั้ จึงเกิดมีพระนามวา หตั ถอาฬวกกมุ าร เพราะพระกมุ ารนัน้ มาจากมอื ของราชบุรุษเปน ตน ไปสูมอื ของยักษ, จากมอื ของยกั ษไปสูพระหตั ถข องพระผูมพี ระภาคเจา, จากพระหัตถข องพระผูมพี ระภาคเจาไปสูมือของราชบรุ ษุ ท้งั หลายอกี . ชนทั้งหลายมีชาวนาและผทู ําการงานในปา เปน ตน ไดเ หน็ ราชบุรุษท้ังหลาย ผพู าพระกมุ ารนั้นกลบั มามคี วามกลวั จงึ ถามวา ยกั ษไมตอ งการพระกุมาร เพราะเปนเด็กเกินไปหรือ ? ราชบุรุษทัง้ หลายไดบ อกเร่ืองทั้งหมดวา ทานทง้ั หลายอยากลัว พระผูมีพระภาคเจาทรงทาํ ความปลอดภยั แลว แตน ้ันชาวอาฬวินครท้ังสนิ้ ก็หันหนาไปทางยักษ ดว ยเสยี งโกลาหลเปนอนั เดียวกันวาสาธุ สาธ.ุ ฝา ยยกั ษ เม่ือกาลเพ่อื ภกิ ขาจารของพระผมู ีพระภาคเจายังไมถงึ กถ็ อืบาตรและจวี รมาถงึ กลางทางแลว กลบั ลําดับนั้น พระผมู ีพระภาคเจาเสด็จบิณฑบาตในพระนคร ทรงทาํ ภตั กิจแลว ประทบั น่งั บนบวรพุทธาสนะทปี่ ูแลวณ โคนตน ไมอันสงัดแหง หน่งึ ใกลป ระตพู ระนคร แตน ้ัน พระราชาพรอ ม

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 478กับหมูม หาชนและชาวพระนครท้ังหลาย ชุมนมุ รวมกัน เขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา ไหว แวดลอมแลว ทูลถามวา ขาแตพระองคผเู จริญ พระองคทรงทรมานยกั ษผูท ารณุ เหน็ ปานนอี้ ยา งไร พระผูมีพระภาคเจาจงตรัสอาฬวก-สูตรนั้นนน่ั แล เริม่ ตนแตก ารรบเปน ตน แกชนเหลา นนั้ วา ยักษน บี้ ันดาลใหฝนตก ๙ ชนิด เห็นปานน้ี ไดท ําสงิ่ ท่ีนาสะพรึงกลัวอยางนี้ ไดถ ามปญหาอยา งนี้ เราตถาคตไดแ กแ ลวอยา งน้ี แกยกั ษน น้ั ในเวลาจบคาถา สตั ว๘๔,๐๐๐ ก็ไดธรรมาภสิ มัย. ตอแตน ้ัน พระราชาและชาวพระนคร ไดท ําทีอ่ ยูใหแ กย กั ษ ในท่ีใกลภ พของทา วเวสวัณมหาราช ยงั พลกี รรมอันถงึ พรอมดวยสักการะมีดอกไมและของหอมเปนตน ใหเปนไปเปนนติ ย และปลอยพระกุมารนั้นผูทรงบรรลุ-นิตภิ าวะแลว วา พระองคท รงอาศยั พระผมู ีพระภาคเจา จึงทรงไดชวี ติ ขอจงเสด็จไป จงทรงนัง่ ใกลพ ระผมู ีพระภาคเจานน่ั แล และพระภิกษสุ งฆ. พระกมุ ารน้ันเสดจ็ เขา ไปนง่ั ใกลพระผมู ีพระภาคเจา และพระภกิ ษสุ งฆตอ กาลไมน านนกั ก็ทรงดาํ รงอยูในอนาคามิผล ทรงเรียนพระพุทธพจนท ้ังหมดเปนผูม ีอุบาสก ๕๐๐ เปน บรวิ าร และพระผูมีพระภาคเจา ทรงตงั้ พระกมุ ารนน้ัไวในตําแหนงเอตทคั คะวา ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย หัตถกอาฬวกะ เปนเลิศแหงสาวกทัง้ หลายของเรา ผสู งเคราะหบ ริษัทดวยสังคหวตั ถสุ ี่ดงั น้.ี จบอรรถกถาอาฬวกสตู ร แหง อรรถกถาขุททกนกิ าย ช่ือ ปรมัตถโชติกา

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 479 วิชยสตู รท่ี ๑๑ วาดว ยเรื่องรา งกาย [๓๑๒] ถาวาบุคคลเทีย่ วไป ยืนอยูน่ัง นอน คเู ขาหรอื เหยยี ดออก นัน่ เปนความเคล่ือนไหวของกาย กายประกอบแลว ดวยกระดกู และเอน็ ฉาบดว ยหนงั และเน้ือ ปกปดดวยผวิ เต็มดว ยไส อาหาร มีกอ นตับ มตู รหัวใจ ปอด มาม ไต นํ้ามูก นํา้ ลาย เหงื่อมันขน เลือด ไขขอ ดี เปลวมัน อันปุถุชนผูเปน พาล ยอมไมเหน็ ตามความเปนจริง อน่งึ ของอันไมสะอาดยอ มไหลออกจากชองท้ังเกา ของกายน้ีทุกเมอื่ คือข้ตี าจากตา ขหี้ จู ากหู และนาํ้ มกู จากจมกู บางคราวยอ มสํารอกออกจากปาก ดแี ละเสลดยอมสาํ รอกออก เหงอ่ื และหนองฝซึมออกจากกาย อนึ่ง อวยั วะเบือ้ งสงู ของกายนเี้ ปนโพรง เตม็ ดว ยมนั สมอง คนพาลถกู อวชิ ชาหมุ หอแลว ยอมสําคญั กายน้นั โดยความเปนของสวยงาม. กเ็ มอ่ื ใด เขาตายขึน้ พอง มีสเี ขยี วถกู ทง้ิ ไวในปา เมื่อนัน้ ญาติท้ังหลายยอม

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 480ไมห ว งใย สุนขั บาน สุนขั จง้ิ จอก หมาปาหมหู นอน กา แรง และสัตวเหลาอน่ื ยอมกดั กินกายน้นั ภกิ ษใุ นศาสนาน้ี ไดฟ ง พระ-พุทธพจนแลว มีความรูชดั เธอยอมกาํ หนดรกู ายนี้ ยอ มเห็นตามความเปนจรงิ ทีเดียวสรรี ะทีม่ วี ิญญาณนเ้ี หมือนสรรี ะทต่ี ายแลวนนั่ สรีระท่ีตายแลว นน้ั เหมอื นสรรี ะที่มีวิญญาณน้ี ภิกษพุ ึงคลายความพอใจในกายเสยี ท้ังภายในและภายนอก ภกิ ษุน้ันมีความรูชดั ในศาสนาน้ี ไมไดย ินดีแลว ดว ยฉนั ทรา-คะ ไดบ รรลอุ มฤตบท สงบดับไมจตุ ิ กายน้ีมีสองเทา ไมสะอาด มีกล่ินเหมน็ อันบุคคลบรหิ ารอยู เต็มไปดว ยซากศพตาง ๆถายของไมสะอาด มนี ํา้ ลายและนาํ้ มกู เปน-ตนใหไ หลออกจากทวารทง้ั เกา และขับเหงอ่ื ไคลใหไ หลออกจากขุมขนนนั้ ๆ ผูใดพงึ สําคัญเพ่อื ยกยองตัวหรอื พึงดูหม่นิ ผอู น่ืจกั มีอะไร นอกจากการไมเห็นอริยสจั . จบวชิ ยสูตรที่ ๑๑

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 481 อรรถกถาวิชยสูตร วชิ ยสตู ร (นันทสูตร) เริ่มตน ดวยคาถาวา จร วา ยทิวา ตฏิ ดังนี้ เรยี กวา กายวิจฉันทนกิ สตู ร ดังนบ้ี าง. มีอุบตั ิอยางไร ? ไดยนิ วา สตู รน้ีตรสั ไวใ นฐานะ ๒ อยาง เพราะฉะนัน้ วชิ ยสตู รน้ัน จงึ มีอุบัติ ๒ อยาง. ในสูตรนัน้ สตรีท่ีมีชื่อวา นันทา มี ๓ นาง คือ นันทา ผเู ปนนอ งสาวของพระอานนทเถระ* อภิรูปนันทา พระธดิ าของพระเจา เขมกศากยะนนั ทาผูชนบทกัลยาณี บรรพชาแลว ดวยบรรพชาสาํ หรับมาตคุ าม ที่พระผู-มีพระภาคเจาเสด็จถงึ กรุงกบลิ พัสดโุ ดยลาํ ดับ ทรงแนะนาํ เจาศากยะทง้ั หลายทรงใหส ตรีทัง้ หลายมีนางนันทาเปน ตน บรรพชาอนญุ าตแลว ก็โดยสมัยน้ันพระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยู ณ กรงุ สาวตั ถี นางอภิรูปนันทา มรี ูปสวยย่งิ นักนาดู นาเล่อื มใส ดว ยเหตุนั้น ญาตทิ ั้งหลายจึงต้ังช่อื นางวา อภิรูปนันทาฝายนางนันทาผชู นบทกลั ยาณี ไมเ หน็ สตรที ี่มรี ปู สวยเสมอกบั ตน นางทั้งสองนนั้ เมาแลว ดวยความเมาในรูป คิดวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงตเิ ตียน ทรงครหารปู ทรงแสดงโทษในรูปโดยอเนกปริยาย จึงไมไ ปสูท บ่ี าํ รงุ พระผมู ีพระ-ภาคเจา ทงั้ ไมป รารถนาเพ่ือจะเห็น. หากจะมคี ําถามวา นางไมเลอื่ มใสอยา งนี้ เพราะเหตไุ ร จงึ บรรพชาเลา ?๑. ยุ. นนทฺ ตเฺ ถรสสฺ .

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 482 ตอบวา สจั จกมุ ารผเู ปนสามขี องนางอภริ ปู นันทาไดท ํากาละโดยปกติในวันหม้ันนั้นเทียว ดวยเหตนุ ัน้ มารดาและบดิ าจึงใหนางผูไมประสงคบรรพชา. ฝายนางนนั ทาผชู นบทกลั ยาณี เม่ือทานพระนนั ทะบรรลุพระอรหัตแลว กห็ มดความหวังวา สามีของเรา มหาปชาบดพี ระมารดา และพระญาติอน่ื ๆ บรรพชาแลว นางเวน จากพระญาตทิ ้ังหลาย เมื่อไมไ ดความส าราญใจในฆราวาสอันเปนทกุ ขจ ึงบรรพชา หาบรรพชาดว ยศรัทธาไม. ลาํ ดับนั้น พระผูมพี ระภาคเจา ทรงรูความแกรอบแหงญาณของนางท้ังสองน้นั จงึ ตรสั สั่งพระนางมหาปชาบดวี า ภิกษณุ แี มทั้งหมดจงมารบั โอวาทตามลําดบั นางทัง้ สองนนั้ เมื่อถึงวาระของตน กส็ ่งั ภิกษุณีอน่ื ไปแทน แตน้ันพระผมู พี ระภาคเจา จึงตรัสวา เมอื่ ถงึ วาระตนเทา น้นั พึงมา ไมพึงสง ภิกษณุ ีอ่ืนไปแทน อยมู าวนั หนึ่ง นางอภริ ปู นนั ทาไดไปรบั โอวาท พระผูม ีพระ-ภาคเจาจึงทรงยังนางใหสสดใจ ดว ยรปู ท่ที รงเนรมติ ใหต ง้ั อยูในพระอรหัตโดยลําดับ ดวยคาถาในธรรมบทน้วี า กระทําสรรี ะใหเ ปน นครแหงกระดกูทงั้ หลาย และดวยเถรคี าถาเหลานว้ี า ดกู อนนนั ทา เจา จงดูรา งกายอนั อาดูร ไมสะอาด เปอยเนา อันกระดกู ยกข้นึ ไหลเขา ไหลออก ที่พวกคนพาลปรารถนา ยิ่งนกั เจาจงเจรญิ อสภุ นิมติ และจงละมา- นานสุ ยั เสยี ตอแตน ้นั เพราะละมานะเสีย ได เจา จกั เปนผูสงบระงับเท่ยี วไป ดงั นี.้

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 483 อยูม าวันหนง่ึ ชาวกรุงสาวัตถใี นปุเรภตั ถวายทาน สมาทาน อุโบสถนุง ดี หมดถี อื วัตถมุ ขี องหอมและดอกไมเ ปนตน ไปสพู ระเชตวัน เพ่ือประ-โยชนแ กการฟง ธรรม ในเวลาจบการฟง ธรรมไหวพระผูม ีพระภาคเจาแลว เขาสพู ระนคร แมพระภกิ ษณุ สี งฆฟงธรรมกถาแลว กไ็ ปสสู ํานกั ของนางภกิ ษุณีมนษุ ยและภิกษุณที ้ังหลายในกรงุ สาวตั ถีนน้ั ตางก็สรรเสริญพระผูมพี ระภาคเจา . กใ็ นโลกสนั นิวาสมปี ระมาณ ๔ อยา ง บคุ คลเห็นพระสมั มาสัมพุทธเจาแลว ชอ่ื วาไมเ ล่อื มใส ไมม ี จรงิ อยู บคุ คลทัง้ หลายผถู ือรูปเปน ประมาณเห็นพระรปู ของพระผมู พี ระภาคเจา ขจติ ดว ยลักษณะ วิจติ รดว ยอนุพยญั ชนะมพี ระเกตุมาลารุงเรือง มีพระรศั มวี าหน่งึ เปลง ออก ดจุ อลังการอันมีประโยชนท่ีงามพรอ ม ซึ่งเกดิ ข้นึ แกโลกฉะนนั้ ยอมเลอื่ มใส. ผูถ อื เสียงเปนประมาณฟงเสียงกิตตศิ พั ทในชาดกหลายรอย ประกอบดวยองคแปด ทรงเปลง ออกอยา งออนหวานดุจเสยี นกกรวิก เหมอื นเสียงแหงพรหม ยอ มเลื่อมใส. ฝา ยผูถือความเศรา หมองเปนประมาณ เห็นความเศรา หมองดวยจีวรเปน ตน หรอื ความเศรา หมองดวยการบาํ เพญ็ ทุกรกริ ิยา กย็ อมเล่ือมใส. ผูถือธรรมเปนประมาณพจิ ารณาธรรมขนั ธอ ยา งใดอยา งหนงึ่ บรรดาขันธทง้ั หลายมสี ลี ขนั ธเ ปน ตน ยอมเลอ่ื มใส เพราะฉะนัน้ จงึ กลา วสรรเสริญพระผูม พี ระภาคเจาในทท่ี ้ังปวง. นางนนั ทาผูช นบทกัลยณีแมถึงสาํ นักของภกิ ษุณแี ลวไดฟ ง บุคคลเหลา -น้ัน กาํ ลังกลา วสรรเสรญิ พระผมู ีพระภาคเจา โดยอเนกปริยาย ประสงคจะเขา ไป

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 484เฝาพระผมู ีพระภาคเจา จึงบอกแกภกิ ษณุ ที ง้ั หลาย พวกภิกษณุ ีพานางไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงรกู ารมาของนางกอ นทีเดยี ว ทรงเนรมิตสตรี ท่ีมีอายุนา ดูยง่ิ นกั ประมาณ ๑๕ - ๑๖ ป ยืนถวายงานพัดอยูขา งดวยกาํ ลงั ฤทธ์ิของพระองค เพือ่ ทรงกาํ จัดความเมาในรปู ดวยรปู นัน่ เทียวดุจบุรุษตองการบงหนามดว ยหนาม และตอ งการถอนลิ่มดว ยลมิ่ ฉะนัน้ นางนนั ทาเขา ไปเฝา พรอ มกบั ภกิ ษณุ ที ัง้ หลาย ไหวพ ระผมู พี ระภาคเจา แลว นั่งในระหวางภิกษสุ งฆ เห็นพระรูปสมบตั ิของพระผูมีพระภาคเจา ต้ังแตพน้ื พระบาทจนถงึ ปลายพระเกสา และเหน็ รปู เนรมติ นนั้ ซ่ึงยืนขา งพระผมู พี ระภาคเจา อีกคิดวา โอ ! สตรนี ี้รูปสวย ละความเมาในรูปของตน มอี ตั ภาพอนั ยนิ ดีย่ิงในรปู ของสตรนี น้ั . แตนั้น พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงสตรนี น้ั ทาํ ใหมอี ายปุ ระมาณ ๒๐ป ดว ยวา มาตุคามมีอายุ ๑๖ ปเทา นน้ั ยอมสวยงาม เกินน้ันไปยอมไมส วยงามลาํ ดับนน้ั นางนนั ทาเห็นความเส่อื มแหงรูปของสตรนี ัน้ กม็ ีฉันทราคะในรูปน้นั ลดนอ ย แตน ้ัน พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงสตรอี ยา งนี้ คือ สตรยี ังไมค ลอด สตรคี ลอดคร้ังเดยี ว สตรกี ลางคน สตรีแก จนถึงสตรีมอี ายุ ๑๐๐ ปหลังโกง ถอื ไมเ ทา มีตัวตกกระแลวทรงแสดงการตายของสตรีนั้น อันตา งดวยซากศพพองข้นึ เปนตน อนั สัตวท ั้งหลายมีกาเปน ตน รุมจกิ กนิ และมีกล่นิ เหมน็ นา เกลียด นาปฏิกูลแกน างนันทา ผแู ลดอู ยูน นั่ เทยี ว นางนนั ทาเหน็ มาตุคามนนั้ ก็มอี นจิ จสญั ญาปรากฏขนึ้ วา *กายนท้ี ่วั ไปทง้ั หมด ท้งั แกเ ราท้งั แกค นอนื่ อยางนนี้ น่ั แล แมท ุกขสัญญาและอนตั ตสญั ญาก็ปรากฏขนึ้ โดย* ย.ุ กโม.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 485ทาํ นองอนิจจสญั ญานนั้ ภพทั้ง ๓ ปรากฏข้ึนไมเ ปนทีพ่ ึ่งอาศัย ดจุ เรอื นถูกไฟไหมฉ ะนนั้ . ลําดบั นน้ั พระผมู พี ระภาคเจาทรงรวู า จิตของนางนันทาแลน ไปในกรรมฐาน จงึ ตรัสคาถาเหลาน้ี ดวยอํานาจแหงสปั ปายะแกนางวา ดูกอนนันทา เจาจงดูรางกายน้ี อัน อาดูร ไมส ะอาด เปอ ยเนา อนั กระดูกยก ขึ้นเปนโครง ไหลเขาไหลออก ทพ่ี วกคน พาลปรารถนากันยง่ิ นัก สรีระของหญิงน้ี เปน ฉันใด สรีระของเธอน้กี จ็ กั ฉนั นน้ั สรีระ ของเธอนน้ั ฉนั ใด สรรี ะของหญิงน้ีกฉ็ นั น้ัน เธอจงดธู าตุทงั้ หลายโดยความเปนของสญู จงอยากลบั มาสโู ลกน้อี ีกเลย จงสํารอกความ พอใจในภพเสยี แลว จักเปน ผสู งบระงับ เทย่ี วไป ดังน.้ี ในเวลาจบคาถา นางนันทาดํารงอยูใ นโสดาปต ติผล ลาํ ดบั นนั้ พระ-ผูม ีพระภาคเจา เมือ่ ตรัสวปิ สสนากรรมฐาน ซ่ึงมสี ญุ ญตาเปน บรวิ าร เพ่ือบรรลมุ รรคเบ้ืองบนแกน าง จงึ ตรัสพระสตู รนี้ นเ้ี ปน อุบัติหนึ่งของสตู รน้ันกอ น. อุบตั ทิ ี่ ๒. อุบัติที่ ๒ ไดก ลา วไวแ ลว ในเร่ืองของคาถาธรรมบทวา ก็เมอื่ พระผูม ีพระภาคเจาประทบั อยู ณ กรงุ ราชคฤห ธดิ าของนางสาลวดี คณิกา ซ่งึ มี

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 486สมฏุ ฐานไดกลาวแลว โดยพิสดาร ในจวี รขนั ธกะ ชือ่ วา สริ มิ า ซ่งึ เปนนอ งสาวของชวี กนั้นใด ไดตาํ แหนง นน้ั โดยกาลลว งไปแหง มารดา ดหู มนิ่ ปุณณเศรษฐีธดิ า ในเรือ่ งแหงคาถาน้ีวา พึงชนะความโกรธ ดว ยความไมโ กรธ ขมาพระผูมพี ระภาคเจา ฟง พระธรรมเทศนา ไดเ ปนโสดาบนั ยงั นิจภตั ร ๘ อยา งใหเปน ไปแลว ภิกษุผูร ับนิจภัตรรูปหนึง่ ปรารภถึงสิรมิ าธิดานัน้ กเ็ กดิ ราคะและไมอาจเพอ่ื ทําแมอาหารกจิ นอนปราศจากอาหาร. ครัน้ ภกิ ษนุ ้ันนอนอยางน้นั แล นางสริ ิมาตายไปเปน เทวขี องทา วสยุ าม ในยามภพ. ในขณะนัน้ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงมพี ระภิกษุสงฆแวดลอ มแลว พาภกิ ษุแมน ้นั เสดจ็ ไปดูสรรี ะของนางสิรมิ าน้ัน ซ่งึ พระราชาทรงหามการเผาศพของนางแลว ใหเ ก็บไว ณ ปา ชา ผีดบิ มหาชนและพระราชากไ็ ปดูอยา งนน้ั ในชนจํานวนนั้น มนษุ ยท ้ังหลายพดู กนั วา ในกาลกอน การดูนางสิรมิ าดว ยทรพั ย๑,๐๐๘ กไ็ ดย าก บัดนใ้ี นวันนผ้ี ทู ่ีใครจ ะดนู างแมดว ยหนงึ่ กากณกิ ก็ไมม ี ฝายสิริมาเทพกัญญา อนั รถ ๕๐๐ คนั แวดลอ มแลว ไป ณ ทน่ี ้นั พระผูม พี ระภาคเจาตรสั สูตรน้ี เพอื่ ทรงแสดงธรรมแกช นทง้ั หลายท่ีประชมุ ณ ที่แมน ั้น และคาถาในธรรมบทนี้วา เธอจงดูรางกายอนั ทําวิจิตร เพือ่ ทรงโอวาทแกภ กิ ษนุ ้ัน.นเ้ี ปน อบุ ัติท่ี ๒ แหงสตู รน้ัน. บรรดาบทเหลานัน้ บทวา จร วา ความวา ไปดวยการนาํ รปู กายทงั้ ส้นิ ไป โดยมงุ หนา ตอ ทศิ ที่จะพงึ ไป. บท ยทิ วา ตฏิ  ความวา ยนื อยูโดยไมม ีการยกรปู กายนนั้ นน่ั เทียว. บทวา นิสนิ โฺ น อทุ วา สย ความวานั่งโดยความทรี่ ปู กายน้ันแลคสู ว นเบ้อื งตํ่า และยกขึ้นซึ่งสวนเบอ้ื งสงู หรือนอนโดยเหยียดไปทางขวาง.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 487 บทวา สมมฺ ิเฺ ชติ ปสาเสติ ความวา คเู ขาและเหยยี ดออก ซง่ึขอ ตอน้นั ๆ. บทวา เอสา กายสฺส อิชฺ นา ความวา นั่นแมทั้งหมดเปนความเคล่อื นไหว ไดแ กค วามไหว ความเคล่ือนไปของกายทีม่ ีวิญญาณน้ีนั่นเทยี ว. ใครอืน่ ทช่ี ือ่ วา เทย่ี วไปอยู หรอื เหยียดออกอยใู นทน่ี ี้ หามไี มอน่งึ แล เมื่อจติ เกดิ ขนึ้ วา เราจะไปเทย่ี ว วาโยธาตซุ ง่ึ มจี ิตน้นั เปน สมฏุ ฐานยอมแผไ ปสูร างกาย กายนัน้ ก็มกี ารนาํ ไปมุงหนาตอ ทศิ ท่ีจะพึงไป คือความเกดิขึ้นในระหวา งสวน* กย็ อ มมีดวยจติ นั้น ดวยเหตุน้นั จึงเรยี กวา จร เท่ยี วไป. อนง่ึ เม่ือจิตเกดิ ขึ้นวา เรายืน วาโยธาตุซึง่ มจี ิตนั้นเปน สมฏุ ฐานก็ยอ มแผไ ปสูรางกาย รา งกายน้นั กม็ ีการยกข้นึ คือ ความปรากฏแหง รปู โดยฐานเบ้อื งสูง ก็ยอมมีดวยจิตนั้น ดวยเหตุนนั้ จงึ เรียกวา ติฏ  ยืนอย.ู อนึง่ เมือ่ จติ เกิดข้ึนวา เราจะนัง่ วาโยธาตุซึ่งมจี ติ นนั้ เปน สมุฏฐานยอมแผไ ปสูรา งกาย รา งกายนน้ั กจ็ ะมกี ารคูเขา ซง่ึ สว นเบือ้ งตํา่ และการยกขึ้นซึง่ สว นเบอื้ งสงู ดวยจติ นั้น คือ ความปรากฏแหง รูปยอมมโี ดยภาวะอยางน้ันดว ยเหตุนั้น จงึ เรียกวา นิสินฺโน นง่ั แลว . อนง่ึ เมอ่ื มจี ิตเกดิ ขนึ้ วา เราจะนอน วาโยธาตุซ่ึงมีจติ น้ันเปน สมฏุ ฐานยอ มแผไปสรู า งกาย รางกายนัน้ ก็ยอ มมีการเหยียดออกตามขวาง ดวยจิตน้ัน คอืความปรากฏแหงรูปใด ภาวะอยางนนั้ ดว ยเหตุนัน้ จงึ เรียกวา สย นอน. ก็ทา นผูมอี ายนุ ้ี รปู ใดรูปหน่ึงหนงึ่ ทีม่ ีชือ่ อยา งน้ี เท่ียวไป ยืนอยู นงั่ หรือนอน อยางนี้ ซงึ่ เรียกวา คูเ ขา เหยียดออก ดว ยอํานาจแหง การคเู ขาและเหยียดออกซึง่ ขอตอเหลานน้ั ๆ ในอิริยาบถนน้ั ๆ เพราะเมือ่ จิตจะคเู ขา หรือเหยียด* ยุ. เทสนฺตเร รปนฺตรปาตภาโว.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 488ออกเกิดข้ึนอยู การเคลอ่ื นไหวแมน น้ั ยอ มมีโดยนัยตามท่กี ลา วแลว น่ันแลเพราะฉะนัน้ นน่ั เปน ความเคลือ่ นไหวของกาย ใคร ๆ อ่นื ในทีน่ ้ีหามีไม นีส้ ญูจากสัตวห รือบคุ คลไร ๆ ซ่งึ เทีย่ วไปอยู หรือ เหยียดออก แตใ นท่นี ้ี มปี รมตั ถอยา งเดียวนี้ คอื ความที่วาโยธาตุตา งกัน ยอ มมีเพราะ อาศัยความท่ีจติ ตา งกนั ความเคลอ่ื นไหวของ กาย ยอมมตี าง ๆ เพราะความทว่ี าโยธาตุ ตางกัน ดงั น้.ี ดว ยคาถาน้ี เพราะพระผูมพี ระภาคเจา ประทับอยูในอิริยาบถหนึ่ง การเบยี ดเบียนกายก็มีดว ยการประกอบ และเพอื่ กําจดั ความเบยี ดเบียนกายนนั้พระองคจึงทรงกระทํา การสบั เปล่ียนอริ ิยาบถ เพราะฉะนัน้ จงึ ทรงแสดงทกุ ข-ลกั ษณะ อันอิริยาบถปกปด ไว ดว ยบทวา จร วา เปนตนดว ยประการดงั น้ีในกาลเท่ียวไปก็อยางนั้น เมอ่ื จะตรสั ประเภทแหงการเทยี่ วไปเปนตน น่นัทั้งหมด เพราะไมมีการยนื เปนตนวา นนั่ เปน ความเคลื่อนไหวของกาย ชื่อวาทรงแสดงอนจิ จลักษณะ ซ่ึงสันตติปกปด ไว และเมอ่ื ความสามัคคนี ัน้ เปนไปแลว กต็ รัสโดยปฏิเสธสตั ววา น่นั เปน ความเคลอื่ นไหวของกาย ชอื่ วา ทรงแสดงอนัตตลักษณะ ซง่ึ อัตตสัญญาและความเปน กอ นปกปดไว. ครน้ั ตรัสสญุ ญตากรรมฐาน โดยการแสดงไตรลักษณอยา งนแ้ี ลว จึงทรงปรารภอกี วา กายประกอบแลว ดว ยกระดูกและเอน็ เพอื่ ทรงแสดงอสุภะท้ังที่มวี ิญญาณและไมม วี ิญญาณ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 489 คาถาน้นั มเี นื้อความวา กน็ ัน่ เปน ความเคลื่อนไหวของกายใด กายน้ีน้ัน ประกอบแลว ดวยกระดกู และเอ็น เพราะความที่กายนี้ประกอบแลวดวยกระดกู เกิน ๓๐๐ ทอน และดว ยเอน็ ๙๐๐ เสน ซ่งึ ขาพเจาประกาศแลว โดยประเภทแหง สี สัณฐาน ทิศ โอกาส และ การกาํ หนด และโดยอัพยาปารนัย ในการพรรณนาถงึ อาการ ๓๒ อยา ง ในวสิ ทุ ธมิ รรค เพราะฉะนนั้ ผูศ ึกษาพงึทราบวา ฉาบดวยหนงั และเนื้อ เพราะความท่ีกายน้ี ฉาบแลว ดว ยหนัง มหี นังปลายเทาและหนงั นิว้ มอื เปนตน และดว ยเน้ืออนั ตา งดวยชิน้ เน้อื ๙๐๐ ชิน้ ที่ขา พเจาประกาศไวแ ลว ในวสิ ทุ ธิมรรคน้ันแล มกี ลน่ิ เหมน็ นาเกลยี ดปฏิกูลอยา งยง่ิ . ในกายนั่น ผศู กึ ษาจะพงึ ทราบอยา งไร ถากายน้ีไมพงึ ปกปดดวยผวิละเอยี ดดจุ ปกแมลงวัน ซึ่งลอกจากรางกายทัง้ สน้ิ ของคนปานกลางกจ็ ะมปี ระมาณเทา เมด็ พุทรา ดุจฝาเรือนไมปกปดดวยรงคม ีสเี ขยี ว เปน ตนไซร กายนีป้ กปดดวยผิวแมล ะเอียดอยางนั้น อันปถุ ุชนผูเปนพาล ปราศจากจกั ษุ คอื ปญญายอ มไมเ ห็นตามความเปน จรงิ . ก็หนังของรา งกายน้ัน อนั เขาประเทอื งดว ยเคร่ืองประทินผิว นบั วานา เกลียดและปฏิกูลอยางยง่ิ ก็ดี เนอื้ รอ ยชนิ้ ทก่ี ลา วแลววา เนื้อมี ๙๐๐ ชนิ้ ฉาบแลวในรางกาย เปน ของเปอ ยเนา ดจุ สวมอันเกล่อื นกลน ดวยหมหู นอน ฉะนน้ั โดยประเภท อนั หนงั หุมหอก็ดี

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 490 เอ็น ๙๐๐ เสน อยใู นรางกายมีประ- มาณหนึง่ วา รงึ รดั โครงกระดกู ไว ดุจเรือน รงึ รดั ดวยเถาวลั ฉะน้นั ฉาบดวยเน้ือกด็ ี กระดกู ๓๐๐ ทอ น ทเี่ อ็นรึงรัดไว ตงั้ เรยี งตามลาํ ดบั เปน ของเนามีกลิ่นเหมน็ ก็ดี อนั ปถุ ุชนผูเปนพาล ยอมไมเ หน็ ตามความเปน จรงิ . เพราะบัณฑติ ไมยดึ ถอื ผวิ เปนตนนั้น ใชจ ักษุคือปญ ญาแทงตลอด ซงึ่ซากศพในภายใน และของไมสะอาด กลิน่ เหมน็ นา เกลยี ดและปฏกิ ลู อยา งยิ่งมีประการตา ง ๆ ไมป รากฏแกโลกทง้ั หมด เพราะความที่กายปกปด ดว ยผิวละเอยี ดดุจปกแมลงวนั ถกู หมุ หอ ไวดวยหนงั ทป่ี ระเทืองแลวดว ยเครือ่ งประทินผวิ พึงเหน็ กายอยา งน้วี า เตม็ ดวยไส อาหาร ฯลฯ ดี เปลวมัน ดังน้.ี บรรดาบทเหลาน้ัน กายเตม็ ดวยไส ช่อื วา อนฺตปูโร เตม็ ดว ยอาหาร ช่อื วา อทุ รปูโร. กค็ ําวา อทุ ร นั่น เปน ชอื่ ของอาหารใหม จรงิ อยูอาหารใหมน ั้น เรียกวา อทุ ร โดยชือ่ ของฐานะ. บทวา ยกเปฬสฺส ไดแ กมีกอ นตับ. บทวา วตฺถิโน ไดแ กม ตู ร. ก็มตู รน่ัน เรยี กวา วตถฺ ิ โดยมุงถึงฐานะ. บทวา ปโู ร ไดแก กระทําอยางยิง่ . เพราะฉะน้ัน พงึ ประกอบอยา งนี้วา เต็มดวยกอนตบั เตม็ ดว ยมตู ร. ในหัวใจเปนตน ก็นัยนี้. กบ็ ทวาไสเปนตน แมนั่นทั้งหมด ผศู ึกษาพงึ ทราบ ดวยอาํ นาจแหง คาํ ทกี่ ลา วไวแ ลว ในวิสุทธิมรรค ดวยประเภทแหง สี สัณฐาน ทศิ โอกาส และปรจิ เฉท และดวยอพั ยาปารนยั .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 491 พระผูม ีพระภาคเจาครน้ั ทรงแสดงซากศพในภายในวา ในกายนี้ ส่งิ ที่ควรถอื เอาเชนกบั แกว มกุ ดาและแกวมณแี มอ ยางหนึ่งกไ็ มม เี ลย และกายนี้เตม็ดวยของไมส ะอาดทั้งนนั้ บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงซากศพในภายในนนั้ แล ทําใหปรากฏดว ยซากศพทีอ่ อกไปในภายนอก จึงสงเคราะหส งิ่ ทต่ี รสั แลว ในกาลกอ นและท่ยี ังไมต รสั เขา ดว ยกนั จงึ ตรสั สองคาถาวา อถสฺส นวหิ โสเตหิ แปลวาอน่งึ ของอนั ไมสะอาดยอมไหลออกจากชองท้งั เกา ของกายนน้ั ดังน้.ี บรรดาบทเหลาน้นั บทวา อถ เปน การแสดงขยายปริยายอ่นื . มอี ธบิ ายวา ทา นจงดูความไมสะอาด โดยปรยิ ายแมอ่ืนอกี . บทวา อสฺส ไดแ กก ายน้ี.บทวา นวหิ โสเตหิ ไดแ ก ชองตา ๒ ชอ งหู ๒ ชอ งจมูก ๒ ปาก วจั จมรรคและปส สาวมรรค. บทวา อสุจี สวติ ความวา ของอันไมสะอาด คอื กลิ่น-เหมน็ และนา เกลียดอยางยิ่ง มปี ระการตาง ๆ ปรากฏแลวแกโลกท่ัวไป ยอ มไหลออก คือ ยอ มหลัง่ ออก ยอมไหลออกไป คนั ธชาตมกี ฤษณาและจันทนเปน ตน หรือ รตั นชาต มแี กวมณี แกวมกุ ดาเปน ตน อืน่ ไร ๆ หาไหลออกไม.บทวา สพฺพทา ความวา ก็ของอนั ไมส ะอาดนัน้ แล ยอมปรากฏแกบคุ คลผูยนื อยกู ็ตาม ไปอยูกต็ าม ทกุ เม่ือ คือ ในกลางคืนบา ง กลางวันบาง เวลาเชาบา ง เวลาเยน็ บา ง. หากมคี าํ ถามวา ของอันไมสะอาดน้ัน คอื อะไร ? ตอบวา คือขีต้ าจากตาเปนตน. จรงิ อยู ข้ตี าเชน กบั เนือ้ ที่ลอกหนงั ออกแลว ยอมไหลออกจากชอ งตาท้งั สองของกายน้ัน ขห้ี ูเชนกับกอ นธุลี ยอ มไหลออกจากชอ งหูท้งั สองขม้ี กู เชนกบั น้าํ หนองยอ มไหลออกจากชอ งจมกู ท้งั สอง บคุ คลยอ มสํารอกออกจากปาก.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 492 หากมีคาํ ถามวา สํารอกอะไร ? ตอบวา บางคราวยอ มสํารอกน้ําดีที่อธิบายวา ในกาลใด น้าํ ดีไมเปนกอนกาํ เริบ ยอ มสาํ รอกนํา้ ดีในกาลนัน้ . บทวา เสมฺห จ ความวา ยอมสํารอกนาํ้ ดีอยา งเดยี วหามไิ ด แมนํ้าเสมหะทเ่ี ปนกอน ซ่งึ มปี ระมาณเตม็ บาตรหนงึ่ นนั้ แมใ ด ต้ังอยูในชอ งทองยอมสํารอกน้ําเสมหะแมนัน้ ในกาลบางคราว ก็เสมหะนีน้ ้นั พงึ ทราบโดยนัยที่กลาวแลว ในวิสุทธมิ รรค โดยสเี ปนตน ดวย จ ศัพทวา เสมฺห จพระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงวา ยอมสํารอกเสมหะและของอันไมส ะอาดอยางอน่ืมีอาหารใหมและโลหิตเปนตน เห็นปานนัน้ . พระผูมพี ระภาคเจา ทรงเปนกาลัญู ปุคคลัญู และปริสญั ู ครั้นทรงแสดงการสํารอกของอนั ไมส ะอาดออกจากทวารทงั้ เจ็ดอยางนี้แลว ตอจากน้นัไมทรงแตะตอ งทวารทั้งสอง ดวยพระดาํ รัสพเิ ศษ เม่ือจะทรงแสดงการสาํ รอกของอันไมส ะอาดออกจากกายแมท ้ังหมด โดยปรยิ ายอนื่ อกี จึงตรัสวา กายมหฺ าเสทชลลฺ กิ า เหงื่อและหนองฝซ มึ ออกจากกาย ดงั น.้ี บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา เสทชลลฺ ิกา สัมพันธกับบทน้ีวา เหงื่อและนาํ้ เคม็ อันตา งดวยแผนเกลือและเหงื่อไคลของรา งกายน้นั ยอ มซึมออกทุกเมือ่ . พระผมู พี ระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงความท่กี ายน้เี ปนของอันไมสะอาดดว ยอํานาจแหงมลทินจากอาหารที่กนิ และด่มื เปนตน เมื่ออาหารทกี่ ินและดืม่เปน ตน หุงตม ดว ยไฟอนั เกดิ จากกรรม ก็ปรากฏข้ึนไหลออก โดยประเภทมีอาทวิ า ข้ีตาจากตา แลวเปอ นอวยั วะมตี าเปนตน แลว ติดอยูข างนอกเหมอื น

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 493เมอื่ หงุ ตม ภัต คราบขาวสารและคราบนํ้าก็ปรากฏข้นึ กับฟองนํา้ แลว เปอนปากหมอขา ว ตดิ อยูขางนอกฉะนนั้ อยางนแี้ ลว บัดนี้ เมอื่ จะทรงแสดงความท่ีกายนัน้ เปนของไมสะอาด เพราะความทศ่ี รี ษะทสี่ มมติวา เปน อุดมมงคลในโลกซง่ึ คนทั้งหลายถอื โดยความเปนของประเสริฐอยา งยง่ิ ไมท ําการไหวแมแกบุคคลทคี่ วรไหวท้ังหลายแมน ้นั เปนของไมมแี กน สาร และความเปน ของอนั ไมส ะอาดจึงตรัสคาถาน้ีวา อถสฺส สุสิร สสี  อนึ่ง อวยั วะเบ้ืองสูงของกายนเี้ ปนโพรง ดงั น.้ี ในบทเหลาน้นั บทวา สสุ ริ  ไดแก ชอง. บทวา มตถฺ ลุงฺคสสฺปรู ต ความวา เต็มดวยมนั สมอง ดุจน้าํ เตา เตม็ ดวยนมสม ฉะน้ัน กม็ ันสมองนี้นั้น ผูศึกษาพึงทราบ โดยนยั ทก่ี ลา วไวแ ลว ในวิสุทธิมรรคนั้นแล. บทวา สภุ โต น มฺติ พาโล ความวา คนพาลชอบคดิ สงิ่ ท่ีคิดช่ัวยอ มสาํ คญั แมก ายน้นี ้นั ซ่ึงเตม็ ดว ยซากศพมีอยางตาง ๆ อยางน้ี คอืยอ มสําคัญดวยดว ยความสาํ คญั คือ ตณั หา ทิฏฐิ มานะ แมท งั้ สามวา สวย สะอาดนาปรารถนา นาใคร นาชอบใจ. เพราะเหตไุ ร เพราะคนพาลถกู อวชิ ชาหมุ หอ แลว คือ ถกู โมหะอันปกปด สจั จะท้ังส่หี ุมหอ แลว คือ เตอื นแลว ใหเปน ไปแลว ใหย ดึ ถือแลว วา เจาจงถืออยางน้ี ยดึ อยางน้ี สาํ คัญอยา งน้ีอธิบายวา เจาจงดูตลอดอวิชชาอนั เปน เหตุไมนาปรารถนา. พระผูม ีพระภาคเจา คร้ันทรงแสดงอสภุ ะ ดว ยอํานาจแหง กายมวี ิญญาณครองอยางนี้แลว บัดน้ี เพ่อื ทรงแสดงอสภุ ะ ดวยอํานาจแหงกายไมม ีวิญญาณครอง หรือ เพราะกายแมข องพระเจาจักรพรรดิก็เตม็ ดวยซากศพตามที่กลา ว

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 494แลวเหมือนกัน เพราะฉะนน้ั เพือ่ ทรงแสดงอสภุ ะในสมบตั ิภพ โดยประการทัง้ ปวงแลว ทรงแสดงในวบิ ตั ิภพในบดั น้ี จงึ ตรัสคาถาวา ยทา จ โสมโต เสติ แปลวา กเ็ มอ่ื ใด เขาตายนอนอย.ู คาถานน้ั มีเนอ้ื ความวา กายมีอยางนนี้ ัน่ แล เม่ือใด เขาตายเพราะปราศจากอายุ ไออนุ และวญิ ญาณ ขึน้ พองดจุ สูบเตม็ ดวยลมฉะนน้ั มีสเี ขียวเพราะสีแตกสลาย ถกู ทิง้ ไวใ นปา ชา เพราะถูกทิง้ ไวด จุ ทอ นไมไรป ระโยชนฉะนั้น นอนอยู ในกาลนัน้ ญาตทิ ั้งหลายยอมไมห ว งใยโดยสว นเดียววา บดั น้ีเขาจักไมล ุกขึน้ อีก. ในคาถาน้นั ทรงแสดงความไมเที่ยง ดวยบทวา มโต ทรงแสดงความทก่ี ายไมล ุกขึน้ ดวยบทวา เสติ และทรงประกอบไวในการละความมัวเมาในชีวิตและกาํ ลงั ดว ยบททงั้ สองนนั้ ทรงแสดงวิบตั ใิ นสัณฐาน ดวยบทวา อุทธฺ มุ าตโก ทรงแสดงวิบตั ิในเครือ่ งประทินผวิ ดว ยบทวา วนิ ีลโกและทรงประกอบในการละความมัวเมาในรปู และในการละมานะ เพราะอาศยัความงามแหงผวิ พรรณดวยบททงั้ สองนนั้ ทรงแสดงความไมมีของทีจ่ ะพงึ ถือเอาดว ยบทวา อปวิฏโ ทรงแสดงความเปนกายอันนาพงึ เกลยี ด อันไมควรเพือ่ใหอยูใ นภายใน ดวยบทวา สุสานสฺมึ ทรงประกอบในการละความยึดถือวาของเรา และในการละสภุ สญั ญา ดว ยบทแมทั้งสองนน้ั ทรงแสดงความไมม ีกริ ิยาโตต อบ ดว ยบทวา อนเปกฺขา โหนฺติ าตโย ทรงประกอบในการละความมวั เมาในบรวิ าร ดว ยบทน้นั . คร้ันทรงแสดงอสุภะดวยอํานาจกายอันไมม ีวญิ ญาณครอง ยงั ไมแ ตก-สลาย ดว ยคาถานีอ้ ยา งนแี้ ลว บัดน้ี เพือ่ ทรงแสดง แมด วยอาํ นาจแหง กายแตกสลาย จึงตรัสคาถาวา ขาทนฺติ น ดงั น.้ี

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 495 บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา เย จฺเ ความวา สัตวท้งั หลายท่ีกนิ ซากศพแมเ หลา อ่นื มกี าและพงั พอนเปนตน ยอ มกดั กินกายนั้น. บทท่เี หลือต้ืนท้ังน้นั แล. คร้ันทรงแสดงกาย ดวยอาํ นาจแหง สญุ ญตากรรมฐาน โดยนยั มอี าทิวา จร วา ดวยอํานาจแหง อสุภะสาํ หรบั กายที่มวี ญิ ญาณครอง โดยนยั มีอาทวิ ากายประกอบแลว ดว ยกระดกู และเอน็ ดวยอาํ นาจแหงอสุภะ สาํ หรับกายท่ีไมม ีวิญญาณครอง โดยนัยมีอาทิวา ก็เมอื่ ใด เขาตาย อยา งน้แี ลวทรงประกาศความประพฤตขิ องปุถุชนผูเ ปน พาล และทรงแสดงวัฏฏะ โดยมอี วิชชาเปนประธาน ดวยบทนว้ี า คนพาลถูกอวชิ ชาหุมหอ แลว ยอ มสาํ คญั กายนั้นโดยความเปน ของสวยงาม ในกายนี้ อนั สญู จากความเทยี่ ง ความสุขและตวั ตนและแมอันไมสวยงามโดยสวนเดยี วอยา งนี้แลว บัดน้ี เพอื่ ทรงแสดงความประพฤติของบัณฑติ ในกายน้ัน และววิ ัฏฏะ โดยมปี ริญญาเปนประธาน จึงทรงปรารภวา สตุ ฺวาน พทุ ธฺ วจน ดงั น้.ี บรรดาบทเหลานั้น บทวา สตุ วฺ าน ไดแก พิจารณาโดยแยบคาย.บทวา พุทฺธวจน ไดแ ก พุทธพจนอนั ทําการกาํ หนดรูกาย. บทวา ภกิ ขฺ ุไดแ ก พระเสกขะ หรอื ปถุ ชุ น. บทวา ปฺาณวา ความวา วิปสสนา เรียกวา ปญญาณผูประกอบพรอมดวยวิปส สนานน้ั เพราะความเปนผูเปน ไปแลว ในประการมีความไมเ ทย่ี งเปน ตน . บทวา อิธ คือ ในศาสนา. บทวา โส โข น ปรชิ านาติความวา ภิกษนุ นั้ กําหนดรกู ายนี้ ดวยปรญิ ญา ๓. อยางไร คือ เหมอื นพอคา

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 496ผูฉ ลาดแลดูสินคาวา น้ีและนแ้ี ลว เปรยี บเทียบวา เมอื่ ซือ้ สนิ คาดวยทรัพยเทานีแ้ ล จักมกี ําไรเทา น้ี ครั้นทาํ อยางนนั้ แลว ถอื เอาตน ทุนกบั กาํ ไรอกีท้ิงสินคา น้ัน ชอื่ ฉนั ใด ภิกษกุ ฉ็ ันนัน้ เหมือนกัน เมอื่ แลดูดว ยจกั ษุคือญาณวาสว นเหลานม้ี ีกระดกู และเอน็ เปน ตน และมีผม ขนเปน ตน ช่ือวา กาํ หนดรูดวยญาตปริญญา เมอื่ เทียบเคียงวา ธรรมเหลา นั้นไมเที่ยง เปน ทกุ ข เปนอนัตตา ช่ือวา กําหนดรดู ว ยตรี ณปริญญา คร้ันเทียบเคียงอยา งนี้แลวถงึ อยูซ่ึงอรยิ มรรค ชอ่ื วา กาํ หนดรูดว ยปหานปริญญา เพราะละฉันทราคะในกายนน้ั หรอื เมอ่ื เหน็ ดว ยอํานาจแหง อสุภะของกายท่ีมีวญิ ญาณครอง หรอืไมมวี ิญญาณครอง ชอ่ื วา กาํ หนดรูดวยญาตปริญญา เมือ่ เหน็ ดว ยอํานาจแหง ความไมเท่ยี งเปนตน ช่ือวา กําหนดรูดว ยตรี ณปริญญา คือฉนั ทราคะออกจากกายนั้น ละกายนนั้ ดว ยอรหตั มรรค ชื่อวา กาํ หนดรดู วยปหานปรญิ ญา. หากจะมคี ําถามวา เพราะเหตไุ ร ภกิ ษนุ น้ั ยอ มกําหนดรอู ยางน.้ี ตอบวา เพราะยอ มเห็นตามความเปน จรงิ อธิบายวา เพราะเหน็ความจรงิ ก็เมื่อประโยชนน ่ันสาํ เรจ็ ดวยบทวา ปฺาณวา เปนตนน่นั เทียวเพราะปญ ญาณวตั รยอ มมแี กภ ิกษนุ ั้น เพราะฟงพทุ ธพจน และเพราะกายนี้แมป รากฏแกช นทง้ั ปวง อันภิกษไุ มฟ งพทุ ธพจนแลว กไ็ มอ าจเพอื่ กําหนดรูไ ดเพราะฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจา เพอ่ื ทรงแสดงเหตุแหง ญาณของภิกษนุ ั้นและความที่ภิกษนุ น้ั เปนผไู มส ามารถเพ่ือเหน็ รปู ภายนอกทัง้ หลายจากกายนี้ อยางน้ีแลว จึงตรัสวา สุตฺวาน พุทฺธวจน ดงั น้.ี พระผมู พี ระภาคเจา ทรงปรารภนันทภิกษณุ ี และภกิ ษุผูมจี ิตวิปลาสแลวน้ัน จึงตรสั วา ภิกขฺ ุ โดยยังเทศนาใหเ ปน ไป โดยเปนบรษิ ทั ท่เี ลิศและโดยแสดงภกิ ษุภาวะ แกชนท้งั หลายผถู งึ การปฏิบตั ใิ นกายนน้ั .

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 497 บดั น้ี เพื่อจะทรงแสดงประการที่ภิกษุเมอ่ื เหน็ อยู ยอมเห็นตามความเปน จริง ในบาทคาถานวี้ า ยถาภตู ฺหิ ปสฺสติ แปลวา เพราะเห็นตามความเปนจรงิ ดังนี้ จึงตรัสวา สรรี ะท่มี วี ญิ ญาณนี้ เหมือนสรรี ะทตี่ ายแลวนั่น สรีระทตี่ ายแลว นน้ั เหมอื นสรรี ะท่มี วี ิญญาณน้ี ดงั น.ี้ คาถานั้นมีเนอ้ื ความวา สรรี ะนม้ี วี ญิ ญาณครองและเปนของอนั ไมสวยงาม ยอมเดนิ ยอมยืน ยอ มน่ัง ยอมนอน เพราะยงั ไมปราศจากอายุไออุน และวิญญาณ ฉันใด สรรี ะแมไ มมีวญิ ญาณครองนัน่ นอนอยใู นปาชาในบดั นี้ ในกาลกอนก็มีแลว เพราะไมปราศจากธรรมเหลา น้ัน ก็ฉันน้นั . อนึง่ สรรี ะของคนทต่ี ายแลว ในบดั นน้ี ั่น ยอ มไมเดิน ยอ มไมยืนยอมไมนัง่ ยอมไมสาํ เรจ็ การนอน เพราะปราศจากธรรมเหลา นัน้ ฉนั ใดสรีระแมม วี ิญญาณครองน้ี เพราะปราศจากธรรมเหลา นนั้ จักเปนฉันน้ัน. อนึ่ง สรรี ะมวี ญิ ญาณครองนี้ ยังไมนอนตายในปาชา ในบดั นี้ ยังไมถึงความเปน ของทพี่ องขึ้นเปน ตน ฉันใด แมส รรี ะของคนตายแลวในบดั น้นี ้นัในกาลกอ นกไ็ ดเปนแลว ฉนั นน้ั . อนงึ่ สรีระท่ีตายแลว ไมม ีวญิ ญาณครอง และเปน ของไมสวยงามนอนอยูในปา ชา และถงึ ความเปน ของพองข้ึนเปน ตน ฉนั ใด สรรี ะแมม ีวิญญาณครองน้ี ก็จกั ถงึ ฉนั นนั้ . ในบทเหลานน้ั บทวา ยถา อิท ตถา เอต ความวา ภิกษเุ มอ่ืทําความทีส่ รีระทีต่ ายแลว เปนของเสมอกบั ตน ยอ มละโทษในภายนอกได.บทวา ยถา เอต ตถา อทิ  ความวา เมื่อทําความท่ีตนเปน ผูเสมอดว ยสรีระท่ี

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 498ตายแลว ยอ มละความกําหนัดในภายในได คือ เมอ่ื รูช ัดซง่ึ อาการทีท่ ําสรรี ะทงั้ สองใหเสมอกัน ยอมละโมหะในสรีระท้ังสองนั้นได. พระผูมีพระภาคเจาทรงชาํ ระการละอกุศลมูลในสว นเบื้องตนน่ันแลดวยการเหน็ ตามความเปน จรงิ อยา งนีแ้ ลว เพราะภิกษปุ ฏิบัติในการละอกศุ ลมูลนน้ั ยอ มเปนผูส ามารถ เพือ่ บรรลอุ รหตั มรรคสํารอกฉันทราคะทงั้ ปวง โดยลาํ ดับ เพราะฉะนั้น จึงตรสั วา ภิกษพุ งึ คลายความพอใจในกายเสียทง้ั ภายในและภายนอก ดังน้ี บาลีท่เี หลอื วา เอว ปฏปิ นฺโน ภิกฺขุ อนุปุพเฺ พนแปลวา ภิกษปุ ฏิบตั ิแลว อยา งนี้ ยอ มสาํ รอกความพอใจในกายเสียทงั้ ภายในและภายนอก โดยลาํ ดับ ดังน้ี. คร้ันทรงแสดงเสกขภูมิอยางนี้แลว บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงอเสกขภูมิจงึ ตรัสวา ฉนฺทราควริ ตฺโต โส ภิกษนุ ัน้ ไมย ินดแี ลว ดว ยฉนั ทราคะ. คาถานนั้ มีเนื้อความวา ภิกษุนั้นมคี วามรูช ดั ดวยอรหตั มรรคญาณ ยอ มบรรลผุ ลในลาํ ดับแหง มรรค ในกาลนน้ั เรยี กวา ไมย นิ ดีแลว ดว ยฉนั ทราคะเพราะความทีฉ่ ันทราคะอนั ภิกษนุ น้ั ละแลว โดยประการท้ังปวง และเรียกวา ไดบรรลบุ ททีท่ รงพรรณนาแลว วา ชือ่ วา อมตะ เพราะไมม คี วามตาย หรอืเพราะอรรถวา ประณตี ชื่อวา สันติ เพราะสงบจากสงั ขารท้ังปวง ช่อื วานิพพาน เพราะไมมเี คร่ืองรอ ยรัด คอื ตัณหา ชือ่ วา ไมจุติ เพราะไมมีการเคล่อื นไป. อนึ่ง ภิกษุนนั้ มคี วามรูชัดดวยอรหัตมรรคญาณ ดํารงอยใู นผล ในลาํ ดบั แหงมรรค พงึ ทราบวา ไมยินดแี ลวดว ยฉนั ทราคะ และไดบ รรลุบทมี

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 499ประการที่กลา วแลว ดว ยบทวา อชฌฺ คา นนั้ ทรงแสดงวา ฉนั ทราคะนี้อันภกิ ษุนั้นละไดแลว และนิพพานนอ้ี ันภิกษนุ ีไ้ ดแ ลว ดังน.ี้ คร้ันตรัสอสุภกรรมฐานพรอ มกับความสําเรจ็ ดวยอาํ นาจแหงกายมีวิญญาณครอง และไมมวี ญิ ญาณครองอยางนีแ้ ลว เมอ่ื จะทรงตเิ ตียนการอยูดวยความประมาท ซงึ่ ทําอนั ตรายแกอ านสิ งสมากมายอยา งนี้ ดว ยการทรงแสดงโดยยอ อีก จึงตรสั สองคาถาวา ทปิ าทโกย . ในคาถานั้น กายทง้ั หลายแมไ มม ีเทา เปน ตน เปนของไมสะอาดทีเดียวแมกจ็ รงิ ถึงอยา งนนั้ ในคาถานี้ ดว ยอํานาจแหง การกระทาํ ยิ่งหรอื ดวยอาํ นาจแหง การกาํ หนดอยา งสูง หรือเพราะกายเหลา อ่ืนแมเ ปนของไมส ะอาด แตบ คุ คลปรงุ ดว ยรสเค็มและรสเปรีย้ วเปน ตนแลว นาํ ไปใชเปน อาหารของมนุษยทั้ง-หลายได สวนกายของมนษุ ยห าเปน เชน นน้ั ไม เพราะฉะนน้ั แมเ มอื่ จะทรงแสดงมนุษยซงึ่ มภี าวะอนั ไมส ะอาดยง่ิ นัก จงึ ตรัสวา ทิปาทโก มีสองเทาดงั นี้. บทวา อย ไดแก ทรงแสดงกายมนุษย. บทวา ทคุ ฺคนฺโธ ความวากายนมี้ กี ลิน่ เหม็น อนั บคุ คลปรงุ แตง ดวยดอกไมและของหอมทงั้ หลาย บรหิ ารอยู. บทวา นานากุณปรปิ ูโร ไดแก เต็มไปดวยซากศพอเนกประการ มีเสน ผมเปนตน. บทวา วสิ สฺ วนฺโต ตโต ตโต ความวา หล่ังออกอยซู ึ่งของไมสะอาดท้งั หลายมนี าํ้ ลายและน้ํามกู เปน ตน จากทวารทง้ั เกา และคราบเหงอื่ จากขุมขนท้ังหลาย กระทําความพยายามของคนทั้งหลาย แมจะพยายามเพื่อปกปด

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 500ดว ยดอกไมแ ละของหอมเปนตน ใหไ รผล. บดั นที้ า นจงดูในกายนนั้ วา ดว ยกายเชนน้ี คนพาลไร ๆ จะเปนชายก็ตาม เปนหญงิ กต็ าม พึงสําคญั เพือ่ ยกยอ งตัวเอง คือ พึงสาํ คญั ยกยอ งตวั เองดวยความสาํ คญั คอื ตณั หา ทิฏฐิ และมานะโดยนัยมีอาทวิ า เรา วา ของเรา หรอื วา เท่ยี ง หรอื ตง้ั ตนไวใ นฐานะสงูพงึ ดูหม่ินผูอื่นดวยชาติเปน ตน จกั มีอะไรนอกจากการไมเ ห็นอรยิ สัจจะ คือเวน จากความไมเหน็ อรยิ สจั จะดว ยอรยิ มรรคแลว จกั มอี ะไรอืน่ คือพงึ มีแตการยกยอ งตนและการดหู มิ่นผูอ ่นื อยา งน้ี สาํ หรับผูน ั้น. ในเวลาจบเทศนา นางนันทาภิกษุณไี ดถงึ ความสังเวชวา โอหนอ !เราชา งพาลเสยี กระไร ที่ปรารภเราเทา น้นั ไมไ ปสทู ี่บํารุงของพระผูมพี ระภาค-เจา ผทู รงยงั พระธรรมเทศนาอยางตา ง ๆ ใหเ ปน ไปอยา งน้ี และสงั เวชอยา งน้ีแลว พจิ ารณาพระธรรมเทศนานน้ั น่นั เทียวไดกระทําใหแจง ซ่งึ อรหัต ในภายใน ๒-๓ วนั ดว ยกรรมฐานนนั้ น่ันแล. ไดย นิ วา แมใ นฐานะทส่ี อง ในเวลาจบเทศนา สตั ว ๘๔,๐๐๐ ไดธรรมาภิสมัย สิริมาเทพกัญญาไดบ รรลุอนาคามผิ ล สว นภกิ ษุนน้ั ดาํ รงอยูในโสดาปตตผิ ล แล. จบอรรถกถาวชิ ยสตู ร* แหง อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ช่อื ปรมัตถโชตกิ า* ปรุ าณโปฏ ก. ย.ุ กายวิจฉฺ นทฺ นิกสุตตฺ วณณฺ นา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook