พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 409วนั น้ีเปนอโุ บสถท่ี ๑๕ ไมใ ชเ ปน อโุ บสถที่ ๑๔ ไมใ ชอ โุ บสถสามัคคี หรือเพราะอโุ บสถศัพทย อมเปนไปในอรรถมากอยา งมปี าฏโิ มกขทุ เทส องค ๘อปุ วาสะ บญั ญตั ิ และวันเปน ตน จรงิ อยู อโุ บสถศัพท เปน ไปในปาฏโิ มก-ขทุ เทส ในประโยคเปน ตนวา อายามาวุโส กปปฺ น อุโปสถ คมสิ ฺสามมาเถิด กปั ปน ะผูมอี ายุ พวกเราจักไปสูอโุ บสถ. เปน ไปในองค ๘ มเี จตนางดเวนจากปาณาติบาต เปน ตน ในประโยคมีอาทิวา เอว อฏิ งฺคสมนนฺ าคโตโข วิสาเข อุโปสาถ อุปวฏุ โ๑ ดกู อนวสิ าขะ อุโบสถอันประกอบดว ยองคแปดแล อนั ทา นเจา จําแลว หรอื . เปนไปในอุปวาสะ ในประโยคมอี าทวิ าสทุ ฺธสสฺ เว สทา ผคฺคุ สุทฺธสสฺ โุ ปสโถ๒ ผคั คุ ฤกษยอมบรสิ ทุ ธส์ิ าํ หรับทา นผูบรสิ ุทธ์ิแล ในกาลทกุ เม่ือ อโุ บสถยอมบรสิ ทุ ธิ์สําหรับผูบรสิ ุทธิ์. เปนไปในบัญญัติ ในประโยคมีอาทิวา อโุ ปสโถ นาม นาคราชา๓ พญานาคชือ่ อุโบสถ. เปนไปในวัน ในประโยคมอี าทิวา ตทหโุ ปสโถ ปณณฺ รเสสสี นฺหาตสฺส๔ พระเจามหาสุทสั สนะทรงสนานพระเศยี ร ในวันอโุ บสถน้นัที่ ๑๕ เพราะเหตนุ นั้ สาตาคิรยักษหา มเนอ้ื ความทีเ่ หลือลง กาํ หนดวันเพ็ญที่ ๑๕ ตํ่า แหงเดอื นอาสาฬหะเทานัน้ จงึ กลาววา วันน้เี ปนอุโบสถท่ี ๑๕ดังน้ี. อธิบายวา เมอื่ นับวนั อยา งนว้ี า วนั ที่สองเปน วนั ปาฏบิ ท วันนี้เปนอุโบสถท่ี ๑๕. ช่อื วา ราตรอี นั เปน ทพิ ย เพราะอรรถวา มคี วามเปนทิพย สิง่ อันเปน ทิพยทงั้ หลายมอี ยูใ นราตรีนี้ เพราะเหตนุ น้ั ราตรีน้นั จึงชื่อวา เปนทิพย๑. อ . อฏ ฐก. ๑๑๔ ๒. ม. ม.ู วัตถปู มสตุ ฺต. ๖๕. ๓. ที.่ ม. มหาสทุ สฺสนสตุ ตฺ . ๒๑๕๔. ท.ี ม. มหาสุทัสสนสตุ ฺต. ๒๑๓.
พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 410ราตรีมีรูปเหลานั้นเปน เชน ไร จริงอยู ในราตรีนน้ั ชมพูทวีปท้งั สิน้ ประดับประ-ดาแลว ดวยแสงสวางแหง รา งกาย ผา อาภรณ และวิมานของเทวดาทงั้ หลายทีม่ าประชุมจากหมนื่ โลกธาตุ และแสงสวางแหง พระจันทรอ ันเวนเคร่ืองเศราหมองมีหมอกเปน ตน และตกแตงเปนพเิ ศษดว ยแสงสวา งแหงพระวรกายของพระผูมีพระภาคเจา ผเู ปนเทพวิสทุ ธ์อิ ยางย่ิง ดวยเหตุนน้ั สาตาคริ ยักษจ ึงกลาววาราตรอี นั เปน ทพิ ยป รากฏแลว. สาตาคริ ยกั ษเม่อื จะยงั ความเลื่อมใสแหงจิตใหเกดิ แกสหาย แมดวยการอา งถึงการพรรณนาคุณแหง ราตรอี ยา งน้ีแลว กลาวถึงการเสดจ็ อุบัติแหงพระพุทธเจา จงึ กลา ววา มาเราท้ังสองจงไปเฝา พระโคดม ผเู ปน พระศาสดามีพระนามอนั ไมทรามเถิด ดงั น.้ี ในคาถาน้ัน ชอ่ื วา มีพระนามอนั ไมทราม เพราะอรรถวา พระองคทรงมพี ระนาม ดวยพระคุณท้ังหลายอนั ไมทราม คือ ไมช่ัว บริบรู ณดวยอาการทง้ั ปวง จรงิ อยางนั้น พระองคท รงมพี ระนาม ดวยพระคุณทั้งหลายอันไมทรามวา พุทโธ โดยนัยมอี าทวิ า ช่อื วา พุทธะ เพราะอรรถวา ผูตรสั รูสจั จะทง้ั หลาย ชอื่ วา พุทธะ เพราะอรรถวา ผูยังประชาชนใหตรสั รู และทรงมีพระนาม ดว ยพระคุณอนั ไมทราม โดยนยั มีอาทิวา ช่อื วา ภควา เพราะอรรถวา ทรงหกั ราคะแลว ช่ือวา ภควา เพราะอรรถวา ทรงหกั โทสะแลว.ในพระคณุ ท้ังหลายมอี าทิวา เปนพระอรหันตตรัสรชู อบเอง ถงึ พรอมดว ยวิชชาและจรณะ ก็นัยนี้. หรอื พระองคท รงพรํ่าสอนเทวดาและมนษุ ยท ้ังหลาย ในประโยชนท้ังหลายมที ิฏฐธิ รรมกิ ประโยชนเ ปน ตนวา จงละสิง่ นี้ จงสมาทานสิ่งนี้
พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 411ประพฤติ เพราะฉะนั้น จึงทรงเปน พระศาสดา อีกอยางหนงึ่ ผเู ปนพระศาสดาแมโดยนยั ท่กี ลาวแลว ในนเิ ทศมอี าทวิ า เปนครู เปน ผูม ีโชค เปน ผูนาํ หมูเหมือนผูนํากองเกวียน นาํ หมูใ หข า มทางกนั ดาร ฉะนนั้ . ผูเปนพระศาสดามพี ระนามอันไมทรามนั้น. ศพั ทวา หนทฺ เปน นิบาตลงในอรรถวา เช้ือเชญิ . บทวา ปสสฺ ามเปนการกลา วถึงปจ จุบันกาล สงเคราะหตนเขากบั เหมวตยักษน นั้ . บทวาโคตม ไดแก พระโคดมโคตร. มอี ธบิ ายอยางไร มีอธิบายวา ทา นอยาทาํ ความสงสัยวา เปน พระศาสดา หรอื ไมใชพระศาสดา จงเปน ผมู คี วามชํานาญโดยสวนเดียว มาเถิด เราทั้งสองจงไปเฝาพระโคดม. เม่อื สาตาคิรยักษก ลาวอยา งนี้แลว เหมวตยักษคดิ วา สาตาคริ ะนีเ้ มื่อกลาววา ผูเ ปนพระศาสดามีพระนามอนั ไมท ราม ช่ือวา ประกาศความที่พระโคดมนั้นเปน สัพพญั ู และสพั พญั ูท้งั หลายหาไดยากในโลก โลกถกู ผูปฏญิ ญาวาเปน สพั พญั เู ชน กับปูรณะเปน ตน นน่ั เทยี ว ทําลายแลว ก็ถาพระ-โคดมนัน้ เปนสพั พัญูไซร จักเปน ผถู งึ ลกั ษณะของผูคงท่ีแนแท ดว ยเหตุน้ันเราจกั พิจารณาพระโคดมนัน้ อยางนี้ เมอื่ จะถามถึงลักษณะผูคงท่แี ล จงึ กลา ววากจจฺ ิ มโน ดังนี้. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา กจจฺ ิ เปน คําถาม. บทวา มโน ไดแ กจ ิต.บทวา สปุ ณิหิโต ความวา ตง้ั ม่ันแลวดว ยดี คอื ไมหวน่ั ไหว ไดแกไมค ลอนแคลนในสัตวทั้งปวง คอื ในภูตทั้งปวง. บทวา ตาทิโน ไดแกเปนผูถ งึ ลักษณะผคู งทีน่ ัน่ เทยี ว. หรอื คาถาน้ีเปน คําถามเทา นนั้ วา พระศาสดาของทา นนน้ั เปน ผูคงทใ่ี นสัตวท ง้ั ปวงแลหรือ.
พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 412 บทวา อฏิ เ อนิฏเ จ ความวา ในอารมณเ ห็นปานน้ัน.บทวา สงกฺ ปฺปา ไดแก วิตก. บทวา วสกี ตา ไดแ ก ไปสอู าํ นาจ. มีอธบิ ายอยา งไร มอี ธบิ ายวา ทา นกลา วถงึ พระศาสดาใด พระทยั ของพระศาสดาของทา นน้นั ผถู ึงลักษณะของผคู งทีต่ ้งั ไวด แี ลว ในสตั วท งั้ ปวงแลหรือ หรอื วาปรากฏเหมอื นตัง้ ไวด ีแลว ตราบเทา ท่ยี งั ไมไดปจจยั อนั เปน เคร่ืองใหหว่ันไหวหรอื พระศาสดาของทา นน้นั เปน ผูค งท่ีดว ยพระทัยสมํา่ เสมอในสตั วท ง้ั ปวงแลหรอื กแ็ ล ความดํารดิ ว ยอํานาจแหง ราคะและโทสะเหลา ใด พงึ เกดิ ขึน้ ในอารมณทัง้ หลายท่ีนาปรารถนาและไมนา ปรารถนา พระศาสดาของทานน้นั ทรงกระทําความดาํ ริเหลานน้ั ใหอยูในอาํ นาจแลวหรอื หรือวา ยอมคลอ ยตามอาํ -นาจแหงความดํารเิ หลาน้นั ในกาลบางคราว. แตนน้ั สาตาคิรยกั ษยอมรับรสู พั พัญูคณุ ทงั้ หมด เพราะความที่พระผูมพี ระภาคเจา ทรงเปนผูช ํานาญพเิ ศษในความเปนสพั พญั ู จึงกลาววาก็พระองคทรงต้ังพระทัยไวดีแลว เปน ตน . ในบทเหลา นัน้ บทวา สปุ ณิหโิ ต ความวา ทรงต้งั ไวดแี ลว คือเสมอดวยแผนดนิ เพราะอรรถวาไมย ินดียนิ รา ย เสมอดว ยภูเขาสเิ นรุ เพราะอรรถวา ไมหว่นั ไหวโดยตงั้ มัน่ ดแี ลว เสมอดวยเสาเข่อื น เพราะอรรถวามารสี่อยางและคณุ แหงปรวาทไี มพงึ ใหหวน่ั ไหว. ขอท่พี ระทัยของพระผมู ีพระภาคเจาผูด าํ รงอยูในความเปนพระสัพพัญูเพราะพระองคทรงถึงพรอ มดว ยอาการท้งั ปวงตง้ั มน่ั ดีแลว ไมพึงหว่นั ไหวในบัดน้ีน่ัน ไมน าอัศจรรย แตท นี่ า อัศจรรยก ค็ ือ พระองคแ มเ ปนสัตวดริ จั ฉาน
พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 413ในกาลมรี าคะเปน ตน เกิดในตระกลู พญาชา งฉัททนั ตถ ูกแทงดว ยลกู ศรอนั อาบดวยยาพิษ กไ็ มห วัน่ ไหว ไมประทุษรา ยในผฆู านั้น ทง้ั ใหจ ําเริญงาทง้ั หลายของตนใหแ กผ ฆู านัน้ ดว ย อนึง่ พระองคค ราวเปน มหากป แมถกู ทบุ ศรี ษะดวยศิลากอนใหญ กย็ ังบอกหนทางใหแกผูทบุ น้นั เอง อนึ่ง พระองคในคราวเปน วิธุรบัณฑติ แมถ กู จบั ทเ่ี ทาท้งั สองเหวยี่ งลงเหวกาฬบรรพต ซง่ึ ลกึ ๖๐โยชน กย็ งั แสดงธรรมเพ่ือประโยชนแกยักษน น้ั อีก เพราะเหตนุ ัน้ สาตาคริ -ยกั ษกลาวชอบทเี ดียววา ก็พระองคท รงต้ังพระทัยไวด แี ลว . บทวา สพพฺ ภเู ตสุ ตาทิโน ความวา พระทัยของพระองคผ ทู รงถึงลักษณะของผคู งที่นน่ั เทียว ตงั้ มั่นดีแลว ในสตั วท้ังปวง ไมใ ชป รากฏราวกะวา ตง้ั ม่นั ตลอดเวลาท่ียงั ไมไ ดป จ จัย. ในคาถานัน้ นกั ศกึ ษาพึงทราบลักษณะของผคู งท่ขี องพระผมู พี ระภาคเจา โดยอาการ ๕ อยาง ดังทานกลา วไวว าพระผมู ีพระภาคเจาเปนผคู งท่โี ดยอาการ ๕ อยาง คือ คงทีใ่ นอฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณ ๑ คงทเ่ี พราะอรรถวา ทรงเสียสละ ๑ คงท่ีเพราะอรรถวาทรงพนแลว ๑ คงท่ีเพราะอรรถวา ทรงขา มแลว ๑ คงทีเ่ พราะทรงแสดงขยายอาการน้นั ๑ พระผูมีพระภาคเจาทรงคงทใ่ี นอิฏฐารมณแ ละอนฏิ ฐารมณอ ยา งไรคําวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงคงที่ในลาภบาง ดังนเี้ ปนตน ทั้งหมด ผูศึกษาพึงถือเอาโดยนัยท่กี ลาวไวแลวในนิทเทส.* กธ็ รรมทงั้ หลายมลี าภเปนตน ผศู ึกษาพึงถือเอาโดยนัยอนั ใหพิสดารแลว ในมหาอฏั ฐกถาแหง นิทเทสนนั้ หรือ คาถานี้เปน คําถามเทา น้นั วาพระศาสดาของทานนน้ั เปน ผคู งท่ใี นสตั วท ง้ั ปวงหรอื ไม ในวิกปั นี้ มีอธิบาย* ข.ุ มหานทิ ฺเทส. ๑๐๘.
พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 414วา พระศาสดาของเราทัง้ หลาย ชอื่ วา เปนผคู งท่ี เพราะพระองคท รงมีพระทยั เสมอในสตั วทัง้ ปวง. จริงอยู พระผมู ีพระภาคเจานี้ ทรงมพี ระทัยเสมอในสัตวท ง้ั ปวงเพราะทรงใครใ นการนาํ สขุ เขา มา และเพราะทรงใครเพ่อื นาํ ทุกขอ อกไป คือในพระองคทรงมพี ระทัยเชนใด ในสัตวเ หลา อ่นื กเ็ ชน นัน้ ในพระมารดามหามายาเชน ใด ในนางจญิ จมาณวิกากเ็ ชน นนั้ ในพระบดิ าสุทโธทนะเชนใดในพระเจา สุปปพทุ ธะก็เชนนน้ั ในพระราหุลโอรสเชนใด ในผูฆา ทง้ั หลายมีพระเทวทตั ชา งธนบาล และอังคุลิมาลเปนตน กเ็ ชน น้ัน ทรงเปน ผูคงทีแ่ มในโลกท้งั เทวโลก เพราะเหตนุ ั้น สาตาคิรยักษกลาวชอบทีเดียววา พระองคเปน ผูค งทใี่ นสัตวทัง้ ปวง ดังน้ี. ก็เนอื้ ความในคาถานว้ี า อโถ อิฏเ อนฏิ เ จ ผูศกึ ษาพึงเหน็อยางน้ี อารมณอ ยา งใดอยางหนงึ่ จะนาปรารถนาก็ตาม ไมนา ปรารถนากต็ ามความดาํ ริดว ยอาํ นาจแหง ราคะและโทสะเหลา ใด จะพงึ เกิดข้ึนในอารมณน น้ัโดยประการท้งั ปวง พระองคทรงกระทาํ ความดํารเิ หลาน้ันใหอ ยใู นอาํ นาจแลวเพราะความทีก่ เิ ลสทั้งหลายมีราคะเปน ตน พระองคทรงละไดแ ลว ดว ยมรรคอนัยอดเยีย่ ม ยอมไมเ ปน ไปในอาํ นาจของความดาํ ริเหลาน้นั ในกาลไหน ๆ จรงิ อยูพระผูมพี ระภาคเจาพระองคนนั้ ทรงมีพระดาํ ริไมข ุนมัว มพี ระทยั อันพนดีแลวมีพระปญญาอนั พนดแี ลว ก็ในคาถานี้ สาตาคิรยักษก ลาวความไมม อี โยนโิ ส-มนสกิ าร กเ็ พราะพระผูมีพระภาคเจาทรงมพี ระทยั ตง้ั ไวดีแลว พระองคท รงเปนผูคงทใ่ี นสตั วท ัง้ ปวง อิฏฐารมณแ ละอนฏิ ฐารมณทั้งหลาย จงพงึ มีใน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 415อารมณใด อารมณน ัน้ ทานกลาวเปน ๒ อยา ง โดยแยกเปน สตั วแ ละสงั ขารกลา วถงึ การละกิเลส โดยความไมม ีมนสกิ ารน้นั ในอารมณนน้ั เพราะพระองคทรงชาํ นาญในความดาํ ริ กลาวถงึ ความบรสิ ุทธท์ิ างมโนสมาจาร เพราะพระองคทรงมพี ระทยั ต้ังไวด แี ลว และกลาวถึงความบรสิ ุทธ์ิทางกายสมาจาร เพราะพระ-องคทรงเปน ผคู งทใ่ี นสัตวท ง้ั ปวง และกลา วถงึ ความบริสุทธ์ทิ างวจีสมาจาร ดวยพระวาจา เพราะพระองคทรงมีวติ กเปน มูล โดยความทพ่ี ระองคทรงชํานาญในความดาํ ริ อนึ่ง กลาวถงึ ความไมมโี ทษทงั้ ปวงมโี ลภะเปนตน เพราะพระ-องคทรงมีพระทยั ตงั้ ไวดแี ลว กลา วถึงความเกดิ ข้นึ แหงคุณมีเมตตาเปนตนเพราะพระองคทรงเปนผูคงทใ่ี นสัตวท้งั ปวง กลาวถึงฤทธข์ิ องพระอริยะ อนัตา งโดยความเปนผมู คี วามสาํ คญั ในของปฏกิ ลู วาไมปฏิกลู เปนตน โดยความท่ีพระองคท รงชาํ นาญในความดาํ ริ และความที่พระองคทรงเปนสพั พญั ู ผูศกึ ษาพงึ ทราบวา สาตาคิรยกั ษก ลา วแลว ดวยฤทธิ์อันเปนอรยิ ะนน้ั . เหมวตยักษถ ามถงึ ความทพี่ ระองคทรงเปน ผูคงทด่ี ว ยอํานาจแหงมโน-ทวารนนั่ เทยี วในบทกอนอยางนีแ้ ลว และพจิ ารณาถึงพระองคผูทรงรเู ฉพาะซงึ่ความเปนผคู งทน่ี ั้น บัดนี้ เพือ่ กระทาํ ใหม น่ั จึงถามถงึ ความบรสิ ทุ ธทิ์ างกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร แมด ว ยอาํ นาจแหง ไตรทวาร หรอื โดยสังเขปในบทกอ นและพจิ ารณาถงึ พระองคผ ทู รงรเู ฉพาะซึ่งความบรสิ ทุ ธนิ์ ้ันเม่ือจะถามแมโดยพสิ ดาร เพ่ือทําใหม น่ั คงนัน้ แล จงึ กลาว กจจฺ ิ อทินฺน . ในคาถานั้น เหมวตยักษถามถึงเจตนางดเวน จากถอื เอาของทีค่ นอ่ืนไมไดใ หก อ น เพอ่ื ประโยชนแ กความสะดวกในการผูกคาถา.
พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 416 บทวา อารา ปมาทมฺหา ความวา เหมวตยักษถ ามถงึ เจตนางด-เวน จากอพรหมจรรย โดยความเปนผอู ยหู า งไกลจากการปลอยจิตในกามคุณทั้งหา หรอื สวดกันวา อารา ปมทมฺหา ดังนกี้ ็มี มอี ธบิ ายวา หา งไกลจากมาตุคาม. ก็เหมวตยกั ษถ ามถงึ ความทีพ่ ระองคท รงมกี าํ ลังในการงดเวน จากกาย-ทจุ รติ ๓ อยางนนั้ นัน่ แล ดว ยบทนี้วา ฌาน น ริจฺ ติ ยอมไมทรงละท้ิงฌานแลหรือ เพราะวิรัติของผปู ระกอบดว ยฌานมกี ําลังแล. ลําดบั นนั้ สาตาคิรยักษ เพราะพระผูม ีพระภาคเจา ทรงงดเวน จากอทนิ นาทานเปน ตน ในปจ จบุ นั อยางเดียวกห็ าไม แมในอดตี กาล ก็ทรงงดเวนจากอทินนาทานเปน ตน ตลอดกาลนาน จงึ ทรงไดรับมหาปรุ ิสลกั ษณะนั้น ๆดว ยอานุภาพแหงวริ ตั นิ ั้นนั่นเทยี ว และโลกพรอ มท้ังเทวโลก กลาวสรรเสริญพระองคโ ดยนัยวา พระสมณโคดมทรงงดเวน จากอทนิ นาทาน เปนตน เพราะฉะนั้น เม่อื บนั ลอื สีหนาท ดวยวาจาอันสละสลวย จึงกลา ววา พระองคไ มถือเอาสิ่งของท่ีเจาของเขาไมไดใ หดังน้ี บทนนั้ โดยอรรถปรากฏชดั แลวแล.ในบาทท่ี ๓ แหงคาถาแมน ี้ บาลีมี ๒ อยา งคอื ปมาทนฺหา ปมทมหฺ าในบาทที่ ๔ เทานนั้ ผูศกึ ษาทราบเน้อื ความวา บทวา ฌาน น รจฺ ติความวา พระองคย อ มไมทรงทําฌานใหวา ง คอื สญู ไดแกไมท รงสละ. เหมวตยกั ษฟ ง ความบรสิ ทุ ธิใ์ นกายทวารอยางน้ีแลว บดั น้ี เม่อื จะถามถงึ ความบริสทุ ธ์ิในวจที วาร จึงกลา ววา กจฺจิ มสุ า น ภณติ แปลวาพระโคดมไมต รัสดําเทจ็ แลหรือ.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 417 ในคาถาน้ัน ชอื่ วา ขีณะ เพราะอรรถวา ยอ มสิ้นไป อธิบายวายอมเบียดเบยี น ยอ มบีบคั้น. ทางแหงวาจา ชอื่ วา พยปถะ ทางแหงวาจาของบุคคลนั้นสนิ้ แลว เพราะเหตนุ ั้น บคุ คลนั้น ช่ือวา ขณี พยปถะ ผูมีทางแหง วาจาสิน้ แลว เหมวตยกั ษปฏิเสธทางแหงวาจานน้ั ดวย น อกั ษร จงึถามวา มีพระวาจาไมสิน้ แลว แลหรอื อธบิ ายวามพี ระวาจาหยาบคาย บาลีวานาขีณพยฺ ปโถ อธบิ ายวา มีพระวาจาไมสน้ิ แลว จริงอยู คาํ หยาบคายสิน้ไปในหทยั ทงั้ หลายของคนเหลาอนื่ ดํารงอยู มอี ธิบายวา พระโคดมนนั้ ไมม ีพระวาจาคงทแ่ี ลหรือ. บทวา วิภตู ิ ไดแ ก ความพนิ าศ. คําใดยอ มประกาศหรอื ยอมกระทําความพินาศ เพราะเหตนุ ้ัน คํา นนั้ ชอื่ วา วภิ ตู กิ ะ คาํ ที่ทาํ ความพนิ าศ วภิ ตู กิ ะน่นั เทยี ว ชอื่ วา เวภูตกิ ะ เรยี กวา เวภตู ิย ดงั น้ีบา ง คาํ วาเวภูตยิ นน้ั เปนชอ่ื แหง คาํ สอเสยี ด จริงอยู คาํ สอเสียดนนั้ ยอมทาํ ความพินาศแกส ัตวท้งั หลาย โดยการทาํ ลายกันและกนั จากกันและกนั . บทท่เี หลือมอี รรถตื้นท้งั น้ัน. ลาํ ดับนั้น สาตาคริ ยกั ษ เพราะพระผูมีพระภาคเจาทรงงดเวน จากมุสาวาทเปนตน ในปจ จุบนั อยา งเดยี วหามไิ ด แมในอดตี กาลกท็ รงงดเวน จากมสุ าวาทเปนตนตลอดกาลนาน และทรงไดมหาปุริสลักษณะน้นั ๆ ดว ยอานุ-ภาพแหงวิรตั ินั้นน่ันเทยี ว และโลกพรอ มทง้ั เทวโลก ก็กลาวสรรเสรญิ พระ-โคดมนัน้ วา พระสมณโคดมทรงงดเวน จากมสุ าวาท เพราะฉะน้ัน เม่อื จะบันลือสีหนาท ดว ยวาจาอันสละสลวย จึงกลาววา พระองคไมต รสั คําเท็จ.
พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 418 ในคาถาน้นั บทวา มสุ า เปนคาํ ต้งั ใจกลาวใหค นอน่ื แตกจากกันแหง คนทั้งหลายมคี นที่เคยเห็นเปนตน พระองคไมตรัสคาํ เท็จนั้น ก็ในบาทที่ ๒ บาลวี า น ขณี พยฺ ปโถ ดวยอํานาจแหง เนอ้ื ความครง้ั ท่ี ๑ บาลีวานาขีณพฺยปโถ ดวยอํานาจแหง เนอ้ื ความครั้งท่ี ๒. ในบาทที่ ๔ ปญญาเรยี กวา มนฺตา. พระผูม พี ระภาคเจา เพราะทรงกําหนดดว ยพระปญญา จึงตรัสแตค ําท่เี ปน ประโยชนอ ยางเดียว คือ คาํ ท่ไี มป ราศจากประโยชน ไมต รัสคาํ สอเสยี ด ดว ยวา คําท่ีไรป ระโยชนมีความไมรเู ปน เบ้อื งหนา ยอมไมม แี กพระพุทธเจาทัง้ หลาย เพราะฉะน้นั จงึ กลา ววา พระองคต รัสคําที่เปน ประโยชนดว ยพระปญ ญา ดังน้.ี บททเ่ี หลอื ในคาถานีป้ รากฏชดั แลวแล. เหมวตยกั ษไดฟงแมความบริสุทธท์ิ างวจีทวารอยา งนี้แลว บดั น้ี เมือ่ จะถามถงึ ความบรสิ ุทธิ์ทางมโนทวาร จงึ กลา ววา กจจฺ ิ น รชชฺ ติ กาเมสุพระโคดมไมทรงยนิ ดีในกามทัง้ หลายแลหรือ. ในคาถาน้นั คําวา กามา ไดแก กเิ ลสกาม วัตถกุ าม. เหมวตยักษเม่ือถามวา พระโคดมไมท รงยนิ ดีดว ยกิเลสกาม ในกามเหลา นน้ั แลหรือ ช่อื วายอ มถามถึงความทพี่ ระองคไ มท รงมอี ภิชฌาลุ เมื่อถามวา พระหฤทยั ไมข ุน มัวแลหรือ ชอ่ื วา ยอมถามถงึ ความท่ีพระองคไมท รงมพี ยาบาท หมายถงึ ความขุน มัวดว ยพยาบาท เมื่อถามวา ทรงลว งโมหะไดแ ลว แลหรอื ชอ่ื วา ยอมถามถงึ ความที่พระองคท รงมีสัมมาทฏิ ฐิ เพราะทรงกา วลว งโมหะ อันเปน เหตุใหบคุ คลผูห ลงแลว ยึดถอื มิจฉาทิฏฐิ เมื่อถามวา ทรงมพี ระจกั ษใุ นธรรมทงั้ หลายแลหรือ ช่อื วา ยอมถามถึงความที่พระองคทรงเปนพระสพั พญั ู
พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 419ดว ยอํานาจแหงญาณจกั ษอุ ันไมต ดิ ขดั ในธรรมท้ังปวง หรอื ดว ยอาํ นาจแหงจกั ษุแมท้งั หา ในธรรมทัง้ หลาย ซึ่งเปนวสิ ยั แหงจกั ษทุ ัง้ หา เพราะคิดวา พระองคไมทรงเปนพระสัพพัญู แมด ว ยความบริสุทธท์ิ างไตรทวารเทา นัน้ . ลาํ ดบั นั้น สาตาคริ ยกั ษ เพราะพระผูมพี ระภาคเจา ไมท รงบรรลุพระอรหตั เลย ก็ช่ือวา ไมท รงยินดีในกามทัง้ หลาย ไมม ีพระหฤทัยขุนมัวดว ยพยาบาท เพราะความทกี่ ามราคะและพยาบาทอนั พระองคท รงละไดแ ลวดวยอนาคามมิ รรค และชือ่ วา ทรงลวงโมหะ เพราะความทีโ่ มหะอนั ปด บังสัจจะซึง่ มีมจิ ฉาทฏิ ฐเิ ปน ปจ จัย อนั พระองคท รงละไดแ ลว ดวยโสดาปต ตมิ รรคนน่ั เทียว ทรงตรัสรูส จั จะทง้ั หลายดวยพระองคเ อง จงึ ทรงไดพ ระนามอนั มีวโิ มกขเ ปนทีส่ ดุ วา \" พทุ โธ \" และทรงไดจ ักษุท้งั หลายตามทกี่ ลา วแลว เพราะฉะนั้น เมือ่ จะปา วประกาศความบรสิ ุทธทิ์ างมโนทวาร และความเปน พระ-สพั พัญูแกเ หมวตยักษน ้ัน จงึ กลา ววา พระองคไมท รงยินดีในกามทัง้ หลาย เหมวตยักษไ ดฟ ง ความบริสุทธ์ิทางไตรทวาร และความเปนพระ-สพั พัญูของพระผมู ีพระภาคเจา อยา งนีแ้ ลว กด็ ใี จ เบิกบาน มีคลองแหงคําไมต ิดขัด ดวยปญญาอนั คลอ งแคลว ในพาหสุ จั จะ ในอดตี ชาติ ประสงคจะฟงสพั พัญคู ณุ ทั้งหลาย อันนา อศั จรรย จึงกลา ววา พระโคดมทรงถึงพรอ มแลวดว ยวชิ ชาแลหรอื . ในคาถานนั้ เหมวตยกั ษถามถงึ ทสั สนสมบตั ดิ ว ยบทนวี้ า ทรงถงึ พรอ มแลว ดวยวิชชาแลหรือ ถามถงึ คมนสมบตั ิดว ยบทนวี้ า ทรงมีจรณะบรสิ ทุ ธิ์แลหรือ กก็ ลาว จา อกั ษร เพราะทําใหเปนทีฆะในบทวา ส สุทธฺ จารโณ นี้
พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 420ดวยอํานาจแหง ฉันทลกั ษะ อธบิ ายวา ส สุทธฺ จรโณ ถามถงึ ภารบรรลุนิพพานธาตทุ ี่ ๑ ทเ่ี ขา ใจกันวา เปน การส้นิ ไปแหงอาสวะ ซึ่งจะพงึ บรรลุดว ยทัสสนสมบัติ และคมนสมบัตินนั่ ดวยบทนว้ี า อาสวะทง้ั หลายของพระองคน น้ั สิ้นไปแลว แลหรอื ถามถงึ ความทพี่ ระองคทรงสามารถบรรลุนิพพานธาตุที่ ๒ หรือความท่พี ระองคท รงทราบสมบัติ คอื ความยินดอี ยา งย่ิงดาํ รงอยูด วยปจจเวกขณญาณ ดวยบทน้วี า ภพใหมไ มมแี ลหรือ. แตน ัน้ เพราะวชิ ชานน่ั ใด อันพระองคต รัสไวแ ลวในสูตรทัง้ หลายมภี ยเภรวสตู รเปนตน โดยนัยวา พระองคทรงระลกึ ถึงปพุ เพนวิ าสหลายอยาง๑เปนตน วชิ ชา ๘ อยา งน่นั ใด ท่ีตรสั ไวในสูตรทั้งหลายมอี ัมพัฏฐสูตรเปน ตนโดยนยั วา พระอริยสาวกนน้ั เมอ่ื จิตตง้ั ม่นั อยา งนแี้ ลว ฯลฯ ไมถงึ ความหว่นั ไหวแลว ยอ มนาํ จิตออกไป ดว ยญาณทัสสนะ๒ เปนตน พระผูมีพระภาคเจาทรงเขา ถงึ ดวยวิชชานั้นแมท้งั หมด ท่ีถึงพรอมดวยอาการทกุ อยาง และจรณะ๑๕ ประเภทนน่ั ใด อนั พระผูมีพระภาคเจา ทรงยกขน้ึ แสดงอยา งน้ีวา ดกู อนมหานาม พระอริยสาวกในศาสนานี้ เปนผถู ึงพรอ มดวยศลี มที วารคมุ ครองแลวในอินทรยี ท้ังหลาย เปน ผูร จู ักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพยี รเปน เคร่อื งต่นื เปนผูถ งึ พรอมดวยสัทธรรม ๗ มปี กตไิ ดฌ าน ๔ อนั เปนเครือ่ งอยูเปน สขุ ในปจจุบัน ซ่ึงเปน ไปทางใจโดยเฉพาะ๓ ดังน้ีแลว ทรงแสดงขยายไวใ นเสขสูตร โดยนยั มีอาทิวา ดกู อ นมหานาม กพ็ ระอริยสาวกเปน ผูถึงพรอมดว ยศลี เปน อยางไร๔ ดงั นี้ จรณะน้นั ของพระผูมพี ระภาคเจาบริสุทธดิ์ อี ยางยง่ิ เพราะทรงละอปุ กิเลสท้ังหมด อาสวะทง้ั ส่มี ีกามาสวะเปน ตน๑. ม. มู. ภยเภวสุตตฺ ๓๕. ๒. ที. ส.ี อมพฺ ฎฐ สุตฺต ๑๒๘. ๓. ๔. ม. ม. เสขปฏิปทาสตุ ตฺ ๒๗
พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 421แมท ัง้ หมดน้ี ท่ีเปนไปกับบริวาร ท่เี ปนไปกับวาสนาของพระผูมีพระภาคเจาสิน้ ไปแลว และเพราะพระผมู ีพระภาคเจาทรงเปน พระขณี าสพ ดวยวิชชาและจรณสมั ปทาน้ีทรงพิจารณาในกาลน้นั วา ภพใหมไ มม ี ดังนี้ ดาํ รงอยู เพราะฉะนน้ั สาตาคริ ยักษม ีหฤทยั อนั ทางแหงการประพฤติใหเกิดอตุ สาหะพรอมแลวในความท่ีพระผูมีพระภาคเจาทรงเปน พระสพั พญั ู เมอื่ รบั รูพระคุณเหลานัน้แมท้ังหมด จงึ กลาววา พระองคทรงถึงพรอมแลว ดวยวิชชา ดังน้ี. แตน ัน้ เหมวตยกั ษห มดความสงสยั ในพระผูม ีพระภาคเจา วา พระ-ผูมพี ระภาคเจาเปน พระสมั มาสัมพทุ ธเจา อยูในอากาศนน่ั แล สรรเสรญิ พระ-ผูมีพระภาคเจา และชมเชยสาตาคิรยักษวา พระหฤทยั ของพระโคดมผูเปนมุนีถึงพรอมแลว ดงั น้.ี คาถานนั้ มเี น้ือความวา พระหฤทยั ของพระโคดมผเู ปนมุนถี ึงพรอมแลว เปน อันอธิบายวา ถึงพรอมแลวอกี ดว ยความท่พี ระองคทรงเปนผูคงที่ท่ีสาตาคิรยกั ษก ลา วไวใ นบทนีว้ า ก็พระองคท รงตงั้ พระทยั ไวดแี ลว ถึงพรอมแลวดวยกายกรรมที่สาตาคิรยักษก ลา วไวในบทนว้ี า พระโคดมไมทรงถอื เอาส่ิงของทีเ่ จา ของเขาไมไ ดใ ห และถึงพรอมแลวอกี ดว ยมโนกรรมท่ีสาตาคริ -ยกั ษก ลา วไวในบทน้ีวา พระองคไมทรงยินดใี นกามทง้ั หลาย ถึงพรอ มแลวดว ยวจีกรรม อันเปน ทางแหง คาํ พดู ที่สาตาคิรยักษกลา วไวแลว ในบทนว้ี าพระองคไ มต รัสคําเทจ็ . เหมวตยักษแ สดงวา ก็พระหฤทยั ทถ่ี งึ พรอ มแลว อยางนี้ ชอื่ วา ถงึพรอ มแลวดวยวิชชาและจรณะ เพราะความท่พี ระองคท รงถงึ พรอ มแลว ดว ย
พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 422วชิ ชาสมั ปทา และจรณสัมปทาอันยอดเย่ียม ทานสรรเสรญิ พระโคดมนัน้ดวยคณุ ทัง้ หลายเหลานี้ โดยธรรม โดยนยั มีอาทวิ า กพ็ ระองคท รงตัง้ พระทยัไวด แี ลว คอื ทา นสรรเสริญพระโคดมนัน้ โดยสภาวะ โดยแท โดยความเปนจรงิ นั่นเทยี ว หาไดส รรเสรญิ ดวยเหตสุ กั วา มศี รทั ธาอยางเดยี วไม. ตอแตน ้ัน ฝายสาตาคิรยักษเ มอ่ื จะสรรเสรญิ เหมวตยักษน ัน้ แล โดยอธบิ ายวา ทา นมาริส ! ขอ นน้ั ทานรดู ีแลว และชมเชยแลว อยางนี้ จึงกลา ววาพระหฤทยั ของพระโคดมผเู ปน มนุ ีถงึ พรอมแลว ฯลฯ ทานชมเชยโดยธรรมดังน้ีก็คร้ันกลา วอยางน้แี ลว เมอื่ จะชมเชยเหมวตยกั ษน ั้น ในการเฝาพระผูมพี ระ-ภาคเจาอกี จึงกลาววา มาเราทง้ั สองจงไปเฝาพระโคดม ผูทรงถึงพรอ มแลวฯลฯ ดงั น.้ี ลาํ ดับนนั้ เหมวตยกั ษเ มือ่ จะชมเชยพระผมู ีพระภาคเจา ดว ยกําลงัแหง พาหสุ ัจจะในชาตกิ อน โดยพระคุณอนั ตนชอบใจอยางย่งิ จึงกลาววามาเถิด เราจงไปเฝา พระโคดมผมู พี ระชงฆเ พียงปลีแขง เนือ้ ทราย ฯลฯ ดงั น้ี. คาถานัน้ มีเนือ้ ความวา พระชงฆทงั้ หลายของพระโคดมน้นั เพียงปลีแขง เน้อื ทราย เพราะเหตนุ ัน้ พระโคดมนน้ั จงึ มพี ระนามวา เอณชิ งฺโฆผมู พี ระชงฆเ พียงปลีแขง เน้ือทราย จรงิ อยู พระชงฆท้งั หลาย ของพระพทุ ธเจาทั้งหลาย เรียวกลมโดยลาํ ดับ ดจุ แขงแหง เนือ้ ทราย ดานหนาไมมีพระมงั สาดา นหลงั อูมข้นึ เหมือนทองจระเข ก็พระพทุ ธเจาทัง้ หลายเปนผซู ูบผอม คือไมอวน เหมือนบุรุษอ่นื เพราะความถงึ พรอ มดว ยอวัยวะนอยใหญเห็นปานน้นัในที่ควรยาว สนั้ เสมอ และกลม หรอื ชอ่ื วา ซบู ผอม เพราะความท่ี
พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 423พระองคทรงกาํ จัดกิเลสดวยปญ ญา ชอื่ วา เปนนักปราชญ เพราะทรงก าจัดขาศกึ ภายในและภายนอก ชื่อวา มีพระกระยาหารนอย เพราะทรงเสวยครง้ั เดียว และทรงเสวยมกี าํ หนด ไมใชม ีพระกระยาหารนอ ย เพราะทรงเสวยเพียง ๒-๓ คํา สมดังที่พระผูม พี ระภาคเจาตรสั ไวว า ดูกอ นอุทายี ก็เราแลบางครั้งบริโภคอาหารเสมอขอบปากบาตรนี้บางครั้งก็บรโิ ภคมาก ดกู อนอุทายี ถา สาวกทง้ั หลายพงึ สกั การะ เคารพนบั ถือบูชา คร้ันสักการะ เคารพแลว พงึ อยูอาศัยเรา ดว ยคิดวา พระสมณโคดมมีพระกระยาหารนอ ย และทรงสรรเสรญิ ความเปน ผมู อี าหารนอยไซร ดูกอนอุทายี สาวกทัง้ หลายของเราเหลา น้นั ใด มีอาหารโกสะหน่งึ บาง กึงโกสะบางเวฬุวะหนึง่ บา ง กึงเวฬุวบา ง สาวกเหลานนั้ ไมพึงสักการะ ฯลฯ ไมพ งึ อยูอาศยั เรา โดยธรรมน*้ี ดังน้.ี ชอื่ วา ไมโ ลภ เพราะไมม ีฉันทราคะในอาหาร ทรงเสวยพระ-กระยาหารทป่ี ระกอบดว ยองคแปด ชือ่ วา เปนมนุ ี เพราะความถึงพรอ มดวยโมเนยยะทรงฌานอยูใ นปา เพราะทรงเปนอนาคารกิ และเพราะมพี ระหฤทัยโนมมาในวิเวก ดวยเหตนุ ้ัน เหมวตยักษจึงกลาววา ผมู พี ระชงฆเ พียงปลแี ขงเน้ือทราย ฯลฯ มาเถิด เราจงไปเฝา พระโคดม ดังน.้ี กค็ รนั้ กลา วอยางนี้แลว จึงกลา วคาถานวี้ า สีห เอกจร เพราะความเปนผูใครจ ะฟง ธรรมในสาํ นกั ของพระผมู พี ระภาคเจาพระองคน ้นั อีก. คาถาน้ันมีเนอ้ื ความวา บทวา สหี ว ความวา เปน เชนกับไกสรสีหะ เพราะอรรถวา ใหย ินดีไดยาก เพราะอรรถวา อดทน และเพราะ๑. ม.ม. มหาสกลุทายิสตุ ฺต ๓๑๘.
พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 424อรรถวา ปลอดภยั ช่ือวา เสด็จเทยี่ วไปพระองคเ ดียว เพราะไมมีตัณหาที่เรียกวา ตัณหาเปนเพอื่ นสองของคน ชือ่ วา เสด็จเที่ยวไปพระองคเ ดยี วแมเพราะพระพทุ ธเจา ๒ พระองค ไมทรงอุบัตใิ นโลกธาตุเดยี ว ผศู ึกษาพงึทราบเนอื้ ความนัน้ ๆ แมโดยนยั ที่กลา วแลว ในขคั ควสิ าณสูตร. บทวา นาค ไดแ ก ไมเ สด็จมาสภู พใหม คอื ไมไ ป ไมม าสภู พใหม. อกี อยางหน่งึ ชื่อวา นาค เพราะอรรถวา ไมทาํ บาปบางมกี ําลงั บา ง. นาคนนั้ . บทวา กาเมสุ อนเปกฺขิน ไดแ ก ไมม คี วามหวงใย เพราะไมม ีฉันทราคะในกามแมทั้งสองอยาง. บทวา อุปสงกฺ มฺม ปุจฺฉาม มจจฺ ุปาสปโมจน ความวา พวกเราเขา ไปเฝา พระโคดมนั้น ผูแสวงหาคณุ อนั ยง่ิ ใหญเ หน็ ปานน้นั ทลู ถามถึงธรรมเปน เครอ่ื งพน จากบว งมาร อนั เปนวฏั ฏะอันเปนไปในภมู สิ าม ไดแ ก วิวัฏฏ-นพิ พาน คือ ทลู ถามถึงอบุ ายเปน เครื่องพน จากบว งมาร กลาวคือ ทุกขและสมุทยั เหมวตยกั ษกลา วคาถานี้ หมายถึงสาตาคิรยักษ บรษิ ัทของสาตาคริ ยักษและบริษัทของตน. ก็โดยสมัยน้นั นักษัตรประจําเดือนอาสาฬหะไดถ ูกประกาศแลว ในกรุงราชคฤห ครัง้ นัน้ อุบาสิกา ชื่อ กาฬี กุรรฆริกา ในกรุงราชคฤหซ ่งึประดับประดาตกแตง โดยรอบ ดุจเสวยอยูซงึ่ สริ ิในเทวนคร ขน้ึ สูปราสาทเปด หนาตาง กําลังบรรเทาความแพค รรภ อยใู นประเทศท่รี บั ลม เพื่อตาก-อากาศ ไดฟง การสนทนาที่ประกอบดวยพทุ ธคุณนัน้ ของเสนาบดยี กั ษเหลา นัน้
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 425โดยเบอ้ื งตน ทามกลาง และทีส่ ดุ ครน้ั ฟง แลว ก็เกดิ ปต ิมีพทุ ธคุณเปนอารมณว า พระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย ทรงถงึ พรอ มดว ยพระคณุ ตา ง ๆ อยางนี้ขม นิวรณทั้งหลายดวยปตนิ นั้ ยืนอยูใ นประเทศนน้ั แล กด็ าํ รงอยูใ นโสดา-ปต ตผิ ล. ก็ลําดบั น้ันแล พระผูม ีพระภาคเจา ทรงตัง้ นางไวในตาํ แหนง เอตทัคคะวา ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย อุบาสิกา กาฬี กุรรฆรกิ า เปน ผเู ลศิ แหงอุบาสิกาท้ังหลายผเู ปน สาวกิ าของเราทเี่ ล่อื มใสในการฟง . เสนาบดยี กั ษแมเ หลาน้ัน มียักษ ๑.๐๐๐ เปนบรวิ าร ถึงอิสปิ ตนะในสมัยแหงมชั ฌมิ ยาม เขาไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจา ซ่ึงประทบั นงั่ โดยบัลลงั กที่ทรงประกาศพระธรรมจกั รใหเ ปน ไป ถวายบงั คมชมเชยกราบทูลใหพ ระผมู ีพระภาคเจา ทรงกระทาํ โอกาส ดวยคาถานวี้ า อกฺขาตาร ปวตฺตาร ดงั น.้ี คาถาน้ันมีเนื้อความวา ผตู รสั บอก ดว ยถอ ยคํากําหนดสัจจะทั้งหลายโดยนัยเปนตน วา เวนตัณหาในธรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๓ ดกู อนภิกษุทั้งหลายกน็ ้ีแล ช่ือ ทุกขอรยิ สัจจะ ผทู รงแสดงดวยการยังกิจญาณและกตญาณใหเปนไปในสัจจะเหลา นั้น โดยนัยมีอาทวิ า ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เราไมเ คยฟงมากอ นวา ก็ทุกขอรยิ สัจจะน้นั น้แี ล อนั บุคคลพึงกําหนดรู หรอื ผตู รสับอกโดยการตรัสถงึ โวหาร โดยประการทก่ี ลาวไวใ นธรรมทัง้ หลายท่ีบุคคลจะพงึ กลา ว ผทู รงแสดงธรรมเหลานั้น โดยสมควรแกสัตว หรือ ผูตรสั บอกโดยแสดงแกอ ุคฆฏิตัญูบคุ คลและวิปจิตัญบู ุคคล ผทู รงแสดงโดยใหเวไนย-สตั วดําเนนิ ตาม หรอื ผตู รัสบอกโดยอทุ เทส ผูทรงแสดงโดยจําแนก โดย
พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 426กลาวถงึ ดว ยประการนั้น ๆ หรอื ผตู รัสบอกดวยการแสดงลักษณะของโพธ-ิปก ขิยธรรมทั้งหลาย ผูทรงแสดงดว ยการเปน ไปในจติ สนั ดานของสัตวทงั้ หลายหรือ ผูต รสั บอก ดวยการตรัสบอกสัจจะทงั้ หลาย ดวยปริวัฏ ๓ โดยยอ ผทู รงแสดง ดว ยการตรสั สจั จะทั้งหลายโดยพสิ ดาร คอื ผูท รงแสดง ดว ยการประกาศพระธรรมจักรทใ่ี หพ สิ ดารแลว โดยนยั แหงปฏิสัมภทิ า มอี าทิอยา งนีว้ าธรรมมีสทั ธินทริยเ ปนตน ช่ือวา ธรรมจักร เพราะอรรถวา ยงั ธรรมนัน้ ๆ ใหเปนไป. บทวา สพฺพธมฺมาน ไดแ ก แหง ธรรมอันเปน ไปในภมู ิ ๓ทั้งหลาย. บทวา ปารคุ ความวา ผูท รงถึงฝง ดว ยอาการ ๖ คอื อภิญญา ๑ปริญญา ๑ ปหานะ ๑ ภาวนา ๑ สัจฉกิ ริ ิยา ๑ สมาบตั ิ ๑. จริงอยู พระผูม ีพระภาคเจา พระองคนนั้ ทรงรยู ่ิงซ่งึ ธรรมทง้ั ปวงถึงแลว เพราะฉะนน้ั จึงช่อื วา อภญิ ญาปารคู ทรงถงึ ฝง ดวยอภิญญา ทรงกําหนดรอู ุปาทานกั ขันธ ๕ถงึ แลว เพราะฉะน้นั จึงช่อื วา ปรญิ ญาปารคู ทรงถึงฝงดวยปริญญา ทรงสละซึง่ กเิ ลสทงั้ ปวงถึงแลว เพราะฉะน้ัน จงึ ชื่อวา ปหานปารคู ทรงถงึ ฝงดวยปหานะ ทรงเจริญมรรค ๔ ถงึ แลว เพราะฉะน้ัน จึงชอื่ วา ภาวนาปารคูทรงถงึ ฝง ดวยภาวนา ทรงการทาํ ใหแ จงซง่ึ นโิ รธถงึ แลว เพราะฉะนั้น จงึ ชือ่ วาสจั ฉกิ ริ ิยาปารคู ทรงถงึ ฝง ดว ยสจั ฉกิ ิรยิ า ทรงเขาสมาบัตทิ ้ังปวงถึงแลวเพราะฉะนนั้ จงึ ชือ่ วา สมาปตตปิ ารคู ทรงถึงฝง ดวยสมาบตั .ิ ผูทรงถงึ ฝงแหงธรรมทงั้ ปวง ดวยประการฉะนี้.
พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 427 บทวา พทุ ธฺ เวรภยาตตี ความวา ชอื่ วา ผตู รสั รูแลว เพราะความท่ีพระองคท รงตนื่ แลว จากความหลบั คอื ความไมร ู คอื ทรงตรสั รปู ระโยชนท้งั หลาย โดยนยั ทกี่ ลา วแลว ในสรณวัณณนา ช่ือวา ผทู รงลว งเวรภยั ไดแลวเพราะความที่พระองคท รงลว งเวรภยั ๕ อยา งไดแ ลว . เสนาบดียักษเ ม่อืสรรเสริญพระผูมีพระภาคเจาอยา งนี้แลว จึงทรงใหก ระทาํ โอกาสวา พวกเราจงทูลถามพระโคดม ดงั นี.้ ลาํ ดับนั้น เหมวตยักษซ ึ่งเลิศกวา ยกั ษเ หลาน้นั ดวยเดชปญญาและความตอ งการ เมือ่ ทูลถามปญ หาอนั ควรถาม ตามความตอ งการแลว จงึกลา วคาถาน้วี า กิสฺมึ โลโก เมอ่ื อะไรเกิดขึน้ โลกจงึ เกดิ ข้นึ ดังน.้ี ในบาทตนแหงคาถานั้น บทวา กสิ มฺ ึ เปนสตั ตมีวิภตั ติ ใชในลกั ษณะภาวะโดยภาวะ (ลักขณวนั ตะ) เมอื่ อะไรเกดิ โลกจงึ เกิดขน้ึ กน็ ้เี ปน อธิบายคาถาน้ี เหมวตยกั ษทลู ถามหมายถึงสตั วโลก และสังขารโลก. บทวา กิสมฺ ึ กุพพฺ ติ สนถฺ ว ความวา โลกยอ มกระทาํ ความเชยชดิดว ยอํานาจตัณหาและทิฏฐิวา \" เรา \" วา \" ของเรา \" ในอะไร. คาํ วา กิสฺมึ เปนสตั ตมีวภิ ตั ติ ใชในอรรถอธิกรณะ. บทวา กิสฺส โลโก เปนฉัฏฐวี ภิ ัตติ ใชในอรรถทตุ ยิ าวภิ ตั ต.ิ ก็เนือ้ ความนี้เปน ขออธิบายในคาถานวี้ า โลกยอมถึงการนับวา โลกยดึ ถืออะไรไว. บทวา กสิ มฺ ึ โลโก เปน สัตตมีวิภตั ติ ใชใ นอรรถแหงลกั ขณวันตะและอธกิ รณะ กอ็ ธบิ ายในคาถานีว้ า เม่อื อะไรมี โลกจึงเดือดรอน คือถูกเบยี ดเบียน ถูกใหเจบ็ ปวด เพราะเหตุอะไร.
พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 428 ลําดับน้นั พระผูมีพระภาคเจา เพราะเมื่ออายตนะภายในและภายนอกทงั้ หกเกิดขึน้ สัตวโลกจึงเกิดขึน้ และสังขารโลกกย็ อมเกิดขึ้น ดวยอาํ นาจแหง ทรพั ยแ ละธัญชาตเิ ปน ตน และเพราะสตั วโลกยอมกระทําความเชยชดิ แมสองอยาง ในอายตนะ ๖ เหลา นัน้ นน่ั แล ในสงั ขารโลกน้ี หรือ เมือ่ ยดึ ถืออายตนะคอื จกั ษุวา \" เรา ของเรา \" หรอื ยดึ ถืออายตนะอ่ืนในบรรดาอายตนะท่ีเหลอื ยอมยึดถอื เหมือนอยางทที่ า นกลา ววา คนใดพึงกลาววา จักษุเปนตัวตนคนนั้น (พงึ ยึดถือจกั ษุน้นั น่นั เทยี ว) ขอ น้นั ไมควร๑ เปนตน เพราะโลกแมทง้ั สองยดึ ถืออายตนะ ๖ เหลานัน้ นั่นเทียว ยอ มถึงการนบั วา โลก และเมอ่ืมอี ายตนะ ๖ เหลา น้ันนน่ั แล สัตวโลกกย็ อมเดอื นรอ น เพราะทุกขปรากฏเหมือนอยางทีพ่ ระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เมื่อมมี อื ก็ยอ มมกี ารถอื และการวาง เม่อื มเี ทา ก็มกี ารกาวไปและการถอยกลบั เม่อื มไี ขขอกม็ ีการคูเ ขา และการเหยียดออก เมอ่ื มที อง กต็ องมีหวิ และกระหาย ดกู อนภิกษุท้งั หลาย เมอื่ มีจกั ษุ สุขและทกุ ขภ ายในก็ยอมเกิดขน้ึ เพราะจักษสุ ัมผัสเปนปจ จัยอยางนัน้ เหมือนกัน๒ เปนตน อน่ึง เม่ือมีเครอื่ งรองรบั เหลา น้นั สังขาร-โลกทถ่ี ูกเบยี ดเบียน ก็ยอมเดอื นรอ น เหมอื นอยา งทพี่ ระผูม พี ระภาคเจาตรัสวาเม่ือมจี กั ษุ คนก็ยอ มเดือดรอน ในรปู ทเ่ี หน็ ไมได กระทบได๓ หรอื วา ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย จกั ษยุ อมเดือดรอน ในเพราะรปู ทพี่ อใจและไมพ อใจ๔ ดงั น้ีเปน ตน อนึ่ง โลกแมท งั้ สองยอ มเดือนรอน เพราะอายตนะภายในและภายนอกทีเ่ ปนเหตเุ หลานน้ั น่ันแล เหมอื นอยา งทีพ่ ระผูมพี ระภาคเจาตรสั ไววา จกั ษุ๑. ม. อ.ุ ฉฉกกฺ สุตฺต ๔๖๓. ๒. ส . สฬายตนอคคฺ . ๒๑๓. ๓. อภิธมมฺ สงคฺ ณี. ๑๙๙.๔. ส . สฬายตนวคคฺ . ๒๑๗.
พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 429ยอ มตดิ อยู ในรูปท้งั หลายที่พอใจและไมพ อใจ ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย จักษเุ ปนของรอ น รปู ทั้งหลายเปนของรอน รอนเพราะอะไร รอ นเพราะไฟ คอื ราคะเปนตน เพราะฉะนั้น เม่ือจะทรงวสิ ัชนาปญหานั้น ดว ยอาํ นาจแหงอายตนะภายในและภายนอก ๖ จึงตรสั วา ฉสุ โลโก สมปุ ปฺ นฺโน แปลวา เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ๖ เกดิ ข้นึ โลกจงึ เกดิ ขน้ึ ดังนี.้ ลําดับนน้ั ยกั ษนนั้ กาํ หนดไดไ มดี ซงึ่ ปญ หาทตี่ นทูลถาม ดว ยอาํ นาจแหงวฏั ฏะ ทพี่ ระผูม พี ระภาคเจาทรงวสิ ชั นาอยางยอ ดวยอํานาจแหงอายตนะ ๖มคี วามประสงคเพื่อรูเนอ้ื ความน้ัน และขอปฏิปก ษตอเนือ้ ความนนั้ เม่ือจะทลู ถามวฏั ฏะและววิ ัฏฏะโดยยอเทา น้ัน จึงทูลวา กตมนฺต แปลวา อปุ าทานทีเ่ ปน เหตุใหโ ลกตองเดือดรอ นเปน ไฉน ดังน้.ี ในคาถานนั้ ชอื่ วา อปุ าทาน เพราะอรรถวา อนั สัตวพึงเขาไปยึดมนั่คาํ วา อปุ าทาน นน่ั เปน ช่อื ของ ทกุ ขสัจจะนน่ั แล. บาทคาถาวา ยตฺถ โลโก วิหฺ ติ ความวา เหมวตยักษ ผูอันพระผมู ีพระภาคเจา ตรสั อยางนี้วา เมือ่ มอี ายตนะภายในและภายนอก ๖ โลกจงึเดือดรอ น ก็เพราะวา โลกยอมเดอื นรอ น ในเพราะอปุ าทาน ๖ จึงทูลถามถงึทุกขสจั จะ โดยยอ เทานน้ั ดวยคาถากึง่ อยางน้ีวา โลกยอ มเดือดรอ นในเพราะอปุ าทานใด อปุ าทานนั้นเปนไฉน. สวน สมทุ ยั สัจจะ ก็เปนอนั พระผูม ีพระภาคเจา ทรงถือเอาแลว โดยความเปนเหตุแหงทกุ ขสัจจะนนั้ แล. เหมวตยักษทูลถามถึงมรรคสัจจะ ดวยคาถากึง่ น้ีวา นิยฺยาน ปจุ ฉฺ ิโตแปลวา พระองคอันขาพระองคท ูลถามแลว ถงึ ธรรมท่ีเปนเครอ่ื งนําออกจาก
พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 430โลก จริงอยู พระอริยสาวกกําหนดรทู กุ ข ละสมทุ ัย ทาํ ใหแ จง ซง่ึ นิโรธ และเจรญิ มรรค ยอมออกจากโลก ดวยมรรคสัจจะ เพราะฉะนั้น มรรคสัจจะนน้ัจงึ เรยี กวา นิยฺยาน แปลวา ธรรมที่เปน เครือ่ งนาํ ออก. บทวา กถ ไดแ กโดยประการไร. บทวา ทุกฺขา ปมุ จฺ ติ ความวา บคุ คลจะบรรลถุ ึงความพน จากวัฏทุกขทีก่ ลา ววา อปุ าทาน. ทูลถามถงึ มรรคสจั จะโดยยอเทา นนั้ ในคาถานี้ ดว ยประการฉะนี้ สวนนโิ รธสจั จะ เปน อันทรงถือเอาแลว โดยความเปนวสิ ัยของมรรคสจั จะนนั่ แล. พระผมู ีพระภาคเจา อนั ยกั ษท ลู ถามปญ หา ดว ยอาํ นาจแหงสัจจะสีท่ ี่ทรงแสดงแลว และทไี่ มไ ดท รงแสดง โดยสรปุ อยา งนี้แลว เมือ่ จะทรงวสิ ชั นาโดยนัยนัน้ นั่นแล จงึ ตรสั วา ปฺจ กามคุณา แปลวา กามคุณ ๕ ดังนี้. ในคาถานน้ั อายตนะ ๕ ซงึ่ เปนอารมณข องใจนัน้ เปนอันทรงถือเอาแลว ดว ยโคจรศพั ท กลา วคือกามคุณ ๕ ใจเปนท่ี ๖ ของอายตนะเหลา นั้นเพราะฉะนั้น อายตนะเหลานนั่ ชอื่ วา มโนฉฏา แปลวา มีใจเปนที่ ๖.บทวา ปเวทติ า ไดแ ก ประกาศแลว. ก็ธรรมายตนะอันเปนอารมณของใจนนั้ เปนอนั ทรงถือเอาแลว ดว ยศพั ท คือมนายตนะที่ ๖ ในบรรดาอายตนะภายใน ในคาถาน.ี้ พระผูม ีพระภาคเจา เม่ือจะทรงวสิ ชั นาปญ หาน้วี า อุปาทานเปนไฉนดงั นี้ อันเหมวตยกั ษทูลถามแลวแมอีก จงึ ทรงประกาศทกุ ขสจั จะดวยอาํ นาจแหง อายตนะ ๑๒ แตเพราะกองแหง วญิ ญาณท้งั ๗ ทานถือเอาแลว ดว ยมโนศพั ท ในบรรดาอายตนะทงั้ ๖ น้นั อายตนะ ๕ อยาง มีจกั ขวายตนะ
พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 431เปน ตน อันเปน วัตถแุ หง วิญญาณธาตุเหลานัน้ เปนอันทา นถอื เอาแลว ดวยศัพท คอื วิญญาณธาตุ ๕ ขางตน ธรรมมายตนะอนั เปนวตั ถุและเปน อารมณแหง มโนธาตุและมโนวญิ ญาณธาตเุ หลา นนั้ เปนอันทา นถอื เอาแลว ดวยศัพทคอื มโนธาตแุ ละมโนวญิ ญาณธาตุ เพราะฉะน้ัน จึงทรงประกาศทกุ ขสัจจะดว ยอํานาจแหงอายตนะ ๑๒ แมด ว ยประการฉะน.ี้ ก็เอกเทศแหง มนายตนะและธรรมายตนะท่ีเปนโลกตุ ระ ทานมไิ ดส ง-เคราะหไ วใ นทนี่ ี้ เพราะทา นแสดงหมายถงึ อายตนะทีเ่ ปน เหตุใหโลกเดอื นรอ น. บทวา เอตฺถ ฉนฺท วริ าเชตวฺ า ความวา บุคคลกําหนดอายตนะเหลา นน้ั เทยี ว ในทกุ ขสจั จะอนั ตางดวยอายตนะ ๑๒ โดยประการนนั้ ๆ คอืโดยขันธ โดยธาตุ โดยนามรปู ยกขนึ้ สไู ตรลักษณะเห็นแจง อยู คลาย คอืนําออก ไดแ กกําจดั ความพอใจ คอื ตัณหาในกามคณุ ๕ นี้ ดว ยวปิ สสนามีอรหตั มรรคเปน ทส่ี ุดไดโ ดยประการทงั้ ปวง. บทวา เอว ทกุ ขฺ า ปมุ ฺจติ ความวา ยอ มพน จากวฏั ทกุ ขน ่ันดว ยประการน.้ี ปญหาน้วี า ขา พระองคทูลถามแลว ขอพระองคจงตรสั บอกซง่ึ ธรรมชาตเิ ครอื่ งออกจากโลก บคุ คลจะพนจากทกุ ขไ ดอ ยางไร เปนอนั ทรงวสิ ัชนาแลว ดวยคาถากง่ึ นี้ ดวยประการฉะน้ี. และมรรคสจั จะกเ็ ปนอนัทรงประกาศแลว กส็ มทุ ยั สจั จะและนิโรธสัจจะ พงึ ทราบวาเปน อันทรงประกาศแลว เทียว เพราะสงเคราะหโ ดยนัยกอนนั่นแล. หรอื ทรงประกาศทุกขสจั จะ ดวยคาถากง่ึ สมุทยั สัจจะดวยฉนั ทะนิโรธสัจจะ ดวยวิรชั ในบทวา คลายแลว มรรคสัจจะ โดยพระบาลีวา
พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 432ยอมพนเพราะวิราคะ หรอื ทรงประกาศมรรคสจั จะ ดวยนทิ สั สนะทห่ี มายถึงเอว ศัพท ทรงประกาศนโิ รธสัจจะ ดวยการพน จากทุกขว า บคุ คลยอมพนจากทกุ ข โดยพระบาลวี า ทุกขฺ นโิ รธ เพราะฉะนนั้ สัจจะส่พี ึงทราบวาทรงประกาศแลว ในคาถาน้ี ดวยประการฉะน้.ี ทรงประกาศธรรมชาตเิ ครือ่ งออกจากโลก โดยลักษณะ ดวยคาถาอนับรรจสุ ัจจะสี่อยา งน้แี ลว เม่ือจะทรงประมวลนิยยานธรรมน้นั น่ันเทยี วดว ยความชํานิชํานาญทางนริ ุตตขิ องพระองค จึงตรัสวา เอต โลกสสฺ นิยฺยานซ่ึงธรรมชาตเิ ครื่องออกจากโลกนี.้ ในคาถาน้ี บทวา เอต เปน การแสดงไขถงึ บททีก่ ลา วแลวในบทกอ น.บทวา โลกสสฺ ไดแ ก จากโลกธาตทุ ้ังสาม. บทวา ยถาตถ ไดแก ไมผิด. บทวา เอต โว อหมกขฺ ามิ ความวา ถาแมท านท้ังหลายพึงถามเราพันครัง้ เรากจ็ ะบอกขอนี้แกท า นทงั้ หลาย คือ จะไมบอกขอ อื่น. เพราะเหตไุ ร เพราะบคุ คลยอมพน จากทุกขไดดวยอาการอยางน้ี อธบิ ายวาไมใชโดยประการอน่ื . อน่ึง เราก็จะบอกขอน้แี กทา นทง้ั หลายแมออกไปแลว ๑ ครั้ง๒ คร้ัง และ ๓ ครัง้ ดว ยนยิ ยานธรรมนี้ อธบิ ายวา เราจะบอกนยิ ยานธรรมนัน้ แล แมเ พ่ือบรรลคุ ุณวเิ ศษช้นั สงู เพราะเหตไุ ร เพราะบคุ คลยอมพน จากทุกขท่เี หลือและไมม สี วนเหลือไดด ว ยอาการอยา งนี้. พระผมู ีพระภาคเจาทรงยังเทศนาใหจบลง ดว ยยอดคือ พระอรหัตในเวลาจบเทศนา เสนาบดยี ักษแมท ัง้ สอง ก็ตัง้ อยแู ลว ในโสดาปต ติผลพรอ มกบั ยกั ษ ๑,๐๐๐.
พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 433 ลําดบั นน้ั เหมวตยักษแมโดยปกติ กเ็ ปน ผูหนกั ในธรรม บดั น้ี ตงั้อยแู ลวในอรยิ ภูมิ ยงั ไมอมิ่ โดยดี เพอื่ จะทูลถามเสกขภมู ิและอเสกขภมู ิ กะพระผูมีพระภาคเจา ดวยเทศนาทีม่ ปี ฏภิ าณอันวิจิตร ของพระผูมพี ระภาคเจาจงึ กลา วคาถาวา โกสธู ตรติ โอฆ แปลวา ในโลกนี้ ใครเลาขามโอฆะได. ในคาถาน้นั เหมวตยกั ษทลู ถามถงึ เสกขภมู ิวา ใครเลาขามโอฆะสไ่ี ดดวยบทนวี้ า ในโลกนี้ ใครเลาขามโอฆะได. โดยไมแ ปลกกนั เพราะคําวาอณฺณว ไดแก หว งนา้ํ ซ่ึงมปี ระมาณไมก วางและไมลึก ก็อกี อยางหน่งึอรรณพเชนกบั ทท่ี า นกลา ววา ทง้ั กวางกวาและลกึ กวาน้นั แล ชือ่ วา อรรณพคือ สังสารวัฏ ก็อรรณพ คอื สงั สารวฏั นี้ โดยรอบกก็ วาง เพราะไมมที ่ีสดุ โดยเบ้ืองตํา่ กล็ ึก เพราะไมมที ตี่ ้งั โดยเบ้ืองบน ก็ลกึ เพราะไมมที ยี่ ึดเหนย่ี ว เพราะฉะน้นั เหมวตยักษจ ึงทลู ถามถงึ อเสกขภมู ิวา ในโลกนี้ ใครเลา ขามอรรณพได และใครยอ มไมจมลงในอรรณพทล่ี ึกซึ้งน้นั ไมม ีที่พง่ึไมมีทย่ี ดึ เหนย่ี ว. ลําดับน้นั พระผมู พี ระภาคเจา เพราะภกิ ษุใดไมทําการลว งละเมิดแมเพราะเหตแุ หง ชีวิต ถงึ พรอ มดว ยศีลทุกเม่ือ และมีปญ ญา ดว ยปญญาที่เปนโลกยิ ะและโลกุตระ ต้งั ม่ันดีแลว ดวยอุปจารสมาธิและอปั ปนาสมาธิ และมรรคผลเบอ้ื งต่าํ ทุกอิรยิ าบถ ยกข้นึ สไู ตรลักษณ มีปกตคิ ิดซงึ่ ธรรมภายในอันนําออกจากทกุ ขดวยวิปส สนา และถึงพรอ มแลว ดวยสติ คือ ความไมประมาทอนั นํามาซึง่ การกระทาํ ติดตอ ภกิ ษนุ นั้ ยอ มขามโอฆะนี้ท่ขี ามไดแสนยาก โดยไมมสี วนเหลอื ดว ยมรรคทสี่ ่ี เพราะฉะนนั้ เมือ่ จะทรงวิสัชนาเสกขภูมิ จึง
พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 434ตรสั คาถาท่บี รรจุไตรสิกขาน้ีวา สพพฺ ทา สีลสมฺปนโฺ น ผูถ งึ พรอมแลวดว ยศลี ทุกเม่อื . ก็ในคาถาน้ี สกิ ขา ๓ คอื อธสิ สี สกิ ขา ดวยสีลสมั ปทา อธิจิตตสกิ ขาดวยสตแิ ละสมาธิ อธปิ ญญาสกิ ขา ดวยปญ ญา คือ การคดิ ถงึ ธรรมภายในทา นกลา ววา มอี ปุ การะและมีอานิสงส จริงอยู สกิ ขาทั้งหลาย มีโลกยิ ปญ ญาและสติเปนอุปการะ มีสามัญผลเปน อานิสงส. คร้นั ทรงแสดงเสกขภมู ิ ดว ยคาถาทหี่ น่งึ อยางนแี้ ลว บดั นี้ เม่อื จะทรงแสดงอเสกขภูมิ จงึ ตรสั คาถาทีส่ อง. คาถาน้ันมีเนอ้ื ความวา บทวา วริ โต กามสฺาย ความวาผูเ วนจากกามสัญญาบางอยาง ดวยสมุจเฉทวริ ตั ิ อนั สมั ปยุตดวยมรรคที่ ๔ โดยประการทัง้ ปวง บาลีวา วิรตโฺ ต ดังน้ีกม็ ี. ในกาลนน้ั คาํ วา กามสฺ ายเปนสตั ตมวี ภิ ัตติ แตในสคาถวรรค บาลีวา กามสฺาสุ ดงั นี้กม็ .ี ช่อื วาลวงสังโยชนทั้งปวงเสีย เพราะลวงสังโยชน ๑๐ ดวยมรรคแมทง้ั ส่ี หรือ ลว งสงั โยชนเ บ้ืองสูง ดวยมรรคทส่ี เ่ี ทา น้ัน ชอ่ื วา มีความเพลิดเพลินและภพหมดสิน้ แลว เพราะความที่ความเพลิดเพลิน กลา วคือ ตณั หาพาใหเพลดิ เพลนิ ในส่ิงนน้ั ๆ และภพ ๓ หมดสิ้นแลว. บทวา โส ไดแ ก ภิกษุผูขณี าสพเชนนนั้ ยอมไมจมลง ในอรรณพคือ สงั สารวัฏอนั ลกึ เขา ถึงผลแหง นิพพานธาตอุ ันมีเบญจขันธเ หลือ เพราะส้ินความเพลิดเพลนิ และไมมเี บญจขันธเหลอื เพราะส้นิ ภพ. ลาํ ดับนั้น เหมวตยกั ษแลดูสหายและยักษบรษิ ทั เกดิ ปติแลโสมนัสชมเชยพระผมู พี ระภาคเจา ดว ยคาถามอี ยา งน้ีวา คมภฺ ีรปฺ เปนตน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 539
Pages: